-31-
ผมตื่นมาด้วยความรู้สึกปวดหัวจนแทบทนไม่ไหว ความเย็นจากบนหน้าผากช่วยให้รู้สึกดีขึ้นแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ หลังจากกระพริบตาติดกันหลายครั้งและตั้งสติได้แล้วถึงรู้ว่าสิ่งที่อยู่บนหน้าผากมันคือแผ่นเจลลดไข้
ผมกวาดสายตาไปรอบด้านแล้วก็พบว่าที่นี่คือห้องพักกว้างขวางซึ่งน่าจะอยู่ในโรงแรม แต่มันไม่ใช่ห้องพักที่ผมเคยอยู่
ความว่างเปล่าของห้องทำให้รู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ ผมผุดลุกขึ้นยืนทั้งที่ร่างกายโซเซ ความปวดหัวที่พาดผ่านทำให้ต้องหลับตาเพื่อระงับมันเอาไว้ หลังจากฝืนตัววิ่งออกจากห้องนอนแล้วก็พบห้องรับแขกกว้างขวาง ดูจากตราสัญลักษณ์ถึงได้รู้ว่ายังอยู่โรงแรมเดิม ผมเปิดประตูห้องน้ำ ประตูระเบียง แต่ก็ไม่มีวี่แววของคนที่ตามหา
ความวูบโหวงเริ่มเกาะกุมจิตใจ รู้สึกเหมือนอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก เพราะน้ำตามันเหือดแห้งไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ผมอยากตะโกนเรียกแต่คอกลับแห้งผากไม่มีเสียงอะไรหลุดออกมาแม้แต่นิดเดียว หัวใจเต้นรัวแรงขึ้นเรื่อยๆพร้อมกันกับเรี่ยวแรงที่ใกล้จะหมดลง
โซ…
หายไปไหน...
ราวกับจะตอบคำถามนั้น คนที่ตามหาเปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดข้าวในมือ ใบหน้านิ่งดูตกใจเมื่อเราสบตากัน วินาทีต่อมาเขาก็รีบวางถาดข้าวลงแล้วเดินเข้ามาประคองผมไว้
"ทำไมมาอยู่ตรงนี้"เสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยทำให้เรี่ยวแรงที่มีหายไปจนหมด ผมทิ้งตัวลงในอ้อมแขนกว้าง หัวใจที่สั่นเทาราวกับได้รับการเยียวยา มันค่อยๆกลับมาเต้นเป็นจังหวะอีกครั้ง
โซโล่พาผมกลับมาที่เตียงแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ พอได้นั่งพิงอยู่กับที่แล้วอาการปวดหัวก็บรรเทาลงไปมาก เหลือแค่ความรู้สึกหนักๆจนอยากล้มตัวลงนอน
"กินข้าวกินยาก่อนนะ"
ผมยอมพยักหน้าทั้งที่ไม่รู้สึกอยากอาหาร เอาแต่จ้องภาพคนที่ตักข้าวป้อนราวกับกลัวว่าเขาจะหายไป
ความทรงจำสุดท้ายของเมื่อวานคือตอนที่ผมอยู่ในอ้อมกอดของโซโล่ที่วัด ผมจำได้ว่าเหนื่อยมากจนตาแทบปิด ได้ยินเสียงคนข้างๆบอกให้พักผ่อน แล้วก็รู้สึกเหมือนตัวลอยจากพื้น จากนั้นภาพทุกอย่างก็หายไป
"อีกหน่อยนะกีตาร์"โซโล่คะยั้นคะยอจนผมยอมอ้าปากทานอีกสองคำก็ส่ายหน้า
"ไม่ไหวแล้วครับ"
เขาพยักหน้าเข้าใจ วางชามลงข้างๆ ส่งยามาให้ทาน พอเห็นผมทานยาจนครบแล้วก็ขยับตัวลุกขึ้น
"กีตาร์?"โซโล่มองหน้าผมอย่างแปลกใจ ก่อนจะไล่สายตามองไปที่ชายเสื้อตัวเอง ผมมองตามแล้วก็ตกใจไม่ต่างกันเมื่อเห็นว่ามือตัวเองกำลังรั้งเสื้อเขาไว้
"ขอโทษครับ"เสียงของผมสั่นเทา แม้แต่มือตัวเองที่ปล่อยจากเสื้อเขาแล้วก็ยังสั่น ผมทำได้แค่ก้มหน้า ตำหนิความงี่เง่าของตัวเองในใจ หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆก่อนจะรู้สึกถึงแรงยุบข้างตัว
"ไหนดูหน่อยกีตาร์คนเก่งของผมเป็นอะไร..."โซโล่จับคางผมให้หันไปหา วางหน้าผากแนบลงมาเหมือนต้องการวัดไข้ "อืม...รู้แล้วว่าเป็นอะไร"
"เป็นอะไรครับ"
"เป็นคนที่ขาดผมไม่ได้ไง"
ผมหัวเราะกับคำพูดนั้นเบาๆ โซโล่ยิ้มตาม กดจูบเบาๆที่ริมฝีปากแล้วดันตัวผมให้นอนลง ก่อนจะเอนตัวนอนตาม
"นอนได้แล้วครับ...ผมไม่ไปไหนหรอก"คนพูดรวบตัวผมเข้าไปกอด ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาทำให้อุ่นวาบไปถึงใจ
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่หินหนักๆในใจมันค่อยๆหายไป...บางทีอาจจะตั้งแต่ที่ได้เห็นหน้าคนๆนี้
"พี่งี่เง่าหรือเปล่าครับ"ผมซุกตัวเข้าไปหามากขึ้น ต้องการสื่อว่าต่อให้ตอบว่างี่เง่าก็จะไม่ยอมผละออกมาเด็ดขาด
"งี่เง่าตรงไหน ผมดีใจที่กีตาร์อ่อนแอบ้าง..."เขาลูบหัวผมเบาๆ "และดีใจยิ่งกว่าที่ผมเป็นคนเดียวที่ได้เห็น"
"ขอบคุณนะครับ"
"กีตาร์ดูแลผมมามากแล้ว คราวนี้ตาผมบ้างไง"โซโล่ยิ้มอ่อนโยน ดันหัวผมออกเล็กน้อยให้สบตาเขา "นอนได้แล้วครับ"
ผมพยักหน้า หลับตาลงอย่างว่าง่ายโดยไม่ลืมกำเสื้ออีกคนไว้แน่น วินาทีที่สติกำลังจะหายไปรู้สึกเหมือนมือตัวเองโดนแกะออก ผมเกือบลืมตาขึ้นมอง แต่ก่อนจะได้ทำแบบนั้นความอบอุ่นของฝ่ามือคุ้นเคยที่จับมือผมไว้ก็เข้ามาแทนที่เสียก่อน…ซึ่งมันรู้สึกดีกว่าการกำเสื้อเป็นไหนๆ
เย็น…
เย็น…เอาออกไปที
"กีตาร์…ตื่นมากินข้าวกินยาก่อนนะ”
“อือ…”
“ไม่ตื่นกัดนะ”
“ตื่นแล้ว”ผมงึมงำ เสียงอู้อี้จนตัวเองยังจำไม่ได้ ใช้ความพยายามในการลืมตาอยู่นานก็ยังไม่สำเร็จ ยิ่งสัมผัสของผ้าชุบน้ำเย็นๆที่ตามเช็ดหน้าหายไปแล้วยิ่งรู้สึกเหมือนสติจะหลุดไปอีกรอบ จนกระทั่ง…
“โซ!”ผมเด้งตัวขึ้นจากเตียงแบบลืมความง่วง รีบเอามือกุมจมูกตัวเองไว้แล้วถลึงตามองหมาบ้าที่กัดจมูกผมเสียแรง
“ครับ”คนที่ยื่นหน้าเข้ามารอไว้อยู่แล้วยิ้มอารมณ์ดี ใบหน้าที่ห่างกันเพียงคืบทำให้อารมณ์ขุ่นเคืองทั้งหมดสลายไปแบบไร้สาเหตุ
“กัด…พี่”
“เจ็บเหรอ”
“เจ็บสิครับ!”ผมหน้าบึ้ง พยายามไม่สนใจสายตาวาววับที่จ้องมาเสียใกล้ จะถอยออกก็ตัวแข็งจนขยับไม่ได้อีก
“งั้น…”คนที่ทำตัวเป็นหมาจุ๊บที่ปลายจมูกผมเบาๆแล้วผละออก “หายเจ็บยัง”
“…”ผมอ้าปากค้างกับการกระทำนั้น ยังไม่ทันได้ตอบอะไรหมาตัวโตก็จุ๊บลงมาอีกที
“ยังไม่หายเหรอ”
“หะ…หาย…”ผมรู้สึกถึงความร้อนที่พุ่งไปทั่วใบหน้า แต่ยังไม่ทันได้พูดจนจบประโยคคนตรงหน้าก็กดจูบลงมาเบาๆที่ปลายจมูกเสียก่อน
“ทานข้าวก่อนนะครับ”คนขี้แกล้งทำเสียงอ่อนโยน เลื่อนใบหน้าขึ้นกดจมูกลงที่หน้าผากผมแล้ววางทิ้งไว้อย่างนั้น ผมทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ยินยอมรับสัมผัสอ่อนโยนที่ทำให้ใจเต้นแรงนั่นไว้
มันรู้สึกเหมือนได้พลังกลับมา…
“ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า”โซโล่ผละออก พอเห็นผมส่ายหน้าก็ขมวดคิ้วเหมือนไม่เชื่อ
ก็มันไม่ปวดแล้วจริงๆ…
“พี่จะปวดหัวแค่ตอนเครียดๆครับ…เวลามีไข้หรือไม่สบายไม่ค่อยปวดหรอก”ผมพูดตามความจริง ปกติก็เป็นคนที่ไม่สบายยากมากอยู่แล้ว เวลาเป็นทีก็ไม่ได้หนักอะไร อย่างมากก็แค่ตัวร้อนหรือหนักหัว
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เป็นหนักขนาดนี้ ถึงจะยังหน่วงๆหรือเพลียๆอยู่แต่ก็ไม่ได้ปวดหนักเท่าเมื่อวานหรือตอนเช้าแล้ว
“เจย์ฟ้องว่ากีตาร์ไม่ยอมทานข้าว”โซโล่ทำหน้าดุ ปากพูดส่วนมือก็ตักข้าวต้มป้อนผมไปด้วย
“พี่ทานไม่ลงจริงๆครับ”
ทั้งเครียด ทั้งอึดอัดใจ ฝืนกินไปก็อ้วกออกมาอยู่ดี
“แต่ตอนนี้กินลงแล้วนี่”
ผมชะงักไปกับคำพูดนั้น เงยหน้ามองแล้วก็เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งมาให้อย่างจริงใจ จริงอย่างที่เขาว่า…ตอนนี้ผมกินข้าวลงแล้ว ถึงจะไม่หมดแต่ก็ถือว่ามากกว่าสองสามวันที่ผ่านมารวมกันเสียอีก
“เพราะโซอยู่ตรงนี้ไงครับ”
เพราะโซอยู่ตรงนี้…ทุกอย่างถึงดีขึ้น
“งั้นแสดงว่าถ้าผมอยากให้กีตาร์กินข้าว…”คนพูดลากเสียง วางชามข้าวต้มลงเมื่อผมส่ายหน้าบอกว่ากินไม่ไหวแล้ว “ผมต้องอยู่ตรงนี้ไปตลอดสินะ”
“…”
“ว่าไงครับ”
ผมมองคนที่ยังถามไม่เลิกนิ่งๆ พูดไม่ถูกว่ารู้สึกอะไรอยู่ แต่สุดท้ายพออีกคนเอานิ้วมาเขี่ยมือเหมือนจะบอกให้ตอบผมก็ยิ้มแล้วพยักหน้ากลับไป
“ครับ…อยู่ตรงนี้ตลอดไปนะ”
คนฟังยิ้มกว้าง ไม่ได้พูดอะไรกลับมาแต่ยื่นยามาให้แทน ผมอมยิ้มเมื่อเห็นหูแดงๆของคนที่หันหน้าหนีไปอีกทาง
หมาเขิน…น่ารัก
“นอนไปเลย”
“ไม่เอา”
“คนป่วยต้องนอนเยอะๆ”
“พี่ไม่ได้ขี้เซาเหมือนโซเลยไม่ต้องนอนเยอะครับ”ผมหัวเราะเมื่อโดนผลักหัวเบาๆจนเซไปอีกทาง คนโดนว่าขมวดคิ้วมุ่นเหมือนไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
ผมเพิ่งรู้ว่าการได้รับการดูแลจากคนอื่นมันดีอย่างนี้นี่เอง ไม่ต้องขยับตัวไปไหนก็แทบจะมีทุกอย่างที่ต้องการมากองอยู่ตรงหน้า ทั้งที่บอกว่าไม่เป็นอะไรแล้วก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปไหน โซโล่อยู่กับผมตลอดเวลา เขาคอยเช็ดตัว หาข้าวมาให้กิน ทำให้ทุกอย่าง
ผมรู้ดีว่าเขาไม่อยากให้ผมอยู่คนเดียว และการที่เขาชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ตลอดเวลาก็ทำให้ผมไม่คิดมากจริงๆ ไม่ว่าจะแกล้ง จะทำให้เขิน หรือจะงอนอะไร ทุกอย่างเขาทำเพื่อผมทั้งนั้น เพราะอย่างนั้นผมถึงพยายามไม่นึกถึงเรื่องของแม่ใหญ่ ไม่ใช่ไม่คิดถึงท่าน แต่ตอนนี้ผมยังอ่อนแอเกินไป สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้คือการลืมทุกอย่างแล้วใส่ใจแค่ปัจจุบันของตัวเอง…เพื่อให้คนรอบข้างไม่ต้องเป็นห่วงไปมากกว่านี้
“อยากกินไอติม”ผมยื่นหน้าจอโทรศัพท์ที่แตกร้าวให้เจ้าหมาดู เมื่อวานตอนที่ทำหลุดมือมันดันกระแทกกับหินเข้าอย่างจัง ดีที่คุณเจย์เก็บมาให้แล้วยังใช้ได้อยู่
Kao Ashira : โซมันบอกพี่ไม่สบาย หาไอติมกินซะนะจะได้หายดี
นั่นคือข้อความที่ส่งมาพร้อมรูปภาพไอศกรีมหน้าตาน่าทาน จริงๆของพวกนี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกหิวหรืออยากกินมากมายอยู่แล้ว แต่ที่ยื่นให้คนขี้ห่วงดูก็เพราะอยากเห็นปฏิกิริยาน่ามองของเขา
“ไอ้เก้า…”โซโล่ขมวดคิ้ว ดึงโทรศัพท์ออกไปจากมือผมแล้วขว้างไปไว้บนโซฟา “ไม่ต้องเลย…ไม่สบายแล้วจะกินได้ไง”
“หายแล้วครับ”เอาจริงๆให้ลุกขึ้นเดินก็พอไหว ยิ่งถ้าเป็นพรุ่งนี้ผมว่าอาจจะวิ่งได้แล้วด้วยซ้ำ
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้”คนห้ามทำหน้ามุ่ยไม่พอใจ
“ไม่กินก็ไม่กิน”ผมอมยิ้มจนเจ้าหมาสังเกตเห็น คงรู้ตัวแล้วว่าโดนแกล้งให้ทำท่าทางไม่พอใจถึงได้ยื่นมือมาขยี้หัวผมจนเละเทะ
“หมั่นไส้”
“นี่แก่กว่านะเนี่ย”ผมบ่นไม่จริงจังนัก ยกมือลูบหัวตัวเองให้เข้าที่เข้าทางอีกครั้ง
“ไม่รู้…ก็ตอนนั้นอนุญาตแล้ว”
อืม…เหมือนจะจำได้ลางๆอยู่เหมือนกัน
“แล้วโซมาได้ยังไงครับ ยังสอบไม่เสร็จไม่ใช่เหรอ”ผมขยับตัวพิงเตียงถามสิ่งที่สงสัยออกไป เมื่อวานตอนที่เจอกันนอกจากรู้สึกเหมือนความอดทนและความเข้มแข็งหายไป ผมก็ไม่ได้สงสัยหรือนึกถึงเหตุผลอะไรอีกเลย
คิดแค่ว่าเขาอยู่ตรงหน้าแล้ว…จะอะไรก็ช่างมัน
“ผมไปขออาจารย์สอบก่อน”
“ได้ด้วยเหรอครับ”
“มันเป็นสอบปฏิบัติเดี่ยวอยู่แล้วจะตอนไหนก็ไม่ต่างกัน ประเด็นคือตอนผมโทรไปอาจารย์อยู่ต่างจังหวัดผมเลยมาตั้งแต่วันแรกไม่ทัน เมื่อวานพออาจารย์มาผมก็ไปสอบเลย…อาจารย์บอกว่าไม่ได้ซีเรียสอยู่แล้ว กำหนดการจริงๆคือกลับเมื่อวาน ที่ตอนแรกนัดสอบวันนั้นก็เพราะเผื่อมีอะไรฉุกเฉินแล้ววันกลับล่าช้าจะได้ไม่กระทบกับการสอบ”
ผมพยักหน้าเข้าใจ ยอมเอนตัวลงตามแรงดันของอีกคนแต่ไม่ยอมหลับตา
ยังอยากคุยอยู่เลย
“แล้วสอบเป็นยังไงบ้างครับ”
คนรู้ทันหรี่ตาจับผิด แต่พอเห็นผมยิ้มให้ก็ลุกจากเก้าอี้มานอนคว่ำข้างๆแล้วเท้าคางมอง
“ยิ้มอ้อนเป็นด้วยเหรอ”ว่าแล้วก็ยื่นมือมาบีบแก้มผมเบาๆ ปล่อยให้ผมมองอย่างไม่เข้าใจว่าไปยิ้มอ้อนตอนไหน…ไม่รู้ตัวเลยสักนิด
“ไม่ได้อ้อนนะ”
“อืม…คงเพราะตาบวมๆกับปากแดงๆนี่ล่ะมั้ง”โซโล่ยิ้มน้อยๆ มือก็แตะเบาๆไปตามส่วนที่ตัวเองบอก “อีกอย่างไม่อยากนอนไม่ใช่เหรอ…เพราะงั้นถึงได้ยิ้มอ้อนออกมาไม่รู้ตัวไง”
ผมพยักหน้าหงึกหงัก เหตุผลที่สองดูน่าจะเป็นไปได้อยู่
“พี่ไม่อยากนอนครับ อยากคุยกับโซ”
มันสบายใจและรู้สึกดีกว่าการอยู่เงียบๆหรือนอนเฉยๆเป็นไหนๆ
“แล้วยังบอกไม่ได้อ้อนอีก”โซโล่บีบจมูกผมเบาๆ จากนั้นก็ทำหน้าบูด “เรื่องสอบ…ก็น่าจะพอไหว แต่ก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ ผมไม่ไหวกับดนตรีไทยจริงๆ มันยาก”
“วิชาบังคับเหรอครับ”
“ใช่…ก็ดีแล้วล่ะที่เจอตอนปีหนึ่ง จะได้จบๆไป”
ผมนอนคุยกับโซโล่อย่างสบายใจ เขาเล่าเรื่องตอนที่อยู่คนเดียวให้ฟังว่าไปทำอะไรมาบ้าง แถมยังฟ้องว่าโดนเก้าถีบตกเก้าอี้ตอนซ้อมดนตรีด้วย
“ก็ไม่ตั้งใจซ้อมนี่ครับ”
“ก็เพราะใครไม่รับโทรศัพท์ล่ะ”
ผมขอโทษเสียงอ่อย หมาหน้าบึ้งงอนได้ครู่เดียวก็หาย เปลี่ยนเป็นบ่นเรื่องเก้าให้ผมฟังแทน หลักๆไม่พ้นเรื่องกินเยอะกับการบังคับให้เจ้าหมาซ้อมดนตรีส่วนตัวเองหนีไปเล่นเกมส์ เขาคงเห็นว่าเวลาพูดเรื่องเก้าแล้วผมจะยิ้มตลอดเวลาถึงได้พูดบ่อย
“เก้าอาจจะเกิดมาเพื่อสร้างความบันเทิงก็ได้นะครับ”ผมหัวเราะ คิดตามที่พูดจริงๆ ทั้งที่เจ้าตัวก็ดูไม่ได้ตั้งใจแต่ไม่รู้ทำไมเวลาทำอะไรมันถึงได้ดูน่าขำไปหมด
“ผมว่ามันเกิดมาเพื่อสร้างความวิบัติมากกว่า”โซโล่เบะปาก หน้าตาบ่งบอกชัดเจนว่าที่พูดออกมานั่นความจริงล้วนๆ
ผ่านไปสักพักเสียงพูดคุยก็เริ่มเงียบลง ผมพอจะเดาได้ว่าเราจะคุยเรื่องอะไรกันต่อ สังเกตจากสีหน้าที่ดูจริงจังและเครียดขึ้นเล็กน้อยของเจ้าหมาก็รู้แล้ว แต่น่าแปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือรู้สึกแย่เหมือนเคยเมื่อรู้ว่าต้องพูดถึงเรื่องนี้
“กีตาร์อยากไปหรือเปล่า”
“ไป?”
ผมอมยิ้มมองคนที่ขยับตัวอย่างอึดอัดเหมือนไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่ควรพูด จริงๆก็รู้อยู่แล้วว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร แต่เห็นท่าทางทำอะไรไม่ถูกนั่นแล้วผมรู้สึกอารมณ์ดีแปลกๆ
“ก็…ที่คุณแม่บอก”
“ก็…”
ผมหยุดพูดเมื่อโดนดันคางให้หันไปสบตาคนข้างๆ โซโล่ทำหน้ากังวล คิ้วเข้มขมวดมุ่นเหมือนคนคิดไม่ตก
“ถ้าไม่อยากไปก็บอก อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้น”
“พี่อยากไปจริงๆครับ”
“เพราะผมไปรับปากไว้หรือเปล่า”
“พี่ต้องขอบคุณที่โซช่วยรับปากให้ด้วยซ้ำ”แค่คิดภาพของท่านตอนนั้นผมก็รู้สึกปวดใจแล้ว ถ้าตอนนั้นโซโล่ไม่ได้รับปากแม่ใหญ่ให้ ผมคงต้องเสียใจไปตลอดชีวิตที่ดื้อด้านไม่ยอมทำตามที่ท่านพูด
ตอนนั้นผมก็แค่ยอมรับไม่ได้ว่าท่านจะไป ถึงได้หลอกตัวเองทุกอย่างเพื่อรั้งให้ท่านอยู่
“งั้นรอให้กีตาร์หายก่อน…ผมคุยกับพวกชาวบ้านไว้แล้ว เขาบอกว่าจะรอพาเราขึ้นไป”โซโล่ยิ้มให้ผม ยื่นมือมาเกลี่ยผมออกจากใบหน้าให้
“ไปวันนี้เลยไม่ได้เหรอครับ”
ผมอยากไปเห็นที่นั่นไวๆ อยากรู้ว่าที่ๆแม่ใหญ่รักเป็นแบบไหน
“รอให้หายก่อน”
“แต่…”
“กีตาร์”โซโล่ทำเสียงดุจนผมหงอ จะเถียงต่อก็เถียงไม่ออก พอเห็นผมเงียบเขาก็ถอนหายใจเบาๆ “พรุ่งนี้...โอเคไหม”
“เช้าๆเลยนะครับ”ผมต่อรองจนคนข้างๆหรี่ตา แต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้าแต่โดยดี
“ครับ”
"ขอบคุณครับ"ผมยิ้มจนแก้มตุ่ย คนมองหัวเราะหึหึแล้วยกมือมาบีบแก้มผมเหมือนหมั่นเขี้ยว
"ยิ้มได้ก็ดีแล้ว"
"เพราะโซไง...ขอบคุณนะครับ"
"นี่ขอบคุณกี่รอบแล้วเนี่ย"
"หลายอยู่นะ"นึกๆไปแล้วก็ขอบคุณไปหลายทีอยู่เหมือนกัน แต่ทุกครั้งที่พูดผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ไม่มีครั้งไหนเลยที่พูดไปเฉยๆ
"รู้สึกดีขึ้นหรือเปล่า"
ผมนิ่งไปสักพักกับคำถามนั้น รู้ตัวดีว่ายังไงก็โกหกไม่ได้อยู่แล้ว ทางเลือกที่ดีที่สุดคงเป็นการบอกไปตามความจริง
"ดีขึ้นครับ...แต่คงไม่ได้เรียกว่าหาย"
"ผมเข้าใจ"โซโล่พยักหน้า "มันต้องใช้เวลา กีตาร์คิดถึงได้…แต่อย่ายึดติด"
"ยึดติด?"
"ยึดติดกับความเสียใจ…ผมผ่านมาแล้ว รู้ดีว่ามันเป็นยังไง"ดวงตาที่มองมาที่ผมสั่นไหววูบหนึ่งแล้วกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว "ตอนนั้นผมยึดติดอยู่กับความเสียใจ แรกๆเจย์อยู่ด้วยยังพอมีคนห้าม แต่พอเจย์ไปผมกลายเป็นเด็กเกเรไปเลย"
"หมายถึง..."
"อืม...หมายถึงตอนที่แม่ผมเสีย"โซโล่ยิ้มให้ผมเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร เมื่อผมขยับมือไปจับแขนเขาด้วยความเป็นห่วง "ผมใช้เวลาเกือบสี่ปีถึงจะคิดได้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็แค่เลิกยึดติดกับความเสียใจ ใช้ชีวิตต่อไป คิดถึงท่านก็ดูสิ่งที่ท่านทิ้งไว้ให้ ตอนนั้นมันยากมากแต่ผมก็ผ่านมาได้..."
"..."
"แต่สำหรับกีตาร์ไม่ยากหรอก...เพราะผมอยู่ตรงนี้"
ผมยิ้มรับคำพูดนั้นโดยไม่ปฏิเสธ รู้ดีที่สุดว่ามันจริงแค่ไหน ผมอาจจะยังเจ็บและเสียใจเพราะเป็นเหตุการณ์สดใหม่ แต่คนเราจมอยู่กับความเศร้าตลอดไปไม่ได้ สิ่งที่ผมควรทำไม่ใช่การยึดติดอยู่กับความเสียใจ แต่เป็นการใช้ชีวิตที่แม่ใหญ่เลี้ยงดูมาต่อไปให้ดีที่สุด…โดยมีคนๆนี้อยู่ข้างๆ
คนที่ผมเลือกและเขาก็เลือกผม
ถึงเวลาทำจริงจะยากแค่ไหนแต่ในเมื่อเขาบอกว่าไม่ยากเพราะมีเขาอยู่ ผมก็จะเชื่อตามนั้น
"พี่จะพยายามนะครับ...ช่วยพี่หน่อยนะ"
ถึงตอนนี้จะยังกลับไปยิ้มได้ไม่เต็มที่ แต่แค่ได้ร้องไห้หนักๆโดยมีโซโล่อยู่ข้างๆก็ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมากแล้วจริงๆ ถ้าเขายังอยู่ตรงนี้ ผมเชื่อว่าตัวเองจะกลับมายิ้มได้เต็มที่แน่นอน
"รับทราบ"โซโล่ยิ้มมุมปาก ยื่นมือมาดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้จนถึงอก "ถึงเวลานอนแล้ว"
"แต่พี่ไม่ง่วง"ผมเถียง พยายามจะดึงผ้าห่มลงแต่ก็สู้แรงอีกคนไม่ได้ ตอนสบายดีก็สู้ไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งตอนไม่มีแรงแบบนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
"ไม่ง่วงก็ต้องนอน เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงนะ"
"แต่...อื้อ!"ผมขมวดคิ้วเมื่อโดนหมาบีบแก้มจนปากจู๋ ถลึงตาใส่แล้วก็ยังไม่ยอมปล่อย
"ไออ๋า!"ไอ้หมา!
"พูดไรอะ"คนฟังไม่รู้เรื่องหัวเราะหึหึ ผมไม่ต้องเห็นหน้าตัวเองยังรู้เรื่องว่ามันต้องดูตลกมากแค่ไหน
"อ๋าโอ!"หมาโซ!
"ทำไมเด็กชายกีตาร์ดื้อจัง...ไม่นอนผมจูบนะ"
บีบปากกันแบบนี้แล้วยังบอกให้นอนอีก ไอ้หมานี่
"ยังไม่หลับตาอีก..."
"อื้อ!"ผมเบิกตากว้างมองคนฉวยโอกาสที่ก้มหน้าลงมาจูบไวๆแบบไม่ให้ตั้งตัวทั้งที่ยังบีบแก้มผมอยู่
"นอนไม่นอน"
ผมรีบพยักหน้าหงึกหงัก พอคนขู่ปล่อยมือก็หมุนตัวไปอีกทางแล้วเอาผ้าห่มคลุมโปงทันที
น่าอับอายที่สุด...เกลียดจริงๆเวลาไม่มีแรงแบบนี้
หมาบ้า...
"เดี๋ยวหายใจไม่ออก"คนพูดดึงผ้าห่มด้านหลังเบาๆเป็นเชิงบอกให้โผล่หัวออกมา หลังจากยื้อกันไปมาอยู่สักพักผมก็ยอมโผล่หน้าออกมาแต่ไม่หันกลับไป
"พี่จะนอนแล้วครับ"
ไม่ได้จะหลับหนีอาการเขินอะไรจริงๆนะ เพราะยาเริ่มออกฤทธิ์ถึงได้รู้สึกง่วงขึ้นมากะทันหันต่างหาก วินาทีที่ตาจะปิดรู้สึกเหมือนถูกดึงไปกอดไว้จากทางด้านหลัง ความอบอุ่นที่เผื่อแผ่มาทำให้ผมรู้สึกง่วงหนักกว่าเดิมจนฝืนตัวเองไม่ไหวในที่สุด
.
.
ผมรู้สึกเหมือนฝันร้าย…รอบกายมีแต่ความว่างเปล่า และเพราะมันว่างเปล่าทั้งที่เป็นความฝันมันถึงได้น่ากลัวยิ่งกว่าอะไร มันเป็นความฝันที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแม่ใหญ่ แต่ตอกย้ำให้รู้ว่าผมอยู่คนเดียว ไม่มีแสงไฟ ไม่มีอะไรนำทาง มองไม่เห็นแม้แต่ร่างกายของตัวเอง
ตอนที่ความสิ้นหวังครอบคลุมไปทั่วจิตใจ ผมได้ยินเสียง…
“อย่าร้อง”
ผมรู้สึกตัว ลืมตาจากความว่างเปล่ามาเจอความจริงที่มีคนๆหนึ่งอยู่ข้างๆ เขากำลังเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือและมองมาด้วยสายตาเจ็บปวด
“ผมอยู่ตรงนี้…”เขากระซิบ
ผมหลับตาลง แนบใบหน้าเข้ากับอกกว้าง รับรู้ได้ถึงจังหวะหัวใจที่กำลังเต้น…ทั้งของตัวเองและของคนข้างๆ
ของเรา…
ผมรู้แล้วว่าความว่างเปล่าที่ผมเห็นในความฝันมันคืออะไร
เป็นเพราะผมไร้จุดหมายในชีวิต ไม่มีแม้กระทั่งความฝัน ทุกๆอย่างถึงได้หายไป เพราะแบบนั้นผมถึงมองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว
แม่ใหญ่เคยเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม
เพราะท่านจากไปทุกสิ่งทุกอย่างของผมถึงหายไปด้วย
แต่ตอนนี้ผมมองเห็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญและมีค่าไม่แพ้กัน
ท่ามกลางความว่างเปล่า…
มีหมาฮัสกี้ตัวหนึ่งอยู่ตรงนั้น
------------------------------------
ติดแฮชแท็ก #โซโล่กีล์
Fan Page : Chesshire. Twitter : @Chesshire04