ยามถึงรุ่งสาง กิ่งไผ่ก็แต่งตัวด้วยชุดรัดกุม เก็บเส้นผมให้เรียบร้อย ลงไปข้างล่าง เห็นเหล่าพลทหารในค่ายกำลังซ้อมยิงปืน เขาก็หยิบปืนประจำกายขึ้นมา ตรวจดูลูกกระสุน เสร็จแล้วก็เดินตรงไปยังที่ฝึกยิงปืน
"เป็นอย่างไรบ้าง?"
ชายหนุ่มถามลูกน้องที่โค้งกายให้
"ฝีมือของแต่ละคนเรียกได้ว่าแม่นยำไม่เปลี่ยนครับ นายจะลองดูไหมครับ"
กิ่งไผ่ผงกหัว ก่อนที่อีกคนจะตั้งกระบอกไม้ไผ่ไว้บนตอไม้ เรียงไว้สี่อัน แล้วยกมือเป็นทำนองว่าเสร็จเรียบร้อย
"ให้เจ้าขิ่นลองยิงดูก่อนไป"
กิ่งไผ่เอ่ย เมื่อเห็นเด็กหนุ่มนามว่าขิ่น กอดอกมองดูเขาที่เดินเข้ามาอย่างโกรธๆ แต่พอได้ยินว่าจะไดยิงปืนจึงดูตื่นเต้นลืมโกรธไปชั่วคราว
"แต่นายครับจะให้เจ้าขิ่นมัน..."
คนสนิทของท่านนายพลอินคานกล่าวค้าน แต่ถูกมือบางยกห้ามไม่ให้พูดต่อ เรียกเจ้าขิ่นให้เข้ามาใกล้
"มานี่สิขิ่นฉันจะสอนแกยิงปืน"
เจ้าขิ่นไม่เชื่อว่า กิ่งไผ่จะยอมใจดีสอน ทั้งๆที่เมื่อคืนพูดห้ามไว้เสียยืดยาว มันจึงเดินเข้ามาหาอย่างดีอกดีใจ
"พี่ไผ่จะสอนยิงปืนจริงๆหรือ"
เด็กหนุ่มถามเพื่อให้แน่ใจ กิ่งไผ่ยิ้มเป็นการยืนยัน ผู้เป็นนายสั่งให้คนนำปืนมาให้แก่เจ้าขิ่น มันเห็นปืนกระบอกโตแล้วกลืนน้ำลาย มันเป็นปืน ปลย.11ซึ่งปกติแล้วจะใช้ในกองทัพบก ทางกองพันโจรคงไปปล้นมาได้และตอนนี้เขาจะได้ใช้มัน เจ้าขิ่นตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง กิ่งไผ่ถอดปลอกกระสุนออกมา นำลูกกระสุนบรรจุเข้าไปจนเต็ม เจ้าขิ่นมองทุกอิริยาบท เพราะเจ้านายเชี่ยวชาญมากในเรื่องอาวุธ เมื่อเสร็จก็ยื่นให้แก่เจ้าขิ่น เด็กหนุ่มรับปืนแทบทรุด และแปลกใจว่าทำไมเจ้านายถึงถือมันได้สบายๆ
"อันดับแรกที่เอ็งต้องเรียนลักษณะของปืน การบรรจุลูกกระสุน การถอดและใส่ซองกระสุนยังไม่ให้ยิงตอนนี้"
กิ่งไผ่ยึดปืนไป เจ้าขิ่นทำหน้าเสียดาย รอยยิ้มประดับบนใบหน้านั่น ทำให้ดวงหน้าละมุนขึ้น
"เอ็งไม่ต้องตีสีหน้าอย่างนั้นหรอกน่า การที่จะทำอะไรสักอย่างก็ต้องเรียนรู้หลักพื้นฐานไว้ก่อน"
นิ้วเรียวสางผม โอบบ่าเด็กหนุ่มให้มานั่งยังตอไม้
"ปืนเล็กยาวหรือว่าปลย.11เป็นอาวุธประจำกายที่ใช้ในกองทัพบกมีอำนาจในการยิงทั้งการรบในแบบและนอกแบบ"
ชายหนุ่มเริ่มอธิบาย แรกๆเจ้าขิ่นทำหน้าเบื่อหน่ายแต่พอได้ฟังก็หันกลับมาตั้งใจ กิ่งไผ่ยิ้มให้เมื่อเห็นเด็กหนุ่มสนใจ
"ลักษณะโดยทั่วไปของปืนเล็กยาว11มีขนาด5.56x45,มม. ออกแบบและสร้างโดยบริษัทเฮกเลอร์และโคช ประเทศเยอรมัน ระบายอากาศด้วยความร้อน มีความกว้างปากลำกล้อง5.56มม.ทำงานด้วยการถอยหลังของส่วนเคลื่อนที่ เป็นการยิงจากลักษณะหน้าลูกเลื่อนปิดท้ายรังเพลง ซองกระสุนมีสองชนิดคือชนิดยี่สิบนัดกับชนิดสี่สิบนัด สามารถติดตั้งกล้องเล็งและกล้องอินฟราเรดได้ ทำการยิงลูกระเบิดยิงจากปืนเล็กได้ ทำการยิงกระสุนซ้อมรบก็ได้ เมื่อสวมปลอกทวีความถอยแทนปลอกลดแสงที่ปากลำกล้อง"
กิ่งไผ่หยุดไปชั่วครู่ เพื่อให้เจ้าขิ่นได้ทำความเข้าใจกับคำพูดของเขา แล้วอธิบายต่อ
"ปืนปลย.11มีสามแบบคือ ปลย.11 , ปลย.11 เอ 1, ปลย11 เค น้ำหนักของปืนเล็กยาว11ถ้าไม่มีซองกระสุนจะหนัก7.38ปอนด์หรือ3.35กิโลกรัม กระสุนมีอยู่สี่ชนิดคือกระสุนแบบธรรมดา ส่องวิถี กระสุนฝึกหัดและซ้อมรบซึ่งกระสุนส่องวิถีจะมีปลายสีส้ม และกระสุนซ้อมรบมีปลายสีม่วง"
พอพูดถึงช่วงนี้ เจ้าขิ่นก็ขัดขึ้น
"กระสุนส่องวิถีเอาไว้ทำอะไรครับ"
"ก็เอาไว้ส่องนำวิถีน่ะ สงสัยอะไรอีกหรือเปล่าล่ะ?"
เจ้าขิ่นเริ่มงุนงง ไม่กล้าถามต่อ เขาทึ่งที่เจ้านายรอบรู้จริงๆ
"เอาล่ะเรามาอธิบายกันต่อนะ"
เด็กหนุ่มลูบปืนสีดำมะเมื่อมซึ่งชายหนุ่มถอดซองกระสุนออกเป็นที่เรียบร้อย กิ่งไผ่จับปืนขึ้นมาถอดและประกอบเข้ากันจนเจ้าขิ่นอึ้งไปอีกครั้ง
"สุดยอดเลยครับพี่ไผ่"
เด็กหนุ่มตาวาวเมื่อเห็นกิ่งไผ่ประกอบปืนได้อย่างรวดเร็ว
"ทำได้ไงครับเนี่ย?"
กิ่งไผ่ไม่ตอบคำถามนั่น เแต่ยิ้มเพียงอย่างเดียว
"เอ็งลองไปเป็นลูกนายพลอินคานสิว่ะ แล้วไปเรียนที่โรงเรียนทหารสิว่ะไอ้ขิ่น รับรองเอ็งเก่ง"
ชายวัยกลางคนที่นั่งมองดูใต้ร่มไม้ว่า
"แต่น้ำหน้าอย่างเอ็งน่ะไม่ได้ครึ่งของนายกิ่งไผ่หรอก"
ชายวัยกลางคนว่า กรอกเหล้าที่อยู่ในกระติกอลูมิเนียมเข้าปาก เด็กหนุ่มชักสีหน้า
"โธ่! ลุง มาว่ากันแบบนี้ดูถูกกันชัดๆ"
เด็กหนุ่มโวย กิ่งไผ่หัวเราะ
"เอาน่าๆเงียบเถอะขิ่น ถ้าเอ็งฟังคำอธิบายจากฉันละก็รับรองเอ็งเก่ง"
กิ่งไผ่ปราม เจ้าขิ่นหันมาสนใจทันที
"จริงหรือครับ งั้นพี่ไผ่อธิบายมาเลย"
พอได้ยินแบบนี้ คนที่อธิบายก็เริ่มสอนต่อ
"ต่อไปจะมาสอนวิธีถอดประกอบอาวุธกัน อันดับแรกต้องตรวจสอบความปลอดภัยของปืนโดยปฏิบัติดังนี้"
นิ้วเรียวหยิบกระบอกปืนขึ้น ชี้ไปตามส่วนที่อธิบายมาตามหลัง เจ้าขิ่นกกระตือรือร้นร้น จ้องเขม็ง
"อย่างแรก เราต้องห้ามไกปืนก่อน ปลดซองกระสุน ดึงคันรั้งลูกเลื่อนมาค้างไว้"
กิ่งไผ่ปฏิบัติให้ดู พร้อมๆกับอธิบายไปด้วย
"ต่อไปใช้มือซ้ายปลดคันรั้งลูกเลื่อนไปข้างหน้า เปิดห้ามไกแล้วลองลั่นไกไปทิศทางปลอดภัย"
หลังจากที่ทำให้ดูก็ส่งให้เจ้าขิ่นลองทำตาม
"ชิ้นส่วนถอดประกอบของปลย.11มีการถอด6หมู่ชิ้นส่วนคือ ซองกระสุน พานท้าย ด้ามปืนและเครื่องลั่นไก ลูกเลื่อนและโครงนำลูกเลื่อน ปลอกรองมือและสุดท้ายลำกล้องและห้องลูกเลื่อน การประกอบให้ทำตรงข้ามกับการถอดโดยชิ้นส่วนที่ถอดมาทีหลังตามที่บอกให้นำประกอบเข้าไปก่อน"
เด็กหนุ่มทำอย่างเชื่องช้า กิ่งไผ่ก็คอยปลอบให้กำลังใจ จนกระทั่งปืนที่ถอดออกมาประกอบเข้าด้วยกันจนสำเร็จ
"เก่งมาก"
เขาชมลูกน้องของตัวเอง เจ้าขิ่นชูปืนที่ประกอบด้วยความภาคภูมิ
"พี่ไผ่มีอะไรสอนอีกไหมครับ การถอดประกอบปืนมีแค่นี้หรือครับ?"
เด็กหนุ่มกำลังคึกคะนองกับผลงานของตัวเอง
"อย่าเพิ่งดีใจไป นั้นยังไม่ถึงขั้นลึกเลย การถอดประกอบอีกวิธีต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ ขนาดฉันที่เรียนมายังไม่ชินเลย"
ดวงตาของคนคึกคะนองบ่งบอกว่าจะมีอะไรยาก
"ว่ามาเถอะครับ ผมทำได้อยู่แล้ว"
กิ่งไผ่ส่ายหัว เด็กจริงๆ...
"เฮ้ย ไอ้ขิ่นเอ็งจะถอดอีกวิธีเรอะข้าว่าอย่าเลยเดี๋ยวปืนดีๆพังหมด"
ชายวัยกลางคน คนเดิมว่า เด็กหนุ่มทำหน้าหยิ่ง
"ลุง คอยดูฝีมือผมแล้วกัน"
พูดโอ่ โดยการถือปืนที่หนักแสนหนักขึ้นอวดศักยภาพของตัว กิ่งไผ่ไม่แน่ใจเสียแล้วสิว่า เขาควรจะสอนต่อไปไหม สุดท้ายเขาก็ยอมใจอ่อนจนได้ เพราะเจ้าขิ่นก็เหมือนกับน้องของเขาคนหนึ่ง
"มานั่งลงตรงนี้ขิ่น ลุงตวนก็อย่าไปพูดกระทบกระเทียบเจ้าขิ่นมันเลย"
กิ่งไผ่พูด เส้นผมตกระหน้า นิ้วเรียวปัดออกให้พ้นหน้าผาก ลุงตวนทำหน้าบึ้ง
"ขิ่นก็หัดเคารพผู้หลักผู้ใหญ่เสียบ้าง"
เจ้าขิ่นหน้าบูด กิ่งไผ่ระอาใจ แต่ก็ยอมอธิบายต่อ
"เอ้า...ฟังต่อ การถอดอีกวิธีคือการถอดหมู่ชิ้นส่วนของชุดเคลื่อนได้มีดังนี้ หนึ่งคือ ถอดแหนบและแกนแหนบส่งโครงนำลูกเลื่อนส่วนนี้ห้ามแยกออก อันต่อไปคือลูกเลื่อนและหลอดเข็มแทงชนวนสุดท้ายคือเข็มแทงชนวนและแหนบ ส่วนการประกอบคืนให้ทำตรงข้ามกับถอด"
กิ่งไผ่แค่อธิบายแต่ไม่ทำให้ดูเพราะเขาไม่ชำนาญ
"โห...ดูท่าจะยากจริงๆนะครับ"
เจ้าขิ่นว่า คนอธิบายผงกหัว
"ใช่ ยาก...และอีกวิธีคือการถอดด้ามปืนออกจากเครื่องลั่นไกโดยถอดคันบังคับการยิง เครื่องลั่นไก ด้ามปืนประกอบก็เหมือนเดิม คือประกอบตรงข้ามกับการถอดโดยการที่เอาชิ้นส่วนที่ถอดหลังสุดประกอบเข้าไปก่อน"
คนฟังเริ่มปวดหัว
"เอ่อ...ครับแล้วเมื่อไรที่พี่ไผ่จะสอนผมยิงเสียทีละครับ"
เด็กหนุ่มเริ่มเบื่อ กิ่งไผ่ลุกขึ้น
"ขั้นตอนต่อไปนี่ล่ะ เราเรียนทฤษฏีมาแล้ว คราวนี้มาปฏิบัติกัน"
ดวงตากระจ่างหรี่ลงเพราะแสงจ้า สายลมพัดโชยเอื่อยๆ ลุงตวนลุกขึ้นเมื่อนายน้อยสั่งให้เตรียมเป้า
"ตั้งใจดูดีๆล่ะ"
ชายหนุ่มปรับศูนย์ยิง เล็งลำกล้องไปทางเป้าหมาย เจ้าขิ่นตั้งใจดู กิ่งไผ่ปรับตำแหน่งคันบังคับการยิงเป็นยิงที่ละนัด พอกระสุนปล่อยออก เสียงดังปังๆๆสิ้นสุด ลุงตวนหยิบเป้ากระบอกไม้ไผ่ที่กระเด็นชูเหนือหัว เด็กหนุ่มอาปากค้าง เพราะเป้ากระบอกไม้ไผ่เล็กมาก ทุกนัดที่ยิงทำลายมันแตกกระจุย
"การหมุนศูนย์ถ้าหมุนศูนย์หลังตามเข็มนาฬิกาจะทำให้รอยกระสุนต่ำแต่ถ้าหมุนศูนย์หลังทวนเข็มนาฬิกาจะทำให้รอยกระสุนสูงขึ้น ระยะยิงของปลย.11คือ ถ้าเป็นระยะยิงไกลสุดประมาณ3000เมตรส่วนระยะยิงหวังผลประมาณ400เมตรลงมา"
พูดเสร็จก็ส่งปืนไปให้เจ้าขิ่น เด็กหนุ่มลองยิงบ้าง แต่ก็ไม่ถูกสักนัด เจ้าขิ่นทำหน้าผิดหวัง ลุงตวนหัวเราะ
"วันหลังต้องทำได้ดีแน่ขิ่น วันนี้ขิ่นแค่ตื่นเต้นเท่านั้นเอง"
กิ่งไผ่ปลอบ เขาตบบ่าเด็กหนุ่มที่หงอยเหงาไปทันใด
"แต่จำไว้ อาวุธเหล่านี้ใช้ฆ่าคน มันไม่สนุกหรอกที่จะจับมันขึ้นมาใช้"
กิ่งไผ่สั่งสอน สั่งให้คนเก็บปืน
"ไปหาข้าวเที่ยงทานกันเถอะ"
เขาชวนเด็กหนุ่ม เจ้าขิ่นเดินตามหลัง มองท่าเดินที่งามสง่า เรือนผมที่ยาวสลวยสะบัดไปมา รู้สึกว่าน่าเกรงขามและยิ่งใหญ่
"ที่สอนไปยังไม่หมด"
กิ่งไผ่ยังจะอธิบายต่อ แต่เด็กหนุ่มกลับโบกไม้โบกมือบอกให้พอ
"แค่นี่หัวผมก็จะระเบิดอยู่แล้ว"
พอได้ยินแบบนี้ คนฟังก็หัวเราะ
"แล้วใครอยากเรียนเรื่องปืนล่ะ"
ชายหนุ่มย้อน เด็กหนุ่มยิ้มแหยๆ
"ไป....ไป๊....ไปกินข้าวเที่ยงกัน"
ทั้งสองเดินไปยังโกดังที่เปิดโล่ง หยิบจานที่วางไว้เป็นระเบียบไปตักข้าวในหม้อที่หุงไว้ร้อนๆ มานั่งทานกับเนื้อกระต่ายย่าง กับแกงเนื้อกวาง
"พี่ไผ่จะออกไปตรวจตรารอบๆค่ายอีกไหม"
เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมา ระหว่างที่กำลังกินข้าว ชายหนุ่มเหลือบมองก่อนจะสั่งสอน
"เวลาทานข้าวอยู่อย่าพูด มันไม่เรียบร้อย"
เจ้าขิ่นแอบเบ้หน้า เป็นอย่างนี้ทุกทีเลยกับความเข้มงวดของกิ่งไผ่
"ครับ"
เด็กหนุ่มดูท่าจะอิ่มข้าวไปทันที
"วันนี้จะออกไปในเมือง หาซื้อของที่จำเป็นเตรียมตัวไว้ด้วย"
เด็กหนุ่มวางจานลงทันที ส่งเสียงร้องเสียงดังลั่นโกดัง กิ่งไผ่นั่งทานข้าวเงียบๆไม่สนใจกับอาการลิงโลดของเจ้าขิ่น พอทานเสร็จ ชายหนุ่มก็กลับมายังที่พัก เตรียมตัวออกเดินทางไปในเมืองซึ่งต้องเดินทางในป่าสองวัน แล้วต้องขอติดรถชาวบ้านแถวนั้นไปยังเมือง กิ่งไผ่หยิบเสื้อผ้าขึ้นมา ซึ่งมันมีเสื้อเชิ้ตลายทางขาดๆ ผ้าข้าวม้าโพกผม เครื่องประดับสำหรับผู้หญิง และที่สำคัญคือผ้าถุง...สำคัญที่สุดสำหรับกิ่งไผ่คือการปิดร่องรอยตัวเอง
"ลูกจะออกไปในเมืองอีกแล้วหรือ?"
ท่านนายพลที่นั่งอ่านหนังสือเอ่ยขึ้น ระหว่างที่มองบุตรชายคนเดียวจัดเตรียมของ
"ครับ....ผมจะไปจัดการธุระนิดหน่อย พ่อจะเอาอะไรไหมครับ"
ท่านนายพลส่ายหัว
"ไม่หรอก...ระวังตัวด้วยล่ะ"
ท่านนายพลรู้ว่าบุตรออกไปสืบหาข่าว บุตรของเขาไม่ไว้ใจคนอื่นเลย
"แล้วจะไปกับใครล่ะ"
กิ่งไผ่เหลือบมอง ตอบแผ่วเบา
"กับเจ้าขิ่นมัน"
นายพลอินคานพยักหน้า
"งั้นเหรอ...แล้วเป็นอย่างไรบ้างล่ะสอนยิงปืนให้กับเจ้าเด็กนั่น"
ท่านแปลกในนิดหน่อย ที่กิ่งไผ่นำเด็กที่เป็นห่วงเป็นใยไปเสี่ยงอันตรายด้วย
"ฝีมือยิงปืนของเจ้าขิ่นมันห่วยบรมเลย แต่ก็น่าจะพัฒนาฝีมือได้"
กิ่งไผ่ให้ความเห็น ปิดกระเป๋าสะพายลุกขึ้น
"ผมต้องไปแล้วนะครับพ่อ"
ชายหนุ่มลงจากบ้านพัก ท่านนายพลหันไปสนใจกับหนังสือต่อ กิ่งไผ่ยืนอยู่หน้าบ้านพักของตัวเอง เจ้าขิ่นหอบย่ามมาหน้าตากระหืดกระหอบ
"ไปได้แล้ว"
ทั้งสองมุ่งหน้าลงเขาออกเดินทางเข้าไปในเมือง
------------------------------------------------
เสียงเรียกรวมพลดังขึ้น ธีรเดชและนายทหารทุกคนต่างจัดเรียงแถวเป็นแถวหน้ากระดาษ ผู้พันมีทรัพย์เดินออกมา ข้างหลังเป็นผู้กองภานุ ชายหนุ่มมองเขม็ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ผู้กองภานุดูเฉยชา ทำตัวปกติจนธีรเดชรู้สึกไม่ชอบใจมากยิ่งขึ้น เขารู้ว่านั้นเป็นนิสัยของผู้กองภานุ เขาจะทนได้อยู่ถ้าไม่มีเรื่องของต้นธาราเข้ามากวนใจ
"แถวตรง"
เสียงของผู้กองรังสรรค์สั่ง ยามที่เห็นหัวหน้าใหญ่ออกมา ทุกคนนิ่งไม่กระดุกกระดิก ฟังคำทักทายจากผู้พัน
"สวัสดีนายทหารทุกท่าน วันนี้ทางค่ายใหญ่มีคำสั่งลับมาถึงผม ผมอยากจะคุยกับทุกคนตอนหกโมง ขอให้มาตรงเวลาด้วย"
ทุกคนยกมือวันทยาหัตถ์รับทราบ ก่อนจะพากันสลายตัว
"แย่นะครับที่ผู้กองธีเข้ามาในค่ายก็ได้รับงานเสียแล้ว"
ธีรเดชมองตามหลังคนที่ติดตามผู้พันมีทรัพย์
"ไม่หรอกครับ ผมดีใจที่ได้ทำงานเสียที"
ผู้กองรังสรรค์เห็นธีรเดชจับจ้องยังผู้กองภานุก็พูดขึ้น
"ผู้กองภานุเป็นคนสนิทของผู้พันมีทรัพย์ครับ เขาอารมณ์เสียขึ้นกว่าเดิมนับตั้งแต่เพื่อนสนิทตาย ผู้กองอย่าไปถือสาเลยนะครับถ้าผู้กองภานุแสดงอารมณ์ไม่ดี"
ผู้กองรังสรรค์เอ่ย ธีรเดชผงกหัว หรี่ตา
"ผมไม่ถือหรอกครับ กับคนประเภทนั้น"
พูดทิ้งท้ายไว้ให้ผู้กองรังสรรค์สงสัยแต่ธีรเดชก็เดินกลับเข้าไปในค่ายเสียแล้ว ทิ้งให้ผู้กองรังสรรค์งุนงงก่อนจะเดินตามไป เมื่อชายหนุ่มเข้าไปในกองบังคับบัญชา ผู้พันมีทรัพย์ก็ทัก
"มะรืนนี้จะเข้าเมืองไหมวะธี"
ธีรเดชหันมอง ทำหน้าแปลกใจ
"เข้าเมืองหรือครับ?"
เขาถามอย่างสงสัย พยายามไม่มองชายหนุ่มที่นั่งหน้าเย็นบนโซฟาเก่าๆ สายตาคมกำลังตรวจดูแผนที่
"ใช่ ก่อนทำภารกิจ ทหารที่นี่จะไปหาความสุขในเมือง แล้วกลับมาปฏิบัติหน้าที่ เพราะปกติไม่ค่อยได้ออกไปไหนกัน"
ผู้พันมีทรัพย์อธิบาย ชายหนุ่มนิ่งไปสักพัก
"สนไหมจะให้ภานุเขาแนะนำให้"
ธีรเดชใช้ดวงตากร้าวมองผู้กองภานุที่ดูไม่สนใจใครเลย
"หรือว่าผู้กองรังสรรค์ก็ได้"
ผู้พันเอ่ยเมื่อเห็นดวงตาที่ดูไม่พอใจ
"สาวๆที่นั่นสุดยอดเลยนะครับ แต่ละคนเป็นสาวพม่าทั้งนั่น รับประกันสวยหยาดเยิ้ม"
ผู้กองรังสรรค์เสริม เขาหยิบ*กริดมาทาบกับแผนที่ คุยเรื่องระยะทางกับผู้กองภานุ
"สนไหมครับ?"
ผู้กองรังสรรค์ถามซ้ำ ธีรเดชคิดว่าตัวเองต้องไม่ทำให้แปลกแยกไปจากคนอื่นจึงผงกหัว
"พูดน่าสนดีนี่ครับ เห็นว่าสาวพม่าใช้ขมิ้นขัดผิวให้สวยผมก็ชักอยากจะสัมผัสเสียแล้วสิ"
พูดถึงตรงนี้ ทั้งผู้กองรังสรรค์และผู้พันมีทรัพย์หัวเราะร่วน
"ระวังใครบางคนเข้าใจผิดนะครับ"
เสียงเย็นๆสอดแทรกขึ้น ธีรเดชนิ่ง ผู้กองรังสรรค์ละมือจากงาน ทำหน้าแปลกใจ
"อะไรกันผู้กองมีคนรักแล้วเรอะ"
ธีรเดชโบกมือปฏิเสธ
"ผมยังไม่มีใครหรอกครับ ผู้กองภานุนี่ชอบอำคนอื่นเสียจริง"
ดุจจะกล่าวแดกดัน ผู้กองภานุยักไหล่อย่างกวนๆ
"เฮ้ย พูดมากกันน่าจะมีฟงมีแฟนก็เก็บไว้สักพักเถอะ ไปหาอีหนูสาวๆกันดีกว่า"
ผู้พันเอ่ยอย่างตลก ธีรเดชยิ้มตาม ทั้งๆที่ในใจนั่นหงุดหงิดกับชายที่คิดว่าหน้าด้าน แต่เอาเถอะ ถ้าได้ออกไปข้างนอก เขาคิดว่าน่าจะพาคุณหมอต้นธาราไปด้วยได้ พอคิดมาถึงตรงนี้หัวใจก็คลายความขุ่นข้อง เขาลืมไปว่าเมื่อเช้าโดนพูดอะไรมาบ้าง ภานุมอง ชายหนุ่มโยนปากกาลง...กับสิ่งที่ทำ...เหมือนกับว่าเขากำลังหวง ต้องการจะทำกันแน่นะเรา
------------------------------------------------
PS. * กริด ระบบวัดแผนที่ทางทหาร