บีบหัวใจจริงๆ อิอิ เค้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันอะนาท 55
อ่านต่อดีกว่า
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 12 Kill/ตามล่า
ผู้กองธีรเดชมองใบหน้าที่ดูสดชื่นขึ้น กิ่งไผ่กวักน้ำในลำธารใสเย็นล้างใบหน้า ก่อนมองท้องฟ้าด้วยใจที่ไม่สู้ดีนัก
“มีอะไรหรือเปล่า”ชายหนุ่มถามเบาๆ
ใบหน้าของกิ่งไผ่หันมาเเต่ไม่ตอบอะไร ธีรเดชรอให้อีกฝ่ายยอมพูดเองดีกว่าฝืนบังคับ
“เราช้าไม่ได้แล้ว รีบอกเดินทางเถอะ”กิ่งไผ่ขมวดคิ้วมุ่น
ธีรเดชแปลกใจเพราะเขาอยากพักต่ออีกสักหน่อย
“มีอะไรรีบด่วนละ”ชายหนุ่มถาม
กิ่งไผ่ไม่พูดให้ความกระจ่าง ก้มหน้าก้มตาเก็บสัมภาระ
“พักอยู่ที่นี่อีกสักคืนคงไม่เสียหายอะไรมั้ง”
ธีรเดชออกความเห็นซึ่งกิ่งไผ่จ้องเขม็ง
“ผมเกรงว่าพวกมันจะตามเราทัน รีบไปให้ถึงฝั่งไทยยิ่งดี ผมจะได้เสร็จธุระ”
คำตอบเฉยชา ผิดกับเมื่อคืน ธีรเดชเลิกคิ้ว
“เสร็จธุระ? หมายความว่าไง”
กิ่งไผ่ก็เงียบเหมือนเคย จนธีรเดชอ่อนใจแทน
“ผมต้องไปหาพ่อผม ส่งคุณข้ามแดนถือว่าเสร็จธุระ”
กิ่งไผ่ตอบ ลุกขึ้นอย่างว่องไว ไม่มีอาการของคนเจ็บให้เห็นเเม้สักกระผีก ธีรเดชยักไหล่ พลางนึกในใจ คนอะไรเหมือนหุ่นยนต์สิ้นดี แผ่นหลังบอบบางตั้งตรง ใบหน้าแหงนมองฟ้า พร้อมกับสายลมพลัดพลิ้วเรือนผมยาวสลวยยุ่งเหยิง
“แน่ใจนะว่าจะเดินทางต่อ”ธีรเดชถาม
กิ่งไผ่หันมาแสดงท่าทีข้องใจ
“คุณมีปัญหาอะไร”กิ่งไผ่ถาม
ธีรเดชเตรียมพูด ทว่ากิ่งไผ่ก็แทรกขึ้นเสียก่อน
“ถ้าคุณห่วงผมละก็ หัดห่วงตัวเองบ้างก็ดี”
กิ่งไผ่กล่าวจบก็หันหน้าหนี ธีรเดชพูดไม่ออกเมื่อได้ยินประโยคนั้น “คุณน่ะเอาแต่ห่วงคนโน้นคนนี้ ไม่ดูตัวเองบ้าง ระวังเหอะ สักวันความใจดีมันจะฆ่าทั้งคนที่คุณมอบความห่วงใยให้และคุณเอง”กิ่งไผ่กล่าว
ธีรเดชได้ฟังครั้งแรกก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก พอคิดตามแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย เพราะความที่ตัวเองใจดีนี่แหละ จึงทำให้เจ็บอยู่เงียบๆเพียงลำพัง
“คุณน่ะเหมือนกับนก พอปีกหักก็บินไม่ได้ คอยมองตัวเองตายอยู่เงียบๆ มันน่าสมเพชสิ้นดี”
เสี้ยวหน้างามหันมอง ดวงตากร้าวแกร่งไม่ยอมใครอ่อนลง
“ผมไม่ชอบคนแบบนั้นและไม่ชอบความใจดีที่คุณมีให้”กิ่งไผ่ว่าเสียงแข็ง
ธีรเดชตกใจไม่น้อยที่เห็นใบหน้านั่นจริงจังขึ้น ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง
“ผมถือว่าผมพูดแล้วนะ คราวหน้าคราวหลังก็อย่าทำใจดีอีก”
กิ่งไผ่สะบัดหน้าหนี ก่อนก้าวฉับๆเดินหนีอย่างรวดเร็ว ธีรเดชนิ่งไหล่ตก ตัวเขาทำดีกลับไม่ได้อะไรสักอย่าง นี่ละมั้งถึงบอกว่าเป็นนกบาดเจ็บ สุดท้ายก็ต้องอยู่ตามลำพัง
------------------------------------------------
ฝ่ายกิ่งไผ่นั้นเมื่อได้พูดออกไปก็กุมอกแน่น เขาเลือกที่จะเก็บกดความรู้สึกเอาไว้ในใจเงียบดีกว่า ไม่อยากเสียใจเพราะความใจดี ทั้งสองเดินตามกันเงียบๆไม่พูดไม่จาอะไรทั้งสิ้น สายตาดำขลับ สุกใส มักเหลือบมองใบหน้าอ่อนโยนที่ขมวดมุ่น กิ่งไผ่อ้าปากเตรียมพูดทว่าก็เลือกที่จะเงียบเสียดีกว่า เดินจนพ้นระยะป่าทึบสู่ป่าที่โล่งกว่า กิ่งไผ่หันมอง ธีรเดชหน้าขรึมเหมือนเคย
“เราจะพักข้างหน้านี้คุณมีอะไรจะแย้งไหม”
กิ่งไผ่ขอความเห็น กอดอกมองเสี้ยวหน้าเข้ม ธีรเดชไม่ได้ว่าอะไร กิ่งไผ่จึงถือว่าเอาความเงียบนั้นเป็นคำตอบ
“กำลังคิดอะไรอยู่ หรือสิ่งที่ผมพูดมันทำร้ายใจคุณมากเกินไปกัน”
ธีรเดชส่ายหน้า ก่อนเดินนำไปก่อน
กิ่งไผ่กัดปาก รู้ว่าคำพูดของตัวเองคงทำร้ายจิตใจของผู้กองแสนใจดี แม้จะเสียดายที่จะไม่ได้เห็นความใจดีอีก มันก็ดีสำหรับเขาแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อไปถึงจุดหมายที่พัก กิ่งไผ่ปลดเป้ลง ปาดเหงื่อออกจากใบหน้า
“ผมอยากกลับไปถึงเขตแดนไทยเร็วๆ อีกกี่วันกัน”ธีรเดชพูดขึ้นมาหลังจากที่เงียบไปนาน
กิ่งไผ่มอง ก่อนจะตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“สามวัน เท่าที่ผมดูน่าจะสามวันเป็นอย่างต่ำ ถ้าไม่มีเหตุร้ายอะไร”
ไม่รู้ว่าใจของผู้กองคิดอะไรอยู่ กิ่งไผ่ก็ไม่กล้าถาม ธีรเดชลุกขึ้นราวกับครุ่นคิดถึงบางอย่างที่ติดอยู่ในใจ
“สามวันรึ แล้วคุณละจะกลับไปหาพ่อของคุณเลยรึ”กิ่งไผ่ผงกหัว
ธีรเดชใช้หางตามอง
“ถ้าผมไม่อนุญาตละ”
ใบหน้าของกิ่งไผ่กร้าวขึ้น ร่างสง่างามลุกขึ้น
“งั้นผมคงต้องฆ่าคุณทิ้ง แต่มันก็น่าเสียดายนะที่เราฝ่าฟันมาจนถึงที่นี่ได้แต่ต้องผิดใจกันเพียงเพราะเรื่องเดียว”กิ่งไผ่กอดอก ดวงตาดำสนิทวาววับ
“ผมต้องการตัวคุณไปสอบพยาน ในฐานะที่ผมเป็นเจ้าหน้าที่ผมจำเป็นต้องทำ”ใบหน้าใจดีไม่เหลือเค้าให้เห็น
กิ่งไผ่ก้าวถอยหลัง
“คุณบอกว่าให้ผมเลิกใจดี ผมก็ต้องทำตามหน้าที่ ที่จริงผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่พอคุณพูดมันทำให้ผมต้องนึกถึงหน้าที่ที่ผมต้องรับผิดชอบเพราะที่ผ่านมา ผมอยากให้คุณเป็นมิตรกับผม”
กิ่งไผ่จ้องเขม็ง สายตาเเข็งกร้าวขึ้นมาเช่นกัน
“ผมคงไม่อาจปล่อยให้คุณจับได้ เพราะผมก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเช่นกัน แต่คุณไม่ต้องห่วงหรอกว่าผมจะปล่อยให้คุณตายอยู่กลางป่า ผมจะไปส่งคุณถึงที่ แต่ถ้ามีการจับกุมกัน ผมก็กัดไม่เลี้ยงเหมือนกัน”
ร่างโปร่งว่า นึกถึงภาระหน้าที่วางบนบ่า นึกถึงพ่อกับเจ้าขิ่นที่ซ่อนกายอยู่ในป่าไม่รู้ชะตากรรม ความแค้นที่ฝังในอกค่อยๆครอบงำ มือหนายื่นออกมา กิ่งไผ่ระแวดระวัง หากมืออุ่นๆแตะมือที่กำแน่นข้างตัว พร้อมกับเสียงทอดถอนใจราวกับอัดอั้นตันใจ
“ขอบคุณที่ยังไม่คิดทิ้งผมไว้ตรงนี้.... ที่ผมพูดไปเมื่อครู่ผมขอโทษ หากไปถึงเขตแดนประเทศไทยจริงๆเราทั้งคู่คงต้องแยกคนละทาง ผมรู้สึกเสียดายที่ช่วงเวลาดีๆมีน้อยเหลือเกิน และผมก็เป็นห่วงคุณจริงๆ บางทีสิ่งที่ผมพูดไปคุณอาจไม่ชอบแต่ผมก็อดที่จะพูดไม่ได้ ผมเป็นห่วงที่คุณต้องกลับไปหยังที่เดิมของคุณ ผมอาจจะไม่รู้อะไรมากนักแต่ผมก็กลัวว่าจะเกิดอันตรายกับคุณ”
คำพูดของชายหนุ่ม ยิ่งทำให้กิ่งไผ่รู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างอ่อนแอเหลือเกิน
“คุณจะหาห่งมาห่วงอะไร ตัวผมอยู่ในป่ามาตั้งแต่เด็ก ผมรู้จักมันดี สำหรับผมแล้วมันก็เหมือนกับสนามเด็กเล่นนั่นแหละ”คำพูดเชื่อมั่น สายตาไม่หวั่น
ธีรเดชมองด้วยความเหม่อลอย หากคนๆนี้ยอมอ่อนลงคงจะเหมือนกับต้นธารา...ชายหนุ่มสะดุ้งเมื่อคิดถึงใบหน้าที่แสนอ่อนโยนของต้นธาราขึ้นมาแต่แล้วสายตาต้องวูบไปเมื่อคิดถึงว่าคนที่อยู่ในใจของต้นธาราได้คงจะมีแต่ผู้กองภานุและเขาก็คงเป็นส่วนเกินของหัวใจดวงนั้น นึกแล้วก็วูบไป กิ่งไผ่มองเห็นแววตาแปรเปลี่ยน เขาก็แปลกใจ ในแววตาคู่นั้น ธีรเดชคิดอะไรอยู่
“คุณพูดแบบนี้ผมก็อดห่วงอีกไม่ได้อยู่ดี คุณไม่เคยเปิดเผยเลยว่าคุณจะไปที่ไหน ทำอะไรให้ผมคลายใจได้บ้าง”
ชายหนุ่มดึงสติให้หลุดจากภวังค์มองใบหน้าของกิ่งไผ่
“ก็มันไม่จำเป็น”กิ่งไผ่ตอบด้วยท่าทางไม่หยี่ระ
ธีรเดชก็ไม่อยากพูดให้มากความเพราะว่าหากพูดไปก็คงเหมือนกับสาดน้ำใส่หัวตอเพราะไม่รู้สึกอะไรเลย กิ่งไผ่เห็นผู้กองหนุ่มเงียบไปก็ทรุดนั่ง มองแสงอาทิตย์ลำสุดท้ายก่อนลาลับหาย
“นอนเอาแรงเถอะ เรื่องเฝ้ายามผมขอเป็นผลัดแรกเอง”
กิ่งไผ่เอ่ยเมื่อเห็นธีรเดชกระสับกระส่าย ชายหนุ่มมองใบหน้าละมุนตานั่งตรงข้ามก็ส่ายหน้า
“คุณนอนก่อนเถอะ...”
กิ่งไผ่ไม่พูดอะไรต่อหยิบเป้วางบนพื้นที่จัดการทำเป็นที่นอน ปิดเปลือกตาลง ฝ่ายผู้กองหนุ่มจากไทยนั้นนั่งเฝ้ากองไฟที่ก่อไว้เงียบๆ คอยพัดไล่ยุงเป็นระยะๆโดยใช้ผ้าขาวม้าของกิ่งไผ่นั่นแหละ สายตาไล่มองดาวกระจ่างฟ้า หารู้ไม่ว่ามีสายตาคู่หนึ่งคอยจับจ้องเงียบๆกับเสี้ยวหน้าคมสัน ควันไฟลอยขึ้นสูง เสียงลูกไฟแตกเปรี๊ยะปร๊ะ ลมหนาวพัดปะทะกายจนร่างสูงต้องเขยิบเข้าหาไออุ่น พอดวงตาคมหันมาบอกเท่านั้นแหละ กิ่งไผ่หลับตาลงทันที ใจเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ เสียงสวบสาบแกรกกรากดังขึ้นเบาๆ ร่างที่แกล้งหลับนั้นรุ้สึกถึงความบางเบาที่วางบนกาย เลิกเปลือกตาดูก็พบว่าผ้าขาวม้าคลุมไว้อีกชั้นทับด้วยเสื้อนอกของชายหนุ่ม กะว่าจะลุกส่งคืน คิดไปคิดมาก็คงไม่เหมาะเท่าไรจึงมองร่างที่สั่นเทาผิงไฟแทน
...ความใจดีนั่นค่อยๆฆ่าเขาทีละนิดๆ...