-32-
เราออกเดินทางกันแต่เช้า ลุงหมายกับลุงมั่นที่เป็นคนนำทางบอกว่าต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย เพราะแค่จากโรงแรมไปก็ไกลแล้ว ไหนจะต้องขึ้นเขาอีก ผมบอกลาสามคิงกับน้องๆในตอนเช้า ไม่ลืมบอกว่าจะติดต่อไปถ้ามีโอกาส
ตอนนี้สิ่งที่มองเห็นในสายตานอกจากท้องฟ้าแล้วก็มีแค่ต้นไม้เขียวชะอุ่มรอบด้าน ผมรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติแบบนี้มานานจนแทบลืมไปแล้วว่าธรรมชาติจริงๆเป็นแบบไหน
ยิ่งขึ้นมาสูงเท่าไหร่อากาศก็ยิ่งหนาวมากเท่านั้น ผมไม่ค่อยชินกับอากาศหนาวเพราะอยู่ในเมืองมาหลายปี ต่างจากคนข้างๆที่เดินชิวๆโดยสิ้นเชิง โซโล่อยู่เมืองนอกมาตลอด ไม่แปลกที่เขาจะเคยชินกับอากาศแบบนี้ เผลอๆอาจจะหนาวน้อยกว่าที่ๆเขาเคยอยู่ด้วยซ้ำ
"หนาวมากไหม"คนขี้ห่วงถามเป็นรอบที่สาม ทั้งที่รู้ว่าถามไปก็ทำอะไรไม่ได้ ผมถูกจับใส่เสื้อหลายทับจนใส่มากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว
"นิดหน่อยครับ"เอาจริงๆที่ตัวก็พอจะอุ่นอยู่หรอก แต่มือนี่เย็นจนจะเป็นน้ำแข็งอยู่แล้ว
"คุณลุงบอกว่าจะถึงแล้วครับ"คุณเจย์ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าหันมาบอก ผมพยักหน้ากลับไปเพราะรู้สึกเหมือนเวลาพูดทีไรปากสั่นเสียงสั่นทุกที
"กีตาร์"โซโล่เรียกเบาๆ ดึงมือผมไปจับไว้แล้วหันมาทำหน้าดุใส่ "มือเย็นแล้วไม่บอก ผมเพิ่งเห็นว่าเสื้อกีตาร์ไม่มีกระเป๋า"
ผมไม่ตอบอะไรแต่ใช้สองมือจับมืออีกคนแน่น พอได้จับมืออุ่นๆแล้วก็เหมือนจะได้รับการถ่ายทอดความอุ่นมาด้วย
"ทำไมมือโซไม่เย็น"ผมมองดูแล้วเสื้อกับกางเกงเขาก็ไม่มีกระเป๋า แถมยังใส่เสื้อแขนยาวทับแค่ชั้นเดียวด้วยซ้ำ
"ผมชิน...อีกอย่างมันก็ไม่ได้อุ่นขนาดนั้นหรอก แต่เพราะมือกีตาร์เย็นเกินไปต่างหาก"
ผมพยักหน้า รู้สึกเหมือนจะพูดต่อไม่ไหวแล้ว โซโล่เองก็เข้าใจและไม่ได้ถามอะไรอีก เขาแค่เดินจับมือผมไปตามทางเรื่อยๆ สุดท้ายผมก็ได้แต่เดินตามมองนั่นมองนี่ไปเรื่อย จนในที่สุดก็มองเห็นกลุ่มคนอยู่ไกลๆ พวกเขากำลังชูไม้ชูมือเรียกพวกเรา
"พวกนั้นมารอรับครับคุณ"ลุงหมายหันมาบอกพร้อมรอยยิ้ม
ยิ่งเราเดินเข้ามาใกล้เท่าไหร่ผมก็ยิ่งเห็นกลุ่มคนตรงนั้นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ มีผู้หญิงวัยกลางคนยืนอยู่ตรงนั้น ข้างๆกันคือกลุ่มเด็กต่างวัยกันเกือบยี่สิบคน พวกเขาใส่เสื้อผ้าเก่าๆ สวมเสื้อหนาวทับกันแค่คนละตัว ทั้งที่ดูน่าจะหนาวแต่เด็กพวกนั้นกลับยิ้มแย้มโบกมือมาให้อย่างอารมณ์ดี
ผมมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ตัวเองก็เคยอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆกัน แต่ผมโชคดีที่มีโอกาส มีแม่ใหญ่คอยสนับสนุนจนมาถึงวันนี้ได้
"กีตาร์..."มือที่จับมือผมไว้ออกแรงบีบน้อยๆจนผมรู้สึกตัว โซโล่มองมาด้วยความเป็นห่วง คงเพราะเห็นผมเหม่อและหยุดเดิน "ไม่เป็นไรนะ"
"ไม่ครับ"ผมส่ายหน้า ยิ้มน้อยๆให้เขาสบายใจแล้วรีบออกแรงลากคนที่ยืนนิ่งให้เดินต่อ
"ครูๆ...ครูมาแล้ว!"
"เขาเป็นแขก ไม่ใช่ครู!"
คุณป้าที่ยืนอยู่ข้างๆพวกเด็กๆหันมายิ้มขอโทษพวกผม ท่านปรามให้พวกเด็กๆอยู่นิ่งๆแล้วเดินเข้ามาหา
"ลูกหลานครูใหญ่ใช่ไหมจ๊ะ"
ผมกำลังจะตอบว่าใช่ แต่ก่อนจะได้ทำอย่างนั้นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆสองคนก็วิ่งเข้ามาจับมือผมเขย่าไปมาเสียก่อน
"ครูๆผมท่อง ก.ไก่ ถึงฮ.นกฮูกได้แล้วนะ"
"ผมก็ท่องได้แล้ว"
ผมฟังสำเนียงแปร่งๆของเด็กๆด้วยรอยยิ้ม ถึงจะฟังดูแปลกและไม่ชัดไปบ้างแต่ก็รู้เรื่องว่าพูดอะไร คุณป้าทำท่าจะเข้ามาห้ามแต่ผมส่ายหน้ากลับไปเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร ท่านจึงหยุดยืนอยู่ที่เดิม
ผมวางกระเป๋าที่สะพายลงกับพื้น ขยับตัวนั่งยองๆให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกับเด็กสองคนที่มองมาตาแป๋ว
"ทำไมถึงเรียกพี่ว่าครูล่ะครับ"
"ก็ครูเป็นครูนี่ ครูใหญ่บอกว่าคนที่จะขึ้นมาหาจะมาสอนหนังสือพวกเรา"
"เดี๋ยวป้าอธิบายให้ฟังเองจ้ะ...ไปเล่นกันก่อนไป!"คุณป้าเดินเข้ามาห้าม ช่วยดึงมือเด็กสองคนออกไปจากผม
"แต่พวกเราอยากเรียนแล้วนะยาย!"น้องผู้ชายอีกคนตะโกนมาจากในกลุ่ม ท่าทางเหมือนไม่อยากให้รู้ว่าใครพูด แต่เพราะตัวสูงกว่าคนอื่นเลยถูกคุณป้าชี้หน้าคาดโทษอย่างรวดเร็ว
"ไอ้พวกนี้!จะไม่ให้เขาพักกันเลยหรือไง...ไปๆไปช่วยเก็บผักไป"คุณป้าโบกมือไล่ พอโดนนิ่งใส่ก็ยกไม้ที่ถือไว้แต่แรกขึ้น กลุ่มชนถึงได้แตกกระจายกันไปคนละทิศคนละทางจนเหลือแค่พวกผมที่ยังยืนอยู่
"ขอโทษด้วยนะจ๊ะ...ไอ้พวกนี้มันอยากเรียนหนังสือมากจริงๆ"คุณป้าหันมายิ้มใจดีให้พวกผม พาเดินแยกจากพวกลุงหมายมาทางตรงข้ามกับที่พวกเด็กๆวิ่งไป
"คุณป้าพูดชัดจังเลยนะครับ"ผมชวนคุย ปล่อยให้โซโล่เดินตามกับคุณเจย์อยู่ด้านหลัง
"เรียกป้าจิตก็ได้จ้ะ...ป้าเคยเป็นคนในเมืองมาก่อน พูดได้แต่เขียนไม่ได้หรอก อย่างดีก็ทำได้แค่สอนพวกมันพูด อยากให้พวกมันรู้ภาษาเผื่อวันหน้ามีอะไรจะได้คุยกับเขารู้เรื่อง"
"อ๋อ..."ผมเห็นด้วยกับความคิดนั้นไม่น้อย ถ้าวันใดวันหนึ่งมีปัญหาหรือได้ลงไปทำงานที่เมืองพวกเด็กๆจะต้องเอาตัวรอดได้ดีกว่าแน่นอนถ้ารู้ภาษา
"นอกจากป้า ไอ้หมายแล้วก็ไอ้มั่น คนที่เหลือก็เป็นชาวเขาหมด คนที่นี่ฝึกพูดภาษากลางกันเป็นกิจวัตรเพราะอยากเข้ากับคนนอกได้ ถ้าคำไหนฟังไม่ชัดก็ถามได้เลยนะจ๊ะ"
"ขอบคุณมากครับป้าจิต"
ป้าจิตเดินนำผมมาจนถึงหน้าบ้านไม้ไผ่หลังไม่ใหญ่นัก อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านอีกฝั่งที่ผมเห็นตอนขึ้นมา แต่ก็ถือได้ว่าแยกตัวเป็นเอกเทศพอควร รอบด้านเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวที่ให้ความรู้สึกสดชื่น หน้าบ้านมีที่นั่งพักซึ่งทำจากไม้ไผ่ น่าจะเอาไว้นั่งเล่นหรือนั่งคุย ถ้ามานั่งดูตอนกลางคืนคงจะเห็นดาวชัดเจน
"นี่เป็นบ้านของครูใหญ่..."
ผมชะงักเท้า สายตาหันมามองป้าจิตที่กำลังทำหน้าเศร้าโดยอัตโนมัติ วินาทีที่ความคิดของผมกำลังจะล่องลอย ฝ่ามืออบอุ่นคุ้นเคยก็ขยับมากอบกุมไว้อีกครั้งจนรู้สึกตัว โซโล่กำลังกวาดสายตามองไปรอบด้านอย่างสำรวจ ดูเหมือนที่เข้ามาจับมือจะเป็นสัญชาติญาณหมาฮัสกี้…อย่างกับจับสำรวจได้ว่าผมกำลังรู้สึกไม่ดี
หลังจากเอากระเป๋าเข้าไปเก็บพวกผมก็ออกมานั่งคุยกับป้าจิตด้านนอก ป้าจิตบอกว่าที่นี่ไม่ค่อยจะมีใครมาเพราะไม่เป็นที่รู้จัก ถึงจะพูดได้เพราะมีป้าจิตกับลุงสองคนช่วยสอนพูด แต่ก็ไม่มีความกล้าพอจะไปคุยกับใครในเมือง ทั้งยังไม่มีความรู้ จะแนะนำที่นี่ให้คนรู้จักก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
“ที่นี่ไม่มีไฟฟ้ากับน้ำประปาใช้หรอกนะลูก ถ้าอยากอาบน้ำก็เดินไปที่ลำธาร เอาไว้เดี๋ยวป้าจะให้เด็กๆมันพาไปดูอีกที แล้วนี่จะมาอยู่กันกี่วันล่ะ ครูใหญ่บอกว่าสักอาทิตย์ใช่ไหม”
“ผมยังไม่แน่ใจครับ บางทีอาจจะสองอาทิตย์”ผมตอบเสียงค่อย ในใจกำลังนึกว่าควรจะถามในสิ่งที่สงสัยออกไปไหม แต่สุดท้ายก็ห้ามความอยากรู้ของตัวเองไม่ได้อยู่ดี “ป้าจิตครับ ไม่ทราบว่าแม่ใหญ่ท่าน…”
ผมเงียบไปเมื่อไม่รู้ว่าควรจะถามอะไรต่อ มันมีความสงสัยมากมาย แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะถามอะไรออกมาก่อน ป้าจิตยิ้มให้ผมเหมือนเข้าใจดีว่าผมอยากจะพูดอะไร
“ครูใหญ่แกบอกทุกคนไว้ก่อนจะเข้าโรงพยาบาล…บอกว่าลูกของแกจะมาที่นี่ บอกว่าถ้ามาแล้วให้ช่วยดูแลให้ที”
“แม่ใหญ่รู้ตัวอยู่แล้วใช่ไหมครับ…ว่าท่านจะไป”ผมยิ้มเศร้า มองเข้าไปในบ้านที่ท่านเคยอยู่
“ไม่ใช่แค่ท่านรู้หรอก…แต่เราทุกคนรู้ต่างหาก”ป้าจิตจับมือผมไว้ ส่งรอยยิ้มใจดีมาให้ “หนูพร้อมจะฟังจริงๆหรือเปล่าลูก”
“กีตาร์…”โซโล่เรียกเบาๆ พอผมหันไปมองเขาก็ส่ายหน้าให้ เหมือนจะบอกว่าถ้ายังไม่ไหวก็อย่าฝืน
“พี่โอเคครับ…”ผมยิ้มจากใจจริง ไม่ได้ฝืนแต่อย่างใด ผมอยากรู้จริงๆว่าท่านใช้ชีวิตแบบไหน ท่านทำอะไรหรือเป็นอะไรบ้าง “บอกผมเถอะครับป้าจิต”
ป้าจิตพยักหน้าทอดสายตาออกไปด้านนอก แล้วเริ่มพูดขึ้นช้าๆราวกับกำลังนึกถึงวันเก่าๆ
“ตอนครูใหญ่มาที่นี่เมื่อสี่ปีก่อนท่านยังแข็งแรงอยู่เลย ดูเหมือนคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำจนร่างกายแข็งแรง…”
ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่นจนเจ็บ รู้ดีว่ามันไม่ใช่เพราะท่านออกกำลัง แต่เป็นเพราะท่านทำงานหนักจนชิน ที่ดูไหวก็ฝืนตัวเองทั้งนั้น เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งช่วงที่พาผมออกมาอยู่กันสองคนท่านยิ่งทำงานหนัก ถ้าไม่ได้คนที่รู้จักรับท่านทำงานก็ไม่รู้จะมีใครยอมให้คนอายุมากแบบท่านทำงานอีก
“ตอนแรกพวกป้าก็เป็นห่วง เห็นว่าแกอายุมากแล้วแล้วยังจะมาช่วยสอนเด็กๆอีก กลัวว่าแกจะไม่ไหว แต่เพราะแกทำตัวเหมือนคนอายุห้าสิบหกสิบเดินไปนั่นไปนี่สบายๆเลยไม่มีใครสงสัยอะไร พวกเราเริ่มรู้กันเมื่อปีก่อน…ไอ้จามันเห็นครูใหญ่ไอหนัก ทำท่าจะไม่ไหว พอถามแกก็บอกว่าเป็นโรคคนแก่ ให้เข้าเมืองยังไงก็ไม่ยอมไป พวกเราได้แต่เชื่อเพราะไม่รู้จะบังคับยังไง”
ผมหลุบตาลงต่ำ ไม่อยากมองหน้าป้าจิตที่กำลังเศร้า ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าสิ่งที่ท่านจะพูดต่อไปต้องไม่ใช่เรื่องดี
“จนเมื่อครึ่งปีก่อนแกก็อาการแย่ลง เดินเหินไม่ได้เหมือนปกติ เด็กๆมันก็คิดว่าครูใหญ่ของมันไม่สบาย ขนหนังสือหนังหาจากห้องเรียนมาหาที่นี่ ให้ครูใหญ่แกสอนที่นี่แทน เพราะแกยังพูดไหวอยู่ถึงยังพอสอนเด็กๆได้ กลางคืนก็ผลัดกันมานอนเฝ้า ช่วยป้อนข้าวป้อนน้ำให้แก จนเมื่ออาทิตย์ก่อนครูใหญ่ลุกขึ้นเดินออกมาจากบ้าน พวกเราดีใจกันมาก แกบอกว่าถ้าลูกแกจะมาที่นี่ให้ช่วยดูแลแทนที…แล้วแกก็ล้มลง”
ผมหลับตาลง ไม่อยากนึกภาพตามเหตุการณ์ที่ป้าจิตพูด ความรู้สึกวูบโหวงในอกทำให้ผมเลือกที่จะเบนความสนใจไปที่คำถามอื่นแทน
“แม่ใหญ่ฝากบอกอะไรผมอีกหรือเปล่าครับ…”
“ไม่มีหรอกลูก”
“แล้ว…ตอนอยู่ที่นี่ท่านทำอะไรบ้างเหรอครับ”
“ถ้าหนูหมายถึงครูใหญ่ทำอะไรเพื่อพวกเราบ้าง…”ป้าจิตทอดสายตาออกไปด้านนอก ผมมองตาม เห็นเด็กๆกว่าสิบคนกำลังวิ่งมาทางนี้ “มันมากมายจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้หรอก”
“…”
“หนูคงต้องไปดูด้วยตาตัวเองถึงจะเข้าใจ”
“ครู!”
“ครู…เราเอาข้าวมาให้”
ผมละสายตาจากเด็กๆที่วิ่งมาหา หันกลับมามองป้าจิตที่กำลังยิ้ม
“ลองสัมผัสดูสิลูก…”ท่านลุกขึ้นเดินจากไปพร้อมคำพูดที่ทิ้งไว้ในใจผม
“ทำไมครูคนนี้สูงจังอะ”
“คนนี้สีหัวแปลกจัง”
ผมมองภาพฝูงเด็กที่เข้าไปรุมโซโล่กับคุณเจย์ด้วยรอยยิ้ม เห็นคุณเจย์เล่นกับเด็กๆแล้วก็สบายใจ แต่พอหันกลับมามองหมาหน้านิ่ง…ดูเหมือนเขาจะเป็นที่รักของเด็กตัวเล็กๆมาก ถึงได้มีแต่เด็กอายุน้อยๆปีนตัวไปมาจนดูน่าปวดหัว ซึ่งคนที่โดนปีนก็ทำตัวเป็นหุ่นขี้ผึ้งยอมนั่งนิ่งๆแต่โดยดี
“นี่…”
ผมหันมาตามเสียงเรียก เห็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักอายุราวห้าหกขวบกำลังกัดเล็บมอง มือข้างหนึ่งดึงแขนเสื้อผมเป็นเชิงเรียก บนตักมีตุ๊กตาพระจันทร์สีเหลืองเก่าๆวางอยู่
“ครูใหญ่ไปไหน…”
ผมเงียบไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามนั้นว่าอะไร สุดท้ายก็เริ่มจากการดึงมือเล็กๆนั้นออกจากปาก รีบใช้อีกมือลูบหัวน้อยๆเมื่อน้องทำท่าทางเหมือนจะร้องไห้ พอผมยิ้มให้เขาก็ค่อยๆกลับมาเป็นปกติ
“ครูใหญ่อยู่บนฟ้าครับ”ผมหัวเราะเมื่อตากลมๆนั่นรีบมองขึ้นไปบนฟ้าตามคำที่ผมพูด
“ไม่เห็นมีเลย”ผมดึงเขามานั่งตักแล้วลูบหลังปลอบเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวเริ่มเบะปากทำท่าจะร้องไห้อีกรอบ และนั่นทำให้ผมเห็นชื่อที่เขียนอยู่บนปกเสื้อสีขาวของน้อง
‘น้องมูน’
ผมดันตัวน้องออกเบาๆ ช่วยเช็ดน้ำตาบนใบหน้าให้ เพิ่งจะสังเกตว่าน้องใส่เสื้อที่มีรูปพระจันทร์อยู่ด้านหน้า ถึงจะเก่าไปหน่อยแต่ก็ดูเข้ากับชื่อดี
“มูนแปลว่าอะไรรู้ไหมครับ”
“รู้ครับ…มูนแปลว่าพระจันทร์”น้องมูนตอบเสียงน่ารัก ใบหน้ายิ้มเหมือนภูมิใจในชื่อตัวเอง “ครูใหญ่บอกว่าให้ชื่อมูน…ให้มูนเป็นพระจันทร์ที่ดูเย็นตา ทำให้ทุกคนสบายใจ”
“น้องมูนอายุเท่าไหร่แล้วครับ”ผมถามอย่างแปลกใจ ดูแล้วน้องน่าจะอายุมากกว่าสี่ขวบ แม่ใหญ่เพิ่งมาอยู่ที่นี่สี่ปี แล้วทำไมถึงตั้งชื่อให้น้องได้
“หกขวบครับ…ครูชอบชื่อมูนไหม”
“ชอบครับ”
“มูนก็ชอบ จาบอกว่าแม่ไม่รักมูนเลยไม่ยอมตั้งชื่อให้ ทุกคนเรียกแต่ไอ้ขาวๆเพราะมูนตัวขาว”น้องมูนทำหน้าบึ้งเหมือนไม่พอใจ แต่มันกลับดูน่ารักเสียเหลือเกิน
“ทำไมพูดถึงคุณแม่อย่างนั้นล่ะครับ”
“ก็แม่ไม่รักมูน…ไม่อย่างนั้นจะทิ้งมูนไปเหรอครับ”น้องมูนเอียงคอเหมือนไม่เข้าใจ ผมเงียบไปกับคำพูด ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจน้อง แต่เพราะเข้าใจดีต่างหากถึงรู้ว่าไม่ควรพูดถึงมัน
“น้องมูนเคยเห็นพระจันทร์ไหมครับ”ผมถามเสียงอ่อนโยน ยื่นมือไปลูบหัวเล็กๆเบาๆเมื่อน้องทำหน้านึกตาม
“ครูใหญ่เคยให้มูนดู…แต่ก็นานมากแล้ว ครูใหญ่ไม่ยอมลุกจากที่นอนเลย มูนไม่อยากดูพระจันทร์คนเดียวเลยรอดูพร้อมครูใหญ่…แล้วครูใหญ่จะกลับมาตอนไหนครับ”
ผมได้แต่ยิ้มเพราะไม่รู้ว่าจะตอบแบบไหน ในขณะที่กำลังคิดว่าจะเลือกคำตอบที่ทำให้น้องสบายใจตัวน้องมูนก็ถูกอุ้มออกไปจากตักผมเสียก่อน
“โซ?”
โซโล่ที่กำลังยืนอุ้มน้องมูนอยู่มองมาที่ผมแล้วยิ้มนิดๆ ผมลุกขึ้นยืนตาม หันไปมองอีกทางแล้วเห็นว่าเด็กๆกำลังนั่งเรียงแถวฟังคุณเจย์พูดอยู่ก็สบายใจ รีบเดินตามโซโล่ที่อุ้มน้องมูนออกไปด้านนอก
“มูนแปลว่าพระจันทร์ใช่ไหม”
ผมยืนพิงต้นไม้แอบมองคนที่กำลังคุยกับเด็กด้วยความอยากรู้อยากเห็น ดูจากท่าอุ้มก็รู้แล้วว่าเจ้าหมานั่นต้องไม่เคยดูแลเด็กแน่นอน ใบหน้านิ่งๆฉายแววยุ่งยากใจ เขาวางน้องมูนลงกับพื้น เจ้าตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงักเพื่อตอบคำถาม
“ครูใหญ่จะไม่กลับมาแล้ว”
“โซ…”ผมเรียกด้วยความตกใจ แต่โซโล่หันมาหาแล้วยกมือห้าม ไม่ยอมให้ผมเดินเข้าไปปลอบน้องที่เริ่มเบะปาก ผมได้แต่มองด้วยความไม่สบายใจ ไม่อยากให้น้องร้องไห้แต่ก็คิดว่าเจ้าหมาคงมีวิธีจัดการอยู่แล้ว
"อย่าร้องไห้ง่ายๆสิ"คนที่กำลังทำหน้าบึ้งจนน้องกลัวกว่าเดิมว่าแล้วคุกเข่าลง ใช้มือเช็ดน้ำตาให้น้องป้อยๆ "เดี๋ยวครูใหญ่ก็เสียใจหรอก"
"ฮึก...ครู"น้องมูนเม้มปาก หลับตาปี๋เหมือนจะกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
"อยากเจอครูใหญ่ใช่ไหม..."
"ครับ"
"คืนนี้มาหา...เดี๋ยวพาไปเจอ"
"จริงนะ!"เด็กชายตัวเล็กทำหน้าตื่นเต้น พอโซโล่พยักหน้าก็วิ่งไปวิ่งมาอย่างอารมณ์ดี
โซโล่หันมาสบตาผมเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร เขาปล่อยให้น้องมูนวิ่งกลับไปรวมกับเพื่อนๆเหมือนเดิมแล้วเดินมาหาผม
"เด็กคนที่โตที่สุดในกลุ่มบอกว่ามูนติดครูใหญ่ที่สุด"โซโล่มองไปทางบ้าน ตอนนี้คุณเจย์กำลังพูดอะไรสักอย่างที่ทำให้เด็กๆหัวเราะกันเสียงดัง "ผมไม่อยากให้กีตาร์โกหกว่าคุณแม่จะกลับมา"
"แต่เขายังเด็ก..."
"เด็กก็มีสิทธิ์รู้ความจริง...ผมไม่ได้จะปล่อยให้เขาร้องไห้ ไม่ได้จะทำร้ายจิตใจ แต่มันมีวิธีที่จะทำให้เขารู้สึกดีได้โดยไม่ต้องโกหก ถ้าโกหกไปแล้วครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อไปเรื่อยๆ น้องคนอื่นๆยังไม่พูดถึง เด็กคนอื่นๆเข้าใจว่าครูใหญ่ของพวกเขาจะไม่กลับมาแล้ว พอมีคนมาสอนหนังสือแทนก็ไม่ได้ถามต่อหรือสงสัยอะไร แต่ถ้ามูนไปร้องไห้เพราะเรื่องครูใหญ่ให้เด็กๆเห็นพวกเขาคงคิดตาม เผลอๆอาจจะร้องไห้ตามกันไปด้วย"
ผมคิดตามสิ่งที่เขาพูด ที่พาน้องมูนออกมาก็คงเพราะไม่อยากให้คนอื่นเห็นน้องร้องไห้เพราะเรื่องแม่ใหญ่ โซโล่ดูจริงจังกับเรื่องนี้มากจนผมมองใบหน้าที่ดูนิ่งผิดปกติของเขาด้วยความกังวล
"ผมรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วพอมารู้ความจริงทีหลังมันจะเจ็บปวดแค่ไหน"
"โซ..."ผมแตะนิ้วเย็นเฉียบลงบนฝ่ามือของคนที่ยืนนิ่ง เขารู้สึกตัว หันมายิ้มให้แล้วจูงมือผมเข้าไปด้านในโดยไม่พูดอะไรต่อ
"มาทานข้าวกันเถอะครับ เด็กๆบอกว่าพวกชาวบ้านทำมาให้เรา"คุณเจย์กวักมือเรียก มีเด็กๆนั่งเรียงแถวมองอยู่ด้านหลัง ด้านหน้าของเขาเป็นปิ่นโตที่ใส่กับข้าวเอาไว้สำหรับสามคน
“แล้วเด็กๆทานกันแล้วเหรอครับ”ผมหันไปถามเด็กๆที่นั่งตัวตรงอยู่ด้านหลังคุณเจย์ หนึ่งในนั้นมีน้องมูนที่ตัวเล็กที่สุดอยู่ด้วย พวกเขาพยักหน้าหงึกหงัก ท่าทางตั้งอกตั้งใจจนผมอดขำไม่ได้ “นี่มันอะไรกันครับคุณเจย์…เหมือนหัวหน้าฝูงเลย”
“ให้พวกเขาอธิบายดีกว่าครับ…ในฐานะพี่คนโต จาไหนลองอธิบายชัดๆสิ”
“ครับเฮีย”เด็กผู้ชายที่ตัวสูงกว่าเพื่อนขยับตัวมาด้านหน้า ท่าทางนั่งเรียบร้อยจนหมดมาดลิงภูเขาตอนแรกไปเลย
“เฮีย?”โซโล่ทวนคำ มองไปที่คุณเจย์ด้วยสายตาสงสัย
“เฮียบอกให้เรียกว่าเฮียแล้วถึงจะช่วยคุยกับครูให้…”
“เฮ้ย!ตกลงกันว่าไง!”คุณเจย์หันไปปิดปากน้องจาไว้แล้วหันมายิ้มแห้งให้พวกผม “คือ…ผมแค่อยากให้มีคนเรียกแบบนี้บ้าง”
ผมหัวเราะออกมาเสียงดัง แต่สงสัยจะดังไปหน่อยทุกคนถึงได้หันมามองกันเป็นแถบ โซโล่ยกยิ้มมุมปากน้อยๆ หันไปมองคุณเจย์ด้วยสายตาล้อเลียน
“ถ้าเจย์เป็นเฮีย…พ่อผมต้องเป็นเจ๊ใช่ไหม”
“คุณชาย!”คุณเจย์ทำหน้าตาตกใจ มองซ้ายมองขวาเหมือนกลัวใครจะได้ยิน ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนได้ยินกันหมด พอเขาหันมาสบตาผมที่กำลังมองกลับไปด้วยสายตาขบขันก็รีบมองไปอีกทางทันที หน้าขาวๆตามแบบฉบับฝรั่งแท้ขึ้นริ้วแดงจนเห็นชัดเจน “จา…รีบอธิบายเร็ว”
“ครับๆ”น้องจาทำหน้างง เหมือนจะไม่เข้าใจผู้ใหญ่ที่รีบเปลี่ยนเรื่องแต่ก็ยอมเชื่อฟัง “เฮียบอกว่าถ้าพวกเราทำตัวดีๆครูจะสอนหนังสือพวกเรา”
“สอนหนังสือ?”
“ใช่ๆ พวกเราอยากเรียนหนังสือแล้ว ผมทำการบ้านเสร็จแล้วนะครู”น้องผู้ที่ชายที่นั่งอยู่ด้านหลังน้องจาพูดขึ้นมา สิ้นเสียงของเขาแล้วเด็กคนอื่นๆก็ส่งเสียงดังกันใหญ่ พยายามจะหยิบสมุดยื่นมาให้ผมดู บางคนที่โตหน่อยก็ส่งเสียงภาษาบ้านเกิดออกมาจนผมงงว่าเขาพูดอะไร
“บอกให้ทำตัวเรียบร้อยแล้วอ้อนดีๆไงไอ้พวกลูกแกะ”คุณเจย์หันไปดุจนเด็กๆที่ดูดี๊ด๊ากลับมานั่งหลังตรงจ้องผมตาแป๋วเหมือนเดิม
“ครู…เฮียบอกว่าครูอยู่ได้สองอาทิตย์ สอนพวกผมหน่อยนะครับ”
“นะครับครู”
“นะครับ”
พอพูดนะครับกันจนครบทุกคน พวกลูกแกะที่คุณเจย์เรียกก็จ้องผมกันใหญ่ ทำตัวเหมือนกำลังรอคำตอบ แม้แต่เจ้าหมาก็หันมามองผมด้วยสายตาแบบเดียวกับพวกเด็กๆ
จริงๆที่ผมมาที่นี่ก็เพราะแม่ใหญ่อยู่แล้ว ถ้าช่วยอะไรได้ก็อยากจะช่วย ผมอยากจะทำทุกอย่างที่แม่ใหญ่เคยทำด้วยซ้ำ
“ได้สิครับ พี่จะสอนพวกเราเอง”
“เย้!”
ผมมองภาพเด็กๆที่กำลังดีใจด้วยรอยยิ้ม แต่ก็อดห่วงไม่ได้…ไม่รู้ว่าถ้าพวกผมกลับไปแล้วใครจะมาสอนหนังสือพวกเขาแทน ลำพังพวกชาวบ้านก็คงสอนได้แค่ภาษาพูดของคนเมืองเท่านั้น
“อย่าคิดมาก”เสียงจากคนข้างๆทำให้ความกังวลของผมเบาบางลง รู้สึกตัวว่าไม่ควรกังวลกับอะไรที่ยังมาไม่ถึง ทุกปัญหาต้องมีทางออกแน่นอน ผมหันไปพยักหน้าให้โซโล่ เขามองกลับมา ยกมือโยกหัวผมเบาๆแล้วหันไปอุ้มน้องมูนที่เดินเข้ามาหา
ดูเหมือนจะติดเจ้าหมานี่แล้วสิเนี่ย
“แต่วันนี้ขอพี่สำรวจที่นี่ก่อนได้ไหมครับ”ผมพูดตัดเสียงโหวกเหวก เด็กๆหันมาพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะพากันออกไปวิ่งเล่นด้านนอก ปล่อยให้พวกผมนั่งกินข้าวกัน มีแค่น้องมูนที่ยังนั่งตักโซโล่กอดตุ๊กตาพระจันทร์ไม่ยอมลุกไปไหน
“ไปสนิทกับพวกลูกแกะเฉยเลยนะครับคุณเจย์”ผมหันไปแซวคนที่กำลังนั่งกินข้าว เขาหัวเราะเสียงดัง ดูอารมณ์ดีต่างจากตอนปกติ เหมือนกับเขาทิ้งทุกอย่างไว้ที่เมืองตามที่ตัวเองเคยพูดจริงๆ
“เห็นแล้วนึกถึงคุณชายตอนตัวเล็กๆน่ะครับ ซนเหมือนกันไม่มีผิด นี่ก็เหมือนมีคุณชายวิ่งไปวิ่งมาหลายๆคน”คุณเจย์ยิ้มอารมณ์ดี ส่วนคนที่โดนพูดถึงก็นั่งหน้าบูดเป็นตูดลิง
“ผมไม่ซนสักหน่อย”โซโล่เถียงไม่เต็มเสียงนัก
“แล้วคุณกีล์จะสอนไหวเหรอครับ”
ผมไม่ตอบคำถามคุณเจย์แต่หันไปจ้องตากับน้องมูนแทน เจ้าตัวเล็กกระพริบตาปริบๆก่อนจะวางตุ๊กตาไว้บนตักโซโล่แล้วเดินไปหาคุณเจย์ พอเขามองอย่างไม่เข้าใจน้องมูนก็ทรุดตัวลงนั่งตักแล้วเงยหน้ายิ้มให้
“ครูเฮีย”
“จริงๆผมคนเดียวก็น่าจะไหวนะครับ ก็ขนาดแม่ใหญ่ยังไหวเลย…แต่ดูเหมือนน้องจะเรียกคุณเจย์ว่าครูไปด้วยเสียแล้ว”ผมส่งยิ้มกว้างไปให้ คนโดนยัดเยียดยังดูงง แต่พอก้มหน้ามองน้องมูนก็หลุดยิ้มออกมา
“ครับผม…ครูก็ครู แต่อย่าขึ้นเสียงสูงมากนะ”คุณเจย์ขยี้หัวน้องมูนจนยุ่งเหยิง สุดท้ายก็ต้องมานั่งจัดทรงให้น่ารักเหมือนเดิม
“ครูๆไปเดินเล่นกัน!”
ผมหันไปมองโซโล่กับคุณเจย์เป็นเชิงถามเมื่อมีเด็กคนหนึ่งหันมาตะโกนเรียกเรา พวกเขาพยักหน้าตอบรับ ช่วยกันเก็บปิ่นโตเข้าที่แล้วลุกขึ้นยืน
สายตาของเด็กๆที่กำลังยืนรออยู่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ พวกเขาดูตื่นเต้นและดีใจมากจนผมอดรู้สึกดีตามไม่ได้ แม้แต่โซโล่กับคุณเจย์ก็ดูสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เหมือนเด็กๆที่บริสุทธิ์พวกนี้กำลังช่วยให้เราลืมเรื่องแย่ๆในใจโดยไม่รู้ตัว
แต่บางทีอาจจะไม่ใช่แค่เด็กๆ…คงเป็นบรรยากาศและความเป็นธรรมชาติทุกอย่างของที่นี่ทั้งหมด
ผมจะลองสัมผัสสิ่งที่แม่ใหญ่ทำให้คนที่นี่ทีละนิด
เด็กๆที่สดใสพวกนี้คงจะเป็นก้าวแรกของผม…ในการเข้าไปรู้จักกับความฝันอันยิ่งใหญ่ของแม่ใหญ่
--------------------------------------
ติดแฮชแท็ก #โซโล่กีล์
Fan Page : Chesshire. Twitter : @Chesshire04