#14 (30%)
“ทำไมอินได้มาติวกับเล”
“เขาขอมาเอง”
“แล้วฮิมก็ให้” หลังจากหลับไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อาบน้ำ ผมเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการไปออกกำลังกายกับพ่อ และถามเรื่องราวของอินหลังจากอาบน้ำเสร็จ ขณะกำลังนั่งกินข้าวเช้า
นัยน์ตาคมละจากหนังสือธุรกิจตรงหน้า ฮิมตอบ “เพราะเป็นสายรหัส”
“ทำไมพ่อต้องมาใจดีตอนนี้ด้วย” ผมบ่นพึมพำเบาๆ คนเดียวก่อนจะตั้งใจหั่นสเต็กตรงหน้าแรงๆ แล้วจิ้มเข้าปากเป็นการประชด ฮิมไม่ได้ใจร้ายหรอก แค่ผมไม่เคยเห็นเขาให้ใครเข้าใกล้ขนาดนี้นอกเสียจากพี่ๆ และ…อิน
เคร้ง!
“เลอิ่มแล้ว” ผมปล่อยมีดและส้อมในมือลง ในขณะที่สเต็กยังพร่องไม่ได้ถึงครึ่งจนพี่รพที่กำลังย่างให้คนอื่นอยู่ต้องชะโงกหน้าเข้ามามอง ร่างสูงออกจากห้องครัวเดินมาหาผมพร้อมกับบ่นพึมพำ
“ฝีมือกูตกเหรอ” พี่รพถาม ปกติผมกินข้าวเช้าหมดเกือบทุกครั้งที่เขาทำ มือหนาจับส้อมที่ผมวางลงแล้วจิ้มเนื้อวัวชั้นดีชิ้นเล็กๆ ที่หั่นเอาไว้แล้วเข้าปาก เคี้ยวหมับๆ พร้อมกันหันมามองหน้าผม เขาออกคำสั่ง “กินให้หมด”
“แต่เลอิ่มแล้ว”
“กูบอกให้กินให้หมด!”
“ฮือ ก็ได้” ผมจำใจรับส้อมจากพี่รพก่อนจะจิ้มเนื้อวัวเข้าปากอีกครั้ง คิดว่าช่วงนี้พี่รพใจดีขึ้นแต่สงสัยจะได้แค่คิด ผมกินอาหารเช้าด้วยอารมณ์บูดบึ้ง พ่อก็ไม่ช่วย ร่างสูงยังนั่งนิ่งอ่านหนังสือธุรกิจเหมือนเคย
“อีกห้าวันพี่จะได้ไปอังกฤษ” ฮิมเปรย ในขณะที่ผมชะงักแล้วห่อไหล่ลงพร้อมกับพูดเสียงอ่อนกว่าเดิม
“อีกแล้วเหรอ” ผมเบ้ปาก “ทำไมช่วงนี้คุณลุงเรียกให้ฮิมไปอังกฤษถี่จัง”
ปกติเขาก็เทียวไปอังกฤษอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้รู้สึกจะถี่ขึ้น เพราะหนึ่งเดือนก่อนพ่อก็พึ่งไปมา
“พี่จะจบแล้วนะเล” ผมชะงักรอบสอง แล้วหันมามองหน้าเขาตรงๆ
“คุณลุงจะลงจากตำแหน่งแล้วเหรอ” คุณลุงคือคุณพ่อของพี่ฮิมที่ยังคงทำหน้าที่คุมบังเหียนของแฮมินตันคอเปอร์เรชันทั้งหมดอยู่ ถ้าพี่ฮิมใกล้จะเรียนจบ นั่นหมายความว่าคุณลุงอาจจะลงจากตำแหน่งประธานแล้วส่งมันต่อให้ลูกชาย ซึ่งมีอยู่คนเดียวนั่นก็คือพี่ฮิม แต่ผมคิดว่ามันยังเร็วไป
“ยัง” ความคิดผมเป็นอันถูกต้อง “แต่มีหลายเรื่องที่พี่ต้องทำ”
“หือ ?” ผมสงสัยแต่ไม่ได้ถามออกไป หลายเรื่องของฮิมคงจะไม่พ้นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจยิบย่อยซึ่งผมรู้ไปก็ไม่ได้ประโยชน์ ไม่รู้นี่แหละอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ
“เล”
“จ๋า”
“วันนี้ติวนะ”
“ฮือ”
13.04 น.
“ถ้าคนดีแทนตัวนี้ลงไป มันจะใช้สูตรนี้ไม่ได้…”
“…”
“เลฟังพี่อยู่หรือเปล่า”
ไม่
ผมกำลังใจจดใจจ่อกับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกเรา วันนี้ผมมานั่งกับฮิมแล้วให้อินนั่งคนเดียว แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยี่หระกับการจัดที่นั่งของผมด้วยซ้ำ เพราะอินแทบไม่ได้สนใจการติว คนตรงข้ามเอาแต่ขมวดคิ้วมองดูโทรศัพท์อย่างเดียว
“เล” เสียงฮิมกระตุ้นในผมต้องเลิกสนใจอิน แล้วหันมาสนใจเขาแทน “น้องอย่าเหม่อสิ”
“เลเหนื่อย” ผมโกหกออกไป
“งั้นพักก่อน”
ขวับ
ทันที่ฮิมบอกแบบนั้น อินก็ลุกขึ้นจากที่นั่งทันที ผมมองแผ่นหลังบางก่อนจะลุกขึ้นตาม “เลไปเข้าห้องน้ำนะ”
พ่อไม่ตอบ แต่ผมถือว่าเขาอนุญาตแล้ว
ผมเดินตามอินมาเรื่อยๆ จนถึงห้องน้ำ และในตอนนี้อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะยังไม่รู้ว่าผมเดินตามมา เขายังก้มหน้าก้มตามองโทรศัพท์จนกระทั่งผมกอดอกยืนพิงขอบประตูมองคนที่ยืนอยู่หน้ากระจก เป็นจังหวะเดียวกันที่ใบหน้าหวานเงยขึ้นจากหน้าจอ อินเหมือนจะตกใจนิดหน่อยที่เห็นผม เขาเลิกคิ้วขึ้น
“เลมีอะไรหรือเปล่า”
“มาทำไม”
“หือ ?”
“มาแล้วเล่นแต่โทรศัพท์จะมาทำไม”
“ก็เราไม่อยากกวน”
“ไม่ใช่” ผมส่ายหน้า “ไม่กวนคือแบบเมื่อวาน อยู่เฉยๆ แต่วันนี้ไม่…”
คนตรงข้ามชะงักกับคำพูดของผม แต่จู่ๆ รอยยิ้มก็เกิดขึ้นที่มุมปาก มือบางหยิบโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะชูมือที่ว่างเปล่าทั้งสองข้างให้ผมดู “เราไม่เล่นแล้ว”
ผมยักไหล่ก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ รับรู้ได้เลยว่าอินเดินมาตามหลังและทันทีที่นั่งลง เสียงหวานก็ถามขึ้น
“เลเป็นห่วงเราเหรอ” เหมือนอินจะคิดไปเอง “กลัวเราไม่เข้าใจใช่ไหมละ ดีใจจัง”
ผมไม่ตอบและบอกให้พี่ฮิมรีบสอนต่อ ว่าแต่… มือหนาเอื้อมมาโอบไหล่ผมตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ?
หลายวันต่อมา
ช่วงนี้ผมเรียน ติวสลับกับไปซ้อมหลีด ตารางชีวิตมักจะเป็น เรียน ติว ซ้อมหลีด ไม่ก็ เรียน ซ้อมหลีด และไปติว แต่ส่วนมากจะเป็นอย่างแรกมากกว่าอย่างหลัง เพราะพี่นนท์นี่มักนัดซ้อมหลีดตอนค่ำๆ แน่นอนว่าช่วงนี้ผมเริ่มไปไหนมาไหนกับอินกว่าแต่ก่อน คณะก็คณะเดียวกัน มาติวก็ที่เดียวกัน เป็นหลีดก็เป็นหลีดเหมือนกัน ถ้าจะให้ลดโลกร้อนหน่อยนี่ผมสามารถไปไหนมาไหนกับอินได้เลย แต่ดูเหมือนว่าช่วงนี้ฮิมก็ขยันรับส่งผิดปกติ แต่ก็ดีแล้วถึงแม้ว่าผมไปกับอินบ่อยขึ้น เพราะจะมีบ้างบางครั้งที่ฮิมไปส่งไม่ได้ แต่ใช่ว่าผมจะชอบเขามากขึ้น ผมยังรู้สึกเหมือนๆ เดิม คือหมั่นไส้ ไม่ค่อยชอบ เห็นหน้าแล้วยังรู้สึกหงุดหงิด
วันนี้พ่อขึ้นเครื่องไปอังกฤษตั้งแต่เช้า คาดว่าจะกลับมาอาทิตย์หน้า ในระหว่างนั้นผู้ปกครองระยะสั้นของผมจึงกลายเป็นพี่วิน
“เสร็จกี่โมง”
“สามทุ่ม”
“ช้า กูให้มึงได้แค่สองทุ่ม”
“พี่วินอ่า” ผมงอแงใส่ ยิ่งวันนี้พี่นนท์นี่บอกว่าจะมีรุ่นพี่ปีสี่ที่เคยเป็นหลีดมาแนะนำด้วย
“เลอย่าโกหก กูรู้ว่าตอนพ่อมึงมารับ มึงก็เลิกสองทุ่มนั่นแหละ”
“ก็ได้” ผมเบ้ปาก ก่อนจะหันหน้าหนีคนขับแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง
“อย่างอน” เสียงทุ้มว่า “กูไม่ง้อ”
“เออ ไม่ต้องง้อ—”
โป๊ก!
“โอ๊ย!” ยังไม่ทันขาดคำ กำปั้นใหญ่ๆ ก็เขกลงมาที่หัวของผมทันที “เลเจ็บ”
“อย่าประชด”
“พี่วินให้เลทำอะไรได้บ้างล่ะ!”
“กูให้มึงไปซ้อมหลีดถึงสองทุ่มแค่นั่นแหละ ถึงแล้ว” ผมเบ้ปากมองสถานที่นอกหน้าต่างรถ
“ให้แค่สองทุ่มจริงเหรอ”
“ลงไป”
ก็ได้!!
ปัง!
ผมเดินลงจากรถพร้อมทั้งตั้งใจปิดประตูแรงๆ จนคนแถวนั้นมอง พอรู้สึกว่าเสียงดังเกินไปผมเลยรีบวิ่งไปหาพี่นนท์นี่ที่กวักมือเรียกอยู่ใต้ตึก
“หน้างอเชียวลูก เป็นอะไรฮึ ?”
“พี่นนท์นี่ เลซ้อมได้ถึงสองทุ่มนะ”
“ไม่เป็นไร พี่ไม่ซีเรียส”
“เลอยากซ้อมถึงสามทุ่มแต่พี่วินไม่ยอม” ผมถอนหายใจ แล้วพึ่งสังเกต “คนอื่นหายไปไหนหมดครับ”
ผมไม่ได้มาช้า แต่ปกติจะมีพวกพี่ๆ มาเตรียมการก่อนแต่วันนี้ไม่เห็น
“ตากแอร์อยู่ในห้องเรียนนู้น พวกพี่พึ่งขออาจารย์เปิดห้อง วันนี้เราจะมาทวนเรื่องทั้งหมดก่อนแล้วค่อยซ้อม พี่มารอเล น้องเลไม่รับโทรศัพท์พี่เลย”
ผมเบิกตากว้างก่อนจะรีบคว้าโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดู พบว่าไม่ได้รับเสียพี่นนท์นี่เกือบสิบสาย “เลขอโทษ”
“ไม่เป็นไรเล ไม่ต้องจริงจัง ขึ้นไปนั่งกับเพื่อนดีกว่าอยู่นี่มันร้อน” ผมพยักหน้าแล้วเดินตามพี่นนท์นี่ขึ้นไปยังชั้นสองของตึก สู่ห้องๆ หนึ่งที่ผมไม่เคยมานั่งเรียน ภายในห้องมีเพื่อนๆ ที่เป็นหลีดเหมือนกันเยอะอยู่พอสมควร ผมเดินไปนั่งกับพวกเพื่อนๆ คุยกันสัพเพเหระจนกระทั่งพี่นนท์นี่เดินมาตรงใจกลางห้อง เสียงคุยจึงได้เงียบลงอัตโนมัติ
“วันนี้พี่บอกแล้วใช่ไหมคะว่าจะมีรุ่นพี่ที่เคยมาหลีดมาให้คำแนะนำกับพวกเรา ดังนั้นตอนนี้ขอเชิญพบกับ พี่ปริม อดีตหัวหน้าคณะเชียร์หลีดเดอร์ ปีสี่วิศวะค่า”
(30%)
อัพช้าแล้วยังอัพไม่เต็มอี นังเฬววววววว5555555 อยากด่าฉันสินะฉันรู้ใจเธอดี~
จำปริมได้ไหมจ๊ะ ? น้องปริมปีสี่จะมาแล่วเด้
#วิศวะแดนแฟนมีเกียร์
twitter @_mdreds