อิอิ ใจเย็น อย่าเพิ่งปวดตับกันไป
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 6 sensibilité/ หวั่นไหว “เราควรออกเดินทางได้แล้วกระมัง”ธีรเดชว่า
กิ่งไผ่กอดอก ใบหน้าแดงน้อยๆนั้นผงกหัวเป็นเชิงเห็นด้วย
“งั้นก็รีบเถอะ”
กิ่งไผ่ช่วยชายหนุ่มเก็บของ ตัวเองก็ไอแค่กๆ ธีรเดชเห็นแล้วรู้สึกเห็นใจ
“ไหวไหม เราพักสักคืนก็ได้นะ”
กิ่งไผ่ยิ้ม แสดงความอดทนบนสีหน้า
“ไม่เป็นไร เราต้องไป ถ้าหากอยู่นานอาจถูกตามล่า”
กิ่งไผ่ว่า นึกหน้าของกฤษดาด้วยความเกลียดชัง เพราะมันเป็นคนทรยศ ทำลายรากฐานในการกอบกู้ชาติ
“แต่ผมว่าอาการของคุณ...”
กิ่งไผ่รวบผมขึ้น ท่าทีเข้มแข็งจนธีรเดชนึกทึ่ง
“ผมถูกฝึกมาไม่ให้อ่อนแอ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง”ตอบด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
ธีรเดชเงียบไป กิ่งไผ่ขนของลงในเป้สนาม ใบหน้ามีเหงื่อไหลซึม ทรวงอกสะท้อนขึ้นลง มือยันพื้น รู้สึกพื้นดินโคลงเคลงไหววูบ ธีรเดชละจากการเก็บสัมภาระ เข้ามาดูอาการ
“แน่ใจหรือว่าจะไม่พักจริงๆ”
นายทหารหนุ่มถามด้วยความเป็นห่วง กิ่งไผ่ฝืนยิ้ม ทั้งๆที่รู้ตัวดีว่าควรพักอีกหน่อย หากก็ฝืน
“บอกแล้วว่าผมไม่เป็นอะไรจริงๆ”
กิ่งไผ่ปัดมือที่ยื่นเข้ามาช่วยออก ธีรเดชระอากับความดื้อดึง กิ่งไผ่ลุกขึ้นแบกเป้หนักๆ
“เป้นั่นส่งให้ผมเถอะ”
กิ่งไผ่ทำเมินเฉยต่อคำสั่ง หยิบปืนส่งให้ชายหนุ่ม ธีรเดชรับอย่างว่องไว
“ต่อให้ผมป่วยขนาดไหน ผมก็มีแรงแบกของ เก็บอาวุธของคุณเถอะ ผมไม่อยากเป็นตัวถ่วงคอยกินแรงหรอก”
นายทหารจากไทยถอนใจ เก็บสัมภระที่เหลือและกลบเกลื่อนร่องรอยของการก่อไฟ
“ผมให้คุณนำทางคงได้ใช่ไหม?”
ธีรเดชไม่เซ้าซี้ช่วยเหลือ กิ่งไผ่ผงกหัว ก้าวเดินก้าวแรกก็แทบเซจึงตั้งใจเดินด้วยความระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม
“จะไปไหน”
ร่างโปร่งหันมาถามนายทหารจากไทย ธีรเดชตอบทันทีว่าอยากกลับประเทศของตัวเอง กิ่งไผ่ยิ้มแล้วรู้สึกวูบในอก เพราะชายหนุ่มมีที่ให้กลับ แต่เขาไม่มีอะไรเลยแม้แต่ประเทศจะให้อยู่
“...งั้นต้องไปทางด้านนี้ แต่ต้องเสี่ยงดวงเอาหน่อยล่ะ”
นึกถึงใบหน้าของพ่อ ไม่รู้เจ้าขิ่นจะพาหนีไปไหน...อยากเจอ เพราะอย่างน้อยๆมันก็คือครอบครัวของเขา ดวงตาสีดำสนิทแฝงความเศร้าโศกเเลดูงดงาม ดุจอัญมณีหายาก จนธีรเดชเผลอมอง
“จ้องอะไร”
กิ่งไผ่หันมาถามเสียงดุๆ ธีรเดชซ่อนดวงตาชื่นชมเอาไว้
“เอ่อ...เปล่า”
กิ่งไผ่ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น ธีรเดชนับถือในความเข้มเเข็ง กิ่งไผ่หันหน้ากลับไป การเดินเริ่มเชื่องช้าลง ชายหนุ่มหยุดอยู่ทางแยก มือเท้าต้นเต็ง มองทิศที่จะไปด้วยดวงตาพร่ามัว
“ให้ผมแบกเป้เถอะแล้วเราค่อยหาที่พักกัน”
ธีรเดชไม่สนว่ากิ่งไผ่จะปฏิเสธหรือไม่ยอมรับความช่วยเหลือ ชายหนุ่มปลดเป้แสนหนักออกจากแผ่นหลังของร่างโปร่ง
“มันเป็นของผม ผมจะรับผิดชอบเอง”
ธีรเดชกล่าวเมื่อดวงตาสีดำสนิทจ้องมาอย่างไม่พอใจ แล้วกิ่งไผ่ก็ทรุดฮวบ เหงื่อแตกพลั่ก ธีรเดชวางเป้สนามลง อังหลังมือเข้ากับหน้าผาก
“ตัวร้อนนี่ ท่าทางจะไข้กลับ”
ชายหนุ่มร้อนใจ ค้นหายาในกระเป๋าพร้อมกระติกน้ำยื่นยาใส่ปาก กิ่งไผ่ปัดมันออก
“ผมยังไม่ตายเสียหน่อย”
แม้ปากจะพูดแบบนั้น เรี่ยวแรงทั้งหมดพลันหายไป พยายามจะลุก เข่าก็อ่อนยวบ ธีรเดชประคับประคองร่างบางแนบอก กิ่งไผ่หลับตาลง วิงเวียนศีรษะยิ่งนัก ใบหน้าพิงอกแกร่ง ธีรเดชถอนใจ สุดท้ายความดื้อดึงก็แพ้ฤทธิ์ไข้ จับศรีษะคนดื้อหนุนตัก
“คุณนี่ก็เป็นคนที่มีทิฐิแรงกล้าจริงๆ”เสียงของชายหนุ่มเหมือนดังมาจากดินเเดนเเสนไกล
“มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ นับตั้งแต่เวียงนวรัฐะล่ม นับตั้งแต่แม่ตาย...”
ริมฝีปากซีดพึมพำ ธีรเดชขมวดคิ้วฟังคำละเมอ
“เวียงนวรัฐะหรือ?”
ศีรษะที่นอนทับต้นขาผงกตอบ น้ำเสียงเจือความอ่อนล้าค่อยๆแผ่วเบา
“แม่...แม่..”
กิ่งไผ่เพ้อเพราะพิษไข้รุมเร้า ธีรเดชหยิบผ้าขาวม้าเทน้ำในกระติกซับหน้าผากร้อนผ่าว ในอดีตคนๆนี้เก็บซ่อนอะไรไว้กันแน่นะ?
“แม่...พ่อ...”
ความทรงจำระลึกย้อนวันที่ตัวเองต้องออกจากเมืองเพื่อไปศึกษาต่อที่เวสพอยท์ ช่วงเวลาที่ทรมานใจ ต้องผ่านวันเวลาที่ยากลำบาก เพื่อกอบกู้บ้านเมือง!
“คุณ...”
ใบหน้าเข้มแข็งละลายหายไป คนในอ้อมเเขนเเสดงให้เห็นถึงความทนทุกข์ทรมานที่เก็บซ่อนไว้ ดวงตาธีรเดชจับจ้องอย่างพิศวง จะใช่ตัวตนจริงๆรึเปล่านะ? กอดร่างที่พร่ำเพ้อเอาไว้แน่น เกลี่ยหยดน้ำตาไหลหลั่งรินไม่ขาดสาย
“ร้องไห้เพราะอะไรกัน?”ชายหนุ่มถามตัวเองด้วยความสงสัย กิ่งไผ่ก็จับแขนของนายทหารหนุ่มไว้แน่นราวกับจะไว้เป็นหลักยึดไว้จากฝันร้ายในอดีต
------------------------------------------------