-11-
วันจันทร์มาถึงอย่างรวดเร็ว
หลังจากดูแลคนป่วยตั้งแต่วันศุกร์ลากยาวมาจนวันอาทิตย์ ผมเพิ่งจะได้นอนเต็มที่ก็ตอนบ่ายๆของวันอาทิตย์ที่โซโล่ขับรถมาส่ง เจ้าตัวแลดูหายดีแล้วแถมหน้าตายังสดใสจนน่าหมั่นไส้ ในขณะเดียวกันผมที่ไม่ได้เป็นอะไรแถมยังไม่ได้ติดหวัดกลับหน้าตาซีดเซียวเพราะอดหลับอดนอน….
หลังจาก ‘เหตุการณ์นั้น’ โซโล่ก็ฟุบหลับไปแทบจะทันที ทิ้งผมให้นั่งเอ๋ออยู่คนเดียว เกิดมาไม่เคยรู้สึกอยากเอาหัวโขกโต๊ะขนาดนี้มาก่อน และผมก็รู้ดีด้วยว่าอาการแบบนี้มันคืออะไร
มันคืออาการของคนที่กำลังเขิน…แต่ดูเหมือนจะเขินยาวไปหน่อยถึงได้ลากยาวมายันเช้าจนไม่ได้นอนเลย
ต่อให้โดนเจ้าหมานั่นอ้อนแล้วอ้อนอีกยังไงก็ไม่เคยออกอาการมากขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดว่าถ้าไม่มีนิ้วอีกคนกั้นไว้จะเกิดอะไรขึ้น และที่สำคัญที่สุด…ผมไม่คิดจะปฏิเสธสัมผัสพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ
แล้วนี่มานั่งคิดอะไรอยู่เนี่ย…
หลังจากสะบัดหัวแล้วสะบัดหัวอีก ฟุบหน้าแล้วฟุบหน้าอีก ใบหน้าของคนที่ค้างอยู่ในความทรงจำก็ยังไม่หายไปเสียที รู้สึกเหมือนตัวเองอาการหนักขึ้นทุกวัน…
“อาการแบบนี้…คิดถึงใครอยู่สินะครับคุณกีล์”น้ำเสียงยียวนกวนส้นเท้าดังขึ้นจากด้านหน้า ทำให้ผมจำเป็นต้องยกหัวขึ้นมอง แล้วก็เป็นไปตามคาด ที่นั่งฝั่งตรงข้ามของม้าหินที่เคยว่างเปล่าตอนนี้มีร่างของไวน์เท้าคางมองผมอยู่
“อีกสองตัวอะ”ผมเมินคำถามมันแล้วถามถึงเพื่อนอีกคนสองคนที่หายหัวไปทั้งที่ใกล้เวลาเข้าเรียนแล้วแทน
“ซื้อน้ำ…นั่นไง”มันว่าแล้วหันไปกวักมือเรียกโนว์กับเบียร์ที่กำลังเดินมาทางนี้
“ดังใหญ่แล้วนะ มึงกับเด็กปีหนึ่งอะ”โนว์มันนั่งลงแล้วส่งยิ้มล้อผมที่ได้แต่มองกลับไปงงๆ
“ทำหน้างงอีก ในเพจไง มึงไม่ค่อยดูเหรอ”เบียร์กดโทรศัพท์สักพักแล้วยื่นมาให้
Admin Page Cute :
มีสายสืบแจ้งข่าวมาค่า พี่กีล์ตามไปเฝ้าน้องโซโล่ถึงที่ถ่ายงานเลยน้า แถมยังเป็นคนสัมภาษณ์น้องเองด้วย น่ารักมากอะฮืออ ตามนั้นแหละไม่มีไรมาก แต่อยากบอกว่า คู่ เรียล ชัวร์ ชัวร์ #โซโล่กีล์
ปล.อย่าลืมรอดูผลงานโปรโมทมหา’ลัยของน้องโซโล่น้า
*แนบรูปภาพถ่ายด้านข้างโซโล่อยู่หน้ากล้อง กีล์นั่งข้างกล้อง หันเข้าหากันและกำลังยิ้มให้กัน
8.9kถูกใจ 3.3kความคิดเห็น 552Shares
รูปนี้คงถ่ายตอนโซโล่พูดว่าขอบคุณครับ เพราะผมจำได้ว่ามันเป็นครั้งเดียวที่เจ้าตัวยอมยิ้มน้อยๆออกกล้อง แถมตอนนั้นผมเองก็ยิ้มกลับด้วย
“ยิ้มใหญ่ ยิ้มเข้าไปเพื่อน ยิ้มไปเลย”เสียงหัวเราะของโนว์ทำให้ผมหลุดออกจากความคิดและรีบส่งโทรศัพท์ในมือคืนเบียร์ไป
“กูก็ยิ้มตลอด”ผมว่าตามความจริงเพราะตัวเองเป็นคนยิ้มง่าย แม่ใหญ่เคยบอกว่ารอยยิ้มของผมทำให้คนมีความสุข ซึ่งผมก็เชื่อแบบนั้นมาตลอด แล้วก็รู้สึกมีความสุขที่ได้ทำด้วย
“กูจะบอกไรให้กีล์”เบียร์กวักมือ ผมเลยยื่นหน้าเข้าไปใกล้มันอีกหน่อยเพราะอยากรู้เหมือนกันว่ามันจะพูดอะไร “ยิ้มของมึงอะมีให้ทุกคนก็จริง…แต่ไม่เหมือนกันสักคน”
“ยังไง”
“ก็มึงยิ้มให้คนทั่วไปอย่าง ลูกค้าอย่าง เพื่อนอย่าง…”มันเว้นช่วง หันไปมองหน้าอีกสองตัวแล้วเหยียดยิ้มให้กัน…โคตรไม่น่าไว้ใจ
“กูไม่อยากรู้ละ”
“แต่กูอยากบอก นี่มึงไม่รู้ตัวเหรอว่าเวลาเป็นเรื่องเกี่ยวกับโซโล่มึงยิ้มไม่เหมือนที่ยิ้มให้คนอื่นอะ”
ยิ้มก็คือยิ้ม มันมีแยกคนด้วยเหรอเนี่ย…
“กูสงเคราะห์ให้เองเพื่อน”ไอ้โนว์ขยับตัวมาใกล้ผมแล้วหัวเราะหึหึก่อนมันจะว่าต่อ “เขาเรียกว่ายิ้มหวาน ถ้าไม่เอาไว้อ่อย…ก็เอาไว้ให้คนที่ชอบโว้ย!”
“ไอ้โนว์!”ผมเรียกมันด้วยความตกใจ รีบพุ่งเข้าไปปิดปากมันที่ตะโกนออกมาเสียงดังอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่อีกสองตัวที่นั่งหัวเราะจนตัวงอ
“ทำไงได้วะ มึงแม่งรู้ตัวไวแถมยอมรับง่ายๆอีกว่าชอบเขา แกล้งไรก็ไม่ได้…งั้นกูแกล้งให้มึงอายแทนแล้วกัน”
ผมเพิ่งเคยรู้สึกอยากเอาน้ำแดงสาดหน้าเพื่อนก็วันนี้ล่ะ คำพูดคำจาของโนว์รวมถึงการพยักหน้าจากเพื่อนอีกสองคนทำให้ผมสงสัยอยู่อย่าง…
นี่ผมมาเป็นเพื่อนกับพวกมันได้ยังไง…โคตรพลาด
“ไม่ดีหรือไง”
ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่เห็นต้องทำอะไรให้ยุ่งยากสักนิด
“ดีละ รู้ตัวช้าอย่างไอ้โนว์เดี๋ยวได้โดนหมาคาบไปแดก”
ผมหัวเราะเบาๆเมื่อได้ยินคำพูดของเบียร์ พอสองแฝดเปลี่ยนเป้าหมายไปแซวโนว์แทนผมเลยหายใจคล่องขึ้นหน่อย
“เรื่องรับน้อง…”ผมเรียกความสนใจของพวกมันกลับมาก่อนจะถามถึงเรื่องที่โดนหมาหน้านิ่งพูดย้ำมาตลอด คือย้ำตั้งแต่เริ่มป่วยจนมาส่งผมหน้าหอเมื่อวานก็ยังย้ำอยู่
“เออ ศุกร์นี้แล้วนี่หว่า”พวกมันเริ่มหันกลับมาพูดกันแบบจริงจัง
“บอกรายละเอียดกูทีดิ ตอนนั้นไม่ได้ฟัง”
“ปกติมึงไม่ได้สนใจกิจกรรมไม่ใช่เหรอวะ”ไวน์หันมาหรี่ตาทำหน้าสงสัย ซึ่งแน่นอนว่าคำถามของมันอยู่ในการคำนวณของผมเรียบร้อยแล้ว
“ปีนี้กูลดงานแล้วเลยมีเวลาเยอะขึ้น ตั้งแต่เข้ามาก็ไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมเท่าไหร่ ปีนี้เลยว่าจะเข้าหน่อย ยังไงปีสี่ก็คงไม่ได้ทำไรมากด้วย คงเหมือนไปพักผ่อนนั่นล่ะ”ผมแอบยิ้มเมื่อเห็นว่ามันพยักหน้าเข้าใจ
“คำตอบเป็นทางการอย่างกับเตรียมมา…”
บางทีผมก็เบื่อพวกรู้ทันแถมฉลาดอย่างเบียร์มันจริงๆ
“กูก็ไม่ค่อยได้ฟังว่ะ น่าจะต้องถามพวกปีสอง…เฮ้ยโจ้!”โนว์มันหันไปตะโกนเรียกรุ่นน้องปีสองที่นั่งอยู่ไม่ไกลแล้วกวักมือเรียก ซึ่งคนโดนเรียกก็เดินเข้ามาหาแต่โดยดี
“ดีพี่”โจ้ยกมือไหว้แล้วนั่งลงตรงที่ว่างข้างโนว์
“มึงพูดรายละเอียดรับน้องทะเลวันศุกร์นี้มาดิ”โนว์มันยกมือพาดไหล่น้องอย่างสนิทสนมแล้วหยิบน้ำมาป้อนอย่างเอาใจ จริงๆพวกผมก็ประมาณนี้กันอยู่แล้ว อาจจะยกเว้นผมแค่คนเดียวที่ไม่ค่อยสนิทกับใครมากขนาดเล่นหัวกันได้ เพราะไม่ค่อยว่างไปเข้ากิจกรรมเหมือนคนอื่น
“นี่พี่ไม่ฟังเลยนี่หว่า วันนั้นพวกผมก็เข้าไปพูดให้ฟังแล้วอะ”
“โทษไอ้กีล์เลย มันอยากรู้…นี่อดีตเดือนมหา’ลัยสนใจทั้งทีนะครับ มึงจะไม่สงเคราะห์มันเหรอ”นั่งอยู่เฉยๆไวน์มันก็โยนขี้มาให้ผมแทน แต่แทนที่โจ้มันจะหันมาบ่นผมมันกลับหันมามองผมด้วยสายตาประหลาดใจ
“ไม่บอกแต่แรกว่าพี่กีล์อยากรู้ มีคนดีใจตายแน่เลยถ้ารู้ว่าพี่กีล์จะไปด้วย”โจ้ว่าแล้วเหลือบตามองโต๊ะที่ตัวเองเดินจากมาพร้อมรอยยิ้มแปลกๆ
“แล้วมึงจะพูดยังครับ จะถึงเวลาพวกกูเข้าเรียนแล้ว”โนว์หันไปบ่นน้องมัน ซึ่งโจ้ก็ยอมพูดแต่โดยดี ถึงจะเบะปากหน่อยๆก็เถอะ
“การรับน้องแบบเป็นทางการของภาคเราจบลงไปแล้ว พวกผมเลยคิดว่าจะพาน้องไปพักผ่อนที่ทะเลเป็นปีแรก เพราะรู้มาว่าปกติปีก่อนๆภาคเราไม่เคยไปทะเลกันเลย เลยคิดว่าจะแหวกแนวหน่อย เน้นการรับน้องแบบชิวๆ พวกผมจะดำเนินกิจกรรมเอง ให้พวกพี่คิดว่าไปพักผ่อนไรแบบนี้ เออใช่…แล้วเราก็จะไปเฉลยสายที่นั่นด้วย”
จะว่าไปก็จริงของน้อง เพราะปีก่อนๆเราก็รับน้องกันแต่ในนี้ จบแล้วก็จบ แต่ความสัมพันธ์พี่น้องก็แนบแน่นมาก และอาจจะมากกว่าพวกที่ไปรับน้องนอกสถานที่เสียอีก เท่าที่พวกเพื่อนบอกมาพวกมันมักจะไปจบที่ร้านเหล้า ว่างก็พากันไปกินเหล้าจนสนิทกันไปเอง ผมก็ได้แต่ฟังเขามาอีกทีเพราะเอาแต่ทำงาน
“มีแสดงดนตรีด้วยนะพี่ พอดีพวกผมมีเพื่อนอยู่ดุริยางค์เลยไปชวนๆเขาด้วย ตกลงกันไปๆมาๆสรุปพวกดุริยางค์จะไปรับน้องที่นั่นเหมือนกันพร้อมกับเราเลย ทีนี้ก็ไม่ต้องฟังพวกพี่โหยหวนแถมได้ฟังของจริงเขาร้องด้วย”
“นี่มึงหาว่าใครโหยหวน พวกมึงแหละตัวดี ปีที่แล้วเมาเละวิ่งขึ้นเวทีร้านเหล้า ลำบากพวกกูต้องไปลากลงมา…เลว”
ถ้าจำไม่ผิดเหมือนว่าโจ้จะเป็นหลานรหัสไอ้โนว์ ปีที่แล้วตอนที่พวกมันไปกินเหล้าเลี้ยงสายโนว์มันกลับมาเล่าอยู่เหมือนกันว่าเด็กปีหนึ่งวิ่งขึ้นเวทีไปร้องเพลงจนต้องรีบไปลากลงมา เพราะลูกค้าคนอื่นทำท่าจะปาแก้วใส่พวกมัน
“เดี๋ยวนะ…”คำพูดแทรกของเบียร์ทำเอาผมสะดุ้ง เพราะมันกำลังหรี่ตาจ้องมาที่ผมพร้อมรอยยิ้มน่าขนลุก “กูว่ากูรู้ละทำไมกีล์มันถึงสนใจการรับน้องนี่นัก”
ก็บอกแล้วว่าเกลียดที่มันฉลาด…
“ทำไมวะเบียร์…แล้วสรุปมึงไปชัวร์ใช่ปะกีล์”
ผมพยักหน้าให้กับคำถามของไอ้ไวน์แล้วลุกขึ้นเดินเข้าตึกทันที ไม่สนใจไอ้สองแฝดที่หัวเราะตามหลังมาอีก
“กูไปหาซันละ บาย”
“เจอกัน”ผมโบกมือลาเพื่อนแล้วหันมาเก็บของใส่กระเป๋าต่อ
โนว์มันรีบไปหาซัน ส่วนสองแฝดนี่พออาจารย์ปล่อยก็วิ่งออกไปเลย เป็นแบบนี้มาตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว ผมถามไวน์แล้วได้ความว่าคุณพ่อมันเข้าโรงพยาบาลเลยต้องรีบไปเฝ้าทุกเย็น
วันนี้ผมมีนัดกับหมาหน้านิ่งว่าจะไปซื้อของด้วยกัน และแน่นอนว่าของที่ว่านั่นคือนม…
หลังออกมาจากตึกรถคันหรูหน้าตาคุ้นเคยก็มาจอดอยู่หน้าคณะพอดี ผมรีบวิ่งไปขึ้นก่อนจะเป็นเป้าสายตาไปมากกว่าเดิม แต่นั่งจนรัดสายเข็มขัดเสร็จแล้วก็ยังไม่มีที่ท่าว่าคนขับจะออกรถแต่อย่างใด สุดท้ายเลยต้องหันไปมอง…ทั้งที่ยังไม่อยากสบตาเท่าไหร่แท้ๆ
นั่นไง…ไอ้ตาแพรวพราวนี่มันอะไร
“มองอะไรครับ ขับรถได้แล้ว”ผมยื่นมือไปผลักหน้าคนขับรถเบาๆ ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมหันกลับไปแต่โดยดี แต่พอเห็นไอ้รอยยิ้มมุมปากนั่นผมกลับรู้สึกหน้าร้อนโดยไร้เหตุผลจนต้องหันออกไปมองนอกหน้าต่างตลอดทาง
โซโล่ไม่ได้พาผมไปซุปเปอร์อย่างที่คิด แต่เขากลับขับรถเลยมายังห้างแห่งหนึ่งแทน ทันทีที่รถจอดผมก็หันขวับไปหา ตั้งท่าจะถามว่าทำไมพามาที่นี่ แต่…
เจ้าหมานี่จะจ้องด้วยสายตาแบบนั้นไปจนถึงเมื่อไหร่เนี่ย…
สุดท้ายเลยได้แต่เปิดประตูรถแล้วเดินนำเข้าไปด้านในเพราะทำอะไรไม่ถูก หลังจากเดินพ้นประตูเข้ามาแล้วผมก็รู้สึกว่ามีสัมผัสเบาๆแตะเข้าที่มือ ด้วยความตกใจทำให้ผมเผลอสะบัดออกแทบจะทันที
“โซ…”ผมหันไปมองอย่างตกใจ เมื่อเห็นเจ้าของมือเมื่อครู่มองมาด้วยใบหน้านิ่งๆแต่สายตาเจ็บปวดนั่นมันทิ่มแทงผมเข้าเต็มๆ “คือพี่…”
“ขอโทษ…”โซโล่ก้มหน้าน้อยๆก่อนจะเดินผ่านไปช้าๆ
หมับ!
“ขอโทษครับ พี่ตกใจไม่คิดว่าเป็นเรา”ผมคว้ามือนั่นไว้เองแล้วเป็นฝ่ายจับมือลากอีกคนให้เดินตามโดยพยายามไม่หันไปมองหน้าหมาหงอยนั่น
“ถ้ากีตาร์รังเกียจ…”เสียงห่อเหี่ยวทำให้ผมหยุดเท้าที่เดินกะทันหัน แถมยังเผลอกัดริมฝีปากตัวเองจนรู้สึกเจ็บอีกต่างหาก
“ฟังนะ…”ผมหันหลังกลับ เดินเข้าไปใกล้คนที่ยืนนิ่งโดยที่ยังไม่ได้ปล่อยมือออก แล้วกระซิบเสียงแผ่ว “พี่เขินครับ”
แล้วก็เขินมากขึ้นเพราะต้องมาพูดให้ฟังเนี่ย…แต่ถ้าไม่พูดหมาขี้น้อยใจนี่ก็ต้องเข้าใจผิดอีก
“พี่ไม่ค่อยแสดงออกแต่ไม่ได้ตายด้านนะครับ…โดนแบบนั้นใครจะเก็บได้อีกเล่า”
ที่ผมไม่ค่อยแสดงออกว่าเขินก็เพราะเป็นผู้ชาย มันไม่ใช่ว่าตัวเองเขินไม่เป็นเสียหน่อย ลองมาโดนเจ้าหมานี่อ้อนบ้างใครก็เขิน แต่มันแค่อยู่ในขอบเขตที่จัดการกับการแสดงออกของตัวเองได้เฉยๆ เพียงแต่ ‘เหตุการณ์นั้น’ มันดันอยู่เหนือขอบเขตที่ผมสามารถควบคุมได้ ผลมันเลยออกมาเป็นแบบนี้
“หึหึ”
ผมเบิกตากว้างมองคนที่ทำหน้าหมาหงอยเมื่อครู่เปลี่ยนกลับมาเป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบาๆอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ แถมพอจะดึงมือออกเจ้าหมานี่ก็เกาะไว้เหนียวแน่นยิ่งกว่าปลาหมึกอีก
โซโล่….ไอ้หมาแผนสูง!
“หิวแล้ว”
ผมก้าวเท้าเดินต่อ ไม่ได้สนใจคนที่กำลังลูบท้องตัวเองป้อยๆอย่างน่าสงสาร
“กีตาร์…”
“หิว…”
“กินข้าว…”
“เราไปกินคนเดียวเลย พี่ไม่หิว”ผมบอกแล้วทำเป็นมองไปเรื่อย แต่มองไปมองมากลายเป็นหันมาเห็นสายตาแวววาวของคนที่บอกว่าหิวแทน แล้วรอยยิ้มนั่นมันอะไรกัน
“บอกให้กินคนเดียว แล้วทำไม…”โซโล่ขยับเข้ามาหา ก่อนจะก้มหน้าลงมานิดๆจนหน้าผากเราแทบจะติดกัน “พาผมมาหน้าร้านข้าวล่ะ”
ผมก้มลงมองมือที่จับอีกคนไว้แล้วมองเลยไปยังป้ายหน้าร้านที่เรากำลังยืนอยู่
Yayoi
กีล์…
หลังจากทานอาหารเสร็จเราก็เดินมาเลือกซื้อนมใส่รถเข็น ก่อนที่โซโล่จะเดินนำไปโซนผลิตภัณฑ์อาบน้ำ
“กีตาร์เลือกให้หน่อย”
“ที่ห้องหมดเหรอครับ”
“จะซื้อชุดเล็กไปทะเล”
ผมพยักหน้ารับ ยอมเดินเข้าไปเลือกให้แต่โดยดี…โดยที่ลืมคิดไปเสียสนิทว่าทำไมต้องมาเลือกให้ ของตัวเองหรือก็ไม่ใช่ หลังจากเลือกพวกสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน อะไรเรียบร้อยจนครบแล้วก็เดินไปจ่ายเงิน แต่กลายเป็นว่าของที่ผมเลือกมันมีอย่างละสองชิ้น
“โซ ทำไมมีสองชิ้นล่ะครับ”
“ซื้อไว้ก่อน”
ผมพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะคิดว่าเขาคงเผื่อสำรองไว้ รอจนโซโล่จ่ายเงินเสร็จก็เข้าไปช่วยถือก่อนเราจะขนของมาขึ้นรถ
“พี่กีล์!”
ยังไม่ทันก้าวเท้าขึ้นรถก็ได้ยินเสียงใครสักคนเรียกเสียก่อน ผมหันกลับไปมอง มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งจากประตูเข้าห้างตรงมาทางนี้ เขาเป็นผู้ชายตัวสูงหน้าตาดี แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองไม่รู้จักผู้ชายคนนี้
“ครับ?”
“มาเที่ยวเหรอครับ”เขาฉีกยิ้มกว้างมาให้จนผมต้องยิ้มกลับไปงงๆ
“มาซื้อของครับ ไม่ทราบว่าคุณคือ…”
“ผมชื่อเคครับ เป็นรุ่นน้องพี่ อยู่ปีหนึ่ง”
ก็ว่าทำไมไม่รู้จัก เอาจริงๆผมยังไม่รู้จักเด็กปีหนึ่งเลยสักคน…นอกจากเอสที่เป็นเดือนคณะนะ
“ครับ…”ผมเหล่ตามองคนที่ออกมายืนพิงรถรออยู่อีกฝั่งแล้วก็ได้แต่ยิ้มฝืนๆ เพราะเริ่มรู้สึกว่าโซโล่กำลังไม่พอใจ สังเกตได้จากคิ้วที่ขมวดนั่นแล้วก็บรรยากาศที่แผ่ออกมา
แต่ดูเหมือนเด็กที่ชื่อเคนี่จะไม่ได้สังเกตเห็นมันสักนิด
“ผมไปซื้อกาแฟที่ร้านพี่ตลอดแต่จำกันไม่ได้…น่าน้อยใจจังนะครับ”
“ขอโทษด้วยนะครับที่จำไม่ได้ แต่พี่ต้องไปแล้ว”ผมยิ้มให้เคตามมารยาท ก่อนจะหันไปมองหมาตัวโตที่จ้องมองคนมาใหม่ด้วยดวงตาวาวโรจน์
“โซ…กลับกันครับ”ผมยิ้มออกมาอีกครั้ง โซโล่เองก็หันกลับมาหาแล้วยอมพยักหน้า บรรยากาศอึดอัดดูเบาบางลงมาก บางทีอาจจะเป็นอย่างที่พวกโนว์มันว่า
รอยยิ้มที่ผมให้แต่ละคนมันคงต่างกันจริงๆ…
“ไว้เจอกันนะครับพี่กีล์!”
เด็กนี่…ผมหรี่ตามองคนที่ยืนโบกมือและตะโกนตามหลังมาผ่านกระจกข้างของรถ อดรู้สึกไม่ได้ว่ารอยยิ้มของเขามันแปลกๆ
“ผมไม่ชอบหมอนั่น”คนที่นั่งเงียบมาตลอดทางพูดขึ้นเมื่อผมขึ้นไปเอานมอุ่นมายื่นให้เขาที่รถ เอาจริงๆผมก็พอจะรู้อยู่หรอก จ้องเหมือนจะฆ่าขนาดนั้น แถมตอนอยู่บนรถก็นั่งเงียบขมวดคิ้วมาตลอดทางด้วย
“เขาเป็นรุ่นน้องพี่ครับ ไม่มีอะไรหรอก”ผมบอกคนที่ยืนขมวดคิ้วพิงรถด้วยมาดดูดีแต่ดันถือแก้วนมอุ่นไว้ในมือ
“สายตาของมัน…”โซโล่หรี่ตาน้อยๆ ใบหน้าดูหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม
“เขาจะคิดอะไรก็ให้เขาคิดไปสิ”ผมดึงมือที่มีแก้วเปล่าของอีกคนมากุมไว้แล้วแย่งแก้วมาถือเอง
“แต่ผมไม่ชอบ…”
“มันสำคัญที่พี่ไม่ใช่เหรอครับ”ผมยิ้มอ่อนโยนให้โซโล่ที่นิ่งไปแทบจะทันทีที่ผมพูดจบ และนั่นทำให้ผมเชื่อว่าเขาเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร
มันไม่ได้สำคัญเลยว่าคนอื่นจะคิดอะไรกับเราหรือต้องการอะไรจากเรา แต่มันสำคัญที่ตัวเราคิดอะไรและจะจัดการกับมันอย่างไรก็เท่านั้น
“อืม”
“กลับไปพักผ่อนได้แล้วครับ”
“นี่ของกีตาร์”โซโล่หันไปหยิบถุงพลาสติกจากในรถมายื่นให้ผม
“อะไรเหรอครับ”ผมแหวกถุงดูก็พบว่ามันเป็นพวกยาสีฟันอะไรต่างๆที่เราไปซื้อกันมาที่ห้างและผมเป็นคนเลือก
“ของใช้ไปทะเล”
“เดี๋ยวพี่ซื้อเองก็ได้นะ โซเก็บไว้ดีกว่า…”
“ถ้าไม่เอาจะโกรธ”
นี่คำขู่เหรอเนี่ย…
“ครับๆ ถ้าอย่างนั้นขับรถดีๆนะ”
ผมเลิกคิ้วเมื่อเห็นดวงตาเป็นประกายเหมือนกำลังขบขันของโซโล่…หรือผมจะลืมอะไรไป จะถามก็ไม่ได้เพราะอีกคนขับรถออกไปแล้ว จะว่าไปแล้วปกติกว่าจะยอมไปก็ต้องลีลาตั้งนาน แล้วทำไมวันนี้ยอมกลับไปง่ายผิดปกติ…
เดี๋ยวนะ…
จำได้ว่าผมเคยพูดว่าจะดูพฤติกรรมของเขาก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ไปนี่นา…
กีล์…
พลาดอีกแล้ว
------------------------------------