[เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แจ้งข่าวรวมเล่ม (07-03-2561)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แจ้งข่าวรวมเล่ม (07-03-2561)  (อ่าน 54048 ครั้ง)

ออฟไลน์ GlassesgirL

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1037
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2
เจ้าของบ้านย้ายไปแล้ว คนรับเลยผิดคน มันคงเป็นพรหมลิขิต
แต่ถ้าน่านรู้แล้วจะยังส่งไปหาอีกไหม แล้วธามจะกลับมาอีกไหม เมื่อไรจะได้เจอกันนะ

ชอบบรรยากาศตอนที่น่านขึ้นไปกิ่วแม่ปานมากอยากไปบ้างเลย คงสวยมากแน่ๆ

 :mew1: :L2:

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
คราวนี้อาจจะไม่มีโปสการ์ดจากเชียงใหม่ส่งไปหาหาธามแล้วก็จริง แต่ก็ไม่แน่ว่า 'หนุ่มเชียงใหม่' จะไม่เดินทางไปหาธามถึงที่กรุงเทพฯ แบบตัวเป็นๆ เสียเมื่อไรล่ะค้าา >\\< พูดแล้วก็เขิน~ น่านจ๊ะ รบกวนฝากสานต่อความหวังของเราด้วยค่ะ!!!

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 197
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
นักเขียนสุดยอด หลอกเราหลงป่าไปโน้น555 นักเขียนเป็นศิษย์คุณลุงริงโก๊ะอ่ะ หลอกเราได้:ling1:

จินตนาการที่น่านกับธามชนกัน เก็บและรับของกัน ธามมองน่านจนถึงขึ้นรถ.  โรแมนติกจัง

ประโยคสุดท้ายเหมือนธามใจหายเนอะ ก็นะคนเคยได้รับรู้เรื่องราวต่างๆได้เห็นโปสการ์ดสวยๆทุกเดือน ต้องรู้สึกบ้างแหละเนอะ

หนทางที่จะมาคบกันได้ดูลำบากจังค่ะ เรื่องสนุกน่าลุ้นตลอด ขอบคุณมากๆนะคะ :L2:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ชอบบรรยากาศมากค่ะ

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ปัจฉิมลิขิต




สายลมแห่งเหมันตฤดูพัดผ่านทิวเขาพาเอากิ่งไม้ไหวลู่ เสียงใบไม้เสียดสีสอดประสานกับเสียงกระดิ่งของโมบายรูปสัตว์ที่ทำจากลูกตีนเป็ดติดขนนกตรงส่วนหาง ยามเมื่อลมพัดมาทีไรก็หมุนติ้วราวกับมีชีวิตลอยคว้างอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีส้มอมม่วงยามดวงตะวันกำลังเคลื่อนคล้อยลงลับเหลี่ยมเขา ไม่นานความมืดก็โรยตัวห่มคลุมดอยทั้งดอยเอาไว้ในอ้อมกอด


เสียงหรีดหริ่งราไรร้องระงมราวกับจะขับกล่อมส่งทุกชีวิตเข้านอนในคืนที่บนฟ้าปราศจากแสงดาวแต่บนผืนดินกลับพร่างพราวไปด้วยแสงไฟ ดวงตาสีเข้มภายใต้กรอบแว่นสายตาจับจ้องอยู่ที่หน้ากระดาษซึ่งเต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพลายเส้นต้นไม้ใบหญ้ามาร่วมชั่วโมงกว่า มันเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่ได้ชื่อว่าหนอนหนังสืออย่างเหนือน่าน ลองได้หยิบจับมาอ่านเมื่อไรก็จะมีสมาธิจดจ่อเสียจนแทบจะลืมโลกรอบตัวไปเลย ตาคมกวาดไล่ลงมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายพลิกกระดาษหน้าแล้วหน้าเล่า มาเงยหน้ามองนาฬิกาอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงเพลงพระราชนิพนธ์ลมหนาวดังแว่วมาจากบ้านพักหัวหน้านักวิจัยที่อยู่ถัดขึ้นไปบนเนิน


จากหน้าต่างมองเห็นแสงรำไรจากตะเกียงเจ้าพายุที่แกว่งไกวไปตามแรงลม อากาศหนาวเย็นที่แทรกผ่านช่องประตูระเบียงเข้ามาทำให้เจ้าของบ้านพักหลังน้อยต้องลุกขึ้นเดินไปรั้งประตูปิด ม่านสีขาวผืนบางถูกดึงชนกัน ร่างสูงเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ถอดแว่นสายตาวางบนตำราที่ยังคงกางอยู่บนโต๊ะก่อนจะเอนหลังหลับตาลงเงี่ยหูฟังบทเพลงโปรดของหัวหน้ากระทั่งโน้ตตัวสุดท้ายแผ่วหายไปกับสายลม เปลือกตาบางจึงเปิดขึ้นอีกครั้งเมื่อเสียงโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่บนโต๊ะดังขึ้นทำลายความเงียบ รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตกรุ่นเครื่องนี้ก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มประสิทธิภาพเสียที หน้าจอดิจิทัลไร้สีสันแสดงหมายเลขปลายทางที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทันทีที่กดรับเสียงหวานที่ต้นทางก็ดังสวนขึ้นก่อนที่คนปลายสายจะกล่าวทักทายเสียอีก


“น่านใช่ไหม”


“ใช่ครับ”


“แก แกรู้ตัวไหมว่าแกเป็นคนที่ติดต่อยากมาก”


“ค...ครับ เอ้อ...นี่ใครครับ”


ได้ยินเสียงถอนใจเฮือกก่อนจะเริ่มสาธยาย “ฉันซัน อรุณรุ่งที่เลขที่ตามตูดแกตั้งแต่มอหนึ่งไง”


“เฮ้ย! ซัน! จำได้ ๆ” เหนือน่านละล่ำละลัก ยิ้มเสียจนแก้มแทบปริ


“ฉันได้โปสการ์ดของแกแล้วนะ ขอบใจมาก แต่ขอด่าหน่อยเถอะ แกมัวไปอยู่ที่ไหนมาวะ เข้าป่าเป็นฤาษีตัดขาดจากโลกภายนอกหรือไง โทรศัพท์ก็โทร.ติดยากมาก ไม่มีเพื่อนโรงเรียนเก่าคนไหนติดต่อแกได้เลยสักคน โซเชียลมีเดียน่ะหัดเล่นเสียบ้างสิ งานแต่งงานฉันแกก็ไม่ได้ไป เป็นเพื่อนสนิทก...กัน...ภาษา...อะไร...ว...วะ”


ท้ายประโยคถูกกลบด้วยเสียงสะอื้นจนคนฟังใจรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก มือกำโทรศัพท์แน่นพอ ๆ กับคมฟันที่กดลงบนเนื้อปาก หากย้อนเวลากลับไปได้เขาเองก็อยากจะยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อนคนนี้ในวันพิเศษที่สุดของเธอ


“ขอโทษนะซัน” เสียงนั้นรอดผ่านริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบาแต่มันกลับหนักแน่นราวกับจะตอกย้ำยืนยันความรู้สึกของคนพูด “ขอโทษจริง ๆ”


“ไอ้บ้าเอ๊ย! ฉันกะว่าจะไม่ร้องไห้แล้วเชียว แกรู้ไหม วันนี้ฉันร้องไห้อย่างกับคนบ้าตอนที่ได้รับพัสดุของแก ร้องจนสามีกับลูกฉันตกใจ”


“นี่แกมีลูกแล้วด้วยเหรอ” เหนือนน่านหัวเราะ


“ฉันแต่งงานมาจะสองปีแล้วนะแก ว่าแต่แกเถอะ มีครอบครัวหรือยัง”


คนถูกถามหัวเราะในลำคอก่อนจะตอบ “ยังไม่ได้คิด”


“ยังไม่ได้คิดได้ยังไงกัน แถวนั้นไม่มีสาวชาวดอยสวย ๆ ให้จีบหรือไง”


“เลิกคุยเรื่องนี้เถอะ คุยเรื่องแกดีกว่า เล่าเรื่องของแกให้ฉันฟังบ้างสิ ฉันอยากฟัง” ชายหนุ่มกล่าวพลางวางศอกลงกับโต๊ะในที่มือก็ประคองข้างแก้มตั้งอกตั้งใจฟัง


“อืม...หลังจากเรียนจบมัธยมแล้วฉันก็มาเรียนต่อที่เยอรมันน่ะแก ส่วนสามีของฉันก็เป็นคนเยอรมัน เราเจอกันเมื่อตอนที่ฉันตามอาจารย์มางานคอนเฟอเรนซ์ที่มิวนิก เขาก็เรียนปริญญาโทเหมือนกัน แต่ตอนนั้นยังไม่ได้คบกันนะ เพิ่งมาตกลงคบกันตอนที่ฉันเรียนจบแล้วกลับมาอยู่ที่ประเทศไทย เขาก็ย้ายมาทำงานที่นี่ด้วย จนเมื่อสองปีที่แล้วเขาขอฉันแต่งงาน แม่เขาอายุมากแล้วเราเลยตกลงกันว่าจะย้ายกลับเบอร์ลิน”


“แล้วลูกแกล่ะ ผู้หญิงหรือผู้ชาย”


“ผู้ชายจ้ะ อ้วนจ้ำม่ำเลยละแก เอาไว้ฉันกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่เมื่อไร ฉันจะพาลูกหมูน้อยของฉันไปเยี่ยมลุงน่านนะ”


เสียงใสยังคงจ้อไม่หยุด เรื่องราวมากมายในช่วงเวลาเกือบสิบปีถูกถ่ายทอดให้กันฟังเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่ถูกวางลงในช่องว่างทำให้ความห่างของวันเวลาได้ประสานกันสนิทอีกครั้ง หากไม่ติดว่าเป็นการโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศเหนือน่านคงจะฟังเรื่องของอีกฝ่ายไปถึงเช้า สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่เอ่ยปากเตือนให้เพื่อนรู้ว่าเธอไม่ได้ใช้โทรศัพท์หยอดเหรียญเหมือนเมื่อสมัยเด็ก ดังนั้นก่อนจะวางสายอรุณรุ่งจึงวายบ่นเรื่องที่เหนือน่านเองก็ทำตัวล้าหลังเอาตัวออกห่างจากเทคโนโลยีปลีกวิเวกเสียจนเพื่อน ๆ แทบจะพากันลืมเขาไปหมดแล้วเช่นกัน


“ขอบคุณสำหรับโปสการ์ดนะแก ขอบคุณที่แกยังคิดถึงฉัน”


ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ คำพูดสุดท้ายของเพื่อนรักยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทขณะที่หน้าคมก็ยังคงฉาบไปด้วยรอยยิ้ม ตาสีเข้มละจากโทรศัพท์ในมือมองเลยไปยังกล่องกระดาษลายสวยที่วางทับอยู่บนกองหนังสือก่อนจะเอื้อมหยิบมันมาวางตรงหน้า เมื่อยกฝากล่องขึ้นก็พบเพียงโปสการ์ดใบหนึ่งซึ่งเขาจำได้ดีว่ามันวางขายอยู่ที่ร้านของน้าริน มันเป็นโปสการ์ดใบเดียวที่เหลืออยู่หลังจากเขาส่งใบอื่น ๆ ถึงมือผู้รับเรียบร้อยแล้ว เป็นอีกครั้งที่เหนือน่านหยิบกระดาษใบเล็กซึ่งนอนนิ่งอยู่ก้นกล่องขึ้นมาพลิกดูและเริ่มอ่านข้อความสั้น ๆ ที่เขียนด้วยลายมือหวัดอีกครั้ง


สวัสดี น้ารินคงเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณฟังแล้ว

วันนี้ผมก็เลยขอคืนโปสการ์ดทั้งหมดให้คุณ

เผื่อว่าคุณจะได้ส่งมันให้ผู้รับตัวจริงได้อ่าน

และผมก็ต้องขอโทษที่ไม่รีบบอกให้คุณรู้

ธาม   
       


...



จี๊ปแรงเลอร์สีส้มแล่นขึ้นมาจอดสนิทที่ปลายเนินซึ่งเป็นจุดชมวิวของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ทันทีที่เสียงของเครื่องยนต์เงียบลงชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของรถก็เปิดประตูลงมายืนยืดเส้นยืดสายหลังจากขับรถบุกป่าฝ่าดงด้วยระยะทางกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลเมตจนมาถึงที่นี่ ดอยเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครรู้จักแห่งนี้ซึ่งอยู่เกือบสุดขอบจังหวัดเชียงใหม่


แม้จะเป็นเวลาบ่ายคล้อยแต่อากาศก็ยังคงเย็นเฉียบจนเหนือนน่านต้องสอดมือลงควานหาความอบอุ่นในกระเป๋าเสื้อกันหนาวตัวหนา ชมความงามของป่าเขาอยู่ได้เพียงไม่นานชายหนุ่มก็รีบคว้าเป้สะพายหลังเดินลงไปตามทางคอนกรีตแคบ ๆ ที่ใช้สัญจรภายในหมู่บ้านมุ่งหน้าสู่โรงเรียนที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น


รอยยิ้มและคำทักทายของชาวบ้านที่พบระหว่างทางยังคงเป็นสิ่งที่เหนือน่านได้รับทุกครั้งที่มีโอกาสได้หวนกลับมาที่นี่ ที่ซึ่งเขาเคยมาออกค่ายกับเพื่อน ๆ ชมรมอาสาของมหาวิทยาลัย เมื่อขายาวก้าวเข้าภายในเขตรั้วไม้ไผ่ซึ่งสร้างขึ้นอย่างหยาบ ๆ เพื่อใช้บอกอาณาเขต


ตาคมกวาดมองไปรอบ ๆ มีเพียงอาคารชั้นเดียว ธงชาติบนยอดเสา และเสียงท่องอาขยานดังแว่วมาแต่ไกลเท่านั้นที่พอจะบอกให้รู้ว่าบริเวณที่เขายืนอยู่นี้คือโรงเรียน ชายหนุ่มเดินอ้อมไปด้านหลังอาคารเรียนซึ่งเป็นโรงเพาะเห็ดและแปลงเกษตร ที่นั่นเด็ก ๆ กำลังล้อมวงดูวิธีการเพาะเห็ดฟางในตะกร้าซึ่งเป็นวัสดุที่หาได้ง่าย


“พี่น่าน!” เด็กหญิงชายในชุดนักเรียนเก่าคร่ำคร่าต่างเรียกชื่อคนมาใหม่เป็นเสียงเดียวกัน ดวงตาทุกคู่จับจ้องมายังร่างสูงที่กำลังเดินยิ้มเข้ามาจนลืมคุณครูและเชื้อเห็ดในตะกร้าไปเสียสนิท


“ดูสิเจ้าพวกนี้ พอเห็นพี่น่านมาละลืมครูไปเลย” ผู้อาวุโสพูดกลั้วหัวเราะ


“สวัสดีครับครู” เจ้าของชื่อยกมือไหว้ชายวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบสีกากีที่กำลังลุกขึ้นปัดไม้ปัดมือก่อนจะรับไหว้ 


“ทำไมวันนี้ถึงมาเอาตอนนี้ล่ะน่าน แล้วนี่จะค้างด้วยกันหรือเปล่า”


“ไม่ละครับครู พอดีวันนี้ผมแวะมาทำธุระในตัวเมือง แวะเอาเมล็ดผักจากสถานีเกษตรมาฝาก ไว้ให้เด็ก ๆ ช่วยกันปลูก” พูดรับก็ปลดเป้จากหลังก่อนจะรูดซิปหยิบถุงใส่ซองเมล็ดฝักจำนวนมากส่งให้


“ดีเลย จะได้เอาไว้ทำอาหารกลางวัน ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อ” เจ้าของใบหน้าที่โทรมเหงื่อยิ้มน้อย ๆ พลางรับถุงใบโตมาถือเอาไว้


“แต่เดี๋ยวอีกหน่อยมีสถานีวิจัยเกษตรที่สูงมาตั้งที่นี่ก็น่าจะดีขึ้นนะครับครู ชาวบ้านน่าจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพราะมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ ว่าแต่นี่ทำอะไรกันอยู่เหรอครับ”


“กำลังสอนเรื่องการเพาะเห็ดฟางในตะกร้าน่ะ พอดีได้นายช่างจากกรุงเทพฯ ที่เขามาเก็บข้อมูลสำหรับวางแผนก่องสร้างสถานีวิจัยนั่นแหละช่วยซ่อมโรงเรือนให้ ครูก็เลยสอนเด็ก ๆ เพาะเห็ดด้วยวัสดุที่หาได้จากในบ้าน เผื่อจะเอาความรู้กลับไปถ่ายทอดต่อให้ผู้ปกครองได้บ้าง”


“ผมว่าครูนั่นแหละครับถ่ายทอดได้ดีที่สุดแล้ว ทำไมไม่ขอความร่วมมือจากหัวหน้าหมู่บ้านนัดประชุมหรือจัดกิจกรรมเพื่อให้ความรู้กับชาวบ้านล่ะครับ ศาลาประชาคมก็มีหรือให้มาดูของจริงที่โรงเรียนได้เลยยิ่งดี”


“อืม เป็นความคิดที่ดีนะ ไว้ครูจะลองคุยกับผู้ใหญ่แกดู”


หลังจากส่งเด็ก ๆ ขึ้นห้องเรียนเพื่อเก็บข้าวของเตรียมกลับบ้านแล้ว ‘ครูขันคำ’ ซึ่งเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้ก็เดินคุยกับเหนือน่านมาจนถึงบริเวณสนามฟุตบอลที่ปกคลุมด้วยต้นหญ้าสีเขียวขจี


“นั่นไง นายช่างกลับมาพอดี”


เหนือน่านมองตามปลายนิ้วที่ชี้ไปยังฝั่งตรงข้ามของสนามซึ่งมีฟอร์จูนเนอร์สีดำจอดหลบอยู่ใต้เงาไม้ พลันร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ในมือของเขาถือลูกฟุตบอลใหม่เอี่ยมที่เพิ่งแกะออกจากถุงหมาด ๆ เดินมาหยุดที่ข้างสนามก่อนจะโยนลูกกลม ๆ ลงบนพื้นจากนั้นจึงง้างเท้าหวดเข้าเต็มข้อตกลงกลางสนามซึ่งบรรดาเต็มไปด้วยเด็ก ๆ ที่แบ่งกันเป็นสองทีมรออยู่แล้ว และเมื่อชายหนุ่มผู้นั้นวิ่งลงมาในสนามการดวลแข้งระดับประถมก็เริ่มต้นขึ้น


“เขาดูเข้ากับเด็ก ๆ ได้ดีนะครับครู”


“อืม นายช่างแกใจดี เวลาเข้าไปในเมืองทีไรก็จะซื้อขนมมาฝากเด็ก ๆ” ครูขันคำกล่าวพลางทอดตามองร่างสูงที่กำลังวิ่งไล่แย่งบอลกับเด็ก ๆ อยู่ที่กลางสนามอย่างชื่นชมกระทั่งเสียงรถจักรยานยนต์สับปะรังเคของกระจอกข่าวประจำหมู่บ้านดังใกล้เข้ามา


“ครู เมื่อกี้ผมเจอป้าจันเมียลุงผู้ใหญ่ที่ตลาด แกบอกว่ามีจดหมายจากทางการฝากมาถึงครู ให้ครูแวะไปเอาด้วย” หนุ่มน้อยวัยกระเตาะในชุดชาวเขาร้องขึ้นในขณะที่รถยังไม่จอดดี


“เอ้อ ขอบใจมากนะอินถา เอาไว้ครูจะแวะไปเอาก็แล้วกัน”


“ครูไปด้วยกันเดี๋ยวนี้เลยไหม ผมจะไปแถวหลังวัดอยู่พอดี เสร็จธุระแล้วผมจะส่งครูให้ถึงหัวกระไดบ้านเลย” อินถาเสนอ


“เอ็งไปเถอะอินถา เอาไว้ค่ำ ๆ ครูค่อยแวะไป”


“แล้วครูจะไปยังไง ปั่นรถถีบไปน่ะเหรอ ไกลอยู่นะครู แมงกะไซค์ผมดีกว่า เร็วกว่ากันเยอะ”


คำพูดของหนุ่มน้อยชาวเขาทำเอาเหนือน่านกระตุกยิ้ม หากเปรียบเทียบความเร็วระหว่างจักรยานคันเก่าของครูขันคำกับมอเตอร์ไซค์แก่ ๆ ที่เสียงเครื่องยนต์ฟังแล้วเหมือนคนจะหมดลมก็คงไม่ได้ต่างกันนัก


“ไปเถอะครับครู อุตส่าห์มีพลขับขันอาสาแล้ว ผมเองก็จะลากลับอยู่พอดี”


เมื่อกล่าวคำร่ำลานักวิจัยหนุ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้วครูขันคำก็ขึ้นซ้อนท้ายแมงกะไซค์ที่เจ้าของคุยนักคุยหนาว่าเครื่องแรงที่สุดในหมู่บ้าน


“อย่าซิ่งนักล่ะอินถา” เหนือน่านไม่วายกระเซ้า


“รถมันแรงน่ะพี่น่าน แต่อินถาจะพยายามขับนิ่ม ๆ เพื่อความปลอดภัยของครู” พูดจบหนุ่มน้อยก็บิดคันเร่งพาครูขันคำค่อย ๆ ห่างออกไปด้วยความเร็วชนิดที่เดินเอาก็อาจจะเร็วกว่า


เหนือน่านละสายตาจากรถจักรยานยนต์คันเก่าหันมองไปที่สนามเมื่อได้ยินเสียงบางสิ่งตกตุ้บอยู่ไม่ไกล พลันลูกกลม ๆ ก็กลิ้งหลุน ๆ มาหยุดที่ปลายเท้า ชายหนุ่มก้มลงเก็บลูกบอลและเมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็พบว่าร่างสูงที่เคยวิ่งอยู่กลับเด็ก ๆ ที่กลางสนามกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า เส้นผมชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อตกลงมาปรกหน้าผากเคลียอยู่กับแผงคิ้วหนาจนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นเสยไปด้านหลัง


ดวงตาสีดำสนิทยังคงจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง รู้สึกเหมือนเคยพบกับเขาที่ไหนมาก่อน พยายามคิดทบทวนแต่ก็นึกไม่ออก ความคิดหยุดลงแค่นั้นเมื่อรอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าชื้นเหงื่อของชายหนุ่มแปลกหน้า   


“ขอบอลคืนด้วยครับ”


คำพูดของร่างสูงตรงหน้าทำให้เหนือน่านต้องโยนลูกกลมคืนให้โดยอัตโนมัติ และเมื่ออีกฝ่ายรับลูกบอลคืนไป เขาก็จัดการเตะมันกลับลงไปในสนาม เกมการแข่งขันจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง


“หน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือเปล่า” พูดพลางยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาตนเอง


“อ...เอ้อ...ม...ไม่ ไม่มีครับ ผมแค่รู้สึกคุ้น ๆ เหมือนเคยพบคุณที่ไหนมาก่อน”


“ในทีวีหรือเปล่า มีหลายคนบอกว่าผมหน้าเหมือนดารา” หนุ่มหน้าทะเล้นพูดติดตลกก่อนจะคลี่ยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้างงไปกันใหญ่ “ผมล้อเล่นน่ะ เราเคยเจอกันมาก่อนถ้าคุณยังจำได้ คุณเดินชนผมที่ร้านของน้าริน”


เมื่อได้ฟังดังนั้นเหนือน่านก็ขยับแว่นสายตาพลันหัวคิ้วก็เคลื่อนเข้าหากันทันทีที่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อนเริ่มแจ่มชัดขึ้นในความคิด “คุณ...”


“ธามครับ”


“คุณนั่นเองที่ส่งโปสการ์ดคืนให้ผม”


ธามพยักหน้ารับพลางมองคนตรงหน้าให้ชัด ชัดกว่าคราวที่แล้วที่ได้พบกัน


“ขอบคุณมากนะที่ช่วยเอามาคืนให้”


“ไม่เป็นไร ไม่ได้ลำบากอะไร ผมมีธุระต้องมาเชียงใหม่อยู่พอดี”


“ครูขันคำบอกว่าคุณมาเก็บข้อมูลวางแผนสร้างสถานีวิจัย?”


“ครับ ผมเป็นวิศวกร บริษัทของผมประมูลโครงการก่อสร้างสถานีเกษตรที่สูงได้ ผมก็เลยต้องมาลงพื้นที่เก็บข้อมูลที่นี่ ส่วนคุณ....อืม ตามที่คุณเล่า” ธามมุ่นคิ้ว “นี่ผมไม่ได้เสียมารยาทนะ คุณส่งมาผมก็อ่าน”


คนฟังพยักหน้าส่ง ๆ 


“คุณเป็นนักพฤกษศาสตร์ใช่ไหม ชื่ออะไรนะ”


เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าคิด นักพฤกษศาสตร์หนุ่มจึงตอบเสียเอง 


“น่าน”


“ใช่ ๆ จำได้แล้ว ชื่อน่านนี่เอง ตอนที่ได้รับโปสการ์ดครั้งแรกยังคิดอยู่เลยว่าคนอะไรชื่อแปลกจัง ว่าแต่คุณอายุเท่าไรจะได้เรียกถูก”


“ยี่สิบแปด”


“อืม...ผมอายุน้อยกว่าสองปี ถ้าอย่างนั้นผมเรียกคุณว่าน่านเฉย ๆ ก็แล้วกัน”


“อ้าว?” เจ้าของชื่อขมวดคิ้ว “อายุน้อยกว่าแล้วทำไมไม่เรียกพี่”


“อะไรกันนี่ผมเสียเปรียบนะเนี่ย อุตส่าห์ขยับอายุขึ้นมาให้เท่ากัน คุณจะได้ไม่แก่ไง”


“ก็แล้วแต่” เหนือน่านถอนใจเฮือก ตอบไปแบบนั้นเพราะคิดว่านี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบกับคนประหลาด ๆ เช่นนี้ ชายหนุ่มก้มมองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าควรจะกลับเสียทีจึงกล่าวคำอำลาอีกฝ่าย "ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะ"


“อืม” ธามตอบเพียงสั้น ๆ ยืนนิ่งมองร่างสูงที่กำลังเดินหันหลังให้ และก่อนที่เหนือน่านจะเดินพ้นรั้วโรงเรียนออกไป เขาก็ตัดสินใจพูดขึ้น


“น่าน”


เจ้าของชื่อชะงักดึงเท้ากลับหันมาสบตาคนเรียกอีกครั้ง แต่แทนที่อีกคนจะสบตากลับก็ดันทำจกกระเป๋าเสมองขึ้นฟ้าเอาเสียดื้อ ๆ


“ค...คือ ผมคงคิดถึงโปสการ์ดจากเชียงใหม่นะ ถ...ถ้าคุณจะส่งมาอีกผมก็ไม่ว่านะ ผมชอบอ่าน” พูดจบก็เลื่อนสายตาลงมามองกันจริง ๆ จัง ๆ อีกครั้ง “แต่ไม่ต้องลงท้ายว่าคิดถึงแกนะ มันจั๊กจี้” สำหรับธามถ้อยคำนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับปัจฉิมลิขิตในจดหมาย...เขียนไว้สุดท้ายแต่กลับสำคัญไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่าเนื้อความที่ว่ามาทั้งหมด


‘ไอ้เด็กเพี้ยน’ คนฟังคิดในใจก่อนจะหันหลังให้เจ้าของหน้าทะเล้น ขายาวก้าวห่างออกมาโดยไม่รู้เลยว่าดวงตาของใครอีกคนยังคงตามติดตัวมาด้วย




...


ในที่สุดเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อนก็ทำให้ผมได้เพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน

...เพื่อนที่ทำให้ผมยิ้มทุกครั้งเวลาที่ได้เห็นโปสการ์ดของเขาในตู้รับจดหมาย...

...


อุณหภูมิบนดอยอินทนนท์ใกล้ติดลบเต็มทีแล้ว

เราว่าสัปดาห์หน้าคงได้เห็นแม่คะนิ้งแน่ ๆ

คิดว่าปีนี้น่าจะหนาวกว่าปีก่อนด้วย

เมื่อวันก่อนก็เลยแวะเอาเสื้อกันหนาวที่ฝากมาไปให้ครูขันคำที่โรงเรียน

ตอนนี้นอกจากครูจะเป็นครูใหญ่และสอนเด็ก ๆ ปลูกผักแล้ว

ครูแกยังเป็นโค้ชให้ทีมฟุตบอลของหมู่บ้านด้วยนะ

ก็คงเป็นเพราะลูกฟุตบอลลูกนั้นนั่นแหละ เด็ก ๆ ถึงหันมาเล่นกีฬากันมากขึ้น

กระดาษหมดพอดี จบแค่นี้ก็แล้วกัน


น่าน


ป.ล. น้ารินฝากถามว่าเมื่อไรจะแวะมาที่ร้านอีก





ธามโคลงหัวพลางถอนใจเบา ๆ เมื่อไล่สายตามาจนถึงตัวอักษรตัวสุดท้าย


“เขียนเล่าแต่เรื่องของคนอื่นทุกทีสิน่า”


ถึงปากจะบ่นแต่กระนั้นรอยยิ้มก็ยังผุดพรายระบายทั่วใบหน้าอยู่ดี




...นี่ก็ยิ้มได้ทุกทีสิน่า...





 

 
 
....



คิดว่าจะจบในตอนนี้ แต่จบไม่ลง ยกไปไว้ตอนหน้านะคะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-06-2015 11:36:43 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4062
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
โด่ว ธามไม่ได้เขียนหาน่านมั้งเหรอ?


ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เหยยยยยยยย~ เราฟิน พี่ธาม ไม่สิ น้องธามแอ๊วไดเเนียนมากมีการยอมเสียเปรียบลดอายุด้วย
โอ๊ย! อิจฉาน่านอยากได้คนโกงอายุมาเท่ากันสักคน
มาต่อเร็วๆนะคะ

ปล. ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออะไร แต่เรื่องของคุณมักอัพในวันที่เราแย่ๆ แล้วคืนรอยยิีมให้เราเสมอ ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
ธามหวังอยู่ลึกๆละสิ

ออฟไลน์ GlassesgirL

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1037
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2
ในที่สุดก็ได้เจอกันแล้วนะ ^^

 :mew1: :L2:

ออฟไลน์ หมวกฟาง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 นี่ก็อ่านไป อบอุ่นหัวใจไปทุกทีสิน่า...
 :katai2-1: :heaven

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ milkteabeige

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
อ้างถึง
“อืม...ผมอายุน้อยกว่าสองปี ถ้าอย่างนั้นผมเรียกคุณว่าน่านเฉย ๆ ก็แล้วกัน”


“อ้าว?” เจ้าของชื่อขมวดคิ้ว “อายุน้อยกว่าแล้วทำไมไม่เรียกพี่”


“อะไรกันนี่ผมเสียเปรียบนะเนี่ย อุตส่าห์ขยับอายุขึ้นมาให้เท่ากัน คุณจะได้ไม่แก่ไง”

ชอบท่อนนี้มากค่ะ ตอนแรกเข้าใจว่าธามจะขรึมๆ ซะอีก สุดท้ายก็เป็น 'ไอ้เด็กเพี้ยน' นี่เอง
น่ารักมากเลย


สุดท้ายก็รู้จักกันจริงๆ จังๆ แล้ว น่ารักมากเลยค่ะ
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
เรื่องบังเอิญแบบนี้นี่โรแมนติกจังเลยค่าา~ :heaven อู๊ยย~ ทั้งสองคนทำเรายิ้มตามจนปวดแก้มเลยเชียวน้าา ><

เราว่าที่ธามไม่ยอมเขียนโปสการ์ดมาหาน่านเขาบ้างก็เป็นเพราะว่า ตัวจะมากระซิบเล่าเรื่องราวทุกอย่างเบาๆ ที่ข้างหูน่านเขาใช่ไหมล่ะค้า~ :oni1: จั๊กจี้แทนน่านจังเลย~

ออฟไลน์ bew_yunjae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อะไรน่ะคุณธามๆๆๆๆ
เต๊าะพี่น่านรึหึหึ ไม่นึกว่าธามจะทะเล้น
อ่านตอนแรกนึกว่าเงียบขรึมซะอีก
อ่าลุ้นมากๆ อัพๆต่อน๊า

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
หว๊ายๆๆๆๆๆ ไม่ค่อยเลยนะธามมม

ออฟไลน์ bon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
อยากไปตามรอย ธาร น่าน จัง คิดถึงเชียงใหม่

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
แล้วน่านไปหาที่อยู่ซันมาจากไหนล่ะเนี้ย เก่งจัง หลังจากส่งผิดมาตั้งนาน ฮ่าๆๆๆ
แหม ถ้าธามบอกพี่เค้าซะตั้งแต่เนิ่นๆก็ไม่มีข้ออ้างเอาโปสการ์ดมาคืนถึงร้านน้ารินสิเนาะ
แล้วต่างคนต่าง"ร่างสูง"เรื่องนี้ใครพระใครนายต้องลุ้นต่ออีกใช่มั้ยคะ
เรตติ้งกำลังดี เอานโยบายละครไทยหน่อยมั้ย ยืดดดๆๆๆ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
โอยยย น่ารักมากกกกก
อ่านแล้วเย็นๆ วูบๆ วาบๆ สบายใจ
บรรยากาศชวนเคลิ้มเคลิ้มจริงๆ นะเนี่ย
ว่าแต่ธามไม่เขียนโปสการ์ดหาน่านบ้างหรอ?
ให้น่านเขียนเล่าอยู่ฝ่ายเดียวเลย 555555555

น่ารักเนอะ
รอธามกลับไปเยี่ยมร้านน้ารินอีก


ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 197
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
เป็นนิยายรักที่โรแมนติกจัง. ทำเรายิ้ม เขิน มีความสุขมากๆค่ะที่ได้อ่าน. ขนาดยังไม่ได้เป็นคนรักกันนะเนี่ย555
เหมือนธามและน่านมีอยู่จริง และลุ้นให้เขาทั้งคู่รักกันจริงๆ. เป็นคู่รักคู่แท้กันเลยเนอะ

ตอนนี้อะไรก็เป็นเหมือนเราคู่กันเนอะธามน่าน
คนหนึ่งมาสร้างโรงเรือน อีกคนก็มีเมล็ดเพาะปลูกมาให้
คนหนึ่งจ้องมอง อีกคนก็ต้องเป็นฝ่ายถูกมองบ้างแล้ว555
คนหนึ่งส่งบอลไปถึง(ตั้งใจใช่ไหมอ่ะธาม555รู้นะ)  อีกคนจำเป็นต้องรับบอลไว้ให้
คนหนึ่งเขียนโปสการ์ด อีกคนอ่านโปสการ์ด(รอคอยแต่จะอ่านอย่างเดียวไม่คิดเขียนไปบ้างหรือไอ้เด็กเพี้ยน555)
 
แนะนำให้ธามไปหาน่านเร็วๆ อยากรู้เรื่องราวเขาก็ต้องไปสัมผัส(น่าน)ด้วยตนเองค่ะ :mew2:

ธามหลอกเรา แกไม่ใช่คนเงียบขรึมอย่างที่คิดไว้อ่ะ
หรือว่าเป็นคนทะเล้น กวน เพี้ยนไปโดยอัตโนมัตเมื่อเจอคนพิเศษคนที่ใช่จ๊ะ555

ขอบคุณมากๆค่ะ ดีใจที่นิยายยังไม่จบ ไม่ว่าเรานะที่คิดแบบนี้.
อ่านทุกครั้งมีความสุข มีพลังจริงๆค่ะ :L2: :pig4:




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-06-2015 18:07:15 โดย Lovetree »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนจบ



ในค่ำคืนอันเหน็บหนาวนักพฤกษศาสตร์หนุ่มมักใช้ช่วงเวลานี้เดินตรวจดูแปลงปลูกดอกเบญจมาศภายใต้หลังคาโค้งที่คลุมทับด้วยพลาสติกสีขาว รวมถึงตรวจสอบความเรียบร้อยของระบบไฟฟ้าภายในโรงเรือนที่ใช้สำหรับควบคุมไม่ให้ดอกเบญจมาศออกดอกเร็วกว่ากำหนด ร่างสูงเดินไปตามทางเดินระหว่างแปลงปลูกกระทั่งพ้นร่มหลังคาโรงเรือนจึงหยุดยืนทอดมองไปยังเนินเขาเบื้องหน้าที่ระยิบระยับไปด้วยแสงไฟภายในโดมพลาสติกแบบเดียวกันที่เรียงตัวทอดยาวอยู่บนแนวคันดินลดหลั่นเป็นขั้นบันได เป็นดวงดาวบนผืนดินที่ทอแสงให้เห็นทุกค่ำคืนจนกลายเป็นภาพชินตาของคนแถวนี้


เหนือน่านยกมือขึ้นป้องปากเป่าลมร้อนให้อาการชาบรรเทาลงแต่ก็ได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ในช่วงเวลาแบบนี้การได้นอนอยู่ภายใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ คือสิ่งที่เขาปรารถนามากที่สุด คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินกลับขึ้นมาที่หน้าสถานีวิจัยอีกครั้งตั้งใจจะกลับเข้าบ้านพัก แต่แล้วเสียงของเครื่องยนต์กับแสงไฟที่ใกล้เข้ามาก็ทำให้ต้องหยุดรอดูว่าใครกันที่มาเยือนที่นี่ในยามวิกาลเช่นนี้ เมื่อเดินขึ้นมาถึงลานจอดรถก็พบกับฟอร์จูนเนอร์สีดำขลับที่เพิ่งแล่นเข้ามาจอด ประตูรถเปิดออกหลังจากเครื่องยนต์ดับสนิทได้เพียงไม่นานจากนั้นร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ก้าวลงมายืนบิดให้กล้ามเนื้อได้คลายความเมื่อยล้า
   

“จะมาทำไมไม่บอกก่อน” นั่นคือคำทักทายแรกที่เจ้าถิ่นกล่าวกับคนที่เพิ่งมาถึง


อีกฝ่ายปิดปากหาวหวอด ๆ ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของร่างสูงที่สาวเท้าเข้ามาหยุดตรงหน้า ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มน้อย ๆ แต่ก็ไม่วายเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่ชวนให้คนฟังเถียงไม่ออก “พูดยังกับติดต่อง่ายอย่างนั้นแหละพระฤาษี”


“ฤาษีบ้าอะไรเล่า” เหนือน่านมุ่นคิ้ว อดนึกคนที่นิยามตัวเขาด้วยคำนี้ไม่ได้ ไม่ใช่ใครที่ไหน อรุณรุ่งเพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมนั่นเอง เขามีโอกาสพบเธออีกครั้งเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ทั้งหมดคงต้องยกความดีความชอบให้กับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ต่อหน้าในขณะนี้ ถ้าเมื่อหนึ่งปีก่อนธามไม่เอาโปสการ์ดมาคืนและไม่ได้ฝากเบอร์โทรศัพท์ติดต่อคุณลุงที่ขายบ้านให้เอาไว้กับน้าริน ตัวเขาก็คงไม่มีโอกาสได้พบกับเพื่อนรักอีกหน


“ออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่กี่โมงถึงได้มาถึงเอาค่ำมืดแบบนี้ แล้วบอกแม่หรือเปล่าว่าจะมา”


ธามทำไม่รู้ไม่ชี้หันไปเปิดท้ายรถคว้าเป้ขึ้นสะพายหลัง หันกลับมาอีกทีก็พบว่าอีกฝ่ายยังมุ่งมั่นที่จะเอาคำตอบให้ได้จึงถอนหายใจเฮือก “แทนที่จะถามว่าเหนื่อยไหม กินอะไรมาหรือยัง” คนพูดวางหน้านิ่งก่อนจะเดินผ่านร่างเจ้าของคำถามมุ่งสู่ทางขึ้นบ้านพักเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ถัดขึ้นไปบนเนิน ไม่ได้แสดงท่าทีใส่ใจจะตอบคำถามนั้น


เหนือน่านโคลงศีรษะมองตามคนตัวสูงที่กำลังเดินห่างออกไปในความมืด นี่ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งนับแต่รู้จักกับธามคนนี้ เขามักจะทำเรื่องให้ต้องประหลาดใจเสมอ ดูภายนอกสุขุมนุ่มลึก หากได้รู้จักกันจริงจังแล้วละก็จะพบว่าเป็นคนหนุ่มที่ดื้อชนิดหาตัวจับยากทีเดียว กระนั้นแล้วก็ยังมีมุมสนุกสนานให้คนรอบข้างพลอยได้ยิ้มตามอยู่บ้าง


สองคนอาศัยแสงจากเสาไฟสูงหน้าที่ทำการสถานีก้าวตามกันไปบนทางลาดยางที่เวียนขึ้นสู่เนินเขา ในขณะที่คนเดินตามหลังกำลังจะซักไซ้ให้ได้ความก็ต้องหยุดเสียก่อนเพราะแสงจากไฟฉายกระบอกเล็กของใครคนหนึ่งที่สวนทางลงมา


“อ้าว เพื่อนมาเหรอน่าน” ปณิธิเอ่ยขึ้นพร้อมกับรับไหว้หนุ่มกรุงเทพฯ ที่เคยพบกันมาแล้วหลายครั้ง “พี่ว่าจะชวนลงไปในหมู่บ้านสักหน่อยเห็นอยู่ว่าง ๆ”


“พี่ธิจะไปทำอะไรเหรอครับ”


“ว่าจะไปหาอะไรร้อน ๆ ดื่มน่ะ ไม่ไหว อากาศมันหนาวเหลือเกิน แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ลองไปชวนคนอื่นดูก็ได้” พูดจบหัวหน้านักวิจัยก็หันมากล่าวกับผู้มาใหม่ “นี่เพิ่งมาถึงเหรอ แล้วกินอะไรมาหรือยังไปนั่งดื่มด้วยกันในหมู่บ้านไหม”


“เรียบร้อยมาจากในเมืองแล้วครับพี่” ธามตอบพลางหันไปส่งสายตาให้คนที่ไม่คิดจะถามคำถามนี้กับเขาบ้าง


“ถ้าอย่างนั้นก็ตามสบายนะ”


วิศวกรหนุ่มค้อมศีรษะ มองตามร่างสูงใหญ่ที่กำลังเดินหายไปในความมืด เมื่อหันกลับมาเขาก็พบว่าคนที่เดินตามกันมาเมื่อสักครู่เดินห่างออกไปแล้ว ขายาวรีบสาวเท้าก้าวตามในขณะที่ปากก็พร่ำบ่นไปด้วย   


“คำก็เพื่อนสองคำก็เพื่อน”


คนเดินนำหันกลับมาสบตาเจ้าของถ้อยคำประชดประชันเมื่อครู่ “ไม่ถูกหรือไง”


“ก็...”


ไม่รอฟังให้จบเหนือน่านก็เบนสายตาหนีเสียก่อน เท้ายังคงก้าวไปตามขั้นบันไดดินได้ยินเสียงพึมพำเบา ๆ “เป็นเพื่อนกันก็ดีแล้ว”


ร่างสูงเดินมาหยุดที่หน้าบ้านหลังน้อยก่อนจะไขกุญแจเปิดประตู เชิญผู้มาใหม่เข้าไปด้านใน ทันทีที่ดึงประตูปิดเจ้าของบ้านก็ถามคำถามเดิมซ้ำ “แล้วตกลงว่าออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่กี่โมง บอกแม่หรือเปล่า” 


“ออกมาตั้งแต่เช้ามืด ถึงเชียงใหม่ก็แวะหาน้ารินแล้วก็ตรงมาที่นี่ ทำไมชอบทำตัวเป็นพี่ชายอยู่เรื่อย ไม่ได้อยากให้เป็นสักหน่อย” ธามบ่นพลางปลดเป้จากหลังวางลงกับพื้นก่อนจะเดินสำรวจไปรอบ ๆ พื้นที่ขนาดไม่มากไม่มายนี้แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเมื่อคราวที่เขาแวะมาในช่วงต้นหน้าฝน ไม่น่าจะเรียกว่าบ้านเลยด้วยซ้ำ น่าจะเรียกว่าห้องมากกว่า โต๊ะเขียนหนังสือริมหน้าต่างมีแต่ตำราหนา ๆ เฟอนิเจอร์ก็มีอยู่เพียงไม่กี่ชิ้นสมกับเป็นอาศรมฤาษีจริง ๆ 


“ก็เพราะชอบทำตัวเป็นเด็ก ๆ แบบนี้ไง” คนอายุมากกว่าถอนหายใจเฮือกยกมือขึ้นกอดอก ท่าทางของเหนือน่านตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับพี่ชายใจเย็นที่กำลังสอบสวนน้องชายผู้เก็บงำความผิดเอาไว้ “สรุปว่ามานี่แม่รู้หรือเปล่า”


“รู้น่า ถ้าไม่เชื่อจะโทร.ไปคุยไหม จะต่อสายให้” พูดไปอย่างนั้น ไม่ต้องดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าก็รู้ว่าไม่มีสัญญาณ ที่นี่มันเมืองลับแลชัด ๆ


“ก็แค่นั้น ตอบคำถามที่เราถามมันยากเย็นตรงไหน มัวลีลาอยู่ได้”


“แล้วคำถามของธามล่ะตอบยากตรงไหน ทำไมเลี่ยงไปเลี่ยงมาไม่ยอมตอบสักที รอนานแล้วนะ” ธามกล่าวก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งที่เตียงอย่างถือวิสาสะ ดวงตายังไม่ละจากใบหน้าของอีกฝ่าย


“......”


คนรอถอนใจเบา ๆ ไม่มีอะไรผิดจากที่คาดหมายเอาไว้ ไม่มีถ้อยคำใด ๆ หลุดออกจากกลีบบาง เหนือน่านยังคงเลี่ยงที่จะตอบคำถามของเขาเหมือนเคย เลี่ยงมาอย่างนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สารภาพความในใจให้รู้


“ซันส่งรูปลูกชายมาให้ดู” ธามเอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศอึดอัดที่ฟุ้งกระจายไปทั่วที่ทำให้พื้นที่แคบ ๆ ยิ่งแคบไปกันใหญ่ พูดจบก็ยื่นโทรศัพท์ให้คนที่เดินมาหยุดแบมือรออยู่ตรงหน้า “ซันบอกให้เราบังคับน่านให้เปลี่ยนโทรศัพท์แล้วก็หัดเล่นโซเชียลมีเดียแบบคนอื่นเขาบ้าง ใช้อยู่ได้ไอ้เครื่องแก่ ๆ เนี่ย เห็นทีไรแล้วนึกว่าอยู่ในยุคคุณยาคุณยายยังเด็ก”


“พูดยังกับไม่เคยใช้” เหนือน่านกล่าวพลางคว้าสมาร์ทโฟนมาเปิดดูรูป 


“เคยใช้ แต่ใช้ตั้งแต่เรียนมัธยมโน่น เดี๋ยวนี้โลกเขาไปถึงไหนกันแล้วครับคุณ”


“ก็เวลาของเราเดินช้ากว่าของคนอื่น”


ธามทอดตามองคนพูด ดวงดวงตาของเหนือน่านยังคงจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์ที่เต็มไปด้วยภาพของเด็กชายลูกครึ่งไทย-เยอรมันเจ้าของพวงแก้มยุ้ยน่าฟัด รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าราวกับกำลังมีความสุขอยู่ในโลกของตัวเอง โลกที่ปราศจากความรีบร้อน โลกที่ตัวธามเองก็ยังไม่อาจเข้าถึงแต่ก็หวังว่าสักวันอีกฝ่ายจะเปิดรับให้เขาได้เข้าไปอยู่ในนั้นด้วยกัน
   

“ระวังให้ดีจะโขมยไปทิ้ง” คนพูดลุกขึ้นก่อนจะเดินไปรั้งเป้ขึ้นมาวางบนเตียง ควานหาเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวตั้งใจจะอาบน้ำอาบท่าให้คลายความเหนื่อยล้าหลังจากขับรถมาทั้งวัน 


“อยากโดนเตะก็ลอง”


ร่างสูงหัวเราะหึ วางชุดใหม่ลงบนเตียงก่อนจะขยับเข้าประชิด “กลัวตายละ” พูดจบก็ถือโอกาสพาดคางลงบนบ่ากว้าง กดตาลงมองปลายนิ้วที่ดึงเปลี่ยนภาพบนหน้าจอสัมผัส แขนแกร่งโอบรัดเข้าที่รอบเอวสวมกอดจากด้านหลัง “นี่ผอมลงใช่ไหม กินข้าวบ้างหรือเปล่าเนี่ย หรือมัวแต่ช่วยพี่ธิทำงาน เดี๋ยวต้องไปต่อว่าหน่อยแล้ว ทำไมทำน่านผอมขนาดนี้”


“ปล่อย แล้วก็ไปอาบน้ำไป” เหนือน่านกล่าว ถึงลมหายใจอุ่นที่คลอเคลียอยู่กับข้างแก้มจะทำให้รู้สึกจั๊กจี้และแขนหนานั่นก็ทำให้รู้สึกรำคาญอยู่บ้าง แต่ในเวลานี้มันก็ไม่อาจเรียกร้องความสนใจให้เขาละสายตาจากภาพของเด็กน้อยผมสีน้ำตาอ่อนตรงหน้าไปได้


“นาน ๆ จะยอมให้ทำแบบนี้ใครจะปล่อยง่าย ๆ”


“ธาม ไปอาบน้ำไป” เสียงขรึมของคนอายุมากกว่าทำเอาคนฟังหน้าหน้ามุ่ย แต่ก็ได้แค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เจ้าชื่อยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม กดปลายจมูกสูดกลิ่นหอมจากเนื้อคอขาวอย่างจงใจ ไม่รอให้ถูกต่อว่าก็รีบผละออกคว้าเสื้อผ้าหายเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้เหนือน่านได้แต่ลูบต้นคอตนเองป้อย ๆ


เสียงน้ำจากฝักบัวดังแว่วมาจากหลังประตูห้องน้ำพร้อมกับเสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเสียเต็มประดา เจ้าของบ้านถอนหายใจก่อนจะนั่งลงที่เตียง ดวงตายังคงจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์นิ่งแต่ใจเจ้ากรรมกลับไม่ได้นิ่งตามเลยสักนิด ปลายนิ้วยังคงลากผ่านหน้าจอสัมผัสไปเรื่อย ๆ จากภาพของลูกชายเพื่อนเปลี่ยนเป็นภาพที่เจ้าของโทรศัพท์ถ่ายเก็บเอาไว้เมื่อตอนไปออกไซต์งาน ภาพที่ถ่ายกับเพื่อน ๆ เมื่อครั้งไปสังสรรค์ ภาพของแม่ และภาพของชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับฟุบอยู่กับหนังสือ เหนือน่านยังคงจ้องมองภาพของตัวเองอยู่อย่างนั้น หูได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำพลันกลิ่นอ่อน ๆ ของสบู่และน้ำยาสระผมก็หอมฟุ้งไปทั่วห้อง รู้ตัวอีกทีตอนที่ธามวางผ้าเช็ดตัวลงมาบนศีรษะในขณะที่แว่นสายตากับโทรศัพท์ในมือถูกดึงห่างออกจากตัวพร้อม ๆ กัน


“เลิกดูได้แล้ว” เจ้าของร่างสูงกล่าวพลางวางทั้งสองสิ่งลงบนโต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นเอนหลังพิงกับเตียง “เช็ดผมให้หน่อย”


เหนือน่านขมวดคิ้ว เริ่มจะหมดความอดทนกับไอ้เด็กเอาแต่ใจตัวเองคนนี้เต็มที มือรั้งผ้าผืนนุ่มลงมาอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะโปะลงบนหัวชื้น ๆ จากนั้นจึงออกแรงขยี้ด้วยความมันเขี้ยว


หรือหมั่นไส้?


“เบา ๆ หน่อย หัวจะหลุดอยู่แล้ว”


เสียงบ่นงึมงำของผู้ถูกกระทำเรียกรอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า คนช่างแกล้งจึงจำต้องผ่อนแรงลง


“โปสการ์ดที่ส่งไปน่ะได้รับบ้างหรือเปล่า”


“ได้รับสิ อ่านทุกใบ ใบละหลาย ๆ รอบเลยนะ”


“ให้แต่เราเขียนถึง แต่ตัวเองกลับไม่ยักเขียนถึงเรา ประหลาดคน”


“ธามอยากมาพูดด้วยตัวเองนี่นา คิดถึงก็บอกคิดถึง แต่ถ้าน่านเบื่อเขียนก็ไม่ต้องเขียนแล้วก็ได้ เอาไว้เราจะมาฟังเรื่องของน่านทุกอาทิตย์เลยดีไหม”


“นึกว่าขับรถไปกลับที่ทำงานหรือไง” เหนือน่านกล่าวในขณะที่มือยังจับผ้าขนหนูค่อย ๆ บรรจงซับน้ำที่เส้นผมสีเข้ม ไม่นานก็แห้งสนิท “เสร็จแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับดันหลังอีกฝ่ายก่อนจะลุกขึ้นไปตากผ้าเช็ดตัว เมื่อเดินกลับมาอีกครั้งเขาก็ว่าธามกระโดดขึ้นไปนอนตะแคงขดหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงเสียแล้ว


เจ้าของห้องเดินไปปิดไฟก่อนจะกลับมารั้งผ้าห่มที่ปลายเตียงขึ้นมาห่มให้ก่อนจะล้มตัวลงนอน ห้องทั้งห้องเงียบเชียบจนได้ยินเสียงเข็มวินาทีของนาฬิกาติดฝาผนังและเสียงลมหายใจของคนข้าง ๆ จะว่าไปก็ยังมีอีกเสียง เหนือน่านลืมตาทันทีที่รู้สึกว่ามีของหนัก ๆ กดลงหน้าอก ไม่ใช่ผีอำแต่เป็นคนที่จู่ ๆ ก็ขยับตัวเข้ามากอดเขาเอาไว้แถมยังเอาหัวหอม ๆ หนัก ๆ วางลงบนอกเสียอีก


“เพิ่งรู้ว่าคนเป็นเพื่อนกันเขาใจเต้นแรงเวลาอยู่ใกล้กันแบบนี้” ธามเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังหลับตา


“ออกไปห่าง ๆ ไป ถ้าไม่อยากโดนยันตกเตียง”


“พี่น่านกล้าเหรอครับ ถ้ากล้าก็ลองดู ธามจะทำให้มากกว่ากอดอีก” เสียงอู้อี้ทำคนฟังนอนตัวแข็งทื่อ แผงอกที่กระเพื่อมเบา ๆ นั้นทำให้รู้ได้ทันทีว่าไอ้เด็กเพี้ยนนี่คงกำลังหัวเราะอยู่แน่ ๆ


“ไอ้เด็กเพี้ยนเอ๊ย” พูดจบก็แทรกเรียวนิ้วทั้งห้าลงที่กลุ่มผมนุ่มมือจับศีรษะอีกฝ่ายโยกเบา ๆ
     

...



ธามถูกปลุกให้เตรียมตัวไปชมพระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ไม่รู้ว่าเจ้าถิ่นอย่างเหนือน่านหวังดีหรือจงใจแกล้งกันแน่ กระนั้นแล้วก็ยังรีบอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะพากันมุ่งหน้าไปยังจุดชมวิวกิโลเมตรที่ 42 ของเส้นทางสายจอมทอง-ยอดดอยอินทนนท์ที่ดูท่าแล้วคงจะมีแต่พวกเขากับนักท่องเที่ยวอีกไม่กี่คนเพราะวันนี้ไม่ใช่วันหยุด


ฟอร์จูนเนอร์สีดำถูกจอดทิ้งไว้ที่ลานจอดรถหน้าทางเข้าเส้นทางศึกษาะรรมชาติกิ่วแม่ปานซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน สายหมอกยังคงปกคลุมไปทั่วบริเวณเหมือนผืนผ้าที่ห่มคลุมขุนเขาเงียบสงบไม่ต่างอะไรกับคนกำลังนอนหลับ นาน ๆ จะได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ของชาวบ้านขับผ่านมาสักที สองคนเดินตามกันไปยังที่กั้นข้างทางเพื่อรอเวลาที่แสงแรกของวันจะปรากฏขึ้นที่ท้องฟ้าเบื้องหน้า หากโชคดีฟ้าเปิดก็คงจะได้เห็นดอยหัวเสือที่นอนชูหัวเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางหุบเขา


“ไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นหรือไง” คนสวมเสื้อกันหนาวมีฮูทกล่าวเสียงสั่นนั่นเพราะความเย็นของอากาศที่อุณหภูมิใกล้ศูนย์องศาเซลเซียส


“เห็นอยู่ทุกวัน ก็เลยอยากให้มาเห็นด้วย” เหนือน่านกล่าวพร้อมกับดึงฮูทขึ้นคลุมศีรษะให้


“อยู่กรุงเทพฯ ก็เห็น แค่ตื่นเช้า ๆ”


“ความรู้สึกมันไม่เหมือนกัน ถ้าเหมือนกันใคร ๆ เขาคงไม่ทนหนาวจนปากสั่นมานั่งรอดูกันหรอก”


“ฤาษีนี่ชอบพูดอะไรเป็นปรัชญาเนอะ” พูดจบแขนแกร่งก็โอบเข้าที่เอวของคนที่ไม่ทันระวังตัว


“จะกอดทำไม ไปห่าง ๆ เลย”


“ทีเมื่อคืนยังยอมให้กอดทั้งคืน อยากให้เพื่อนหนาวตายหรือไง ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีหน่อยสิ”


คนฟังส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่ายพลางแกะมืออีกฝ่ายออก “ตรงนี้มันเป็นช่องลมพอดี ถ้าหนาวก็ไปนั่งอีกฝั่ง” พูดจบเหนือน่านก็ก้าวข้ามไปยืนอยู่อีกฟากของที่กั้นข้างทางก่อนจะนั่งเหยียดขาลงกับลาดเขาที่ปกคลุมไปด้วยดอกหญ้าสีขาว ทอดตามองท้องฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้นมีแสงสีส้มเป็นแบ่งในแนวขวาง


“ตรงนี้ไม่หนาวจริงด้วย” คนที่ตามมานั่งลงข้าง ๆ เอ่ยขึ้นจากนั้นก็มองไปที่จุดเดียวกัน เพียงไม่นานลำแสงเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นที่เหนือทิวเขาทางด้านซ้าย


“มองเห็นไหม นั่นดอยหัวเสือ”


“ไม่เห็นมีเสือสักตัว”


“นั่นไง” พูดแล้วก็จับปลายนิ้วของอีกฝ่ายชี้ไปยังยอดเขาที่เห็นอยู่ลิบ ๆ จากนั่นก็ขยับวาดไปตามแนวสันเขา


“ไหน” ธามกล่าวพร้อมกับมองตามปลายนิ้วของตัวเอง ที่กำลังลากซ้ำไปมาอยู่ในอากาศ


“เห็นไหม นั่นหลัง ขึ้นมาเป็นหัว นี่จมูก มันกำลังหันหน้าไปทางนั้น”


“เห็นแล้ว เหมือนเสือจริง ๆ ด้วย” คนอายุน้อยกว่าร้องขึ้นราวกับได้ค้นพบบางสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในโลก ที่มีคนบอกว่าจินตนาการอยู่นอกเส้นบรรทัดนั้นน่าจะจริง


“กรุงเทพฯ มีไหม แบบนี้น่ะ ตื่นมาแล้วเจอดอยหัวเสือ มีแต่ตื่นมาแล้วเจอคนหัวเสียทั้งนั้น”


เจ้าของสองแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะความเย็นของอากาศฟังแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม


“ยิ้มอะไร”


“กำลังคิดว่าโลกของน่านมันคงเป็นโลกที่เงียบสงบดี ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องแย่งชิง ไม่ต้องใช้สมาร์ทโฟน ใช้โทรศัพท์จอขาวดำก็หรูแล้ว เมื่อไรจะให้ธามเข้าไปอยู่ด้วยกันบ้าง”


เหนือน่านเบือนหน้ามองดวงอาทิตย์ที่กำลังสาดแสงสีทองอาบคลุมไปทั่วบริเวณ ชายหนุ่มเลือกที่จะใช้ความเงียบตอบคำถามนั้นเช่นเคย


“ถ้าอย่างนั้นเอาอย่างนี้” คนถามกล่าวพลางกดตาลงต่ำมองตัวเลขที่หน้าปัดนาฬิกาซึ่งบอกเวลาเกือบแปดโมงเช้า “เดี๋ยวเรากินข้าวเสร็จแล้วไปเดินกิ่วกัน ถ้าธามเดินออกจากกิ่วได้ก่อนเที่ยง เราสองคนมาเป็นแฟนกัน”


“จะบ้าเหรอ ใช้เวลาน้อยขนาดนั้นได้ขาดใจตายอยู่บนกิ่วกันพอดี”


“ไม่รู้ละ ไม่อยากรอแล้ว แต่ถ้าขาดใจตายอย่างที่ว่าจริงก็น่าดีเหมือนกัน น่านจะได้ไม่ต้องรำคาญใจอย่างที่เป็นอยู่” พูดจบธามก็พรวดลุกขึ้นกระโดดข้ามที่กั้นข้างทางตรงไปยังร้านอาหารเล็ก ๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทันที


หลังจากหาอะไรกินให้หนักท้อง สองคนก็เดินขึ้นไปที่ที่ทำการแต่ก็ไม่ทันได้ใช้บริการคนนำทางที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนซึ่งพอดีกับจำนวนนักท่องเที่ยว 2-3 กลุ่มที่มาถึงก่อน ดังนั้นจึงต้องรอเวลาให้พวกเขาเหล่านั้นเดินกลับออกมาอีกครั้ง


“ธามไม่รอนะ จะไปเดี๋ยวนี้ละ”


“ได้ยังไง มันเป็นกฎ”


“น่านก็นำทางได้ไม่ใช่เหรอ”


“แต่เราไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่นี่”


“ถ้าอย่างนั้นก็รออยู่ข้างนอก เดี๋ยวธามกลับมา รับรองว่าก่อนเที่ยงแน่ ๆ” พูดจบวิศวกรหนุ่มจอมดื้อก็คว้าไม้ค้ำยันก่อนเดินหายเข้าไปในเขตป่า


“ให้มันได้อย่างนี้สิน่า” เหนือน่านโคลงหัวอย่างอิดหนาระใจก่อนจะเดินไปลงเวลาเข้าที่สมุด เลือกไม้ค้ำยันที่เหมาะมือจากนั้นจึงเดินตามเข้าไป


ธามก้าวอาด ๆ ไปตามทางดินลาดชันสลับกับขั้นบันไดในป่าที่ปกคลุมไปด้วยไอหมอก ท่าทางเอาจริงของเขาทำให้คนเดินตามหลังอดเป็นห่วงไม่ได้ เหนือน่านเร่งฝีเท้าตามติดมองอีกฝ่ายไม่คลาดสายตา แม้ตัวเขาจะเดินป่าแถบนี้อยู่บ่อยครั้งแต่การเดินแบบไม่พักเช่นนี้ก็ทำให้แย่ได้เหมือนกัน จากหายใจทางจมูกเปลี่ยนมาเป็นผ่อนลมออกทางปาก ธามเองก็คงไม่ต่างกัน ทันทีที่เห็นร่างสูงเริ่มชะลอฝีเท้า ขายาวก็ก้าวพรวด ๆ จนกระทั่งทันกัน


“ไม่ต้องรีบเดินนักหรอก อากาศบนนี้มันน้อย ยิ่งเดินเร็วก็ยิ่งเหนื่อย เขาถึงต้องมีคนนำทางไง จะได้หยุดให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวเป็นการแวะพักไปในตัว”


“บอกแล้วไงว่าจะกลับออกไปก่อนเที่ยง” คนหัวรั้นหอบแฮ่ก ๆ ในที่สุดก็จำต้องนั่งพักที่ที่นั่งข้างทางซึ่งทางอุทยานจัดเอาไว้ให้
เหนือน่านได้แต่ฟังเฉย ๆ ปลดเป้สะพายหลังก่อนจะหยิบขวดน้ำส่งให้ “ดื่มน้ำก่อน”


“ตั้งใจจะถ่วงเวลาใช่ไหม นี่ไม่อยากเป็นแฟนกับเราขนาดนั้นเลย?” ปากพูดไปแบบนั้นแต่ก็ไม่วายคว้าขวดน้ำมาเปิดดื่มด้วยความกระหาย


“แค่อยากให้อยู่นาน ๆ หรอกน่า ไหน ๆ ก็อุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว จะรีบร้อนไปไหน ข้างทางมีอะไรให้ดูตั้งเยอะ กว่าเราจะคุ้นเคยกับที่นี่จนเดินได้แบบที่ไม่ต้องมีคนนำทางก็ต้องค่อย ๆ ทำความรู้จักต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นไปเรื่อย ๆ” เหนือน่านยิ้มก่อนจะเดินไปนั่งลงที่ขอนไม้ฝั่งตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมองต้นไม้สูงใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านที่เกาะเกี่ยวให้ร่มเงาให้ความชุ่มชื้นแก่ผืนดิน มั่นใจว่ารู้จักต้นไม้ทุกต้นที่ดีพอ ๆ กับที่รู้จักตัวเอง “เดี๋ยวพอสุดเขตป่านี้ก็เป็นทุ่งหญ้าแล้วก็จุดชมวิว บางทีถึงตรงนั้นแล้วอาจจะเกิดหลงรักจนไม่อยากกลับออกไปก็ได้นะ”


ฟังที่อีกฝ่ายพูดแล้วอารมณ์ร้อนรนกระวนกระวายของธามก็พอจะสงบลงบ้าง ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีธารน้ำเล็ก ๆ ไหลผ่าน หากเดินขึ้นไปคงต้องพบกับน้ำตกซึ่งเป็นต้นน้ำแน่ ๆ 


“ทำไมถึงมาเป็นนักพฤกษศาสตร์” คำถามนั้นทำเอาคนฟังกระตุกยิ้ม


“ตอนแรกก็ว่าจะเรียนวิศวะนะ แต่โลกนี้มีวิศวกรเยอะแล้ว เลยเปลี่ยนใจมาเรียนวิทยาศาสตร์แทน”


“คนละแบบกันเลยนะ”


“แต่ก็เป็นคนสร้างเหมือนกันไม่ใช่เหรอ จุดมุ่งหมายของวิศวกรคือการสร้างตึกที่แข็งแรงคงทน จุดมุ่งหมายของนักพฤกษศาสตร์อย่างเราก็คือการสร้างต้นไม้ใบหญ้าป่าไม้ที่แข็งแรงแข่งกับวิศวกรไง”


“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวมาเป็นแฟนวิศวกรเถอะ” พูดจบธามก็ยกยิ้มก่อนจะลุกขึ้นเริ่มเดินต่อ


กว่าสองคนจะเดินหลุดจากเขตป่าก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง เหนือน่านพาธามเดินลัดเลาะไปสันเขาบนทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์ที่ปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าแห้งสีน้ำตาลทองตัดกับสีของท้องฟ้า สายลมพัดดอกหญ้าสีขาวฟุ่งกระจายอาจจะให้ความรู้สึกแห้งแล้ง แต่ก็สวยแปลกตาไปอีกแบบ


ธามเดินตามคนนำทางกิตติมศักดิ์มาจนกระทั่งมาหยุดพักเหนื่อยที่ระเบียงไม้ซึ่งเป็นจุดชมวิว จากจุดนี้มองเห็นหมอกสีขาวเป็นปุยคลื่นแผ่คลุมไปจนสุดขอบฟ้า ร่างสูงก้าวไปยืนที่ปลายระเบียงดึงฮูทที่คลุมศีรษะออกก่อนจะกางแขนปล่อยให้กระแสลมพัดปะทะร่าง เพียงเท่านี้ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการบุกป่าฝ่าดงก็แทบมลายสิ้น ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่บนเมฆก็ไม่ปาน


“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมน่านถึงหลงรักที่นี่ สวยอย่างนี้นี่เอง”


“เริ่มหลงรักที่นี่หรือยัง”


คนถูกถามส่ายหัวก่อนจะหันมาตอบ “ไม่ได้หลงรักเฉพาะสถานที่นะ ค...คน...ก็...”


“เอ้า! กินน้ำ มัวแต่พูดมาก ลมเข้าปากคอแห้งพอดี” เหนือน่านแทรกขึ้นพร้อมกับยื่นขวดน้ำจ่อปากคนพูดก่อนจะเสมองไปทางอื่นเพื่อเก็บซ่อนรอยยิ้มเมื่อเห็นหน้าตลก ๆ ของอีกฝ่าย


“ขอบคุณ” ธามกล่าวด้วยเสียงห้วนที่สุด ในเมื่อทำกันขนาดนี้เขาก็จำใจรับมันมาดื่ม ดื่มเสียให้หมดขวดจะได้ไม่ต้องเอามาเป็นข้ออ้างอีก


ใช้เวลาพักเหนื่อยอยู่ที่ระเบียงไม้ได้พักใหญ่ สองหนุ่มก็ออกเดินทางต่อไปตามแนวสันเขา ครั้งนี้นับว่าเป็นโชคดีของนักศึกษาธรรมชาติมือใหม่อย่างธามที่มีโอกาสได้เห็นดอกของต้นกุหลาบพันปีที่ขึ้นอยู่ข้างทาง


“นั่นน่ะเขาเรียกว่ากุหลาบพันปี” เหนือน่านชี้ไปที่ดอกสีแดงสดบนยอดไม้สูงขึ้นไปที่ใคร ๆ ที่มาถึงอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์หวังจะได้เห็น


“ไม่เห็นเหมือนกุหลาบเลยสักนิด” ธามขมวดคิ้ว


“มันเป็นพืชในวงศ์กุหลาบป่าน่ะ”


“อายุเป็นพัน ๆ ปีเลยเหรอ”


“เปล่าหรอก แต่ที่เรียกอย่างนั้นก็เพราะว่าที่ลำต้นของมันจะมีมอสเกาะจนดูเหมือนต้นไม้โบราณ เขาก็เลยเรียกว่ากุหลาบพันปี”


คนฟังพยักหน้าหงึก ๆ พลางดึงโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงออกมาบันทึกภาพเก็บไว้ “เดี๋ยวจะเอากลับไปอวดไอ้เนมัน เผื่อมันจะอยากมาบ้าง”


เหนือน่านยิ้มให้กับคำพูดและท่าทางแบบเด็ก ๆ ของเขา ธรรมชาติข้างทางคงทำให้ลืมจุดมุ่งหมายเดิมไปเสียแล้วกระมัง


...


“เฮ้อ ไม่ทันจนได้” ธามบ่นพึมพำขณะก้มมองนาฬิกาข้อมือดิจิทัลที่แสดงเวลาเกือบบ่ายสองโมง ชายหนุ่มวางไม้ค้ำยันไว้ที่ทางเข้าก่อนจะจัดการล้างหน้าล้างตา จากนั้นจึงเดินข้ามถนนไปนั่งพักให้หายเหนื่อยยังที่กั้นข้างทางมองดูทิวเขาที่ทอดตัวสลับซับซ้อน แม้จะเลยเที่ยงวันมาแล้วอากาศบนนี้ก็ยังคงหนาวเย็นไม่เปลี่ยน ดีกว่าช่วงเช้าก็ตรงที่พอจะมีแสงจากดวงอาทิตย์ให้ได้รู้สึกอุ่นอยู่บ้าง
 

“เหนื่อยเหรอ” คนที่เดินมานั่งข้าง ๆ เอ่ยขึ้น


“เปล่า”


“เปล่าแล้วทำไมทำหน้าอย่างกับคนหมดแรงแบบนี้ล่ะ” เหนือน่านยังคงถามต่อ


“จะซ้ำเติมกันหรือไง ก็รู้อยู่ว่าเพราะอะไร”


“ไม่รู้จริง ๆ ถ้ารู้เราจะถามเหรอ สรุปว่าเป็นอะไรเนี่ย”


ธามหรี่ตามองเมื่อถูกซ้ำซี้มากเข้า หัวคิ้วหนาขมวดเข้าหากันแทบจะเป็นปมจนคนมองอยากจะจับคลายออกจากกันให้มันรู้แล้วรู้รอด


“เห็นไหมว่ามันเกินเที่ยงมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว” 


“เกินที่ไหนกัน ไม่เชื่อดู” พูดจบก็ยกนาฬิกาที่ข้อมือให้อีกฝ่ายดูเป็นการยืนยัน


“สิบเอ็ดโมง...ห้าสิบห้านาที” ธามเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของนาฬิกาที่กำลังมองมาที่ตนเองเช่นกัน รอยยิ้มของอีกฝ่ายทำให้อยากจะโผลเข้ากอดแน่น ๆ ให้สมกับสิ่งที่เขาพยายามทำให้ ความสิ้นหวังในใจวูบหายราวกับถูกกระชากออกด้วยมือของเจ้าของเวลา   


“เห็นไหมว่าเหลืออีกตั้งห้านาที”


“ไปแอบปรับมาตอนไหน”   


“แอบปรับอะไรเล่า ก็บอกแล้วไงว่าเวลาของเราเดินช้ากว่าคนอื่น” เหนือน่านตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะทอดตามองออกไปยังท้องฟ้ากว้างใหญ่





“เราไม่ได้ตอบช้าไปใช่ไหม”


“ม...ไม่ ไม่เลย” ธามส่ายหัวดิก “แต่ถึงจะช้ากว่านี้เราก็จะรอ” พูดจบก็รั้งมือของอีกฝ่ายมาวางบนหน้าขาก่อนจะแทรกนิ้วทั้งห้าเกาะเกี่ยวกันเอาไว้ไม่ให้ห่าง อดคิดไม่ได้ว่าหากผลลัพธ์ที่ได้จากการเดินทางของเหนือน่านคือการได้เห็นสิ่งสวยงามตลอดสองข้างทางไปจนกระทั่งถึงจุดหมายแล้ว สำหรับเขาเองผลลัพธ์ของการรอคอยนั้นก็งดงามมิได้ต่างกัน




...จบ... 



 



...


จบแล้วนะคะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับคอมเม้นต์และขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-10-2015 13:34:09 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
โรแมนติกเหลือเกินค่าา :heaven อ่านๆ ไปแล้วอย่างกับเราได้ไปยืนอยู่ที่ยอดดอยอินทนนท์พร้อมๆ กับทั้งสองหนุ่มเลยล่ะค่ะ >< บรรยากาศอุ่นๆ หนาวๆ  ฟุ้งกระจายออกมาเต็มไปหมดเลย~ อ่า~ ล่องลอยเลยทีเดียวเชียว

เราชอบภาษาที่น่านกับธามเขาใช้สื่อสารกันจังค่ะ ฟังแล้วให้ความรู้สึกนุ่มนิ่มมากๆ เลย ^^ แถมยังเพราะพริ้งเสียจนราวกับว่าทั้งสองคนได้กลับไปเป็นเด็กน้อยสมัยอนุบาลที่จูงมือกันไปเรียนมากเลยล่ะค่าา เราอย่างนั้น~ ธามอย่างนี้~ เฮ้อ~ ละมุนละไมที่สุดเลย~ :oni1:

ดีใจกับธามด้วยจริงๆ นะคะที่น่านเขาตอบตกลงเป็นแฟนกับธามเสียที ไม่คิดเลยค่ะว่าน่านจะปรับเวลาได้ช้าไปหลายชั่วโมงขนาดนี้ ถือว่าเป็นโชคดีของธามที่สุดเลยเน้ออ~

ปล. ขอตอนพิเศษต่ออีกได้ไหมค้าา >//<

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4062
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
ธามขี้อ่อยอ่ะค่าาา คึคึ

แต่น่านนี่คงเส้นคงวาจริงๆ ถ้าไม่มีตอนท้ายที่หมุนเข็มนากา เราคงนึกว่าน่านคิดแค่เพื่อนแล้วนะ

ออฟไลน์ มาโซซายตี้

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-2
อ่านไปยิ้มไป ในเรื่องอากาศหนาว แต่ตอนนี้ข้างนอกร้อนมาก
ชอบบรรยากาศ นิ่งๆเรื่อยๆ เหมือนเวลาเดินช้าๆ แบบนี้จังค่ะ
อยากจะปลีกวิเวก ได้แบบนี้บ้าง

ออฟไลน์ bew_yunjae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เหนือน่าน คนเจ้าเล่ห์ แหมๆเพิ่งเคยเห็นพระเอกซึน ฮ่าๆๆๆ
ส่วนธามขี้อ่อยมากอ๊ะ รุกสุดๆเลย
แต่ไงๆก็ดีใจกับธามด้วยนะ
คราวนี้อ่อยจนให้เหนือทนไม่ไหวจับกดเลยฮ่าๆๆๆๆ
อยากได้ตอนพิเศษนี่ยังไม่จบชะะ เหมือนมันยังไม่จบยังขาดๆอะไรไป
ช่วยเติมเต็มความหวานที ><

ออฟไลน์ OrangeryLemon

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0

น่ารักมาก

ออฟไลน์ GlassesgirL

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1037
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2
ธามน่ารัก รุกหนักน่าดู 5555
น่านเองก็เจ้าเล่ห์นะ แต่สุดท้ายก็ตกลงกันได้ :impress2:

ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักๆ สนุกๆแบบนี้นะคะ :pig4:

 :mew1: :L2:

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
น่านน่ารักมากเลย
ขอบคุณสำหรับนิยายที่น่ารักเรื่องนี้นะค่ะ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อ่านจบยิ้มแก้มแตก
ชอบเรื่องแนวนี้ของคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าที่สุด
นิยายที่ไม่เหมือนนิยาย เป็นธรรมชาติและแสนจะโรแมนติก
เสียใจที่มาอ่านช้าไปหน่อย แต่ดีใจที่ได้อ่านจบในคราวเดียว
อิ่มเอมกันไป ขอบคุณมากค่ะ

ออฟไลน์ milkteabeige

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนนี้ดีมากกกก ปริ่มอ่ะ
แต่โดนหลอกกก ธามเป็นพระเอกซะงั้น 55555

ขอบคุณสำหรับอีกหนึ่งเรื่องราวดีๆ ที่แบ่งปันกันค่ะ
รอติดตามผลงานอื่นๆ ค่ะ ^^

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด