ตอนจบ
ในค่ำคืนอันเหน็บหนาวนักพฤกษศาสตร์หนุ่มมักใช้ช่วงเวลานี้เดินตรวจดูแปลงปลูกดอกเบญจมาศภายใต้หลังคาโค้งที่คลุมทับด้วยพลาสติกสีขาว รวมถึงตรวจสอบความเรียบร้อยของระบบไฟฟ้าภายในโรงเรือนที่ใช้สำหรับควบคุมไม่ให้ดอกเบญจมาศออกดอกเร็วกว่ากำหนด ร่างสูงเดินไปตามทางเดินระหว่างแปลงปลูกกระทั่งพ้นร่มหลังคาโรงเรือนจึงหยุดยืนทอดมองไปยังเนินเขาเบื้องหน้าที่ระยิบระยับไปด้วยแสงไฟภายในโดมพลาสติกแบบเดียวกันที่เรียงตัวทอดยาวอยู่บนแนวคันดินลดหลั่นเป็นขั้นบันได เป็นดวงดาวบนผืนดินที่ทอแสงให้เห็นทุกค่ำคืนจนกลายเป็นภาพชินตาของคนแถวนี้
เหนือน่านยกมือขึ้นป้องปากเป่าลมร้อนให้อาการชาบรรเทาลงแต่ก็ได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ในช่วงเวลาแบบนี้การได้นอนอยู่ภายใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ คือสิ่งที่เขาปรารถนามากที่สุด คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินกลับขึ้นมาที่หน้าสถานีวิจัยอีกครั้งตั้งใจจะกลับเข้าบ้านพัก แต่แล้วเสียงของเครื่องยนต์กับแสงไฟที่ใกล้เข้ามาก็ทำให้ต้องหยุดรอดูว่าใครกันที่มาเยือนที่นี่ในยามวิกาลเช่นนี้ เมื่อเดินขึ้นมาถึงลานจอดรถก็พบกับฟอร์จูนเนอร์สีดำขลับที่เพิ่งแล่นเข้ามาจอด ประตูรถเปิดออกหลังจากเครื่องยนต์ดับสนิทได้เพียงไม่นานจากนั้นร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ก้าวลงมายืนบิดให้กล้ามเนื้อได้คลายความเมื่อยล้า
“จะมาทำไมไม่บอกก่อน” นั่นคือคำทักทายแรกที่เจ้าถิ่นกล่าวกับคนที่เพิ่งมาถึง
อีกฝ่ายปิดปากหาวหวอด ๆ ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของร่างสูงที่สาวเท้าเข้ามาหยุดตรงหน้า ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มน้อย ๆ แต่ก็ไม่วายเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่ชวนให้คนฟังเถียงไม่ออก “พูดยังกับติดต่อง่ายอย่างนั้นแหละพระฤาษี”
“ฤาษีบ้าอะไรเล่า” เหนือน่านมุ่นคิ้ว อดนึกคนที่นิยามตัวเขาด้วยคำนี้ไม่ได้ ไม่ใช่ใครที่ไหน อรุณรุ่งเพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมนั่นเอง เขามีโอกาสพบเธออีกครั้งเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ทั้งหมดคงต้องยกความดีความชอบให้กับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ต่อหน้าในขณะนี้ ถ้าเมื่อหนึ่งปีก่อนธามไม่เอาโปสการ์ดมาคืนและไม่ได้ฝากเบอร์โทรศัพท์ติดต่อคุณลุงที่ขายบ้านให้เอาไว้กับน้าริน ตัวเขาก็คงไม่มีโอกาสได้พบกับเพื่อนรักอีกหน
“ออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่กี่โมงถึงได้มาถึงเอาค่ำมืดแบบนี้ แล้วบอกแม่หรือเปล่าว่าจะมา”
ธามทำไม่รู้ไม่ชี้หันไปเปิดท้ายรถคว้าเป้ขึ้นสะพายหลัง หันกลับมาอีกทีก็พบว่าอีกฝ่ายยังมุ่งมั่นที่จะเอาคำตอบให้ได้จึงถอนหายใจเฮือก “แทนที่จะถามว่าเหนื่อยไหม กินอะไรมาหรือยัง” คนพูดวางหน้านิ่งก่อนจะเดินผ่านร่างเจ้าของคำถามมุ่งสู่ทางขึ้นบ้านพักเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ถัดขึ้นไปบนเนิน ไม่ได้แสดงท่าทีใส่ใจจะตอบคำถามนั้น
เหนือน่านโคลงศีรษะมองตามคนตัวสูงที่กำลังเดินห่างออกไปในความมืด นี่ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งนับแต่รู้จักกับธามคนนี้ เขามักจะทำเรื่องให้ต้องประหลาดใจเสมอ ดูภายนอกสุขุมนุ่มลึก หากได้รู้จักกันจริงจังแล้วละก็จะพบว่าเป็นคนหนุ่มที่ดื้อชนิดหาตัวจับยากทีเดียว กระนั้นแล้วก็ยังมีมุมสนุกสนานให้คนรอบข้างพลอยได้ยิ้มตามอยู่บ้าง
สองคนอาศัยแสงจากเสาไฟสูงหน้าที่ทำการสถานีก้าวตามกันไปบนทางลาดยางที่เวียนขึ้นสู่เนินเขา ในขณะที่คนเดินตามหลังกำลังจะซักไซ้ให้ได้ความก็ต้องหยุดเสียก่อนเพราะแสงจากไฟฉายกระบอกเล็กของใครคนหนึ่งที่สวนทางลงมา
“อ้าว เพื่อนมาเหรอน่าน” ปณิธิเอ่ยขึ้นพร้อมกับรับไหว้หนุ่มกรุงเทพฯ ที่เคยพบกันมาแล้วหลายครั้ง “พี่ว่าจะชวนลงไปในหมู่บ้านสักหน่อยเห็นอยู่ว่าง ๆ”
“พี่ธิจะไปทำอะไรเหรอครับ”
“ว่าจะไปหาอะไรร้อน ๆ ดื่มน่ะ ไม่ไหว อากาศมันหนาวเหลือเกิน แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ลองไปชวนคนอื่นดูก็ได้” พูดจบหัวหน้านักวิจัยก็หันมากล่าวกับผู้มาใหม่ “นี่เพิ่งมาถึงเหรอ แล้วกินอะไรมาหรือยังไปนั่งดื่มด้วยกันในหมู่บ้านไหม”
“เรียบร้อยมาจากในเมืองแล้วครับพี่” ธามตอบพลางหันไปส่งสายตาให้คนที่ไม่คิดจะถามคำถามนี้กับเขาบ้าง
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามสบายนะ”
วิศวกรหนุ่มค้อมศีรษะ มองตามร่างสูงใหญ่ที่กำลังเดินหายไปในความมืด เมื่อหันกลับมาเขาก็พบว่าคนที่เดินตามกันมาเมื่อสักครู่เดินห่างออกไปแล้ว ขายาวรีบสาวเท้าก้าวตามในขณะที่ปากก็พร่ำบ่นไปด้วย
“คำก็เพื่อนสองคำก็เพื่อน”
คนเดินนำหันกลับมาสบตาเจ้าของถ้อยคำประชดประชันเมื่อครู่ “ไม่ถูกหรือไง”
“ก็...”
ไม่รอฟังให้จบเหนือน่านก็เบนสายตาหนีเสียก่อน เท้ายังคงก้าวไปตามขั้นบันไดดินได้ยินเสียงพึมพำเบา ๆ “เป็นเพื่อนกันก็ดีแล้ว”
ร่างสูงเดินมาหยุดที่หน้าบ้านหลังน้อยก่อนจะไขกุญแจเปิดประตู เชิญผู้มาใหม่เข้าไปด้านใน ทันทีที่ดึงประตูปิดเจ้าของบ้านก็ถามคำถามเดิมซ้ำ “แล้วตกลงว่าออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่กี่โมง บอกแม่หรือเปล่า”
“ออกมาตั้งแต่เช้ามืด ถึงเชียงใหม่ก็แวะหาน้ารินแล้วก็ตรงมาที่นี่ ทำไมชอบทำตัวเป็นพี่ชายอยู่เรื่อย ไม่ได้อยากให้เป็นสักหน่อย” ธามบ่นพลางปลดเป้จากหลังวางลงกับพื้นก่อนจะเดินสำรวจไปรอบ ๆ พื้นที่ขนาดไม่มากไม่มายนี้แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเมื่อคราวที่เขาแวะมาในช่วงต้นหน้าฝน ไม่น่าจะเรียกว่าบ้านเลยด้วยซ้ำ น่าจะเรียกว่าห้องมากกว่า โต๊ะเขียนหนังสือริมหน้าต่างมีแต่ตำราหนา ๆ เฟอนิเจอร์ก็มีอยู่เพียงไม่กี่ชิ้นสมกับเป็นอาศรมฤาษีจริง ๆ
“ก็เพราะชอบทำตัวเป็นเด็ก ๆ แบบนี้ไง” คนอายุมากกว่าถอนหายใจเฮือกยกมือขึ้นกอดอก ท่าทางของเหนือน่านตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับพี่ชายใจเย็นที่กำลังสอบสวนน้องชายผู้เก็บงำความผิดเอาไว้ “สรุปว่ามานี่แม่รู้หรือเปล่า”
“รู้น่า ถ้าไม่เชื่อจะโทร.ไปคุยไหม จะต่อสายให้” พูดไปอย่างนั้น ไม่ต้องดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าก็รู้ว่าไม่มีสัญญาณ ที่นี่มันเมืองลับแลชัด ๆ
“ก็แค่นั้น ตอบคำถามที่เราถามมันยากเย็นตรงไหน มัวลีลาอยู่ได้”
“แล้วคำถามของธามล่ะตอบยากตรงไหน ทำไมเลี่ยงไปเลี่ยงมาไม่ยอมตอบสักที รอนานแล้วนะ” ธามกล่าวก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งที่เตียงอย่างถือวิสาสะ ดวงตายังไม่ละจากใบหน้าของอีกฝ่าย
“......”
คนรอถอนใจเบา ๆ ไม่มีอะไรผิดจากที่คาดหมายเอาไว้ ไม่มีถ้อยคำใด ๆ หลุดออกจากกลีบบาง เหนือน่านยังคงเลี่ยงที่จะตอบคำถามของเขาเหมือนเคย เลี่ยงมาอย่างนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สารภาพความในใจให้รู้
“ซันส่งรูปลูกชายมาให้ดู” ธามเอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศอึดอัดที่ฟุ้งกระจายไปทั่วที่ทำให้พื้นที่แคบ ๆ ยิ่งแคบไปกันใหญ่ พูดจบก็ยื่นโทรศัพท์ให้คนที่เดินมาหยุดแบมือรออยู่ตรงหน้า “ซันบอกให้เราบังคับน่านให้เปลี่ยนโทรศัพท์แล้วก็หัดเล่นโซเชียลมีเดียแบบคนอื่นเขาบ้าง ใช้อยู่ได้ไอ้เครื่องแก่ ๆ เนี่ย เห็นทีไรแล้วนึกว่าอยู่ในยุคคุณยาคุณยายยังเด็ก”
“พูดยังกับไม่เคยใช้” เหนือน่านกล่าวพลางคว้าสมาร์ทโฟนมาเปิดดูรูป
“เคยใช้ แต่ใช้ตั้งแต่เรียนมัธยมโน่น เดี๋ยวนี้โลกเขาไปถึงไหนกันแล้วครับคุณ”
“ก็เวลาของเราเดินช้ากว่าของคนอื่น”
ธามทอดตามองคนพูด ดวงดวงตาของเหนือน่านยังคงจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์ที่เต็มไปด้วยภาพของเด็กชายลูกครึ่งไทย-เยอรมันเจ้าของพวงแก้มยุ้ยน่าฟัด รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าราวกับกำลังมีความสุขอยู่ในโลกของตัวเอง โลกที่ปราศจากความรีบร้อน โลกที่ตัวธามเองก็ยังไม่อาจเข้าถึงแต่ก็หวังว่าสักวันอีกฝ่ายจะเปิดรับให้เขาได้เข้าไปอยู่ในนั้นด้วยกัน
“ระวังให้ดีจะโขมยไปทิ้ง” คนพูดลุกขึ้นก่อนจะเดินไปรั้งเป้ขึ้นมาวางบนเตียง ควานหาเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวตั้งใจจะอาบน้ำอาบท่าให้คลายความเหนื่อยล้าหลังจากขับรถมาทั้งวัน
“อยากโดนเตะก็ลอง”
ร่างสูงหัวเราะหึ วางชุดใหม่ลงบนเตียงก่อนจะขยับเข้าประชิด “กลัวตายละ” พูดจบก็ถือโอกาสพาดคางลงบนบ่ากว้าง กดตาลงมองปลายนิ้วที่ดึงเปลี่ยนภาพบนหน้าจอสัมผัส แขนแกร่งโอบรัดเข้าที่รอบเอวสวมกอดจากด้านหลัง “นี่ผอมลงใช่ไหม กินข้าวบ้างหรือเปล่าเนี่ย หรือมัวแต่ช่วยพี่ธิทำงาน เดี๋ยวต้องไปต่อว่าหน่อยแล้ว ทำไมทำน่านผอมขนาดนี้”
“ปล่อย แล้วก็ไปอาบน้ำไป” เหนือน่านกล่าว ถึงลมหายใจอุ่นที่คลอเคลียอยู่กับข้างแก้มจะทำให้รู้สึกจั๊กจี้และแขนหนานั่นก็ทำให้รู้สึกรำคาญอยู่บ้าง แต่ในเวลานี้มันก็ไม่อาจเรียกร้องความสนใจให้เขาละสายตาจากภาพของเด็กน้อยผมสีน้ำตาอ่อนตรงหน้าไปได้
“นาน ๆ จะยอมให้ทำแบบนี้ใครจะปล่อยง่าย ๆ”
“ธาม ไปอาบน้ำไป” เสียงขรึมของคนอายุมากกว่าทำเอาคนฟังหน้าหน้ามุ่ย แต่ก็ได้แค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เจ้าชื่อยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม กดปลายจมูกสูดกลิ่นหอมจากเนื้อคอขาวอย่างจงใจ ไม่รอให้ถูกต่อว่าก็รีบผละออกคว้าเสื้อผ้าหายเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้เหนือน่านได้แต่ลูบต้นคอตนเองป้อย ๆ
เสียงน้ำจากฝักบัวดังแว่วมาจากหลังประตูห้องน้ำพร้อมกับเสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเสียเต็มประดา เจ้าของบ้านถอนหายใจก่อนจะนั่งลงที่เตียง ดวงตายังคงจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์นิ่งแต่ใจเจ้ากรรมกลับไม่ได้นิ่งตามเลยสักนิด ปลายนิ้วยังคงลากผ่านหน้าจอสัมผัสไปเรื่อย ๆ จากภาพของลูกชายเพื่อนเปลี่ยนเป็นภาพที่เจ้าของโทรศัพท์ถ่ายเก็บเอาไว้เมื่อตอนไปออกไซต์งาน ภาพที่ถ่ายกับเพื่อน ๆ เมื่อครั้งไปสังสรรค์ ภาพของแม่ และภาพของชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับฟุบอยู่กับหนังสือ เหนือน่านยังคงจ้องมองภาพของตัวเองอยู่อย่างนั้น หูได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำพลันกลิ่นอ่อน ๆ ของสบู่และน้ำยาสระผมก็หอมฟุ้งไปทั่วห้อง รู้ตัวอีกทีตอนที่ธามวางผ้าเช็ดตัวลงมาบนศีรษะในขณะที่แว่นสายตากับโทรศัพท์ในมือถูกดึงห่างออกจากตัวพร้อม ๆ กัน
“เลิกดูได้แล้ว” เจ้าของร่างสูงกล่าวพลางวางทั้งสองสิ่งลงบนโต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นเอนหลังพิงกับเตียง “เช็ดผมให้หน่อย”
เหนือน่านขมวดคิ้ว เริ่มจะหมดความอดทนกับไอ้เด็กเอาแต่ใจตัวเองคนนี้เต็มที มือรั้งผ้าผืนนุ่มลงมาอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะโปะลงบนหัวชื้น ๆ จากนั้นจึงออกแรงขยี้ด้วยความมันเขี้ยว
หรือหมั่นไส้?
“เบา ๆ หน่อย หัวจะหลุดอยู่แล้ว”
เสียงบ่นงึมงำของผู้ถูกกระทำเรียกรอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า คนช่างแกล้งจึงจำต้องผ่อนแรงลง
“โปสการ์ดที่ส่งไปน่ะได้รับบ้างหรือเปล่า”
“ได้รับสิ อ่านทุกใบ ใบละหลาย ๆ รอบเลยนะ”
“ให้แต่เราเขียนถึง แต่ตัวเองกลับไม่ยักเขียนถึงเรา ประหลาดคน”
“ธามอยากมาพูดด้วยตัวเองนี่นา คิดถึงก็บอกคิดถึง แต่ถ้าน่านเบื่อเขียนก็ไม่ต้องเขียนแล้วก็ได้ เอาไว้เราจะมาฟังเรื่องของน่านทุกอาทิตย์เลยดีไหม”
“นึกว่าขับรถไปกลับที่ทำงานหรือไง” เหนือน่านกล่าวในขณะที่มือยังจับผ้าขนหนูค่อย ๆ บรรจงซับน้ำที่เส้นผมสีเข้ม ไม่นานก็แห้งสนิท “เสร็จแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับดันหลังอีกฝ่ายก่อนจะลุกขึ้นไปตากผ้าเช็ดตัว เมื่อเดินกลับมาอีกครั้งเขาก็ว่าธามกระโดดขึ้นไปนอนตะแคงขดหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงเสียแล้ว
เจ้าของห้องเดินไปปิดไฟก่อนจะกลับมารั้งผ้าห่มที่ปลายเตียงขึ้นมาห่มให้ก่อนจะล้มตัวลงนอน ห้องทั้งห้องเงียบเชียบจนได้ยินเสียงเข็มวินาทีของนาฬิกาติดฝาผนังและเสียงลมหายใจของคนข้าง ๆ จะว่าไปก็ยังมีอีกเสียง เหนือน่านลืมตาทันทีที่รู้สึกว่ามีของหนัก ๆ กดลงหน้าอก ไม่ใช่ผีอำแต่เป็นคนที่จู่ ๆ ก็ขยับตัวเข้ามากอดเขาเอาไว้แถมยังเอาหัวหอม ๆ หนัก ๆ วางลงบนอกเสียอีก
“เพิ่งรู้ว่าคนเป็นเพื่อนกันเขาใจเต้นแรงเวลาอยู่ใกล้กันแบบนี้” ธามเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังหลับตา
“ออกไปห่าง ๆ ไป ถ้าไม่อยากโดนยันตกเตียง”
“พี่น่านกล้าเหรอครับ ถ้ากล้าก็ลองดู ธามจะทำให้มากกว่ากอดอีก” เสียงอู้อี้ทำคนฟังนอนตัวแข็งทื่อ แผงอกที่กระเพื่อมเบา ๆ นั้นทำให้รู้ได้ทันทีว่าไอ้เด็กเพี้ยนนี่คงกำลังหัวเราะอยู่แน่ ๆ
“ไอ้เด็กเพี้ยนเอ๊ย” พูดจบก็แทรกเรียวนิ้วทั้งห้าลงที่กลุ่มผมนุ่มมือจับศีรษะอีกฝ่ายโยกเบา ๆ
...
ธามถูกปลุกให้เตรียมตัวไปชมพระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ไม่รู้ว่าเจ้าถิ่นอย่างเหนือน่านหวังดีหรือจงใจแกล้งกันแน่ กระนั้นแล้วก็ยังรีบอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะพากันมุ่งหน้าไปยังจุดชมวิวกิโลเมตรที่ 42 ของเส้นทางสายจอมทอง-ยอดดอยอินทนนท์ที่ดูท่าแล้วคงจะมีแต่พวกเขากับนักท่องเที่ยวอีกไม่กี่คนเพราะวันนี้ไม่ใช่วันหยุด
ฟอร์จูนเนอร์สีดำถูกจอดทิ้งไว้ที่ลานจอดรถหน้าทางเข้าเส้นทางศึกษาะรรมชาติกิ่วแม่ปานซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน สายหมอกยังคงปกคลุมไปทั่วบริเวณเหมือนผืนผ้าที่ห่มคลุมขุนเขาเงียบสงบไม่ต่างอะไรกับคนกำลังนอนหลับ นาน ๆ จะได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ของชาวบ้านขับผ่านมาสักที สองคนเดินตามกันไปยังที่กั้นข้างทางเพื่อรอเวลาที่แสงแรกของวันจะปรากฏขึ้นที่ท้องฟ้าเบื้องหน้า หากโชคดีฟ้าเปิดก็คงจะได้เห็นดอยหัวเสือที่นอนชูหัวเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางหุบเขา
“ไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นหรือไง” คนสวมเสื้อกันหนาวมีฮูทกล่าวเสียงสั่นนั่นเพราะความเย็นของอากาศที่อุณหภูมิใกล้ศูนย์องศาเซลเซียส
“เห็นอยู่ทุกวัน ก็เลยอยากให้มาเห็นด้วย” เหนือน่านกล่าวพร้อมกับดึงฮูทขึ้นคลุมศีรษะให้
“อยู่กรุงเทพฯ ก็เห็น แค่ตื่นเช้า ๆ”
“ความรู้สึกมันไม่เหมือนกัน ถ้าเหมือนกันใคร ๆ เขาคงไม่ทนหนาวจนปากสั่นมานั่งรอดูกันหรอก”
“ฤาษีนี่ชอบพูดอะไรเป็นปรัชญาเนอะ” พูดจบแขนแกร่งก็โอบเข้าที่เอวของคนที่ไม่ทันระวังตัว
“จะกอดทำไม ไปห่าง ๆ เลย”
“ทีเมื่อคืนยังยอมให้กอดทั้งคืน อยากให้เพื่อนหนาวตายหรือไง ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีหน่อยสิ”
คนฟังส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่ายพลางแกะมืออีกฝ่ายออก “ตรงนี้มันเป็นช่องลมพอดี ถ้าหนาวก็ไปนั่งอีกฝั่ง” พูดจบเหนือน่านก็ก้าวข้ามไปยืนอยู่อีกฟากของที่กั้นข้างทางก่อนจะนั่งเหยียดขาลงกับลาดเขาที่ปกคลุมไปด้วยดอกหญ้าสีขาว ทอดตามองท้องฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้นมีแสงสีส้มเป็นแบ่งในแนวขวาง
“ตรงนี้ไม่หนาวจริงด้วย” คนที่ตามมานั่งลงข้าง ๆ เอ่ยขึ้นจากนั้นก็มองไปที่จุดเดียวกัน เพียงไม่นานลำแสงเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นที่เหนือทิวเขาทางด้านซ้าย
“มองเห็นไหม นั่นดอยหัวเสือ”
“ไม่เห็นมีเสือสักตัว”
“นั่นไง” พูดแล้วก็จับปลายนิ้วของอีกฝ่ายชี้ไปยังยอดเขาที่เห็นอยู่ลิบ ๆ จากนั่นก็ขยับวาดไปตามแนวสันเขา
“ไหน” ธามกล่าวพร้อมกับมองตามปลายนิ้วของตัวเอง ที่กำลังลากซ้ำไปมาอยู่ในอากาศ
“เห็นไหม นั่นหลัง ขึ้นมาเป็นหัว นี่จมูก มันกำลังหันหน้าไปทางนั้น”
“เห็นแล้ว เหมือนเสือจริง ๆ ด้วย” คนอายุน้อยกว่าร้องขึ้นราวกับได้ค้นพบบางสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในโลก ที่มีคนบอกว่าจินตนาการอยู่นอกเส้นบรรทัดนั้นน่าจะจริง
“กรุงเทพฯ มีไหม แบบนี้น่ะ ตื่นมาแล้วเจอดอยหัวเสือ มีแต่ตื่นมาแล้วเจอคนหัวเสียทั้งนั้น”
เจ้าของสองแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะความเย็นของอากาศฟังแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม
“ยิ้มอะไร”
“กำลังคิดว่าโลกของน่านมันคงเป็นโลกที่เงียบสงบดี ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องแย่งชิง ไม่ต้องใช้สมาร์ทโฟน ใช้โทรศัพท์จอขาวดำก็หรูแล้ว เมื่อไรจะให้ธามเข้าไปอยู่ด้วยกันบ้าง”
เหนือน่านเบือนหน้ามองดวงอาทิตย์ที่กำลังสาดแสงสีทองอาบคลุมไปทั่วบริเวณ ชายหนุ่มเลือกที่จะใช้ความเงียบตอบคำถามนั้นเช่นเคย
“ถ้าอย่างนั้นเอาอย่างนี้” คนถามกล่าวพลางกดตาลงต่ำมองตัวเลขที่หน้าปัดนาฬิกาซึ่งบอกเวลาเกือบแปดโมงเช้า “เดี๋ยวเรากินข้าวเสร็จแล้วไปเดินกิ่วกัน ถ้าธามเดินออกจากกิ่วได้ก่อนเที่ยง เราสองคนมาเป็นแฟนกัน”
“จะบ้าเหรอ ใช้เวลาน้อยขนาดนั้นได้ขาดใจตายอยู่บนกิ่วกันพอดี”
“ไม่รู้ละ ไม่อยากรอแล้ว แต่ถ้าขาดใจตายอย่างที่ว่าจริงก็น่าดีเหมือนกัน น่านจะได้ไม่ต้องรำคาญใจอย่างที่เป็นอยู่” พูดจบธามก็พรวดลุกขึ้นกระโดดข้ามที่กั้นข้างทางตรงไปยังร้านอาหารเล็ก ๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทันที
หลังจากหาอะไรกินให้หนักท้อง สองคนก็เดินขึ้นไปที่ที่ทำการแต่ก็ไม่ทันได้ใช้บริการคนนำทางที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนซึ่งพอดีกับจำนวนนักท่องเที่ยว 2-3 กลุ่มที่มาถึงก่อน ดังนั้นจึงต้องรอเวลาให้พวกเขาเหล่านั้นเดินกลับออกมาอีกครั้ง
“ธามไม่รอนะ จะไปเดี๋ยวนี้ละ”
“ได้ยังไง มันเป็นกฎ”
“น่านก็นำทางได้ไม่ใช่เหรอ”
“แต่เราไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่นี่”
“ถ้าอย่างนั้นก็รออยู่ข้างนอก เดี๋ยวธามกลับมา รับรองว่าก่อนเที่ยงแน่ ๆ” พูดจบวิศวกรหนุ่มจอมดื้อก็คว้าไม้ค้ำยันก่อนเดินหายเข้าไปในเขตป่า
“ให้มันได้อย่างนี้สิน่า” เหนือน่านโคลงหัวอย่างอิดหนาระใจก่อนจะเดินไปลงเวลาเข้าที่สมุด เลือกไม้ค้ำยันที่เหมาะมือจากนั้นจึงเดินตามเข้าไป
ธามก้าวอาด ๆ ไปตามทางดินลาดชันสลับกับขั้นบันไดในป่าที่ปกคลุมไปด้วยไอหมอก ท่าทางเอาจริงของเขาทำให้คนเดินตามหลังอดเป็นห่วงไม่ได้ เหนือน่านเร่งฝีเท้าตามติดมองอีกฝ่ายไม่คลาดสายตา แม้ตัวเขาจะเดินป่าแถบนี้อยู่บ่อยครั้งแต่การเดินแบบไม่พักเช่นนี้ก็ทำให้แย่ได้เหมือนกัน จากหายใจทางจมูกเปลี่ยนมาเป็นผ่อนลมออกทางปาก ธามเองก็คงไม่ต่างกัน ทันทีที่เห็นร่างสูงเริ่มชะลอฝีเท้า ขายาวก็ก้าวพรวด ๆ จนกระทั่งทันกัน
“ไม่ต้องรีบเดินนักหรอก อากาศบนนี้มันน้อย ยิ่งเดินเร็วก็ยิ่งเหนื่อย เขาถึงต้องมีคนนำทางไง จะได้หยุดให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวเป็นการแวะพักไปในตัว”
“บอกแล้วไงว่าจะกลับออกไปก่อนเที่ยง” คนหัวรั้นหอบแฮ่ก ๆ ในที่สุดก็จำต้องนั่งพักที่ที่นั่งข้างทางซึ่งทางอุทยานจัดเอาไว้ให้
เหนือน่านได้แต่ฟังเฉย ๆ ปลดเป้สะพายหลังก่อนจะหยิบขวดน้ำส่งให้ “ดื่มน้ำก่อน”
“ตั้งใจจะถ่วงเวลาใช่ไหม นี่ไม่อยากเป็นแฟนกับเราขนาดนั้นเลย?” ปากพูดไปแบบนั้นแต่ก็ไม่วายคว้าขวดน้ำมาเปิดดื่มด้วยความกระหาย
“แค่อยากให้อยู่นาน ๆ หรอกน่า ไหน ๆ ก็อุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว จะรีบร้อนไปไหน ข้างทางมีอะไรให้ดูตั้งเยอะ กว่าเราจะคุ้นเคยกับที่นี่จนเดินได้แบบที่ไม่ต้องมีคนนำทางก็ต้องค่อย ๆ ทำความรู้จักต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นไปเรื่อย ๆ” เหนือน่านยิ้มก่อนจะเดินไปนั่งลงที่ขอนไม้ฝั่งตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมองต้นไม้สูงใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านที่เกาะเกี่ยวให้ร่มเงาให้ความชุ่มชื้นแก่ผืนดิน มั่นใจว่ารู้จักต้นไม้ทุกต้นที่ดีพอ ๆ กับที่รู้จักตัวเอง “เดี๋ยวพอสุดเขตป่านี้ก็เป็นทุ่งหญ้าแล้วก็จุดชมวิว บางทีถึงตรงนั้นแล้วอาจจะเกิดหลงรักจนไม่อยากกลับออกไปก็ได้นะ”
ฟังที่อีกฝ่ายพูดแล้วอารมณ์ร้อนรนกระวนกระวายของธามก็พอจะสงบลงบ้าง ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีธารน้ำเล็ก ๆ ไหลผ่าน หากเดินขึ้นไปคงต้องพบกับน้ำตกซึ่งเป็นต้นน้ำแน่ ๆ
“ทำไมถึงมาเป็นนักพฤกษศาสตร์” คำถามนั้นทำเอาคนฟังกระตุกยิ้ม
“ตอนแรกก็ว่าจะเรียนวิศวะนะ แต่โลกนี้มีวิศวกรเยอะแล้ว เลยเปลี่ยนใจมาเรียนวิทยาศาสตร์แทน”
“คนละแบบกันเลยนะ”
“แต่ก็เป็นคนสร้างเหมือนกันไม่ใช่เหรอ จุดมุ่งหมายของวิศวกรคือการสร้างตึกที่แข็งแรงคงทน จุดมุ่งหมายของนักพฤกษศาสตร์อย่างเราก็คือการสร้างต้นไม้ใบหญ้าป่าไม้ที่แข็งแรงแข่งกับวิศวกรไง”
“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวมาเป็นแฟนวิศวกรเถอะ” พูดจบธามก็ยกยิ้มก่อนจะลุกขึ้นเริ่มเดินต่อ
กว่าสองคนจะเดินหลุดจากเขตป่าก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง เหนือน่านพาธามเดินลัดเลาะไปสันเขาบนทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์ที่ปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าแห้งสีน้ำตาลทองตัดกับสีของท้องฟ้า สายลมพัดดอกหญ้าสีขาวฟุ่งกระจายอาจจะให้ความรู้สึกแห้งแล้ง แต่ก็สวยแปลกตาไปอีกแบบ
ธามเดินตามคนนำทางกิตติมศักดิ์มาจนกระทั่งมาหยุดพักเหนื่อยที่ระเบียงไม้ซึ่งเป็นจุดชมวิว จากจุดนี้มองเห็นหมอกสีขาวเป็นปุยคลื่นแผ่คลุมไปจนสุดขอบฟ้า ร่างสูงก้าวไปยืนที่ปลายระเบียงดึงฮูทที่คลุมศีรษะออกก่อนจะกางแขนปล่อยให้กระแสลมพัดปะทะร่าง เพียงเท่านี้ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการบุกป่าฝ่าดงก็แทบมลายสิ้น ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่บนเมฆก็ไม่ปาน
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมน่านถึงหลงรักที่นี่ สวยอย่างนี้นี่เอง”
“เริ่มหลงรักที่นี่หรือยัง”
คนถูกถามส่ายหัวก่อนจะหันมาตอบ “ไม่ได้หลงรักเฉพาะสถานที่นะ ค...คน...ก็...”
“เอ้า! กินน้ำ มัวแต่พูดมาก ลมเข้าปากคอแห้งพอดี” เหนือน่านแทรกขึ้นพร้อมกับยื่นขวดน้ำจ่อปากคนพูดก่อนจะเสมองไปทางอื่นเพื่อเก็บซ่อนรอยยิ้มเมื่อเห็นหน้าตลก ๆ ของอีกฝ่าย
“ขอบคุณ” ธามกล่าวด้วยเสียงห้วนที่สุด ในเมื่อทำกันขนาดนี้เขาก็จำใจรับมันมาดื่ม ดื่มเสียให้หมดขวดจะได้ไม่ต้องเอามาเป็นข้ออ้างอีก
ใช้เวลาพักเหนื่อยอยู่ที่ระเบียงไม้ได้พักใหญ่ สองหนุ่มก็ออกเดินทางต่อไปตามแนวสันเขา ครั้งนี้นับว่าเป็นโชคดีของนักศึกษาธรรมชาติมือใหม่อย่างธามที่มีโอกาสได้เห็นดอกของต้นกุหลาบพันปีที่ขึ้นอยู่ข้างทาง
“นั่นน่ะเขาเรียกว่ากุหลาบพันปี” เหนือน่านชี้ไปที่ดอกสีแดงสดบนยอดไม้สูงขึ้นไปที่ใคร ๆ ที่มาถึงอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์หวังจะได้เห็น
“ไม่เห็นเหมือนกุหลาบเลยสักนิด” ธามขมวดคิ้ว
“มันเป็นพืชในวงศ์กุหลาบป่าน่ะ”
“อายุเป็นพัน ๆ ปีเลยเหรอ”
“เปล่าหรอก แต่ที่เรียกอย่างนั้นก็เพราะว่าที่ลำต้นของมันจะมีมอสเกาะจนดูเหมือนต้นไม้โบราณ เขาก็เลยเรียกว่ากุหลาบพันปี”
คนฟังพยักหน้าหงึก ๆ พลางดึงโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงออกมาบันทึกภาพเก็บไว้ “เดี๋ยวจะเอากลับไปอวดไอ้เนมัน เผื่อมันจะอยากมาบ้าง”
เหนือน่านยิ้มให้กับคำพูดและท่าทางแบบเด็ก ๆ ของเขา ธรรมชาติข้างทางคงทำให้ลืมจุดมุ่งหมายเดิมไปเสียแล้วกระมัง
...
“เฮ้อ ไม่ทันจนได้” ธามบ่นพึมพำขณะก้มมองนาฬิกาข้อมือดิจิทัลที่แสดงเวลาเกือบบ่ายสองโมง ชายหนุ่มวางไม้ค้ำยันไว้ที่ทางเข้าก่อนจะจัดการล้างหน้าล้างตา จากนั้นจึงเดินข้ามถนนไปนั่งพักให้หายเหนื่อยยังที่กั้นข้างทางมองดูทิวเขาที่ทอดตัวสลับซับซ้อน แม้จะเลยเที่ยงวันมาแล้วอากาศบนนี้ก็ยังคงหนาวเย็นไม่เปลี่ยน ดีกว่าช่วงเช้าก็ตรงที่พอจะมีแสงจากดวงอาทิตย์ให้ได้รู้สึกอุ่นอยู่บ้าง
“เหนื่อยเหรอ” คนที่เดินมานั่งข้าง ๆ เอ่ยขึ้น
“เปล่า”
“เปล่าแล้วทำไมทำหน้าอย่างกับคนหมดแรงแบบนี้ล่ะ” เหนือน่านยังคงถามต่อ
“จะซ้ำเติมกันหรือไง ก็รู้อยู่ว่าเพราะอะไร”
“ไม่รู้จริง ๆ ถ้ารู้เราจะถามเหรอ สรุปว่าเป็นอะไรเนี่ย”
ธามหรี่ตามองเมื่อถูกซ้ำซี้มากเข้า หัวคิ้วหนาขมวดเข้าหากันแทบจะเป็นปมจนคนมองอยากจะจับคลายออกจากกันให้มันรู้แล้วรู้รอด
“เห็นไหมว่ามันเกินเที่ยงมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว”
“เกินที่ไหนกัน ไม่เชื่อดู” พูดจบก็ยกนาฬิกาที่ข้อมือให้อีกฝ่ายดูเป็นการยืนยัน
“สิบเอ็ดโมง...ห้าสิบห้านาที” ธามเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของนาฬิกาที่กำลังมองมาที่ตนเองเช่นกัน รอยยิ้มของอีกฝ่ายทำให้อยากจะโผลเข้ากอดแน่น ๆ ให้สมกับสิ่งที่เขาพยายามทำให้ ความสิ้นหวังในใจวูบหายราวกับถูกกระชากออกด้วยมือของเจ้าของเวลา
“เห็นไหมว่าเหลืออีกตั้งห้านาที”
“ไปแอบปรับมาตอนไหน”
“แอบปรับอะไรเล่า ก็บอกแล้วไงว่าเวลาของเราเดินช้ากว่าคนอื่น” เหนือน่านตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะทอดตามองออกไปยังท้องฟ้ากว้างใหญ่
“เราไม่ได้ตอบช้าไปใช่ไหม”
“ม...ไม่ ไม่เลย” ธามส่ายหัวดิก “แต่ถึงจะช้ากว่านี้เราก็จะรอ” พูดจบก็รั้งมือของอีกฝ่ายมาวางบนหน้าขาก่อนจะแทรกนิ้วทั้งห้าเกาะเกี่ยวกันเอาไว้ไม่ให้ห่าง อดคิดไม่ได้ว่าหากผลลัพธ์ที่ได้จากการเดินทางของเหนือน่านคือการได้เห็นสิ่งสวยงามตลอดสองข้างทางไปจนกระทั่งถึงจุดหมายแล้ว สำหรับเขาเองผลลัพธ์ของการรอคอยนั้นก็งดงามมิได้ต่างกัน
...จบ...
...
จบแล้วนะคะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับคอมเม้นต์และขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ