เสียงเคาะบางสิ่งบางอย่างดังเบาๆเข้าหูของคนที่หลับสนิท ธีรเดชเงี่ยหูฟังก่อนลืมตาตื่น ชายหนุ่มตกใจที่พบกับแสงอาทิตย์จับขอบฟ้า มองหาร่างที่น่าจะหลับอยู่กลับพบนั่งอยู่หน้าเครือกล้วยป่าเครือใหญ่พร้อมกับมีดเคาะรังผึ้ง ธีรเดชมองหน้าคนป่วยที่เมื่อก่อนหน้านั้นลุกจากเตียงแทบไม่ได้ นายทหารหนุ่มลุกขึ้นอย่างงงงัน กิ่งไผ่ช้อนตามองด้วยใบหน้าเรียบเฉย นิ้วเรียวชี้มาทางผลไม้และรังผึ้ง พร้อมกับพยักเผยิดหน้าไปทางกระบอกไม้ไผ่อบไก่ป่าเย็นชืด เจ้าของดวงตาที่มองอย่างไม่เข้าใจนักเดินเข้ามาใกล้พร้อมทรุดนั่งลง
“มินกะลาบา ”
กิ่งไผ่ทักทายเป็นภาษาพม่าต่อท้ายด้วยการไอ ธีรเดชพูดอะไรไม่ออก
“คุณออกไปหามา?”
ชายหนุ่มถามเป็นภาษาใบ้ แรกๆกิ่งไผ่ก็เอียงคอ ท้ายที่สุดก็เข้าใจ ศีรษะได้รูปผงกตอบรับ
“อะซาอะซา”
กิ่งไผ่ว่าพร้อมชี้มือมายังของที่ตัวเองหามาได้ ธีรเดชเลิกคิ้ว
“หมายถึงกล้วย...Banana?หรือว่าHoney?”
ธีรเดชถามด้วยเสียงชื่อๆ กิ่งไผ่ยิ้มด้วยริมฝีปากแตกเป็นขุย
“Food”
นายทหารหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินคำตอบ
“แล้วคุณกินยัง...Eat น่ะ”
กิ่งไผ่ผงกหัวตอบรับ ตอบเสร็จก็ลุกขึ้นด้วยอาการมึน ธีรเดชประคับประคองให้กลับไปยังที่นอน
“ไม่น่าออกแรงเลย เรื่องอาหารหรืออะซาอะซาอะไรของคุณให้ผมไปหาเองก็ได้แท้ๆ”
ธีรเดชเอ่ยปากพึมพัม คนที่อกแรงเยอะไปนั้นปิดจากลงทันทีที่หลังกระทบพื้นแข็งๆ อาการคลื่นเหียนก็ปรากฏ ธีรเดชเห็นแล้วก็นึกโทษตัวเองที่เผลอหลับไป
“ทานยาก่อนเถอะครับ” ชายหนุ่มส่งแผงยาที่เหลือไม่กี่เม็ดให้ กิ่งไผ่หอบหายใจแรง ปิดปากที่รู้สึกคลื่นไส้เอาไว้ ดวงตาลายมองเห็นเเต่ภาพหมุนติ้ว
“เสร็จแล้วก็นอนพัก คุณเป็นไข้หนักตั้งสองวันใครใช้ให้ออกแรงเยอะกัน”ธีรเดชเอ่ยตำหนิ คนที่ได้ยินน้ำเสียงนั้นทำหน้าจ๋อย
“ผมก็ไม่น่าหลับยามเลย มันน่าฆ่าทิ้งนัก”
ธีรเดชตำหนิตัวเอง ห่วงชีวิตคนป่วยมากกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก
“แต่ก็ขอบคุณที่อุตส่าห์ฝืนสังขารออกไปหาเสบียงมาให้...Thank”
ชายหนุ่มเอ่ยคำขอบคุณก่อนตรวจของที่กิ่งไผ่หามาได้ กิ่งไผ่ยิ้มน้อยๆกับคำขอบคุณ
------------------------------------------------
แสงไฟในห้องพยาบาลสว่างวาบ นายพลพิภพนั้นกำมือแน่นเพราะได้รับข่าวร้ายเกี่ยวกับอาการของบุตรชาย ท่านแทบหัวใจวายเมื่อเห็นร่างของลูกชายล้มสลบไสลไม่ได้สติ โชคดีที่พันเอกชาน เนนกับพันโทวันชัยช่วยเหลือ เรียกรถพยาบาลพร้อมกับปฐมพบาบาลเบื้องต้นให้ เลือดกำเดาไหลออกจากจมูก อาบหน้าขาวเป็นสีแดงเข้ม พอส่งเข้าโรงพยาบาลที่ต้นธาราเข้ารับการรักษา แพทย์จัดการช่วยเหลือคนไข้อย่างเร่งด่วน
“ท่านครับ...น่าจะพักสักหน่อยนะครับ”
พันโทวันชัยกล่าว ขณะรอคอยผล
“น่าสงสารนะครับที่บุตรชายของท่านนายพลป่วยด้วยโรคร้าย”
พันเอกชาน เนนเอ่ยกระซิบ
“ธารป่วยด้วยโรคลูคีเมียมานานแล้วแต่เขายังดื้อดึงไม่ยอมเข้ารับการรักษาเสียที”
ท่านนายพลว่า ชายหนุ่มต่างเชื้อชาติเงียบไป
“ต้องขอบใจคุณทั้งสองมาก เรื่องที่เคยพูดกันนั้นคงต้องขอผลัดเป็นวันพรุ่งนี้แทนเสียแล้ว”
ท่านนายพลเอ่ยอย่างกลุ้มใจเพราะเรื่องที่คุยกันนั้นเป็นถึงเรื่องใหญ่ระดับประเทศ พันโทชาน เนนผงกหัว
“งั้นเดี๋ยวผมจะแจ้งนัดอีกครั้งต้องขอบคุณในความร่วมมือของทางประเทศไทยด้วย”
นายพลชราจับมืออำลา พันโทวันชัยยืนตัวตรงหนีบหมวกไว้ข้างกายโค้งเล็กน้อยก่อนกล่าวลา
“ผมต้องขอตัวไปส่งพันเอกชาน เนนก่อนนะครับ ขอให้บุตรชายท่านนายพลปลอดภัย”
นายพลพิภพส่งบุคคลทั้งสอง แพทย์ออกมาจากห้องพยาบาลท่านนายพลก็ประกบตัวทันที
“อาการของธารคงไม่แย่ลงนะครับ?”
ท่านเอ่ยอย่างหวั่นๆ แพทย์ส่ายหน้า
“รีบให้คนป่วยเข้ารับการรักษาเคมีบำบัดเพื่อบรรเทาอาการเถอะครับ เพราะหากรอต่อไปชีวิตของคนป่วยอาจอยู่ได้เเค่หกสิบวัน”
ดวงตาชราภาพปิดลงอย่างเศร้าใจ
“ลูกชายผมไม่มีหวังเลยหรือครับ ก็ไหนหมอบอกว่าถ้าได้รับการเปลี่ยนถ่ายกระดูกแล้วจะช่วยได้ไงครับ”
คุณหมอดันขอบแว่นอย่างเคร่งเครียด
“ครับ...แต่ว่าคนป่วยรอมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว หากรอก็อาจจะสิ้นชีวิต ต้องบรรเทาอาการไปสักระยะจนกว่าจะหาไขกระดูกที่ตรงกับคนไข้ก่อนดีกว่า”
ทางแพทย์แนะนำ ท่านนายพลกำมือแน่น
“หากตัดสินใจได้ก็บอกหมอนะครับหมอจะได้จัดการให้”
แพทย์เอ่ยก่อนจะให้ท่านนายพลไปดูบุตรชายที่นอนให้สายน้ำเกลืออยู่บนเตียง โดยมีป้าสมร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างเตียงเมื่อคุณหนูที่เคยดูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกล้มเจ็บ
“พิโถ่...หนูธาร จากนมไปนานก็มาล้มป่วยด้วยโรคร้ายอีก”
ท่านนายพลมองดูสาวใช้ที่อยู่รับใช้มานาน
“สม...ธารยังไม่ตื่นใช่ไหม?”
ป้าสมเงยหน้าขึ้น ก่อนตอบท่านนายพล
“ยังไม่ตื่นเจ้าค่ะท่าน เมื่อกี้หมอมาฉีดยาอะไรให้ไม่รู้เลยหลับนานแบบนี้แหละเจ้าค่ะ
”มือกร้านจับมือบุตรชายกุมเบาๆ ผิวกายเย็นเฉียบ ซีดเซียวราวกับซากศพ
“หนูธารมีสิทธิ์หายไหมเจ้าคะ?”
นางถาม ท่านนายพลผู้เป็นนายส่ายหน้า
“ก็ไม่รู้สิ แต่ถ้ารับบำบัดโดยสารเคมีก็มีสิทธิ์บรรเทาและมีสิทธิ์หายหรือไม่ก็...ตาย”
ดวงตาทุกข์ใจทอประกายออกมาหลังจากคำพูดประโยคนั้น ป้าสมมองเจ้านาย นางเห็นท่านเสียใจเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง...ครั้งหนึ่งตอนที่ภรรยาคู่ชีวิตสิ้นใจ อีกครั้งคือตอนทะเลาะกับบุตรชายอย่างรุนแรง...ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามที่ท่านเสียใจ
“ท่านน่าจะพักผ่อนสักนิดนะเจ้าคะ โหมงานมากแล้วยังมาเครียดกับคุณหนูอีก”
สายตาของนายพลพิภพมองบ่าวรับใช้
“ตัวฉันจะตายก็ช่าง แต่ธารจะต้องหาย...”ท่านว่า ป้าสมมองอย่างสงสาร
“แต่ท่านเจ้าคะ ท่ามาล้มป่วยไปอีกคน ก็น่าเป็นห่วง ท่านกลับไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวคุณหนู ป้าสมจะดูแลเอง”
ท่านนายพลชราต้องจำยอม
“จะเอาอะไรไหม ฉันจะได้กลับไปเอามาให้”
ป้าสมบอกต้องการของที่ต้องการ ท่านนายพลรับคำก่อนจะเดินออกไปจากห้องพักฟื้นของบุตรชาย เดินไปตามทางของโรงพยาบาล ท่านมองคนป่วยที่นั่งในรถเข็น คิดถึงวันที่เสียภรรยาคู่ใจ
“ฉันไม่อาจดูแลลูกชายเราได้ตามที่เธอหวัง...”
นายพลเอ่ยกระซิบในใจหวังว่าจะส่งผ่านไปถึงภรรยาที่อยู่สุดขอบฟ้าที่ไม่อาจเอื้อมถึง
“เจ้าธารมันจะข้ามสะพานไปหาเธอแล้ว จะทำอย่างไรดีที่จะยื้อชีวิตลูกเราได้”
ท่านนายพลทำใจให้เข้มแข็งแต่คำพูดของหมอก็ยังไม่จางหาย คงเหลือแต่ความสับสนที่ติดอยู่ในห้วงความคิดของนายพลชรา
------------------------------------------------
รู้ดี...ว่าทำทุกอย่างพังด้วยตัวเอง ภานุหลับตาลง วันนี้ชายหนุ่มนั่งมองท้องฟ้า อยู่ที่บ้านของตัวเอง คุณหมอมาริสาและใครๆต่างผลัดมาแวะเยี่ยมเยือนที่ได้ข่าวว่าชายหนุ่มรอดตายและหายจากอาการบาดเจ็บ ภานุรู้สึกดีใจและคลายจากความเศร้าโศกดีอยู่หรอก แต่พอได้อยู่โดดเดี่ยวก็คิดถึงคนที่ใจทอดทิ้งอยู่เรื่อยไป ดวงตามองหาใครสักคน...แหงนมองหา ครั้งหนึ่งเคยไม่มีเยื่อใย มาบัดนี้กลับต้องจมอยู่กับความเสียใจและใจเฝ้ารอ ชายหนุ่มลุกขึ้นเพื่อผลัดเปลี่ยนผ้าพันแผล หัวใจยังคงระทม นั่งจมจ่อกับความรู้สึกครั้งหลัง ปิดหน้าอย่างท้อๆ เพียงแค่ความเสียใจมันไม่อาจลบการกระทำทั้งหมดที่ก่อขึ้นมาได้ ภานุลุกขึ้นเข้านอนเร็วกว่าปกติ ทบทวนเรื่องราวต่างๆที่เกิดในกระท่อมหลังนี้....บ้านเก่าๆมุงด้วยหญ้าแฝก กลิ่นอายของดวงหน้าขาวซีด น้ำตาที่เคยไหลร่วงหล่น คำพูดที่ทำให้เจ็บช้ำจนดวงใจนั้นร้าวราน เขาไม่หวังจะตามขอโทษหรือขอคืนดี ตอนนี้เหลือเพียงหนทางไร้ซึ่งที่ไป...กับหมื่นหนทางขวางกั้น ไม่มีทางใดที่หัวใจจะประสานคืนกันได้อีกแล้ว
------------------------------------------------
ไปละ