Chapter 36 : วันลอยกระทงน้ำไปรอรับนภเกตน์ที่หน้าห้องประชุมหลังจากหมดชั่วโมงเรียนช่วงบ่าย จากนั้นพวกเขาจึงเคลื่อนย้ายกันไปยังบ้านผีสิงของคณะวิศวะซึ่งเป็นจุดหมาย
ระหว่างทางทั้งสองเดินผ่านกลุ่มนักศึกษาที่กำลังการตระเตรียมงานเทศกาลกันอย่างวุ่นวาย นภเกตน์หันมองซ้ายขวาอย่างสนใจ ก่อนจะหันไปถามคนที่เดินมาด้วยกัน “น้ำไม่ต้องไปทำกิจกรรมกับเขาเหรอ”
เจ้าของชื่อเรียกส่ายหน้าไปมา “งานส่วนของผมเสร็จแล้ว ต้องไปช่วยงานอีกทีก็วันจริงเลยน่ะครับ”
“อ่อ ถือว่าเป็นโชคดีของผมสินะเนี่ย”
น้ำยิ้มมุมปาก “ถ้าพี่ตฤณมาได้ยินเข้า ต้องความดันขึ้นแหงๆ”
“สนน้ำหน้าแล้ว” นภเกตน์ขมวดคิ้วพร้อมกับพ่นลมหายใจออกหนักๆ “ว่าแต่ นัดเมฆไว้แล้วใช่มั้ยเนี่ย”
“ครับ เห็นเมฆบอกว่าจะไปช่วยงานที่บ้านผี ผมเลยบอกให้เขารอผมอยู่ที่ในห้องแต่งตัวในบ้านผีสิงนั่นแหละ”
“ยังไม่ได้บอกไปเหรอว่าผมเป็นใคร”
คนอ่อนวัยกว่าส่ายหน้าไปมา “เดี๋ยวให้พี่นภแนะนำตัวเองดีกว่า”
“เอางั้นเหรอ” คนพูดกัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิด
พวกเขาเดินมาจนเกือบถึงห้องที่นัดหมายแล้ว หากนภเกตน์หยุดแล้วหันไปบอกกับน้ำก่อน “ที่จริง ผมว่าเราไม่ควรเล่นกับความรู้สึกของใคร เพราะงั้นหลังจากนี้ น้ำรีบปรับความเข้าใจกับเมฆดีกว่านะ”
น้ำชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงพยักหน้า “ครับพี่นภ พี่ก็เหมือนกัน” เขาเห็นด้วยกับนภเกตน์นะ แต่ดูเหมือนว่าทิฐิและความเอาแต่ใจจะอยู่เหนือเหตุผลไปสักหน่อย มารู้สึกผิดตอนนี้ก็คงจะช้าไปแล้ว เขาคงต้องอธิบายให้เมฆเข้าใจ
พอเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้อง พวกเขาได้ยินเสียงงึมงำดังเล็ดลอดออกมา น้ำจึงยกมือขึ้นเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปภายในห้อง เขาขมวดคิ้วจนเกือบเป็นปม เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มกับตฤณอยู่ด้วยกันตามลำพัง ในท่วงท่าที่... หมิ่นเหม่เสียเหลือเกิน
ตอนแรกเมฆนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นข้างๆ รุ่นพี่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ แล้วยังก้มหน้าลงไปบนตัก พอเงยหน้าขึ้นมาก็มีหยดน้ำสีขาวขุ่นเกาะอยู่บริเวณริมฝีปากและแก้ม แถมกางเกงของรุ่นพี่ยังเปิดซิปทิ้งไว้อ้าซ่าเสียอีก
“เมฆ!”ดวงตาเรียวเบิกโพลง “ทำอะไรกันน่ะ!”
“มีอะไรเหรอน้ำ” คนที่เดินตามหลังมาชนกับแผ่นหลังของน้ำเข้าอย่างจัง เขายกมือขึ้นลูบปลายจมูกพลางชะเง้อคอมองดู ก่อนจะสบสายตากับคนที่นั่งอยู่ในห้องทั้งสองคนเข้าพอดี
“คุณนภ?” ตฤณลุกพรวดจากเก้าอี้ ส่งผลให้เห็นกางเกงชั้นในภายใต้ซิปที่เปิดค้างไว้อ้าซ่า พอรู้สึกเย็นวูบๆ จึงรีบยกมือขึ้นปิด
นภเกตน์อ้าปากค้าง “พวกคุณทำอะไรกัน!”
“เหอ!? ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะคุณนภ” ตฤณรีบรูดซิปกางเกง “แล้วทำไมคุณนภถึงมาที่นี่กับไอ้น้ำได้”
นภเกตน์ขึงตาใส่คนรัก มือขาวกำแน่นจนเกร็งไปทั้งแขน “แล้วคุณตฤณล่ะ มาทำอะไรที่นี่กับเขา!”
น้ำยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ นภเกตน์กับตฤณก็ส่งเสียงดึงอื้ออึง “เอ่อ...”
ส่วนเมฆนั้น เมื่อเห็นนภเกตน์มาด้วยกันกับคนรักของตนก็เลือดขึ้นหน้า พี่น้ำควงคนคนนี้เดินไปไหนมาไหนเกือบทั้งวัน ไม่สนใจใยดีเขาแล้วยังนัดเขาเพื่อพามาให้เห็นจะจะอีก เขาไม่เข้าใจการกระทำของอีกฝ่ายเลยสักนิดเดียว เด็กหนุ่มพูดเสียงดังแข่งกับตฤณและนภเกตน์ “พี่น้ำนัดผมมาทำไมกัน!”
“พี่มีเรื่องจะคุยกับเมฆน่ะสิ”
เด็กหนุ่มพูดเสียงเข้ม “ตั้งใจจะบอกอะไรกับผมกันแน่ ถึงได้พาเขามาแบบนี้”
“แล้วเมฆล่ะ มาทำอะไรอยู่ที่นี่กับพี่ตฤณสองคนฮะ!”
“ผมมาตามนัดพี่น้ำ ส่วนพี่ตฤณเขาถูกวานให้มาช่วยเปลี่ยนหลอดไฟให้ห้องนี้ก็เท่านั้น”
“แล้วที่หน้านั่นเลอะอะไร!”
“น้ำ...” เมฆยังไม่ทันจะตอบ จู่ๆ รุ่นพี่คนดังก็ถูกชายหนุ่มในชุดสูทที่ยืนอยู่ด้านหลังผลักอย่างแรงจนเซถลาเข้ามาหาเขา เด็กหนุ่มจึงรีบเข้าไปประคองอีกฝ่ายไว้ก่อน
“น้ำถอยไป!” นภเกตน์เอ่ยขณะที่ผลักเจ้าของชื่อเรียกออกไปให้พ้นทาง ใบหน้าสวยได้รูปเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขาจ้องมองไปที่ตฤณราวกับต้องการจะถลกหนังศีรษะของอีกฝ่าย “ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณตฤณจะเป็นคนแบบนี้! มาทำอะไรกับเขาที่นี่ บอกมาเดี๋ยวนี้นะ นี่คุณตฤณนอกใจผมงั้นเหรอ!”
“เฮ้ย! คุณนภ เข้าใจอะไรผิดรึเปล่าครับ! ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
“แล้วนั่นอะไร!” นภเกตน์ชี้ไปที่เป้ากางเกงซึ่งก็ยังมีร่องรอยของของเหลวสีขุ่นค้างคาอยู่
ผู้ต้องหาชี้ไปที่กล่องน้ำเต้าหู้ซึ่งวางอยู่กับพื้นใกล้ๆ กับเก้าอี้ “น้ำเต้าหู้มันหกเลอะครับ!”
เมฆเบิกตากว้าง ในใจกลัวว่าไอ้พี่ตฤณจะถูกกระทืบจนจมพื้นปูน บ้านผีสิงปลอมๆ จะกลายเป็นของจริงก็งานนี้ เขารีบช่วยรุ่นพี่แก้ตัว “คุณนภครับ! น้ำเต้าหู้จริงๆ นะครับ ผมกับไอ้พี่ตฤณแค่นั่งคุยกันเฉยๆ ครับ! แต่น้ำเต้าหู้มันหก ผมก็เลยช่วยเช็ด!”
แต่ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้แล้ว นภเกตน์โมโหจนไม่ฟังเสียงใคร เขาหันหลังกลับแล้ววิ่งออกจากห้องไป ตฤณจึงออกตัววิ่งตามออกไปติดๆ ทิ้งให้น้ำกับเมฆยืนอึ้งอยู่ในห้องด้วยกันตามลำพัง
สองหนุ่มยังคงอ้าปากค้าง สายตามองตามนภเกตน์และตฤณที่วิ่งตามกันออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงราวกับลมพายุ บานประตูห้องปิดกระแทกลงเกิดเป็นเสียงดังสะท้อนก้อง หลังจากนั้นภายในห้องก็เงียบกริบ
น้ำค่อยๆ หันมาประสานสายตากับเด็กหนุ่มที่ดูจากสีหน้าแล้วคงจะยังตกใจไม่หาย “เมฆ”
เจ้าของชื่อเรียกสะดุ้งตัวเบาๆ สติสตังยังไม่กลับคืนสู่ร่างทั้งหมด “พี่น้ำ...” เขายืนกะพริบตาปริบๆ พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์แบบไหนจึงรีบอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ “ผมซื้อน้ำเต้าหู้มาดื่มเพราะหิวแต่กินอะไรไม่ค่อยลง แล้วก็มายืนรอพี่น้ำที่นี่ พอดีไฟมันเสียแล้วพี่ตฤณโดนใช้ให้มาเปลี่ยนหลอดไฟ แต่ข้างในห้องมันมืดมาก ตอนที่พี่ตฤณปีนขึ้นเก้าอี้ไปเปลี่ยนหลอดไฟ ผมทำน้ำเต้าหู้หก เลยเลอะเทอะไปหมดทั้งกางเกงพี่ตฤณแล้วก็หน้าผมด้วย ตอนที่พี่เข้ามาก็กำลังเช็ดกันอยู่พอดี” เด็กหนุ่มเล่ารวดเดียวแบบไม่เสียเวลาหยุดหายใจ
ชายหนุ่มยิ้มบาง “เข้าใจแล้ว ขอบใจที่อธิบายนะ” พอเห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกผิดมากกว่าเดิม ทั้งที่เมฆควรจะเป็นฝ่ายโกรธเขาอยู่แท้ๆ แต่กลับไม่ยอมให้เขาเข้าใจผิด เด็กหนุ่มห่วงความรู้สึกของเขามากถึงขนาดนี้ “พี่ก็มีอะไรจะบอกเมฆเหมือนกัน พี่น่ะ พาพี่นภมาหาเมฆที่นี่ก็เพื่อที่จะบอกว่าพี่กับพี่นภเป็นแค่คนรู้จักกันเฉยๆ เมฆจะได้ไม่เข้าใจผิด ที่จริงแล้วพี่นภกับพี่ตฤณน่ะ...”
“เป็นแฟนกัน” เมฆพูดแทรก “ผมรู้อยู่แล้วว่าพี่ตฤณมีแฟน แต่เพิ่งรู้ว่าคือคุณนภ”
“รู้อย่างนั้นแล้วยังไปทำตัวสนิทสนมกับพี่ตฤณอีกนะ” น้ำพูดเสียงดุ
เมฆเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะยิ้มกว้าง “พี่น้ำหึงผมเหรอ โอ๊ย!” เขายกมือขึ้นกุมศีรษะตรงที่ถูกรุ่นพี่ใช้มะเหงกเขกเอาหนักๆ หนึ่งที
“เมฆทำให้พี่นภเข้าใจพี่ตฤณผิดนะ ยังมาทำหน้าระรื่นอีก”
“ผมไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องแบบนี้นะครับ” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น จ้องมองเข้าไปในดวงตาเรียว “คือว่าพี่ตฤณอยากทำอาหารเอาใจคุณนภ ผมก็แค่อยากช่วย เพราะเวลาที่พี่ตฤณพูดถึงคุณนภน่ะ ทั้งบ้าทั้งเพ้อ จนผมหมั่นไส้มากๆ แต่พอเห็นพี่ตฤณรักคุณนภมากมายขนาดนั้น ผมก็พลอยอยากช่วยให้พี่ตฤณทำได้สำเร็จ แล้วอีกอย่าง ผมเห็นว่าพี่น้ำต้องไปช่วยงานขององค์การนักศึกษา คงจะไม่ค่อยว่างอยู่แล้วด้วย ผมก็เลยไม่อยากรบกวน พอมีเวลาว่างเล็กน้อยก็เลยไปสอนพี่ตฤณทำอาหารครับ”
เหตุผลสมกับที่เป็นเมฆดี... ก็เพราะเมฆเป็นคนอย่างนี้ไม่ใช่หรือ เขาถึงได้รู้สึกว่าเด็กหนุ่มพิเศษกว่าคนอื่นๆ
“พี่ไม่เคยคิดว่าเมฆรบกวนเลยสักครั้ง” น้ำโอบศีรษะรุ่นน้องเข้าหาตัว
เด็กหนุ่มซบใบหน้าลงบนหัวไหล่พร้อมกับยกแขนขึ้นกอด เขาเม้มปากอย่างครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงตัดสินใจถาม “แล้วพี่น้ำรู้จักกับคุณนภได้ยังไงครับ”
“เจอกันที่หน้าตึกใหม่น่ะ”
“แต่พี่น้ำดูสนิทกับคุณนภมากๆ” เมฆผงกศีรษะขึ้นประสานสายตากับชายหนุ่ม
น้ำลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน “พี่ขอโทษ แค่ช่วยพี่นภทำให้พี่ตฤณหึงก็เท่านั้น”
“ได้ผลมากๆ เลยล่ะครับ” เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจออกยาวเหยียด “ผมไม่ชอบให้พี่น้ำไปสนิทกับใครเลย ผมหึง แล้วก็หวงมากด้วย”
“ครับๆ รู้แล้วล่ะ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “พี่ก็ไม่ชอบให้เมฆไปสนิทกับคนอื่นนะ รู้มั้ย”
“พี่น้ำหึงผมใช่ป่ะ”
น้ำผละออก เขาไม่ยอมตอบคำถามแถมยังเมินหนีหน้าตาระริกระรี้ของอีกฝ่าย ก่อนจะคว้าข้อมือเด็กหนุ่มแล้วก้าวยาวๆ ไปยังบานประตูห้อง “ตอนนี้เราควรตามไปดูพี่ตฤณกับพี่นภก่อน ป่านนี้จะพังบ้านผีไปแล้วรึเปล่าก็ไม่รู้”
เมฆรีบเดินขึ้นไปเคียงข้างกัน จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบ “หึงผมก็บอกว่าหึงสิครับ ทีผมยังบอกว่าหึงตรงๆ เลยนะ” ทว่าอีกฝ่ายไม่ใส่ใจ “พี่น้ำอ่า... หึงก็บอกกันหน่อยสิ”
พอก้าวออกมาจากห้องแต่งตัว พวกเขาก็ได้ยินเสียงโวยวายของตฤณและนภเกตน์ดังอยู่แว่วๆ แสดงว่าทั้งสองคนหลงเข้าไปในส่วนของบ้านผีสิงแล้ว น้ำจึงรีบตรงไปสับสวิตช์ไฟภายในโรงยิม เพราะเขาคิดว่าความมืดน่าจะช่วยให้นภเกตน์ใจเย็นลง ส่วนพี่ตฤณก็จะได้ตามไปทัน... เขาช่วยได้เท่านี้ล่ะ ทีเหลือขึ้นอยู่กับพี่ตฤณเท่านั้น ตอนนี้คงได้แต่เอาใจช่วยรุ่นพี่ให้พยายามเข้าล่ะนะ
“พี่น้ำ”
“ชู่ว” น้ำเงี่ยหูฟังเสียง หลังจากดับไฟไปได้สักพัก เสียงดังจากภายในบ้านผีสิงก็แผ่วลง “เราไปดักรอดูตรงทางออกดีกว่า”
เมฆพยักหน้าหงึกหงัก ยอมเดินตามรุ่นพี่ไปโดยไม่พูดอะไรอีก
ทั้งสองหนุ่มออกมายืนหลบอยู่แถวใต้ต้นไม้ ในบริเวณที่มองเห็นทางออกของบ้านผีสิงได้ถนัด ซึ่งไม่นานนักนภเกตน์กับตฤณก็ประคองกันออกมา พวกเขายืนคุยกันสักพัก แล้วตฤณก็กึ่งลากกึ่งจูงนภเกตน์เดินจากไป
น้ำผ่อนลมหายใจออกยาว “ดูเหมือนเขาจะเข้าใจกันได้แล้วนะ” จากนั้นจึงหันกลับมาทางเด็กหนุ่ม แล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะเบาๆ “เหนื่อยรึยังน่ะวันนี้”
เมฆส่ายหน้าไปมา “ตอนแรกก็เหนื่อยๆ แต่พอเจอพี่น้ำก็หายเหนื่อยแล้วครับ”
รุ่นพี่กระตุกยิ้มตรงมุมปาก “พรุ่งนี้ยังว่างใช่มั้ย”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารัวๆ
“พี่ต้องช่วยถ่ายรูปขบวนนางนพมาศให้องค์การนักศึกษา แต่หลังจากนั้นว่าง เราไปลอยกระทงกันนะ”
เมฆยิ้มกว้าง “ครับ!”
..
....
..
ในตอนหัวค่ำของวันใหม่ซึ่งบนท้องฟ้ามีดวงจันทร์กลมเกลี้ยงทอแสงนวลประดับ เสียงเพลงจากแต่ละบูธและจากบนเวทีในบริเวณที่ใช้จัดงานลอยกระทงของมหาวิทยาลัยดังสนั่น คละเคล้าเสียงตะโกนพูดคุยกันดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณ ทุกจุดสว่างไสวเต็มไปด้วยแสงไฟ ผู้คนทั้งที่เป็นนักศึกษาและบุคคลภายนอกเดินกันขวักไขว่
กลิ่นอาหารน่าอร่อยลอยกรุ่น ชักชวนให้คนที่เดินผ่านไปมาแวะเข้าไปลองชิม เมื่อพ้นจากบริเวณบูธขายของและขายอาหารไปแล้วจึงเป็นที่ตั้งของบูธเกมจากแต่ละคณะ ซึ่งบ้านผีสิงของคณะวิศวะก็อยู่ในละแวกเดียวกันนี้ด้วย
สำหรับนภเกตน์และตฤณ หลังจากที่ทั้งสองคนคืนดีกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวาน วันนี้ก็สวีตกันชนิดเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยทีเดียว พวกเขากับเมฆและน้ำพบปะพูดคุยกันสั้นๆ แลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือกัน ก่อนจะโบกมือลาเพื่อแยกย้ายกันไปเดินเที่ยวในงาน เด็กหนุ่มชำเลืองมองสองหนุ่มเดินอี๋อ๋อกันไปด้วยความหมั่นไส้ปนอิจฉา ไอ้พี่ตฤณน่ะ หน้าบานเป็นกระด้งเลยเชียว กอดไหล่คนรักไว้อย่างต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ ก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างกันซึ่งยืนห่างจากตัวเขาเป็นฟุต ดูไม่ได้เหมือนเป็นแฟนกันเลยแม้แต่น้อย
ทว่าในระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังนึกน้อยใจอยู่นั้น รุ่นพี่คนดังก็ก้าวเข้ามายืนแทนที่ว่างระหว่างกันแล้วยกมือขึ้นเขกศีรษะเขาเบาๆ
“มองพี่ตฤณกับพี่นภตาละห้อยเชียวนะ อาลัยอาวรณ์อะไรกัน”
เมฆยกมือขึ้นกุมศีรษะ “เปล่านะครับ แค่นึกอิจฉาเฉยๆ”
“อิจฉาใคร”
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นแล้วจึงยื่นหน้าเข้าไปหาอีกฝ่าย “พี่น้ำหึงผมอีกแล้วอะ” เขารู้อยู่แล้วล่ะว่าเดี๋ยวพี่น้ำคงจะเลี่ยงไม่ยอมตอบเขาเหมือนทุกที แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากจะพูดออกไป “ไม่ไหวเลย หึงผมอยู่เรื่อย”
“รู้ก็ดี”
“นั่นแน่... ฮะ...?” เดี๋ยวนะ เขาหูฝาดไปหรือเปล่าวะ?
เมฆชะงัก ริมฝีปากอ้าค้าง “.....” เพราะไม่นึกว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ เขาคลำทางไปต่อไม่ถูกเลย
หมายความว่า... ว่า... พี่น้ำหึงเขาจริงๆ งั้นหรือ เขาไม่ได้ฝันไปใช่ไหมเนี่ย
รุ่นพี่ยิ้มมุมปาก จากนั้นจึงยกแขนขึ้นโอบไหล่พร้อมกับดึงเด็กหนุ่มเข้ามาใกล้โดยที่ไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว
“หวา!” เมฆร้องเสียงหลง ปลายจมูกเขาเฉียดกับของพี่น้ำไปนิดเดียว ส่งผลให้ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “พะ... พี่น้ำ!”
“หืม?”
“เมื่อกี้พี่น้ำบอกว่า...”
“บอกว่าอะไร?”
“พี่น้ำ... หึงผม”
“เปล่า ไม่ได้พูด”
“พี่น้ำอ่า...”
น้ำหัวเราะเบาๆ “ไปเดินในงานกันดีกว่า” พูดแล้วก็ปล่อยแขนออกพร้อมกับเดินนำออกไป
เด็กหนุ่มรีบก้าวยาวๆ ไปให้ทันกัน “เราจะไปไหนกันดี”
“เมฆอยากไปไหนล่ะ”
“อืม...” คนถูกย้อนถามยกข้อมือขึ้นดูเวลา “ใกล้เวลาพี่ตั้งใจขึ้นแท่นพี่ว้ากตกน้ำแล้วอะครับ เราไปสอยพี่ตั้งใจกันดีกว่า”
“เอาสิ ก็ดีเหมือนกันนะ”
ทว่าเมื่อไปถึงบูธทั้งสองก็จำใจต้องถอย เพราะดูเหมือนจะมีคนสนใจพี่ว้ากมากเหลือเกิน แถวถึงได้ยาวคดเคี้ยวเป็นงูแบบนั้น พวกเขาได้ยินเสียงของตั้งใจโวยวายมาจากทางด้านใน ก่อนจะหันมองหน้ากันแล้วหัวเราะ
“งั้นเราไปลอยกระทงกันดีกว่า” เมฆคว้าข้อมือของรุ่นพี่ แต่ก้มหน้าหลุบตาต่ำ มืออีกข้างสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง วันนี้เขาตั้งใจจะให้สิ่งที่สำคัญกับอีกฝ่าย แต่รอโอกาสดีๆ ให้ได้อยู่ด้วยกันตามลำพังก่อน
“เอาสิ เมฆอยากลอยที่ไหน”
“ผมจะพาพี่ไปที่พิเศษ...” เด็กหนุ่มตอบพลางจูงมือรุ่นพี่เดินผ่านฝูงคนแน่นขนัดออกไป เขาพาอีกฝ่ายไปยังบริเวณที่เอารถมอเตอร์ไซค์ไปจอดแอบไว้ ซึ่งบนมอเตอร์ไซค์นั้นมีหมวกกันน็อกสองใบวางอยู่กับกระทงขนาดเล็กในถุงพลาสติก
“หืม เตรียมพร้อมไว้ขนาดนี้เลย” น้ำหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี
“พี่น้ำใส่หมวกกันน็อกด้วยนะ” เมฆจัดการใส่หมวกกันน็อกให้รุ่นพี่แล้วจึงส่งถุงใส่กระทงให้ “ถือถุงกระทงไว้ด้วยได้มั้ยครับ”
“อืม”
พอเด็กหนุ่มสวมหมวกกันน็อกเสร็จก็วาดขาขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ของตน จากนั้นจึงหันมาตบๆ ลงบนเบาะด้านหลัง “พี่น้ำขึ้นมาเลย”
“โอเค” น้ำขึ้นไปนั่งบนเบาะหลัง แต่ขยับตัวให้แนบชิดกับแผ่นหลังของรุ่นน้องเป็นพิเศษ พร้อมกับโอบเอวเด็กหนุ่มไว้แน่น “พร้อมแล้ว”
“ฮื้ยยย! พี่น้ำ” เมฆสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นบนแผ่นหลัง คือแบบ... ก็รุ่นพี่เล่นนั่งเสียจนชิด ทำให้เขารู้สึกถึงอะไรต่อมิอะไรของพี่น้ำเลยอะ หรือเขาจะมโนไปเองก็ไม่รู้
“ทำไมเหรอ”
ทำไมหน้าร้อนๆ แบบนี้วะ เด็กหนุ่มบ่นอยู่ในใจ “คือ...”
“หัวใจเต้นแรงจัง”
“ก็พี่น้ำกอดผมซะแน่น”
ชายหนุ่มยิ้มร้าย “พี่กลัวตกน่ะ” แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของอีกฝ่ายที่รอยยิ้มนั้นซุกซ่อนอยู่ภายใต้หมวกกันน็อก
“คะ... ครับ... งั้นผมจะออกรถแล้วนะ”
“โอเค”
เด็กหนุ่มพยายามสงบจิตสงบใจ สูดหายใจเข้าลึกๆ หลายๆ ครั้ง ก่อนที่จะเคลื่อนรถมอเตอร์ไซค์ออกไปช้าๆ
“เราจะไปที่ไหนกันเหรอ”
“หาดด้านหลังคณะประมงครับ ตรงนั้นไม่ค่อยมีใครผ่านไปมาเพราะคนที่รู้ว่าตรงนั้นมีหาดก็มีแต่พวกเด็กประมงซะส่วนใหญ่”
“อ้อ แต่เมฆก็รู้ได้เนอะ”
“.....” ก็เพราะเขาไปถามหามาเป็นพิเศษน่ะสิ
ไม่นานเด็กหนุ่มก็เคลื่อนรถเข้าไปจอด จากนั้นจึงจูงมือรุ่นพี่เดินไปตามทางเดินที่มีไฟสว่างไสวจากเสาไฟตลอดสองข้างทาง พื้นที่บริเวณนั้นค่อนข้างจะเงียบเพราะอยู่ไกลจากบริเวณจัดงาน หากก็ยังได้ยินเสียงเพลงดังมาแว่วๆ
น้ำปล่อยให้รุ่นน้องจูงมือไปเรื่อยๆ พอเดินอ้อมตัวตึกของคณะประมงไปทางด้านหลังก็พบกับหาดทรายขนาดเล็ก บริเวณนั้นแทบมองไม่เห็นอะไร มีเพียงแสงไฟสลัวจากเสาไฟที่อยู่ห่างออกไปเท่านั้น
เด็กหนุ่มก้มลงถอดรองเท้าของตน พับขากางเกงขึ้นแล้วจึงเอื้อมมือไปรับกระทงมาจากรุ่นพี่ “พี่น้ำ ถอดรองเท้าสิครับ”
“โอเค” ชายหนุ่มก้มลงถอดรองเท้าออก พอพับขากางเกงขึ้นแล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าสตางค์และกุญแจรถใส่ไว้ในถุงพลาสติกแทนที่กระทง “ไม่มีคนคงไม่หายหรอกเนอะ”
“จริงด้วย เดี๋ยวหล่นลงน้ำล่ะแย่เลย” เมฆจัดการหยิบข้าวของของเขาในลงในถุงด้วยแล้ววางไว้บนรองเท้าอีกที
หลังจากนั้นรุ่นน้องก็คว้ามือรุ่นพี่คนดัง จูงให้เดินตามลงไปในน้ำสองสามก้าว ก่อนจะหยุดแล้วหันมาหาคนที่ยืนอยู่เคียงข้างกัน เขายกกระทงในมือขึ้นจุดธูปเทียน เสร็จแล้วจึงส่งให้รุ่นพี่ถือไว้ด้วยกัน “ขอพรกันนะครับ”
น้ำอมยิ้มเล็กน้อย เขาเอื้อมมือทั้งสองข้างออกไปวางประกับหลังมือของเด็กหนุ่มที่ถือกระทงอยู่
เมฆสบสายตากับเจ้าของฝ่ามืออุ่นร้อน รอยยิ้มเล็กน้อยของรุ่นพี่ที่เขามองเห็นได้จากแสงของเปลวเทียนทำให้ใบหน้าร้อนๆ ชอบกล “เอ้อ...”
“ว่าไง ขอพรเสร็จรึยัง”
“เสร็จแล้วครับ”
พวกเขาค่อยๆ ย่อตัวลงปล่อยกระทงให้ลอยไปตามกระแสคลื่น จากนั้นทั้งคู่ก็ยืนมองกระทงนั้นค่อยๆ ลอยห่างออกไป
นัยน์ตาเรียวมองตามแสงเทียนริบหรี่ของกระทงบนเกลียวคลื่นที่กระเพื่อมน้อยๆ “วันนี้คลื่นน้ำไม่แรงมาก ดีจังเลยนะ”
“พี่น้ำ” เมฆจับมือของรุ่นพี่ขึ้นมาตรงหน้า
“หืม”
“ผมมีของสำคัญที่อยากจะให้พี่” เมฆพูดเสียงเบา ปลายนิ้วเย็นเฉียบด้วยความประหม่า มือข้างที่ว่างล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบกล่องพลาสติกขนาดเล็กขึ้นมาวางลงบนฝ่ามือของชายหนุ่ม
น้ำเพ่งมองไปในแสงสลัว ภายในกล่องพลาสติกแบบใสนั้น มีโลหะรูปร่างคล้ายเกียร์คล้องเกี่ยวบนเชือกหนังสีดำนอนนิ่งอยู่ “เกียร์?”
เมฆพยักหน้าหงึกหงัก “ครับ”
“แต่นี่มันเป็นของสำคัญไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ครับ”
“แล้วให้พี่จะดีเหรอ”
“วันที่ผมได้รับเกียร์นี่ พี่ตั้งใจพูดกับทุกคนว่า กว่าที่แต่ละคนจะได้เกียร์มา ต่างก็รู้ว่าต้องผ่านความยากลำบากอะไรกันมาบ้าง จงรักษาเกียร์ชิ้นนี้เป็นเหมือนหัวใจของตนเอง” เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับกุมมือของรุ่นพี่ไว้ “เกียร์นี่ก็เหมือนหัวใจของผม ให้พี่น้ำเก็บไว้ดีๆ นะครับ”
น้ำยิ้มบาง กุมกล่องใส่เกียร์ไว้ในมือแน่น พลางยกมืออีกข้างขึ้นลูบศีรษะรุ่นน้องย่างอ่อนโยน “ขอบใจนะ พี่จะรักษาให้ดีที่สุดเลย”
ดวงตาสีดำขลับจ้องมองริมฝีปากบางสวยโดยไม่กะพริบ เขาเคลื่อนใบหน้าเข้าไปหา ราวกับเรียวปากนั้นมีแรงดึงดูด จากนั้นจึงแนบจูบบางเบา แล้วค่อยๆ ถอนริมฝีปากออก เด็กหนุ่มชำเลืองมองสีหน้าของรุ่นพี่ก่อนจะประกบริมฝีปากเข้าไปอีกครั้ง เพิ่มแรงบดเบียดมากขึ้นทีละน้อย เขาปิดตาลงพร้อมกับสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากอุ่น
สายลมเย็นสบายพัดผ่านมาเป็นระลอก ส่งผลให้เกลียวคลื่นที่ม้วนตัวสาดซัดขึ้นสู่หาดแรงมีกำลังแรงขึ้น กระทบกับท่อนขาของทั้งสองหนุ่มจนพวกเขายืนโงนเงน
ในขณะเดียวกันนั้น น้ำตวัดแขนขึ้นโอบไหล่คนตรงหน้า ทว่าแรงบดเบียดจากอีกฝ่ายทำให้เขาต้องถอยหลังไปเล็กน้อย ประกอบกับแรงกระแทกของคลื่นส่งผลให้พวกเขาเสียการทรงตัว ชายหนุ่มใช้โอกาสนั้นทำเป็นล้มลงแล้วฉุดรุ่นน้องลงมาพร้อมกันด้วย
เมฆเบิกตาโพลง “อะ! พี่น้ำ!”
ซ่า!
เด็กหนุ่มล้มลงทาบทับรุ่นพี่ ก่อนจะใช้สองมือยันตัวเองขึ้น ใบหน้าเขาอยู่ห่างจากอีกฝ่ายเพียงแค่ปลายนิ้วกั้น “อ๊า ขอโทษครับพี่น้ำ! เจ็บตรงไหนรึเปล่าครับ!”
น้ำสะบัดหน้าไปมาให้หยดน้ำร่วงหล่นลงจากศีรษะ เขาหัวเราะเบาๆ พลางยกกล่องในมือขึ้นดู “ดีนะที่เกียร์อยู่ในกล่องเนี่ย”
“แต่พี่น้ำเปียกหมดเลย”
“เมฆก็เปียกเหมือนกัน”
รุ่นพี่ฉุดแขนให้เด็กหนุ่มนั่งลงข้างๆ กัน แล้วเก็บกล่องใส่เกียร์ไว้ในกระเป๋าเสื้อ “ไหนๆ ก็เปียกแล้ว”
เมฆขยับไปนั่งลงข้างชายหนุ่ม เขายกมือขึ้นเสยผมรัวๆ “น้ำเค็มชะมัดเลย”
“นึกถึงวันแรกที่รับน้อง เมฆก็เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแบบนี้เลยนะ”
“เพราะใครล่ะครับ” เด็กหนุ่มหัวเราะ ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อรุ่นพี่ขยับเข้ามาใกล้ จนปลายจมูกของทั้งสองสัมผัสกัน
น้ำวางมือข้างหนึ่งลงบนหน้าขาอีกฝ่าย ริมฝีปากคลอเคลียอยู่บนกลีบปากที่เผยอค้าง “ต่อจากเมื่อกี้ได้มั้ย” เขายกมืออีกข้างขึ้นวางประกบแก้มเด็กหนุ่มพร้อมกับดันให้หันหน้ามาทางเขา จากนั้นจึงแต้มจูบอย่างแผ่วเบา
เมฆระริกระรี้อยู่ในใจ ถ้าพี่น้ำของเขาจะน่ารักแบบนี้ เขายอมแช่น้ำนานจนไข่เค็มเลยก็ได้ แถมคราวนี้พี่น้ำยังเป็นคนจูบเขาก่อนเสียด้วย เปียกทั้งตัวก็คุ้มล่ะโว้ยงานนี้
ลิ้นอุ่นที่ตวัดไล้ไปมาอย่างนุ่มนวลชวนให้เด็กหนุ่มอ่อนระทวย เขาปิดตาลงแล้วยกแขนขึ้นโอบกอดรุ่นพี่ไว้ ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามที่อีกฝ่ายชักนำ
ชายหนุ่มเคลื่อนฝ่ามือลงมากดคลึงหัวไหล่ ขณะที่ริมฝีปากทั้งสองกระชับเข้าหากันครั้งแล้วครั้งเล่า เวลานี้พวกเขาลืมนึกไปแล้วว่ากำลังนั่งอยู่ที่ไหน
เมฆเอนตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับใช้แขนยันพื้นทรายใต้น้ำไว้ เขาเบี่ยงใบหน้าเล็กน้อยเพื่อให้รับจุมพิตหวานจากรุ่นพี่ได้อย่างสะดวก
ทว่าอะไรๆ ก็ไม่เป็นไปอย่างที่ใจต้องการนัก
ซ่า!
จู่ๆ คลื่นเจ้ากรรมที่ม้วนเป็นวงสูงก็สาดโถมเข้ามาใส่ น้ำหันหลังให้กับเกลียวคลื่นพอดี เขาใช้มือยันพื้นทรายไว้ได้ทัน แต่รุ่นน้องผู้น่าสงสารนี่สิ โดนน้ำทะเลสาดเข้าใส่ใบหน้าอย่างจัง
“แคกๆ”
น้ำยกมือขึ้นประกบใบหน้าเด็กหนุ่ม ใช้นิ้วโป้งเช็ดหยดน้ำออกให้อย่างเบามือ “เข้าตารึเปล่า”
“นิดหน่อยครับ”
ชายหนุ่มลุกขึ้นพร้อมกับฉุดแขนเมฆให้ลุกตาม “ขึ้นกันเถอะ”
เมฆสะบัดหน้าไปมา นึกเสียดายโอกาสสวีตหวานของเขากับรุ่นพี่ พลางหมายมั่นอยู่ในใจว่าคราวหน้าเขาจะชวนอีกฝ่ายไปที่ที่น้ำสงบนิ่งมากกว่านี้
ทั้งสองเดินเปียกม่อล่อกม่อแลกขึ้นไปบนหาด จากนั้นก็ไปหยิบรองเท้าและถุงพลาสติกใส่ของ ก่อนจะพากันเดินกลับไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดทิ้งไว้
เมื่อไปถึงตรงที่มีแสงไฟสว่างพอ น้ำจึงหยิบกล่องใส่เกียร์ขึ้นมาพิจารณาดู “อือ ดีนะน้ำไม่ซึมเข้าไปข้างใน”
“พี่น้ำห่วงตัวเองก่อนเถอะ เปียกแบบนี้เดี๋ยวไม่สบายนะครับ”
“อ่า... แย่จัง ในรถไม่รู้มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนรึเปล่า”
เมฆขมวดคิ้ว “งั้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่หอผมก่อนมั้ย เดี๋ยวเอาเสื้อผ้าผมเปลี่ยนใส่ก่อนก็ได้ ตอนนี้ที่หอไม่ค่อยมีใครอยู่หรอกครับ ส่วนใหญ่ก็ไปงานลอยกระทงกันหมด”
“อืม ก็ดีเหมือนกันนะ”
“งั้นเรารีบไปกัน” เด็กหนุ่มหยิบหมวกกันน็อกมาใส่ให้รุ่นพี่เช่นเคย รีบใส่ให้ตนเอง แล้วก้าวขึ้นไปนั่งคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ไว้
น้ำตามขึ้นไปนั่งพร้อมกับสวมกอดเด็กหนุ่ม เขาซ่อนรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์เอาไว้ภายใต้หมวกกันน็อกที่สวมอยู่
TBC~*
ลงเร็วมาก กี๊ดดด แล้วลงพร้อมยังเบลอตอนจบด้วย (ไปลองอ่านน้องเมฆจีบพี่นภได้นะคะ 55555 ไอ้เด็กร้ายกาจ!)
ฮัสกี้เอาตอนลอยกระทงแบบหวานๆ น้ำทะเลจืดมาฝากทุกคนแล้ว ก็ขอฝากทุกคนเฝ้ากระทู้นี้ไปอีกสองอาทิตย์ด้วยน้า T_T
ฮัสกี้จะลาพักร้อนค่า ไปเที่ยวยาวๆ แล้วจะกลับมาอัพต่อแบบถี่ๆ นะค้า แฮ่....
ขอบคุณทุกคนมากค่า รักนะจุ๊บๆ