ผมไม่ใช่พวกเลือดร้อน ไม่ชอบมีเรื่อง ถ้ามีปัญหาอะไรที่เลี่ยงได้จะเลี่ยงตลอด พอหน้ายับไปเรียนทั้งรุ่นน้องทั้งอาจารย์ก็ซักใหญ่ อยากจะโกหกว่ารถล้ม ชนตู้ชนเตียงหรอกครับแต่แผลที่ฟ้องมันไม่ใช่ ไอ้อั้มก็ยิ้มอย่างเดียวไม่ช่วยกูเลยสุดท้ายเลยสารภาพกว้าง ๆ ว่าไปฟัดกับหมามา หลายวันกว่าแผลจะหาย แต่ไอ้พวกห่าที่รู้จักกันนี่แซวกันยังไม่เลิกว่าผมก็ทะเลาะกับคนอื่นเป็นด้วย
แหม กูก็คนนะครับ พวกมึงคิดว่ากูเป็นพระอิฐพระปูนหรือยังไง
“เฮ้ย ยู ไอ้พีทชวนไปร้านพี่ตุ้ย”
ไอ้อั้มตบหัวผมก่อนพูดกระซิบกระซาบ ตอนนี้ผมอยู่ในห้องสมุด กำลังหาหนังสืออ่านประกอบการทำธีสิสจบ “ไม่ไปอะ แล้วมึงเหอะ จะไปทำไม พรุ่งนี้แอดนัดคุยหัวข้อธีสิสใหม่ไม่ใช่เหรอ ได้แล้วเหรอ”
“ได้แล้ว ๆ ไปเหอะ มันบอกพี่ตุ้ยถามหา”
ผมส่ายหน้าหวือ ตั้งแต่มีเรื่องกันวันนั้นก็ไม่ได้ไปอีก ที่จริงผมน่ะไปร้านพี่ตุ้ยประจำแต่ไม่เคยเจอไอ้อิน
จริง ๆ ก็ไม่ควรเจอหรอกครับ ถึงมันเป็นญาติกันแต่ดูก็รู้ว่าสไตล์อินมันไม่ใช่แบบนี้ ร้านพี่ตุ้ยสถุนอย่างกับอะไรดี ที่จอด BM ดี ๆ ให้ยังไม่มีด้วยซ้ำไป
“ไม่ไปจริงอะ? กูไปนะ”
“ไปเหอะ เลี้ยงเหล้ามันด้วย”
“กูเป็นไอ้พีทร้องไห้ขี้มูกโป่ง พี่รหัสรักแค่ตอนจะใช้งาน”
พูดไปหัวเราะไป ไอ้พีทมันสายรหัสผมครับ ที่จริงนับญาติแล้วเป็นหลาน ผมปี 5 มัน ปี 3 ส่วนน้องปี 4 ซิ่วไป ผมกับพีทเลยสนิทกันข้ามรุ่น ส่วนไอ้อั้มไม่ต้องพูดถึง สายรหัสมันก็มีแต่ชอบเกาะผมเป็นปลิง สุดท้ายเลยโดนเนรเทศให้ย้ายสายมาช่วยผมดูน้อง ฮ่า ๆ ล้อเล่นครับ ที่จริงมันรักกันดี แต่รักไอ้พีทมากกว่า มันเชียร์บอลทีมเดียวกัน
“แล้วไปกี่โมง” ที่จริงนี่ก็เย็นมากแล้ว ไอ้อั้มยกนาฬิกาขึ้นดู มันเป็นผู้ชายเซอร์ ๆ สถาปัตย์สไตล์ แต่เป็นคนเก่งที่เกือบล้ำไปเส้นบ้าแล้วก็ว่าได้ หันมาฉีกยิ้มให้ผมเห็นฟันครบ 32 ซี่ “นี่แหละ จะไปแล้ว ให้ไปส่งหอก่อนป่าว”
“ไปเถอะ กูยังไม่ได้หนังสือที่จะเอาเลย”
ไอ้อั้มพยักหน้าแล้วไม่ตื๊อไปส่งเลย มันยกมือขอให้ผมโชคดีแล้วเดินไปแบบไม่อาลัยอาวรณ์ นี่ถ้าขอไปส่งกูอีกรอบว่าจะไม่เกรงใจแล้วนะ ครั้นจะตะโกนเรียกก็กระดาก สุดท้ายเลยต้องมายืนเซ็งเลือกหนังสือต่อคนเดียว เล่มที่อยากได้ไม่มี มีเล่มที่ไม่อยากได้แต่หอสมุดใกล้ปิดเต็มทีเลยต้องยืม ๆ มาก่อน
ฝนข้างนอกเหมือนจะตกผมเลยรีบเรียกวินกลับหอ ตั้งใจว่าจะอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวแล้วค่อยอ่านหนังสือ พรุ่งนี้ว่างทั้งวัน ที่จริงอ่านยันเช้าเลยก็ได้ แต่ยังไม่ทันได้เข้าห้อง ก็เจอใครบางคนยืนเล่นโทรศัพท์อยู่หน้าหอเสียก่อน
“นัท...”“พี่ยู นัทไปหาที่คณะไม่เจอเลยแวะมาหาที่หอน่ะ กำลังลุ้นเลยว่าจะไปกินเหล้ากับพี่อั้มหรือเปล่า”
ผมพยักหน้า มองออกไปข้างนอกฟ้ามืดเต็มที แต่เดี๋ยวฝนคงตก “มีอะไรหรือเปล่า วันหลังค่อยมาดีไหมวันนี้ฝนจะตกแล้ว”
นัทส่ายหน้า มองโทรศัพท์ในมือตัวเอง ผมพยายามเพ่งสายตาผ่านม่านผมที่ปรกลงปิดตาแต่นัทก็หลบลงต่ำ ดูก็รู้ว่ามีเรื่องไม่สบายใจแน่ ๆ “งั้นก็เข้าห้องก่อน เดี๋ยวฝนหยุดแล้วพี่ไปส่ง”
“นัทค้างได้ไหม? ไม่อยากกลับไปอยู่คนเดียว”
“แล้วอินล่ะ?”
นัทส่ายหน้า ผมก็ไม่รู้จะคาดคั้นอะไรแต่รู้ว่าคนรักเก่ากำลังรู้สึกแย่มาก ๆ เลยไขห้องให้เข้ามาก่อน ไม่รู้นัทรออยู่นานแค่ไหนแล้วก่อนผมจะมา
“ที่ห้องไม่ได้ซื้ออะไรติดไว้ กินมาม่านะ”
ผมเข้าครัวไปต้มมาม่าให้ตัวเองกับนัท เหลือไข่อยู่ฟองเดียวก็ใส่รวมกันไปเลยในหม้อ ผมกับนัทกินข้าวจานเดียวกันบ่อย ขี้เกียจล้าง วันนี้ก็เหมือนกัน ฝนตก กินมาม่าถ้วยใหญ่ ให้บรรยากาศเหมือนตอนคบกันสุด ๆ
“หน้าพี่ยูไปโดนอะไรมา” ผมเอาลิ้นดุนมุมปากข้างที่ยังเป็นแผล
“นี่น่ะเหรอ เมาชกกับไอ้อั้มมัน”
“นานหรือยัง เจ็บหรือเปล่านัททายาให้ไหม” แผลใกล้หายแล้ว ไม่เจ็บแล้วแต่ยังเหลืออยจาง ๆ ให้พอสังเกต
“กินไปเถอะเดี๋ยวมาม่าอืด”
“พี่ยูจะไปไหน” ผมยื่นช้อนส้อมให้นัทแต่ไม่นั่ง
“เอากางเกงมาให้เปลี่ยน สบายหรือไงนั่งแบบนั้น” นัทยิ้ม เป็นยิ้มที่ไม่สวยเลยในเวลานี้
“พี่ยูดีกับนัทจัง”
“ก็พี่เป็นพี่เรานี่” พูดเองเจ็บเอง ไม่ใช้ตัวแสดงแทน นัทเองก็คงเจ็บสังเกตได้จากแววตาคู่หม่น ผมไม่รู้ว่าไอ้อินทำอะไรมาแต่นัทเป็นแบบนี้ก็พอเดาได้ว่าเพราะมันแน่ ๆ อะไรวะ คบกันได้เดือนเดียวอย่าเพิ่งตีกันสิ เดี๋ยวกูเอาคืนทำไง
ผมถอนหายใจคิดฟุ้งซ่าน กลับมาอีกทีมาม่าก็อืดเต็มถ้วย นัทกินไปได้ไม่เท่าไรก็นั่งมองแล้ว ผมยื่นกางเกงให้นัทไปเปลี่ยนแล้วจัดการกับที่เหลือต่อ รื้อนมในตู้เย็นมาให้คนตัวเล็กกินเพิ่มอีกกล่อง นัทเป็นโรคกระเพาะเพราะชอบกินน้อย ๆ อดมื้อเย็นลดน้ำหนักบ้างล่ะ ตอนที่คบกันถึงต้องบังคับให้กินนมเพิ่มถ้าวันไหนกินน้อยเกินไปตลอด
อีกฝ่ายรับไว้ไม่พูดอะไรผมเลยทิ้งตัวลงข้าง ๆ เงียบ ๆ ผมปลอบคนไม่เก่ง อย่างมากก็ได้แต่อยู่ด้วยกันแบบนี้ มือนัทกำแล้วคลายอยู่บนหน้าตัก วินาทีนั้นที่ผมเผลอตัวไปจับมาวางไว้บนหน้าขาตัวเอง
“พี่ยู”
ผมรับคำในลำคอแต่ไม่หันหน้ากลับไปมองคนเรียก กระทั่งไหล่ถูกอิงด้วยแก้มนิ่มก็ก้มหน้าลงมองนัท
ไหวไหมนัท ถ้ามันทำให้เจ็บก็กลับมาหาพี่ พี่ยังรอนัทอยู่เหมือนเดิม ได้แต่คิดครับผมพูดได้ที่ไหน นัทตัดสินใจไปเองคงหมายความว่าไม่ต้องการผมแล้ว เจ้าของตากลมช้อนมองขึ้นพอดีทำให้เราสบตากันมือเล็กเอื้อมมาเกี่ยวบ่าอีกข้างให้ผมโน้มตัวลงใกล้ กลิ่นของนัทหวานเหมือนผลไม้ ผมชอบใช้จมูกซุกไซ้บ่อย ๆ เสียงหัวเราะคิกคักจะตามมา แต่เวลานี้นัทไม่ได้เล่น ปลายนิ้วนุ่มเลื่อนมาเกาะรอบคอผมไว้ก่อนที่เปลือกตาโตจะปิดเข้าหากัน
ผมแตะริมฝีปากลงไปบนกลีบปากอิ่มราวกับถูกอีกฝ่ายสะกด นัทบดเบียดร่างกายเข้าหามากขึ้นและมันทำให้ผมรู้สึกร้อน ตั้งแต่เลิกกับนัทผมก็ไม่มีใคร เจอสัมผัสคุ้นเคยเข้าหน่อยยิ่งเตลิด ปลายลิ้นที่กระหวัดเกี่ยวกันอย่างรู้งานย้อนภาพวันวานที่เรายังคบกันอยู่กลับมา เลื่อนมือไปเกาะเอวเล็กรั้งเข้าหาก่อนโถมตัวลงไปให้นัทนอนราบไปกับโซฟา
“....พี่ยู” นัทเรียกชื่อผมเหมือนเพ้อ เวลานั้นไม่ว่าผิดชอบชั่วดีก็ไม่อาจหักห้ามความรู้สึกได้ ผมคิดถึงนัท คิดถึงมาก รู้ตัวอีกทีก็รั้งกางเกงตัวเล็กให้หลุดไปจากข้อเท้า จับขาทั้งสองข้างมาเกี่ยวเอวโดยปลดตะขอกางเกงยีนส์ของตัวเองออกเพื่อดึงร่างกายที่แข็งขืนออกมา นัทยังสวมท่อนบนอยู่เพียงแต่มันยับยู่ยี่ เราตระโบมจูบกันอย่างลืมฟ้าดิน เสียงพายุฝนคำรามอยู่ด้านนอกแต่ไม่อาจห้ามผมกับนัทได้แล้ว
ผมจำได้ว่าแตะตรงไหนนัทจะรู้สึก
และนัทก็จำได้ว่าสัมผัสตรงไหนแล้วผมจะเตลิดฟ้าแลบจนสว่างจ้า ต่อมาไฟหอก็ดับ เสียงกรี๊ดดังระงมจากห้องอื่นแต่ผมกลับได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างสมใจเมื่อผมแทรกตัวผ่านช่องทางไปจนสุดในครั้งเดียว ปลายเล็บคมกดจิกอยู่บนแผ่นหลัง นัทสะบัดหน้าเงย ร่างกายภายในร้อนฉ่าตอดรัดผมอย่างรู้งาน
“อ...อ๊ะ พี่ยู นัท.......”นัท... พี่รักนัท
TBC
กราบสวัสดีคืนวันพุธ พอหลังหายดี(?)ก็มาเปิดเรื่องใหม่อีกแล้ว คราวนี้พระเอกเปลี่ยนบทบาทนิดนึงค่ะ อยากกินเด็ก
เดิมตั้งใจว่าจะลงต้นปี แต่งตุนเอาไว้เยอะๆ แต่เห็นเลขยอดไลค์แล้วสวยดีเลยอยากมีอะไรลงให้อ่านกันสักหน่อย (พอดีเป็นคนชอบเจ็ด)
คำประกาศของความรู้สึกใหม่ เดิมทีเป็นชื่อของบทความทางการเมือง แต่เห็นครั้งแรกแล้วสะดุด ตีความหมาย(ไปเอง)ว่ามันดูซึนดีจังเลย เลยขอเอามาตั้งเป็นชื่อนิยายซึนๆ ไม่รู้ว่าใครซึนกันแน่ ยังไงก็ฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ คิดถึงคนอ่านมาก
เจอกันวันคริสมาสต์ค่ะ