pupper ชอบอ่านคอมเม้นต์ของ pupper จัง ยาวดี อิอิ ดูถ่ายทอดความรู้สึกของคนอ่านดี ชอบๆๆ ขอบคุณที่เม้นต์เช่นกันนะ
xeros สุขสันต์วันปีใหม่เช่นกันจ้า หายไปนาน นึกว่าอ่านไม่ทันซะแล้ว กิ่งไผ่ทำอะไรก็ผิดตลอดอ่ะนะ น่าสงสาร
Ken_krub ขอบคุณคุณเคนเหมือนกัน ที่คอยให้กำลังใจมาตลอดเลยทุกเรื่องเลย น่ารักมากมาย
RN ที่จริงเราก็ HNY กันไปหลายรอบแล้วเนอะป้าเนอะ 555 ขอบคุณมากนะ
19NT คุณน้องขี้เมา ปีใหม่นี้ไปเมาที่ไหนป่าวเนี่ย เอิ๊กส์สสสส หมอธารเหมือนจะดีเนอะ อ่านกันต่อไปจ้า
Poes อิอิ ว่าเราเป็นฝาโอ่ง แบร่ๆๆๆ ไม่รับเว้ยยยยย
อ่านต่อเลยแล้วกัน เพิ่มความตึงเครียดวันปีใหม่
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 37 Timeless / ทรยศ (PART 1) ก็รู้...ว่ามันต้องลงเอ่ยเช่นนี้ มองดูอยู่ห่างๆ ด้วยหัวใจทรมานกับหน้าที่ที่ทับถม แม้ว่าจะขอคุยแต่อีกฝ่ายกลับเมินเฉยไปอย่างไม่ไยดี เฉยชา เครียดขรึม
“ดูท่าผู้กองจะเจอกับศึกหนักแล้วสินะ?”ภานุเอ่ยเย้า
คนที่กำลังเครียดทำหน้าหงิก“ผู้กองภานุไม่เคยโดนไม่รู้หรอกครับว่ามันเจ็บแค่ไหน”
ภานุหัวเราะหึๆก่อนตอบธีรเดช“ผมเจ็บมาเยอะ โดนมาเยอะ ทำไมจะไม่รู้ว่าความเจ็บปวดมันคืออะไร”ผู้กองภานุตอบกลับไปเบาๆ มองดูแผนที่เขตแดนเวียงนวรัฐะ
ธีรเดชถอนใจเล็กๆ หลังจากที่ผ่านพ้นการประชุม ชายหนุ่มนั่งถูมือใจเหม่อลอย มองร่างของกิ่งไผ่คุยเรื่องรายละเอียดกับผู้พันชานเนนเกี่ยวกับเรื่องของบิดา เสี้ยวหน้างดงามสงบ พอร่างของผู้กองภานุเดินออกมาจากห้อง ธีรเดชจึงลุกขึ้น
“ไม่เข้าไปคุยล่ะ?”ภานุเอ่ย มองใบหน้าเซื่องซึมราวกับจะรู้ถึงเรื่องราว
ธีรเดชส่ายหัว“ผมไม่กล้า แล้วเรื่องคุณหมอละครับเป็นยังไง?”เปลี่ยนเรื่องถามไถ่เรื่องความรักของอีกฝ่าย สายตาคู่ดุดันฉายร่องรอยความสุขบ่งบอกเป็นอย่างดี ธีรเดชแอบถอนใจเล็กๆ
“เรื่องของคุณหมอกับผมคุณไม่ต้องห่วงหรอกผู้กอง เรื่องของคุณเถอะน่าเป็นห่วงกว่า ไม่จัดการความรู้สึกให้ไวละก็....”ภานุเงียบไป ไม่พูดอะไรต่อ
ธีรเดชเข้าใจดี เขามองท้องฟ้า
“เกี่ยวกับงานในครั้งนี้ ผมจะจัดการความรู้สึกตัวเอง ว่าแต่ผมขอไปเยี่ยมคุณหมอได้ไหม อาการของคุณหมอเป็นไงบ้าง นับตั้งแต่มาพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ผมไม่ได้เจอเขาเลย”
ภานุนิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ย “คุณหมอสบายดี ถ้าหากผู้กองธีอยากไปเยี่ยม คุณหมออยู่ที่บ้านครับ”
ธีรเดชได้ยินคำพูดตอนรับ แม้ว่ามันแสดงความยินดีต่อการให้พบ แต่ส่วนหนึ่งในใจของธีรเดชก็ไม่กล้าไป ในที่สุดก็เลี่ยงเสีย
“ถ้าสบายดี ผมก็หายห่วง”
สายตาคมกริบเหลือบมองคนข้างกาย ไม่ได้เอ่ยวาจาใดๆตอบโต้ เพียงหยุดมองดวงตากังวล
“ผมไม่คิดว่าคุณจะ...”
ธีรเดชถอนใจเฮือก“ผมรู้ดีว่าผู้กองภานุจะพูดอะไร แต่ความรู้สึกที่ผมมีให้ธารมันไม่มีวันแปรเปลี่ยน ถึงคนรับนั้นนั้นเขาคิดในความหมายอื่นก็ตาม”ดวงตามั่นคงกล่าวมองฟากฟ้ายามค่ำ
“แล้วไม่คิดว่าจะเปลี่ยนใจบ้างรึ?”
ธีรเดชกลืนน้ำลาย“การเปลี่ยนใจไม่ใช่เวลาเพียงแค่ระยะเดียว ผมรักธารมานานกว่าคุณซะอีก!”
“ผู้กองธี บางทีคุณน่าจะมองคนอื่นบ้าง”ภานุเอ่ยแนะ
ธีรเดชหัวเราะแผ่วๆ“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ เอ่อ...ผมขอตัวก่อน”
ธีรเดชเดินไปอีกทาง ปล่อยให้ภานุมองอย่างเห็นใจ อีกฝ่ายปราชัยในความรักในขณะที่เขาได้ครอบครองความรักของต้นธาราทั้งหมด
------------------------------------------------
“ขอโทษที่รบกวนครับ”
ผู้ที่กำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างปิดสมุดในมือ เหลือบมองผู้ที่ก้าวเข้ามาใหม่ ลุกขึ้นต้อนรับ
“ผู้กองภานุ...มีอะไรอีกหรือ?”วงหน้าผุดผาดฉายรอยสงสัย
ภานุวางซองสีน้ำตาลลงตรงหน้า“เอกสารเกี่ยวกับเรื่องของพ่อคุณ”
มือบางหยิบซองเอกสารมาถือไว้แล้วยืนนิ่งไม่ไหวติง ภานุอาศัยช่วงนั้นกล่าวต่อ
“ทางฝ่ายนั้นรู้แล้วว่าคุณอยู่กับเรา ทางนั้นต้องการเรียกตัวกลับ”
สีหน้าของกิ่งไผ่เครียดขรึม “ข่าวไปเร็วจริงๆนะครับ”เอ่ยอย่างเรียบๆ แต่ดวงตาเป็นประกายเจ็บแค้น
“แล้วทางคุณจะทำเช่นไร?”
ร่างโปร่งฉายความอ่อนล้าในดวงตา
“ทางผู้พันชานเนนบอกให้นิ่งเฉย เพราะเรื่องนี้กระเทือนต่อหลายๆฝ่าย”
กิ่งไผ่ถอนใจเฮือก เขามองดูสมุดที่บันทึกข้อความบางสิ่งลงไป
“นิ่งเฉยงั้นรึ?”พอย้อกย้อนได้ก็ถามกลับ“แล้วคิดว่าผมสมควรจะทำเช่นไรล่ะ?”
ดวงตาส่อเค้าคิดบางอย่างในใจ ภานุเงียบไป กิ่งไผ่เชิญให้ผู้กองหนุ่มนั่งลงจ้องใบหน้ากร้านนิ่งๆ
“ผมไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ แต่ผมในตอนนี้ไม่มีกำลังอะไร การที่อยู่นิ่งเฉยแบบนี้แม้ไม่อาจทนก็ต้องทน เป็นผู้กองจะทำอย่างไรล่ะ?”กิ่งไผ่ย้อน
ภานุได้แต่มองใบหน้างามอย่างอับจน
“ผู้กอง...ตอนนี้คุณกำลังคบหาอยู่กับบุตรของท่านนายพลพิภพอยู่ใช่ไหม?”
นายทหารหนุ่มจ้องเขม็ง รอยยิ้มรู้ทันผุดบนสีหน้างดงาม
“หมายความว่าอย่างไร คุณถึงถามคำถามนั้น?”ภานุถามเสียงเข้ม
“แปลกใจสินะครับว่าผมทราบได้ไง ได้ยินตอนที่คุณพูดในครั้งแรกนะครับ ไม่คิดว่าคนที่ผู้กองปลงใจจะเป็นคนๆเดียวที่ได้ช่วยผมให้รอดตายจากการถูกผู้กองยิง...ได้ข่าวมาว่าเขาเป็นลุคีเมีย ตอนนี้หายดีรึยัง?”
ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ ดวงตาหวานคมจ้องเขม็งจับสังเกต ภานุอึ้งไปในบัลดล สายตาของชายหนุ่มจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาเยียบเย็น
“ตอนนี้คุณหมอได้รับการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกแล้ว คงเหลือแต่รอการพักฟื้นเพียงเท่านั้น”ภานุตอบไปตรงๆแล้วสังเกตอากับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
“งั้นก็...คงหายดี?”
“ไม่ถึงขนาดนั้นครับ ยังคงอยู่ในระหว่างพักฟื้น”
คำตอบของภานุทำให้กิ่งไผ่ผงกหัว ดวงตาคู่นั้นไม่ส่อแววคำถามใดๆอีก
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมต้องขอตัว”
ภานุลุกขึ้น กิ่งไผ่ยิ้มส่งให้ รอยยิ้มนั่นดูจะไม่เป็นที่ไว้วางใจเลยในความรู้สึกของชายหนุ่ม
“เออ จริงสิครับ เห็นผู้กองธีระยะนี้ดูซึมๆบางที...เขาอาจจะคิดมากเรื่องของคุณ”ชายหนุ่มบอก
กิ่งไผ่เงยหน้ามองดวงตาเฉยเมย ภานุเอ่ยธุระจบเดินออกจากห้องปล่อยให้ดวงตาสีดำครุ่นคิดกับคำพูดที่ผู้กองภานุกล่าว ...เรื่องที่ต้องคิดมาก มันคือเรื่องอะไร?กิ่งไผ่ปัดความคิดที่คิดไปทางเรื่องร้ายทิ้ง
------------------------------------------------
สายตาสีน้ำตาลมองผู้ที่ก้าวขึ้นบ้านอันเงียบเหงา รอยยิ้มพิมพ์ใจมอบให้เป็นการต้อนรับ คล้ายกับคู่รักข้าวใหม่ปลามัน ร่างผอมบางลุกขึ้นมาตอนรับ วงแขนแกร่งกอดกระชับก่อนจะปล่อยออกอย่างเสียดาย มือหนาแตะใบหน้าขาวจัด
"ไม่มีงานแล้วหรือครับ"ดวงตาสีน้ำตาลมองอย่างไม่ใคร่สบายใจนัก
ภานุรั้งร่างผอมบางให้นั่งลง“ก็เลิกงานแล้ว”ใบหน้ากร้านยิ้มอย่างมีความสุขเฝ้ามองใบหน้าขาวซีดอย่างไม่รู้หน่าย
ต้นธารามองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหยิบหนังสือที่อ่านค้างขึ้นมาอ่านต่อ
“น่าสงสารผู้กองธีนะ”ภานุเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
ดวงตาสีน้ำตาลมองอย่างสงสัย“ทำไมล่ะ?”
คุณหมอปิดหนังสือที่อ่านค้างไว้ มองผู้ที่แวะเวียนมาเยี่ยมบ่อยๆ ภานุถูมือพลางเอ่ย
“ก็ยังไม่หยุดที่จะรักคุณทั้งๆที่มีคนให้ห่วงใยแท้ๆ”ผู้กองหนุ่มรำพึง
“ใครครับ?”คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างใคร่รู้
“ธารเคยพบกับเขาแล้วล่ะมั้ง”
พอพูดถึงตรงนี้ ต้นธาราพบกับความอึดอัดใจบนใบหน้ากร้านแต่แล้วผู้กองหนุ่มก็เสไปเรื่องอื่นเสีย
“แต่ก็ช่างเถอะ วันนี้ธารอาการเป็นอย่างไรบ้าง เหงาไหมที่ท่านนายพลไม่ว่างอยู่ด้วย?”
รอยยิ้มบางๆฉายบนสีหน้า“ไม่หรอกก็พ่อติดธุระนี่ อีกอย่างก็มีคุณหมอมาริสามาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราว อ่านหนังสือไปแก้เบื่อ ไม่เหงาสักเท่าไร ยังดีกว่าอยู่ที่โรงพยาบาลครับ”
คำตอบทำให้ภานุลูบมือคนรักสัมผัสถึงความบอบบางราวกับจะแตกหัก
“ผมดีใจที่ธารมาที่นี่”
คุณหมอยิ้มน้อยๆกับคำพูดเหล่านั้น“รู้สึกว่า...ผู้กองชักจะหวาน ใจดีขึ้นนะ”
“ยังไม่ชินอีกหรือธาร เห็นคุณถามอีกแล้ว”
ต้นธาราเอียงคอนิดๆ“อยากจะชินแต่มันก็เขินนิดๆด้วยกับที่คุณใจดี”
“ผมจะใจดีกับคุณ ยอมทุกอย่างเลยดีไหม?”
ต้นธาราหัวเราะก่อนส่ายหัว
“ทำไมล่ะธาร?”
ภานุทำหน้ามุ่ยเหมือนเด็กๆที่ถูกขัดใจ เอนศีรษะซบอยู่กับตักดึงวงแขนมากอดไว้
“ก็...เป็นแบบเดิมละดีแล้ว เปลี่ยนมากไปไม่ใช่คุณ”
“ผมทำได้ทุกอย่างเพื่อคุณนะธาร”
ต้นธาราได้ฟังก็ชักมือหนี ดึงรั้งร่างผู้องให้มองหน้าตน
“ผมขอบคุณกับทุกอย่างที่คุณมีให้นะครับ แต่การที่ทำทุกอย่างให้ผม ผมไม่อาจเห็นแก่ตัวได้”
“ธาร...พูดอะไรอย่างนั้น ผมเต็มใจทำนะครับ”
มือหนากุมมือบางไว้แนบริมฝีปากประทับเบาๆ ลมหายใจระบายออกอย่างเชื่องช้า
“ผมไม่อยากรั้งผู้กองไว้แบบนี้เลย”
ภานุเงียบไป จ้องดวงตาสีน้ำตาลหม่นๆ
“รั้งไว้หรือ?”
ริ้วความไม่เข้าใจปรากฏ ทำไมถึงไม่เข้าใจ ทั้งๆที่อีกฝ่ายโหยหา ทั้งๆที่รัก เหตุใดถึงพูดจาคลุมเครือไปในแง่ร้าย
“ผมก็แค่กังวล แม้ว่าจะเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกแล้วกลัวว่ามันไม่หาย ผมกลัวทำให้ผู้กองเสียใจที่ความพยายาม...มันไม่สำเร็จ”เสียงแผ่วเบาหวิว
มือหนาลูบหน้าทุกข์ทนเบามือ“ธารต้องหาย ไม่ต้องกังวลไปนะธาร “มองใบหน้าขาวขัดขมวดคิ้วมุ่น
“อย่ากังวลใจไปเลย คุณกังวลใจแบบนี้อีกแล้ว สัญญาแล้วไม่ใช่รึไงว่าคุณไปไหน ผมจะตามคุณไป ผมไม่อาจรักใครได้อีกแล้ว ผมไม่มีทางปล่อยมือจากคุณไปไหน ผมไม่ให้ใครช่วงชิงคุณไปเด็ดขาดแม้กระทั่งความตาย จำไม่ได้แล้วรึ?”
ต้นธาราผงกหัว เขาจำได้ดีก่อนตรวจองค์ประกอบเลือดชายหนุ่มก็พูดให้เขามีกำลังใจต่อสู้กับโรคร้าย มือบางถูกจับลูบคางสาก
“รุ้อะไรไหม ผมก็ลุ้นตัวโก่งเหมือนกันนะ ถ้าธารไม่หายผมจะทำไง ผลการรักษาอีกล่ะ ผมคงโทษตัวเองอีกแน่ๆถ้าช่วยอะไรคุณไม่ได้เลย”
“ผู้กองช่วยผมได้เรื่องกำลังใจ”ต้นธาราเอ่ย
ภานุเอ่ยต่อราวกับคนเพ้อ“ตอนที่คุณอยู่ในห้องปลอดเชื้ออีก อยากอยู่ อยากให้กำลังใจมากกว่านี้ ถ้าไม่ติดงาน....”
“ผู้กองครับ งานมาก่อนน่ะถูกแล้ว”
ดวงตาทอดมองท้องฟ้าอมสีส้ม ยามเย็นที่หมดไปอีกวัน เงาของแสงอาทิตย์สาดต้องร่างที่นั่งอยู่บริเวณระเบียง สายลมพัดพลิ้วเบาๆให้เส้นผมบางส่วนปลิวไสว ภานุซบอยุ่บนตักผุดลุกขึ้น ลูบนิ้วนางบนข้อมือขาวซีด ก่อนมือหนาจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบตลับกล่องสีแดงหุ้มด้วยผ้ากำมะหยี่เปิดฝาออกนำของที่บรรจุอยู่ภายในขึ้นมาสวมใส่นิ้ว ต้นธารามองการกระทำออกจะตกใจจนเกือบชักมือหนีด้วยซ้ำ ดวงตาสีน้ำตาลฉายถึงความประหลาดใจอย่างยิ่ง
“ธารอาจจะไม่ชอบ แต่ผมก็อยากให้มันอยู่บนนิ้วของธาร อย่าถอดออกนะ”
ภานุวิงวอนเมื่อเห็นอีกฝ่ายจะถอดแหวนออก ทองคำเนื้อเกลี้ยงสะท้อนเข้าแววตายามกระทบกับแสงยามเย็น
“ผู้กองไปหาซื้อจากไหนครับนี้ ซื้อมาตั้งแต่เมื่อไร?”ต้นธาราถามอย่างกังขา รู้สึกถึงแหวนเย็นชืดติดนิ้ว
ภานุหัวเราะในลำคอ“ของแม่ผมน่ะ มันนานมาแล้ว...พ่อผมให้แม่น่ะ”
“แต่มาให้ผมมันจะดีหรือ?”ต้นธาราถามทำท่าว่าจะถอดออกอีก
“ดีแล้ว...ที่จริงท่านบอกให้คู่หมั้นน่ะ แต่ผมก็ดันเลิกกับเธอเสียก่อน”
สีหน้าของคนที่หวนถึงอดีตทำให้สายตาที่เฝ้าดูอ่อนล้า
“แล้วตอนนี้คุณยังคิดถึงเธออยู่ไหม?”
“นิดหน่อยน่ะ”
คำตอบของชายหนุ่มทำให้ต้นธารารู้สึกปลาบแปลบใจ
“แต่คนที่ผมรักมากที่สุดคือคุณ”จับมือที่สวมแหวนให้
ต้นธารายิ้มทอดรอยยิ้ม“แล้วตอนนี้เธอเป็นอย่างไรบ้างครับ?”
ภานุถอนใจ“ผมก็ไม่รู้หรอก นานแล้วที่ไม่ได้เจอหน้า เก็บแหวนวงนี้ให้ดีๆนะธาร”
สายตาสีน้ำตาลมองร่างสูงลุกขึ้น
“เดี๋ยวผมขอตัวกลับบ้านก่อนนะ ช่วงเย็นๆจะมาอยู่เป็นเพื่อน วันนี้ท่านนายพลคงกลับดึก”
ต้นธาราผงกหัว มองร่างสูงที่เดินลงจากเรือน ก้มมองแหวนทองคำ ไม่ได้ดีใจ หรือตื่นเต้นใดๆเมื่อได้สิ่งแทนค่าหัวใจอีกฝ่าย ลูบคำเนื้อแหวนแข็งๆยกขึ้นมาแนบอก บางอย่างที่อยู่ในใจบอกให้ถอดมันออกเสียแม้ว่าจะนึกถึงใบหน้าแกร่งเสียใจถือมันไว้อย่างชั่งใจ จู่ๆแหวนวงน้อยก็ร่วงสู่พื้นเพราะความเผอเรอ เสียงแหวนหล่นร่วงลงบนพื้นสะท้อนในความสงัด ต้นธาราชายตามองดูทองคำเนื้อเกลี้ยง หยิบมันขึ้นมา สีของมันสะท้อนแดดเป็นประกาย สัญญา...ที่มอบให้แทนหัวใจ รอยยิ้ม สีหน้าใจดีของผู้ให้ทำให้ต้นธาราต้องสวมกลับคืนตามเดิม ลุกขึ้นเก็บหนังสือเข้าบ้าน หูได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆจึงออกมาดู เห็นบิดาและผู้พันชานเนนคุยกัน สักครู่ผู้พันชานเนนก็ทำความเคารพและเอ่ยอำลา
“พ่อกลับมาแล้วหรือครับ?”ต้นธาราถาม มองดูบิดาวางกระเป๋าเอกสารลงใบหน้าเครียดเคร่ง
“อื้ม...”ท่านนายพลพิภพกล่าว ต้นธาราเหลียวมองหาผู้พันหนุ่ม
“แล้ว...ผู้พันชานเนนละครับ?”
“ตอนนี้พักอยู่กับลุงอรุณน่ะลูก ปรึกษางานกัน ลูกเป็นไงบ้าง?”
“ผมสบายดีครับพ่อ เหนื่อยไหมครับ?”ต้นธาราถอยเข้ามาในตัวบ้าน
“นิดหน่อย เดี๋ยวพ่อก็ต้องไปที่เวียงวนรัฐะอีก ยุ่งเหลือเกิน ปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียวอีก”สีหน้าของนายพลพิภพดูอ่อนล้า
“ผมอยู่ได้ครับพ่อ”
บิดามองดูบุตรชายเพียงคนเดียว ท่านเข้ามาจับบ่า“ลูกเป็นสมบัติเดียวของพ่อ พ่อจะทำให้ลูกมีความสุขก็ยังไม่ได้”
“ผมมีความสุขครับพ่อ”
ไม่อยากนับเรื่องในอดีตเลย...เพราะมันรั้งจะขุดความขมขื่นใจของตัวเขาเองและบิดาขึ้นมาใหม่
“แล้วภานุล่ะ มันมาดูลูกรึเปล่า”ท่านรู้ถึงคำพูดนั่นจึงเปลี่ยนเรื่องเสีย
“ก็มาดูแลนี่ครับ ทำไมหรือครับ?”คนเป็นลูกถามอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวพ่ออาบน้ำแล้วจะออกไปหาลุงอรุณสักหน่อย คืนนี้ลูกนอนคนเดียวได้นะ?”
“ครับ...”
มองดูแผ่นหลังที่ดูวุ่นวายของบิดา ต้นธาราจัดเตรียมของให้ท่านซึ่งอาบน้ำได้ไม่นานก็มีคนมาเรียก
“จ่าแม้นครับพ่อ บอกว่ารถเตรียมพร้อมแล้ว”
นายพลผงกหัวรีบแต่งตัว
“โชคดีครับพ่อ”
ต้นธารายืนส่งบิดาขึ้นรถก่อนผลุบหายไปในบ้าน แสงไฟนีนอนสว่างจ้า มีแต่ความเงียบงันรายล้อมทรุดนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างที่มืดมิด ไม่ได้กลัวความมืดแม้แต่น้อย มองดูแหวน นั่งเงียบๆแบบนั้นก่อนจะผล่อยหลับไป
------------------------------------------------