นิยายเรื่องอื่นๆของ JUPJIB
♥ จอมไตรซีรี่ส (ไม้) คนมืดมนที่หลงรักคุณหมดใจ (จบ) ♥ คุณnolirinลงให้ ขอบคุณค่า
♥ จอมไตรซีรีส์ (ดิน) ความรักไม่ใช่แค่คนสองคน (จบ) ♥ ♥ จอมไตร ซีรีส์ (ปฐพี) เห็นได้ด้วยตา รักได้ด้วยใจ (จบ) ♥ ♥ จอมไตร ซีรีส์ (ตาหวาน) ซื้อด้วยใจ ขายด้วยรัก (จบ) ♥ ♥ เรื่องสั้นตอนเดียวจบ V.1 by JUPJIB ♥ คุณnolirinลงให้ ขอบคุณค่า
♥ เรื่องสั้นตอนเดียวจบ V.2 by JUPJIB ♥ ♥ man and child ซีรี่ส์ Love Just Ain't Enough(แนวM-Preg) (จบ) ♥ ♥ man and child ซีรี่ส์ Hard For Heart(แนวM-Preg) (จบ) ♥ตอนที่ 1
ปารมีนั่งมองเด็กชายวัยสามเดือนเศษที่นอนกินนมจากขวดอยู่อย่างอ่อนใจ นี่ก็สองอาทิตย์แล้วที่เขาเลี้ยงดูเด็กคนนี้ด้วยตัวคนเดียว เงินที่เหลือเก็บชักจะน้อยลงทุกที งานก็ไม่มีทำ ก่อนหน้านี้ปารมีทำงานที่ร้านขนมปังแห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้า แต่หลังจากที่แม่หายไปแล้วทิ้งหนูน้อยคนนี้ไว้ให้ ปารมีก็ต้องออกจากงาน ดีที่หัวหน้างานเข้าใจจึงให้เงินเดือนในส่วนที่ปารมีทำงานมา ทั้งๆที่ปารมีเองก็รู้ว่าออกจากงานกระทันหันแบบนี้ตามกฏแล้วจะไม่ได้รับเงินส่วนนั้น
ปกติปารมีก็ไม่ค่อยเหลือเงินเก็บ พอฉุกเฉินขึ้นมาจึงไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหน
...เมื่อสามอาทิตย์ก่อน แม่ที่หายไปไม่เจอกันมาหลายปีมายืนอยู่ที่หน้าประตูห้องปารมี ในวงแขนมีเด็กน้อยตากลมนอนขดตัวอยู่ แม่บอกง่ายๆว่า “ลูกหลง” ไม่ได้เอ่ยถึงพ่อของเด็ก ปารมีก็ไม่ถามเพราะถือว่าโตๆกันแล้ว แม่มาอยู่กับปารมีเกือบอาทิตย์แล้วในวันหนึ่งแม่ก็เอ่ยกับปารมีว่า
“ปาม พรุ่งนี้ไปซื้อของให้น้องหน่อยได้ไหมลูก”
ปารมีที่ง่วนอยู่กับการใส่ผ้าอ้อมเด็กให้น้องเงยหน้าขึ้นมาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาดีใจที่แม่มา และอยากให้มาอยู่ด้วยกัน ถึงแม้จะทำให้การใช้ชีวิตลำบากขึ้น แต่ปารมีก็เต็มใจ
ปารมีอยู่คนเดียวมาตั้งแต่อายุ15 พ่อตายตอนปารมี 12 ขวบ หลังจากนั้นเขาก็อยู่กับแม่และพี่สาวคนละพ่อที่อายุมากกว่าเขา3ปีในห้องเช่าแคบๆห้องหนึ่ง พอพี่สาวอายุ 18 ก็ออกจากบ้านไป ไม่นานหลังจากนั้น แม่ก็หายไปอีกคน ปารมีใช้ชิวิตด้วยการทำงานเล็กๆน้อยๆที่โรงเรียนและงานอื่นๆที่ทางวิทยาลัยอนุญาติ หลังจบปวช.ปารมีออกหางานทำและเรียนปวส.ภาคค่ำไปด้วย ปารมีไม่ใช่คนเรียนดีอะไรจึงไม่เคยสอบได้ทุนใดๆกับเขา ครั้นจะกู้เงินเรียนก็ไม่มีคนรับรองให้เสียอีก ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเจ้าตัวจึงต้องเป็นคนหาเองทั้งหมด หลังจากเข้าเรียนปวส.ได้ไม่นาน แม่ของปารมีก็กลับมาที่ห้องเช่า ปารมีดีใจที่ได้เจอแม่ ดีใจที่แม่กลับมา แต่ก็ดีใจได้ไม่นาน สามวันหลังจากที่แม่กลับมา แม่ก็หายไปอีก ไปโดยไม่บอกกล่าวพร้อมทั้งยกเลิกสัญญาเช่าห้องและรับเงินมัดจำไป ดีที่เจ้าของห้องไม่ยอมให้แม่ขนของออกจากห้อง ไม่อย่างนั้นปารมีอาจไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะเปลี่ยน เจ้าของห้องยอมให้เขาอยู่ไปก่อนเพราะอยู่กันมานานและคุ้นเคยกันดี ปารมีทำงานตอนกลางคืนเพิ่มและดรอปเรียนเทอมแรกไว้ จนในที่สุดก็หาเงินมาให้เจ้าของห้องได้ เขาอยู่ที่นั่นจนเจ้าของห้องขายที่เพื่อกลับบ้านนอกและเจ้าของที่คนใหม่ต้องการทุบตึกนั้นทิ้ง จึงได้ย้ายมาอยู่ห้องปัจจุบันนี้ จำได้ว่าช่วงแรกที่แม่ทิ้งไปนั้นปารมีโกรธแม่มากที่ทำให้เขาต้องลำบากยิ่งขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านมาหลายปี ปารมีก็ลืมความโกรธนั้นไปจนสิ้น
“ไปกดเงินมาให้เรียบร้อยนะปาม แม่ไม่อยากไปเสียเวลาพรุ่งนี้ อยากรีบไปรีบกลับ น้องแกจะงอแงเอา”
แม่พูดจบก็บอกว่าง่วง และเข้านอนทันที พอแม่และน้องนอนหลับ ปารมีจึงออกมากดเงิน ตอนนั้นปารมีไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าทั้งหมดเป็นแผนที่แม่วางเอาไว้ก่อนแล้ว
………………………..
เช้าวันถัดมา ปารมีตื่นแต่เช้าตามปกติ ออกจะแปลกใจที่แม่ไม่อยู่บนที่นอน แต่น้องยังนอนหลับอยู่ ปารมีหยิบกระเป๋าเงินเพื่อจะออกไปซื้อกับข้าว หันไปมองน้องอีกครั้งเพราะห่วงที่น้องต้องอยู่คนเดียว
“เอาน่า แป๊บเดียว”
บอกตัวเองเบาๆแล้วรีบเดินออกมา เลือกกับข้าวสองสามอย่างพร้อมทั้งข้าวสวยสองถุง แม่คงออกไปแถวนี้ อีกเดี๋ยวคงมา ปารมีคิดอย่างไม่เฉลียวใจ แต่แล้วตอนที่จะจ่ายเงินเขาก็ต้องใจหายวูบ เงิน... เงินที่กดมาเมื่อคืนไม่อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เหลือเพียงธนบัตรใบล่ะร้อยไม่กี่ใบในกระเป๋า ปารมีหน้าซีดเผือกจนแม่ค้าเป็นห่วง หรืออยู่ที่บ้าน คิดในแง่ดีถึงจะจำได้ว่าเอาไว้ในกระเป๋าเงินก็เถอะ เขารีบจ่ายเงินให้แม่ค้าแล้วตรงกลับบ้าน สิ่งแรกที่เขามองหาไม่ใช่เงิน แต่เป็นกระเป๋าเสื้อผ้าของแม่ ....มันหายไป... แม่ก็หายไป... หายไปพร้อมเงินห้าพันบาท ปารมีพยายามมองในแง่ดีอีกครั้งว่าแม่คงไปซื้อของคนเดียว เดี๋ยวก็กลับมา
.....แต่เย็นแล้วแม่ก็ยังไม่มา จนผ่านมาสองอาทิตย์ก็ยังไม่มีวี่แวว ปารมีก็เลยต้องยอมรับว่าแม่ทิ้งเขาไปอีกแล้ว โดยคราวนี้ไม่ได้ทิ้งไปเฉยๆยังทิ้งภาระไว้ให้เขาอีกด้วย
……………………..
ปารมีตัดสินใจเรียกเด็กน้อยว่าตาหวาน เพราะตากลมๆโตๆนั่นมันดูหวานจริงๆ ตาหวานเป็นเด็กอารมณ์ดี และกินเก่ง ป้าที่เช่าห้องอยู่ใกล้ๆกันบอกว่าพอสี่เดือนให้กินอาหารเสริมได้ ทำโน่นได้ ทำนี่ได้ ปารมีก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ เกิดมาเคยเลี้ยงเด็กที่ไหนกัน แค่จะอาบน้ำให้ปารมียังทำไม่ค่อยเป็นเลย
“ไหนตาหวาน ยิ้มหน่อยยิ้มหน่อย”
ปารมีจับน้องนอนคว่ำแล้วพูดคุยด้วย ปกติไม่เคยมีใครอยู่ด้วย คำพูดเลยเป็นสิ่งที่ปารมีใช้น้อยที่สุดเมื่ออยู่ในบ้าน แต่ตอนนี้มีคนอยู่เป็นเพื่อนเลยได้พูดมากขึ้น เด็กน้อยไม่สามารถโต้ตอบได้แต่ปารมีคิดว่าตาหวานฟังออกว่ามีคนพูดด้วย เพราะตาหวานจ้องมองปารมี แถมยังยิ้มให้ด้วย
“น่ารักจัง นี่เดี๋ยวปามอ่านนิทานให้ฟังนะ”
ปารมีหยิบหนังสือนิทานที่ได้มาจากเพื่อนบ้านที่อยู่ชั้นล่างเปิดออกและอ่านเบาๆให้ตาหวานฟัง ห้องปารมีไม่มีโทรทัศน์ มีหนังสือเยอะแต่ก็เป็นหนังสือทำอาหารซะส่วนใหญ่ อ่านหนังสือได้ไม่นานตาหวานก็หลับไป ไม่รู้ว่าเพราะนิทานหรือเพราะอิ่มแล้วเลยง่วงกันแน่ หนังสือนิทานถูกปิดลง ปารมีจับเด็กชายให้นอนหงายแล้วเอาผ้าห่มห่มให้ จากนั้นก็ลงมือทำงานบ้านทุกอย่างจนเรียบร้อย
พอไม่มีอะไรทำ ปารมีก็คิดถึงเรื่องเงินขึ้นมาอีก ถ้าเป็นแบบนี้จะอยู่ได้ถึงสิ้นเดือนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไหนจะค่าเช่าห้อง ค่านมผง ค่าเสื้อผ้าตาหวานอีกล่ะ แล้วก็ให้นึกถึงว่าแม่เลี้ยงตาหวานมาได้ยังไงข้าวของเครื่องใช้มีแค่ ขวดนม ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ผ้าเช็ดตัว กับผ้าห่อตัวที่ใช้ปูนอน และชุดเปลี่ยนแค่สองสามชุด แค่คิดปารมีก็ต้องนั่งกุมขมับแล้ว ของที่จำเป็นต้องซื้อพรั่งพรูเข้าสู่สมอง แล้วเงินแค่สามสี่พันที่เหลือมันจะพอได้ยังไงกัน
..................................
เสียงโทรศัพท์ในอีกสามวันถัดมาทำให้ปารมีค่อยมีความหวังขึ้นมาหน่อย กลอนเพื่อนสนิทโทรมาบอกว่ามีงานให้ทำ น่าจะเอาตาหวานไปเลี้ยงด้วยได้ และมีที่พักให้
“งานอะไรของกลอนน่ะ”
ปารมีถามอย่างสงสัย ถ้าหากว่าคนที่โทรมาบอกเป็นคนอื่น ปารมีคงคิดว่าหลอกกันเล่น ไม่ก็ล่อลวงแหงๆ
“เดี๋ยวเลิกงานล่ะจะไปหา คิดถึงตาหวาน”
ปารมีไม่ซักอีกเพราะรู้ว่าใกล้เวลาเข้างานของอีกฝ่ายแล้ว นี่คงไม่ไปกินข้าวแอบใช้คอมบริษัทเปิดอินเทอร์เน็ตเช็คข่าวหางานให้เขาอีกแน่ๆ
กานทหรือกลอนเป็นเพื่อนรักของปารมี คบกันมาตั้งแต่เรียนชั้นม.ต้น กลอนอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่ 10 ขวบจนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย ญาติๆเอากลอนไปทิ้งไว้ที่นั่นทันทีที่พ่อกับแม่ของกลอนเสียชีวิตและยึดทรัพย์สินทั้งหมดไป กลอนเคยบอกว่าต้องเอาคืนมาให้ได้ซักวัน แต่เมื่ออีกฝ่ายมีเงินมีอำนาจมากกว่า จึงยากที่จะได้คืนมา
.........................................
รับสมัครคนดูแลเด็กและทำอาหาร
- ดูแลเด็กชายสามคน อายุ 8 ขวบสองคน และ 4 ขวบหนึ่งคน
- ดูแลเฉพาะตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน เย็นกลับจากโรงเรียน และวันหยุด
คุณสมบัติ
- วุฒิม.6หรือปวช.ขึ้นไป
- อายุ 22-35 ปี
- สามารถดูแลเด็กได้ดี
- ทำอาหารได้
- ทดลองงานสามวัน
- มีที่พักและอาหารครบทุกมื้อ
- มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล
- วันหยุดสามารถเลือกได้สี่วันต่อเดือน
- เงินเดือน 10000 บาท
- สนใจติดต่อ 00-0000-0000
- เวลา 09.00-21.00
“ถ้าไม่อยากทำก็ไปอยู่ด้วยกันก่อน”
กลอนพูดหลังจากยื่นกระดาษที่ปริ้นรายละเอียดงานมาให้ปารมีดู ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำ แต่เขาจะทำได้หรืองานนี้ แล้วที่จะให้ไปอยู่ด้วยกันนั้นก็ไม่อยากรบกวนเพื่อน ถึงจะรู้ว่ากลอนเต็มใจ แต่ตาหวานที่ชอบตื่นมาตอนดึกๆอาจรบกวนเวลานอนของกลอนได้
“สวัสดิการมันดู...เออ...ดูดีเกินไปนะ แล้วยังอายุที่กำหนดอีก ปกติเขาต้องอยากได้คนมีอายุหน่อยไม่ใช่เหรอ”
ปารมีถามอย่างไม่สบายใจ เพราะเนื้อหางานดูชวนเชื่อยังไงไม่รู้
“เอาน่า เชื่อถือได้ รับรอง”
กลอนพูดอย่างมั่นใจเต็มที่ ปารมีขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“เอาล่ะๆ อยากรู้ล่ะซี่”
กลอนยิ้มทะเล้นอย่างที่ชอบตอนที่อยู่ด้วยกันสองคนทำพร้อมทั้งอุ้มตาหวานขึ้นมาโยกซ้ายโยกขวา
“ที่จริงถ้าเจอเองกลอนก็ไม่เชื่อหรอก ... แต่นี้น่ะได้ยินป้าแม่บ้านเขาคุยกันหรอกนะ ป้าแมวกับป้านกแกคุยกันเรื่องที่ได้ยินท่านประธานบ่นกับน้องชายว่าไม่มีคนดูแลลูกๆของท่าน น้องชายเลยบอกให้ท่านประกาศรับสมัครจากในอินเทอร์เน็ตไง ส่วนเรื่องอายุเนี่ยเห็นว่าเพราะอยากได้คนที่สมัยใหม่พอสมควรน่ะ ก็นะ จะมาเลี้ยงลูกเขานิ่ เกิดไปสอนอะไรบ้าๆบอๆทำไง”
พูดจบก็หอมแก้มตาหวานทีนึง ปารมีพยักหน้ารับฟัง แต่งานดีขนาดนี้จะเหลือถึงเขาเหรอเนี่ย ดูจากวันประกาศก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วด้วย
คิดอย่างหนักใจแต่ก็ตัดสินใจโทรไปสมัครในที่สุด และก็ได้รับคำตอบมาว่าจะติดต่อกลับมา
..............................................
ปารมีไม่คิดว่าวันถัดมาจะได้รับโทรศัพท์ให้เข้าไปสัมภาษณ์งานทันที ที่จริงไม่คิดว่าทางนั้นจะโทรมาด้วยซ้ำดีว่าเป็นวันเสาร์ซึ่งกลอนทำงานเฉพาะครึ่งเช้าเท่านั้นเลยสามารถฝากตาหวานไว้ได้
ที่สัมภาษณ์งานเป็นตึกจอมไตรที่กลอนทำงานแต่คนละชั้น ตึกนี้เป็นที่ตั้งของบริษัทในเครื่องจอมไตรเกือบทั้งหมด กลอนเข้าทำงานที่บริษัทจอมไตรซึ่งเป็นบริษัทหลักของเครือในแผนกบุคคลทันทีที่จบจากมหาวิทยาลัย กลอนเป็นคนขยัน เรียนเก่ง หลังจากจบม.6 เขาสอบชิงทุนจอมไตรที่ข้อสอบยากแสนยากได้และได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียงโดยไม่เสียค่าเล่าเรียนตลอดสี่ปี กลอนเลือกเรียนคณะบริหารธุรกิจ สาขาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จบมาโดยมีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทองพ่วงมาด้วย คุณสมบัติดีแบบนี้ ไม่แปลกที่บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้(และอีกหลายๆแห่ง)จะต้องการตัว
พอคิดถึงตัวเองปารมีก็ต้องถอนหายใจ เขาเรียนไม่เก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เล่นกีฬาก็ไม่เก่ง ดนตรีก็เล่นไม่ได้ ที่ถนัดก็คงเป็นทำอาหารเนี่ยแหละแต่ก็ไม่เก่งมากอยู่ดี ปารมีจบปวส.เอกคหกรรมศาสตร์ก็จริง แต่เกรดก็ไม่ได้ดีนัก แค่พอจบมาได้วุฒิก็เท่านั้น
ปารมีมองรอบๆตัวซึ่งมีคนหนาแน่นขึ้นมามากแล้ว คนที่มาสอบสัมภาษณ์มีเป็นสิบๆคนและเป็นผู้หญิงเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่ปารมีออกจะแปลกใจก็เพราะแต่ละคนแต่งตัวมาสวยพริ้ง ฉีดน้ำหอมฟุ้ง จนกลิ่นน้ำหอมหลายๆคนรวมกันแทบทำเอาเขาเป็นลม ผู้ชายก็…แบบว่า ออกแนวหนุ่มหน้าสวย ชนิดที่ถ้าไม่ดูดีๆก็แยกได้ยากว่าชายหรือหญิงหน้าตาดีๆกันทั้งนั้น แล้วปารมีจะเอาอะไรไปสู้ ยิ่งสำรวจดูการแต่งตัวของตัวเองก็ได้แต่ปลง เสื้อเชิตสีฟ้าอ่อนกับกางเกงสแลคสีครีม ไม่ได้ดูโดดเด่นเอาซะเลย ผมเผ้าถึงจะหวีมาเรียบร้อย แต่ก็ไม่ได้ทำทรงอย่างดีอย่างที่คนอื่นเขาทำกัน เหมือนมาประกวดอะไรสักอย่าง หรือเขาจะคัดคนจากหน้าตาด้วย ปารมีอดเครียดขึ้นมาไม่ได้ แถมไม่มีใครคุยกันยกเว้นพวกที่ดูเหมือนจะมาด้วยกัน บรรยากาศอึมครึม ชวนอึดอัดเหลือเกิน
“ทำไมมาสมัครงานนี้ล่ะพ่อหนุ่ม”
คนข้างๆถามปารมี ปารมีหันไปมองแล้วเริ่มรู้สึกดีขึ้นที่มีคนเป็นมิตรอยู่ คนข้างๆเขาเป็นหญิงอายุน่าจะซัก40กว่าปีแล้ว แต่งตัวธรรมดาแต่ก็เรียบร้อย
“พอดีต้องดูแล เอ่อ ลูกน่ะครับ”
ปารมีพูดไม่ค่อยเต็มปาก แต่จะเรียกตาหวานว่าอะไรได้ล่ะ ตอนที่แม่มาวันแรกก็พากันไปแจ้งเกิด เขาไม่รู้ว่าแม่ใส่ชื่อเขาเป็นพ่อเด็กตอนไหน มารู้เมื่อแม่หายไปแล้วนั่นแหละ
“อ้อ ลูกอายุเท่าไหร่ล่ะ”
“เออ...สามเดือนจะสี่แล้วครับ”
“กำลังน่ารักเลยสินะ”
“ฮะ”
“เฮ้อ...........”
อยู่ๆป้าคนนั้นก็ถอนหายใจออกมา
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ป้าน่ะ อายุเกินใช่ไหมล่ะ แต่เขาก็ยังอุสาห์เรียกมาสัมภาษณ์ ทั้งๆที่ป้าไม่ได้หวังแท้ๆ”
“...”
“ป้าน่ะนะไม่มีลูกไม่มีหลาน อยู่กันสองคนกับลุงเขา เขาก็หาเลี้ยงป้ามาตลอด จนเขาเป็นโรคหัวใจแล้วโดนให้ออกจากงานเนี่ยแหละ ป้าเลยต้องหางานทำ แต่ว่าป้าอายุขนาดนี้ เรียนก็จบแค่ชั้นม.ปลายจะหางานทำตอนนี้ก็ยากแล้ว”
ป้าพูดอย่างอ่อนใจ ปารมีอยากจะพูดปลอบใจแต่ก็คิดหาคำดีๆไม่ได้
“สุดใจ อ่อนน้อมค่ะ”
พนักงานสาวออกมาเรียกชื่อคนที่ต้องเข้าสัมภาษณ์เป็นคนต่อไป แล้วป้าคนนั้นก็ลุกขึ้นแล้วหันมายิ้มให้ปารมีก่อนเดินเข้าไป
หายเข้าไปประมาณ 5 นาทีก็ออกมา แกกลับลงมานั่งที่เดิมแล้วเริ่มร้องไห้ คนอื่นๆซุบซิบกันว่าแกคงไม่ผ่าน ปารมีก็เลยทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่ปารมีจะพูดอะไรแกก็เงยหน้าขึ้นยิ้มทั้งน้ำตาให้ปารมี
“เขารับป้าล่ะ”
ปารมีฟังด้วยหัวใจกระตุกวูบ พลางคิดว่าตัวเองหมดโอกาสได้งานเสียแล้ว แต่เมื่อมาคิดดู ตัวปารมีนั้นยังมีโอกาสหางานอื่นง่ายกว่าป้าคนนี้อยู่มาก เขาจึงกุมมืออีกฝ่ายขึ้นมาเป็นเชิงแสดงความยินดีด้วยจากใจจริง
“คุณเลขาบอกว่าท่านประธานให้ป้าไปเป็นแม่บ้านให้น้องชายท่านประธาน เงินที่จะได้น้อยกว่าก็จริง”
ป้าพูดแล้วเช็ดน้ำตา
“แต่ทำงานบ้านเสร็จแล้วให้ป้าไปดูลุงที่โรงพยาบาลได้ด้วยนะ แถมยังว่าถ้าลุงหายแล้วก็ให้ไปช่วยงานที่บ้านและพักอยู่ที่นั่นเลยก็ได้ ท่านจะจ้างลุงไว้อีกคน แล้วค่ารักษาจากนี้ก็เบิกตามสวัสดิการได้ด้วยนะ ท่านใจดีมากเลย”
“ดีใจด้วยนะครับป้า ดีใจด้วย”
ป้ากุมมือปารมีตอบแล้วพูดว่าขอให้ปารมีได้งานด้วย
“ป้าจะกลับไปเก็บของก่อน จะไปยกเลิกห้องเช่าด้วย เขาบอกให้ป้าทำงานได้พรุ่งนี้เลยเลย แต่ย้ายได้ตั้งแต่วันนี้ จะเอารถไปช่วยขนของให้ป้าด้วย ป้าไปก่อนล่ะพ่อหนุ่ม ขอให้ได้งานนะ ”
“ครับ”
ปารมียิ้มอย่างปลื้มใจที่ป้าคนนั้นได้งาน และโล่งในอกไปนิดๆเมื่อตำแหน่งที่ตนมาสัมภาษณ์ยังไม่มีใครได้ไป ทีนี้ก็เป็นเขาที่ต้องมาลุ้นแล้วล่ะว่าจะได้งานทำหรือเปล่า
“คุณปารมี พรหมกาญจนะ”
ปารมีก็ลุกขึ้นหวาดๆ ไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะได้ทำงานนี้
พอเข้าไปในห้องสัมภาษณ์หญิงสาวที่บอกว่าเป็นเลขาของท่านประธานก็นั่งรออยู่แล้ว
“เชิญนั่ง”
“ขอบคุณครับ”
เธอมองปารมีอย่างพิจารณา เหมือนต้องการมองให้ทะลุ จนปารมีเกร็งมากขึ้นไปอีก
“คุณ..........ทำไมอยากมาทำงานนี้คะ”
คำถามแรกทำเอาปารมีต้องคิดหนัก จะต้องตอบว่าเพราะรักเด็กเลยอยากทำงานเกี่ยวกับเด็กดี หรือจะพูดยังไงให้ถูกใจผู้หญิงคนนี้ดี นึกเบื่อตัวเองที่ไม่ได้คิดคำพูดใดๆมาก่อนล่วงหน้าเลยเพราะมัวแต่ตื่นเต้น
“ว่าไงคะ”
เงียบไปนานจนอีกฝ่านต้องพูดเร่งให้ตอบ ปารมีที่ยังคิดอะไรไม่ออกเลยต้องตอบไปตามความจริงเท่านั้น
“คือที่จริง ผมต้องเลี้ยงลูกด้วยน่ะครับ เลยอยากหางานที่สามารถเลี้ยงเด็กไปด้วยได้”
คนถามขยับแว่นตาด้วยความสนใจ
“งั้นก็ไม่ได้หวังแปลกๆเพื่อที่จะเข้าไปอยู่ที่นั่น”
“หวังแปลกๆ?”
ปารมีขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจความหมายของคำว่าหวังแปลกๆมากนัก หรือว่าจะกลัวปารมีจับเด็กๆไปเรียกค่าไถ่ ...
“ถึงผมจะไม่มีเงิน ผมก็ไม่สิ้นคิดทำเรื่องผิดกฏหมายหรอกนะครับ”
ตอบอย่างรวดเร็วน้ำเสียงนิ่งได้มากขึ้นเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายกำลังดูถูกตน
เลขาสาวมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ท่าทางกำลังโกรธไปคนล่ะเรื่องกับที่เธอตั้งใจจะสื่อ ไม่รู้ว่าแกล้งพูดหรือเปล่า แต่ถ้าแกล้งก็คงเก่งมาก เพราะทำได้เหมือนจริงที่สุด ที่เธอถามนั้นหมายถึงว่าหวังแปลกๆเกี่ยวกับครอบครัวจอมไตรหรือเปล่าต่างหาก การที่ได้เข้าไปอยู่ในรั้วบ้านเดียวกับมหาเศรษฐีหนุ่ม 5 คนดูจะเป็นความใฝ่ฝันของสาวๆและหนุ่มๆมากมาย ถึงแม้ว่าหนึ่งในห้าจะมีคนรักแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยมีใครทราบ นี่ทำให้การคัดเลือกยุ่งยาก เพราะเกือบทั้งหมดที่มาสมัครต้องการเข้าไปเพื่อใกล้ชิดกับครอบครัวนี้ด้วยเหตุผลอื่นมากกว่าการเข้าไปดูแลเด็กๆจริงๆ
“แล้วก่อนหน้านี้คุณทำงานอะไรมาคะ”
ปารมีเอ่ยชื่อร้านขนมในห้างที่เคยทำงานก่อนจะเอ่ยถึงเหตุผลที่ต้องลาออก
“ผมต้องดูแลลูกชายน่ะครับ เลยต้องออกจากงาน”
หญิงสาวมองดูใบสมัครงานที่เขียนชื่อร้านกับที่ปารมีบอก วันที่ออกจากงานก็เมื่อไม่นานมานี้เอง
“แล้วก่อนหน้านี้ล่ะคะ ใครดูแล”
ปารมีนิ่งไปชั่วอึดใจ เขาไม่ชอบโกหก แต่เรื่องจริงมันซับซ้อนและไม่ใช่เรื่องที่น่าเอามาเปิดเผยเท่าไหร่
“แม่เขาเพิ่งเอามาทิ้งไว้ที่ผมน่ะครับ แล้วก็หายตัวไป”
ปารมีพยายามพูดความจริง แม้จะไม่สามารถพูดออกไปได้ทั้งหมด แม่ในความหมายของชายหนุ่มหมายถึงแม่ของเด็กชายและหมายถึงแม่ของตัวเองด้วย แต่ก็ไม่ได้อธิบายขยายความให้คนตรงหน้าฟัง
“อ้อ ... เลยต้องออกจากงานเดิมสินะคะ”
“ครับ”
เลขาสาวเงียบไปอีก เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“คุณมีคนรู้จักทำงานในเครือของเราไหมคะ”
“เอ่อ...มีครับ”
“ขอทราบชื่อด้วยค่ะ”
“ผมบอกแล้วคงไม่ทำให้เขาเดือดร้อนนะครับ”
ปารมีถามเพื่อความแน่ใจ อีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบกลับมา
“เราถามเพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถือเท่านั้นค่ะ”
เมื่อแน่ใจว่าเพื่อนจะไม่เดือดร้อน ปารมีจึงยอมบอกชื่อเพื่อนออกไป
“กานท พัฒนาธิวัฒน์ครับ”
หญิงสาวจดชื่อใส่ในใบสมัครงานของเขา แล้วพิมพ์ชื่อลงในคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่ตั้งอยู่ ภาพและประวัติของกลอนปรากฏขึ้น เธออ่านแล้วคิดว่า ปารมีผ่าน เพราะในประวัติการทำงานของกลอนที่หัวหน้าฝ่ายเขียนไว้ ไม่ได้มีข้อความให้ระวังเรื่องการจ้องจะจับคนในครอบครัวจอมไตร
................................................
เสื้อผ้าถูกลำเลียงใส่กระเป๋าจนเรียบร้อย ปารมีตรวจเช็คของอีกครั้งก่อนจะเดินทางออกจากห้อง ตาหวานยังหลับอยู่ ปารมีอุ้มน้องและสะพายกระเป๋าเป้เพื่อเดินทางไปบ้านจอมไตร เขาไม่คิดว่าจะได้รับเลือกให้ไปทดลองงาน เวลาผ่านมากว่าสองอาทิตย์ ปารมีตัดใจไปแล้วแต่ก็ยังไม่ได้สมัครงานที่ใหม่ พอดีว่าช่วงก่อนเจ้าของตึกนี้จัดงานเลี้ยงที่บ้าน จึงจ้างปารมีไปช่วยทำอาหารและขนม เงินที่ใกล้จะหมดเลยได้มาเพิ่มเติมบ้าง แม้แทบจะหมดไปทันทีเพราะค่าเช่าห้องก็เถอะ
ตอนที่ได้รับโทรศัพท์ให้ไปเข้าทดลองงานเมื่อสองวันก่อนต้องยอมรับว่าตกใจ ชายหนุ่มนึกอยากจะขึ้นรถเมล์เพื่อความประหยัด แต่ก็กลัวหลงและสงสารเด็กชายที่ต้นอุ้มอยู่จึงตัดสินใจนั่งแท็กซี่ แม้ว่าการจ่ายเงินครั้งนี้อาจทำเอาปารมีหมดตัว ปารมีก็ได้แต่หวังว่าจะได้รับค่าตอบแทนคุ้มกับที่จ่ายไป
................
TBC
ตอนที่ 2 จะมาลงให้วันเสาร์หรือเช้าอาทิตย์นะคะ