-9-
เห็นท่าทางของโซโล่ตอนนี้แล้วผมก็รู้สึกอยากจะเดินกลับไปต่อว่าพวกนั้นอีกสักหน่อย
โซโล่ไม่สบายและกำลังจะไม่ไหว ถึงใบหน้าจะนิ่งขณะที่เราเดินออกมาจากชมรมหลังถ่ายงานเสร็จ แต่ผมสังเกตว่าเขาหายใจหนักกว่าปกติแล้วก็เริ่มเดินช้าลง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมพูดออกมาสักที ดีที่การถ่ายทำผ่านไปได้ด้วยดีและใช้เวลาไม่มากนักมันเลยยังไม่ดึกมาก
ผมดึงแขนอีกคนให้นั่งลงที่โต๊ะหินหน้าตึกดุริยางค์ที่กำลังจะเดินผ่าน เพราะรู้สึกเหมือนเขาเริ่มเดินเอียงๆและขมวดคิ้วน้อยๆ โซโล่จอดรถไว้ที่ลานจอดรถข้างตึก ถือว่าไม่ไกลมากถ้าเทียบกับระยะทางที่เราเดินผ่านมา แต่ผมก็กลัวว่าเขาจะล้มลงไปก่อนที่เราจะเดินไปถึงอยู่ดี
มานึกเสียใจที่ขับรถไม่เป็นเอาก็ตอนนี้
“เป็นไงบ้าง”ผมยกมือแตะหน้าผากคนป่วยแล้วก็พบว่ามันร้อนผ่าว มองซ้ายมองขวาแล้วก็เจอคนผ่านไปผ่านมาไม่มากเท่าไหร่ สงสัยจะกลับบ้านกันไปหมดแล้ว
“กีตาร์…”โซโล่ยกมือจับแขนเสื้อผมไว้แล้วสะบัดหัวเหมือนต้องการเรียกสติ ผมรีบจับหัวเขาไว้ทันทีเพราะมันไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง กลับกันมันจะทำให้ปวดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“ทนได้ไหมครับ กลับห้องแล้วพี่จะหายาให้”ผมจับมือร้อนๆของเขาไว้แล้วบีบเบาๆ นึกตำหนิตัวเองที่ยอมให้เขามาทำงานทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าเขาป่วย หรืออย่างน้อยก็น่าจะบอกให้ลดอุณหภูมิแอร์ในสตูก็ยังดี ไม่น่าโมโหจนลืมเรื่องสุขภาพเลย
“ไอ้โซ!”
ผมหันไปมองตามเสียงอย่างแปลกใจ แล้วก็พบว่าเจ้าของเสียงเรียกกำลังเดินตรงมาทางพวกเรา เขาเป็นเด็กคนเดียวกับที่ยืนร้องเพลงให้โซโล่อยู่ข้างหลังผม แล้วก็เป็นนักร้องบนเวทีในวันนั้นด้วย
“พี่กีล์ดีครับ”น้องยกมือทักทายแล้วส่งยิ้มให้ผม “ผมเก้าเป็นเพื่อนมัน…แล้วนี่มันเป็นไรอะพี่”
เก้านั่งลงข้างโซโล่แล้วใช้นิ้วจิ้มหัวเพื่อนย้ำๆเหมือนจะแกล้ง ส่วนคนโดนแกล้งนี่ก็ทำหน้าตึงแล้วปัดมือเพื่อนออก ท่าทางเหมือนเด็กเล่นกันไม่มีผิด
“โซไม่สบายครับ ไม่รู้จะขับรถกลับไหวไหม พี่ก็ขับไม่เป็นด้วย”ผมก้มลงมองคนที่ทิ้งหัวพิงท้องของผมไว้อย่างเป็นกังวล
คงจะทรงตัวไม่อยู่แล้วแน่ๆถึงได้ทิ้งน้ำหนักมาขนาดนี้
“หึหึ อ้อนเป็นหมาเลยนะมึง…”เก้าว่าพลางเบะปาก ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มเพราะคิดไม่ต่างกันเท่าไหร่ “พี่ไม่ต้องห่วงมันหรอก ผมจะไปกินข้าวกับไอ้เจไดพอดี เดี๋ยวให้มันขับให้”
“ขอบคุณมากครับ…แล้วนี่เรากับเพื่อนอยู่ทำอะไรกัน ป่านนี้แล้วยังไม่กลับบ้านอีก”
“ผมซ้อมดนตรี ส่วนเจไดมันเรียนแพทย์ก็งี้แหละ”
ผมพยักหน้าเข้าใจ ไม่ค่อยรู้จักพวกแพทย์เท่าไหร่ แต่ก็พอเดาได้ว่าต้องเรียนหนักขนาดไหน
“ซ้อมกันหนักเลยนะครับ”
“ช่วงนี้งานเข้าเยอะอะดิพี่…แต่ละคณะเล่นเรียกตัวไปเล่นปิดกิจกรรมรับน้องกันรัวๆ คณะต่อไปก็ต้องไปทะเลด้วย”เก้าว่าแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะหินอย่างเหนื่อยอ่อน “นี่โซโล่มันก็ต้องขึ้นเวทีครั้งแรกที่ทะเลเหมือนกันนะ”
จำได้ว่าอาทิตย์ก่อนโซโล่เคยบอกว่าต้องไปเล่นดนตรีที่ทะเลอยู่เหมือนกัน แต่เขาไม่ได้บอกว่าไปวันไหน
“แล้วพี่ไปปะ”
“ไปไหนครับ?”ผมมองเก้าอย่างงงๆ ซึ่งน้องก็มองกลับมาอย่างงงๆไม่แพ้กัน
“ก็คณะที่ให้พวกผมไปเล่นที่ทะเลมันคณะวิศวะของพี่ไม่ใช่เหรอ”
ผมขมวดคิ้ว พยายามนึกถึงเรื่องรับน้องที่ทะเล สุดท้ายก็เหมือนจะจำได้ลางๆว่าเพื่อนเคยพูดถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ตอนนั้นผมไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่
“พี่ไม่ค่อยได้เข้ากิจกรรมน่ะครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหม”
“แต่ผมว่าพี่ต้องไปแน่ๆ”เก้าฉีกยิ้มแล้วมองไปยังคนที่ซุกหน้าอยู่กับท้องผม ผมมองตามแล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเสียงดัง เมื่อหมาขี้อ้อนเงยหน้ามองผมโดยที่คางยังวางไว้บนหน้าท้องผมเหมือนเดิม ตานี่เป็นประกาบวิบวับสุดๆ ทิ้งมาดคนป่วยไปชั่วขณะเลยทีเดียว
“แล้วนี่เมื่อเช้าโซมีอาการอะไรไหมครับ”ผมแกล้งเมินหน้าอ้อนๆแล้วหันไปถามเก้าแทน
“ก็ฟุบหลับทั้งวันแหละพี่…แล้ววันนี้มันไม่ยอมกินข้าวกลางวันด้วย เพราะต้องทำงานมหา’ลัยเวลาซ้อมเลยน้อย มันเลยแอบซ้อมคนเดียวไม่ยอมไปกินข้าวอยู่บ่อยๆ พี่จัดการมันแทนผมทีนะ”เก้าได้ทียิ้มเยาะเพื่อนตัวเอง ส่วนคนที่ผมคิดว่าหลับไปแล้วก็เอียงหน้าไปมองเพื่อนแล้วขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไร
“โซ…”
“เฮ้ยมึง!”
ผมหยุดคำพูดไว้แล้วหันไปมองต้นเสียง ผู้ชายคนหนึ่งกำลังวิ่งมาทางนี้ พอเข้ามาใกล้ขึ้นแล้วถึงได้เห็นว่าเขาก็คือรองเดือนมหา’ลัยปีนี้ ที่แท้ก็เป็นเพื่อนกันนี่เอง… เจไดทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ข้างโซโล่แล้วหอบอย่างหนัก ท่าทางเหนื่อยสุดๆเหมือนกับเพิ่งวิ่งหนีอะไรสักอย่างมา
“พี่กีล์ดีครับ”
“สวัสดีครับ”
“ทำไรมาวะมึง”เก้าถามคำถามเดียวกันกับที่ผมกำลังสงสัยแล้วส่งน้ำให้เพื่อน
“กูวิ่งหนีรุ่นพี่มาอะดิ พี่แกจะให้กูเป็นแบบวาดภาพให้ให้ได้…เหนื่อยโคตร”เจไดกระดกน้ำก่อนจะพูดต่อ “นี่ตื๊อกูมาสามวันละ จะไม่ว่าสักคำถ้าไม่บอกให้กูเปลือยเนี่ย มึงคิดดูนะ กูเดินออกมาจากตึกจะไปที่รถ พี่แกยืนดักรอกูอยู่ตรงที่มืดๆ โคตรหลอน นี่กว่าจะสลัดหลุดได้…”
“เออดีละ…มึงไปส่งไอ้โซหน่อย ไม่สบายหลับตายไปละมั้ง”เก้าทำหน้าเนือยแล้วพยักพเยิดให้ดูเพื่อนตัวเองที่ยังซุกหัวอยู่ที่ท้องผม
“หือ…”เจไดที่น่าจะเริ่มหายเหนื่อยแล้วเหลือบมองเพื่อนแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะขยับสายตามามองผม “ดีเหมือนกันกูจะได้มีรถขับกลับ…แล้วก็ได้ดูอะไรสนุกๆด้วย”
ผมมองเด็กสองคนยิ้มให้กันอย่างมีความหมายแล้วก็รู้สึกร้อนๆหนาวๆแปลกๆ แต่ก็ทำได้เพียงส่งยิ้มขอบคุณไปให้
เจไดเข้ามาช่วยผมพยุงโซโล่กลับไปที่รถโดยมีเก้าเดินนำหน้าอย่างสบายใจ ผมต้องนั่งด้านหลังกับโซโล่ไปตามระเบียบ เพราะสองเพื่อนซี้เข้าไปจองที่นั่งด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ได้ที่นั่งและปิดประตูแล้วโซโล่ก็เอนหัวมาพิงไหล่ผมแทบจะทันที ส่วนผมก็ได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่างเมื่อเห็นสายตาล้อเลียนจากเพื่อนเขาที่นั่งยิ้มอยู่ด้านหน้า
เราขึ้นมาถึงห้องได้โดยการช่วยเหลือจากเจไดเหมือนเดิม โซโล่ถูกทิ้งไว้หน้าโซฟา ส่วนเพื่อนทั้งคู่ที่บอกว่าจะมาส่งเฉยๆก็นั่งเล่นเกมส์กันอยู่ไม่ไกล พอผมถามพวกเขาก็บอกว่า…
‘มันชอบอวดว่าพี่ทำอาหารอร่อย งั้นขอฝากท้องหน่อยนะครับ’
ผมเลยบอกให้ทั้งคู่ช่วยพาโซโล่เข้าไปนอนในห้อง ตัวเองจะไปจัดการเรื่องอาหารให้ แต่ก็ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าแทน
‘มันไม่ให้ใครเข้าพื้นที่ส่วนตัวของมันหรอกนอกจากพี่’
แม้แต่เพื่อนก็ไม่ให้เข้า…แล้วการที่ผมเข้าออกได้เหมือนเป็นห้องตัวเองนี่มัน…
คิดแล้วหน้าก็ร้อนวูบจนต้องหลบสายตาล้อเลียนของเด็กแสบสองคนโดยการหนีไปทำอาหารแทน
เพราะไม่เหลือข้าวในตู้เย็นแล้วผมเลยต้องจัดการหุงใหม่ หลังจากตั้งเตาทำน้ำแกงทิ้งไว้แล้วก็เดินมาหาคนป่วยที่นอนอยู่ที่โซฟา
“โซครับ”ผมนั่งลงบนโซฟาข้างโซโล่แล้วส่งเสียงเรียก คนที่เอาผ้าห่มคลุมหัวจนมิดค่อยๆโผล่หน้าออกมามองผมตาปรือ
“กีตาร์…”ได้ยินเสียงอ่อยๆน่าสงสารแล้วผมก็รีบจับมือที่ยื่นมาหาไว้
“เข้าไปนอนในห้องนะครับ เดี๋ยวอาหารเสร็จพี่ยกไปให้”
“ไม่เอา”
“ทำไมดื้อ”
“ไม่อยากให้อยู่กับพวกมัน”โซโล่หันไปมองเพื่อนที่นั่งหันหลังให้แล้วพูดออกมาหน้าตาเฉย
“ได้ยินนะมึง!ใช่สิ…อยากอยู่กับพี่เขาสองคน พวกกูมันส่วนเกินนี่”เก้าทำปากยื่นแล้วทำเป็นแสร้งร้องไห้กับเจได
“งี้แหละมึง พอเข้าใกล้พี่เขาได้แล้วเพื่อนอย่างเราก็หมดความหมาย”
“รู้ตัวก็กลับไปซะที”โซโล่ตอกกลับแทบจะทันที
“เสียใจ พวกกูจะกินข้าวฝีมือพี่กีล์ก่อน”ว่าจบเก้ากับเจไดก็หันไปสนใจเกมส์ต่อ ไม่สนใจคนป่วยที่กำลังทำหน้าบึ้งตึงอีก
ผมยกมือที่ว่างบีบจมูกโด่งของคนป่วยเบาๆ แล้วยิ้มกลบเกลื่อนความเขินจากสิ่งที่เขาพูด รู้สึกเหมือนเจ้าหมานี่จะเริ่มพูดตรงเป็นไม้บรรทัดมากขึ้นทุกวัน แล้วก็แสดงออกมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมกลับไม่ได้หนักใจกับมันแม้แต่น้อย กลายเป็นเขินตามไปเสียอีก
“นอนรอก่อนนะ พี่ไปจัดการกับข้าวก่อน”
ผมค่อยๆดึงมือออกจากมือคนป่วยที่ดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อยง่ายๆ สุดท้ายก็กลายเป็นหมาตัวโตลุกตามแรงจูงมือของผมมาด้วย ไล่กลับไปนอนเท่าไหร่ก็ไม่ยอม จนกลายเป็นมานั่งขดตัวอยู่ที่โต๊ะกินข้าวใกล้ๆผมแทน โดยไม่ลืมลากเอาผ้าห่มมาคลุมตัวจนมิดด้วย
ผมเร่งมือทำกับข้าวง่ายๆแล้วตั้งโต๊ะไว้ ก่อนจะหันไปเรียกเด็กสองคนที่เล่นเกมส์อยู่ ซึ่งพวกนั้นก็กระโจนมาหาแทบจะทันที ส่วนของโซโล่ที่เป็นข้าวต้มหมูผมก็บริการตักมาให้เขาแล้วนั่งลงข้างๆ
“กีตาร์…”
ผมมองหมาตัวโตที่ซุกตัวใต้ผ้าห่มโผล่หน้าออกมาอ้อนแล้วก็ได้แต่ยิ้ม มือหยิบชามของเขามาตักป้อนให้โดยไม่พูดอะไร
“เพื่อนกูเป็นง่อยว่ะ”
โซโล่ลอยหน้าลอยตาจ้องหน้าผมแล้วรอกินข้าวอย่างเดียว ไม่หันไปสนใจคำนินทาระยะเผาขนของเพื่อนแม้แต่น้อย กลายเป็นผมที่ต้องนั่งเกร็งแทน
เขินมันก็เขินล่ะนะ แต่ก็ห่วงมากกว่า เพราะดูแล้วถ้าไม่ป้อนก็คงไม่ยอมกินแน่ๆ
ผมสลับป้อนข้าวโซโล่แล้วก็กินของตัวเองไปด้วย จนผมกินหมดแล้วอีกคนก็ยังกินไม่ถึงครึ่ง คงเพราะไม่สบายเลยทานไม่ค่อยลง
“อิ่มแล้ว…”โซโล่ซุกหน้าลงกับผ้าห่ม
“ทานอีกนิดนะครับ ยังไม่ถึงครึ่งเลย”ผมตักข้าวไปจ่อตรงหน้าอีกคนที่เอาแต่ส่ายหัว
“ไม่เอา”
“โซ…”ผมเรียกเสียงอ่อน โซโล่เงยหน้าจากผ้าห่มมามองแต่ก็ยังไม่ยอมกินต่อ “นะครับ”
โซโล่กระพริบตาปริบๆ เบ้ปากหน่อยๆ แต่ก็ยอมกินต่ออีกสองสามคำ ผมส่งชามให้เจไดที่อาสาล้างจานตอบแทนแล้วหันมาเตรียมยาให้คนป่วย
“พี่กีล์ งั้นพวกผมกลับก่อนนะ อาหารอร่อยมาก เอาไว้ผมจะมาฝากท้องอีก”เก้าลูบพุงตัวเองเบาๆแล้วยิ้มอารมณ์ดี ผมเลยยิ้มกลับไปให้น้องแล้วพยักหน้า
“โซโล่ กูยืมรถมึงนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เอามาคืน”เจไดทำท่าจะเดินเข้ามาหยิบกุญแจรถที่อยู่ข้างโซโล่ แต่แล้วก็หยุดเดินแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ “แต่นี่ก็ดึกแล้วว่ะ พวกกูนอนนี่ก็ได้นะ พรุ่งนี้กูค่อยกลับไปเอารถที่มหา…”
“โซ!”ผมหันไปดุคนป่วยที่ยื่นแขนออกมาคว้ากุญแจรถแล้วปาใส่หน้าเพื่อน ยังดีที่เจไดรับได้เลยไม่มีใครเจ็บตัว
“จัดการมันให้ผมด้วยนะพี่”เจไดหัวเราะอารมณ์ดี โบกมือลาอีกทีก่อนจะเดินออกไปพร้อมเก้า
“ทำแบบนี้ไม่ดีนะครับ ถ้าเจไดรับไม่ได้จะทำยังไง”ผมหันมาดุคนที่ขดตัวกลมกับผ้าห่มไม่ยอมลุกอีกครั้ง
“กีตาร์…”โซโล่เรียกเสียงอ่อย ปล่อยผ้าห่มออกจากตัวแล้วยื่นแขนสองข้างมากอดเอวผมที่ยืนอยู่
เจ้าหมานี่…
“ไปนอนนะครับ เดี๋ยวพี่เช็ดตัวให้”สุดท้ายก็แพ้ลูกอ้อนจนต้องพูดเสียงอ่อนใส่จนได้
โซโล่เดินตามผมมาแล้วปีนขึ้นเตียงอย่างว่าง่าย หลังจากถอดเสื้อผ้าอีกคนแล้วเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้แล้วผมก็รีบใส่เสื้อผ้าให้เขาอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่เพราะห่วงคนป่วยหรอก…
จะให้บอกยังไงว่าเขินอยู่เหมือนกันตอนที่เช็ดตัวให้เขา ดีที่เหมือนโซโล่จะหมดแรงไปแล้วเลยไม่เห็นหน้าผมที่ต้องพยายามฝืนให้นิ่งอยู่ตั้งนาน
ผู้ชายกับผู้ชายด้วยกันมันก็คงไม่อะไร แต่นี่มันคนที่พิเศษกว่าคนอื่น…
“กีตาร์…”
ผมลูบหัวคนที่ปรือตามองแล้วยิ้มให้
“ครับ”
“อยากกินนม…”
หลังจากไปเอานมอุ่นมาให้คนป่วยดื่มจนหมดแล้วผมก็เข้าไปอาบน้ำ เพราะดูท่าแล้วเขาคงไม่มีทางปล่อยให้ผมกลับหอตอนนี้แน่ๆ เข้ามาในห้องอีกทีโซโล่ก็หลับตาไปแล้ว แถมยังขยับไปนอนหมอนอีกใบเรียบร้อยเหลือที่ประจำไว้ให้ผมด้วย
ผมเดินไปนั่งพิงหัวเตียงแล้วหันไปสำรวจใบหน้าคนป่วยเงียบๆ มือก็แตะแก้มที่ซีดเซียวเพราะพิษไข้ของเขาด้วยความเป็นห่วง ดีที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุดเลยมีเวลาพักผ่อนได้เต็มที่ ถ้าเป็นวันธรรมดาเขาคงไม่ยอมหยุดเรียนแน่
โซโล่ขยับตัวเข้ามาใกล้กว่าเดิมแล้วใช้แขนกอดเอวผมไว้ทั้งที่ยังหลับตาอยู่
“ยังไม่หลับเหรอครับ”ผมลูบหัวคนที่วันนี้แลดูจะขี้อ้อนเป็นพิเศษแล้วยิ้มบางๆ
“อือ…”เสียงครางอืออาตอบรับแต่ก็ยังไม่ยอมลืมตา
จะว่าไป…
“ยังไม่ได้คุยกันเรื่องที่เราไม่สบายแล้วยังฝืนตัวเองไม่ยอมกินข้าวกินยาเลยนะครับ”ผมพูดดุๆเมื่อนึกถึงเรื่องที่เก้าฟ้อง
“ไว้คุยพรุ่งนี้นะ…”
ได้ยินเสียงอ้อนๆพร้อมกับแรงกอดรัดที่แน่นขึ้นแล้วก็ใจอ่อนจนได้
“ครับ พรุ่งนี้ก็ได้…พี่ไปปิดไฟก่อนนะ”ผมบอกแล้วขยับกายลุกไปปิดไฟ เมื่อโซโล่ยอมปล่อยแขนแล้วถอยไปนอนที่เดิม
หลังจากปิดไฟและเดินกลับมาที่เตียง ผมก็ล้มตัวลงนอนที่ประจำก่อนจะหลับตาลง พยายามอย่างหนักที่จะข่มเสียงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเองเอาไว้ มันแรงและดังมากเสียจนผมกลัวว่าอีกคนจะได้ยิน ไม่ใช่ว่าครั้งก่อนมันไม่ได้เต้นแรงแบบนี้ แค่ครั้งนี้มันแรงเป็นพิเศษ แล้วก็คงต้องโทษตัวต้นเหตุ…
ที่ขยับเข้ามากอดผมไว้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนๆที่ต้นคอ
“ไม่กลัวพี่ติดหวัดเหรอครับ”ผมถามขำๆไม่ได้จริงจังนัก ใช้มือข้างหนึ่งวางทับไว้บนแขนของคนที่กอดเอวผมอยู่
“ไม่เป็นไร…”
“…”
“ถ้าไม่สบายผมจะดูแลเอง”
-----------------------------