Chapter 12.1 เพื่อนแท้ย้อนกลับไปกว่าสิบปีที่แล้ว ภายในโรงเรียนชายล้วนชื่อดังแห่งหนึ่งใบตอง ป๊อกเด้งและไข่ย้อยเป็นนักเรียนที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้มาตั้งแต่สมัยอนุบาล เป็นกลุ่มนักเรียนดีเด่นแต่กิจกรรมย่ำแย่ประจำชั้นประถมปลาย จะเรียกให้ถูกก็คงเป็นกลุ่มของเด็กเนิร์ดนั่นเอง พวกเขาค่อนข้างจะน่าเบื่อ วันๆ สนใจแต่การเรียนเท่านั้น ทำให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนไม่ค่อยอยากคบหาหรือสนิทสนมด้วยสักเท่าไหร่
“เฮ้ย ไข่ย้อย มึงทำการบ้านเลนส์อยู่ป่าววะ ขอกูดูนิด...”
คนถามยังไม่ทันได้ถามจนจบประโยค เจ้าของชื่อเรียกก็หันไปตอบปฏิเสธเสียแล้ว “ไม่ได้” แล้วหันไปส่องสูตรการคำนวณกับใบตองและป๊อกเด้งต่อ ปล่อยให้คนถามยืนเกาศีรษะแก้เก้อ
ทุกครั้งที่มีงานกิจกรรมของโรงเรียน พวกเขามักไม่ค่อยยื่นมือเข้าไปช่วยสักเท่าไหร่ จนหัวหน้าห้องต้องมาจิกหูลากตัวไปทำงานอยู่บ่อยๆ
แม้เพื่อนในชั้นจะทั้งหมั่นไส้และไม่ชอบขี้หน้าทั้งสามคนนัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะพวกเขาเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเด่น เป็นที่รักของครูบาอาจารย์และครูใหญ่ของโรงเรียน
จนกระทั่งขึ้นชั้นมัธยมต้น นักเรียนเก่าบางคนโยกย้ายออกไปอยู่โรงเรียนแห่งใหม่ ในขณะเดียวกันก็มีนักเรียนใหม่ย้ายเข้ามาแทนที่เป็นจำนวนไม่น้อย ซึ่งตั้งใจ เต้าหู้ และน้ำ ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
อาจารย์ประจำชั้นมัธยม 1/3 มอบหมายให้ใบตองและไข่ย้อยเป็นหัวหน้ากับรองหัวหน้าห้อง เช่นเดียวกันกับอาจารย์ประจำชั้นของ ป๊อกเด้งจากห้อง 1/5 เนื่องจากพวกเขาเป็นนักเรียนเก่าซึ่งอาจารย์รู้จักดี จึงให้ทำหน้าที่ไปก่อน ในช่วงที่ยังไม่ได้มีการเลือกตั้งหัวหน้าห้องคนใหม่ แม้พวกเขาไม่ได้เต็มใจนัก หากก็จำใจต้องยอมรับ
โชคชะตานำพาให้น้ำมาเป็นสมาชิกในห้อง 1/3 ส่วนตั้งใจกับเต้าหู้อยู่ห้อง 1/5 จากนั้นเรื่องวุ่นๆ ของพวกเขาทั้งหกคนก็เริ่มต้นขึ้นในโรงเรียนแห่งนี้
ตั้งใจกับเต้าหู้ถูกย้ายโรงเรียนมาเพราะเป็นเด็กเกเร พวกเขามาจากโรงเรียนเดียวกัน แต่เพราะชอบหาเรื่องทะเลาะกับนักเรียนในโรงเรียนบ้าง ต่างโรงเรียนบ้าง แถมยังทะเลาะกันเองได้ไม่เว้นแต่ละวัน ก่อเรื่องบ่อยจนทางโรงเรียนต้องตัดปัญหา ไม่รับเข้าเรียนต่อในระดับชั้นมัธยม แม้ทางบ้านจะเสนอเงินบริจาคให้แต่ก็ไม่เป็นผล หากเมื่อย้ายโรงเรียน ทั้งสองก็ดันย้ายมาเรียนในโรงเรียนเดียวกันได้อีก
ส่วนน้ำนั้น โรงเรียนเก่าของเขาเป็นโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งเขาต้องใช้เวลาเดินทางฝ่าการจราจรในกรุงเทพฯ นานนับชั่วโมง เมื่อจบชั้นประถม เขาจึงขอร้องให้บิดามารดาช่วยย้ายตนเองไปศึกษาต่อในโรงเรียนคาทอลิคชื่อดังที่อยู่ใกล้บ้านแทน
ครอบครัวของน้ำบริจาคเงินให้กับทางโรงเรียนเป็นจำนวนมาก ด้วยความหวังที่ว่าทางโรงเรียนจะช่วยดูแลเด็กชายให้เป็นพิเศษ ทุกเช้าวันใหม่ รถยนต์คันหรูราคาแพงระยับจะมาส่งที่ตรงทางเดินเข้าตึก เขาเป็นเด็กเงียบๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจากับใคร ทำให้หลายๆ คนมองว่าเขาเป็นหยิ่งยโส ไม่น่าคบหาสักเท่าไหร่
หากเท่านั้นยังน่าหมั่นไส้ไม่พอ เนื่องจากน้ำย้ายมาจากโรงเรียนนานาชาติ ภาษาอังกฤษของเขาจึงจัดอยู่ในระดับที่เรียกว่าดีเลยทีเดียว สำเนียงแบบบริติชอิงลิชซึ่งหาฟังไม่ได้ง่ายนัก ชวนให้หัวหน้ากับรองหัวหน้าห้องเขม่นอยู่กลายๆ
“เฮ้ย... ชลธร การบ้านเลขของมึงอะ ส่งด้วย”
น้ำเงยหน้าขึ้น มองคนถามด้วยสีหน้านิ่งเฉย แต่ก็ก้มลงหยิบชีทงานส่งให้กับไข่ย้อยซึ่งเป็นคนถาม
อีกฝ่ายรับชีทมาพลิกดู แล้วแกล้งหัวเราะเสียงดังใส่ “ผิดเพียบเลยว่ะ มีดีแค่ภาษาอังกฤษสินะ” เขาหันไปทางหัวหน้าห้องแล้วชูแผ่นกระดาษในมือให้ดู “เฮ้ย ไอ้ตอง มาดูคำตอบคนเก่งดิ” แล้วพวกเขาก็สุมหัว ค่อนขอดน้ำด้วยกัน โดยที่จงใจให้อีกฝ่ายได้ยิน
“บ้านรวยก็ไปนอกบ่อยได้ ภาษาจะดีกว่าคนอื่นก็ไม่แปลกป่ะวะ”
“ถ้าขอร้องกันดีๆ พวกกูอาจจะใจบุญสอนเลขกระจอกๆ นี่ให้ก็ได้นะ”
เด็กชายยิ้มมุมปาก หากก็ไม่ได้พูดอะไร ก็ไอ้สองคนนี่ ไม่รู้เกิดมาเป็นเสียมหรืออย่างไร ช่างแซะเขาได้ทุกวี่วัน ตั้งแต่วันแรกๆ ที่เข้าเรียน จนผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้ว ปลายเสียมไม่ทื่อบ้างหรือไงก็ไม่รู้ แต่ก็ไม่รู้สิ เขารู้สึกว่าไอ้พวกนี้ไม่ได้มาร้าย ถ้าอยากจะชวนไปเนิร์ดด้วยกัน ที่จริงบอกกันดีๆ ก็ได้ เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เมื่อได้ยินเสียงออดบอกเวลาพักดังขึ้น เริ่มนับถอยหลังในใจจากสิบ เก้า แปด... หนึ่ง ศูนย์ แล้วป๊อกเด้ง เพื่อนกลุ่มเดียวกันแต่อยู่ต่างห้องของใบตองกับไข่ย้อยก็โผล่หน้าเข้ามา
“ไอ้ตอง ไอ้ย้อย มาช่วยกูหน่อย ไอ้สองคนนั่นแม่งหาเรื่องให้กูอีกแล้วโว้ย” ป๊อกเด้งเป็นขาประจำที่จะต้องแวะมาทุกครั้งหลังออดบอกเวลาพักสิบวินาทีเป๊ะ ก็เพราะเขาไม่มีเพื่อนในห้องเรียนเลย เวลาจะขอความช่วยเหลืออะไร ก็ต้องถ่อมาถึงห้องของน้ำทุกทีไป
ดวงตาเรียวมองตามหลังหัวหน้าและรองหัวหน้าห้องตนที่พากันวิ่งตามหลังเพื่อนต่างห้องออกไป ก่อนจะโยกเก้าอี้ไปทางด้านหลังเล็กน้อย พร้อมกับเงี่ยหูรอฟังเสียงโวยวายจากทางด้านนอก
“มึงแต่งตัวไม่ถูกระเบียบนะ แล้วผมนี่อะไร ทำไมไม่ตัดวะ เดี๋ยวครูก็ว่าเอาหรอก เวลาโดนว่าทีต้องนั่งฟังกันทั้งห้องนะมึง!”
“ส่งการบ้านด้วย!” เสียงของสามเนิร์ดดังระงม หากวันนี้แตกต่างออกไปจากวันอื่น ตรงที่คนที่เคยนั่งเฉยๆ กลับลุกขึ้นเถียง
“เรื่องของกู พวกมึงอย่าเสือกน่ะ!”
...อ้าว วันนี้ไอ้สองคนนั่นนึกสู้แฮะ น้ำเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เพราะตามปกติแล้ว นักเรียนใหม่สองคนที่ก่อเรื่องประจำนี่ จะเกรงใจพวกของไข่ย้อยอยู่พอสมควร เนื่องจากพวกเขาเป็นศิษย์รักศิษย์โปรดของอาจารย์
“ไม่เสือกได้ไงวะ ถ้าพวกกูไม่โดนว่าไปด้วยก็ไม่อยากเสือกกับพวกมึงนักหรอก! วันๆ ไม่ทำห่าอะไรนอกจากเห่ายังกับหมา”
“เฮ้ย! ใส่เสื้อเข้าไปในกางเกงเร็วๆ ด้วย!” ป๊อกเด้งพูดเสียงดุ พอมีเพื่อนสองคนเป็นแบ็กอัปให้แล้วก็เก่งกาจขึ้นมาในทันที
“มึงว่าใครหมาวะ ไอ้เหี้ย!”
แล้วจู่ๆ เสียงโวยวายจากทางด้านนอกก็เงียบไป ส่งผลให้คนที่นั่งรอฟังผลอยู่ต้องลุกจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปสำรวจดู
ทว่าไม่มีใครอยู่ที่ตรงนั้นแล้ว... วันนี้แปลกไปจากทุกวันแฮะ
เมื่อเสียงออดเข้าเรียนดังขึ้น สองหนุ่มหัวหน้ากับรองหัวหน้าห้องก็เดินกลับมากัน สีหน้าของพวกเขาบูดบึ้ง มีรอยช้ำบนใบหน้าเล็กน้อย แต่ศีรษะเปียกโชก ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไร พอเข้ามาถึงห้องก็ควานหากระดาษทิชชูขึ้นมาซับตามเส้นผม
“หน้าไปทำอะไรมาน่ะ”
“เดินชนกำแพงครับ” ใบตองตอบไปแบบนั้นเมื่ออาจารย์ถาม แต่สำหรับน้ำ เขาก็พอจะเดาได้ว่าความจริงเป็นเช่นไร ลองเปียกแบบนี้ คงจะโดนลากไปอัดในห้องน้ำมาสินะ
พอถึงเวลาเที่ยงที่นักเรียนทยอยกันไปยังโรงอาหาร ตัวน้ำเองยังไม่มีเพื่อนสนิท ทว่าก็ตามๆ ไปนั่งรวมกลุ่มกันกับพวกนักเรียนเข้าใหม่ด้วยกัน โต๊ะถัดออกไปจากตรงที่เขานั่ง เป็นโต๊ะของแก๊งเนิร์ดทั้งสาม ซึ่งนั่งไปได้ไม่นาน ตั้งใจก็สาวเท้าเข้ามาในโรงอาหารด้วยท่าทางแบบนักเลง แบบที่เจ้าตัวคิดว่าดูเท่ น่าเกรงขามที่สุดแล้ว
สามหนุ่มก้มหน้าลงจัดการกับอาหารในจาน พยายามเลี่ยงที่จะสบสายตากับคนที่เดินมุ่งหน้าเข้ามาหาเรื่องอย่างเห็นได้ชัด
ตั้งใจเอาแก้วน้ำใส่น้ำหวานสีสวยเทคว่ำลงบนศีรษะของป๊อกเด้ง เขายิ้มมุมปาก “หลุดมือว่ะ”
ป๊อกเด้งเงยหน้าขึ้น จ้องมองตั้งใจเขม็ง
“มีปัญหาเหรอมึง”
น้ำเท้าแขนลงกับโต๊ะ ขณะมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สักพักก็หันไปใส่ใจกับอาหารในจานของตนต่อ
สองสัปดาห์ผ่านพ้นไป ดูเหมือนว่าทางฝ่ายแก๊งเนิร์ดจะเริ่มหมดความอดทน ทั้งที่ไม่เข้าไปยุ่งหรือเจ้ากี้เจ้าการอะไรกับนักเรียนเกเรทั้งสองคนแล้ว แต่อีกฝั่งก็ยังหาเรื่องเข้ามาแกล้งกันอยู่บ่อยๆ และความเกเรก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่แก๊งเนิร์ดเท่านั้น หากกระจายออกไปเรื่อยๆ นักเรียนหลายคนจำใจต้องยอมสยบให้เพราะไม่อยากมีเรื่อง
ในตอนเย็นหลังเลิกเรียน วันนี้รถที่มารับน้ำเป็นประจำมาช้าไปสักหน่อย เพราะต้องไปรับพี่ชายเขาที่สนามบินก่อน เขานั่งทำการบ้านอยู่ตรงที่รอรถ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าลืมหนังสือไว้บนห้อง เด็กชายจึงเดินกลับขึ้นตึกเรียนไป
เสียงตะคอกปะปนกับเสียงโวยวายดังแว่วเข้ามาในโสตสัมผัส ทำให้น้ำต้องหยุดเดินกะทันหันแล้วมองหาที่มาของเสียง เขาก้าวขาออกไปช้าๆ จนไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องเรียนห้องหนึ่ง ซึ่งเขาคิดว่าที่มาของเสียงทั้งหมดเกิดจากภายในห้องนั้น เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองหมายเลขห้อง 1/5 จากนั้นจึงเปิดประตูออกดู
โครม!
เต้าหู้ นักเรียนใหม่ร่างยักษ์ผลักใบตองถอยหลังไปชนโต๊ะเรียนดังโครมใหญ่ “กูบอกให้ทำการบ้านของกูให้เสร็จ มึงไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”
ส่วนตั้งใจนั่งอยู่ที่โต๊ะครูตรงหน้าห้อง มองดูไข่ย้อยกับป๊อกเด้งเร่งทำการบ้านอีกวิชาไปอย่างเงียบๆ
เมื่อประตูห้องเปิดออก น้ำก็ได้ยินคำทักทายแว่วออกมาทันใด
“เสือก! ปิดประตูเลยมึง!”
ยังไม่ทันจะปิดประตู ใบตองก็พูดขึ้นเสียงดัง “ไอ้นั่นอ่ะ มันเก่งอังกฤษกว่ากูอีก ใช้มันทำสิ จะได้เสร็จเร็วสมใจมึง”
“ไอ้หน้าจืดนี่อะเหรอ” เต้าหู้ตวัดสายตามองคนที่ถูกกล่าวถึง “งั้นมึงเข้ามานี่เลย”
หากน้ำยังคงยืนเฉย “....”
“เข้ามาสิโว้ย! อยากโดนกระทืบรึไง!”
น้ำยักไหล่ ก้าวเข้าไปภายในห้องอย่างช่วยไม่ได้ เขาหันไปปิดประตูลงกลอนให้เรียบร้อย จากนั้นจึงเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเต้าหู้
“หน้าตามึงนี่ แม่งโคตรหน้าหมั่นไส้เลยว่ะ” เต้าหู้จ้องมองน้ำอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“...หน้าตาหมายังไม่อยากมองอย่างมึง อิจฉากูงั้นสินะ” น้ำไม่ได้พูดเสียงดังอะไร แต่ทุกคนในห้องก็คงได้ยินชัดเต็มสองรูหู ต่างเงียบกริบพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ใบตองเบิกตาโพลงอย่างนึกไม่ถึง เขาส่ายหน้าไปมา ทำปากขมุบขมิบบอกกับน้ำ “เดี๋ยวก็โดนอัดหรอกมึง”
“ไอ้เหี้ย!” เต้าหู้ถลาเข้าไปหาน้ำพร้อมกับง้างหมัดขึ้น หมายจะสอยให้ฟันร่วงสักสองสามซี่
ทว่าน้ำเบี่ยงตัวหลบได้ทัน เขาคว้าคอเสื้อของเต้าหู้แล้วจับทุ่มลงกับพื้นดังตึงใหญ่ แรงสั่นสะเทือนจากพื้นไล่ขึ้นไปถึงเพดานห้อง จากนั้นจึงกระชากคอเสื้อขึ้นมาแล้วเสยคางไปอีกครั้งให้อีกฝ่ายหงายหลังล้มลงกับพื้น
“เก่งนักใช่มั้ยมึง ใหญ่แต่ตัว จะทำเหี้ยอะไรได้” พอพูดจบก็หันไปคว้าคอเสื้อของใบตองมา ชกตรงลิ้นปี่ทีเดียวอีกฝ่ายก็ทรุดลงไปกองกับพื้น “มึงเรียกกูให้เข้ามาเสียเวลา มึงควรจะโดนหนักกว่านี้ แต่เพราะมึงยังหวังดีเตือนกูหรอกนะ”
ตั้งใจลุกจากเก้าอี้พรวดเมื่อน้ำหันไปสบสายตากับเขา “กูไม่เกี่ยวกับไอ้สองคนนั่น”
หากคำพูดนั้นไม่อาจหยุดคนที่สาวเท้าเข้าไปหาได้ “เฮ้ย! อย่าเข้ามานะโว้ย!”
น้ำพุ่งเข้าไปประชิด ผลักตั้งใจหลังติดฝาผนังดังแอ๊ก จากนั้นจึงยกมือขึ้นกดลำคอไว้ “กลัวอะไรวะ ตัวก็ใหญ่พอๆ กัน”
“พวกมึงนั่งทำเหี้ยอะไร ห้ามมันสิโว้ย!” ตั้งใจรีบหันไปขอความช่วยเหลือ แต่อีกสองหนุ่มที่เหลือกลับผุดลุกจากเก้าอี้แล้วหนีไปหลบข้างห้อง
ตึง...
มือขาวเลื่อนลงมากระตุกคอเสื้อ เตะตัดขาอย่างแรงแล้วทุ่มคนที่เอาแต่โวยวายลงกับพื้น เขาเหยียบลำตัวอีกฝ่ายไว้พร้อมกับบิดแขนไปทางด้านหลัง น้ำยิ้มร้าย “หักแม่งซะดีมั้ยนะ”
“หักแม่งเลย จะได้เข็ด!” ไข่ย้อยกับป๊อกเด้งส่งเสียงเชียร์ ทว่าน้ำกลับปล่อยมือจากตั้งใจ แล้วเดินตรงเข้าไปหาพวกเขาแทน
“พวกมึงนี่เป็นเพื่อนกันประสาอะไรวะ”
“มันไม่ใช่เพื่อนกูสักหน่อย โอ๊ย!” พูดยังไม่ทันขาดคำ ทั้งสองก็โดนจับทุ่มลงไปนอนโอดโอยอยู่กับพื้น
ถ้าหากคิดว่าน้ำจะหยุดแค่นั้นละก็ คงไม่ใช่เขาเสียแล้ว เด็กชายเดินกลับไปเตะแถมให้อีกคนละทีสองที “ลุกไปนั่งรวมกันเดี๋ยวนี้”
เสียงคำสั่งราวกับประกาศิต ทั้งห้าหนุ่มคลานไปรวมกันเป็นกระจุก ยอมนั่งเบียดกันแต่โดยดี สายตาเหลือบมองบาดแผล รอยพกช้ำและรอยเลือดที่ปรากฏขึ้นตามเนื้อตัวของกันและกันอย่างหวาดๆ
“พวกมึงมีปัญหาชีวิตอะไรนักวะ เพราะเหี้ยไปวันๆ แบบนี้ไง ถึงไม่มีใครคบ อย่าให้กูเห็นพวกมึงทำตัวแบบเดิมอีก ไม่งั้นรอบหน้าพวกมึงนอนโรงบาลแน่” น้ำสบสายตากับพวกเขาทีละคน ซึ่งแต่ละคนก็พากันหลบสายตาวูบ
“ถ้าพวกมึงคิดว่าตัวเองทำถูกต้องทุกอย่าง อยากจะแห่กันไปฟ้องครูหรือฟ้องใคร พวกมึงก็รีบลุกออกไปเลย ไปเซ่!”
หากไม่มีใครยอมขยับออกไป พวกเขานั่งเงียบกริบ สายตาจ้องมองลงบนพื้นตรงหน้า ที่ที่น้ำยืนอยู่
น้ำถอนหายใจยาว เขาเดินไปยืนข้างหน้าตั้งใจและเต้าหู้ “พวกมึงคิดว่าที่ไอ้พวกห่านั่นตามจู้จี้ เพราะพวกมันหวังร้ายกับพวกมึงเหรอวะ พวกมึงแหกตาดูบ้างรึเปล่า ขนาดพวกมึงอัดแม่งทุกวัน มันยังไม่ไปฟ้องครูกันเลย ส่วนพวกมึงอะ กูก็รู้ว่าพวกมึงเหี้ยมาแต่ไหนแต่ไร ต่อไปถ้าอยากรังแกใครแก้เสี้ยน พวกมึงก็มาเล่นกับกูนี่ ค่อยสมน้ำสมเนื้อกับพวกมึงหน่อย” จากนั้นจึงก้าวไปยืนข้างหน้าอีกสามคนที่เหลือ “พวกมึงก็เหมือนกัน เลิกทำตัวเหมือนมีพ่อเป็นเสียมซะที หัดพูดจาดีๆ แล้วเปิดใจให้คนอื่นเขาบ้าง”
ห้าหนุ่มยังคงนิ่งราวกับถูกสาป หรืออาจจะเป็นเพราะที่น้ำพูดมาถูกต้องทุกอย่างจนพวกเขาเถียงไม่ออก อีกฝ่ายดูมีท่าทีและความคิดเป็นผู้ใหญ่กว่าพวกเขามาก คงเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมจากโรงเรียนเก่า
น้ำย่อตัวลงเล็กน้อย ยื่นสองมือออกไปตรงหน้าของทุกคนที่นั่งอยู่ “กูไม่รู้หรอกว่าพวกมึงไปเจออะไรมาบ้างถึงเป็นแบบนี้ แต่ต่อไปนี้ พวกมึงคือเพื่อนกู ถ้ามึงจริงใจกับกู กูก็จะจริงใจกับพวกมึง”
คำพูดของน้ำ เรียกทั้งห้าคนให้เงยหน้าขึ้นสบสายตากับเจ้าของคำพูด ตั้งใจเป็นคนแรกที่ยื่นมืออกมาสัมผัสกับมือของน้ำ ตามด้วยทุกคนที่เหลือ
“เป็นเพื่อนมึงแล้ว กูจะยังโดนมึงอัดอยู่มั้ย”
“โดน ถ้ากูไม่สบอารมณ์"
“แล้วกูต้องคอยตามตรวจการบ้านให้มึงด้วยรึเปล่า”
“ตรวจ ถ้ากูมีที่ผิด มึงตาย”
หลังจากวันนั้น ก็กลายเป็นว่าทั้งห้าคนคอยตามติดน้ำอยู่ตลอด ทั้งที่ไม่ได้ถูกบังคับ แต่เพียงเพราะพวกเขา... ต้องการเพื่อนที่มีความจริงใจให้กันต่างหาก
ไข่ย้อย ใบตอง และป๊อกเด้ง แต่เดิมพวกเขาก็เป็นนักเรียนดีเด่นที่มีน้ำใจกับเพื่อนในห้อง จนกระทั่งรู้สึกว่า ทุกคนเข้ามาหาพวกเขาเพียงเพื่อผลประโยชน์ ให้สอนการบ้าน ให้ทำการบ้านให้ หากไม่มีใครยอมรับเข้ากลุ่มด้วย ไม่เคยมีใครใส่ใจจะถามว่าพวกเขาส่งการบ้านหรือยัง รับประทานมื้อเที่ยงแล้วหรือยัง ซื้ออาหารทันไหม หรือแม้แต่การจับกลุ่มกันในห้อง ทุกคนจับกลุ่มกันโดยไม่เคยนึกถึงพวกเขาเลย ความผิดหวังจากสิ่งเหล่านั้นทำให้ทั้งสามคนไม่คิดจะมีน้ำใจให้กับใครอีก
ครอบครัวของตั้งใจกับเต้าหู้ค่อนข้างร่ำรวย บ้านของตั้งใจมีสวนอาหารสุดหรู ส่วนบิดามารดาของเต้าหู้มักจะเดินทางไกลอยู่บ่อยๆ ทั้งสองเคยมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ ทำให้นักเรียนที่โรงเรียนเก่ามองว่าพวกเขาเป็นคนน่ากลัว ทั้งที่ในคราวแรกๆ การชกต่อยนั่นก็เพื่อปกป้องคนที่เคยเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน... แต่พอเรื่องราวจบลงไปง่ายๆ เพราะอำนาจทางการเงินของครอบครัว พวกเขากลับกลายเป็นตัวร้ายในสายตาของนักเรียนคนอื่น เพื่อนที่มีก็เป็นพวกที่มาคบด้วยเพื่อผลประโยชน์ ซึ่งนำพาไปสู่การใช้กำลังและขัดแย้งกันเสมอๆ
ภาพของกลุ่มนักเรียนหกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันทุกเวลาพักกลายเป็นภาพที่คุ้นตาทุกคนในโรงเรียน ไข่ย้อย ใบตองและป๊อกเด้งมักจะบังคับให้เพื่อนอีกสามคนทำการบ้านด้วยกันพร้อมทั้งช่วยสอนให้ หากมีปัญหาอะไร พวกเขาก็จะเล่าสู่กันฟังและรับฟังกันเสมอ อดีตและประสบการณ์แย่ๆ ของแต่ละคน ทำให้พวกเขาเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น
ส่วนตั้งใจกับเต้าหู้ แม้จะบ่นหรือแสดงสีหน้าไม่พอใจเวลาที่ถูกบังคับให้ทำอะไรที่ไม่ชอบ เช่นอ่านหนังสือสอบหรือทำแบบฝึกหัด แต่ก็ยอมทำตาม ทั้งสองมักจะสลับกันนำกล่องใส่อาหารมาจากที่บ้านเพื่อรับประทานร่วมกัน และหนึ่งในเมนูอาหารประจำวัน ก็มักจะเป็นของโปรดของเพื่อนคนใดคนหนึ่งในกลุ่มสลับกันไป
“กูไม่ชอบไก่ผัดขิง” น้ำบ่นพึมพำ
“ของโปรดไอ้ตองมัน มึงก็แดกอย่างอื่นไปสิ” ตั้งใจตอบ
ทุกคนในกลุ่มปรับตัวเข้าหากัน ยกเว้นก็แต่น้ำ ที่ยังคงความเป็นตัวของตัวเองไว้ตั้งแต่ต้น หากเพื่อนๆ ก็ยอมรับเขาที่เป็นตัวเขาเช่นนี้แหละ เพราะไอ้น้ำของพวกเขา มันมีความจริงใจที่ไม่เหมือนใคร
เด็กชายทั้งหกคนใช้เวลาในวันจันทร์ถึงศุกร์ร่วมกันที่โรงเรียน วันเสาร์อาทิตย์ก็ยังไปเรียนพิเศษด้วยกัน แล้วยังไปเรียนยูโดที่เดียวกันกับน้ำด้วย และนั่นก็ทำให้พวกเขาเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่าทำไมครั้งหนึ่งคนตัวโตร่างถึกอย่างเต้าหู้กับเด็กเกเรอย่างตั้งใจถึงได้โดนน้ำกระทืบจนแทบจมพื้นห้องเรียนได้
...ก็เพราะว่าน้ำได้สายดำ เป็นแชมป์ยูโดรุ่นจูเนียร์ตั้งแต่อยู่ชั้นประถม ภายในตู้โชว์ของโรงเรียน มีเหรียญทองกับถ้วยรางวัลของเขาประดับไว้มากมาย
ทั้งห้าคนยืนมองตู้เก็บรางวัลพลางอ้าปากค้าง
“ดีนะที่วันนั้นกูไม่ได้ฮึดสู้ ไม่งั้นม้ามแตกแน่” เต้าหู้ครางเบาๆ
“ถึงว่าสิ แม่งชกมาแต่ละจุด กูจุกไปสามวัน” ตั้งใจเสริม
อีกสามคนพูดบ้าง “พวกมึงยังดี พวกกูนี่สิ ตีนพวกมึงว่าหนักแล้ว เจอของไอ้น้ำไป... จนถึงวันนี้กูยังรู้สึกถึงรอยตีนมันอยู่เลย”
“พวกมึงยืนทำไรกันวะ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว เร็วเข้า!”
“คร้าบ! ไอ้คุณน้ำ!” ห้าหนุ่มตอบรับโดยพร้อมเพรียงกัน
..
......
..
ในช่วงปลายเทอมสอง จู่ๆ ไอ้น้ำของเพื่อนพ้องที่ไม่เคยขาดเรียน กลับหยุดเรียนเสียดื้อๆ พวกเขารอจนถึงเวลาเลิกเรียน แล้วจึงรีบโทรศัพท์ไปสอบถาม
ทั้งห้าคนผลัดกันกดโทรศัพท์ไปอยู่หลายครั้ง หากเป็นชั่วโมงแล้วน้ำก็ยังไม่รับสาย พวกเขาทู่ซี้โทรไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง... มีใครบางคนกดรับสายในที่สุด
“ไอ้เหี้ยน้ำ มึงเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมไม่มาเรียน ทำไมไม่รับโทรศัพท์ พวกกูโทรจนนิ้วแทบด้วน!” ตั้งใจโวยวายทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย
“เพื่อนของน้ำเหรอครับ”
เสียงที่ตอบกลับมาเป็นเสียงของผู้ชายที่ตั้งใจไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาชะงัก “คะ... ใครครับ... เนี่ย”
“พี่ชื่อไม้ เป็นพี่ชายของน้ำเอง”
“พี่... พี่ไม้...”
ตั้งใจมัวแต่ชะงักค้าง ไข่ย้อยเห็นเพื่อนทำหน้าเจื่อนๆ จึงคว้าโทรศัพท์ไปพูดซะเอง “ไอ้น้ำเป็นอะไรรึเปล่าครับ”
เสียงถอนหายใจดังแว่วมาจากปลายสาย “...พ่อแม่ของพวกเราประสบอุบัติเหตุน่ะ ตอนนี้อยู่ห้องผ่าตัดฉุกเฉิน”
“หา! อยู่โรงบาลไหนครับ!”
พอได้ยินเสียงตะโกนของไข่ย้อย ที่เหลือก็กรูกันเข้ามารุมถาม “ไอ้น้ำเป็นอะไร!”
“เดี๋ยวสิวะ พวกมึงเงียบก่อน” ไข่ย้อยหันไปตวาด “อยู่โรงบาลอะไร ที่ไหนครับพี่”
ทั้งห้าหนุ่มนั่งรวมกันไปในรถเก๋งขนาดใหญ่คันหนึ่ง ซึ่งต้องเดินทางผ่านตัวเมืองที่ได้ชื่อว่ารถติดที่สุดติดอันดับต้นๆ ของโลก แม้จะต้องนั่งอัดกันเป็นปลากระป๋อง แต่พวกเขาก็ไม่อยากแยกคันไป เพราะพวกเขาต้องการจะไปถึงตัว เพื่อนรัก พร้อมหน้ากัน
ใช้เวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมง กว่ารถคันที่พวกเขานั่งมาจะเคลื่อนเข้าไปจอดในเขตโรงพยาบาลได้ พวกเด็กหนุ่มกรูกันออกมาจากรถ แล้ววิ่งตรงไปยังห้องผ่าตัดฉุกเฉิน
“ไอ้น้ำ!” เพื่อนรักของพวกเขานั่งอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัดฉุกเฉินตามลำพัง “ไอ้น้ำพ่อแม่มึงเป็นยังไงบ้าง”
น้ำเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาบวมช้ำและเป็นสีแดงก่ำ “...ย้ายไปที่วัดแล้ว”
“ไอ้น้ำ...”
ความเจ็บปวดของเพื่อน... ส่งถึงกันได้แม้ไม่ต้องเอ่ยปากพูดอะไร
เวลาที่ใครเจ็บ ทุกคนก็พลอยเจ็บปวดไปด้วย
เด็กชายทั้งหกคนกอดกันแน่น ร้องไห้โฮเสียงดังอย่างไม่อายใคร
“ไอ้น้ำ มึงทำใจดีๆ ฮือ... พวกกูอยู่ตรงนี้นะ พวกกูจะอยู่เป็นเพื่อนมึงนะ ฮือ...”
น้ำปิดตาลงช้าๆ ในอ้อมแขนของเพื่อนๆ ทุกคน “ขอบใจ”
ถ้าหากวันใดมีใครล้มลง พวกเขาก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้าง และช่วยประคองเพื่อนให้ลุกขึ้นได้อีกครั้ง
พี่ชายของน้ำเดินเข้ามาตามหลังเวลาผ่านไปได้สักพัก เขาหยุดยืนมองภาพน้ำกับเพื่อนอยู่ครู่ใหญ่ จึงค่อยเดินเข้าไปหา
“รถมารับไปวัดแล้ว”
เพื่อนทั้งห้ายกมือขึ้นไหว้พี่ไม้ หากเสียงร้องไห้ยังระงม ร้องหนักยิ่งกว่าน้ำเสียอีก
“ดึกแล้ว กลับบ้านกันก่อนดีกว่ามั้ย”
“ไม่ครับ พวกเราจะอยู่กับน้ำ” พวกเขาตอบอย่างพร้อมเพรียง คืนนั้นไม้จึงต้องโทรศัพท์ไปคุยกับที่บ้านของเด็กหนุ่มทั้งห้าเพื่อขออนุญาต ซึ่งก็น่าแปลกใจเหลือเกิน ที่พวกเขายินยอมให้ลูกๆ มาอยู่เป็นเพื่อนน้ำ และหยุดเรียนได้ในวันถัดไป
ในช่วงสัปดาห์แรก เด็กชายทั้งห้าคนมานอนค้างที่บ้านของน้ำทุกวัน และสลับกันมาค้างในสัปดาห์ถัดๆ ไป จนกระทั่งถึงวันพิธีเผาศพ พวกเขาอยู่ในชุดสูทสีดำ ยืนเคียงข้างน้ำตลอดพิธีการ
คืนนั้นทั้งห้าคนมาค้างคืนกับน้ำพร้อมหน้ากันอีกครั้ง เพราะเห็นว่าเป็นคืนสำคัญ ไม้จึงมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนพ้องของน้ำตามลำพังเป็นครั้งแรก ในระหว่างที่น้องชายปลีกตัวไปอาบน้ำ
“ขอบใจทุกคนมากนะ น้ำโชคดีที่มีเพื่อนดีๆ แบบนี้” ไม้ยิ้มบาง “พี่เองก็ต้องเดินทางอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน ฝากดูแลน้ำด้วยนะ”
“พวกเราดูแลกันและกันเสมอ พี่ไม้ไม่ต้องห่วง” พวกเขารับคำ
“ขอบใจ”
สำหรับคนอื่น อาจมองว่าพวกเขากลายมาเป็นเพื่อนรักกันได้จากการทะเลาะกันแล้วดีกันแบบเด็กๆ หากสำหรับพวกเขาแล้ว มันคือช่วงเวลาสำคัญที่เปลี่ยนแปลงชีวิต
“พวกมึงคือเพื่อนกู ถ้ามึงจริงใจกับกู กูก็จะจริงใจกับพวกมึง”กลุ่มเพื่อนของน้ำสนิทกันมาก พวกเขารัก รู้ใจและไว้ใจกันจนใครๆ ในโรงเรียนก็พากันอิจฉา การเรียนพากันไปในด้านที่ดีขึ้น นิสัยเปลี่ยนไปจนเป็นที่รักของคนในโรงเรียน บิดามารดาไม่ต้องกลุ้มใจกับปัญหาในโรงเรียนเฉกเช่นในอดีต ครอบครัวของแต่ละคนรู้จัก ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ จนกระทั่งจบการศึกษาชั้นมัธยมปลาย แม้น้ำไม่ได้เลือกเรียนคณะเดียวกันกับคนอื่นๆ ทว่าพวกเขาก็ยังสนิทสนม คอยดูแลกันและกันเช่นเดิม
เพราะมิตรภาพไม่เคยจืดจาง... และคำว่าเพื่อนไม่มีวันจางหาย
TBC~*ว้าย!!! ยาวอ้ะ ตอนนี้ ไม่มีค่าตัวให้น้องเมฆด้วยล่ะ 555555555 #ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ตอนนี้เอามาเล่าเล่นๆ แบบเพลินๆ เห็นว่ากลุ่มของน้ำสนิทกันดี น่ารักดีค่ะ <-- คิดเองเออเองสุด
ในเรื่องของใครจะรุกใครจะรับนั้น เอาเป็นว่าตอนนี้สองหนุ่มยังไม่คิดถึงตรงนั้นก็แล้วกันนะคะ ก็เขายังไม่รู้ตัวเลยว่ารักกันนี่นา ฮ่าๆ
ขอบคุณทุกคนที่แวะมาอ่านค่า จุ๊ฟฟฟ