-4-
“ทำไรอะพี่กีล์”
ผมสะดุ้งเฮือก รีบเก็บดอกไม้ที่นั่งหมุนเล่นในมือใส่กระเป๋าเสื้ออย่างรวดเร็ว
“ไม่ได้ทำไร”ผมรีบปฏิเสธ ถึงคนถามจะทำหน้าเหมือนไม่เชื่อก็เมินไว้ก่อนก็แล้วกัน “พร้อมยังเอส”
เอสเป็นตัวแทนเดือนคณะวิศวะปีนี้ที่ผมเพิ่งจะเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรก พอพวกปีหนึ่งเอาป้ายออกกันหมดทุกคนแล้วนอกจากโซโล่ผมก็จำไม่ได้เลยว่าคนไหนเป็นใครหรือมาจากคณะอะไร
“พร้อมแล้วพี่ แต่ตื่นเต้นนิดหน่อย”
ตื่นเต้นนิดหน่อย…แต่ปากนี่ซีดเชียว แถมไอ้อาการกัดฟันกึกๆนั่นมันอะไรกัน
ผมเลิกสนใจเอสที่กำลังอยู่ในโลกส่วนตัว แล้วมองไปรอบห้องเล็กๆที่ดูกว้างขวางเพราะไม่มีอุปกรณ์อะไรอยู่เลยสักอย่างแทน
ห้องเล็กๆในหอประชุมมีแยกย่อยอยู่หลายห้อง ซึ่งตอนนี้ถูกเนรมิตให้เป็นห้องเตรียมตัวของแต่ละคณะ ดีที่หน้าห้องมีชื่อคณะเขียนไว้ผมเลยไม่ต้องเสียเวลาเดินหามากนัก เข้ามาไม่ทันไรก็โดนเดือนวิศวะปีสองวานให้มาอยู่เป็นเพื่อนเอสแทน ส่วนคนวานหายตัวไปแล้วเรียบร้อย
นี่ก็เกือบจะได้เวลาเริ่มงานแล้ว ไอ้เรย์มันขอบคุณผมกับโซโล่ยกใหญ่ แต่สุดท้ายก็ลากผมไปช่วยติดสัญลักษณ์ที่ดอกไม้จนเสร็จ ส่วนโซโล่…รายนั้นลงจากรถปุ๊บก็มีคนมาลากไปเตรียมตัวปั๊บ ผมที่ว่างไม่มีอะไรทำเลยอาสาจะช่วยขายดอกไม้ แต่เรย์มันบอกว่าผมจะไปทำบูธมันล่มมากกว่า และนั่นเป็นวินาทีแรกที่ผมนึกได้ว่าตัวเองเคยเป็นเดือนมหา’ลัยมาก่อน แล้วงานนี้ก็มีคนเข้าร่วมทุกชั้นปี คงต้องมีคนที่รู้จักหรือติดตามผมอยู่บ้าง มันก็สามปีแล้วนี่นะจากวันนั้นที่ได้ตำแหน่งมาแบบงงๆ
“พี่กีล์”
“หืม”
“ตอนพี่ขึ้นเวทีพี่ตื่นเต้นปะ”
ผมมองเอสขำๆเพราะมันแลดูเป็นเด็กที่อารมณ์ดี พูดมากอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนี้มันกำลังนั่งกอดเข่ากัดนิ้วตัวเองทำหน้าจิตตกอยู่ข้างๆผม
“ตื่นเต้นนะ แต่ก็ต้องทำอยู่ดี ไม่ต้องคิดมากหรอก…ถึงเวลามันก็ไหลไปตามน้ำเองนั่นล่ะ”ผมไม่ได้โกหกเพราะมันต้องทำจริงๆ แต่ตอนนั้นผมตื่นเต้นจนเกือบจะเดินสะดุดเวที ดีที่ทรงตัวไว้ได้ แถมตอนร้องเพลงก็ร้องเพี้ยนไปตั้งหลายจุด ที่บอกว่าได้ตำแหน่งมาแบบงงๆ มันไม่ใช่การถ่อมตัวแต่คือความจริงล้วนๆเลยต่างหาก
“เอาจริงๆนะ ผมว่าไม่ต้องขึ้นเวทีก็รู้ผลแล้วล่ะ”เอสว่าก่อนจะหันไปหยิบกีตาร์ข้างๆมาดีด เห็นบอกว่าเป็นโชว์ที่มั่นใจมากแล้วทำไมถึงมานั่งห่อเหี่ยวแบบนี้ได้ล่ะเนี่ย
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ”
“ตอนแรกผมก็มั่นใจอะพี่ ผมไล่ถามเกือบทุกคณะแล้วสรุปว่าไม่มีคนโชว์กีตาร์เลย ทีนี้ตอนซ้อมเดินรวมเมื่อวานผมได้ยินเจไดเดือนแพทย์มันบอกว่าเดือนดุริยางค์ปีนี้เอกกีตาร์…”
“เขาอาจจะไม่ได้โชว์กีตาร์ก็ได้มั้ง”จะว่าไปผมก็ไม่เคยถามเจ้าตัวเลยสักครั้งว่าจะโชว์อะไร เพิ่งมารู้ก็ตอนเอสพูดนี่ล่ะว่าเจ้าฮัสกี้นั่นเรียนเอกกีตาร์ พวกเด็กดุริยางค์ส่วนใหญ่จะเป็นพวกมีความสามารถอยู่แล้ว เพราะเป็นคณะที่สอบโดยการใช้ความสามารถพิเศษเลยมีจำนวนคนน้อยยิ่งกว่าน้อย แต่ก็เป็นคณะที่สร้างชื่อเสียงให้มหา’ลัยแทบทุกปี
“ตอนแรกผมก็คิดแบบพี่…”เอสวางกีตาร์ก่อนจะเบะปาก “ผมเลยเดินไปถามตรงๆเลย และคำตอบที่ได้คือการพยักหน้า”
“เอาน่า…เราอาจจะทำได้ดีกว่าก็ได้ มั่นใจในตัวเองหน่อย”ผมตบบ่าน้องเบาๆเป็นการให้กำลังใจ
“โหพี่…ไม่ใช่แค่นั้นนะ โซโล่มันมีชื่อเสียงมาตั้งแต่วันรายงานตัวแล้ว วันนั้นผมก็เจอมัน…ออร่าแม่งกระจายมากอะ ออร่ามืดนะไม่ใช่ออร่าสดใสแบบผม…ไม่รู้ทำไมคนถึงกรี๊ดมันนัก”
เพราะหล่อไง…
ได้แต่คิดในใจไม่ได้พูดไปเพราะเดี๋ยวมันจะหมดกำลังใจไปมากกว่านี้
“เอสฟัง”ผมหันไปหาน้อง จับบ่าไว้ทั้งสองข้าง “ซ้อมแล้วก็ทำให้ดีที่สุด จะแพ้ชนะพวกพี่ก็ภูมิใจ แต่ถ้ามาหมดกำลังใจแบบนี้พวกพี่ที่ช่วยซ้อมเรามารวมถึงตัวเองจะเหนื่อยฟรี เข้าใจไหม”
เอสนิ่งไปสักพักก่อนจะพยักหน้า ผมเลยยิ้มกลับไปให้
“พี่กีล์…ถอยไปห่างๆผมเลยนะพี่”เอสถอยหลังไปจนติดขอบโต๊ะแล้วเอามือปิดตา
“…”
“ยิ้มทีออร่ากลบผมหมดแล้วเนี่ย”
ผมกำลังเครียด ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงมายืนอยู่ตรงนี้ได้…
นอกจากผู้คนจะเต็มอัฒจรรย์ของหอประชุมใหญ่แล้ว ที่พื้นด้านหน้าเวทียังมีกลุ่มคนที่มาจับจองที่อยู่กันจนเต็มพื้นที่ไปหมด ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดูคอนเสิร์ตอะไรสักอย่าง เพียงแต่ผู้ชมเป็นคนจากทั้งมหา’ลัยก็เท่านั้นเอง ส่วนที่ที่ผมยืนอยู่คือบริเวณด้านหน้าเวทีซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับสตาฟ มีแค่รั้วเหล็กหน้าตาอ่อนแอที่กั้นระหว่างผมกับคนดูเอาไว้
ผมถูกไอ้เรย์ลากออกมาจากห้องเมื่อยี่สิบนาทีก่อน มันเอาป้ายสตาฟห้อยคอผม บังคับให้ใส่หมวกกับเสื้อคลุมสีดำก่อนจะดึงฮู้ดขึ้นมาปิดหัวให้เสร็จสรรพ จากนั้นก็ดันมาอยู่หน้าเวที เสร็จแล้วก็บอกให้ดูความเรียบร้อยตรงนี้ก่อนจะวิ่งหายไป แต่ที่งงมากกว่านั้นคือทำไมสตาฟหน้าเวทีถึงมีผมยืนอยู่คนเดียว
“สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งานเปิดภาคปีการศึกษาใหม่นะคะ ดิฉัน….” เสียงที่ดังไปทั่วหอประชุมทำให้ผมรู้สึกตัวและหันไปให้ความสนใจกับบนเวทีที่มีพิธีกรเดินออกมาสองคน
“ครับ สำหรับงานปีนี้ก็เป็นเช่นทุกๆปีที่ผ่านมา อย่างที่ทราบกันว่าหอประชุมของเราสามารถจุคนได้มากมาย เลยมีการนำงานFreshmen มาผนวกรวมกับงานเปิดภาคเรียนใหม่เพื่อให้ทุกๆชั้นปีสามารถเข้าร่วมได้ โดยนอกจากจะมีการประกวดดาวเดือนแล้ว เรายังมีการจัดคอนเสิร์ตให้ความบันเทิงกับทุกท่านจนจบงานอีกด้วย”
“และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปมากกว่านี้ ขอเชิญทุกท่านพบกับผู้เข้าประกวดจากทุกคณะกันได้เลยค่ะ!”
หลังจากจบคำของพิธีกรก็มีเพลงดังขึ้นเบาๆพร้อมกับที่ดาวเดือนแต่ละคณะในชุดนักศึกษาเรียบร้อยเดินออกมาทีละคู่ นี่คือการเดินที่พวกเขาซ้อมกันมาหลายวัน ทุกคนดูยิ้มแย้มสดใส คณะวิศวะของผมจับฉลากได้เป็นลำดับที่สามตามที่เอสบอก น้องคณะทั้งสองคนของผมทำได้ดี ไม่มีความกังวลฉายออกมาทางสีหน้า
“และสุดท้ายตัวแทนจากดุริยางคศิลป์…ดาว ธิชาดา รุ่งโรจน์กิจ และเดือน โซโล่ ศิวโลคินทร์”
ผมไม่ได้สนใจเสียงกรีดร้องที่ดูจะดังขึ้นหลายระดับ สายตามองขึ้นไปยังเวทีที่มีคนตัวสูงใส่ชุดนิสิตเรียบร้อยกำลังเดินมา
โซโล่ก็ยังเป็นโซโล่ ถึงจะเซตผมและแต่งตัวเรียบร้อยตามแบบฉบับนักศึกษาที่ดี แต่ใบหน้าที่ถูกแต่งเล็กน้อยให้ดูคมขึ้นก็ยังคงนิ่งเฉยเหมือนเคย ไม่ได้ยิ้มแย้มเหมือนคนอื่น ไม่ได้เดินกวาดสายตาเพื่อเรียกคะแนนจากใครๆ แค่เดินตรงไปเรื่อยๆเท่านั้น ผมแปลกใจไม่น้อยที่ไม่มีใครสั่งให้เจ้าตัวถอดต่างหูที่ใส่อยู่หลายรูออก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าเขาดูดีสุดๆกับลุคแบบนั้น
ตอนที่มาถึงหน้าเวที ตาคมนั่นกวาดไปทั่วหอประชุมรอบหนึ่งก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ผม ผมไม่แน่ใจว่าแสงจากบนเวทีทำให้เขาเห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้หมวกกับฮู้ดของผมหรือเปล่า แต่ถึงจะเห็นหรือไม่เห็น ผมก็ยังส่งยิ้มไปให้เขาอยู่ดี
และวินาทีที่ริมฝีปากได้รูปนั่นขยับนิดๆขึ้นเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก เท่านั้นล่ะเสียงกรีดร้องดังลั่นหอประชุมในทันที
ตัวแทนทุกคณะเดินโชว์อีกนิดหน่อยก่อนกลับเข้าไปเพื่อเตรียมตัวแสดงความสามารถพิเศษเรียกคะแนน ก่อนจะเดินลงจากเวทีโซโล่หันมามองผมอีกครั้ง…หรือถ้าบอกว่าทุกวินาทีที่อยู่บนเวทีเขาไม่ได้ละสายตาไปจากผมเลยน่าจะถูกกว่า
และผมเองก็ไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้เช่นกัน
ดาวคณะผมออกมาแสดงคู่กันกับเดือนอย่างเอส คนหนึ่งร้องอีกคนหนึ่งเล่นกีตาร์ เป็นการแสดงที่สมบูรณ์แบบเรียกเสียงตอบรับไปได้ไม่น้อย น้องทั้งคู่ดูพยายามและตั้งใจถึงจะเกร็งๆไปบ้างแต่ก็ทำออกมาได้ดี
การแสดงที่นี่ค่อนข้างมีอิสระ จะเป็นคู่ดาวเดือนหรือแยกกันก็ไม่มีปัญหา เรื่องเวลาไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะยังไงก็เลิกดึกทุกปี ใครอยากกลับตอนไหนก็ไม่ได้บังคับ แต่ผมเพิ่งมีโอกาสมางานนี้เป็นครั้งที่สองเพราะปีก่อนๆต้องทำงานอยู่ตลอด ครั้งแรกและครั้งเดียวที่เคยมาก็คือตอนปีหนึ่งที่มาประกวด
ถ้าดูจากเสียงกรีดร้องแล้วเดือนคณะแพทย์ที่แสดงเป็นลำดับท้ายๆแลดูจะกินคะแนนไปมากจากการเต้นแล้วฉีกเสื้อโชว์ซิกแพคของเจ้าตัว
ผมเพิ่งรู้ว่าพวกหมอเองก็มีมุมแบบนี้ด้วย…
“จบไปแล้วนะคะสำหรับการแสดงการร้องเพลงของดาวดุริยางค์ มาถึงลำดับสุดท้ายก่อนที่เราจะคัดผู้เข้ารอบเพื่อตอบคำถามกันแล้ว ขอเสียงปรบมือต้อนรับเดือนดุริยางค์ด้วยค่ะ!”
ทันทีที่จบคำของพิธีกร แสงไฟที่มีอยู่แค่บริเวณเวทีก็ดับลงจนหอประชุมมืดไปหมด แต่ผมมองเห็นคนวิ่งไปวิ่งมาเพื่อจัดเวทีอย่างชัดเจน และเมื่อแสงไฟสว่างขึ้นโดยโฟกัสแค่จุดเดียวบนเวทีคือจุดที่มีเก้าอี้กับไมค์ตั้งอยู่ ก็มีผู้ชายที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงสีดำนั่งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับกีตาร์ของเขาแล้ว
ตอนที่เสียงกีตาร์โปร่งดังขึ้นเป็นจังหวะ ผมรู้สึกเหมือนใจเต้นรัวจนต้องยกมือขึ้นมากุมอกเอาไว้ โซโล่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองอะไร เขามองแต่กีตาร์ที่กำลังดีด แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีเสียงร้องหลุดออกมา
หรือเขาแค่โชว์เล่นกีตาร์?
“จนวันหนึ่งบังเอิญมาเจอได้พบเธอ ก็ใจชื้น…”
ผมหันหลังไปมองเสียงร้องที่ดังขึ้นใกล้ๆซึ่งมันไม่ได้มาจากคนบนเวที แต่มาจากเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนเกาะรั้วอยู่ข้างหลังผม เสียงร้องน่าฟังนั่นร้องตามจังหวะกีตาร์ที่โซโล่ดีด และมันก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆจากคนที่เริ่มร้องตามๆกัน
“เธอคือหัวใจ เธอคือทุกคำตอบ
เธอคือคนสุดท้าย ที่ใจฉันต้องการ
เธอคือทุกสิ่ง และเธอคือทุกๆ อย่าง
และที่สุดวันนี้ ฉันเจอเธอแล้ว”
ผมไม่รู้ว่าโซโล่ตั้งใจหรือเปล่า แต่เขากำลังทำให้เสียงคนทั้งหอประชุมรวมกันเป็นเสียงเดียว และมันดังกระหึ่มกว่าการร้องออกไมค์เสียอีก
“จนวันหนึ่งบังเอิญมาเจอได้พบเธอ ก็ใจชื้น
เธอคือดาวประกายที่เจอในค่ำคืน ที่เงียบเหงา
เธอมีคำบางคำที่ทำให้ภาพเก่า ที่คอยหลอนหัวใจ
สลายหายไป”
ตลอดเวลาทั้งเพลงโซโล่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาแม้แต่นิดเดียว เขาเพียงดีดกีตาร์ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ร้องไม่ได้มองอะไรทั้งนั้น
“เธอคือหัวใจ เธอคือทุกคำตอบ
เธอคือคนสุดท้าย ที่ใจฉันต้องการ
เธอคือทุกสิ่ง และเธอคือทุกๆ อย่าง
และที่สุดวันนี้….”
เสียงกีตาร์ที่หยุดลงทำให้เสียงร้องของคนทั้งหอประชุมเงียบตามไปด้วย ผมมองโซโล่ค่อยๆวางกีตาร์ลงข้างเก้าอี้ด้วยใจที่เต้นกระหน่ำ เขาลุกขึ้นยืนหยิบไมค์แล้วเดินมาหน้าเวที
ดวงตาคู่นั้นมองมาที่ผม…และไม่ยอมละไปไหน
“…ฉันเจอเธอแล้ว”
[เพลงเธอคือ : Mr.Lazy feat.คิว สุวีระ]
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!”
เสียงที่ดังลั่นหอประชุมไม่ได้เขาหูผมแม้แต่น้อย ประโยคที่คนบนเวทีส่งมามันดังลั่นอยู่ในหัวเต็มไปหมด หัวใจเต้นโครมครามจนผมกลัวว่าเขาจะได้ยิน
ผมสบตาเขานิ่งงันโดยที่ไม่สามารถมองไปทางอื่นได้ รู้สึกเหมือนโดนดึงดูดด้วยดวงตาที่เหมือนหลุมดำนั่นเข้าอย่างจัง สุดท้ายก็ทำได้เพียงยกมือขึ้นมาปิดใบหน้าร้อนผ่าวของตัวเองทั้งที่ไม่จำเป็น…เพราะเขาน่าจะเห็นไปแล้วเต็มๆ
โซโล่ยืนอยู่ที่เดิมเมื่อคนอื่นๆเริ่มทยอยขึ้นมาบนเวที ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพิธีกรพูดอะไรหรือตัดใครออกไปแล้วบ้าง รู้แค่ว่าผมยังสบตากับคนๆเดิมตลอดเวลา ในหัวยังคงเป็นประโยคเดิมๆที่ดังก้องจนไม่สามารถคิดเรื่องอื่นได้อีก
ผมโดนดันจนติดรั้วเมื่อเริ่มถึงช่วงให้ดอกกุหลาบสำหรับรางวัลPopular Vote ผมไม่รู้ว่ากว่าคนจำนวนมากจะทยอยมาให้ดอกกุหลาบหมดต้องใช้เวลานานแค่ไหน แต่หลังจากเวลาผ่านไปสักพักสตาฟก็เก็บดอกไม้ไปหลังเวทีเพื่อนับคะแนน ก่อนจะคัดเลือกให้เหลือสามคนเพื่อตอบคำถามแล้วจึงประกาศผลรางวัลทีเดียว
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโซโล่เข้ารอบสามคนสุดท้ายไปแล้ว สติของผมกลับมาตอนที่เขากำลังจะตอบคำถาม
“ความสุขในนิยามของคุณคืออะไร”
โซโล่รับไมค์มาถือไว้ก่อนจะตอบคำถามด้วยคำพูดสั้นๆโดยไม่เสียเวลาคิด
“กีตาร์”
ผมไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงกีตาร์ที่เขาเล่น หรือหมายถึงอะไร แต่สายตาที่จ้องมองมาตลอดเวลามันทำให้ผมส่งยิ้มกลับไปแบบไม่รู้ตัว
“สำหรับรางวัลPopular Vote ได้แก่…”
ผมยืนมองคนที่ยืนหาวอยู่บนเวทีอย่างเพลิดเพลิน ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นบ้างก็เพราะมัวแต่สนุกกับการมองปฏิกิริยาหาวไปทำหน้าเบื่อไปของเจ้าฮัสกี้บนเวทีนี่ล่ะ
“เดือนคณะแพทย์น้องเจไดค่ะ!”เสียงกรีดร้องดังลั่นไปทั่วหอประชุม เมื่อเดือนคณะแพทย์ที่เพิ่งโชว์ฉีกเสื้อไปได้ตำแหน่งไปครอง แถมเขายังเป็นหนึ่งในสามผู้เข้ารอบด้วย
“สุดท้ายแล้วนะคะสำหรับตำแหน่งดาวเดือนมหา’ลัย เรามาเริ่มกันที่ดาวก่อนเลย…”
ผลคะแนนออกมาไม่น่าตกใจเท่าไหร่นัก โดยดาวคณะนิเทศได้อันดับสามไปครอง ส่วนอันดับสองเป็นของคณะบริหาร และอันดับหนึ่งคือดาวคณะแพทย์ที่โดดเด่นมาตั้งแต่แรกและเป็นตัวเก็งมาตลอด
“และสำหรับรางวัลเดือนมหา’ลัย รองชนะเลิศอันดับสองได้แก่…”
ผมมองคนที่เหลืออยู่แค่สามคนบนเวทีแล้วอดขำออกมาเบาๆไม่ได้ เพราะบุคลิกแต่ละคนแตกต่างกันจนเห็นได้ชัด เดือนแพทย์ที่ชื่อเจไดกำลังขยับยิ้มแจกไปทั่ว ส่วนเอสน้องคณะผมกำลังบีบมือตัวเองท่าทางประหม่าอย่างหนัก ขณะที่โซโล่ในชุดสีดำสนิทยืนล้วงกระเป๋าไม่สนใจอะไรแต่สายตากลับจ้องมาที่ผมตลอดเวลา จนกลายเป็นผมต้องหลบสายตาเสียเอง
“เดือนวิศวกรรมศาสตร์น้องเอสครับ!”ผมยิ้มให้เอสตอนที่เราสบตากัน เอสไม่ได้ดูเสียใจที่ได้ตำแหน่งที่สาม กลับกันเจ้าตัวแลดูดีใจสุดๆจนเดินสะดุดเวทีเกือบหน้าคว่ำ เรียกเสียงขำจากทุกคนดังลั่นหอประชุม
“และสำหรับเดือนมหา’ลัยปีนี้ได้แก่…”
ผมกำมือแน่นลุ้นแทนคนที่ยืนนิ่งเป็นตอไม้อยู่บนเวที เสียงของผู้คนทั้งหอประชุมเงียบสนิทจนไม่มีใครกล้าขยับ ทุกคนดูลุ้นไปกับผลคะแนนว่าเดือนแพทย์จะคว้าสองตำแหน่งหรือเปล่า
“เดือนดุริยางคศิลป์น้องโซโล่ครับ!”
ผมไม่รู้ว่าตัวเองยิ้มกว้างแค่ไหนตอนที่หันไปมองหน้าโซโล่ ไม่ได้สนใจเสียงกรีดร้องทั่วหอประชุมหรือเสียงพิธีกรอะไรทั้งนั้น ผมแค่ยิ้มให้เขา ไม่ได้ร้องหรือแสดงท่าทีอะไรออกมา
แต่ผมมั่นใจว่าเขาจะรับรู้ได้ถึงความดีใจของผม…
“พวกเราเป็นตัวแทนจากดุริยางค์จะมามอบความสุขให้ทุกคน เรามาสนุกไปพร้อมๆกันเลย ! ! !”
เสียงจากนักร้องบนเวทีทำให้ผมที่กำลังจะก้าวออกจากหอประชุมต้องหยุดเดินแล้วหันไปมอง เพราะมันเหมือนเสียงคนที่เริ่มร้องเพลงให้โซโล่ตอนที่เขาแสดงมาก และมันก็ใช่คนเดียวกันจริงๆ
ก็ว่าแล้วว่าทำไมถึงร้องเพราะขนาดนั้น เรียนดุริยางค์นี่เอง งั้นก็คงจะรู้จักกับโซโล่
“กีตาร์…”เสียงทุ้มนิ่งคุ้นเคยดังขึ้นชิดใบหู ผมรีบหันไปมองก็เจอเข้ากับใบหน้านิ่งสนิทของคนที่ได้ตำแหน่งเดือนมหา’ลัยมาหมาดๆ
“มาได้ไงครับเนี่ย”ปกติแล้วยังไม่น่าจะว่างออกมานี่นา ผมรีบมองซ้ายมองขวาเพราะกลัวเจ้าตัวโดนรุม ดีที่เราอยู่หลังสุดแถมหอประชุมก็มืดสนิท มีแค่แสงไฟจากตรงเวทีเลยไม่ค่อยเห็นอะไรมากนัก
“หนีมา”
“หนี?”
“ฟังเพลงก่อน” โซโล่ขยับเข้ามายืนชิดผมมากขึ้นก่อนจะก้มลงมากระซิบ “เดี๋ยวค่อยกลับนะ”
ผมพยักหน้าแบบไม่คิดอะไรเพราะเด็กบนเวทีนั่นร้องเพลงเพราะมาก แถมวันนี้ก็ไม่ได้รีบอะไรอยู่แล้ว…อยู่ฟังก็ผ่อนคลายดีเหมือนกัน
โซโล่ไม่ได้ร้องเพลงหรืออะไร เขาแค่ยืนนิ่งๆอยู่ข้างๆผมเท่านั้น ส่วนผมเองถึงจะไม่ได้ฟังเพลงบ่อยนัก แต่ก็พอจะรู้จักอยู่บ้าง เพลงไหนร้องไม่ได้ก็โยกตามจังหวะไปเรื่อยๆ
เพื่อนโซโล่ที่ร้องเพลงอยู่บนเวทีแลดูมีพลังที่น่าเหลือเชื่อมาก เขาร้องเพลงไม่ได้หยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว ไม่มีการพักระหว่างเพลงเพื่อพูดคุยอะไรทั้งนั้น มีแค่เสียงเพลงที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหมือนต้องการให้ทุกคนปลดปล่อยให้เต็มที่ก่อนจะเริ่มปีการศึกษาใหม่
“เพลงสุดท้ายนี้ ผมขอมอบให้ทุกคนที่กำลังพยายามเพื่อความรัก…อย่ายอมแพ้นะครับ และสำหรับคนที่กำลังได้รับความรักอยู่ ผมอยากบอกว่า…”
“อย่าใจแข็งนักเลยครับ”
“มันคงเป็นความรัก ที่ทำให้ตัวฉันยังยืนอยู่ตรงนี้
มันคงเป็นความรัก ที่ทำให้ใจฉันไม่ยอมหยุดเสียที
แม้ว่าเหมือนไม่มีโอกาส แม้ว่าฉันต้องพลาดไปอีกสักที
แต่ว่าความรัก ก็ยังขอให้ฉันทำแบบนี้”
ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ปฏิเสธมือที่ขยับมาเกาะกุมมือตัวเองไว้ และถึงแม้จะไม่ได้หันไปมองแต่ก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังมองมาที่ผม
“ที่จะให้เธอจนกว่าเธอจะรับ
บอกรักเธอจนกว่าเธอนั้นจะยอม
เธอคือความสุขของฉันถ้าเธอไม่รับมัน
ให้ฉันเริ่มต้นอีกกี่ครั้งก็พร้อม
หากสุดท้ายเธอไม่เปลี่ยนใจ
ไม่เป็นไรใจฉันก็ไม่ยอม
ถ้ารอให้ฉันหยุดหัวใจ
คงต้องรอให้โลกหยุดหมุนไปก่อน”
[เพลงมันคงเป็นความรัก : แสตมป์]
ผมไม่ได้สะบัดมือออกเมื่อคนข้างๆจับมือผมแน่นขึ้น และแม้แต่ตอนที่เพลงจบไปแล้วผมก็ยังไม่ได้หันไปมองหน้าเขา…เพราะผมไม่รู้ว่าควรจะทำหน้าแบบไหน
แต่แค่เพียงสัมผัสเบาๆที่ไหล่ก็สามารถทำให้ผมยอมหันไปหาอย่างง่ายดาย มือที่จับไว้บีบเบาๆก่อนเจ้าของมือจะขยับเข้ามาจนติด แล้วโน้มหน้าข้ามไหล่มาจนผมรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่อยู่ข้างหู…
แล้วเสียงทุ้มก็เปล่งเป็นทำนองของเพลงที่เพิ่งจบไปเบาๆ
“จะให้เธอจนกว่าเธอจะรับ
บอกรักเธอจนกว่าเธอนั้นจะยอม
เธอคือความสุขของฉัน ถ้าเธอไม่รับมัน
ให้ฉันเริ่มต้นอีกกี่ครั้งก็พร้อม
หากสุดท้าย เธอไม่เปลี่ยนใจ
ไม่เป็นไรใจฉันก็ไม่ยอม
ถ้ารอให้ฉันหยุดหัวใจ
คงต้องรอให้โลกหยุดหมุนไปก่อน”
----------------------------------------------