Hear, Me (ตอนพิเศษ 290414 : Forget? Me? Not!!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Hear, Me (ตอนพิเศษ 290414 : Forget? Me? Not!!  (อ่าน 419414 ครั้ง)

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 16 - 6/2/13)
«ตอบ #150 เมื่อ07-02-2013 01:06:16 »

ค่อยยังชั่ว พี่หนึ่งดูไม่เป็นอะไรมาก
ชอบตอนนี้ รู้สึกเหมือนมันโล่งใจ
ป๋าพี่หนึ่งดูใจดี
ดูทุกอย่างดีหมดเลยอ่ะ ชอบ
แบบเริ่มได้รู้ข้อมูลฝั่งพี่หนึ่งมากขึ้น

รอตอนต่อไปอยู่นะ555 จ๊วบ!

ออฟไลน์ Rukki

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 16 - 6/2/13)
«ตอบ #151 เมื่อ07-02-2013 13:35:17 »

พี่หนึ่งงง ดีใจจังที่พี่หนึ่งไม่เป็นอะไรมาก รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆนะคะ ;w;
คุณป๋าพี่หนึ่งน่ารักอ่ะ 55555555*
เจมอย่าืลืมบอกพี่หนึ่งเรื่องไปอังกฤษนะจ๊ะ
หวานอย่างนี้ตลอดไปเถอะ อิอร๊าง

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 16 - 6/2/13)
«ตอบ #152 เมื่อ07-02-2013 21:22:41 »

ป๋าน่ารักมาก พี่หนึ่งสู้ๆ เอาให้เจมรักเจมหลงจนขาดพี่หนึ่งไม่ได้เลย

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 16 - 6/2/13)
«ตอบ #153 เมื่อ07-02-2013 23:45:17 »

ค่อยยังชั่วที่พี่หนึ่งไม่เป็นไรมาก แล้วยังหื่นได้อีก อิอิ และแล้วเจมกะได้เจอพ่อสามี

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 17 - 10/2/13)
«ตอบ #154 เมื่อ10-02-2013 01:17:32 »

Hear, Me

=======
If I could, I would
======


ตอนที่ 17


สภาพนายคฤณยังเยินอยู่นั่นแหล่ะ แต่ความเยินก็ไม่สามารถริดรอนเค้าความหล่อบนหน้าเขาได้ จริงๆ ผมเองก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากหรอก เว้นก็แค่ว่าโดนมองไปด้วยแล้วก็หูแว่วได้ยินคำซุบซิบว่า “พี่น้อง” คู่นี้หน้าตาเลิศเลอทั้งคู่เลย คนเมาท์ไม่ใช่ใคร พยาบาลที่เคาท์เตอร์จ่ายยานั่นแหล่ะครับ

ผมแหวกปากถุงดูยาแก้อักเสบ แก้ไข้ แล้วก็ยาทาแก้ฟกช้ำ ยาทาแผลภายนอกพร้อมสรรพกับผ้าก็อซและเทปใสสำหรับพันแผล ครบเซต พอเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วก็ค่อยหันหาคนเจ็บ และก็เจอคุณเขายืนเต๊ะท่าอ่านหนังสือพิมพ์รายวันหัวเศรษฐกิจอยู่อย่างสนอกสนใจ

เขาคงอยากรู้เรื่องราวตัวเอง แต่ผมไม่อยากรู้หรอก เพราะผมรู้ผลลัพธ์ของการให้เบอร์ป๋าคนินกับพี่จ้อซึ่งเป็นหัวหน้าข่าวอาชญากรรมแล้วเมื่อเช้านี่เอง

เรื่องใหญ่โตสมกับที่พึ่งความอยากรู้ของพี่จ้อมากครับ แกจุดประเด็นให้ตั้งแต่ผู้สนับสนุนของพรรคที่หนุนหลังไอ้สส.พิมานที่ผมก็เพิ่งได้ยินชื่อมันเมื่อวานนี้ รวมมาถึงหัวคะแนนที่เป็นหางแถวอยู่ในพรรคมันนั่นแหล่ะ คุ้ยไปถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้านแล้วก็หัวคะแนนยุบยิบในแต่ละเขตชุมชน

โชคคงเป็นของนายคฤณที่ไอ้สส.พิมานมีชนักติดหลังอยู่แล้วเรื่องแซะหน้าดินเอาผลประโยชน์เข้าตัว เรื่องนี้ก็เลยได้รับความสนใจจากนักข่าวการเมืองไปด้วยทันที

“พี่หนึ่ง อ่านอะไรครับ?” พอเดินเข้าไปใกล้แล้วผมก็ยื่นหน้าไปอ่านบ้าง คิดผิดแฮะ เขาตั้งหน้าตั้งตาอ่านเรื่องค่าเงินบาทและกระแสเงินที่ไหลเข้าตลาดทุนไทย ทั้งหุ้นทั้งตราสารหนี้จนเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ค่าบาทแข็งปั๋ง

“รู้สึกโดนลวงไงไม่รู้ จะเอาไงก็ไม่เอาให้แน่ คนลงทุนมันลำบากสมองนะ” บ่นเท่านี้แล้วก็พับหนังสือพิมพ์เก็บที่เดิม ผมยื่นถุงยาให้เขา แต่รายนี้ดันถุงยาคืนสู่มือผมแล้วบอกเสียงแผ่ว

“ไม่เอาแล้ว พี่ไม่กินแล้วนะ เบื่อ”

“ได้ไง ก็เจ็บอยู่”

“อยู่กับเจม 1 วิก็หาย”

“เราอยู่ด้วยกันมา 2 วัน 2 คืนแล้ว ปากยังม่วงอยู่เลยนะครับ” เจอผมย้อนด้วยภาพจริงสีจริงแบบนี้เขาก็ได้แต่เอามือปิดปากแล้วบ่นอะไรอุบอิบ ผมไม่สนใจฟังและเดินลิ่วๆ จูงเขามายังลานจอดรถที่จอดแช่ไอ้เบนซ์เห็นแก่ตัวของเขาไว้ทันที คิดๆ แล้วก็เสียวเหมือนกัน ไม่รู้มันจะโดนอุ้มไปชำแหละกินตับรึเปล่า

พอถึงรถ สถานะนายคฤณก็ชัดเจนมากกว่า “วันนี้พี่เป็นนายแล้วเจมเป็นบ่าว” เขาให้ผมขับรถ อืมมม เริ่มชอบรับฟีดแบ็คจากตีนคนอื่นแล้วสินะคนเรา

“ไปบ้านพี่ก่อนนะ รถเจมอยู่ที่นั่น”

“แล้วเราจะกลับกันยังไง พี่หนึ่งขับกลับกรุงเทพไหวหรอครับ?”

“ไหวครับ”
“เดี๋ยวเราขับคู่กันไปนะ ออกจากนี้ราว 5 โมงเย็น ขับกลับกรุงเทพไม่ติดมาก กว่าจะเข้ากรุงเทพก็ราวๆ 2-3 ทุ่ม รถที่นั่นซาพอดีเหมือนกัน”

“อืม โอเค”

“เจมล่ะ เหนื่อยรึเปล่า?”

“ไม่เหนื่อยหรอกครับ” ผมหันไปยิ้มให้แล้วก็เข้าเกียร์ถอยหลัง นำท่านคณฤผู้ยิ่งใหญ่เป็นนายกู 1 วันสู่บ้านหลังอุ่นของเขา

จะว่าไป ผมก็คิดถึงบ้านหลังที่ระยองของเขาเหมือนกัน คิดถึงช่วงเวลาที่เพิ่งถูกเขาจีบ เพิ่งเริ่มไว้ใจเขา เพิ่งเริ่มใกล้ชิดกับเขา

หากนับเดือนกันจริงๆ แล้วมันก็ไม่นานเลย ครึ่งปีกว่าๆ เหมือนจะได้
แต่ว่า มวลความผูกพันมันน่าจะหนาแน่นพอควร หัวใจผมบอกแบบนั้น แม้ว่าตั้งแต่พ่อตาย ใจผมก็ไม่เคยผูกพันกับใครเลยก็เถอะ



นายคฤณคงรู้แล้วว่าผมบื้อกว่าที่เขาคิดมาก เพราะผมขับรถพาเขาหลงทางทั้งที่เขาจำทางกลับบ้านเขาได้แม่นยำ เรื่องป่วนผมทำได้ไม่ยากแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจทำเลยก็ตาม ผมก็แค่เลี้ยวซ้ายทันทีที่เขาบอกว่า “แยกหน้าเลี้ยวซ้ายนะเจม” และพอเขาบอกว่า “เลี้ยวขวาเลย” ผมก็ขับเลยทางเลี้ยวไปซะงั้น

ท่าทางเขาจะปวดหัว เพราะผมเห็นเขากุมขมับและนวดหัวคิ้ว เห็นแล้วก็สงสาร เลยหาทางแก้ปัญหาไปให้ว่า “มาขับเองมั้ยครับ?” แต่เขากลับคิดว่าผมกวนโมโห เอ้า! ผมมีเหตุจูงใจอะไรให้ต้องกวนอารมณ์เขาล่ะ?

และแล้วก็มาถึงกันเสียที

“ปกติที่ขับจากตัวเมืองมาบ้านแค่สี่สิบกว่านาที”

“คนละแรงเหยียบ พอเป็นเจมขับ ไอ้แรงม้าในรถพี่หนึ่งก็คงอู้งาน”

“เพ้อเจ้อ เถียงได้ทุกเรื่องจริงๆ”
“เข้าบ้านกันเถอะ” ด่าแล้วก็กระเตงผมเข้าเอวอยู่ดี ผมลงจากรถไปเปิดรั้วตามวิธีที่เขาบอก ซึ่งเขาก็บอกละเอียดตั้งแต่ใช้กุญแจรั้วดอกไหน ไขเข้าไปประตูเล็กก่อน แล้วก็สับสวิตซ์ไฟข้างรั้วขึ้นแล้วค่อยกดปุ่มเปิดรั้ว อือออ ยากไปป่ะ?

เกยราชรถม้าอู้ในโรงรถเขาเทียบคู่กับรถมินิของผมเรียบร้อยแล้วก็ต้องรีบมาพยุงเขาเดินเข้าบ้านครับ ทีรั้วล่ะทำซะยุ่งยาก แต่เขาไม่ได้ล็อคประตูบ้านด้วยซ้ำ ผมไม่ถามเรื่องความเลินเล่อของเขาเพราะผมเองก็เพลียๆ แล้วเหมือนกัน

“หิวรึยัง? เดี๋ยวเจมทำมื้อเที่ยงให้ พี่หนึ่งจะได้นอนพักก่อนกลับกรุงเทพ”

“โจ๊กสำเร็จรูปก็ได้ ใส่ไข่ ใส่หมูสับ พี่ช่วยเอง”

“พี่หนึ่งอยู่เฉยๆ เถอะ”

“พี่ทำได้ครับ ไม่ได้เป็นอะไรมากเลย” อ่ะ อ้าว! แล้วที่ทำเสียงโอยถี่ๆ ตอนเขย่งส้นเท้าเดินเองนี่อะไร?

“แล้วที่ให้เจมพยุงเมื่อกี้ล่ะครับ ยังจะบอกว่าไม่เจ็บ” ผมเถียงตามที่เห็น แต่เขาก็ยิ้มชั่วร้ายแล้วเฉลย

“อ้อนแฟนเล่นไมได้หรอครับ?”

“ใช่เวลามั้ยล่ะครับ” ผมยียวนกลับแล้วชกแขนเขา จริงๆ ก็แค่เอากำปั้นแตะลงเบาๆ เท่านั้น

“ไปสิ ทำอะไรกินกัน”

“เดินดีๆ สิพี่หนึ่ง” นายคฤณก็ยังเอมใจกับการเอาตัวมาใกล้ๆ ผม หยอกผม แกล้งผม แล้วก็จบลงด้วยการมองผม กอดผม หอมขมับผม รวมถึงจูบมือผมเหมือนเดิม

เขาจะมาพิศวาสอะไรผมนักนะ?


เด็กชายคฤณกินแล้วก็นอน ฟาดโจ๊ก กระดกยาหลังอาหารแล้วก็มานั่งเอนหลังนาบโซฟามองผมนั่งทำงานในโน็ตบุ้คสักพักก็หลับไป ผมละสายตาจากหน้าเอาท์ไลน์หนังสือมาครู่หนึ่งจึงได้รู้ว่าเวลามันล่วงไปถึงบ่าย 4 โมงแล้ว ผมควรปลุกเขาให้ล้างหน้าล้างตา จะได้มีสติขับรถ แล้วก็วางแผนไว้ว่าจะทายาแก้ฟกช้ำให้เขาก่อนออกเดินทางด้วย

แต่ความเงียบสงบในบ้าน เสียงลมหายใจแผ่วเบาเป็นจังหวะเนิบนาบของเขาทำให้ผมยั้งการปลุกเจ้าของบ้านเอาไว้ก่อน

มาครั้งที่แล้วแม้จะอยู่นานกว่านี้ แต่ก็ไม่ได้สำรวจเสือกตาไปมองอะไรมากนัก เว้นก็แค่รูปที่ผมคิดว่าคงจะเป็นรูปเขา นายพิชญะและคุณลูกแพร งั้นวันนี้ขอกูความทรงจำของเขาที่ผมไม่เคยมีส่วนร่วมหน่อยเถอะ

ผมยังจำได้ว่า คืนที่ผมเรื่องเยอะกับการไปให้พ่อเขาพบหน้านั้น เขาหลีกการปะทะอารมณ์เข้าห้องนอน และรื้อของที่น่าจะเป็นของวัยเด็กของเขาออกมา

ที่บ้านนี้ น่าจะมีของวัยเด็กชิ้นอื่นๆ ของเขาบ้าง

ผมเดินขึ้นชั้น 2 เดินผ่านห้องที่เขาเคยเตรียมให้ผมนอนและจบลงที่นอนห้องเดียวกับผม เพื่อมาหยุดที่หน้าห้องที่เขาบอกว่าคือห้องนอนของเขา แต่เขาก็ไม่ได้นอนเพราะปลิ้นตัวมานอนในห้องที่เตรียมให้ผม

ชั่งใจวินาทีเดียวผมก็เปิดประตูห้องนอนเขาทันที
เฟอร์นิเจอร์และเครื่องนอนครบครัน แต่ก็ไม่ได้อยู่ในทิศทางที่เรียบร้อยนัก ก็อย่างว่า แม้ห้องนี้จะใหญ่โต มากด้วยเครื่องอำนวยความสะดวก แต่ก็ไม่ได้มีใครมาดูแลทุกวัน

ผมเดินไปนั่งบนเตียงแล้วยื่นหน้ามาดูที่ตู้เล็กๆ ข้างหัวเตียง ลองเปิดๆ ดูก็เห็นแบงก์เขียว แบงก์แดงและเหรียญต่างมูลค่า ต่างสกุลกองๆ กันอยู่ มีนาฬิกาข้อมือสายหนังเรือนเก่าๆ แล้วก็สมุดลายดอกไม้เล่มหนึ่ง

เห็นลายปกแล้วอยากถามว่าตอนซื้อไม่อายหรอ?

ผมไม่ได้ถือวิสาสะแตะต้องสมุดนั้น และก็ไม่ได้ใช้มือแตะสัมผัสสิ่งใดในห้องโดยไม่จำเป็นเลย ผมเพียงดูด้วยตาเท่านั้น เท่านี้ก็ถือว่าละลาบละล้วงมากไปแล้ว

จากตู้ข้างเตียง ผมก็มาเปิดตู้เสื้อผ้าดู เสื้อผ้าในตู้หนักไปทางเสื้อยืดที่พับกองๆ รวมกันเอาไว้ด้านล่าง เลยขึ้นไปที่ราวแขนส่วนมากจะเป็นกางเกงยีนส์ เสื้อยีนส์เสียมากกว่า

แต่ว่า มันมีสิ่งแปลกอยู่อย่างหนึ่ง
เดรสผู้หญิง

แม่เขาอยู่เมืองนอก บ้านนี้ก็ไม่ได้มีแม่บ้านมาดูแลเป็นประจำ น้องสาวเขาก็ไม่มี พี่สาวก็ไม่มี แล้วเดรสผู้หญิงชุดนี้ของใคร? ให้ใคร?

ผมกบฏกับตัวเองด้วยการดึงมันมาดูไซส์ ดูแบบและเนื้อผ้า เรียกได้ว่าความทันสมัยมีน้อยนิด แต่ก็มีความร่วมสมัยอยู่บ้าง


“ซุกผู้หญิงด้วยหรอเนี่ย? ป๋าคนินรู้ป่าววะ?” ผมปรึกษาตัวเองแล้วก็แขวนมันกลับที่เดิม จากนั้นก็มุ่งไปที่โต๊ะเขยีนหนังสือที่มีตำราแขนงไหนซักอย่างวางซ้อนกันอยู่ 2-3 เล่ม

จ้องดูดีๆ แล้วจึงรู้ว่าเป็นตำราบริหารและวิศวกร สาขาที่เขาจบทั้งตรีและโท ผมจำได้จากประวัติเขาที่ผมได้เห็นครั้งแรกก็อุทานว่า “เทพมาเกิดอีกแล้ว”

นอกจากตำราแล้วยังมีกระดาษระเกะระกะวางอยู่ด้วย น่าจะเป็นเอกสารของโบรเจคลงทุนด้านพลังงานที่เขาดูแล ผมคงไม่สนใจกระดาษพวกนี้มากนัก หากไม่ได้เห็นรูปวาดด้วยดินสอที่ร่างบางๆ บนกระดาษพวกนั้น

ผมคุ้นรูปพวกนี้ จะไม่ให้คุ้นได้ยังไง ก็มันเป็นรูปที่ผมชอบวาดตอนที่สมองว่างเปล่าเหมือนกัน
รูปหมาหันหลังมองไปยังวงกลมที่มักจะอยู่เหนือกว่าเสมอ

“วาดอะไรของเขาวะ?” ผมไม่รู้ว่าเขาวาดรูปพวกนี้เพื่ออะไร และคิดอะไรอยู่ตอนที่วาด แต่ผมรู้ตัวผมเองดีทำไมถึงได้วาดรูปแบบนี้

ลูกหมาเจมจะรอพ่อตลอดไป
ผมคิดแบบนี้เสมอเมื่อตอนเป็นเด็ก ไม่ว่าวันเวลาที่เสียพ่อจะเพิ่มขึ้นแค่ไหน รูปของผมที่วาดตอนเหม่อลอย ไร้เรื่องรบกวนจิตใจจะเป็นรูปแบบนี้เสมอ

อีกรูปที่ชี่นชอบก็คือรูปคนก้างๆ ที่ตัวมีขีดเดียว แยกออกเป็นแขน แฉกออกเป็นขา ผมชี้ๆ ขึ้น รูปที่เหมือนกับในกระดาษที่ผมเห็นบนเตียงในคฤณเมื่อคืนก่อน

เพิ่งรู้ว่าเขาใช้การวาดรูปบำบัดจิตใจเหมือนกัน

นอกนั้นก็ของใช้ส่วนตัว และเครื่องมือทำงานของเขาทั้งหลายแหล่ ผมเดินดูรอบห้องแล้วก็อมยิ้มบางๆ แค่ได้เห็นสิ่งที่เขาเคยเป็นมา เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว


ผมมีโอกาสได้เข้าใกล้ความทรงจำของเขาที่ผมไม่เคยเข้าไปมีส่วนร่วมอยู่พักใหญ่ บ่อยๆ ที่เจอเรื่องราวที่ผมสงสัย แต่ผมก็คิดจะไปไต่ถามหรือแตะต้อง หรือขอมีส่วนร่วมกับอดีต
รวมทั้งเดรสผู้หญิงชุดนั้น แม้จะพอเดาๆ ได้ แต่ผมคิดว่าไม่รู้ต่อไปจะดีเสียกว่า
 
ตราบใดที่เขายังคงแสดงออกว่ารักผม ชอบอยู่กับผม มีความสุขเมื่อเราได้ใช้เวลาร่วมกัน ผมก็ไม่รู้จะไปขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตของเขาทำไม
ในทางตรงกันข้าม ตราบใดที่ผมพอใจจะอยู่ใกล้เขา อยู่ให้เขารักผม ให้เวลาเขาได้ใกล้ชิดผม ผมก็ไม่รู้จะบอกอดีตของผมให้เขารู้เรื่องทำไม
 
การคุ้ยข้าวของของนายคฤณทำให้ผมสำนึกรู้ขึ้นมาว่าเขาใจดีกับผมแค่ไหน เมื่อครั้งที่ผมพูดผมถามเรื่องคุณพีชญาจี้ใจเขา เขาใจเย็นกับผมมากและอธิบายเรื่องราวให้ฟังเท่าที่เขาคิดว่าจำเป็น และแตะต้องคุณพีชญาน้อยที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ซึ่งหากผมเป็นเขา หากผมต้องถูกถามเรื่องที่เก็บซ่อนลึกไว้ในหลืบใจ จากคนที่เพิ่งเข้ามาเกี่ยววงกลมชีวิตกันและกัน ผมแน่ใจว่าผมจะเตะเขาออกไปก่อนจะร้องคำว่า "โอ้ย" จบเสียอีก
 
ผมหวงความเป็นส่วนตัวของผมมาก และนายคฤณก็เป็นคนแรกที่ผมเปิดรับให้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตผมมากขนาดนี้ เรียกได้ว่าวงกลมชีวิตของเขาและผมแทบจะทับกันสนิทดี
 
แต่มันคงทาบกันโดยไร้รอยเหลื่อมได้ไม่นาน อย่างน้อยๆ ตัวผมเองนี่แหล่ะที่จำต้องขยับชีวิตออกไป
 
เขาจะรับมือกับรอยเว้าที่ว่างเปล่ายังไงนะ?
 
 
เจม...
ผมแว่วได้ยินเสียงเรียก จึงเดินกลับไปยังห้องนอนที่เคยได้ใช้งานมาแล้ว และเข้าห้องน้ำไปกดชักโครกเล่นๆ แล้วก็ล้างมือก่อนเดินลงมาหาคนที่ตื่นมาก็เรียกหาผม
 
"ครับ พี่หนึ่งเรียกเจมหรอ?"
 
"ตื่นมาไม่เห็น ก็เลยเรียก"
"ตื่นมาแล้วเจอความเงียบมันยังไงไม่รู้" ลางสังหรณ์หมอนี่แม่นเหมือนกันแฮะ เขาจะรู้มั้ยอีกไม่นานนัก เขาอาจจะต้องทำตัวให้ชินกับการตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นผม
 
"เจมขึ้นไปแอบนอนบนห้องครับ ก็พี่หนึ่งยึดโซฟาไปแล้ว" ผมแก้ตัวแล้วนั่งขัดสมาธิบนพื้น ส่วนนายคฤณนั่งอยู่บนโซฟา สงสัยชาติที่แล้วผมจะเคยเป็นทาสรับใช้ท่านเจ้าพระยามากยศผู้นี้จริงๆ
"แล้วจะเอาอะไร เรียกเจมทำไมหรอ? หรือว่าปวดหัว หรือเจ็บแผล"
 
"เปล่าครับ แค่อยากเห็น" เขาพูดแล้วส่งยิ้มให้
"4 โมงแล้วหรอเนี่ย เตรียมตัวกลับกันดีกว่า"
 
"พี่หนึ่งขับรถไหวแน่หรอ? กลับรถเจมดีกว่า แล้วเดี๋ยวค่อยให้คนของพี่เอารถพี่หนึ่งไปส่งที่คอนโด"
 
"ไม่อยากรบกวนใครน่ะ"
"อีกอย่าง รถเจมคงไม่มีที่ให้พี่นั่งหรอก"
 
อะไร? ดูถูกมินิหรอเนี่ย? เคืองนะเนี่ยขอบอก ผมส่งสายตาสงสัย แต่เขาก็ไม่ได้บอกอะไรเพิ่ม ผมเลยสะบัดหน้ากลับมาส่งงานเข้าอีเมลล์ผมแล้วก็ปิดโน้ตบุ้คเสีย ผมไม่ต้องแบกมันไปคืนใคร เพราะเป็นเครื่องของนายคฤณที่เอาไว้ทำงานประจำ ยินเสียงเขาหัวเราะหึๆ ชวนให้สงสัยตามหลังมา แต่ผมไม่หลงกลหรอกน่า เฮอะ!
 
และคำตอบก็มาสู่สายตาของผมเอง ทันทีที่ผมเปิดประตูรถผม กลิ่นมันก็บอกกันแต่โดยดีเลยครับว่าทำไมนายคฤณถึงจะขับรถกลับเอง
เมียใหม่เขา นอนพองหนามกันอยู่ในเข่ง 3 เข่ง ใต้เข่งมีผ้าหนาๆ รองเบาะอยู่ก่อนชั้นหนึ่งแล้ว นับว่ารอบคอบดี และยังมีสำนึกพอจะรู้ว่า รถกู กูหวง
 
ผมหันขวับไปจ้องหน้าเขา นายคฤณยิ้มเหนียมแล้วอ้อมแอ้มพูด
"ก็พี่อยากให้เจมกับที่บ้านได้กินไง พี่ก็ไปเอามาก่อน ทีนี้ มันก็เกิดเรื่องก่อน แต่มันคงยังไม่งอมมากหรอก เอากลับไปก็แกะกินได้เลย แต่ว่าต้องกระจายให้คนอื่นเขามากหน่อยเท่านั้น"
"พี่ขอโทษนะ"
 
แล้วผมก็ใจอ่อน จริงๆ ก็ไมได้โกรธเขาหรอกครับ คิดๆ ไปแล้วมันก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไรมากกับการขับรถให้นังทุเรียน 3 เข่งนั่งเป็นคุณนายหน้าหนามอยู่ในรถ พอคิดถึงสีหน้าเขาตอนคร่ำเคร่งเลือกทุเรียนเพื่อเอามาให้ที่บ้านผมแล้ว ความลำบากที่ผมต้องเผชิญตลอดทางนี่ถือว่านิดหน่อยมาก
 
"แต่เดี๋ยวพี่ขับรถเจมเอง เจมไปขับรถพี่ให้สบายดีกว่า" รักเมียหน้าหนามมากสินะ ผมยิ้มให้เขากวนๆ แล้วก็ตอบแน่วแน่

“มันก็ต้องแป็นแบบนั้นอยู่แล้วครับ คุณคฤณ”

“โธ่! พี่ขอโทษแล้วไง เบาะคงไม่เป็นอะไรมากหรอก กลิ่นก็....เดี๋ยวเอาไปล้างให้อย่างดีเลย” แกล้งคนหน้าช้ำที่รู้สีกดีจริงๆ ผมแอบยิ้มแล้วปั้นหน้าบึ้งๆ ให้เขามอง จากนั้นก็แบมือขอกุญแจรถที่ผมคืนให้เขาไปแล้ว เมื่อได้มาก็เดินหนีไปหาเบนซ์แรงม้าอู้ทันที แต่ก็ไม่ลืมกดโทรศัพท์หาจิว เมื่อปลายสายตอบรับ ผมก็พูดหน้าตาย “เดี๋ยวเจมจะกลับแล้วนะ ขับรถไปคนละคันกับพี่หนึ่ง พี่หนึ่งมีทุเรียนไปฟาดหน้าจิวกับแม่ด้วยนะ ได้ข่าวว่าปีนไปตัดขั้วเอง กินไปแล้วอั้นขี้ 3 วันนะจิว เดี๋ยวคนแถวนี้จะน้อยใจ”

เท่านี้เขาก็หัวเราะเขินๆ แล้วเดินมาขยี้หัวผม ก่อนจะจัดการให้ผมขึ้นรถเขา สตาร์ทเครื่อง เช็คน้ำมัน ดูระดับกระจกข้างและหลังจนเสร็จดีแล้วก็ทำหน้าที่เป็นพี่ยามโบกรถผมให้ออกจากบ้าน

ผมชะลอรถรอเขาอยู่ข้างรั้ว เราตกลงกันแล้วว่าผมจะเป็นราชนิกูลที่มีรถนำขบวนเป็นมินิเคลือบกลิ่นทุเรียน และเขาก็รอบคอบมาก ขับนำผมได้ตลอดทาง เวลาจะแซงใครทีก็จะทำอะไรสักสิ่งที่ผมไม่เข้าใจกับรถคันที่เขาแซงไปก่อน แล้วทางก็โล่งให้ผมขับตามตูดเขาได้ด้วยอารมณ์สบายๆ

3 ทุ่มปริ่มนิดๆ ก็ถึงบ้านผมที่บางนา นายคฤณคงโทรบอกจิวไว้ก่อน มันถึงได้นุ่งกางเกงบอล สวมเสื้อยืด โอบอุ้มหมาเผือกตัวเล็ก 2 ตัวมาเปิดประตูรั้วให้ มันมองผ่านรถมินิแต่กลับจ้องเข้ามาในเบนซ์คันงาม ผมเลยทำทานด้วยการกดกระจกให้มันส่องกระจกกับลูกกะตาผม ไอ้พี่ชายสะดุ้งและรีบวิ่งไปยังรถมินิทันที

แล้วมันก็ทำตัวเป็นเมียนายคฤณอีกคน
ท่าทางการประคับประคองราวกับนายคฤณมีผิวเป็นทอง มีขนบนแขนเป็นสายแร่ราคาสูงก็ไม่ปาน ทั้งโอบ ทั้งรั้งเอว ทั้งจ้องหน้าจ้องตา

แล้วคือ...ถึงมึงเป็นพี่กู แต่กูก็หวงแฟนกูเหมือนกันนะ!
แม่งยิ่งหน้าเหมือนผมอยู่ ถ้านายคฤณเคลิ้มแล้วผิดผีกับมันล่ะ? ชีวิตครอบครัวผมจะซับซ้อนแค่ไหน คิดดู!


“เจม เอาของในรถลงมาด้วยนะ”

ส้นตีน! ให้คุณนายหน้าหนามอาศัยรถมาแล้ว ผมยังต้องอุ้มเหล่านางๆ ลงจากรถอีกหรอ? ไม่เอาหรอก

“ไม่เอา! หนัก”

“ไม่เป็นไรรชา เจมเข้าบ้านเถอะ เดี๋ยวพี่ขนลงเอง”

“มึงปัญญาอ่อนรึเปล่าเจม เฮียคลินเจ็บขนาดนี้ มึงจะใจดำใช้เขาแบกเข่งทุเรียนอีกหรอ?”
“เร็ว!”

เออ เออ แม่ง! บังคับกูจัง
แล้วมึงยืนนิ่งรอตำแหน่งจอหงวนรึไง!
“จิวก็มาช่วยกันเด่ะ” ผมหาแรงเพิ่ม และไอ้พี่ชายคงพอจะรู้ว่าผมไม่ใช่พวกออกกำลังกาย อุ้มไอ้ตัวหนึ่งกับตัวสอง 5 นาทีก็ต้องทาเคาน์เตอร์เพน แปะพี่เสือก่อนนอนแล้ว สุดท้ายไอ้รชานนท์ที่นามสกุลเหมือนผม หน้าเหมือนผม เดินแบกหน้าหล่อข้ามชาติมาช่วยผมขนทุเรียนในที่สุด ผมได้เอาคืนนิดหน่อยด้วยการแกล้งไม่ออกแรง ปล่อยให้แม่งโอบเข่งคุณณนายหน้าหนามอยู่คนเดียว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-02-2013 18:10:40 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 16 - 6/2/13)
«ตอบ #155 เมื่อ10-02-2013 01:20:06 »

โถๆๆๆ ตาหนึ่ง คุณพระคุ้มครองนะลูกนะ บลา บลา บลา
คุณวันรพี อริยะกุล เป็นห่วงเป็นใยนายคฤณมาก แม่ผมหลงใหลอะไรในตัวผู้ชายคนนี้นะ? ผมได้ยินคำห่วงไม่ถนัดนักเพราะเริ่มหันมาสนใจจำนวนลูกทุเรียนที่อัดกันมาในเข่ง 3 ใบแล้วเริ่มตระหนกว่า จะจัดการย่อยสลายยังไงให้ร่างกายไม่อวบบวม

“จิวแกะเป็นป่ะ?” ผมถามพี่ชาย ซึ่งมันก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง จิวบอกว่า “เจมก็ตามหลังจิวมา เคยเห็นจิวแงะอะไรกินเองมั่งล่ะ? ส้มยังปอกเหนื้อแหว่งเลย

พวกผมถอนหายใจพร้อมกัน แม้จะชอบกิน แต่ผมไม่เคยแกะทุเรียนกินเองกันเลย แม่ผมก็ด้วย และผมก็เชื่อว่านายคฤณเองก็ไม่เคยแกะเหมือนกัน ไม่รู้ว่าแม่จะมีทางออกสำหรับเรื่องนี้ยังไง?

“เห็นจิวบอกว่าตาหนึ่งไปขนทุเรียนมาจากสวนหรอลูก แล้วที่หน้านี่ใครเขาแถมมาให้ ไหนเล่าให้แม่ฟังสิ” ชัวร์แล้วว่าหม่อมแม่ผมนั่งอยู่ในห้องรับแขกกับนายคฤณเรียบร้อย ลูกชายแฝดของเธอเลยยักไหล่ใส่กันแล้วปล่อยคุณนายหน้าหนามไว้หน้าบ้านแบบนั้น อ่อ! มีไอ้ตัวหนึ่งกับตัวสองที่ไม่เคยเห็นทุเรียนเป็นลูกๆ มาวิ่งวนดูแล้วก็ส่งเห่าแหลมๆ แม่ง หมาผมเป็นตุ๊ดป่าววะ?

เข้ามาในบ้าน หม่อมแม่หันมองผมวูบนึงและสำรวจเร็วๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีบาดแผลใดๆ เธอก็หันไปสนใจนายคฤณต่อ ไอ้จิวเปิดช่องดาวเทียมเพื่อดูสรุปข่าว แล้วมันก็เจอตอจนได้

ผมไม่รู้ว่านายคฤณเล่าให้แม่ฟังละเอียดมากน้อยแค่ไหน แต่ในรายงานข่าว เรื่องราวของนายคฤณละเอียดมาก และการขยายผลทางการเมืองก็เป็นเรื่องใหญ่มากเหมือนกัน

ถ้าฟังไม่ผิด มีการขุดคุ้ยไปถึงเรื่องการเข้าประมูลโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลมีเอี่ยวในนิคมภายในจ.ระยองด้วย ก็แน่ล่ะครับ บริษัทรับเหมาของเจ้าสัวคนิน ธีระเสถียร เขาใหญ่โต และก็ไม่ได้รับเหมาสร้างบ้านสร้างห้างอะไรเทือกนั้นด้วย เขารับจ้างสร้างท่อส่งแก้สและวางระบบแบบครบวงจร เป็นบริษัทรับเหมาที่จำเป็นต้องมีความแม่นยำเรื่องความปลอดภัย และต้องมี CSR* ให้ได้มาตรฐานด้วย การที่สส.ท้องถิ่นมาต่อกร และทำร้ายร่างกายลูกชายเจ้าของบริษัทที่มีการลงทุนในพื้นที่ของจังหวัดในอันดับต้นๆ ต้องรู้กันอยู่แล้วว่ามันจะไม่จบง่ายๆ

ผมเดาว่าฝ่ายนั้นคงไม่รู้ว่าธีระเสถียร กว้างขวางแค่ไหน ถึงได้มาหาเรื่องใส่ตัว
แต่ผมไม่ได้หลงระเริง เข้าข้างตระกูลที่มากอิทธิพล หรือมีเส้นสายทางการเมืองลึกๆ หรอกนะ ผมก็มองไปตามเนื้อผ้า

นายแม่ผมนิ่งเงียบฟังสรุปข่าวไปพลาง มองหน้านายคฤณไปพลาง เมื่อสกู๊ปข่าวนี้จบเธอก็ถอนหายใจ

“งานตาหนึ่งมันอันตรายขนาดนี้เลยหรอลูก แม่เพิ่งรู้”

“จริงๆ ไม่อันตรายหรอกครับ”
“เพียงแค่โครงการที่ผมไปดูเมื่อสองวันก่อน มันเป็นโครงการเกี่ยวกับถ่านหิน ซึ่งมันจะมีเรื่องเกี่ยวกับการเก็บและการทำลาย สารพิษตกค้างทั้งในน้ำและอากาศ ต้องบำบัดให้ดี วางระบบให้ได้มาตรฐาน เพื่อให้ชุมชนอยู่ได้ ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม”
“ป๋าผมเขาสนใจ ก็เลยลงทุนมานานแล้ว แต่ผมเพิ่งเข้ามาดู ก็เลยอยากเริ่มตั้งแต่ทำความเข้าใจในชุมชน และสส.นั่นมันก็ไม่ชอบ”
“เพราะถ้าชุมชนเข้าใจว่าโรงไฟฟ้าของผมอยู่ในพื้นที่ได้โดยไม่ก่อให้เกิดสารพิษอะไร ไอ้โครงการประมูลน้ำประปาตั้งหลายตำบลที่มันเก็งๆ ไว้ว่าจะเข้าไปมีเอี่ยวก็จะลดไซส์ลง มันก็เลยหมั่นไส้”

“แล้วคุณพ่อตาหนึ่งคิดเห็นว่ายังไงกัน หือ?”

“ป๋าบอกว่าไม่เอาแล้วครับ”
“แม้จะน่าสนใจ แต่ระยะยาวไม่คุ้มเท่าไหร่”
“เพราะโรงไฟฟ้านั้นเขาไม่ยอมเพิ่มระบบกรองของเสีย แล้วก็ไม่ทำบ่อสำรองสำหรับน้ำเสียด้วย ดูท่าว่าจะปล่อยออกสู่ชุมชนทีละนิด”
“ป๋าเริ่มลงทุนไปแค่ 10% ลงมาแล้วราว 5 ปี เห็นว่ารีเทิร์น 5 ปีแรกก็คุ้มทุนแล้ว  ก็เลยให้ถอนการลงทุนออกมา”
“เกิดภาพแบบนี้ เกิดเรื่องแบบนี้กับผม ป๋าไม่อยากให้บริษัทเสียเกรด”
“ถอนออกมาเลยก็ดีกับเราด้วย ให้เป็นที่รู้กันว่าแม้ปัญหาจิ๊บจ้อย เราก็ไม่มองข้าม และไม่ลงทุนกับบริษัทที่ไม่ได้มาตรฐานตามที่เรากำหนด”

“อืม...”
“ตาหนึ่งนี่เก่งเหมือนพ่อนี่เอง”
“ถ้าพ่อของจิวกับเจมยังอยู่ ลูกชายแม่คงเก่งได้ครี่งของตาหนึ่งบ้าง” แล้วเธอก็เข้าสู่โหมดรำลึกความหลัง น่าแปลกที่คืนนี้ การพูดถึงพ่อไม่ถูกตัดบทโดยไอ้จิว หรือโดยตัวแม่เอง ทั้งที่ปกติแล้ว ทั้งคู่จะไม่พูดเรื่องพ่อกับผม สาเหตุก็เพราะผมนี่แหล่ะ ตัวผมเองก็ไม่เคยลืมว่าผม “เคย” เป็นยังไง เมื่อตอนที่เสียพ่อไปกะทันหันแบบนั้น

“เท่านี้ก็เก่งครับ ทั้งรชาทั้งเจม เก่งไปคนละแบบ”
“เจมเนี่ย เขียนหนังสือดีมากเลยนะครับ ได้เป็นผู้เรียบเรียงหนังสือของเพื่อนผมด้วย”
“เห็นว่าบก.เขาเลือกเจมเองเลย”
“ส่วนรชาเนี่ย เก่งมาแต่ไหนแต่ไร ดูหน้าแป๊บเดียวก็รู้ว่าหัวไว”
“แม่อย่าห่วงเลย ที่ทำมาทั้งหมดน่ะดีสุดแล้ว” เขาปลอบแม่ผมได้ด้วย เวลาที่แม่ผมเกิดอารมณ์หม่นๆ คนที่รับมือได้ก็คือไอ้จิว และ 2 แม่ลูกเขาจะปลอบกันอยู่ 2 คน ผมไม่ค่อยมีเอี่ยวเท่าไหร่ และพอแม่คลายกังวลแล้วก็กลับมาจ้ำจี้จ้ำไชกับผมเหมือนเดิม

คุณนายวันรพียิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองหน้าไอ้จิว แต่พอมองหน้าผมแล้ว รอยยิ้มแม่กลับจางลง แววตาหม่นเศร้าลงนิดๆ ผมชินกับสายตาแบบนี้ แต่ไม่เคยคิดสงสัยจริงจังเลยว่าทำไมจนกระทั่งผมเรียนจบม.6 และไม่เลือกคณะที่ไอ้จิวเลือกให้

เราทะเลาะกันใหญ่โต แม่เองก็ไม่รู้จะห้ามยังไง ด้วยความที่ไว้ใจให้ไอ้จิวนำทางผมเดินมาโดยตลอด แต่เมื่อผมอยากไปตามทางของผมบ้าง ไอ้พี่ชายก็ไม่เห็นดีด้วย แม่เองก็ไม่กล้าหนุนหลังผม แต่ก็ไม่กล้าชักจูงให้ไอ้จิวปล่อยให้ผมโตตามทางที่ผมเลือก

คำที่แม่เอ่ยขึ้นกับผม น้ำเสียงช่างสั่นสะท้าน สะท้อนถึงความไม่มั่นใจอะไร
แม่ถามผมว่า “อยากจากแม่กับพี่จิวไปขนาดนั้นเลยหรอ? ไม่รักคนที่รักเจมมาตลอดบ้างหรอ? ลูกมีหัวใจให้แม่กับพี่จิวบ้างรึเปล่าลูกเจม”
และ
“อย่ากลับไปเป็นเหมือนตอนม.ต้นเลยนะลูก”
“อยู่กับปัจจุบันของเราเถอะนะลูกเจม”

ตอนเด็ก ผมเป็นเด็กอยู่กับอดีต
ผมมีเพียงพี่ชายที่คอยหันมาบอกว่าอยากให้ทำอะไร พอกลับบ้านก็มีแม่ที่คอยเตือนว่าต้องนอนเวลาไหน ควรกินเวลาไหน
แต่เวลาที่ผมอยู่คนเดียว อยู่เงียบๆ กับความคิดของผม ผมมีพ่อเสมอ
ผมพูดคนเดียวบ่อยๆ ผมเหม่อลอยเป็นนิสัย ผมไม่ค่อยมองหน้าใคร ไม่พูดกับใครกระทั่งเพื่อนในห้อง กลายเป็นว่าเพื่อนไอ้จิวต้องมาเป็นเพื่อนผมด้วยเพราะจิวมันจะพกผมติดตัวไปด้วยเสมอ

ผมมีหมอส่วนตัว เป็นหมอจิตเวช
เราเจอกันทุกๆ วันอาทิตย์

หมอจะรอผมที่คลินิกส่วนตัวของแก มีน้ำหวานให้ผมกิน มีขนม มีหนังสือ มีทุกอย่างที่ผมลองเอ่ยถามว่าทำได้มั้ย? เล่นได้มั้ย? อ่านได้มั้ย? กินได้มั้ย?
ในคลินิกไม่มีจิวมาคอยขีดเส้นกำกับผม มีเพียงตัวผม หมอที่ใจดีกับผม และพ่อที่อยู่กับผมตลอดเวลา

3 ปีในการทำความเข้าใจว่าการไม่มีพ่อไม่ใช่เรื่องใหญ่โต การไม่มีพ่อเป็นเรื่องที่น้องเจมรับมือไหว การไม่มีพ่อเป็นเรื่องที่ทำให้น้องเจมเสียใจ แต่น้องเจมก็จะโตเป็นหนุ่มเจม พี่เจม ลุงเจมได้ เพราะตอนนี้น้องเจมเก่งแล้ว

3 ปีในช่วงม.ต้น คือ 3 ปีที่ผมทำให้แม่ทรมาน เพราะผมเป็นโรคไม่ไว้ใจใคร แม้กระทั่งแม่ผมก็ไม่ไว้ใจ อาการของผมไม่ทำให้แม่เดือดร้อนเพราะผมไม่อาละวาด ผมแค่เงียบลง เงียบลงราวกับกำลังบอกแม่เงียบๆ ว่า “โลกนี้ไม่มีเจมอีกต่อไป”

ผมจำชื่อเพื่อนม.ต้นไม่ได้สักคน จำเพื่อนไอ้จิวได้บางคน แต่มีรุ่นพี่คนนึงที่พอจะจำเขาได้
เขายิ้มให้ผม มองผมทุกครั้งที่ผมเงยหน้ามองโลก สอนการบ้านผมในบางวัน และผมก็วาดรูปให้เขาเป็นการตอบแทนด้วย รูปที่ผมรัก ความหวังที่ผมฝังไว้ในใจคนเดียวเงียบๆ ถ่ายทอดออกมาทางปลายดินสอที่ขีดเชื่อมกันไปจนกลายเป็นรูปหมานั่งหันหลังมองพระอาทิตย์

ผมจำหน้าเขาไม่ได้ เวลาลองนึกถึงเขา ผมจะเห็นเขาแค่ลางๆ เท่านั้น ชื่อเขา ผมก็จำไม่ได้เหมือนกัน
แต่ผมจำได้ว่า รู้สึกดีเวลาที่เงยหน้ามองโลกแล้วเจอเขา และเมื่อเขาเห็นผมมองโลกแล้ว เขาก็จะรีบยิ้มให้


“พ่อจิวกับเจมเขาเก่ง แม่ไม่เก่งเท่า ก็เลยเลี้ยงมาได้เท่านี้”

“โธ่แม่! จิวเนี่ยเทพมากนัก”
“มีหรอครับ ทำงาน 3 ปี เงินเดือนร่วมแสน”
“เจมนู่นนนน กัดก้อนเกลือกิน” คำล้อเล่นล้อเลียนของไอ้จิวทำให้ผมดึงตัวเองมาสู่วงสนทนาตรงหน้า ผมหัวเราะขำๆ แต่ตีแขนมันให้มันได้รู้ว่า “อย่ามาขอกูแดกเกลือก็แล้วกัน!”

แม่ผมหัวเราะที่เห็นพวกผมแหย่กัน จากนั้นเธอก็ลามไปคิดแผนว่าเราจะกินทุเรียนจากสวนกันได้ยังไงในเมื่อเราแงะทุเรียนกันไม่เป็นสักคน แล้วเธอก็ได้ข้อสรุปว่า “พรุ่งนี้ป้าพิศมา เดี๋ยวแกคงรู้ว่าเราจะทำยังไงดี” และพูดต่อว่า

“ดึกแล้ว ตาหนึ่งค้างที่นี่เถอะลูก พรุ่งนี้จะแบกหน้าแบบนี้ไปทำงานหรอ? ยังช้ำอยู่เลย ทำงานอยู่ที่บ้านนี่แหล่ะ”

และ

“เดี๋ยวให้น้องเจมดูแล” หม่อมแม่คงลืมไปแล้วว่าผมไม่ใช่คนว่างงาน


พออาบน้ำอาบท่าเสร็จ ผมก็ออกมาเจอไอ้จิวนั่งแสลนอยู่บนเตียง กำลังพยายามเช็ดตัวให้นายคฤณอยู่ เขายังอาบน้ำไม่ได้ครับเพราะรอยแผลถลอกมันลึก ห้ามแผลโดนน้ำ

พอเห็นผม มันก็ทิ้งผ้าชุบน้ำทันที
“เจมมาแล้ว เจมเช็ดตัวให้เฮียสิ”

“ก็จิวทำอยู่นี่ เช็ดให้เสร็จสิ”

“กูกลัวทำเฮียเจ็บ” ไม่ต้องกลัวหรอก กูทำเขาเจ็บหนังกำพร้ากว่ามึงมาแล้ว ผมหันมองพลางเลิกคิ้วถาม ไอ้พี่ชายนิ่วหน้าแล้วก็ว่า “ก็เฮียเจ็บอยู่ ไม่รู้เช็ดยังไงไม่ให้เจ็บกว่าเดิม”

“ก็เช็ดเบาๆ”

“เชื้อโรคไม่ตาย”

“งั้นเช็ดด้วยแอลกอฮอลฆ่าเชื้ออ่ะ”

“พ่องมึงสิ แสบหนังตัวแห้งแตกเกล็ดกันพอดี”
“มาเช็ดดิ เร็วๆ” ผมพ่นหัวเราะใส่หน้ามันแล้วก็ดันตัวมันออกจากห้องผมไป เมื่ออยู่กัน 2 คนแล้ว นายคฤณก็ถอดเสื้อตัวเองออกอย่างรู้งาน และพูดว่า “เจมเช็ดตัวให้พี่หนึ่งนะครับ”

อ้อนทำไมเนี่ย? กูละลายแล้วไม่เห็นหรอ?



เช้านี้ผมยินเสียงวุ่นวายแต่เช้าของป้าพิศครับ แกคงตกใจกับปริมาณทุเรียนหน้าบ้าน ผมตื่นเต็มตาแล้วแม้ว่าจะยังไม่ถึงเวลา ก็เลยแบกตัวเองลงไปมองหน้าแกแล้วถาม

“ป้าพิศแกะทุเรียนเป็นมั้ยครับ?”

“ป้าทำไม่เป็นหรอกน้องเจม”
“แต่พอจะรู้จักพ่อค้าที่ตลาด แต่ว่า กินกัน 3 คน จะหมด 3 เข่งเมื่อไหร่คะเนี่ย?”

“ไม่กะจะกินหมดหรอก ป้าพิศช่วยกระจายทีสิ รู้จักใครก็ให้เขาไปเถอะครับ”
“ป้าเจมเอาไว้แค่ 3-4 ลูกก็เป็นปีแล้ว”

“ค่ะ เดี๋ยวป้าไปเรียกพ่อค้าในตลาดมาซื้อไปก็แล้วกัน ขายไปพอได้ค่าอาหารตัวหนึ่งกับตัวสองไงคะ”

“โอ้! ดีเลยครับ เอาเลย เอาเลย” พอผมอนุมัติ ป้าพิศก็ดิ่งไปจัดการธุระให้ทันที

“อะไรเอาเลยหรอเจม แล้วนี่ทำไมตื่นเช้า” นายแม่ผมเดินกลับมาจากหน้าบ้าน คงใส่บาตรเสร็จแล้ว ผมชะเง้อมองหน้าบ้าน พอไม่เห็นเจ้าตัวก็ถาม

“จิวล่ะครับแม่”

“พี่เขาไปทำงานแล้ว”
“ตาหนึ่งตื่นรึยัง แม่บอกป้าพิศให้ทำต้มจืดร้อนๆ ไว้ให้ด้วย”

“อีกเดี๋ยวคงตื่นครับ เขากินยาแล้วกลับไปตอนตี 2”

“อืม ดูแลพี่เขาดีๆ นะลูก คนเราเนี่ยมันเจอมิตรแท้มันยาก” แม่บอกและยิ้มให้พลางจับมือผมเพื่อจูงเข้าบ้าน นายแม่คงสะดุดกับบางอย่างบนนิ้วผมก็เลยยกขึ้นดู พอเห็นก็อุทาน

“ใส่แหวนด้วยหรอ? ปกติเจมไม่ชอบอะไรที่มันเกะกะร่างกายนี่ลูก”

“อือ ใส่ครับ” ผมบอกกลางๆ แล้วจะดึงมือออก แต่แม่กลับจับไว้แน่นกว่าเดิม พลันอกผมก็เสียววาบเพราะนึกได้ว่าแหวนนี้นายคฤณสั่งทำที่ร้านผม แล้วชื่อที่สลักไว้บนแหวนก็....

“ใครให้มาหรอเจม”
“หือ?”

“เอ่อ....”

“บอกแม่ไม่ได้หรอ”

“คือ.....”

“ผมให้เองครับ” เสียงดังมาจากในบ้าน รออยู่ไม่นานผู้ชายหน้าหล่อที่ยังมีรอยช้ำอยู่ก็มาหาอย่างมาดมั่น ไร้ความไม่มั่นใจในแต่ละย่างก้าว

คุณวันรพีก้มมองคำสลักบนแหวนที่เธอรับออเดอร์ไว้เอง จากนั้นก็มองหน้าผม และมองหน้านายคฤณ

“First’s Love”

“ครับ”
“ความรักของที่หนึ่ง” เขาบอกเสียงแน่วแน่และมองหน้าแม่ผมอย่างตั้งใจ คุณวันรพีไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอยังจับมือผมไว้แน่นและจูงให้กลับเข้าไปในบ้าน

เธอนั่งที่โซฟา ดึงผมให้นั่งข้างๆ นายคฤณเองก็นั่งลงบนโซฟาที่หันหน้าหาแม่พอดี

“ตาหนึ่ง...ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ”

“ครับ ผมจริงจัง”
“ป๋าผมก็รู้จักเจมแล้ว”
“ขอโทษที่ไม่ได้บอกแม่เองจากปาก หมายถึงไม่ได้บอกตรงๆ จริงๆ ตั้งใจจะบอกให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่กลัวเจมจะไม่พร้อม เลยรอก่อน”

“เรายังไปได้อีกไกล ลูกแม่ ไม่ได้มีอะไรให้ตักตวงหรือต่อยอดหรอกนะ บ้านเราก็แค่คนตัวเล็ก ไม่ใหญ่โตอะไรเลย”
“ถ้าเล่นๆ กับน้อง”

“ไม่เล่นครับ ผมจริงจัง” แต่ละคำของเขาทำเอาผมไม่กล้าหายใจเข้า พอแอบสูดหายใจเข้ามาแล้วก็ไม่กล้าหายใจออก
“ผมไม่มีอะไรมายืนยันหรอกครับ เพราะฉะนั้น เราคงเซ็นสัญญาว่าจะรักเจมตลอดไปกันตรงนี้ไม่ได้ แต่อยากให้แม่เชื่อใจผม”
“ผมโตแล้ว มีหน้าที่การงาน มีบริษัทต้องรับผิดชอบ การที่ผมคิดว่าคนคนหนึ่งจะทำให้ผมมีความสุขตลอดไป เพียงแค่ได้อยู่ใกล้กัน ได้เห็นว่าเขามีความสุขดี คือทั้งหมดที่ผมต้องการ ก็ขอให้เชื่อว่าผมคิดดีแล้ว กรองแล้วกรองอีก”
“เจมไม่ได้ทำอะไรให้ผมรัก เพราะฉะนั้น ต่อไป เจมก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้ผมรัก ผมจะรักเจมเพราะผมเลือกจะรักเอง ไม่ต้องปรุงแต่ง ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง ผมก็รักได้”

“ตาหนึ่ง น้องเป็นผู้ชาย”
“ลองทบทวนดูมั้ยลูก มันอาจจะเป็นแค่รสนิยมช่วงหนึ่งของชีวิต”

“ไม่ครับ ไม่ใช่”
“ไม่ใช่รสนิยม เพราะผมไม่ได้ทำตามกระแสสังคม ไม่ได้รักเพื่อทดลองหรือทดสอบตัวเองด้วย”
“สำหรับเจม มันคือความรู้สึกที่เป็นสีขาว ผมไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน ขอแค่ได้รัก ได้ดูแล ได้เฝ้ามองเขาโตขึ้นอย่างมีความสุขทุกๆ วัน เท่านั้นก็พอ”
“แม้ว่าวันข้างหน้า ความสุขของเจมจะหมายถึงการไม่มีผมอยู่ข้างๆ ผมก็ยืนยันได้ว่าความรู้สึกรักของผมที่มีให้ยังเหมือนเดิม”

“รักแท้ แม่ก็รู้จัก”
“ขอแค่ได้รัก ได้เฝ้าถนอม”
“แม่คงกำหนดอะไรชีวิตเจมไม่ได้” คุณวันรพียิ้มบางให้นายคฤณแล้วหันมองหน้าผม และจู่ๆ ก็ดึงผมไปกอดแล้วลูบแก้มลูบไหล่ ผมรู้สึกซ่านๆ อย่างบอกไม่ถูก

ผมไม่เคยคิดเลยว่าการบอกแม่ให้รู้เรื่องนี้จะมีผลเป็นอย่างไร เพราะผมมั่นใจว่าไม่ว่ายังไงแม่ก็จะเข้าใจผมเสมอ เพราะแม่ไม่เคยขัดผม จริงๆ แล้ว แม่ไม่กล้าขัดใจผม เพราะกลัวผมกลับไปเป็นเหมือนเดิมต่างหาก

ผมกอดแม่หลวมๆ แล้วพูดว่า “ขอบคุณครับ” ให้ได้ยิน นั่นทำให้แม่กอดผมแน่นกว่าเดิมแล้วโคลงตัวโยกไปมา เธอส่งยิ้มให้นายคฤณที่ก็ยิ้มให้เธอกลับมาเหมือนกัน

“แล้วเจมล่ะลูก...ตาหนึ่งเขายืนยันว่ารักเรา แล้วเราล่ะ”
“ถ้าใช่คนนี้จริงๆ แม่ก็ไม่ขัดอะไร จริงๆ จะรักจะชอบคนไหนแม่ก็จะไม่ขัด แค่อยากแน่ใจว่าเจมเลือกดีแล้ว”

“...........”

“หือ? คนนี้รึเปล่าลูก”

“ครับ เจมรักคนนี้” ผมตอบรับ และรู้สึกอายจนหน้าร้อนผ่าวๆ นายคฤณยิ้มเขินยกใหญ่ แม่ผมเองก็ยิ้มไป มองหน้าพวกผมสลับกัน แล้วเธอก็ทำหน้าตื่นเต้นแล้วถาม

“พี่จิวรู้รึเปล่าลูก บอกให้พี่เขาเข้าใจด้วยนะ”

“จิวรู้แล้วครับ สแกนจนพี่หนึ่งเกือบไม่ผ่านมาตรฐานมัน แต่เส้นสายเขาดี เขามีอดีตร่วมกันมาเยอะ” ผมเอ่ยแซวแล้วก็หัวเราะอารมณ์ดีเสียจนตาแทบปิด แม่มองผมปลื้มๆ แล้วก็ดึงตัวไปกอด คุณนายวันรพีมีความสุขจริงๆ ผมเชื่อแบบนั้น


ชีวิตผมมีความสุขดีจัง ใครๆ ก็เข้าใจผม
ใครๆ ก็รักและอยากเห็นผมมีความสุขกันทั้งนั้น
ตอนนี้ผมมีความสุขมากๆ
ข้าวเช้ามื้อนี้ และทุเรียนเม็ดนี้ถูกยกให้เป็นตัวเพิ่มความสุขของผมจริงๆ

แล้วผมยังต้องการอะไรอีก

นั่นสิ ผมต้องการอะไรอีก?



Cut



*Corporate Social Responsibility (CSR) หรือ บรรษัทบริบาล



อีกไม่นาน...ก็เช้า?

ฮ่าๆๆ ลงดึกมาเลย แฮปปี้ ไชนิส นิวเยียร์นะคะ ขอให้ร่ำให้รวยกันทุกคนเลยยย

อีกไม่นานก็จบค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-02-2013 18:20:14 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ Donaldye

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 563
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +69/-1
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 17 - 10/2/13)
«ตอบ #156 เมื่อ10-02-2013 01:44:27 »

ทุกอย่างราบรื่น :impress2:
แต่ว่าาาาเจมต้องไปตปท.นี้สิ ฮือๆ

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 17 - 10/2/13)
«ตอบ #157 เมื่อ10-02-2013 01:56:46 »

อ่านถึงตอนที่แม่เห็นแหวนแล้วใจหายวูบเลย นึกว่าจะมาม่าซะแล้ว
ดีใจที่เข้าใจกัน ดูบรรยากาศอวลไปด้วยความสุข ความเข้าใจ
ตอนนี้ก็เหลือแต่เรื่องไปอังกฤษสินะ ลุ้นๆๆๆ

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 17 - 10/2/13)
«ตอบ #158 เมื่อ10-02-2013 02:10:41 »

ในที่สุดก้อแม่ก้อรู้แล้ว แล้วเจมจะรู้มั้ยเนี้ยว่าพี่หนึ่งคือรุ่นพี่คนนั้น

ออฟไลน์ พลอยสวย

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-5
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 17 - 10/2/13)
«ตอบ #159 เมื่อ10-02-2013 03:14:59 »

 :serius2: เจมจะจำอดีตว่ารู้จักพี่หนึ่งได้มั้ย  เจมจะไปนอกนี่นาเราจะได้กินมาม่าเหรอนี่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 17 - 10/2/13)
« ตอบ #159 เมื่อ: 10-02-2013 03:14:59 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 17 - 10/2/13)
«ตอบ #160 เมื่อ10-02-2013 08:28:22 »

ไม่ต้องไปหรอกเจม...ต่างประเทศน่ะ
แค่นี้ก็พอแล้ว

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 17 - 10/2/13)
«ตอบ #161 เมื่อ10-02-2013 08:52:28 »

ถึงเวลาที่จะต้องห่างหรือยัง? ระแวงแล้วน้า 555

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 17 - 10/2/13)
«ตอบ #162 เมื่อ10-02-2013 12:45:05 »

 :เฮ้อ: แล้วเรื่องไปอังกฤษล่ะเจม  :กอด1:

ออฟไลน์ CHIVAS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-1
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 17 - 10/2/13)
«ตอบ #163 เมื่อ10-02-2013 14:53:08 »

อ่านรวดเดียวจบ
ขอบอกว่าสนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกค่ะ
เราชอบมากกกกกเรื่องนี้
คุณคนแต่งดำเนินเรื่องได้เยี่ยมเลยค่ะ
เราชอบความคิดของตัวละครอ่ะ โดยเฉพาะพี่หนึ่ง คือรู้ว่าได้ว่าผู้ชายคนนี้เหมาะสมกับที่หนึ่งมากๆ
ส่วนน้องเจม น่ารักอ่ะ น่าดูแลจริงๆอ่ะ แอบเกรียนด้วยบางที ฮาาาาา

ลุ้นต่อไปว่าน้องเจมจะบอกเรื่องไปอังกฤษกับพี่หนึ่งยังไง
แต่ไม่ว่ายังไง พี่หนึ่งก็ต้องสนับสนุนเจมอยู่แล้วอ่ะ  อิอิ

ความทรงจำของน้องเจมหายไปตอนช่วงที่เจอกับพี่หนึ่งซินะ เลยจำพี่หนึ่งไม่ได้
รูปวาดที่พี่หนึ่งเอาออกมาดู ก็คงเป็นของน้องเจมล่ะมั๊ง
(ไม่รู้เข้าใจถูกเปล่า ฮาา )

รอตอนต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้คนแต่งค่าาาา
ไม่อยากให้จบเลยอ่ะ นี่บอกเลยยยย

ออฟไลน์ hello_lovestory

  • >>I'm C-Z@<<
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 17 - 10/2/13)
«ตอบ #164 เมื่อ10-02-2013 18:35:17 »

ช่วงเวลาที่หายไปกำลังจะกลับมาแล้วน๊าเจมสู้ๆ แต่ไม่อยากให้ห่างกันเลยกลัวว่าเจมจะเก็บตัวอีก

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 18 - 10/2/13)
«ตอบ #165 เมื่อ10-02-2013 21:22:03 »

Hear, Me

=======
If I could, I would
======





ตอนที่ 18



เช้านี้เป็นอีกเช้าที่ผมมึนๆ เข้าออฟฟิศ
พอโผล่หัวเข้ามา ไอ้อรินทร์ก็เร่มาหาผมทันที
“เป็นไงมั่งมึง ส่งเอาท์ไลน์รึยัง?”

“ส่งแล้ว เมื่อคืน แม่งไม่ได้นอนเลย” ผมตอบพลางฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงานประจำ โน้ตบุ้คยังไม่ได้เปิดและไม่คิดจะเปิดด้วยซ้ำ ผมเอียนกับแสงคอมพิวเตอร์มากๆ เลยตอนนี้
“มึงล่ะ?” ผมถามมันทั้งที่ยังก้มหน้าฟุบอยู่แบบนั้น ยินเสียงลากเก้าอี้ ไอ้แอมคงจะไปลากมานั่งสนทนากับผมอย่างเป็นทางการ แต่ผมไม่มีแรงแล้ว จริงๆ นะ ผมอยากนอนหลับยาวสัก 3 วัน เพราะช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมปั่นงานยิกมาก ทั้งงานประจำ ทั้งเอาท์ไลน์หนังสือ 2 เล่ม ซึ่งผมต้องทุ่มให้มันเป็นพิเศษ เพราะมันเป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดอนาคตผม

“ส่งแล้ว เมื่อคืนเหมือนกัน”
“เพลียโคตรว่ะ? พี่ปูให้กูเขียนสิ่งที่อยากศึกษาและพัฒนาถ้าได้ไปอบรมที่นู่น”

“แล้วมึงเขียนไปว่าไงวะ” ผมตะแคงหน้ามามองมัน ไอ้แอมเกลี่ยที่มุมปาก เดี่ยวนี้แม่งเทพแล้ว มุมปากมันฝืนแรงโน้มถ่วงโลกได้แล้วอ่ะ มันจะจัดงานเลี้ยงมั้ยวะ จะได้เตรียมตัว

“ก็เขียนเรื่องพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงของสื่อที่มีผลต่อผู้รับสารในอนาคต อะไรพวกนี้อ่ะ กูอธิบายไปว่า อนาคต รูปแบบของสื่อจะเอนมาทางดิจิตอลมากขึ้น เพราะงั้นคอนเทนท์ต่างๆ ต้องมีพัฒนาการที่อิงมาทางดิจิตอลมากขึ้น ทั้งเนื้อหา ภาพ เสียง และวิดีโอคลิป ซึ่งตัวสื่อเมื่อมีการพัฒนาแล้ว ก็จะสอดรับกับวิธีการทำงานของสื่อสารมวลชน อาทิ องค์กรเรา ที่จะรวมกองเป็นคอนเวอร์เจนซ์อะไรแบบนี้”

“อืม ก็คงดี ใช่มั้ยวะ?”

“กูคิดว่าพี่ปูเข้าใจ แต่กรรมการคนอื่นก็มีนี่หว่า ช่างแม่งเหอะ กูทำสุดความสามารถกูแล้ว”

“เออ เหมือนกัน ช่างหัวผลลัพธ์มันเถอะ เนอะ” ไอ้แอมพยักหน้าเห็นด้วย มันเอียงคอมองผมอย่างอ่อนโยนแล้วถาม

“มึงเหนื่อยมากหรอเจม?”
“คงเหนื่อยล่ะวะ มึงนี่เก่งนะ ทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันได้ด้วย”
“เรื่องที่มึงให้ประเด็นโต๊ะการเมืองอีก ขุดไปเจอตอตั้งมาก ชิ้นงามเลยนะมึง ไอ้ต้อมต้องทำสกู๊ปข่าวเรื่องทุจริตโครงการประมูลน้ำประปานครหลวงด้วย เส้นใหญ่ชิบหายนะแฟนมึง”

“พูดหมาๆ นะอ๋อมแอ๋ม ต่อให้ไม่ใช่พี่หนึ่ง แล้วกูเสือกไปรู้มาว่าเขาเดือดร้อน หรือไม่ได้ความไม่เป็นธรรม กูก็ทำแบบนี้ มึงเอง มึงก็ทำ”

“อือฮึ” มันรับคำแล้วยิ้มให้ผมพลางยื่นมือมาเขี่ยแก้ม

คืออออออ กูเป็นผู้ชายอกผายมากไง แล้วมึงก็ผู้ชายพอๆ กัน อย่ามาทำกิริยาชวนอิ๊อร๊างแบบนี้ได้ป่ะวะ แล้วกูกับมึงก็ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วย เป็นเพื่อนกันเท่านั้นแหล่ะ ไม่สำคัญหรอกว่าความรู้สึกมึงจะเป็นแบบไหน สีชมพูหรือแดงจ๋าบ้ารัก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ระหว่างเรา มันก็มีได้แค่มิตรภาพเท่านั้น

ผมไม่ใช่คนมากรัก และไม่ค่อยรักใครมากๆ
และผมเพิ่งลงหลักปักใจไปว่ารักนายคฤณ ธีระเสถียร ถึงขั้นบอกแม่แล้วด้วย เพราะฉะนั้น อย่าได้คิดว่าผมจะมีใจเผื่อใครได้อีก

ผมหันหน้าหนีหลังนิ้วมือของมัน ไอ้แอมคงรู้ตัวเลยลุกขึ้นยืนแล้วขยี้หัวผม ก่อนจะเดินจากไป

“ก็คนมันรัก จะทำยังไงก็รัก จะเจ็บยังไงก็รัก ไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไม”
“แต่คนไม่รัก จะทำยังไงให้รู้”

“พร่องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง” ผมด่าไอ้ต้อมทั้งที่ยังฟุบหน้าแนบโต๊ะอยู่ ไอ้ห่านี่เดินมาตบหลังผมอั่กๆ แล้วก็พูดว่า “กูชอบนะที่มึงมั่นคงกับเฮียหนึ่งของกู แต่มึงไม่จำเป็นต้องหวงตัวกับไอ้แอมก็ได้แม่หญิงอัญ จับนิดแตะหน่อยก็เพราะมันห่วงใย มันไม่เสียหายหรอก”

“ไม่ว่าใครกูก็ไม่ชอบให้แตะเหอะ”
“มึงด้วย” ผมว่าเข้าให้ ก็เลยโดนขยี้หัว โดนยกตัวขึ้นมากอด โดนฟัดหู โดนซุกเอว โดนจั๊กจี้ เรียกได้ว่าไอ้ต้อมทำทุกอย่างให้เกินเลยคำว่าแตะ เพื่อทำให้คำพูดผมไร้น้ำหนัก ไอ้ห่า! กูง่วงกูเพลียเนี่ยเห็นมั่งมั้ย?

“แล้วรู้ผลเมื่อไหร่วะ? กำหนดไปเมื่อไหร่”

“ไปกุมภาปีหน้า เริ่มอบรมมีนา อบรมสี่เดือน หยุด 2 เดือนทำรายงานการศึกษาส่ง อบรมเชิงปฏิบัติอีก 4 เดือน วัดผล กลับบ้าน”

“สรุปแล้วก็ปีนึง”

“อืม ประมาณนั้น”

“บอกแม่มึงกับไอ้จิวรึยัง?” ผมเงียบ ค่อยๆ ดันตัวขึ้นนั่งคุยกับไอ้ต้อมดีๆ แค่มันมองหน้าผมมันก็รู้แล้ว

“ยังหรอ?”

“ยัง กะรอให้รู้ผลก่อนค่อยบอก”

“เฮียกูล่ะ” ผมรู้โดยที่มันไม่ต้องพูดเลยว่าเฮียอะไร ไม่มากคนนักที่มันจะเรียกว่าเฮีย แล้วในบรรดาเฮียๆ ที่เลี้ยงเหล้ามันแทนข้าว ก็ไม่มีใครที่เกี่ยวข้องกับผม เว้นแค่เฮียหนึ่งของน้องตอมขี้ เอ้ย! ทอมมี่

“แม่กับไอ้จิวกูยังไม่บอกเลย”

“พูดงี้ต่อยกันเหอะ มึงต้องให้น้ำหนักเฮียกูเท่ากับไอ้จิวสิ เป็นลำดับหลังได้ไง”

“เดือดร้อนแทนเกินไปนะมึงเนี่ย เป็นห่าอะไรกับเขาล่ะ”

“ก็กูปลื้มของกูอ่ะ” พอถูกมองอย่างจับผิด มันก็รีบโบกมือพัลวันแล้วแก้ตัว “โห่มึง เขาหล่อ เขาเก่ง เขารวย เขาดวงดี เขาเป็นคนดีจนกูอยากจำแลงเป็นเขาได้เลยอ่ะ เข้าใจอารมณ์ป่ะ?”

ผมรู้แหล่ะว่าการปลื้มรุ่นพี่ ปลื้มฮีโร่มันเป็นยังไง ก็เป็นไอ้จิวนั่นแหล่ะ
ผมยักไหล่แล้วทำท่าจะไหลตัวไปนอนต่อ แต่แขกอีกคนในชีวิตกลับเดินด้วยรองเท้าส้นสูงส่งเสียงดังแก่ก แก่ก แก่ก มาหาเสียก่อน

“เจม แอมล่ะ มารึยัง? จะได้แจ้งทีเดียว”

“ครับ แอมมาแล้วครับ เดี๋ยวต้อมไปเรียกให้” ตัวคาบข่าววิ่งลิ่วๆ จากไปทันที พี่ปูยืนเท้าแขนกับโต๊ะทำงานผม เธอปล่อยเวลาให้ผ่านไปครู่เดียวก็พูดเบาๆ

“พี่อ่านเอาท์ไลน์หมดแล้ว โอเคมากเลย ไม่แก้ไม่เกลาอะไรแล้ว”
“นี่รู้กำหนดวางขายรึยัง?”

“ยังครับ”

“ต้นเดือนหน้าวางของคุณพิชญะ เรื่องหน้าปกอาจเปลี่ยนนิดหน่อยให้คำจัดจ้านกว่านี้ แต่ธีมนี้พี่ชอบนะ” ผมอดปลื้มไม่ได้ที่พี่ปูชมงานผม ก็ผมตั้งใจมากนี่หว่า
“แล้วก็ของคุณวาทิตย์ วางเดือนกุมภา”

“......”

“เจมคงอยู่งานเปิดตัวหนังสือได้เล่มเดียว ไม่เสียดายเนอะ”

“...อ่อ...” ผมอึ้งไปนิดๆ ที่ผู้ใหญ่ที่สนับสนุนผมคิดถึงวันที่ผมจะก้าวต่อไปได้ยาวไกลกว่าผมเสียอีก ต้นเดือนหน้า ก็เดือนธ.ค. สิ้นปีพอดี ก่อนจะสิ้นปีผมมีเรื่องอะไรที่ต้องทำอีกมากเลย

“มาแล้ว คุยตรงนี้หรือห้องพี่ดี?”

“ตรงนี้ได้มั้ยครับ” ผมรีบเสนอเพราะไม่อยากย้ายตูดไปที่ไหนแล้ว ผมเพลียกับงานที่เร่งทำมากๆ แม้แต่การรับโทรศัพท์นายคฤณที่โทรมาเพื่อพูดกับผม 4 คำ ผมก็ไม่มีเวลาทำ

“โอเค ข่าวดี”
“กลางเดือนนี้สัมภาษณ์นะจ๊ะ พี่อ่านเอาท์ไลน์เจมแล้ว อย่างที่บอกไปแล้วว่าชอบ โอเคมากเลย เจมมีพัฒนาการเรื่องภาษาเขียนและการเรียบเรียง รวมถึงมุมมองและการนำเสนอที่น่าติดตามดี ถ้าไปอบรมนี่องค์กรใหญ่แบบนั้นต้องมีแต่ผลดีกับตัวเจมเองแน่”
“ส่วนแอม ไอเดียที่แอมอยากศึกษาเข้าท่ามาก พี่ส่งงานทั้งคู่ไปให้คณะกรรมการแล้ว”
“เตรียมตัวนะจ๊ะ อย่าหลุดจากสิ่งที่เป็นตัวตนเราเอง เจ้าหน้าที่จะโทรหาแอมกับเจมเองว่าจะให้ไปสัมภาษณ์เมื่อไหร่ สัมภาษณ์แยกนะ งานนี้ประเมินแยกกันจ้ะ ถ้าไปทั้งคู่ก็ดี เพื่อนกัน แต่ถ้าใครคนใดคนหนึ่งได้ไป ก็ต้องสนับสนุนเพื่อนนะ”

“ครับ/ครับ” แล้วพี่ปูก็เดินแก่ก แก่ก ขนรองเท้าสูง 5 นิ้วจากไป ปล่อยผมไว้กับไอ้แอม และมีไอ้ต้อมที่แอบอยู่ที่โต๊ะพี่การตลาดวิ่งมาสมทบทีหลัง

“ถ้าพวกมึงได้ไปด้วยก็ดีเนอะ ไม่เหงา”


ไม่เหงา...จริงหรอ?

ชีวิตผมมีแต่ไอ้จิว แม่ และร่วม 8 เดือนที่ผ่านมานี้มีนายคฤณเข้ามาเติมเต็มส่วนที่ผมแทบลืมไปแล้วตัวเองขาด
หนึ่งปีที่ผมจะต้องอยู่ในที่ที่ไม่มีคน 3 คนนี้ ผมไม่เหงาได้หรอ?
แค่มีไอ้แอม ผมก็จะไม่เหงาหรอ?
ผมไม่คิดแบบนั้น แต่ผมก็ไม่ได้กลัวความเหงา

ก็ผมอยู่กับมันมาตั้งแต่วันที่เท็ตสึจากไปแล้วนี่

วันนี้ผมขลุกอยู่ในออฟฟิศทั้งวันและอ่านหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ อ่านสรุปรายงานราคาทองคำ แนวโน้ม อ่านบทวิจัยค่าบาท อ่านทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเงิน เพื่อหาประเด็นทำข่าวสำหรับเดือนนี้

ราวบ่ายกว่า ก็มีโทรศัพท์เข้ามาหา นายคฤณนั่นเอง

“ครับพี่หนึ่ง” ผมรับสายแล้วเอนตัวคลายความเมื่อยล้า

ทานข้าวรึยังครับ? ลืมอีกรึเปล่า?

“ไม่ลืมครับ จำได้ตอนพี่หนึ่งบอกพอดี” เขาหัวเราะรู้ทัน หากอยู่ใกล้ๆ ผมก็จะโดนมะเหงกลงกลางหัวแน่ๆ

อยากกินอะไรพิเศษมั้ย เดี๋ยวพี่ไปรับ

“มีเวลาหรอ? งานยุ่งนี่ครับ”

จะยุ่งกว่านี้อีก ปลายปีต้องเก็บตกงานเล็กงานน้อย เพราะงั้นเจมรีบเอาแต่ใจนะ เดือนหน้าไม่มีเวลาแล้ว

“ยุ่งขนาดนั้นก็ไม่ต้องเปิดโอกาสให้ผมเอาแต่ใจหรอกครับ คุณคฤณ” ผมแกล้งเหน็บไปงั้นแหล่ะ ฟังเสียงเขาหัวเราะเก้อๆ แล้วเพลินดี

ป๋าบอกให้มากินปูที่บ้านเย็นนี้นะ ให้พี่ไปรับกี่โมง

“อื่มมมมม เดี๋ยวเจอรอที่สวนเบญจกิตติแล้วกัน กะว่าบ่ายๆ จะออกไปสูดอากาศ หากาแฟกินนิดหน่อย เจมล้ามาหลายคืนติดกันแล้ว นี่ส่งเอาท์ไลน์หนังสือ 2 เล่มไปหมดแล้ว ขอพักหน่อยเถอะ” พอได้บ่นก็บ่นยาว นายคฤณถามอาการต่างๆ ของผมเพิ่ม อาทิ ปวดหัวมั้ย? กินข้าวตรงเวลารึเปล่า? สายตามัวๆ บ้างมั้ย ซึ่งทุกอย่างของผมก็ปกติดี แต่ตอบไปก็เท่านั้น เขาไม่เชื่อหรอก จนกว่าเขาจะได้เห็น

งั้นเดี๋ยวพี่ไปรับที่สวน ซัก 5 โมงนะ

“ครับ เดี๋ยวจ๊อกกิ้งรอ” เขาขำอีกแล้ว รู้ทันผมล่ะสิว่าอย่างผมเนี่ย วิ่ง 5 เขย่งก็เกร็งน่องเมื่อยแล้ว

วางสายปุ๊บผมก็โดนไอ้ต้อมลากไปกินข้าวกลางวัน ผมเห็นว่าอยู่หาประเด็นต่อไปก็ตื้ออยู่ดี ผ่อนคลายสมองกับไอ้หมาต้อมเสียหน่อยดีกว่า และแน่นอนว่า มื้อกลางวันนี้ต้องมีไอ้แอมแจมด้วย

“นี่ๆ เจม มึงจำพี่นำได้รึเปล่า?” ราดหน้าหมูนุ่มแต่น้อยชิ้นอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ก็แดกไม่ได้ ต้องสนทนากับมันก่อนตามธรรมเนียม

“ใครวะ?”

“โห่!” ไอ้ต้อมส่งเสียงขัดใจ มันมองหน้าผมอย่างไม่เชื่อสายตา ไอ้แอมเองก็มองหน้าผมกับไอ้ต้อมสลับกันไปมาตามประสาเด็กมัธยมกางเกงดำขี้เสือก

“ห่า! ถ้าจำได้ก็จำได้ จำไม่ได้ก็จำไม่ได้ แล้วมันกงการห่าเหวอะไรที่กูต้องจำใครต่อใครให้รกสมองกู”

“อาฮะ เนื้อที่น้อยสินะ โอเค กูเข้าใจ กูบอกเองก็ได้”
“พี่นำ รุ่นเดียวกับเฮียหนึ่งไง รองประธานรุ่นเฮียหนึ่งอ่ะ”
“จบปุ๊บก็ต่อหมอ แล้วก็ไปเรียนต่อเมืองนอกเมืองนา กูเห็นเขาให้สัมภาษณ์ในนิตยสารเว้ย ก็เลยจำเขาได้”

“แล้ว...”

“เอ้า! ก็เขาจีบมึงไง!”

“หรอ?”

“เอ้าไอ้เหี้ย! เขาจีบมึงอ่ะ”

“กู...ไม่รู้สึกว่ากูถูกใครจีบนะ ตั้งแต่ม.1 ยันม.6 ไม่มีใครกล้ามาจีบกูหรอก”

“เออว่ะ มึงมันพวกเก็บตัว หรือเขาจีบไอ้จิววะ?” หือ? พี่กูมีประสบการณ์รักปั๊บปี้เลิฟด้วยหรอวะ ไม่เห็นมันเคยบอก

“แล้วเมื่อกี้มึงว่า เขารุ่นเดียวกับพี่หนึ่งหรอ?”

“อือ กลุ่มเดียวกันเลย กลุ่มเทพ พอม.6 เฮียหนึ่งเป็นประธาน พี่นำเป็นรอง ไอ้จิวมันก็สนิทนะ มันไม่พูดถึงหรอ?” มันไม่พูดไม่เล่าอะไรหรอก ช่วงม.ต้นเป็นช่วงสยองขวัญของไอ้จิว เพราะมีน้องประหลาดอย่างผมนี่แหล่ะ

“แล้วเขาจีบกูเนี่ยนะ? มึงอยู่ซอกไหนของไตกูวะ ทำไมมึงรู้ แล้วกูไม่รู้”

“ก็กูเด็กชมรมดนตรี เฮียๆ แม่งก็อยู่กันเกือบทั้งแกงค์นั่นแหล่ะ กูได้ยินเขาพูดถึงมึงกับจิว ใครๆก็เรียกพวกมึงว่าแฝด แล้วตอนนั้นก็ไม่มีสเปิร์มหน้าเหมือนคู่ไหนแล้วนอกจากพวกมึง”
“พี่นำยังเคยพูดเลยว่าให้เฮียหนึ่งเลี้ยงไอ้รชาไป น้องชา พี่นำจะดูแลเอง เขาว่าเขารู้จักมึงดี เจอกันทุกวันอาทิตย์”

ไม่มีอ่ะ จำไม่เห็นได้ เจอกันทุกวันอาทิตย์เนี่ยนะ?
นี่ผมป่วยถึงขั้นละเมอไปเจอผู้คนยามไม่รู้ตัวเลยหรอวะ? เฮ้ย! ผมเริ่มเป็นห่วงตัวเองแล้วสิ

“เจม มึงนี่...หลอนๆ เหมือนที่เขาลือกันใช่ป่ะ? ห่า ตอนม.ต้นเห็นหงิมๆ ตามไอ้จิวต้อยๆ พอขึ้นม.ปลายแม่งกลายเป็นคนละคนเลย ไม่รู้แม่งไปทำอะไรมา แต่บ้าดีเดือดชิบหาย เอะอะอะไรแม่งแสดงออกทางคำพูดก่อนเลย ปากแม่งหมา ทั้งที่ตอนม.ต้น พวกกูคิดว่าน้องไอ้จิวเป็นใบ้” ท้ายๆ ประโยคนี่มันหันไปเล่าวีรกรรมของผมให้ไอ้แอมฟัง ไอ้ห่านี่ก็ฟังไปยิ้มไป หัวเราะไป มองหน้าผมไป เคลิ้มสิมึง กูรู้ กูหล่อล้นเสน่ห์ซะขนาดนี้

ว่าแต่...ไอ้รุ่นพี่คนนั้น คนที่ไอ้ต้อมขี้เสือกบอกว่าจีบผม...หรือจะเป็นพี่คนนั้นวะ? คนที่นั่งโต๊ะม้าหินข้างๆ กันแล้วคอยมองคอยสบตาผมเวลาที่ผมเงยหน้ามองโลก

ถ้าใช่ก็ดี เพราะผมอยากเจอเขามานานแล้ว 
อืม...เดี๋ยวเย็นนี้ลองถามพี่หนึ่งดีกว่า เพื่อนเก่าเขา เขาน่าจะรู้จักสิ


พวกผมใช้เวลาส่วนมากฟังไอ้ต้อมพูดเรื่องคนนั้นคนนี้ มีประเด็นบ้าง ไม่มีบ้าง เรื่องประเด็นข่าวที่น่าสนใจทำบ้าง ไม่น่าสนใจบ้าง จนเวลาล่วงมาบ่าย 3 โมง ไอ้ต้อมก็สะดุ้งกึกแล้วติดตีนหมาวิ่งขึ้นออฟฟิศทันที ผมกับไอ้แอมก็เคลียร์ค่าข้าว ค่าน้ำ ค่าขนมกันก่อนเดินเคียงกันไปขึ้นลิฟท์

4 โมง ผมก็ลาพี่ๆ ที่โต๊ะ ซึ่งเขาก็มีเมตตากับผมมาก คงเห็นหน้าผมเซียวๆ ด้วย ก็เลยรีบไล่ให้กลับบ้าน
ยังไม่ใกล้เย็นแท้ๆ แต่อากาศเย็นๆ ในเดือนพฤศจิกายนก็เริ่มมาเดินทอดน่องเป็นเพื่อน ผมนั่งบีทีเอสมาลงอโศก แล้วเดินเข้าสวยสาธารณะแสนสงบเพื่ออยู่กับสีเขียวของธรรมชาติ หวังว่าจะได้ผ่อนคลายความเครียดที่กดทับอยู่ในใจ ในสมอง แต่ผมเขวี้ยงมันทิ้งไปไม่ได้ ก็ไอ้เรื่องไปอบรมต่างประเทศนั่นแหล่ะ

ทั้งเครียดว่าจะได้ไปหรือไม่ได้ไป เครียดว่าถ้าได้ไป จะบอกแม่กับจิวยังไง ปฏิกิริยาจะเป็นยังไง และคนสุดท้าย เครียดว่านายคฤณจะคิดยังไง และทำยังไงกับการต้องไกลกันเป็นปีแบบนี้


ผมยืนยืดเส้นยืดสาย บิดขี้เกียจตรงทางเข้าสวน ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆ ด้านหลัง หันไปมองก็เห็นผู้ชาย 2-3  คนยืนคุยกันอยู่ ชุดที่ใส่เหมือนชุดหมอเลยแฮะ แล้วหมอมาทำอะไรแถวนี้วะ?

ผมไม่สนใจใครนัก กะเอาไว้ว่าจะเดินรอบสวนเสีย 1  รอบแล้วค่อยมานั่งรอนายคฤณมารับไปกินปูกล้ามโต ป๋าคนินชอบกินครับ อานิสงส์ก็ตกมาสู่บ้านผมบ่อยๆ คาดว่าคืนนี้ก็คงเหมือนกัน

เสื้อยืดพร้อม! ยีนส์? ไม่พร้อมก็คิดซะว่าพร้อม! คอนเวอร์ส! กูจะพร้อมอ่ะ!
เอ้า เดิน!

ฮ่าๆ อย่าคิดว่าผมจะเดินเร็วเรียกเหงื่ออะไรจริงจังเลย ผมก็เดินของผมเนิบๆ นั่นแหล่ะ เดินช้าๆ แต่ไม่คิดว่ามันจะช้าถึงขั้นไปขวางทางใครเข้า ทั้งที่มันเพิ่ง 4 โมงกว่าแท้ๆ แต่กลับมาคนมาวิ่งออกกำลังกายที่สวนแห่งนี้เป็นหมู่คณะ

หรือว่าเขานัดแนะกันมาฝึกวิ่งเป็นกรณีพิเศษหว่า?
คิดไปก็เดินไป เดินไปก็เหลียวหลังไป ดูท่าสิ่งที่ผมเดาไว้จะจริง เพราะกลุ่มนักวิ่งทนที่แซงผมไปเมื่อกี้แซงผมอีกครั้งแล้วครับ โอเค กูโดนน็อครอบ! ก็พวกเขาวิ่งเอาโล่อ่ะ ผมเดินเอาลมนี่หว่า

ผมเดินทอดน่องแบบระวังมากขึ้น เดินมาจนถึงหัวมุมประตูทางเข้าด้านอโศก ผมเจออีกแกงค์วิ่งสวนทางมา ก็เลยขยับหลบเพราะสปีดพวกแม่งน่ากลัวชิบหาย แต่พอขยับหลบเลนสวนกะทันหัน ข้างหลังผมก็มีเสียงตะโกนมาว่า

คุณ!! หลบ!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-02-2013 21:35:59 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 17 - 10/2/13)
«ตอบ #166 เมื่อ10-02-2013 21:25:08 »

คุณ!! หลบ!

ปึ่ก แอ่ก แอ่ก ปึ่ก ฟุ่บ!
สเตปการล้มและกลิ้งของผมทุเรศมาก ผมกลิ้งมาชนขอบที่กั้นขึ้นปลูกดอกเฟื่องฟ้า ความรู้สึกแรกหลังจากลืมตาก็คือ

“เจ็บ...”

“คุณ! เป็นอะรึเปล่าครับ? ลุกขึ้นไหวมั้ย?” ชายในชุดแพทย์วิ่งมาประคองผมแล้วถามอาการทันที เขาคงเห็นเหตุการณ์ และคงเห็นท่าล้มกระเด็นอันสวยงามของผมแน่ๆ แม่งเอ๊ย! กูอายอ่ะ อุตส่าห์กันคิ้วสไตล์เจ-ร็อค หน้าก็หล่อได้ที่แล้ว เสือกล้มท่าเสร่อ ผมร้องโอ้ยๆ ด้วย แย่ชิบ!

“ไม่เป็นไรครับ ลุกไหว”

“ผมช่วยนะ โห! แขนนี่ขูดกับพื้นด้วยนี่ครับ เป็นทางเลย หาน้ำสะอาดล้างก่อนดีกว่า”
“ตรงแถวๆ นั้นมีที่ดื่มน้ำอยู่ ผมพาไปนะ”

“ไม่เป็นไร แผลนิดเดียวเองครับ”

“เชื่อผมเถอะ พูดแบบนี้ กี่รายๆ ก็แผลเน่า ประมาทหนแรกเสียใจจนตาย” คือ..กูเจ็บร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรอวะ? ผมมองหน้าอีกฝ่ายที่จ้องหน้าผมแล้วยิ้มหลอกล่อ ผมไม่ใช่เด็กนะ แต่ผมก็พยักหน้าตามสายตาเชิญชวนนั้นอย่างว่าง่าย

เขาพาผมเดินมาตรงที่กดน้ำดื่ม ให้ผมนั่งรอที่ม้านั่งใกล้ๆ แล้วพับแขนเสื้อขึ้นให้พ้นศอกรอไว้ ครู่เดียวก็พยักหน้าเรียก ผมก็เดินกางศอก ชูท้องเขนไปหา หารองน้ำไว้ในมือแล้วลูบลงบนแผลถลอกผมอย่างเบามือ ทำซ้ำอยู่ 2-3 ครั้งก็เงยหน้ามายิ้มให้

“เดี๋ยวไปทำแผลดีๆ อีกครั้งนะครับ ตามคลินิกก็ได้ เรื่องบาดทะยักคงไม่ต้องห่วง”

“อ่อ ขอบคุณครับ”

“แล้วนี่...คุณมาวิ่งออกกำลังกายหรอครับ? ชุดไม่ให้เลย”

“ผมมารอ...พี่น่ะครับ”
“เดินเล่นเฉยๆ ไม่ได้กะวิ่งหรอก ชาตินี้คงไม่วิ่งแล้ว เมื่อกี้ตกใจหมด”

“เห็นท่าแล้วก็พอรู้” แม่งแซวผมป่ะเนี่ย? ผมเห็นเขาหัวเราะนิดนึง ไม่ได้ต้องเสียมารยาทใส่ผมอะไรนัก ผมก็เลยยิ้มให้วูบหนึ่งแล้วหุบยิ้ม

“เอ่อ ขอบคุณนะครับเรื่องล้างแผล ผมไปล่ะ”

“อ่อ ครับ ไม่เป็นไร ผมเป็นหมอ ต้องช่วยคนอยู่แล้ว แต่ท่าล้มนี่ติดตาจริงๆ นะครับ” แม่ง ถ้ายังไม่เลิกนะ จะต้มคอนเวิร์สให้แดก! ผมกระตุกยิ้มแหยๆ แล้วหมุนตัวเดินจากไป แล้วไอ้พวกรักการวิ่งนี่เป็นห่าอะไรกับกูนัก เฉี่ยวกูอีกแล้ว!!!

“ฮ่าๆ ผมว่าผมพาคุณไปส่งดีกว่า 4 ตาดีกว่า 2 ตาอยู่แล้ว” หมอนี่พูดแล้วรั้งศอกผมไว้เพื่อดึงให้ยืนให้มั่นเหมาะ แล้วเขาก็จับแขนผมไว้แล้วพาเดินไปยังทางเข้าสวน...รู้สึกง่อยไงไม่รู้แฮะ

นายคฤณมายืนรอผมอยู่แล้ว ทันทีที่เห็นเขา ผมก็วิ่งไปหาทันที ลืมคนช่วยโดยสิ้นเชิง เจอหน้ากันก็โดนซักทันที เพราะแผลถลอกที่ท้องแขนมันฟ้องตาเขาเสียก่อน

“ไปโดนอะไรมา?”

“เจมล้ม พอดี คนเขาวิ่งกันเร็วแล้วเจมไม่ทันระวัง เลยไปขวางเขา ไม่มีอะไรหรอก”

“เจ็บรึเปล่า? ไปทำแผลดีกว่า”

“เจมล้างแผลแล้ว คนนั้นเขาช่วย” ผมหันกลับไปชี้ยังผู้ช่วยกะทันหัน เขาคนนั้นเดินตรงมาทางนี้ แต่คิดว่าคงไม่ได้เดินมาหาผมหรอก ก็เราไม่ได้ธุระอะไรกันนี่ อืม?? แต่ทำไมไอ้คนนี้มันไม่มองทางอื่นเลยวะ มองแต่ผมกับพี่หนึ่ง เขม็งด้วย

ผมหันมองนายคฤณ เอ้า! นิ่งค้างทำไมวะนั่น?

“ที่หนึ่ง....” หือ? หมอนี่รู้จักนายคฤณด้วย!

“ผ...ผู้นำ?”


อะไร? อะไรนำๆ
ผู้นำหรอ? เพื่อนนายคฤณหรอ? ใช่ “พี่นำ” ที่ไอ้ต้อมเพิ่งเล่าให้ผมฟังเมื่อบ่ายนี้รึเปล่าวะ?!





ใช่จริงๆ ด้วย
หมอนี่ชื่อ นายรชต วตคุปต์ นามตามปากเพื่อน “ผู้นำ หรือไอ้นำ”
แล้วผมก็ทวนชื่อเขาออกเสียงหลังจากที่ได้นามบัตรมา ป้องกันการไม่กล้าอ่านชื่อเหมือนครั้งงนายคฤณ

อ่านว่า ระ-ชด ครับ หาใช่ ระ-ชะ-ตะ แต่อย่างใด

“คุณกลับมาเมื่อไหร่ ไม่เห็นมีเพื่อนตัวไหนบอกเลย” นายคฤณเปิดประเด็นคุย เราอยู่ที่ร้านกาแฟที่ร้านหน้าถนนสุขุมวิท ค่อนไปทางปากซอยพร้อมพงษ์ ผมก็นั่งจิบกาแฟเย็นและกินเค้กไปด้วย ก็นะ ในที่นี้ผมเด็กสุด กินเค้กได้ไม่ผิด ส่วนนายรชต ฟาดแพนเค้กครับ หงุยๆ โคตรอ่ะ อย่าถามนะว่าหงุยๆ คืออะไร ผมจำมาจากไอ้ต้อมตอนมันแหย่แฟนมันคนไหนก็ไม่ทราบได้ทางโทรศัพท์

“สักสามเดือนแล้ว ว่าจะโทรหาคุณเหมือนกัน” แม่งพูดเพราะกันแบบนี้ไม่อ้วกหรอ? ดูเพื่อนผมสิ เจอกัน 3 วันที่ม.ก็เรียกชื่อพ่อกันแล้ว

“แล้วไม่โทรล่ะวะ”

“ยุ่งว่ะ พ่อให้ดูแผนกจิตเวชต่อ กำลังขยายให้เป็นศูนย์น่ะ”

“อ่ออ คุณชอบทางนี้นี่”

“อืม” นายรชตรับคำแล้วยิ้มให้เพื่อน เผื่อแผ่มาถึงผมด้วย ผมเลยต้องค้างเค้กไว้แล้วผงกหัวรับรอยยิ้มของเขา

“แล้วนี่...อะไร ยังไงกันคุณคฤณ” นายรชตมองนายคฤณและผมสลับกัน เพื่อนเขาคงสื่อกันเข้าใจ นายคฤณก็เลยตอบให้กระจ่าง

“เจม แฟนผม”

อู้หู!! ผมว่าผมตรงแล้วนะ แต่ผมไม่เคยแนะนำกับใครว่านายคฤณเป็นแฟนผมเต็มปากเต็มคำแบบนี้เลย
ไอ้ผมก็ก้มหน้างุดๆ ซุกความอาย เขินนี่หว่า ทำไงได้ ไม่รู้ว่านายรชตจะมองเพื่อนด้วยสายตาแปลกไปรึเปล่า แต่ผมก็ต้องรักษามารยาทที่แม่ต้มหนังสือให้กินเอาไว้ล่ะนะ

“สวัสดีครับ ชานนท์ครับ”

“หือ?” นายรชตส่งเสียงแล้วจ้องหน้าผม คราวนี้จดจ่อเลยครับ ผมเห็นประกายบางอย่างในตาเขา จ้องอยู่ไม่นานเขาก็ดีดนิ้วเป๊าะ!

“ที่หนึ่ง อย่าบอกนะว่าชานนท์ เจม...คือน้องชาคนนั้น”

“อืม”

อะไร? น้องชาคนไหน? อะไร?
ผมงง!!

“เฮ้ย! คุณนี่ทำผมทึ่งเลยอ่ะ ปักใจมาก”

“ก็...ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก มันก็ติดมาด้วยชื่อ แต่เรื่องตอนเด็กก็ไม่ได้สิ่งที่ทำให้ผมเลือกเจมหรอก”
“ปัจจุบันมากกว่า”
“หน้าตาเหมือนลูกหมากวนส้นตีน คุณหาจากที่ไหนได้อีกล่ะ”

ด่ากูอีกแระ แล้วคืนนี้อย่ามาสะกิดนะ ลูกหมาเจมตัวนี้จะเล่นตัวให้เข็ดเลย!

นายรชตหัวเราะคิกๆ คงจะเกรงใจหน้าผมที่งอเอา งอเอานั่นแหล่ะผมว่า

“คุณนี่น่านับถือสุดๆ เหมือนเดิมเลยนะที่หนึ่ง”

“คุณก็พอกันแหล่ะ แล้วยังไงกันล่ะ ศูนย์ที่ว่า จ้างผมสร้างมั้ย? งานด้านโรงพยาบาลกับพวกสาธารูปโภคพื้นฐาน บริษัทผมก็เชี่ยวชาญนะ”

“พอจะรู้มาบ้าง ยังไม่ได้สร้างอะไรใหญ่โตหรอก ศึกษาโครงการก่อน”

“ร่วมด้วย ต้องการมั้ย?”

“ร่วมทุนหรอ?”

“ก็แล้วแต่คุณ”
“มันก็ฝ่ายหนึ่งของบริษัทผมแหล่ะ รับจ้างสร้างด้วย ลงทุนด้วย รับบริหารโครงการด้วย”

“โหยยย รายได้ทางตรงทางอ้อมนี่กี่เปอร์เซ็นต์ไปแล้วล่ะ”

“คุณภาพนะครับคุณผู้นำ”

แม่งคุยกันแบบนี้นี่เอง อะไรอะไรมันถึงได้ต่อยอดไปเสียหมดในวงสังคมธุรกิจ ผมนั่งฟังเขาหารือกันเล่นๆ เสียเพลิน รู้ตัวอีกทีว่าหมดเวลาสนุกแล้วก็ตอนที่นายรชตลุกขึ้นยืน เตรียมตัวแยกย้ายนั่นแหล่ะ

ดูเหมือนพวกเขาจะนัดกันอีกรอบ คราวนี้พร้อมเพื่อนครบทีมเขานั่นแหล่ะ ซึ่งผมคิดว่าผมไม่ควรไปมีส่วนร่วมด้วย ก็นะ...หากเพื่อนผมนัดรวมรุ่นกัน ผมก็คงทำแค่บอกเขา แต่ไม่เอาไปด้วยหรอก

นายคฤณแยกไปเอารถ เขาไหว้วานให้ผมส่งเพื่อนเขาที่ประตูแท็กซี่ ระหว่างที่ยือรอแท็กซี่ผู้โชคดีอยู่นั้น นายรชตก็หันมองหน้าผมแล้วพูดให้ผมงงกว่าเดิมว่า

“จำพี่นำไม่ได้จริงๆ หรอครับ น้องเจม”

“........”

“ทั้งที่เจอกันที่คลินิกพ่อพี่ทุกวันอาทิตย์แท้ๆ”



เจม



น้องเจม



น้องเจมดูนี่สิ อยากไปเล่นมั้ย เดี๋ยวพี่นำพาไปเล่น


น้องเจมกินข้าวก่อนนะ ต้องกินเยอะๆ นะ ไม่งั้นอดเล่นกับพี่นำนะ


น้องเจม


น้องเจมมมม



เสียงแว่วจากความทรงจำที่ผมลืมมันไปนานแสนนาน กำลังดังเหง่งหง่างอยู่ในหูผม



น้องเจม พี่นำ




อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวผมก็จะจำได้แล้วว่าผมทิ้งอะไรไปบ้าง



“พี่นำไปก่อนนะครับ” เขาโค้งหน้ามาบอกผมที่ข้างหู แล้วก็ขึ้นแท็กซี่จากไป

ปล่อยให้ผมยืนเหม่ออยู่กับเสียงแว่วที่ได้ยินคนเดียว มันดังก้องหูจนผมแทบไม่รับรู้เสียงอะไรรอบตัวเลย เว้นก็แต่เสียง

ปี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!

ผมสะดุ้งแล้วหันไปมองต้นเสียง เห็นนายคฤณออกจากรถมายืนเท้าแขนกับประตูมองผมงงๆ เขาบีบแตรดังอีกครั้งแล้วเข้าไปรอในรถเมื่อเห็นผมได้สติแล้ววิ่งไปที่รถเขาตามที่เขาต้องการ


“มีอะไรรึเปล่าเจม?”

“ไม่....ไม่มีอะไรครับ”


มีครับ มีมากๆ
ผมเพิ่งรู้สึกว่าผมลืมอะไรที่แสนสำคัญไป ลืมใครบางคนที่ผมให้ความสำคัญไป
ไม่ใช่ลืมเขา แต่ลืมว่าเขาคนนั้นคือใครต่างหาก

ผมกับนายรชต น่าจะเคยสนิทกันมาก่อนตอนเด็กๆ แต่นายรชต ไม่ใช่พี่คนนั้นที่ผมจำได้อย่างเลือนรางแน่ๆ
แต่ว่า เขาต้องเกี่ยวข้องกันซักอย่าง

ใจผมบอกกับผมว่านายรชต กับพี่คนนั้น คอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ตัวผมในตอนเด็ก
ผมเจอนายรชตหรือพี่นำแล้ว แม้จะยังนึกออกไม่หมดว่าเคยมีความทรงจำอะไรร่วมกันบ้างก็เถอะ

แล้วผมจะได้เจอพี่คนนั้นมั้ยนะ ผมจะได้เจอเขาอีกครั้งรึเปล่า


โทรศัพท์ผมร้องเป็นเสียงแมลงหวี่ ไอ้ต้อมตัวดีเปลี่ยนให้เหมือนเดิม
ผมกดรับแม้ว่าเบอร์จะไม่คุ้น

“ครับ”
“ครับ ชานนท์พูดครับ”
“สัมภาษณ์”
“เมื่อไหร่นะครับ” ผมจดวัน เวลา สถานที่ไว้กันพลาด ปลายสายบอกผมเรื่องเวลาสัมภาษณ์ว่าไม่เกินชั่วโมง แล้วก็วางสายไป

“สัมภาษณ์ใครหรอครับ? งานใหญ่อีกรึเปล่า?”

“ไม่...ไม่ใหญ่ครับ ข่าวทั่วไป” ผมโกหกเขาแล้วเครียดเพิ่มขึ้น ทั้งเรื่องอดีตที่รบกวนจิตใจ และเรื่องอนาคตที่กดดันจิตใจ

ผมรู้สึกว่าใจผมเหนื่อยเหลือเกิน


“สีหน้าเพลียจัง อยากกลับบ้านมั้ย?”

“งั้น เลื่อนนัดป๋าพี่หนึ่งไปก่อนได้มั้ยครับ”

“ได้สิ ตามใจเจมอยู่แล้ว”


ตามใจ
ใช่
ผมต้องตามใจผม ต้องตามใจ

เมื่อเขาอนุมัติให้ผมผ่อนคลายแล้ว ผมก็ปรับเบาะเอนหลังลงและหลับตาทันที
ก่อนที่จะหลับไป ผมรับรู้ได้ถึงมือเขาที่เกลี่ยแก้มลำคอผมเบาๆ

ในห้วงความคิดผม นึกถึงพี่คนนั้นที่นั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินใกล้ๆ กับตัวที่ไอ้จิวจับผมมาวางแหม่ะไว้ ผมเงยหน้าขึ้นมองโลกใต้ต้นไม้ที่สงบๆ และพลันสบตาเข้ากับพี่คนนั้น

ใบหน้าเขาเลือนราง เห็นแค่เค้าโครง เขาขยับปากพูดอะไรบางอย่างแล้วก็ยื่นมือมาขยี้หัวผม

มันทำให้ผมอบอุ่น ไม่แพ้สัมผัสที่นายคฤณมักจะหยิบยื่นให้เลย



“พี่......”



Cut





แว่ๆ มาเร็วรับตรุษจีน (เกี่ยว?)

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ ใกล้จะจบจะจากแล้วอ่าาา (ได้ข่าวว่าพูดแบบนี้มาตั้งแต่ตอน 15 =*=)

แล้วเจอกันตอน 19 ค่า อาจจะเว้นไปซัก 2-3 วันนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-02-2013 21:36:51 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 18 - 10/2/13)
«ตอบ #167 เมื่อ10-02-2013 21:50:22 »

ฮือ ไม่อยากให้มีปัญหากันเลย ชอบเรื่องนี้มาก ๆ  :L2:

ออฟไลน์ CHIVAS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-1
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 18 - 10/2/13)
«ตอบ #168 เมื่อ10-02-2013 22:09:21 »

น้องเจมใกล้จะจำพี่หนึ่งได้แล้ว  เอาใจช่วยนะคะ สู้ๆ
อย่าจำผิดคนนะ เด๋วพี่หนึ่งเสียใจแย่ ฮาา

เรื่องไปอังกฤษก็ยังทำให้หน่วง น้องเจมบอกพี่หนึ่งเถอะค่ะ อยากรู้ว่าพี่หนึ่งจะทำไง ฮาาา

ไม่อยากให้จบเลบ ถ้าจบไปต้องคิดถึงเรื่องนี้มากแน่ๆ

รอตอนต่อไปคร่าาา

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 18 - 10/2/13)
«ตอบ #169 เมื่อ10-02-2013 23:03:47 »

เป็นเราเราลืมพี่หนึ่งไม่ลงหรอก555555555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 18 - 10/2/13)
« ตอบ #169 เมื่อ: 10-02-2013 23:03:47 »





ออฟไลน์ Rukki

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 18 - 10/2/13)
«ตอบ #170 เมื่อ10-02-2013 23:15:17 »

เจมรีบๆ นึกออกเร็วๆ นะ ว่าพี่คนนั้นก็คือพี่หนึ่งน่ะแหละ ...
เรื่องไปอังกฤษด้วย
ทำไมไม่ยอมบอกทุกคนซะทีง่ะ
เจมเหมือนจะเริ่มโต เริ่มเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่อยู่ดี เฮ้อ -_-

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 17 - 10/2/13)
«ตอบ #171 เมื่อ10-02-2013 23:47:42 »

ไม่บอกสักที 
โตๆแล้วนะเจม มีอะไรก็บอกกันสิ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ชื่อว่าเป็นคนรักของเรา  ถ้าทำอะไรไม่บอกไม่กล่าว หรืออยู่ๆก็ทิ้งไป แบบนั้นมันดูไม่แคร์กันเลย และไร้ความรับผิดชอบนะเจมเอ๋ย :เฮ้อ:

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 18 - 10/2/13)
«ตอบ #172 เมื่อ10-02-2013 23:50:18 »

เจมจะจำผิดคนมั้ยอะเนี้ย คุณพี่นำจะมาทำให้แตกแยกกันป่ะเนี้ย

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 19.1 - 14/2/13)
«ตอบ #173 เมื่อ14-02-2013 00:51:23 »


Hear, Me

=======
If I could, I would
======

ตอนที่ 19.1





บรรยากาศในการสอบสัมภาษณ์ดีมากๆ
คณะกรรมการก็คือนักข่าวอาวุโสของวงการในสายเศรษฐกิจการเงินนี่แหล่ะ ผมเอง แม้จะไม่รู้จักพวกแกโดยตรงแต่ก็เคยได้ยืนชื่อเสียงมาบ้าง แต่ที่ตอบๆ ไป ก็น่าจะทำให้พวกแกรู้จักชื่อเสียงผมบ้าง....ล่ะมั้ง

ไอ้แอมรออยู่หน้าห้องตอนที่ผมออกมาจากห้องสัมภาษณ์ มันมองผมตื่นๆ แต่พอเห็นผมไม่มีทีท่ากังวลอะไรมันก็ทำแค่ลูบหลังผมแล้วเดินสวนเข้าไปตามเลขาที่ออกมาเรียกชื่อมันเสียงหวาน “คุณอรินทร์ค่ะ”

อีกคนที่ส่งชื่อขอทุนไปอบรมครั้งนี้เป็นผู้ชายเหมือนกันครับ เป็นนักข่าวรายวัน ผมก็เคยปะหน้ามาบ้าง พอมาถึงมันก็ส่งยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร

“เจม หวัดดี” รู้จักกูด้วยหรอวะ? ผมเลิกคิ้วแล้วยิ้มคืนให้ ตัดสินใจรอไอ้แอมก่อนเพื่อกลับออฟฟิศพร้อมกัน ผมไม่ได้พิศวาสอะไรมันหรอกครับ แต่ก็ยอมรับว่าไม่อยากให้มันออกมาแล้วเจอแต่ความโหวงเหวง

“เจมคาดหวังรึเปล่า?” ไอ้คนทักผมก่อนถาม ผมส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ นี่ตอบจริงใจสุดๆ เลยนะ ผมไม่ได้คาดวังอะไรจริงๆ ไม่ได้ถามตัวเองด้วยซ้ำว่าอยากไปรึเปล่าและไปเพื่ออะไรกันแน่

แต่เมื่อผู้ใหญ่บอกว่าเป็นโอกาส ผมก็ต้องคว้าโอกาส

“ผมน่ะ อยากไปนะ ไปเปิดหูเปิดตา แล้วก็ไปฟรีนี่เนอะ มีเบี้ยเลี้ยงให้อีกต่างหาก” มันสำคัญนักหรอวะ? ไอ้ที่มันเอ่ยมาน่ะ อยากเปิดหูเปิดตาก็แค่เปิดหน้าต่างข้างห้องแล้วยื่นหน้าออกมาเท่านั้น

การเปิดหูเปิดตา สำหรับผมแล้ว ไม่ใช่การเปลี่ยนที่นอน เปลี่ยนที่ขี้แค่นั้น มันง่ายกว่านั้นอีก
เวลาผมเปิดหูเปิดตา ผมก็ทำแค่หลับตาแล้วรับรู้เรื่องราวของชาวบ้าน รับฟังความคิดคนอื่นและอ่านชีวิตที่ผ่านมาอย่างล้ำเหลวหรือสำเร็จของคนอื่นๆ ก็เท่านั้น

“ผมจนนี่นา อยากไปเรียนต่างประเทศก็ไม่มีเงินไปเองหรอก”

“ผมไม่ได้จน แต่ผมไม่เอาเรื่องไปฟรีมาเป็นปัจจัยหรอก” ผมบอกตรงๆ และยิ้มให้ ไม่รู้มันจะมองว่าผมกวนตีนรึเปล่า แต่มันก็ไม่พูดอะไรกับผมอีก ก็ดีเหมือนกัน เพราะผมไม่ชอบคุยกับคนที่ผมไม่รู้จัก

ในกรณีนี้ แม้ว่ามันจะรู้จักผม และผมจะจำหน้ามันได้ว่าเคยเห็นกันมาก่อน แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นคนรู้จักกัน เพราะชื่อมัน ผมยังไม่รู้เลย


นั่งส่งสติ๊กเกอร์ไลน์เล่นกับไอ้ต้อม รวมทั้งส่งเมสเสจหานายคฤณอยู่ไม่นานนัก ไอ้อรินทร์ก็เดินออกจากห้องสัมภาษณ์มา เลขาเป็นคนเปิดประตูให้แล้วก็ขานเรียกคนชิงทุนคนสุดท้าย “คุณวิญญูค่ะ”

“อ้าว ไอ้วินหรอวะที่ชิงกันอีกคน”

“ใครวะ? มึงรู้จักหรอแอม กูไม่เห็นรู้จักเลย”

“ทุกวันนี้มึงจำชื่อกูได้กูก็ปลื้มมากแล้วอัญ ฟังๆ จากไอ้ต้อม ตอนเป็นเด็กมึงนี่หลอนน่ากลัวนะ ห่า”
“ไอ้วินไง!”

“ใครล่ะ? มันมาจีบแม่กูรึไงกูถึงต้องจำทรงกะจู๋มันได้ สัด!”

“โว๊ะ! ไอ้เซื่องนี่!”
“ไอ้วินมันทำรายวัน หัวใหญ่เลยนะมึง”
“พวกสายตลาดนินทากันว่าไอ้ห่านี้แม่งเหมือนเป็นนักข่าวแฝงมาเอาผลประโยชน์ ห่าเหวอะไรแม่งขอหมด” ฟังแล้วไม่แปลกใจเท่าไหร่ ที่มันคุยกับผมเมื่อครู่ก็บอกยี่ห้อมักมาก ชอบของตอบแทนสูงแต่ไม่ลงทุน

“กูพูดจริงๆ นะ ถ้าไม่ได้ไปกับมึง กูสละสิทธิ์ ไม่อยากไปกับมัน”

“อือ สมพรปาก”

“ฮ่าๆๆๆ  มึงเองก็อยากไปกับกูล่ะสิ ก็ดีนะ เปลี่ยนโอโซน มึงจะได้สมองโล่งแล้วมีพื้นที่ให้กูเข้าไปเดินเล่นมั่ง” ซึนจีบกูอีกแล้วนะห่า อย่าคิดว่ากูไม่รู้แล้วก็อย่าคิดว่ากูเขิน

กูตายด้านแล้ว ด้านตั้งแต่เจอลูกจีบซึนกว่ามึงนั่นแหล่ะ



“แล้วมึงบอกที่บ้านยัง?” ผมถามขึ้นเมื่อเราทั้งคู่เข้ามาในลิฟท์เรียบร้อย ตอนนี้ช่างหัวไอ้วินห่าอะไรนั่นเถอะครับ ใกล้เที่ยงแล้ว ผมหิวข้าวมากก็เลยชวนไอ้แอมกลับออฟฟิศ มันไม่ได้เอารถมา บอกว่ารู้ว่าผมต้องเอารถมา มันจะเลยจะเป็นคุณชายแอม นั่งรถที่ผมขับ

“บอกเอิงไว้” พี่สาวมันครับ ไอ้ต้อมเคยบอกว่าสวยชิบหาย ท่าทางคุณหนู ผู้ดี ฉลาด มีสติก่อนสตาร์ทเสมอ ไม่ควรมีน้องถ่อยๆ อย่างไอ้แอมเป็นอย่างยิ่ง

“แล้วพี่สาวมึงเค้าว่าไงอ่ะ”

“เอิงก็ไม่ได้ว่าไร บอกว่าแล้วแต่กู ชีวิตกู”
“แต่ไปลองเรียนรู้ประสบการณ์ ยังไงมันก็กำไรชีวิตกว่าคนอื่นอยู่แล้ว ต่อให้กูโง่ จับเนื้อหาห่าเหวมาใส่สมองไม่ได้เลย พอกลับมากูก็ดูเทพ เพราะเคยไปอบรมที่เมืองนอก”

“พี่มึงเค้าเก่งหรอ?”

“อย่าให้พูดว่ะ”
“เอาเป็นว่า การเป็นลูกชายของกูไม่มีความหมาย เพราะป๊ากับแม่กูยอมให้พี่กูมีผัวแล้วไม่ต้องเปลี่ยนนามสกุล ไม่ก็ไปอุปการะเด็กมาเลี้ยงแล้วให้ใช้นามสกุลเดียวกันไปเลย ยกนามสกุลให้บริหารอ่ะมึง”

“ผู้หญิงแถวหน้า”

“แถวบนว่ะกูว่า แม่งโหนคานเหวี่ยงตัวหมุนเกลียวราวดอฟท์ 2 รอบครึ่งตายชัวร์ เก่งขนาดนั้นผู้ชายที่ไหนจะกล้าเผยอ” ไอ้เหี้ย!! นั่นพี่มึงนะ แต่กูฮาชิบหายว่ะ นึกท่าพี่เอิงหมุนเกลียวกลางอากาศแล้วดีดวิญญาณตัวเองขึ้นสวรรค์แล้วฮาโคตร ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมไม่เคยเห็นพี่สาวมันหรอกครับ
“เอิงก็เด็กทุนเมืองนอกเหมือนกัน กลับมาแล้วเป็นอีกคนไปเลย พูดแล้วก็อิจฉา ถ้ากูเก่งได้เท่าพี่กูนะ แฟนมึงเองก็เถอะ เจอกูแน่”

“เกี่ยวเหี้ยไรกับพี่หนึ่ง” ผมถามแต่ไม่สนใจฟังคำตอบมันหรอก ผมเงยมองตัวเลขบอกชั้น แล้วก็ตั้งอกตั้งใจรอให้ประตูลิฟท์เปิด เพราะเห็นว่ามันใกล้ถึงชั้นที่ผมจอดรถเอาไว้แล้ว

แต่ประตูลิฟท์ไม่เปิดแม้ว่าจะจอดที่ชั้นที่ผมจอดรถแล้ว เพราะไอ้แอมมันกดปุ่มให้ประตูปิดเอาไว้แล้ว ส่วนอีกมือที่ว่าง มันก็จับคางผมไว้แล้วเชยขึ้นเล็กน้อย แล้วก็จูบผมม๊วฟใหญ่!

ไอ้เหี้ยแอม!!!!

“สัด! ทำห่าไร! กูเตะจริงๆ นะ!” ปากก็ขู่ แต่ผมเตะมันไปแล้วเต็มแรง

“โทษที แค่อยากให้จำได้ว่ากูรักมึงอยู่”

“..........”

“และกูจะจริงจัง”
“ถ้าไปด้วยกัน กูจะดูแลมึงเอง”

“เชิญมึง “ถ้า” ให้ตาย กูก็ไม่ให้มึงดูแลกูหรอก ห่า!” ผมด่าใส่แล้วปัดมือมันทิ้ง ออกจากลิฟท์ได้ผมก็หันไปถีบท้องมันทีนึง เอาคืนเว้ยเอาคืน!

แม่ง จูบมาได้ไง กูไม่ใช่คนมากรัก!!
กูลองรักทีละคน และมึงยังไม่ใช่คนคนนั้นโว้ย!
นี่ถ้าไม่ติดว่ามองมันเป็นเพื่อนคนนึงที่คบกันได้ระยะยาวนะ ผมก็ถอดรองเท้าปาดปากแม่งเลย!

“กูขอโทษ กูแค่อยากให้มึงจำไว้”

“กูโง่ กูไม่จำอะไรเหี้ยๆ ที่กูไม่อยากจำ”
“จะรู้สึกยังไง หรือคิดยังไงกูไม่รับรู้ทั้งนั้น เรื่องของมึง”
“จะแดกข้าวมั้ย? แต่ถ้าไปแดกข้าวกันมึงต้องห้ามทำอะไรแบบเมื่อกี้อีก กูไม่ชอบ!” มันจ๋อยลงอย่างเห็นได้ชัด เห็นแล้วก็สงสารมันเหมือนกัน ผมก็ไม่รู้ว่ามันใช้อะไรรักผม แต่คงไม่ใช่สมอง เพราะถ้ามันใช้สมองในการรักผม มันก็คงเป็นคนสมองตาย

ผมไม่รักใครทีละหลายคน ผมเหนื่อย



ไอ้อรินทร์สิ้นฤทธิ์ลงบ้าง แต่ก็ลอบมองหน้าผมเป็นระยะ ผมรู้ตัวอยู่แล้วว่าโดนมอง แต่ไม่สนใจแม่งหรอก อยากมองมองไป มองแล้วจำใส่ใจว่ากูว่าไม่ใช่คนของมึง! นี่ผมซีเรียสนะ!

ยังไม่บ่ายสอง ผมกับมันก็มาถึงออฟฟิศ ที่มีนายคฤณรออยู่ก่อนแล้ว
และ...อยู่กับพี่ปู

“นั่น มากันพอดี 2 หนุ่ม” ผมได้ยินเสียงเธอพูดแว่วๆ ที่หน้าห้องส่วนตัว นายคฤณไม่ได้เข้าไปในห้องเธอ และท่าทางก็ดูเหมือนเพิ่งมา เขาหันมาลอบยิ้มให้ผมแล้วก็หันไปคุยกับพี่ปูต่อ พวกเขาพากันเดินไปยังห้องอัดรายการ คงจะใช้สตู 2 ไอ้ต้อมก็จัดรายการในสตูนั้นนี่หว่า

ผมเสียวสันหลังนิดๆ 
พี่ปูรู้เรื่องทุนไปอบรม ก็นะ แกเสนอชื่อผมไปเอง และแกก็เป็นพี่ที่...ค่อนข้างชอบอวดน้องๆ ของตัวเองเสียด้วยสิ
ผมกลัวพี่ปูบอกเรื่องทุนไปอบรมที่อังกฤษให้นายคฤณรู้
ผมไม่อยากให้เขารู้จากใครที่ไม่ใช่ผม

ผมโทรหาไอ้ต้อมทั้งที่เดินไปหาก็ได้ มันมองโทรศัพท์แล้วหันมองผมงงๆ แต่พอเห็นสีหน้าเครียดๆ ของผม มันก็กดรับสาย

อะไรของมึงวะเจม

“ต้อม มึงอัดรายการที่พี่หนึ่งมาเป็นแหล่งข่าวหรอ?”

เออ อ้าว เฮียกูไม่บอกอะไรมึงหรอ? ว้ายๆๆ รักจางที่บางคน

“ปากหมา! มึง! ถ้าเห็นพี่ปูทำท่าจะพูดเรื่องกู หรือเรื่องทุนไปอบรม มึงขวางไว้ทีนะ”
“กูยังไม่ได้บอกใคร ที่บ้านด้วย กูไม่อยากให้พี่หนึ่งรู้จากปากคนอื่น”
“ช่วยกูหน่อยนะ”

ดูเหมือนมันจะเข้าใจความรู้สึกผม ไอ้หมาต้อมทำมือโอเคกลางอากาศและเริ่มปฏิบัติการปิดปากพี่ปูด้วยท่าทางเวอร์ๆ ของมันทันที

ผมก็...ทำอะไรไม่ได้ นอกจากลุ้นให้นายคฤณอัดรายการเสร็จเสียที


“พี่รอนะครับ กลับคอนโดพี่นะ” ได้รับเมสเสจแบบนี้แล้วใจไม่ดีเท่าไหร่ ผมอดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจรู้เรื่องแล้ว และอยากคาดคั้นผมตามลำพัง หรือบางที เขาก็แค่คิดถึงตอนที่เราอยู่กัน 2 คนขึ้นมาก็เลยอยากค้างคอนโดคืนนี้

เพราะผมกับนายคฤณไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันมาเกือบครึ่งเดือน ไม่ได้โกรธอะไรกัน แค่ต่างคนต่างไม่มีเวลาเท่านั้น

ผมส่งแมสเสจตอบตกลง แล้วก็นั่งทำงานก๊อกแก๊กของผมเรื่อยเปื่อย

6 โมงกว่าๆ ผมก็โบกมือลาออฟฟิศ วิ่งดุ๊กๆ มาลงลิฟท์ ตรงดิ่งมาที่ลานจอดรถ แต่คนที่ผมเจอกลับไม่ใช่นายคฤณ

“คุณรชต?” แปลกใจมากครับที่เจอเขาที่นี่ หรือมาทำธุระอะไรแถวนี้ อืม ก็เป็นไปได้เพราะว่าตึกนี้ก็มีบริษัทอื่นๆ ใช้เป็นสำนักงานเยอะแยะ

“น้องเจม” น้องเจมอีกแล้ว...อีกเหตุนึงที่ผมไม่มีเวลาให้นายคฤณ (ซึ่งเขาคงไม่ได้สังเกตเพราะว่าเขายุ่งกว่าผมมาก) ก็เพราะผมเอาแต่คิดเรื่อง “น้องเจม” นี่แหล่ะ

“อ่า...พี่นำ” ผมเรียกเขาตามที่น้องเจมควรเรียก หลังจากเจอกันเมื่อต้นเดือน ผมก็เริ่มจำอะไรเกี่ยวกับเขาได้บ้าง มันไม่ใช่ความทรงจำที่ขาดหายไป แต่ผมก็จำเขาได้แค่ “พี่นำ” ที่ชอบมาเล่นกับผมในวันที่ผมไปหาหมอที่คลีนิคเท่านั้น แต่ไม่ยักกะนึกออกว่าเจอเขาที่โรงเรียน

“พี่แวะมาธุระน่ะ”

“อ่อ ครับ ออฟฟิศเจมอยู่นี่ ชั้น 27”

“อื้อ ที่หนึ่งเคยบอก เห็นมันว่าวันนี้มันมาอัดรายการที่นี่ด้วยนี่”

“ครับ นี่เจมก็รอพี่หนึ่งอยู่ ว่าจะ”

“ดีเลย ไปทานข้าวเย็นกันนะครับ 3 คน”

เลข 3 ไม่ถูกกับผมเท่าไหร่หรอก
แต่ว่า สีหน้าเขาเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมขนาดนี้ ปฏิเสธยังไงไม่ให้หมอจิตเวชร้องไห้ดีล่ะ
สุดท้าย ผมก็ยิ้มให้เขา แล้วเดินนำเขาไปยังร้านกาแฟด้านข้างตึก นายคฤณยังอัดรายการไม่เสร็จดีหรอกครับ คงขอเก็บคำถามอีกนิดหน่อย ตอนที่ผมลงมาเห็นไฟในสตูดับแล้วแต่เขายังออๆ กันอยู่หน้าห้อง

พี่นำ(สนิทเร็วไปมั้ยวะกู) เลี้ยงคาปูนิโช่เย็นผม ส่วนเขาดื่มโกโก้ หน่อมแน้มโคตรอ่ะ เห็นเขาดมกลิ่นโกโก้เย็นที่ปนไอน้ำแข็งแล้วรู้สึกเพลินตายังไงไม่รู้

“กลิ่นบำบัดน่ะ พี่ติดแต่เด็ก”
“จริงๆ กลิ่นกาแฟก็บำบัดความเครียดได้นะ อืมม กลิ่นอื่นๆ ก็ช่วยได้ ขอแค่เป็นกลิ่นที่ชอบ หรือมีผลต่อภาวะจิตใจในด้านที่ดี ด้านที่ทำให้ผ่อนคลาย ก็เป็นกลิ่นบำบัดได้หมดแหล่ะ” เขาให้ความรู้แล้วจ้องหน้าผม ทำไงได้ล่ะกู ผมเลยต้องก้มดมคาปูชิโน

และผมก็โง่ไง ก้มลงไปก็เจอหลอดจิ้มตา! แม่งเอ้ย! กูเหมือนตลกคาเฟ่โคตร!

พี่นำหัวเราะชอบใจใหญ่ เขายื่นมือมาจับหัวผมโคลงไปมา สายตาเขายังต้องอยู่ที่ตาผม อืม ก็ไม่รู้เขาจะมองทำไมนักหนา แต่ผมจะคิดซะว่ามันเป็นนิสัยของคนที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้ อาหมอพ่อของพี่นำเองก็ชอบจ้องหน้าสบตาผมแบบนี้

ว่าแต่ว่า แววตานายรชตนี่อ่อนโยนกับผมชะมัด แต่ว่า เขาก็คงอ่อนโยนกับทุกคนนั่นแหล่ะ

“เจม” พี่หนึ่งแน่นอนพันเปอร์เซ็นต์ ผมรู้ได้โดยไม่ต้องหันมอง เก้าอี้ข้างๆ ผมถูกเลื่อนออกและผู้ชายที่ผมคุ้นทุกกลิ่นน้ำหอมที่เขาฉีดผสมกันก็นั่งลงข้างๆ

“คุณเพิ่งเสร็จธุระหรอผู้นำ”

“อืม คุณก็เพิ่งเสร็จงานล่ะสิ วิ่งวุ่นหัวหมุนเชียว”

“อืม ก็งาน”
“แล้วนี่ คุยอะไรกัน ท่าทางน่าสนุก”

“อ๋อ ผมกำลังบอกเจมเรื่องกลิ่นบำบัดน่ะ”

“อ่อ...แล้วกลิ่นไหนบำบัดเจมได้ล่ะ?” นายคฤณพุ่งเป้าทันที คำตอบผมน่ะหรอ? ก็กลิ่นน้ำหอมคุณมึงไงครับคุณคฤณ ผมเฉไฉไม่ตอบแต่อมยิ้มแกล้งเขาเล่น นายคฤณมองขู่ใหญ่ ขี้เสือกเหมือนกันนี่หว่า

สุดท้ายผมก็หัวเราะแล้วตอบมั่วๆ
“กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มมั้งครับ ได้กลิ่นปุ๊บสติดับเลย หลับตลอด”

“ในรถก็หลับเถอะ งั้นกลิ่นหนังหุ้มเบาะรถ กลิ่นอะไรอีกน้า เจมหลับได้ทุกที่นี่”
“กลิ่นตัวพี่ได้มั้ย”

หูยยยยยยยยยยย
กูอาย! เพราะแม่งเรื่องจริง แต่นี่ไม่ได้อยู่กัน 2 คนไง อย่าเล่นแบบนี้!
ผมก้มหน้างุดไปดูคาปูชิโน่ตรงหน้า นายคฤณคงรู้แล้วว่ากลิ่นตัวเขาบำบัดผมได้มั้ย และนายรชตเองก็คงรู้เหมือนกัน ผมเห็นเขาก้มหน้าไปอมยิ้มนิดๆ แล้วก็เงยหน้ามองผมเหมือนเดิม

“เจมนี่โตขึ้นแล้วน่ารักขึ้นเยอะเลยนะครับ” จู่ๆ เขาก็เอ่ยชมผม แต่คนที่หุบยิ้มก่อนผมคือนายคฤณ เสียงหัวเราะเขาหายไปดื้อๆ จากนั้น บทสนทนาของพวกเรา ก็เป็นเรื่องธุรกิจของพวกเขาล้วนๆ

โดยที่ผม แทรกคำไหนเข้าไปในบทสนทนาไม่ได้เลย
นายรชตเอง ก็ไม่ได้รับคำตอบใดที่เขาถามเลย...แม้แต่คำเดียว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-02-2013 21:38:37 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 19.1 - 14/2/13)
«ตอบ #174 เมื่อ14-02-2013 00:59:53 »


แยกกันได้อย่างโล่งใจผม นายรชตกลับโรงพยาบาลที่พ่อเขาเป็นผู้อำนวยนการและหุ้นใหญ่ ส่วนผมและนายคฤณก็มุ่งหน้ากลับคอนโดของเขากัน เขายังไม่พูดอะไรกับผม ผมก็ไม่ได้พูดอะไร

ผมคิดว่าผมรู้ว่าเขาเป็นไร แต่ไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่ผมคิดจะถูก เพราะนั่นมันเท่ากับว่านายคฤณบ้าเกินไปแล้ว และมันจะหมายความอีกว่า ผมหลงตัวเองได้อย่างถูกทาง

“หิวมั้ยครับ อยากกินอะไร เดี๋ยวพี่ทำให้นะ”

“พูดกับเจมได้แล้วหรอ?” ผมดักทาง สายตามองไฟท้ายรถคันหน้า ทะเบียนไม่สวยแต่รถเงาวับ ผ่านค่ะ!

“อ้าว นี่พี่ไม่ได้พูดอยู่กับเจมหรอ?”

“ก็พี่หนึ่งไม่พูดกับเจมมาตั้งนานแล้วนี่ครับ”

“....เฮ้ออออออ” เขาถอนหายใจเสียยาว สัญญาณไฟยังแดงจ๋าน่าฝ่าฝืน นายคฤณเข้าเกียร์เอ็นแล้วดึงเบรกมือ เขาหันมองหน้าผมแล้วก็ก้มหน้าถอนหายใจอีก จากนั้นก็หันมองผมแล้วเอื้อมมือมาขยี้หัวผม ก่อนจะดึงให้เอียงไปซบหัวไหล่เขา
“พี่งี่เง่าแหล่ะ ไม่ดีเลยเนอะ เพื่อนกันแท้ๆ”
“แต่พี่หึง”

หึง...นั่นไง หึงจริงด้วย ผมดีใจที่รู้เท่าทันความคิดเขา แต่ไม่ดีใจตรงที่ เขาหึงเพื่อนนี่แหล่ะ
ส่วนตัว ผมไม่คิดว่านายรชตจะมามีความรู้สึกอะไรกับผมหรอก คงแค่เอ็นดูไปตามประสาพี่น้อง

“หึงทำไมครับเนี่ย? เจมอ่อยเขาหรอ? เจมเปล่านะ ถ้าเจมทำให้พี่หนึ่งรู้สึกแย่กับเพื่อนเจมขอโทษ”

“ไม่ใช่ เจมไม่ได้อ่อยใครนี่” เขาบอกเสียงแผ่วแล้วคืนหัวผมสู่บ่าตัวเอง ก่อนจากมีการฝากริมฝีปากที่หน้าผากด้วย
“พี่ขอโทษนะครับที่รู้สึกแบบนั้น เมื่อกี้คงทำเจมอึดอัดแน่เลย ปกติได้พูดฉอดๆ เมื่อกี้ต้องเงียบอย่างเดียว แต่พี่ไม่อยากให้เจมคุยกับผู้นำจริงๆนะ”

“พี่หนึ่ง พี่นำเขาไม่ได้คิดอะไรกับเจมหรอก เขาคุยกับเจมก็เพราะเจมเป็นแฟนพี่หนึ่งเท่านั้นแหล่ะ”

“..........” นายคฤณเงียบและมองหน้าผม กำลังจะพูดอะไรออกมา รถคันหน้าก็เคลื่อนตัวนำไปซะแล้ว

เขาขับรถเงียบๆ ผมก็เลยขึ้นลิฟท์มาเงียบๆ ตอนนี้ผมไม่สบายใจเลย ไม่อยากให้เขารู้สึกไม่ดีที่คิดหึงเพื่อนเพียงเพราะแค่เพื่อนคุยกับแฟนโง่ๆ ของเขา

ผมจับมือเขาไว้แล้วยิ้มตาหยี นายคฤณหัวเราะนิดเดียวก็งกเสียงเหมือนเดิม แต่เขาโอบบ่าผมไว้แน่น ราวกับต้องการบอกว่า ชาตินี้มึงอย่าได้คิดไปจากกูเลยไอ้ชานนท์!

พอคาปูชิโน่สลายออกจากร่างกายแล้ว ผมก็หิว
ท่าเดินเกาพุงของผมคงทำให้นายคฤณรู้ว่าผมหิว แฟนระดับผู้บริหารของผมก็เลยเปลี่ยนชุดเป็นพ่อบ้าน สวมแค่เสื้อยืดขาวล้วนกับกางเกงขาสั้นและผ้ากันเปื้อนเข้าครัวไปฉิว

“ไก่หรือหมู”

“ไก่ครับ” ตอบไม่ต้องคิด ก็เมื่อกลางวันเพิ่งกินหมูย่างของเจ้ามังกรไปกับไอ้แอม คนเราควรหลากหลาย

“อยากอกโตหรอเจม” เย้! นายคฤณที่ชอบแอบกวนตีนคืนร่างแล้ว ผมชกเอวเขาเบาๆ แล้วก็ช่วยเขาทำมื้อเย็นที่ค่อนไปทางทุ่มกว่า

เมนูของกูวันนี้ มักกะโรนีไก่ซอสฉ่ำ ของโปรดผมเลย
กลิ่นหอมฉุยปลิวแตะจมูก ผมสูดกลิ่นพลางทำเสียงฟุดฟิดแล้วก็ชมเปาะตามประสาคนเห็นอาหารแล้วอารมณ์ดี

“หอมมาก!! กินกัน กิน กิน กิน”

“ชอบกลิ่นนี้หรอ?” อิเรื่องกลิ่นนี่ท่าจะกวนใจเขามากจริงๆ ผมพยักหน้าหงึกแล้วลงมือกิน แต่นายคฤณไม่ยอมจบน่ะสิ

“เจมชอบกลิ่นไหนมากกว่ากัน กลิ่นตัวพี่หรือกลิ่นมักกะโรนี แล้วชอบน้ำหอมกลิ่นไหน กาแฟล่ะ ผ้าปูเตียงในห้องทำให้เจมนอนหลับมั้ย แล้ว”

“พี่หนึ่ง...”

“ครับ?”

“กินก่อนได้มั้ย เจมหิวข้าว”
“แล้วเดี๋ยวลิสท์ให้ฟังว่าชอบกลิ่นไหนที่สุด”

“อาฮะ...โอเค พี่..ขอโทษ สติแตกน่ะ”

ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องสติแตก ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยมีอาการแปลกแบบนี้ ตอนที่รู้เรื่องไอ้แอมชอบผม เขาก็ไม่มีท่าทีถอยหลังตั้งหลักหรือไม่มั่นใจในตัวเองแม้แต่นิด ออกจากคุกคามไอ้แอมด้วยซ้ำ

นายรชต คงเป็นคนที่สำคัญกับเขา ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่งสินะ


อิ่มแปล้เลยมื้อนี้ ผมเป็นคนล้างจานเพราะเขาทำอาหารให้ผมกินแล้วนี่หว่า นายคฤณไม่ได้ไปไหนไกล เขาป้วนเปี้ยนตรงเคาน์เตอร์เพื่อทำเครื่องดื่มอะไรซักอย่าง หันไปดูตอนที่เขาอวดก็พบว่าคั้นน้ำส้ม

“วิตามินซีสูง เจมดื่มแก้หวัดได้ สดชื่นด้วย” อาฮะ นี่ผู้บริหารด้านการเงินแปลงร่างเป็นนักโภชนาการตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

ยื่นมาให้ก็ต้องดื่ม
ผมดื่มรวดเดียวก็หมดแล้ว (ก็นายคฤณรินใส่แก้วจิบเหล้านี่หว่า) พอมั่นใจว่าดูแลผมเพียบพร้อมทุกอย่างแล้ว ผมก็ได้รับอนุญาตให้มาแอ้งแม้งที่โซฟา เพื่อดูทีวีเสียที

อืมมมม
หัวนายคฤณก็ไม่ใช่เบา แต่หนุนนอนนานชิบหายเลย ผมหมดความสนใจในทีวีไปนานแล้ว ก็นี่มันห้าทุ่มกว่าแล้ว และผมก็ง่วงจนผล็อยหลับไป จนสะดุ้งตื่นขึ้นมา นายคฤณก็ยังนอนหนุนตักผมอยู่เหมือนเดิม

“พี่หนึ่ง ไปนอนในห้องเถอะ เจมง่วงอ่ะ”
“พี่หนึ่ง พี่หนึ่งครับ”

“อืมมม” เสียงสื่อถึงตาปรือๆ มากเชียว ผมจับหน้าเขาให้แหงนขึ้นมาแล้วก้มหน้าไปจูบหน้าผากเขาเบาๆ เด็กชายคฤณยิ้มแล้วดึงไหล่ผมไว้ สุดท้ายก็กลายเป็นจูบกัน

“ไปนอนนะครับ”

“คืนนี้กอดเจมได้มั้ยครับ”

“มีแรงหรอครับ?” นี่ผมไม่ได้หยามนะ แต่เขาดูเหนื่อยดูง่วงมาก พอเจอคำทักถามนายคฤณก็หัวเราะเยาะตัวเองและยอมรับอยู่ในที เขาลุกขึ้นยืนแล้วโอบผมทิ้งไว้บนเตียง แล้วก็ทุ่มตัวนอนกกกอดผมไว้เป็นหมอนข้าง แล้วเขาก็หลับตาลงในที่สุด

“เจม...ครับ”
“เจม” คนจวนหลับยังอยากจะพูด ผมหืออือตอบรับในลำคอแล้วโอบมือขยี้หัวเขาบ้าง นายคฤณหัวเราะพอใจแล้วก็ถามอีก จะอะไรกันนักหนาครับเนี่ย

“กลิ่นไหน ทำให้รู้สึกดีที่สุด”
“ครับ?”

“กลิ่นตรงซอกคอพี่หนึ่งครับ” ผมตอบให้เขานอนเต็มฝันเสียที นายคฤณกอดผมแน่นขึ้นและหลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม เออเว้ย! แล้วกูล่ะ ทำกูตื่น ทำกูเขินตัวเองที่กล้าพูดแบบนั้น แล้วเสือกหลับไป อะไรเนี่ย!!



อย่าคิดว่าผมจะรอด
เมื่อคืนเขาเหนื่อยจัด และมีเรื่องกังวล ก็เรื่องกลิ่นนั่นแหล่ะ
แต่พอได้นอนเต็มตา เขาก็กินคนบนเตียงตอนเช้ามืด สภาพผมเลยเป็นอย่างที่เขายืนหัวเราะเอ็นดูอยู่นี่ไง

“ขำอะไร”

“หัวยุ่งหมด ไม่เซตผมหรอครับวันนี้” ผมเผ้าผมกระเจิงมาก หน้าตาก็ยังไม่ตื่นดีด้วยซ้ำ ผมเหล่มองเขาแต่ยังปิดปากเงียบ
“พี่ช่วยเอามั้ย?”

“ไม่เอาแล้ว พี่หนึ่งแตะตัวทีไรก็ไม่จบที่แตะตลอดอ่ะ”

“ก็พี่รักของพี่นี่” กูเกลียดคำอ้างนี้ที่สุด!! ผมยื่นปากทำหน้ามุ่ยแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไปจัดการกับผมเผ้าตัวเองให้ดีกว่านี้ นายคฤณเดินตามเข้ามาแล้วล็อคคอผมไว้ เขาพลิกให้ผมไปซบตัวเขา หน้าผมแนบอยู่กับลำคอเขาพอดี

“หอมรึเปล่า ชอบที่สุดไม่ใช่หรอ? ให้เจมดมได้คนเดียว ดีมั้ย?”

“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว!” ผมงับคอแม่งเลย นายคฤณไม่ได้ว่าอะไร เขาแค่หัวเราะแล้วฟัดแก้มฟัดหัวผม ก่อนจะทิ้งตัวผมอยู่หน้ากระจก ด้วยสภาพหัวที่ยุ่งกว่าเดิม

“พี่หนึ่งงงงงงงงงง เจมขี้เกียจอ่า” กูของอแงบ้างเถอะ!


ก่อนที่เราจะตีกันจนสายกว่านี้ โทรศัพท์ผมก็ร้องลั่น ผมเดินขยำหัวตัวเองไปรับ แต่มือมันลื่นก็เลยกดสปีคเกอร์มันซะเลย

“เจม ตื่นยัง”

“เออ”
“มีไร” ผมคุยกับปลายสายต่อ ไอ้แอมโทรมาครับ เดาว่านายคฤณไม่รู้หรอกว่านี่เสียงใคร ผมเลยปล่อยให้เขาคิดเหมาเอาเองว่าเป็นเพื่อนผม ไม่ได้โกหกนะ ไอ้แอมมันก็เพื่อนผมจริงๆ

“วงในบอกกูมาว่ะ”

“ว่า” ถามไปหาวไป ไม่ได้เอะใจเลยว่า “วงใน” ที่มันพูดถึง คงไม่คาบข่าวชาวบ้านถูกหวยมาบอกหรอก

“กูกับมึง ได้ทั้งคู่ ไปด้วยกันว่ะ”

“หือ?” ผมตาเหลือกทันที รีบเช็ดมือกับกางเกงแล้วกดปิดสปีคเกอร์พลางยกโทรศัพท์แนบหู ผมหันมองด้านหลัง ไม่มีนายคฤณอยู่ในห้องนอนที่ผมอยู่ เขาคงไม่ได้ยินอะไรหรอก

“อะไรนะมึง” ผมเข้ามาคุยกับมันในห้องน้ำ พยายามคุยเสียงเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้
“วงในมึงเชื่อได้รึเปล่า?”
“ห่า ไม่เอาอ่ะ กูยังไม่ดีใจ จนกว่าจะได้เห็นจดหมายตอบรับเอง”
“มึงก็เหมือนกัน รอผลเงียบๆ เถอะว่ะ”
“เออ เออ เจอกัน” ผมวางสายแล้วเดินออกจากห้องน้ำมา และได้พบกับนายคฤณที่ยืนขยับเนคไทอยู่ปลายเตียง

“เจมช่วยนะ” ผมพูดเอาใจแล้วเดินไปช่วยจัดเนคไททันที เขาแอ่นตัวมากอดผมแบบทิ้งน้ำหนัก ทำเอาผมเกือบล้ม แกล้งผมได้แล้วเขาก็จูบดูดปากเสียจนผมเกือบโดนแดกอีกรอบ ดีกว่าผลักออกทัน แล้วนาฬิกาบนหัวเตียงที่เขาตั้งไว้ก็ตีตัวเองเสียงดังพอดี

7 โมงครึ่ง
ถ้าจะจุ๊บจิ๊บ รับรองเขาทำงานสายชัวร์
ฮี่ๆ ผมรอดว่ะ
ซะเมื่อไหร่
แล้วกูเซตผมเพื่ออะไร!!!


สรุปก็สายทั้งคู่ นายคฤณอิ่มเอมกับชีวิตมาก ส่วนผมหรอ? หงุดหงิดครับ เพราะการอุตส่าห์เซตผมทั้งที่ยังนอนไม่เต็มตื่นมันไม่มีความหมายเพราะใครบางคน

“เจ็บหรอครับ ขอโทษนะ ทำแรง”

“บางทีเจมก็อยากตอบพี่หนึ่งตรงๆ นะครับ แต่เจมไม่อยากทำให้พี่เสียใจ” ผมยอกย้อน อารมณ์ตุ่ยๆ  ยังไม่ทิ้งหัวจิตหัวใจไปไหน นายคฤณยื่นหน้ามาถาม ลอยหน้าลอยตา น่าหมั่นไส้!

“พูดตรงๆ เลย พี่รับได้หมดแหล่ะ พี่รักเจมทุกท่วงท่าทุกลีลา จะรักทุกเวลาด้วย”

“พี่หนึ่งแม่งเหี้ย!”
“ไอ้พี่หนึ่งเหี้ย! กูเจ็บตั้งแต่เช้ามืดแล้วด้วย!! กัดหัวนมทำไม! บอกแล้วว่าไม่ชอบ เลียสะดืออีก จั๊กจี๋!”

ครืดดดดดดดดดดดดดดดดด
ประตูลิฟท์เปิดหมดบานพอดี และแน่นอนว่ามันเปิดมาซักระยะแล้ว คนใช้บริการลิฟท์คนอื่นมองหน้าผมอย่างเสียดสี ผมเลยต้องหันหนีไปอีกทาง แม่งเอ้ย! กูอายจนจะร้องไห้อยู่แล้ว แล้วไอ้ตัวต้นเหตุแม่งก็ยืนขำจนหัวสั่นดิ๊กๆ แม่งเอ้ย!

พอคนออกกันหมดที่ล้อบบี้ ผมกับเขาก็พร้อมใจกันยืนนิ่ง ผมกดปิดลิฟท์แล้วกดแม่งชั้นสูงสุด ก็ชั้นที่ผมเพิ่งลงมานั่นแหล่ะ พอไม่มีใครแล้วผมก็ฟาดหลังแม่งไม่ยั้งเลย

“โอ้ยๆๆๆ เจม พี่เจ็บนะ เจมครับ เจม! พี่หนึ่งเจ็บนะ”
“พี่หนึ่งขอโทษ”

“เกลียดแม่ง! แกล้งอ่ะ!” ผมสบถใส่ น้ำตาแม่งจะไหลแล้วจริงๆ เสียหน้าไม่เท่าไหร่แต่ไอ้คนที่ทำให้ผมต้องอายเสือกยืนขำเนี่ยสิ โกรธเว้ย! เดี๋ยวกูหนีไปขั้วโลกเหนือแม่งเลย!

“แต่พี่รักของพี่นี่ครับ”
“ขอโทษนะครับ นะ น้า นะ” อายุ 30 ทำไมมันย้อนวัยได้คล่องปากแบบนี้วะ! สุดท้ายผมก็หายโกรธจนได้ เขาล็อคคอผมแล้วหอมฟอดใหญ่ ครั้งนี้ปล่อยทันประตูลิฟท์เปิดครับ

แสงแรกของวันที่ผมได้เห็น คือแสงสะท้อนหลังคารถชาวบ้านยามที่หน้ารถนายคฤณจ่อจะออกจากหน้าคอนโด เขาไปส่งผมก่อนแล้วค่อยวกกลับออฟฟิศตัวเอง

มันจะไม่น่ากลัวเลย หากเขาไม่พูดขึ้นมาดื้อๆ

“พี่ปูบอกจะมีข่าวดี ออฟฟิศเจมจะมีข่าวดีอะไรหรอ? พี่ควรส่งกระเช้าแสดงความยินดีมั้ย?”

ดูเหมือนผมควรจะชิงบอกเขาก่อนใครจะขยายความมาถึงหูที่แสนกว้างไกลของเขา
แต่ผลมันยังไม่ออก ผมอาจจะไม่ได้รับทุนนี้ ไม่ต้องห่างเขาไปไหน ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็อดเก็บเรื่องราวเอาไว้ก่อนไม่ได้ เพราะผมเชื่อว่าถ้าพูดออกไปทั้งที่ทางเดินของผมยังไม่ถึงทางแยกดี ผมจะเขวลงข้างทางได้เพราะเขานี่แหล่ะ

เขาไม่ได้ทำให้ผมทิ้งอนาคต หรือทิ้งโอกาส
จริงๆ แล้วนายคฤณไม่ได้ทำอะไรเลย และถ้าเขารู้เรื่องนี้เขาจะไม่ทำลายโอกาสผม ไม่ทำให้ผมคิดอะไรมากมาย สิ่งที่เขาทำอย่างเดียว แต่มันก็เป็นอย่างเดียวที่ถ่วงทุกการตัดสินใจของผมเอาไว้

คือทำให้ผมทำให้ผมรู้จักความรัก และทำให้อยากรักให้ได้เท่าเขา


tbc. 19.2


พาร์ทแรกหวานๆ(?) ก่อนค่ะ
เอ้า ยาวปายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-02-2013 21:39:35 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ arisa_sa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 18 - 10/2/13)
«ตอบ #175 เมื่อ14-02-2013 11:31:26 »

น่ารักอะ  :z1:  เจมรีบบอกพี่หนึ่งเถอะ กลัวพี่หนึ่งรู้จากคนอื่นแล้วเสียใจจัง :  :serius2: sad11:

ขอบคุณจ้า  :L1: :pig4: :L1:

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 18 - 10/2/13)
«ตอบ #176 เมื่อ14-02-2013 14:33:31 »

18
คนนั้นก็คือพี่หนึ่งสินะ
แล้วเจมเครียดหรือมีปัญหาไรแต่เด็กหว่า ถึงต้องไปหาจิตแพทย์ หรือหมอจิตเวช? 2คำนี้ความหมายต่างกันป่าวหว่า
หรือนิ่งเฉยไปหลังจากพ่อตาย หรือไม่ไว้ใจใคร ปิดตัวเอง
แบบดูจากว่าแม่กับจิวรู้เรื่องพ่อไม่สบาย แต่ตัวเองไม่รู้เรื่อง

ลุ้นๆๆ ใกล้จบแล้วเหรอ  แง้ ถ้าจบต้องเขียนเรื่องสนุกๆมาให้อ่านเรื่อยๆนะ อุอิ


19.1
เฮ้ย ชักไม่ค่อยดีละ ชักจะกลัวตอนต่อไป
พี่หนึ่งจะรู้สึกยังไงถ้าเกิดว่ารู้จากคนอื่นที่ไม่ใช่เจม
บอกตรงๆ เป็นเรา เราก็อยากให้แฟนบอกทุกเรื่องที่สำคัญแบบนี้นะ
รู้ทีหลังมันไม่สนุกเลย จะรู้สึกเหมือนโดนทุบหัวปั้ก!
ฮือ กลัวตอนต่อไปจริงจัง แล้วยังเรื่องพี่นำอีก

ชอบที่เหมือนจะได้จบเรื่องและแฮปปี้แล้ว ก็มีเหตุการณ์เข้ามานู่นนี่
เรื่องจะได้ไม่เรียบ  แต่คนอ่านเครียดค่ะ -_-"

ออฟไลน์ qq_oo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +143/-4
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 18 - 10/2/13)
«ตอบ #177 เมื่อ14-02-2013 21:00:47 »

รอๆๆๆๆๆๆๆจ้าาา

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 19.2 - 15/2/13)
«ตอบ #178 เมื่อ15-02-2013 20:03:37 »

Hear, Me

=======
If I could, I would
======

ตอนที่ 19.2




วงในไอ้แอมแม่นชิบหาย
เช้าวันนี้ผมเข้าห้องพี่ปูทันทีที่มาถึง ไอ้แอมเองก็เดินหน้าตื่นมาแต่ไกล ห้องของพวกช่างภาพมันอยู่อีกหลืบของออฟฟิศชั้น 27 แสนกว้างครับ

ปะหน้ากันปุ๊บก็สบตา และนึกรู้ทันทีว่าเรื่องอะไร และจะได้ฟังข่าวบวกหรือลบ ไอ้แอมกระตุกมุมปากตกๆ ของมันขึ้นแล้วก็ตบไหล่ผมเบาๆ

“ถ้ามึงได้ไปก็ดีดิ”

“อ้าว แล้วตัวมึงอ่ะ?” ผมถามกลับ รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าตัวเองอลังการมาก ถึงขั้นไอ้แอมเสียสละให้ แต่เปล่าครับ มันว่า

“กูได้อยู่แล้วไง วงในบอก” โธ่! ไอ้ห่า ก็บอกแล้วไงว่าให้ลืมๆ เรื่องวงในไปก่อน

พอเข้าห้องไปพบพี่ปู ก็ได้ซองขาวมาอีกคนละซอง
มุกกลัวโดนไล่ออกไม่ได้ผลแล้วครับ

ผมแกะซอง ดึงกระดาษออกมาแล้วกราดตามองเร็วๆ
จับใจความได้ว่า

นายชานนท์ อริยะกุล ได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนสื่อสารมวลชนประเทศไทย สาขาเศรษฐกิจการเงิน ไปฝึกอบรมที่จัดโดยสมาคมนักหนังสือพิมพ์ประจำสหราชอาณาจักร

อืม....ข่าวดีชิบหาย แต่ทำไมยิ้มไม่ค่อยออกเลยวะ?

ผมเหลือบตามองหน้าไอ้แอมที่ขยับปากอ่านจดหมายที่มันถือในมือ แป๊บเดียวมันก็หันมองผมแล้วฉีกยิ้ม

“ของคุณว่าไง” ถามกูก่อนอีก ทั้งที่กูอยากรู้ของมึงก่อนแท้ๆ ผมยักไหล่แล้วยื่นจดหมายของผมให้มันอ่าน มันก็เลยยื่นของมันมาแลก

ของไอ้แอมก็ข่าวดีเหมือนกัน เริ่มอยากรู้แล้ววงในนี่หมายถึงวงในห้องสัมภาษณ์รึเปล่าว้า?

แล้วพวกผมก็มองหน้าพี่ปูที่ส่งยิ้มให้อย่างหวานเยิ้ม แกพูดว่า “เด็กปั้นของพี่นี่เทพสร้างจริงๆ ได้ดั่งใจทุกคน! อ้อ! เจ้าต้อมนี่ได้ดั่งใจช้ากว่าเพื่อน”

ผมแอบหัวเราะนิดหน่อย นิดเดียวจริงๆ ไอ้ต้อมน่ะลูกรักพี่ปูตัวจริง ทำห่าไรผิดแกก็ให้อภัยมันตลอด ต่อหน้าแกไม่ค่อยชม แต่ก็ป้อนงาน หาประเด็นให้มันพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ส่วนผมน่ะหรอ? เหมือนแกจะเอ็นดูมาก แต่แกดูแลผมแบบ บอกตรงๆ เท่าที่บอกได้ นอกนั้นให้ผมหาทางซอกแซกเอาเองมากกว่า แต่รักไอ้แอมนี่รักเพราะมันแดกเหล้ารสเดียวกับแกล้วนๆ

“พี่จะฉลองข่าวดีให้ วันเปิดตัวหนังสือที่เจมเรียบเรียงนะจ๊ะ อย่าขัดศรัทธา”
“แยกย้ายไปบอกบก.โต๊ะของเจมกับแอมได้แล้ว คงเตรียมกรี๊ดกันน่าดู งานนี้ต้องมีคนน้ำตาไหลแน่ น้องรักไปเรียนต่อนานเลย”

อืม...ขนาดพี่ๆ ในโต๊ะ ยังเสี่ยงจะร้องไห้ แล้วแม่ผมล่ะ? ไอ้จิวล่ะ? พี่หนึ่งอีก
เฮ้ออออออออออออออ
เอาวะ! ไงก็ต้องบอก
ผมฮึดฮัดกับตัวเอง และก็รู้สึกฮึกเหิมเพิ่มขึ้น
แต่พอออกมาจากห้องพี่ปู พอบอกข่าวดีแก่พี่เสาที่เป็นบก.ใหญ่โต๊ะการเงินของผม ใจผมก็เหี่ยวทันที จะไม่ให้เหี่ยวยังไงไหว ก็แกดีใจกรี๊ดๆ แป๊บเดียวก็หน้าเศร้าลง แล้วพอถามกำหนดการไปของผมที่กระชั้นเข้ามาเรื่อยๆ แกก็เบ้หน้าแล้วกอดผมใหญ่โต พร้อมกับส่งเสียงดังให้คนทั่วประเทศรู้ว่าใจหายเหลือเกิน

“เจมของพี่!!!!! โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ” เอ่อ...คือ....ผมไม่ได้ไปตายนะครับ

จากนั้น บรรยากาศในออฟฟิศก็ดีขึ้นเรื่อยๆ สำหรับทุกๆ คน เพราะข่าวดีของผมกับไอ้แอม เอ๊ะ! ทำไมเหมือนกูจะแต่งงานเลยวะ? ...ข่าวดีเรื่องได้ทุนของผมกับไอ้แอมทำให้ทุกคนตื่นเต้น ดีใจ และกระฉับกระเฉงกันเหลือเกิน ไอ้แอมเองก็ไม่ได้หลุดออกมาจากห้องช่างภาพเลย พวกเฮียๆ คงจัดตารางแดกเหล้าอำลากันอยู่แหงๆ

ไอ้ต้อมนี่เดินปาดน้ำตามาหาผมเลย
เจอหน้าก็กอดก็ซุก...มึงเอ้ย! ตอนนี้ให้กอดได้ แต่ถ้านายคณฤโผล่มาเมื่อไหร่รบกวนเก็บมือเก็บตีนให้ห่างกูเลยนะ เวลาเขาหึงแล้วกูโดนหนักกว่าปกติ ซึ่งมึงคงจินตนาการไม่ออก

“มึงไปเมื่อไหร่ กูคงเหงาปาก ไม่มีใครเห่าเป็นเพื่อน”
“ไอ้จิวจะขี้ก่อนให้ใครดมวะ” ห่า! ไม่ใช่สาระแล้วว่ะต้อม ผมตบหัวมันดังป้าบแล้วผลักแม่งออกห่าง คุยกันอีกสักพักก็แยกย้ายไปทำงาน

ผมนั่งมองจดหมายแจ้งผลทุนอยู่นาน ในหัวก็พยายามคิดหาวิธีการบอกที่แม่จะไม่ตกใจ ไอ้จิวจะไม่กระโตกกระตาก และนายคฤณให้การสนับสนุนผมเต็มที่

เมื่อผมต้องการแนวร่วม ผมก็ต้องบอกนายคฤณเป็นคนแรกสินะ
โอเค ได้!

เมื่อสรุปผลได้แล้วผมก็โทรหาเป้าหมายพอดี ระหว่างรอสายก็ได้แค่ขอให้เขาว่างรับโทรศัพท์ เพราะช่วงนี่เขายุ่งมากๆ หลังจากที่แกล้งผมในลิฟท์วันก่อนนู้น เราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย มีแค่โทรฯ คุยกัน และเขาจะเป็นคนโทรฯมา เพราะไม่เคยรับสายที่ผมโทรฯ ทันสักที

ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมรอสายจนมันตัดสัญญาณไปเอง
ไม่ว่างอีกแล้วสินะ
หรืออาจไปเข้าห้องน้ำ ไปแผนกวางแผนลงทุนโครงการที่เขาดูแลโดยตรง
ลองโทรอีกทีก็ได้

ตัดสินใจได้แลวก็โทรอีก โทรอีก และโทรอีก
จนกระทั่งเสียงเรียกของได้รับความสนใจ

“สวัสดีค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ ตอนนี้คุณคฤณไม่ว่างรับสายค่ะ”

“เอ๊ะ! ครับ! เอ่อแล้ว...นี่...” ผู้หญิงที่ไหนวะเนี่ย ปกติถ้าไม่ว่างก็คือไม่รับเลย ไม่เคยมีใครรับโทรศัพท์แทน แล้วนี่มันก็โทรศัพท์ส่วนตัวด้วย ไม่ใช่เบอร์ที่เขาใช้เพื่อติดต่อธุรกิจ

“ดิฉัน อิกษราค่ะ เลขาคุณคฤณ” เสียงสวยชิบหาย พูดเพราะด้วย ผมตอบครับเพื่อรับรู้ เธอถามว่าจะฝากอะไรถึงนายคฤณรึเปล่า แต่ผมปฏิเสธไปแล้วก็วางสายในที่สุด

อืม...ผมพยายามแล้วนะ แต่เขาไม่มีเวลาฟังผมนี่หว่า
งั้นเย็นนี้ คงต้องบอกแม่กับไอ้จิวตามลำพังแล้วล่ะ
มโนเอาเองว่าเขาก็เห็นดีเห็นงามด้วยก็แล้วกัน


ตกเย็น ผมโทรหาพี่จิว ตู๊ดยังไม่ยาวมากมันก็รับสาย

“มีไรเจม เอาไรรึเปล่า?” ดูท่า ทุกครั้งที่เห็นผมโทรฯ หา มันต้องคิดไว้ก่อนว่าผมมีไรให้ช่วยแน่เลย ห่า! กูก็โตตามมึงทุกๆ 1 วินาทีแหล่ะ

“กลับรึเปล่า?”

“กลับดิ จะกินไร เดี๋ยวหาซื้อให้”

“ไม่ ไม่ เดี๋ยวหาซื้อเอง เจอกันที่บ้าน แต่...”

“แต่อะไรอีกอ่ะ? เงินหมดแล้วหรอ เมื่อต้นเดือนก็โอนเข้าไปให้ตั้งสามหมื่น ทำไมใช้เงินเปลือง มึงเอาแบงก์เช็ดตูดหรอเหี้ย!” ด่าไมว้า!! ผมส่งเสียงขัดใจแล้วก็บอกมันเสียงกระชาก

“กูมีข่าวดีจะบอก แค่จะบอกว่า มึงกลับเร็วกว่าเดิมหน่อยก็ดี มันต้องคุยกันยาวอ่ะ”
“อยากคุยกับจิวกับแม่พร้อมกัน”

“เรื่องไรวะ? เฮียคลินขอมึงแต่งงานหรอ? ต้องไปแต่งต่างประเทศสินะ กูกับแม่ไม่ขัดหรอก แต่สินสอดแพงโข เลี้ยงมึงให้ไม่บ้านี่หมดเงินไปเยอะนะเจม” ไอ้เหี้ย! แต่งงานห่าไร! แม่งเพ้อเจ้อ

“พูดมาก เดี๋ยวกูแช่งให้ขี้แข็ง”
“กลับเร็วๆ นะ รอที่บ้าน”

“ครับ ครับ” รับคำแล้วมันก็ตัดสาย ไม่เคยเลยที่ผมจะวางโทรศัพท์ก่อนไอ้พี่จิวเนี่ย


ผมแวะท้อปส์ที่เซ็นทรัลก่อน แล้วค่อยยูเทิร์นรถเพื่อกลับบ้าน ถึงบ้านก็ลงมือทำอาหารที่เป็นของโปรดผม ป้าพิศมาบ้านวันนี้ด้วย แกตกใจใหญ่ที่ผมกลับเร็วกว่าแม่ ซ้ำยังซื้อของมาทำกับข้าวกินเองอีก แต่พอผมบอกว่า ผมมีข่าวดี เลยอยากเซอร์ไพรส์แม่กับพี่จิว ป้าแกก็ถามทันทีว่า "จะแต่งงานหรอคะ? สาวที่ไหน ป้าเคยเจอรึเปล่า?” อยากจะบอกว่า ถ้านับเพศแม่แล้ว นอกจากแม่ ก็มีป้าพิศนี่แหล่ะที่ผมเปิดประตูให้เข้าบ้าน

สาวอื่นที่เคยผ่านมือ เอ้ยผ่านมา พาขึ้นคอนโดเท่านั้นครับ

ราวๆ ทุ่มนึง แม่ก็ขับรถกลับมา ผมออกไปต้อนรับด้วยนะ คุณนายวันรพีตาโตใหญ่ มีการเดินถอยหลังพลางส่ายหน้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น เอาเถอะ! อยากทำไรก็ทำครับ เพราะเดี๋ยวอาจจะไม่ได้ทำอย่างที่อยากแล้ว

อวดกับข้าวที่ทำเองกับแม่แล้ว ไอ้จิวก็กลับมา ซึ่งมันก็กลับมาเร็วตามที่รับปากครับ ถอดเสื้อเชิ้ต เปลี่ยนใส่เสื้อยืดคอวีกับกางเกงนอนตัวซ้ำซากของมันแล้วก็มารวมพลกันกินข้าว

ผมไม่ได้บอกอะไรตอนกิน ผมแค่กินไปยิ้มไป ตักกับข้าวให้แม่กับพี่ชายอย่างเอาอกเอาใจ จนทั้งคู่มองหน้าผมอย่างเคลือบแคลง

แล้วเวลาเปิดเผยความสามารถที่ซ่อนลึกของผมก็มาถึง ผมดันแม่กับจิวมานั่งรอที่โซฟา เบาเสียงทีวีเพื่อไม่ให้ใครมารบกวนการแจ้งข่าวของผม จากนั้นก็หยิบจดหมายแจ้งผลทุนให้ไอ้จิวทันที

มันเหลอหลา แต่ก็หยิบออกมาแล้วคลี่อ่าน
แต่ละบรรทัดที่มันไล่สายตา คิ้วมันจะขมวดเข้าหากันเรื่อยๆ
แม่เองก็เหมือนกัน

“เจม..นี่...ไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย?” ไอ้จิวถามเสียงเครียด ผมเป่าปากแล้วพยักหน้ารับ มันอ่านอีกรอบแล้วทวนออกเสียงให้แม่หน้าซีดกว่าเดิม

“แล้ว...ไปเมื่อไหร่”

“กุมภา ปีหน้า”

“นานแค่ไหน ในนี้บอก 8 เดือน”

“จริงๆ ก็คงปีนึงอ่ะ มันจะมีช่วงสอบแล้วรอผล 2 เดือน อบรม 2 ภาค สอบ 2 ครั้ง”
“แต่ไม่ได้ปริญญาอะไรหรอกนะครับแม่” ผมบอกแม่ที่พยักหน้าแล้วนิ่งเงียบ
“ไม่มีค่าใช้จ่าย มีที่อยู่ให้ แล้วก็มีเบี้ยเลี้ยง ส่วนเงินเดือนที่นี่จ่ายครึ่งเดียว แล้วก็ยังคงสถานะภาพเป็นพนักงานอยู่ครับแม่”

“นานว่ะ”

“แม่กับจิว ดีใจกับเจมใช่มั้ย?”

ผมรู้ว่ามันคงยากที่จะกระโดดดีใจ นี่ไม่ใช่การถูกหวย นี่ไม่ใช่โชค นี่คือการพยายาม การเลือกทางเดิน การเดินหน้าเพื่ออนาคต เพื่อเติบโตขึ้นอีกก้าว

หลายอย่างที่แม่เป็นกังวล ผมรู้ แต่คงรู้ไม่หมดว่าแม่กังวลเรื่องอะไรแทนผมบ้าง แต่อย่างน้อย สิ่งที่ผมอยากเห็นก็คือรอยยิ้ม ไม่ใช่ใบหน้าซีดๆ ใกล้จะร้องไห้

“ไม่พูดอะไรหน่อยหรอครับ? เจมทำให้ภูมิใจไม่ใช่หรอ?”
“ทุนนี้ ถึงจะไม่ได้สอบวัดความรู้อะไรมาก แต่เจมก็ตั้งใจทำงาน เพื่อเอาผลงานไปให้เขาประเมิน”
“แม่ไม่ดีใจหรอ?”

“ดีใจสิเจม แม่ดีใจอยู่แล้ว”
“แต่เจมต้องไปไกล แม่เป็นห่วง”

“เจมโตแล้ว” รู้ว่าพูดไป แม่ก็ไม่เคยเห็นผมโตหรอก ภาพของผมที่ติดอยู่ในหัวใจแม่ก็คือ ลูกชายคนเล็กที่ติดจะเงียบและไม่แสดงออกในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก และลูกชายที่เคยป่วยทางจิตจนต้องบำบัดกันอยู่ 3 ปี

“เจมจะดูแลตัวเองอย่างดี”
“แม่กับจิว ดีใจกับเจมหน่อยนะ”

“ดีใจสิวะ! น้องเจมของเราโตแล้วนะแม่” ไอ้จิวหันไปบอกแม่แล้วพยายามชวนแม่ยิ้ม คุณนายวันรพียอมยิ้มและเดินมากอดผมไว้แน่น

จากที่คิดว่าแม่ใกล้ร้องไห้ ตัวผมนี่แหล่ะที่เป็นฝ่ายน้ำตาเอ่อขึ้นมาแทน ผมรีบกระพริบตาถี่ๆ แล้วผละตัวออกเพื่อมองหน้าแม่

“หม่อมแม่ร้องไห้ทำไมเนี่ย นี่เจมไปได้ดิบได้ดีนะ รู้ป่าวว่ามีคนชิงทุนนี้ 3 คน เอาแค่ 2 นี่ลูกแม่โคตรเก่งนะ”

“จ้าจ้า หม่อมเจมเก่งสุดอยู่แล้ว”
“ฮื้อออ งี้ต้องฉลองเนอะจิวเนอะ”

“ครับ แม่จะกินเหล้ากับพวกจิวหรอ?”

“มะเหงกสิ กินเหล้าได้ไง กินนมก็พอ พรุ่งนี้ใส่บาตรกันนะลูกนะ”
“คืนนี้บอกพ่อเขาด้วย”

“ครับ” ผมรับคำ แม่อ่านจดหมายแจ้งผลนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วก็เอาแต่นิ่งเงียบ คงคิดว่าต้องเตรียมการอะไรบ้างเพื่อให้ผมอยู่อย่างสุขสบายที่สุดในประเทศที่ไม่ใช่บ้านเกิดตัวเอง


ราว 5 ทุ่ม ไอ้จิวก็เข้ามาหาผมในห้อง มันไม่ได้พูดอะไรมาก แค่นอนบนเตียงผมเงียบๆ แล้วบอกเพียงว่า “มีไรก็บอกนะเจม อย่าคิดว่าตัวคนเดียวบนโลกล่ะ” ผมยิ้มให้แล้วนอนเคียงกับมันบนเตียง

จู่ๆ ก็นึกถึงตอนเป็นเด็กที่เดินตามมันต้อยๆ
มันไปไหนมันก็ต้องลากเอาผมไปด้วย เพราะแม่สั่งไว้ให้ดูน้อง ไหนจะเฮียคลินที่มันรักชิบหายสั่งไว้อีกว่าต้องดูน้อง มันก็เลยเป็นพี่ชายที่ดีมากสำหรับผม

เออว่ะ มันเคยบอกว่าเฮียคลินของมัน หรือพี่หนึ่งของผม เผื่อแผ่ความใจดีมาถึงผมด้วยการสั่งให้มันมาลากผมไปเข้าใกล้โลกของคนอื่นเขาบ้างนี่หว่า

“อื้อ จิว ถามไรหน่อยดิ” ผมเอาขาสะกิดขามัน ขอให้มันยังไม่หลับเถอะ คือ...ผมค่อนข้างหวงเตียงและคิดว่ามันเป็นความชอบธรรมของผมที่จะหวง เพราะผมเองก็ไม่ค่อยแตะต้องเตียงใครเหมือนกัน เว้นคนนึง คนนั้นแหล่ะครับ

“ไร?”

“ตอนม.ต้น จิวมาลากเจมทุกเย็น เพราะพี่หนึ่งบอกหรอ?”

“อืม บอกแม่งทุกวันแหล่ะ จิวบอกไปว่าเรียกแล้ว เรียกแล้ว เฮียก็บอกให้ไปเรียกจนกว่าจะมา บอกว่าไม่อยากเจมเป็นใบ้”

“ใจดีเนอะ”

“อือดิ ใจดีมาก ถามไรก็ตอบหมด สอนหมด ขออะไรก็ให้ แม้จะด่ายาวก่อนก็เถอะ อย่างชมรมอ่ะ จริงๆ ก็ไม่ได้อยู่หรอก เต็ม แต่เฮียยัดเข้าไป ยัดเพื่อนจิวให้ด้วยนะ ก็มีไอ้ต้อมไง แล้วก็ไอ้โปน”

“อ่อ โปน จำหน้ามันไม่ได้แล้วว่ะ”
“จะว่าไป เจมก็จำหน้าใครไม่ค่อยได้ ไม่ค่อยได้มองหน้าใคร จำได้แค่เพื่อนม.ปลาย”

“อืม ก็ไม่แปลกที่เจมจะจำเฮียคลินไม่ได้ แต่เป็นกู กูจะจำได้นะ เพราะเฮียคลินเขาดีกับมึงมาก”
“บางวันก็ไม่เตะบอล แต่นั่งเฝ้ามึงไว้ให้ เอาขนมเอานมให้กิน สอนการบ้านมึงด้วย คะแนนเลขมึงนี้ได้ดีจนเรียนต่อสายคำนวณก็เพราะเฮียนี่ล่ะมั้ง”

“หือ?”
“พี่หนึ่งเนี่ยนะ สอนการบ้านเจม”

“เอ้า! เออเด่ะ!”
“เฮียคลินแม่งดูแลมึงจนเพื่อนเฮียแซวอ่ะ เฮียนำยังเคยแซวเลยว่าถ้าเฮียคลินไม่เข้าชมรม จะเอามึงไปเลี้ยงเอง แล้วให้เฮียเลี้ยงกูคนเดียว”
“มึงเนี่ย เป็นน้องชาที่มีแต่คนรู้จัก แต่มึงไม่รู้จักใครซักคน เพราะมึงไม่มองใคร ไม่สนใจใครเลยไง”

เดี๋ยวๆ ไอ้พฤติกรรมไม่มองใคร ไม่ฟังเสียงใคร ไม่สนใจใครนั่นผมยอมรับ
แต่ไอ้ที่ว่า พี่หนึ่งดูแลผมจนโดนเพื่อนแซวนี่...ผมไม่เคยรู้

แล้วที่ว่าสอนการบ้าน นั่งเฝ้านั่นอะไรวะ?

“จิว!” ผมเด้งตัวขึ้นนั่งแล้วจับหน้ามันไว้ไม่ให้หลบตาไปปั้นเรื่องมาโม้กัน
“ตอบกูตรงๆนะ เอาตามความจริงที่สุดนะ”

“อะไรของมึงเนี่ย! อย่าจับหน้า เดี๋ยวสิวกูขึ้น!”

“จิว! พี่หนึ่งอ่ะ ที่จิวบอกว่านั่งเฝ้าเจม สอนการบ้านเจมเนี่ย”
“ทำตอนไหน?”

“ก็แทบทุกเย็นแหล่ะ ช่วงม. 2 นี่เยอะหน่อย เพราะกูติดเพื่อนแต่ก็ไม่อยากให้มึงหง่าวอยู่ชมรมวาดรูปเงียบๆ ของมึงอ่ะ เฮียเลยให้ไปลากออกมานั่งข้างสนาม แล้วเฮียก็นั่งเฝ้ามึงให้ กูก็เห็นมึงคุยกับเขานี่ จำเขาไม่ได้หรอ?”

“เป็นพี่หนึ่งเองหรอเนี่ย?”
“จริงๆ นะจิว อย่าโม้นะเว้ย”

“โม้ห่าไร! มึงไปถามเพื่อนเฮีย หรือเพื่อนกู เพื่อนมึงด้วยเอ้า! ตอนนั้น ใครพูดกับมึงได้นี่เก่งชิบหายแล้ว ห่า! แปลกจนกูโกรธเพื่อนแทบทั้งห้องเพราะแม่งชอบวางแผนจะแกล้งมึงมั่ง พนันกันมั่งว่ามึงจะพูดหรือไม่พูดมั่ง จนต้องเอามึงไปไหนมาไหนด้วย เพื่อนกูช่างหัวแม่ง เอาน้องไว้ก่อน”
“ดีว่าม.ปลายดีขึ้น กูเลยได้เยี่ยวแบบเดียวดายมั่งไรมั่ง”
“นี่มึงจำอะไรช่วงม.ต้นไม่ได้จริงๆ หรอ?”

“ก็ไม่เชิงหรอก จำได้เป็นเรื่องๆ แต่ว่าเรื่องพี่หนึ่ง มันเป็นส่วนที่เจมลืมไป”
“นึกหน้าเขาไม่เคยออกเลย ทั้งที่เจม....”

“ทำไม? เจมทำไม?”
“อย่าบอกนะว่ามึงประทับใจเฮียคลิน 2 ครั้งแล้วในชีวิต”

“อือ ว่างั้นก็ได้”
“จิว..”

“อะไรอีก”

“เจมดีใจว่ะ ดีใจที่พี่คนนั้น ก็คือพี่หนึ่ง”
“กูโคตรดีใจเลย!”
ผมขยำหัวตัวเองเหมือนคนบ้า แล้วก็มุดๆ หมอนเตะตีขากลางอากาศอย่างบ้าคลั่ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-02-2013 10:56:55 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 19.2 - 15/2/13)
«ตอบ #179 เมื่อ15-02-2013 20:18:47 »

เขาคือพี่คนนั้น
คนที่ผม...โคตรประทับใจ
เพราะเขาเป็นคนเดียวในตอนนั้นที่ผมมองเห็น ที่มองเห็นผม ที่ผมยิ้มให้ และที่ยิ้มให้ผม
เขาคือคนนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว!!
เหี้ยเอ้ย! ผมไม่ควรลืมเรื่องตอนเด็กเลย ไม่น่าเก็บตัวเลย
แต่คิดอีกที หากผมจำเขาได้ไม่ลืม ผมกับเขาอาจไม่มีวันนี้ก็ได้ ใครจะรู้

ผมดันไอ้จิวออกจากห้อง รับปากมันแน่วแน่มากว่าจะโตขึ้นอีกขั้น และฝึกดูแลตัวเองเพื่อที่จะได้ชินเวลาไปอยู่ที่อังกฤษ
พอไอ้พี่ชายพอใจแล้วมันก็ยอมแยกไปนอน กอดผมด้วย 1 แน่น

เที่ยงคืนกว่า ผมโทรฯ หานายคฤณ
ผมดีใจจัง ผมจะเล่าให้เขาฟังให้หมด ผมจะบอกว่าน้องชาคนนั้นคิดอะไรอยู่ แล้วน้องชาคนนั้นมีคำพูดอะไรบ้างที่อยากบอกแต่ไม่เคยกล้าบอก ไม่กล้าแม้แต่กล้ามองหน้านานๆ

หากถามเขาถึงเหตุผลที่รักผม แล้วเขาบอกว่าไม่มีเหตุผลอะไรให้ ก็แค่ว่าใจมันจะรัก ผมก็คงมีคำตอบเดียวกันให้หากถามผมว่าทำไมเลือกเปิดทางให้เขารัก

ก็ใจมันอยากให้เขารักนี่หว่า

“รับสิ รับสิ”

แต่ว่า รอสายจนมันตัดไป โทรฯ ไปใหม่อีกรอบ เขาก็ยังไม่รับสายผมเสียที

“ฮัลโหล” ผมสะดุ้งเมื่อเสียงแปลกๆ รับสายแทนเสียงเขา หัวใจผมเต้นตึงตังเพราะตกใจชิบหาย

“เอ่อ...พี่หนึ่งครับ?”

“ไม่ใช่ค่ะ คุณคฤณหลับแล้วค่ะ”

“หลับแล้ว? เอ่อขอโทษนะครับ เขาหลับไปที่ไหน”

“คอนโดค่ะ ดิฉันมาส่ง”
“ไม่ทราบว่าดิฉันเรียนสายกับใครคะ?”

“...........”

“คุณคะ?”

“แล้วคุณล่ะครับ เป็นใคร?” ผมถามเสียงเรียบ ใจดิ่งลงจากก้อนเมฆเบาหวิวเมื่อครู่ลงสู่ดินอย่างหมดท่าสวย

“ไม่สำคัญหรอกค่ะ คุณล่ะคะ? มีธุระอะไรฝากไว้มั้ย ถ้าไม่มีดิฉันวางนะคะ หนึ่งเขาต้องการพักผ่อน”

ผมอยู่ที่ห้องนอนผม นั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าสบายๆ แต่หน้าผมชาเหมือนโดนตบฉาดใหญ่

หนึ่งเขาต้องการพักผ่อน...นี่สื่อถึงอะไรได้บ้างผมไม่รู้
ที่ผมรู้มีอย่างเดียวคือ กูไม่พอใจ ไม่พอใจสุดๆ

ผมตัดสาย มือยังสั่นไม่เลิกเสียที
ผมพยายามสงบใจแล้วนอนหลับ แต่ผมนอนไม่หลับเสียที ในหัวผมมีแต่สารพันความคิด สัญชาติมโนนีเซียมันสิงผมเต็มร่าง ผมคิดไปต่างต่างนานาว่าเธอคนนั้นเป็นใคร ตอนนี้จะอยู่ส่วนไหนในห้อง แล้วทำไมเธอถึงมีสิทธิ์เข้าไปในห้องนายคฤณ

หรือว่า เธอก็เข้าออกมานานแล้ว นานกว่าผม
หรือเธอดูแลนายคฤณมานานแล้ว นานกว่าผม
หรือเธอก็รู้ว่าเหมือนกันว่าหนึ่งต้องการพักผ่อน รู้มานานแล้ว นานกว่าผม
ผมไม่รู้เลยว่าเธอคือใคร เป็นอะไรกับนายคฤณ
8-9 เดือนที่คบกัน ผมรู้เฉพาะเรื่องที่เขาบอก แต่ผมเนี่ยสิบอกเขาทุกเรื่อง เรื่องที่ยังไม่ได้บอกก็ทำเอาเครียดชิบหายเพราะไม่รู้จะบอกเขาว่ายังไงดี

แล้วนี่อะไร?
คนนี้คือใคร?
แล้วผม...ผมสามารถรู้สึกอะไรได้บ้างในตอนนี้ ผมไม่รู้เลย




ผมฟื้นตัวแล้ว ทั้งที่นอนไปเพิ่ง 3 ชั่วโมง
ตอนนี้แค่ 6 โมงเช้าเท่านั้น แต่ผมตื่นแล้วและอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว สตาร์ทรถแล้วด้วยซ้ำตอนที่แม่เดินงงๆ มาหาที่รถ

“จะไปไหนหรอเจม เช้าไปรึเปล่าลูก”

“ไปหาพี่หนึ่งครับ นัดไว้ เดี๋ยวเย็นนี้เจมรีบกลับมาหาแม่นะ”

“เอางั้นหรอ? ขับรถดีๆ นะลูก”

“ครับ” ผมรับคำแล้วสิ่งยิ้มให้แม่มองอย่างไร้สิ่งน่าสงสัยบนใบหน้า ผ่านจากมือแม่แล้วผมก็ตรงดิ่งไปยังคอนโดเขาทันที

วันนี้วันเสาร์ เช้าวันเสาร์รถไม่ติด แป๊บเดียวผมก็จอดรถมินิของผมเทียบเคียงเบนซ์ของเขา
รถอยู่ เขาก็ต้องอยู่ คอนโดที่เธอคนเมื่อคืนพูดก็คงเป็นคอนโดของเขา ก็ยังดีที่นอนที่ห้องตัวเอง ไม่ใช่....

ลิฟท์มาส่งผมอย่างนิ่มนวล ปลายเท้าพาผมเดินอย่างแน่วแน่มายังห้องเขา คีย์การ์ดสำรองที่เขาไว้ผมไว้ถูกนำมาใช้งาน

ผมเปิดประตูไปด้วยความคิดว่างเปล่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมไม่ได้มาเพื่อจับผิด แต่ผมมาเพื่อเห็นเองกับตาว่าสิ่งที่สร้างความสงสัยให้ผมเมื่อคืนคืออะไร?

ในห้องเขาเงียบเชียบ และแม้จะไม่ใช่ห้องนอน เขาก็เปิดแอร์ที่ระดับ 23 องศา ผมไม่หนาวมากนัก เพราะเริ่มชินกับอุณหภูมินี้แล้ว

ผมเดินไปยังห้องนอนเขา กะไว้ว่าจะกระโจนไปนอนกอดแล้วขอนอนต่อที่ห้องเขา นอนใกล้ๆ เขาที่พรมด้วยกลิ่นกายที่ผมชอบที่สุด

แต่พอเปิดประตูห้องนอน ผมกลับกระโจนไปอย่างที่คิดไม่ได้

ก็เตียงไม่ว่าง
เตียงคิงไซส์ แต่กลับไม่มีที่ว่างสำหรับผม


นายคฤณในชุดนอนที่ชอบสวมบ่อยๆ นอนเคียงกับผู้หญิงคนนึง ที่ใส่เสื้อนอนของผม

เสื้อนอนของผม!

น้ำตาผมหยดโดยที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเริ่มกลั่นตัววินาทีไหน
และก็ไม่รู้ว่ามันจะหยุดไหลเมื่อไหร่ด้วย

ผมยืนสะอื้นอยู่แค่หน้าห้อง ผมไม่ก้าวล่วงเข้าไป
ที่นี่...ไม่ใช่ที่ของผมอีกต่อไปแล้ว
ความทรงจำดีๆ ของผม ถูกขยี้จนยับเยินหมดแล้ว

นายคฤณขยับตัวตะแคง เขาก่ายมือกอดคนข้างๆ ท่าทางเขาดูกำลังหลับสบาย


“ก็พี่รักของพี่นี่” เขาพูดแบบนี้บ่อยๆ เวลาง้อผมหลังจากที่ฟัดผมจนเจ็บจนช้ำ แค่คำง่ายๆ ผมก็หายโกรธเขาเป็นปลิดทิ้ง

ตอนนี้เขาก็ทำผมเจ็บ ทำผมช้ำ คำอ้างจะยังเป็นคำเดิมรึเปล่า
เขาทำแบบนี้กับผม ก็เพราะ “พี่รักของพี่นี่” รึเปล่า?

คนรักกัน ทำกันแบบนี้หรอ 
ผมกลั้นเสียงหายใจติดขัดของผมแล้วปิดประตูห้องลงเสีย จากนั้นผมก็เดินออกจากห้องเขาไปอย่างช้ำที่หัวใจที่สุด













นายพิชญะหน้าตาแจ่มใสมากๆ วันนี้ เขาปรี่มาหาผมทันทีที่เห็นหน้า
วันนี้คือวันเปิดตัวหนังสือที่เล่าประสบการณ์ชีวิตของเขาเล่มแรก “อาตี๋ในคอนโดทรงไทย” ชื่อหนังสือนี่ผมไม่ได้ตั้ง พี่ผู้เชี่ยวชาญช่วยๆ กันเกลาชื่ออีกที ซึ่งดูเหมือนนายพิชญะจะชื่นชอบมากๆ

“หวัดดีครับเจม”

“หวัดดีครับคุณพิชญะ”

“โหย! เรียกพี่หนึ่ง เรียกพี่นำ ก็ต้องเรียกพี่พีชสิ” ผมยิ้มแห้งๆ และไม่ได้เรียกเขาว่าพี่พีชตามที่เขาบอกทางอ้อม จริงๆ แล้วผมตั้งใจแน่วแน่มากว่าจะเรียกเขาแค่ คุณพิชญะ

นายคฤณเอง ก็จะเป็นเพียงแค่คุณคฤณสำหรับผมเหมือนกัน

จากเช้าวันนั้นจนวันนี้ ผ่นมาราว 5 วันแล้ว ผมไม่ได้ติดต่อเขาอีก เขาก็ไม่ได้โทรมาหาผมเหมือนกัน ไม่แวะมาหา ไม่ส่งอะไรมาเซอร์ไพรส์ ไม่มาหาแม่กับจิว แม้แต่ไอ้ตัวหนึ่งกับตัวสองก็เป็นหมาที่คอยเขาเก้อไปวันๆ

ผมไม่รู้ว่าในห้องนั้นเกิดอะไรขึ้น เขาอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมไปเห็นอะไรที่เขาไม่ต้องการให้เห็นเข้าแล้ว หรือเขาอาจรู้ และเลือกจะเพิกเฉยตราบใดที่ผมไม่เอ่ยปากว่าผมเห็น เรื่องนี้ก็จะเป็นแค่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น

“พี่ส่งบัตรเชิญให้ที่หนึ่งแล้ว เดี๋ยวคงมา”
“แต่สงสัยจะได้บัตรเชิญ 3 ใบล่ะมั้ง” เขาแซวผมกลายๆ สินะ ผมยิ้มให้อีกทีแล้วก็ขอตัวไปช่วยงานพี่คนอื่นๆ

วันนี้เปิดตัวหนังสือทั้งหมด 10 เล่ม จากลูกไม้ใต้ต้น 10 วงการ ซึ่งเป็นแผนเปิดตัวที่ปรับใหม่อีกครัั้ง
เพราะฉะนั้นงานก็เลยใหญ่ เพราะท่านพ่อท่านแม่ทั้งหลายของคุณลูกชายลูกสาวที่ได้รับการคัดเลือกมาแล้วว่าเป็นเพชรเม็ดงาม น่านำมาเปิดตัวโชว์ มาให้กำลังใจสายเลือดตัวเองกันพรึ่บพรั่บ

สำนักพิมพ์ผมเปิดห้องจัดเลี้ยง จัดการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ และยังมีสัมมนาย่อยๆ เกี่ยวกับธุรกิจที่กำลังฮอทฮิทในตอนนี้

ผมมาร่วมงานในฐานะผู้เรียบเรียงหนังสือ 2 เล่ม แต่ไม่มีการเปิดตัวผมหรอก แค่เปิดตัวหนังสือที่ผมช่วยเล่าเรื่องราวของคนอื่นเท่านั้นเอง

เมื่อเวลางวดเข้ามาจนใกล้เวลาเปิดงานอย่างเป็นทางการ เขาก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับผู้หญิง 1 คนที่เดินเคียงเขาเข้างานมา

“เจม” เขาเรียกผมทันทีที่เห็น ผมก็หันไปหาทันทีที่เขาเรียก แต่ผมไม่ได้มองหน้าเขาหรอก ผมยังมองไม่ได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่นึกถึงเขา ภาพในเช้าวันนั้นมันก็เด้งขึ้นมาทับทุกอย่างในทันที

“ครับ”

“ตื่นเต้นมั้ย งานเขียนเจมตั้ง 2 เรื่อง”

“ครับ” ผมรับคำสั้นๆ และยังคงก้มหน้าเหมือนเดิม ดูเหมือนเขาจะพูดอะไรบางอย่างกับเธอ เธอเลยเดินงานไปก่อน แต่แม้เธอจะแต่งตัวมาดี แต่งหน้าเป๊ะ ผมสลวย หุ่นดีมากและดูมีการศึกษาสุดๆ แค่ไหน สำหรับผมแล้ว ผู้หญิงคนที่เพิ่งเดินผ่านหน้าผมไปก็แค่ผู้หญิงที่แย่งเสื้อนอนผม

“ไม่บอกพี่เลย ได้บัตรเชิญจากไอ้พีชถึงได้รู้เรื่อง”
“พี่งานเยอะ ขอโทษนะ”

“ครับ”

“โกรธที่พี่ไม่มีเวลาให้หรอ? พี่ขอโทษนะ นี่ก็รีบเคลียร์ทุกอย่างให้ว่างวันนี้”

“ครับ”

“เจมเป็นอะไรรึเปล่า? ป่วยมั้ย?”

“ไม่ครับ ผมสบายดี” ผมจงใจใช้คำให้ห่างเหิน เขาจะได้รู้เสียทีว่าผมผิดปกติ จะได้เอะใจ จะได้เสียวสันหลัง จะได้หาคำมาแก้ตัว จะได้รู้ตัวว่าทำผมเสียใจแค่ไหน

“ผมหรอ? อะไรกัน? แสดงว่าโกรธมาก”
“พี่ขอโทษยังไงดี หือ?”

“เชิญด้านในดีกว่าครับ” ผมบอกปัดแล้วเดินหนีไป แต่เขากลับรั้งบ่าผมเอาไว้ก่อน และแค่มือเขาจับตัวผม ผมก็สั่นไปทั้งตัวแล้ว

ผมเบี่ยงตัวหนี แต่ยอมยืนนิ่ง เขาจะได้ไม่ยื้อร่างกายผมอีก

“เจมเป็นอะไร? มีอะไร? พูดกับพี่ตรงๆ สิ”

“...........”

“เจมครับ”

“คุณหนึ่ง” พี่ปูออกจากห้องจัดงานเจอเขาเข้าพอดีก็รี่มาทัก แกยืนข้างผมแล้วจับบ่าผมไว้อย่างภูมิอกภูมิใจ

“เด็กปั้นพี่เลยนะคะ นี่อย่าลืมอ่านเล่มที่เจมเรียบเรียงก่อนนะ สนุกมากกกกก” เธอย้ำเสียงเพื่อให้บทสนทนามีรสชาติ แต่ผมไม่รู้สึกอะไรเลย นอกจากอยากอยู่เงียบๆ

“รายนี้เขาเก่ง วันนี้เงียบกริบเพราะเขินล่ะมั้ง”
“อื้อ! เย็นนี้พี่จะเลี้ยงฉลองให้เจมกับแอมนะคะ เชิญคุณหนึ่งด้วยเลยนะ สนิทกับเจมอยู่แล้วนี่”

“ครับ ได้”

“เลี้ยงเรื่องเปิดตัวหนังสือด้วย เรื่องทุนไปเรียนต่ออังกฤษด้วย”
“บอกแล้วว่าเจมเก่ง พี่บอกคุณหนึ่งวันแรกที่เชิญมาสัมภาษณ์ที่ออฟฟิศเลยจำได้มั้ยคะ?”

“อะ...อะไรนะครับพี่ปู” เขาถามอย่างตกใจแล้วจ้องหน้าผมจนผมที่ก้มหน้าตลอดเวลายังรู้สึกได้

“อ้าว! นี่น้องยังไม่บอกข่าวดีหรอคะ? เห็นสนิทกัน คิดว่าฉลองกันไปเรียบร้อยแล้วซะอีก”
“ก็เจมกับแอมน่ะค่ะ เขาได้ทุนไปอบรมกับสมาคมนักหนังสือพิมพ์ที่อังกฤษ ร่วมปีเชียว ไปคู่กันค่ะ”

“...............”

“พวกพี่ก็ดีใจยกใหญ่ 2 คนนี้เขาไฟแรง เหมาะดี แล้วก็ได้ไปทั้งคู่ก็คงช่วยกันดูแลได้ ไม่น่าห่วง ผู้ชายทั้งคู่”

“อ่อ...ครับ พี่ปูครับ เหมือนในห้องจะมีใครตามหาพี่ปูอยู่นะครับ”

“อุ้ยจริงหรอคะ? งั้นพี่ขอตัวแป๊บนึงนะคะ กำลังวุ่นๆ เลย เย็นนี้อย่าลืมนะคะ”

“ครับ” เขารับคำอย่างสุภาพ พอพี่ปูไปแล้ว นายคฤณก็คว้าข้อมือผมแล้วลากไปยังทางออกไปลานจอดรถทันที!


“ปล่อยครับ ผมเจ็บ!” ผมเจ็บจริงๆ ข้อมือผมก็แดงไปหมดแล้วด้วย

“นี่มันอะไรกันเจม? เรียนต่อ? ที่อังกฤษหรอ? กับนายอรินทร์อีก!” เขากระชากเสียงถามจนเกิดเสียงสะท้อนไปทั่วในทางบันไดแคบๆ ที่เชื่อมสู่ลานจอดรถ
“ทำไมไม่บอกอะไรพี่บ้าง อยากให้พี่บ้าตายหรอ?”

“.............”

“เจม!”
“ตอบพี่สิว่านี่มันเรื่องอะไร?”

ผมเงียบ ผมเงียบอย่างอดทน เงียบเหมือนที่เคยเงียบอย่างอดทนเพื่อจะแว่วได้ยินเสียงพ่ออีกครั้ง

“เจม!” เขากระชากแขนผมไปอีกครั้ง และครั้งนี้ก็แรงจนตัวผมสะบัด ผมเจ็บ และน้ำตาผมก็ไหลอย่างกลั้นไม่อยู่

ผมรู้สึกเจ็บที่ถูกกระชาก แต่กลับนึกถึงภาพเช้าวันนั้น วันที่เขากอดเธอคนนั้น

“แล้วนี่ร้องไห้ทำไม? เจมเป็นอะไร? บอกพี่หนึ่งสิ”

“.............”

“เจม!”

“ผมเจ็บ!”
“ปลอยผมได้แล้ว!” ผมตะโกนบอกเสียงสั้น ตัวสั่นปากสั่นไปหมด ผมพยายามกลั้นน้ำตา แต่มันก็ไหลหยดเร็วเสียจนเช็ดไม่ทัน

“พอแล้วเจม พอ พี่บอกให้พอ!”
“หยุดเงียบใส่พี่ หยุดก้มหน้าให้พี่ หยุดเรียกตัวเองผมว่าผม หยุด หยุด!”
“เจมเป็นอะไร? หรือว่าเครียดเรื่องไปเรียนต่อที่อังกฤษ เรื่องนี้อีก ทำไมไม่บอกพี่สักคำ”
“แล้วนี่เครียดจนต้องพาลโกรธพี่เลยหรอ พี่ผิดหรอ? ตอบพี่สิ”

“ไม่ผิดครับ ผมไม่ได้โกรธคุณ”
“แต่ผมไม่มีอะไรจะบอกคุณแล้ว”
“เรื่องไปเรียนต่อ ก็ถือซะว่าคุณรู้แล้วก็แล้วกัน”

“เจม!”

“ครับ?” ผมคงเตะต่อมโมโหของเขาเต็มเท้า เขาถึงได้กระชากหน้าผมไปกดจูบอย่างรุนแรง

เขาทำให้ผมเจ็บ ผมเจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ!!!
แต่ไม่มีสักคำที่ผมโวยวาย ไม่ผลักไส ไม่ขัดขืน
ผมไม่ทำอะไรทั้งนั้น อยากทำอะไรกับผมก็ทำ ส่วนผมจะรู้สึกยังไง เขาไม่ได้รับอนุญาตให้รับรู้!

“เจม...” เขาหยุดตัวเองในที่สุด เสียงเรียกเขาอ่อนแอลงมาก
“เจมเป็นอะไรครับ บอกพี่หนึ่งได้มั้ย?”
“พี่โง่ พี่บอกแล้วไงว่าถ้าเจมไม่บอกตรงๆ พี่ก็ไม่รู้ แล้วพี่จะง้อถูกได้ยังไง?”
“เวลาเอาผิดกันทางกฎหมาย จำเลยยังได้รู้ข้อหาเลย”


ผมเงยหน้ามองเขาในที่สุด
เขายังหล่อเหมือนเดิม ผมตัดสั้นขึ้นไปอีกนิด ผิวหน้าขาวใสยังผ่องแผ้วเหมือนเดิม ตาคมเหมือนเดิม จมูกโด่งคม ปากหยักบาง ทุกอย่างเหมือนเดิม

ผมเคยเห็นหน้าแบบนี้แล้วสบายใจ ชอบใจ ประทับใจ อยากมองอีก อยากมองไปนานๆ
แต่ผมมองหน้าเขาไม่ได้แล้ว
ยิ่งมอง ก็ยิ่งนึกถึง ยิ่งเจ็บ

“ตอบพี่เถอะนะครับ”

“วันศุกรที่แล้ว ผมตัดสินใจบอกคุณเรื่องนี้ แต่คุณไม่รับสาย”
“คืนวันศุกร์ที่แล้ว ผมคุยกับพี่ชายผม เรื่องตอนเด็กๆ และผมก็ได้รู้ว่าผมประทับใจใครมาตลอดจนโตมาป่านนี้”
“พี่คนนั้นคือคุณ
” ผมเซ็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเงียบๆ เขาเอื้อมมือมาโกยตัวผมไปกอด แต่ผมขยับตัวถอยหนีแล้วพูดต่อ คราวนี้ผมมองหน้าเขาด้วยลูกตาที่ถูกน้ำทับท่วม

“เช้าวันเสาร์” สีหน้าเขาตกใจนิดๆ เหมือนชะงักคิดอะไรบางอย่าง แต่ผมไม่เปิดโอกาสให้เขาพูดอะไรแล้ว
“เสื้อนอนผม คุณให้คนอื่นสวม”
“และผม รับไม่ได้”


“เจม คือ”

“ผมเลิกกับคุณไปแล้ว”
“ส่วนความรู้สึกคุณ จัดการเองเถอะครับ”
“มันไม่เกี่ยวกับผม”



ผมไม่รู้ว่าเวลาเลิกกันแล้วคนอื่นเขาเป็นยังไง ทำอะไรต่อ ปรับตัวยังไง แก้ไขอารมณ์เสียใจด้วยวิธีไหน
แต่ผมไม่มีทางออก ไม่มีทางเลือก ไม่มีคำแนะนำใดๆ ให้ผมเดินตาม

ผมถอดแหวนที่สวมติดนิ้วออกแล้วคืนใส่มือเขา มองหน้าเขาครั้งสุดท้ายแล้วหันหลังเดินจากในทันที
และแม้ว่าน้ำตาผมจะไหลเป็นทาง แม้จะสะอื้นจนแทบหายใจไม่ทัน ผมก็จะไม่ทรุดลงให้ใครสงสาร ไม่หันหลังไปให้เขาเห็นว่าผมเสียใจแค่ไหน ไม่ชะลอฝีเท้า และไม่เงี่ยหูฟังว่าเขาตามผมารึเปล่า


ผมเจ็บ ใจผมช้ำ และนายคฤณ ธีระเสถียร ก็ไม่พูดรั้งอะไรแม้แต่คำเดียว



เราเลิกกัน วันที่ 1 ธันวาคม



cut


ชีวิตมันก็หลากรสแบบนี้ล่ะค่ะ  เนอะ เนอะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-02-2013 10:57:58 โดย kajidrid »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด