-28-
ตอนเช้าโซโล่ออกไปก่อนผม หลังจากรู้ว่าผมสอบเที่ยงส่วนตัวเองสอบเช้าก็สั่งให้ผมนอนต่อ บอกเหตุผลว่าต้องพักผ่อนเยอะๆเพราะรู้ว่าถ้าไปเชียงใหม่ไม่มีตัวเองลากไปนอนผมต้องไม่ยอมนอนแน่ๆ ซึ่งก็ไม่ผิดเท่าไหร่…ผมนึกภาพตอนที่ต้องนอนคนเดียวไม่ออกเหมือนกัน
ตอนที่ผมเดินไปส่งหน้าประตูห้อง คนที่บังคับให้นอนต่อก็คว้าตัวเข้าไปกอดแน่นโดยไม่พูดอะไร อาจเพราะเมื่อคืนเราก็พูดกันไปหมดแล้ว เจ้าหมาเดินคอตกออกไปโดยไม่ยอมหันมามองอีก ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว…เพราะถ้าเขาหันมาอาจจะเป็นผมเองที่วิ่งเข้าไปรั้งไว้
รู้ตัวว่าเป็นโรคขาดหมาไม่ได้ก็วันนี้นี่ล่ะ
คุณเจย์กับคนที่เขาแนะนำว่าเป็นคนขับรถแวะไปส่งผมที่คณะ บนรถมีกระเป๋าอยู่สองใบซึ่งน่าจะเป็นของผมกับของคุณเจย์ เขาบอกว่าจะรอจนผมสอบเสร็จแล้วออกเดินทางเลย เห็นว่าเจ้าฮัสกี้ย้ำนักย้ำหนาให้พาผมไปไวๆแต่ต้องปลอดภัย
ผมใช้เวลาสอบไม่นาน ทุกอย่างตรงกับที่อ่านมา หลังจากลาเพื่อนเรียบร้อยแล้วเราก็แยกย้ายกันหน้าคณะ พอได้ขึ้นมาบนรถผมก็รู้สึกใจหายหน่อยๆ ถึงจะเข้าใจดีว่าเจ้าหมามาส่งไม่ได้เพราะติดสอบต่อเนื่องก็เถอะ แต่ด้วยความที่ไม่เคยห่างกันเลยมาหลายเดือน อยู่ๆก็ต้องห่างกันห้าวันแบบนี้…
อดคิดไม่ได้ว่าตอนฝึกงานจะเป็นยังไง…เพราะคงไม่ใช่แค่โซโล่ที่อาการหนัก
“คุณสองคนนี่เหมือนกันเลยนะครับ”น้ำเสียงเจือรอยยิ้มของคุณเจย์ดังตัดความคิดเรื่อยเปื่อยของผม ผมหันไปมองหน้าคุณเจย์ด้วยความไม่เข้าใจ เขายิ้มแล้วยื่นโทรศัพท์ตัวเองมาให้ “ขี้กังวลเหมือนกันเลย”
ผมรับโทรศัพท์มาดู บนหน้าจอเป็นโปรแกรมไลน์ที่เจ้าหมาส่งมาตั้งแต่ชั่วโมงก่อน
SOLO : เจย์ รอกีตาร์อยู่หน้าตึกหรือเปล่า
JAY : รออยู่แล้วครับคุณชาย ว่าแต่คุณสอบอยู่ไม่ใช่เหรอครับ
SOLO : สอบปฏิบัติ ยังไม่ถึงคิว ผมแอบเล่น
JAY : คุณชาย…
SOLO : บอกให้คนขับรถขับดีๆนะ ถึงแล้วทักมาบอกผมด้วย
JAY : ทำไมคุณชายไม่ทักไปล่ะครับ
SOLO : ผมกลัวกีตาร์สอบอยู่
JAY : ผมจะบอกให้นะครับ
SOLO : อืม
SOLO : ดูแลกีตาร์ให้ผมด้วยนะ
JAY : ครับคุณชาย
หลังจากนั้นก็เป็นข้อความที่คุณเจย์ส่งไปบอกว่าผมขึ้นมาบนรถแล้ว โซโล่ยังไม่ได้อ่าน น่าจะกำลังสอบอยู่ ว่าแต่คนปกติเวลารอสอบนี่ต้องเครียดกันไม่ใช่เหรอ ยิ่งเป็นสอบปฏิบัติด้วย เจ้าหมานี่ยังกล้าแอบเล่นโทรศัพท์อีก น่าตีจริงๆ
“คุณชายกังวลเรื่องคุณมาก…เป็นห่วงไปทุกเรื่อง ตอนแรกผมก็กังวลว่าคุณจะไม่พอใจอะไรหรือเปล่าเลยอยากจะขอให้เข้าใจเขา คุณชายไม่เคยอยากดูแลใครมาก่อน พอได้เจอคนๆนั้นถึงได้ทำอะไรไม่ถูก”คุณเจย์รับโทรศัพท์คืนไปแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม “แต่ดูเหมือนผมจะคิดมากไปเองสินะครับ…เพราะตั้งแต่ขึ้นรถมาคุณก็ดูกังวลไม่แพ้คุณชายเลย”
ผมหัวเราะรับคำถามนั้น จริงอย่างที่คุณเจย์ว่าทุกอย่าง ผมเคยชินกับการดูแลคนอื่นก็จริง แต่อาการกังวลใจเพราะต้องห่างกันแบบนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเหมือนกัน บางทีถ้าเป็นโซโล่ที่เดินทางไกล ผมอาจจะมีอาการมากกว่าเขาด้วยซ้ำ
“เป็นห่วงน่ะครับ”ผมอมยิ้ม มือจับโทรศัพท์ไว้แน่นเพราะไม่อยากพลาดถ้าคนที่รอโทรมา
“ห่วงคุณชายเหรอครับ”
“ครับ…เป็นห่วงคนที่ไม่ชอบดูแลตัวเอง”
“จริงด้วย…คุณชายไม่ชอบดูแลตัวเองจริงๆนั่นล่ะครับ”คุณเจย์พยักหน้าเห็นด้วย
“ถ้าผมไม่บังคับก็คงไปซื้อข้าวกล่องสำเร็จรูปมากินทุกมื้อแน่ๆเลยครับ นี่ผมก็ส่งข้อความไปให้เก้าช่วยดูให้ ดีที่เก้าเต็มใจช่วย เห็นบอกว่าดีเหมือนกันจะได้กินฟรีทุกมื้อ…”ทั้งผมทั้งคุณเจย์หัวเราะแทบจะทันทีที่นึกถึงเด็กแสบนั่น ตอนที่ผมบอกว่าให้ดูโซโล่ให้หน่อย เจ้าเด็กนั่นรับปากแทบจะทันที เห็นว่าจะโทรไปจิกทุกมื้อให้มารับไปกินข้าวเลยด้วยซ้ำ ดูเหมือนเด็กแสบจะโดนคุณแม่หักค่าขนมเพราะไม่ยอมโทรกลับไปที่บ้าน
“ดีแล้วล่ะครับที่คุณชายมีคุณเก้าเป็นเพื่อน”
นั่นสิ…ถ้าไม่มีเก้าก็ไม่รู้ว่าโซโล่จะเป็นยังไงบ้าง
ถึงจะแสบไปหน่อยแต่ก็เป็นคนที่พึ่งพาได้…มั้ง
ผมกับคุณเจย์ขึ้นเครื่องบินโดยใช้เวลาประมาณชั่วโมงเดียวก็ถึงเชียงใหม่ ช่วงแรกที่ลงมาก็ยังไม่หนาวเท่าไหร่ แต่พอได้ยืนไปครู่เดียวเท่านั้นล่ะผมถึงขนาดต้องหยิบเสื้อมาใส่ทับ คิดไม่ออกเลยว่าถ้าโซโล่ไม่ได้พาไปซื้อแล้วเอามาแต่เสื้อผ้าตัวเองจะเป็นยังไง
คุณเจย์ยืนกดโทรศัพท์อยู่ข้างผม ตอนแรกน่าจะคุยกับโซโล่อยู่ แต่พอมีสายเรียกเข้าเขาก็กดตัดสายแล้วปิดเครื่องทันที
“ต่อไปคุณชายจะติดต่อมาทางคุณกีล์นะครับ”เขาหันมายิ้มขอโทษให้ผม
“ครับ”
ที่คุณเจย์ต้องปิดโทรศัพท์น่าจะเพราะไม่ต้องการติดต่อกับคุณท่าน ตอนนั้นโซโล่ก็เคยบอกผมว่าที่คุณเจย์มากับผมก็เพราะจะพักผ่อน จะปิดโทรศัพท์ไม่รับสายคุณท่าน…ถึงผมจะกังวลแทนหน่อยๆแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เชื่อว่าคุณเจย์คงคิดมาดีแล้ว
ผมเดินทางไปที่โรงพยาบาลตามทางที่สามคิงจดไว้ให้ พวกนั้นบอกว่าหลังจากสอบเสร็จจะขึ้นมาหา ส่วนจักรพรรดิที่เรียนจบแล้วก็จะขึ้นมาพร้อมน้อง ฮ่องเต้บอกผมว่าจักรพรรดิยังไม่หายดี ยังต้องการพักผ่อนอยู่
“คุณกีล์ไปอยู่กับคุณแม่เถอะครับ เดี๋ยวผมซื้อซิมใหม่แล้วจะติดต่อไป”
“เที่ยวให้สนุกนะครับคุณเจย์”
ผมแยกกับคุณเจย์หน้าโรงพยาบาล ตอนอยู่บนเครื่องผมบอกเขาไว้ว่าคงจะอยู่กับแม่ใหญ่ตลอดไม่น่าได้ไปไหน เราเลยตกลงกันว่าจะแยกกัน ให้เขาไปเที่ยว ส่วนผมก็คงอยู่แต่ที่โรงพยาบาล โซโล่เองก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่ย้ำว่าถ้าจะไปไหนนอกจากโรงพยาบาลให้รอเขามาถึงก่อน
ผมหยุดยืนอยู่หน้าห้องพิเศษของแม่ใหญ่ ต้องขอบคุณสามคิงที่ช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด พวกเขาบอกว่าแม่ใหญ่ก็เป็นเหมือนแม่ตัวเองเหมือนกัน ผมเองก็ขอบคุณและรับโอกาสนั้นไว้เพราะผมอยากให้แม่ใหญ่อยู่ห้องดีๆ…แต่ลำพังตัวเองคงออกค่าใช้จ่ายไม่ไหว
“ไม่เข้าไปเหรอคะ”
ผมหันไปตามเสียง เห็นเป็นคุณพยาบาลท่าทางใจดียืนยิ้มให้อยู่ เธอถือถาดอาหารของโรงพยาบาลเอาไว้
“นี่เวลาทานอาหารเหรอครับ”
“ค่ะ…คุณยายแกทานได้มากที่สุดก็เวลานี้ ถ้าให้ทานหลังจากนี้แกจะทานไม่ลงเลย”
ผมพยายามมองข้ามดวงตาสงสารของคุณพยาบาลแล้วเปิดประตูให้เธอ ด้านในก็สมกับเป็นห้องพิเศษ ดูสะอาด กว้างขวาง ผมวางกระเป๋าลงที่โซฟาแล้วเดินเข้าไปชิดเตียง
บนเตียงมีร่างของคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผมนอนอยู่ แม่ใหญ่ดูชราลงจากสี่ปีก่อนมาก ใบหน้าที่เคยสดใสของท่านดูซีดเซียวเต็มไปด้วยริ้วรอย ร่างกายที่เคยผอมอยู่แล้วผอมยิ่งกว่าเดิม เส้นผมบนศีรษะกลายเป็นสีขาวทั้งหมด ท่านดูเปราะบางและอ่อนแอจนน่าใจหาย
“เดี๋ยวก็ตื่นค่ะ…ผู้สูงอายุวัยนี้ไม่ควรปลุกให้ตื่น ควรให้พักผ่อนให้เต็มที่ แต่ปกติแกจะตื่นเวลานี้ตลอด”คุณพยาบาลหันมายิ้มให้ผมอย่างใจดี “คุณคงเป็นลูกหลานของท่าน…”
“ครับ…”ถึงจะไม่ใช่แม่ลูกแท้ๆก็เหมือนใช่
“เหมือนกันเลยนะคะ”คุณพยาบาลวางถาดข้าวลงแล้วหันมามองผม “รอยยิ้มแล้วก็บรรยากาศค่ะ…อ่อนโยนแต่เข้มแข็ง”
“งั้นเหรอครับ”ผมยิ้มออกมา แตะปลายนิ้วลงที่ฝ่ามือผอมแห้งของแม่ใหญ่
“อยากป้อนท่านเองหรือเปล่าคะ”
“ครับ…เดี๋ยวผมให้ท่านทานเองครับ”
“งั้นเดี๋ยวดิฉันจะเข้ามาเก็บนะคะ ส่วนยานี่ให้ทานหลังอาหาร”
“ขอบคุณมากนะครับ”
ผมนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงเมื่อคุณพยาบาลออกไปแล้ว จากนั้นก็ค่อยๆจับมือแม่ใหญ่มากุมไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง มือของท่านไม่ได้นุ่มนวล มันทั้งเหี่ยวย่นและหยาบกระด้างจากการทำงานหนัก แต่ก็เป็นมือที่คอยอุ้มชูผมมาตลอดตั้งแต่จำความได้
‘ถ้ากีล์โกรธน้องไปอีกคน แล้วใครจะคอยห้ามเวลาน้องทะเลาะกัน กีล์อยากเห็นน้องร้องไห้เหรอลูก’
‘กีล์เป็นพี่คนโต พี่คนโตต้องดูแลน้อง แม่อยากให้กีล์เข้มแข็ง รู้จักอดทน กีล์ไม่อยากเป็นฮีโร่ของน้องแล้วเหรอ’
ตอนที่ผมโกรธน้อง ตวาดใส่น้องจนน้องร้องไห้ แม่ใหญ่คือคนที่เข้ามาสอนผมโดยไม่เคยใช้ไม้แม้แต่ครั้งเดียว ท่านสอนให้ผมรู้จักอดทนและเข้มแข็ง
“กีล์…”
“แม่ใหญ่!”ผมผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจ แม่ใหญ่กำลังมองมาที่ผมด้วยสายตาอ่อนโยน
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าต่อให้ภายนอกแม่ใหญ่เปลี่ยนแปลงไปสักแค่ไหน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม
สายตาและรอยยิ้มของท่าน…
ผมช่วยปรับเตียงของแม่ใหญ่ให้ตั้งขึ้นเล็กน้อย และมันทำให้ผมสังเกตเห็นว่า…นอกจากดวงตากับปากแล้ว…ไม่มีร่างกายส่วนไหนของท่านที่ขยับเลย
“เป็น…ยังไง”
เสียงแผ่วเบาขาดห้วงของแม่ใหญ่ทำให้ผมต้องขยับตัวเข้าไปใกล้ขึ้นเพื่อให้ได้ยินท่านชัดๆ ผมไม่อยากพลาด ไม่อยากให้ท่านพูดซ้ำ เพราะแค่พูดแต่ละคำออกมาก็ดูเหมือนท่านต้องใช้แรงมากเหลือเกิน
“สบายดีครับ”ผมกุมมือของท่านมาแนบแก้มแล้วส่งยิ้มให้
“ดี…”
“แม่ใหญ่ทานข้าวทานยาก่อนนะครับ กีล์มีเรื่องจะคุยด้วยเยอะเลย”ผมหยิบชามอาหารมาวางไว้บนตักตัวเอง พยายามบังคับมือไม่ให้สั่นแล้วป้อนอาหารที่เละจนเป็นน้ำให้แม่ใหญ่ทาน “ทานหน่อยนะครับ”
ผมช่วยป้อนอาหารแล้วก็เช็ดปากให้แม่ใหญ่ช้าๆ ท่านมองมาที่ผมตลอดเวลา ส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้ถึงจะดูไร้เรี่ยวแรงขนาดไหนก็ตาม จวบจนผมป้อนอาหารคำที่ห้าท่านก็หยุดทาน ดูเหมือนที่คุณพยาบาลบอกว่าทานได้มากที่สุดคงจะได้แค่นี้จริงๆ สุดท้ายผมก็ต้องให้ท่านทานยาทั้งที่ทานข้าวไปแค่ห้าคำ
“แม่…อยากคุย”
“ครับแม่ใหญ่”ผมกลับมากุมมือแม่ใหญ่ไว้อีกครั้ง พยายามส่งยิ้มที่เป็นธรรมชาติที่สุดไปให้
“เล่า…”
“แม่ใหญ่อยากฟังเรื่องของกีล์เหรอครับ”ผมอมยิ้ม ถูแก้มกับมือของแม่ใหญ่เบาๆแล้วส่งสายตาอ้อนที่เรียนรู้มาจากหมาบางตัวไปให้ท่าน แม่ใหญ่ไม่ได้ตอบแต่ยังคงมองมาที่ผมเหมือนจะบอกว่าใช่
“ตอนเข้ามหา’ลัยก็ลำบากหน่อยครับ ดีที่คุณป้าเจ้าของหอท่านใจดียอมให้กีล์ค้างค่าหอไว้ก่อน ตอนปีหนึ่งกีล์ทำงานเยอะแยะเลยครับแม่ใหญ่ ทำร้านกาแฟ ล้างจานที่ร้านอาหาร ส่งของให้ลูกค้า แล้วก็รับจ้างทำความสะอาดห้องให้พวกนักศึกษา…มีครั้งหนึ่งที่กีล์โดนจับก้นตอนกำลังขัดห้องน้ำด้วย ดีที่หนีออกมาทัน”
แม่ใหญ่ส่งสายตาขบขันมาให้ ทว่าไม่มีเสียงหัวเราะหลุดออกมา…ท่านคงจะไม่มีแรง แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ผมยิ้มกว้างได้แล้ว
“กีล์ได้เป็นเดือนมหา’ลัยด้วยนะครับ ไม่รู้ว่ารุ่นพี่เห็นอะไรในตัวเหมือนกัน ตอนโชว์ก็ร้องเพลงห่วยจนเขินตัวเองเลย แต่สุดท้ายก็ได้ตำแหน่งมางงๆ”ผมหัวเราะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้น แม่ใหญ่เองก็ยังคงมองมาที่ผมเหมือนเดิม “กีล์เก็บเงินมาเรื่อยๆ ดีที่เป็นเด็กทุนเลยไม่ต้องเสียค่าเทอม ปีหลังๆมาก็ทำงานที่เดียวแล้ว แถมได้เงินดีด้วยเพราะเป็นร้านของย่ารหัสกีล์ครับ กีล์คิดไว้ว่าถ้าอยู่ปีสี่เมื่อไหร่น่าจะมีเงินพอไปหาแม่ใหญ่ กีล์จะพาแม่ใหญ่ไปทานอาหารอร่อยๆ ไปเที่ยวที่ที่แม่ใหญ่อยากไป…”
“ไว้แม่ใหญ่หายเราไปด้วยกันนะครับ กีล์อยากฟังแม่ใหญ่เล่าเรื่องบนเขาด้วย…”ผมหลับตาลงเมื่อเห็นว่ารอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของแม่ใหญ่ สายตาที่ส่งมาให้ผมเป็นสายตาอาทรที่ทำให้ผมรู้สึกใจสลาย
“กีล์…”
“ครับแม่ใหญ่”ผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง จับมือแม่ใหญ่แน่นขึ้นแล้วยิ้มให้ท่านเหมือนปกติ
“เล่า…ต่อ”
“แม่ใหญ่อยากฟังเรื่องอะไรครับ”
“ความ…”จู่ๆเสียงของท่านก็หายไป ผมมองภาพที่แม่ใหญ่พยายามอ้าปากหลายครั้งให้เสียงดังออกมาโดยไม่พูดอะไร…ทำได้เพียงฝืนยิ้มทั้งที่ใจสั่นเทา “…สุข”
ความสุข…
ภาพใบหน้าของคนๆเดียวปรากฏชัดในความทรงจำที่ว่างเปล่าของผม
“กีล์เจอคนๆหนึ่งตอนเปิดเทอมปีสี่ครับแม่ใหญ่ เขาเข้ามาซื้อกาแฟ แต่พอกีล์แนะนำให้ดื่มนมอุ่นแทนเขาก็เชื่อ เขาบอกว่าถ้าไม่ได้ดื่มมนมอุ่นที่กีล์ให้แล้วเขาจะนอนไม่หลับ…เขาเป็นเด็กปีหนึ่งตัวสูง หน้านิ่งๆง่วงๆ แต่พออยู่กับกีล์แล้วชอบทำตัวเป็นหมาฮัสกี้ขี้อ้อน…”ผมหัวเราะเมื่อนึกภาพคนหน้านิ่งทำตัวเป็นหมาแล้วเดินเข้ามาอ้อน “เขาชื่อโซโล่ เป็นเด็กดุริยางค์ปีหนึ่ง…”
“อีกห้าวันเขาจะมาหากีล์ที่นี่ กีล์อยากให้เขามาเจอแม่ใหญ่ครับ”
“…แฟน”
“ครับ…เราเป็นคนรักกัน”ผมยิ้ม ลูบมือแม่ใหญ่เบาๆ “แต่ดูเหมือนพ่อเขาจะไม่อยากให้เราคบกัน เขาเป็นลูกคนเดียวของคนมีฐานะครับแม่ใหญ่”
“อย่า…”
อย่ายอม…
“กีล์ไม่ยอมหรอกครับ”ผมพูดแทนเมื่อเดาได้ว่าสิ่งที่ท่านจะสื่อออกมาคืออะไร “เรารักกัน เราต้องสู้ไปด้วยกัน ถ้าเขาไม่ปล่อยมือกีล์ กีล์ก็จะไม่มีวันปล่อยมือเขา เหมือนที่แม่ใหญ่เคยสอนกีล์ไงครับ”
‘อย่าหาข้ออ้างมาบังหน้าแค่เพียงเพราะเราไร้ความสามารถ’
“ถ้ากีล์ไร้ความสามารถจะเป็นลูกแม่ใหญ่ได้ยังไงเนอะ”ผมลุกขึ้นยืน ปรับเตียงแม่ใหญ่ให้เอนลงเหมือนเดิม ท่านอมยิ้มส่งมาให้ ผมมองเห็นความภูมิใจในดวงตาคู่นั้น
“โทร…ศัพท์”
“โทรศัพท์ทำไมเหรอครับแม่ใหญ่”
“อยากคุย…”
“แม่ใหญ่อยากคุยกับโซเหรอครับ…รอให้โซมาที่นี่ก่อนก็ได้ครับ อีกห้าวันเอง”
“ไม่ทัน…”
“แม่ใหญ่พักนะครับ พรุ่งนี้กีล์จะโทรหาโซให้”ผมพูดตัดประโยคที่แม่ใหญ่กำลังจะพูดแล้วห่มผ้าให้ท่าน
ผมรู้จักแม่ใหญ่ดี…และผมตีความได้ว่าสายตาและรอยยิ้มที่หายไปของท่านกับคำพูดสั้นๆที่สื่อออกมามันหมายความว่าอะไร
ผมยังไม่พร้อม…ยังไม่ใช่ตอนนี้
ครืด ครืด
ผมละสายตาออกจากแม่ใหญ่ที่หลับไปได้สักพักมามองโทรศัพท์ที่กำลังสั่น ชื่อที่ปรากฏบนจอทำให้ผมยิ้มออก
“สวัสดีครับ”
[กีตาร์ เปิดกล้องหน่อย]
ผมเสียบหูฟังแล้วเปิดกล้องตามที่โซโล่บอก ฝั่งนั้นกล้องสั่นอยู่สักพักก็เข้าที่ ดูเหมือนเขาจะหามุมวางโทรศัพท์ได้แล้ว จากที่ผมดูแล้วน่าจะเป็นหัวเตียง ส่วนตัวคนพูดก็นอนคว่ำเท้าคางมองผมอยู่บนเตียง
[นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เปิดกล้องเลย]
“พี่ก็เหมือนกันครับ”ถ้าโซโล่ไม่ได้เปิดเน็ตให้ผมเราคงไม่ได้คุยกันแบบนี้ แต่กว่าจะขอออกเงินได้นี่แทบจะต้องเอาไปแอบยัดใส่กระเป๋าตังค์อีกฝ่ายเอง สุดท้ายก็กลายเป็นออกกันคนละครึ่ง
[คุณแม่ล่ะ]
“หลับไปแล้วครับ”ผมถือโอกาสกลบรอยยิ้มเศร้าของตัวเองด้วยการหันกล้องไปทางเตียงให้โซโล่เห็นแม่ใหญ่ หลังจากสูดลมหายใจเข้าและเปลี่ยนกลับมาเป็นยิ้มที่ผมคิดว่าปกติแล้วก็เบนกล้องกลับมาที่โซฟาที่ผมนั่งอยู่เหมือนเดิม
[ง่วงหรือเปล่า]
“ยังครับ โซกลับมานานแล้วเหรอ”
[เมื่อกี้เอง พาเก้าไปกินชาบู…แดกยิ่งกว่าหมูอีก]
“ดีแล้วครับ”ผมหัวเราะออกมาเบาๆกับท้ายประโยคที่โซโล่บ่นอุบอิบ
[หัวเราะจริงๆเสียที]
“จริงๆ?”
[คิดว่าผมดูไม่ออกเหรอว่ากีตาร์ฝืนยิ้ม] โซโล่วางคางไว้กับหมอน หรี่ตามองผมด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“ปิดอะไรโซไม่ได้เลย ขอโทษน้า”ผมลากเสียงยาวเป็นการง้อคนหน้าบึ้ง สุดท้ายเจ้าหมาก็ยกมุมปากขึ้นนิดๆเป็นรอยยิ้ม
[คงต้องขอบคุณไอ้เก้าที่เรื่องของมันทำให้กีตาร์ยิ้มได้]
“ถ้าไปขอบคุณพรุ่งนี้โซอาจจะได้เลี้ยงหมูกระทะ…”
[มันบ่นว่าอยากกินโออิชิแกรนด์…] โซโล่ทำหน้ายุ่ง ท่าทางเหมือนจะรู้อนาคตตัวเอง
“ดีแล้วครับ พี่จะได้มั่นใจว่าโซทานข้าว แต่โออิชิแกรนด์นี่จะเปลืองเงินไป…”ผมยั้งปากตัวเองไว้เมื่อนึกได้ว่าอีกคนจะตอบกลับมาว่าอะไร แต่ดูเหมือนจะไม่ทัน…
[ผมรวย]
“รอบที่สามแล้วนะครับประโยคนี้”ผมกลั้นขำจนปวดท้อง คำพูดอาจไม่เท่าไหร่ แต่หน้านิ่งๆเหมือนไม่รู้สึกรู้สาตอนที่พูดคำว่าผมรวยออกมานี่มันน่าหมั่นไส้สุดๆ
[ก็มันจริงนี่ แล้วอีกอย่าง…]
“ครับ?”
[ทุกครั้งที่ผมพูด…มันทำให้กีตาร์ยิ้มได้]
อา…
จริงด้วย
ผมกำลังยิ้มอยู่จริงๆนั่นล่ะ
“ขอบคุณนะครับ”
[ครับ…แล้วคุณแม่เป็นไงบ้าง]
“ก็…ดูเหมือนท่านจะไม่มีแรงขยับแล้วครับ นี่ท่านก็หลับไปสักพักแล้ว”
[กีตาร์…]
“ครับผม”ผมส่งยิ้มให้เจ้าหมาเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร เขาส่งสายตาเป็นห่วงมาให้แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ “ท่านอยากคุยกับโซด้วยนะครับ”
[ท่านรู้จักผมด้วยเหรอ] โซโล่ทำตาโต ท่าทางดูตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ
“พี่เล่าให้ท่านฟังครับ”
[บอกหรือเปล่าว่าผมหล่อและรวยมาก] ว่าแล้วก็ยกยิ้มมุมปากเหมือนจะอวด
“ใครจะบอกแบบนั้นครับ”ผมหัวเราะออกมาอีกครั้ง เห็นอีกคนยิ้มพอใจก็เข้าใจทันทีว่าที่พูดประโยคขี้อวดพวกนั้นออกมาก็แค่อยากให้ผมยิ้ม “พรุ่งนี้สอบหรือเปล่า”
[ไม่สอบ…แต่มีซ้อมดนตรี แล้วก็น่าจะโดนเก้าลากไปเลี้ยงข้าวตามคำสั่งกีตาร์] เจ้าหมาทำหน้ามุ่ย น่าเอ็นดูจนผมอยากลูบหัว เสียดายที่อยู่ไกลเกินไป
“ดีแล้วครับ รวยนักนี่”ผมแกล้งกัด แต่นอกจากไม่สะทกสะท้านแล้วเขายังเชิดหน้ายิ้มรับอีกต่างหาก “พรุ่งนี้ถ้าแม่ใหญ่ตื่นพี่จะติดต่อไปนะครับ”
[รอผมไปหาจริงๆก็ได้]
“…”ผมพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินคำพูดที่มีความหมายเดียวกันกับที่ผมพูดกับแม่ใหญ่ไปก่อนหน้านี้
[เปิดกล้องให้แม่ใหญ่ดูด้วยนะ สงสัยท่านทนไม่ไหวอยากเห็นหน้าพ่อหมาลูกเขย] ดูเหมือนโซโล่จะเข้าใจความหมายของการที่ผมเงียบ ถึงได้กล้าพูดประโยคน่าตีนั่นออกมา
“พ่อหมาลูกเขยคืออะไรครับ”
[ก็กีตาร์เป็นแม่หมา ผมเลยต้องเป็นพ่อหมา]
“พี่ไม่ใช่หมาเสียหน่อย”ผมบ่นเบาๆ
[ต้องใช่สิ…ส่วนลูกเขยก็คือลูกเขย]
“เป็นลูกเขยตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับ”
[ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นหรอก…แต่พรุ่งนี้คงได้เป็นแล้ว] คนหน้าด้านหน้าทนส่งยิ้มมั่นใจมาให้
“ใครอนุญาตเรา”ผมถามเสียงดุทั้งที่ตัวเองกำลังยิ้มกว้าง
[ก็คอยดูแล้วกัน]
“ครับ…จะคอยดูนะ”
เรามองหน้ากัน พูดคุยสัพเพเหระไปเรื่อย ทั้งเรื่องสอบของโซโล่ที่เจ้าตัวอวดว่าง่าย เรื่องกินชาบูที่บอกว่าเก้ากินจนโดนพนักงานมองแรง เรื่องที่ผมกินข้าวของโรงพยาบาลไปเมื่อเย็นซึ่งโซโล่เบะปากแล้วบอกว่าห่วยแตก แค่ไม่ถึงวันที่ไม่ได้เจอกันเรากลับมีเรื่องคุยกันมากมายไม่รู้เบื่อ และมันทำให้ผมรู้สึกดีมากจริงๆที่มีเขาอยู่ด้วย
ผมมองใบหน้าของคนที่หลับคาโทรศัพท์ไปแล้วเงียบๆ นึกอยากลูบใบหน้านั่นเบาๆแต่ก็ทำได้เพียงสัมผัสหน้าจอ ความห่างไกลทำให้ผมทรมาน แต่การได้มองหน้าเขาแม้ว่าจะผ่านหน้าจอกลับทำให้ผมลืมความเจ็บปวดในจิตใจไปได้มากเหลือเกิน
ผมเอนตัวลงนอนกับโซฟา ถือโทรศัพท์มองดูใบหน้าที่กำลังหลับสนิทของอีกคน แค่หวังให้ความสุขช่วยให้ผมทำใจได้เร็วขึ้นบ้างสักหน่อยก็ยังดี
‘กีล์ต้องเข้มแข็งนะลูก’
แล้วเมื่อไหร่กีล์ถึงจะอ่อนแอได้ล่ะครับแม่ใหญ่…
----------------------------
ติดแฮชแท็ก #โซโล่กีล์
Fan Page : Chesshire. Twitter : @Chesshire04