-34-
ผมใช้เวลาไปกับการสอนหนังสือเด็กๆเสียส่วนมาก วันแรกค่อนข้างลำบากเพราะเราทั้งสามคนไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่พอผ่านเข้าสู่วันที่สามก็เริ่มชิน ช่วยกันแบ่งสอนคนละวิชา ส่วนมากจะเป็นเรื่องภาษากับสิ่งที่ใช้ได้ในชีวิตจริง จนมาถึงตอนนี้ก็เกือบอาทิตย์แล้วที่ผมอยู่ที่นี่
"ครูครับๆ แล้วเราจะได้ใช้ภาษาอังกฤษตอนไหนเหรอครับ"
โซโล่ทำหน้ายุ่งกับคำถามของน้องเสา สุดท้ายก็เป็นคุณเจย์ที่เข้ามาตอบคำถามแทน
"วันหนึ่งจะมีนักท่องเที่ยวมาที่นี่ครับ ถึงเวลานั้นเด็กๆต้องช่วยคุณพ่อคุณแม่คุยกับนักท่องเที่ยวนะ"
"นักท่องเที่ยวไม่ได้พูดภาษาไทยเหรอครับ"
"นักท่องเที่ยวมีหลายชาติครับ และภาษาอังกฤษที่พวกเราเรียนอยู่ก็เป็นภาษากลางที่คนหลายประเทศใช้..."คุณเจย์ตอบอย่างใจเย็น กว่าจะอธิบายให้พวกลูกแกะช่างสังสัยเข้าใจได้ก็ใช้เวลาไปมากพอดู
"พักก่อนนะครับเด็กๆ อย่าลืมไปดูแลผักของตัวเองนะ"ผมเตือน คั่นความสงสัยต่อๆไปของเด็กๆไว้ คุณเจย์ถึงขนาดถอนหายใจ หันมาพยักหน้าขอบคุณกันเลยทีเดียว
ห้องเรียนของเด็กๆทำจากไม้ไผ่ที่พวกชาวบ้านช่วยกันสร้างให้ ไม่มีเก้าอี้ มีแค่โต๊ะที่ทำจากไม้ไผ่ง่ายๆเป็นโต๊ะคู่ประมาณสิบตัว ที่นี่ตั้งอยู่บนเนินเขาไม่ไกลจากแปลงผักเท่าไหร่นัก เวลาผมบอกว่าให้พักพวกเขาจะวิ่งไปที่แปลงแล้วดูแลผักของตัวเองกันอย่างตั้งใจ เห็นแล้วผมก็ดีใจ...
การจะดูแลอะไรสักอย่างให้ได้ดี ควรจะเริ่มจากสิ่งเล็กๆใกล้ตัว...เหมือนที่แม่ใหญ่บอกไว้
"พวกเขาหัวไวกันมากเลยนะครับ"คุณเจย์เดินเข้ามาหา สายตามองตามหลังพวกเด็กๆไป
"ครับ...ถ้ามีโอกาสที่ดีพวกเขาคงเป็นคนที่มีความสามารถมาก"
แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะช่วยตรงไหนได้บ้าง อีกไม่นานก็ต้องกลับแล้ว
"กีตาร์...ดูเด็กๆไปก่อนนะ เดี๋ยวผมกับเจย์มา"
ผมหันไปพยักหน้าให้โซโล่ วันสองวันมานี้เวลาพักเขากับคุณเจย์จะไปหาป้าจิตกันเป็นประจำ พอถามก็ได้ความว่าคุยกันเรื่องธุรกิจอะไรสักอย่างที่ผมไม่ค่อยเข้าใจนัก เขาบอกแค่ว่าถ้าเรียบร้อยแล้วจะอธิบายให้ฟัง แค่รู้ว่าเขาหวังดีกับที่นี่ผมก็ดีใจมากแล้ว ตามไปฟังด้วยตอนนี้ก็คงไม่เข้าใจอะไร แถมเจ้าหมายังย้ำว่าให้เขาจัดการเองด้วย
ผมรู้ดีว่าโซโล่อยากให้ผมพักผ่อน เขาไม่อยากให้ผมคิดมาก เพราะงั้นผมถึงไม่อยากปฏิเสธความหวังดีนั้น เอาไว้ให้เขาพร้อมแล้วค่อยมาบอกก็ไม่สาย
ผมเดินตามเด็กๆมาทีแปลงผัก หลังจากดูผักของตัวเองแล้วก็เดินมาหาเจ้าตัวเล็กที่นั่งยองๆยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่เข้าไปเล่นกับพี่ๆ
"น้องมูนทำอะไรครับ"
"ป้ายชื่อครับ"มือเล็กๆชี้ไปที่หลุมผักของตัวเอง บนนั้นมีกระดาษที่ถูกวาดเป็นรูปทรงกลมๆแล้วระบายสีเหลืองวางไว้ "ป้ายชื่อว่าเป็นของน้องมูน"
ที่แท้ก็วาดรูปพระจันทร์...
"แต่น้องมูนวางตรงนี้ไม่ได้นะครับ"ผมหัวเราะ ช่วยขยับกระดาษที่ถูกห่อด้วยถุงพลาสติกกันน้ำออกมา "ถ้าน้องมูนวางตรงนั้นก็ทับรอยคุณผักแล้วคุณผักจะขึ้นได้ยังไงล่ะครับ"
"จริงด้วย!"น้องยิ้มกว้างจนแก้มป่อง ขยับป้ายตัวเองออกมาไกลกว่าเดิม
"แล้วนี่น้องมูนทำเองเหรอครับ"
"ครับ..."น้องตอบรับเสียงใส แต่แล้วก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็ส่ายหัวตามลำดับ "ไม่ใช่ๆ น้องมูนทำกับครูหล่อครับ"
อย่างนี้นี่เอง คนที่ห่อถุงกันน้ำให้ก็คงจะเป็นครูหล่อของน้องมูนสินะ
ผมหันไปไหว้ลุงมั่นที่เดินเข้ามาหา ท่านรับไหว้แล้วถอดหมวกออก ดูไปแล้ววันนี้การแต่งกายของลุงมั่นแลดูเรียบร้อยกว่าทุกวัน
"ครู...เดี๋ยวผมจะลงไปทำธุระในเมือง ครูอยากได้อะไรหรือเปล่าครับ"ลุงมั่นยิ้มใจดี วางหมวกสานใบโตลงบนหัวน้องมูนที่กำลังหัวเราะคิกคัก
"ไม่รบกวนดีกว่าครับ แล้วนี่ลุงมั่นลงไปคนเดียวเหรอครับ"
"เห็นครูเฮียของเด็กๆบอกว่าจะลงไปทำธุระด้วยน่ะครับ"
"งั้นเดินทางปลอดภัยนะครับ"
"ขอบคุณครับครู ฝากเด็กๆด้วยนะครับ"
ลุงมั่นเดินกลับไปทางหมู่บ้านแล้ว ส่วนพวกเด็กๆก็วิ่งเล่นกันเหมือนเดิม พวกเขาเป็นเด็กดีและเชื่อฟังผู้ใหญ่ บอกอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่แปลกที่ใครๆก็เอ็นดู รวมถึงผมด้วย
โดยเฉพาะ...
"ครูครับ ซักทำยังไงเหรอครับ"เจ้าตัวเล็กเอามือเกาะขาผม ตากลมๆกระพริบปริบๆเหมือนสงสัยเสียมากมาย
"ทำไมถึงถามล่ะครับ"
"ครูหล่อบอกว่าพี่จันทร์เหม็น...ถ้าไม่ยอมซักจะไม่อุ้มน้องมูนแล้ว"น้องมูนก้มหน้าลงดมตุ๊กตาตัวโปรดแล้วทำหน้าไม่เข้าใจ สุดท้ายก็ยื่นมาให้ผมดมบ้าง จริงๆมันก็ไม่ได้เหม็นอะไรมากมาย แต่ก็ดูมีคราบดำๆจากฝุ่นอยู่พอควร คงเกิดจากเวลาที่น้องทำหล่น
"งั้นให้พี่ซักให้ดีไหมครับ"
"ไม่เอาครับ"น้องมูนส่ายหน้ารัวๆ แก้มป่องๆสะบัดไปมาดูน่ามอง "ตอนแรกน้องมูนขอให้ครูหล่อซักให้ แต่ครูหล่อบอกว่าน้องมูนต้องทำเองเพราะพี่จันทร์เป็นของน้องมูน"
จะว่าไงดี...คำสอนมันก็ดูดีอยู่หรอก แต่ผมคิดว่าเจ้าหมาน่าจะพูดเพราะขี้เกียจมากกว่า
"งั้นหลังเลิกเรียนพี่จะพาไปซักนะครับ"
"ครับ!"
เรากลับขึ้นมาบนห้องเรียน ถึงอากาศจะหนาวหรือเรียนกันนานแค่ไหนเด็กๆก็ไม่เคยบ่น พวกเขาดูมีความสุขกับการเรียนมาก และมันทำให้ผมมีความสุขกับการสอนตามไปด้วย พวกเขาดูสนใจกับเรื่องตัวเลขเป็นพิเศษ น้องจาบอกว่าเขาอยากฟังเรื่องที่พวกคนรับซื้อผักคุยกับชาวบ้านที่นี่ออก
"เด็กๆมีความฝันกันหรือเปล่าครับ"
นั่นคือคำถามที่ผมให้เด็กๆเขียนลงในกระดาษ พวกเขาเขียนหนังสือได้ ถึงจะช้าและต้องใช้เวลานึกแต่สุดท้ายก็ทำได้ แม้แต่น้องมูนที่ตัวเล็กที่สุดก็เขียนได้ พวกเขาบอกผมว่าแม่ใหญ่สอนมานานแล้ว
พอถึงเวลาเลิกเรียนผมก็ปล่อยให้เด็กๆกลับบ้าน ส่วนตัวเองก็นั่งอยู่กับพื้น จ้องมองกระดาษที่มีความฝันของเด็กๆเขียนเอาไว้
"กีตาร์..."โซโล่เดินเข้ามา ที่ขามีน้องมูนเกาะติดเป็นลูกหมาตามคาด
"คุยเสร็จแล้วเหรอครับ"
"อืม..."โซโล่พยักหน้า นั่งลงที่พื้นข้างๆผม ส่วนน้องมูนก็นั่งลงอีกฝั่งอย่างรู้หน้าที่ "เดี๋ยวเล่าให้ฟัง รอเจย์กลับมา"
"ครับ"
"กีตาร์ทำอะไรอยู่"
"พี่กำลังดูความฝันของเด็กๆครับ มาดูด้วยกันสิ"ผมยิ้ม ขยับตัวให้โซโล่เข้ามาใกล้มากขึ้น ไม่ลืมดึงเจ้าตัวเล็กขึ้นมานั่งบนตัก
เด็กที่โตที่สุดอย่างน้องจาไม่ได้เขียนสั้นๆแล้ววาดรูปเหมือนคนอื่น น้องเขียนความฝันของตัวเองเป็นประโยคยาวๆแล้ววาดรูปเล็กๆที่ใต้ภาพ
'ความฝันของผมคือการพัฒนาที่นี่ ผมอยากให้พ่อแม่มีความสุข อยากให้มีคนมาที่นี่เยอะๆ ครูเฮียบอกว่าถ้ามีคนมาเราจะมีรายได้ มีเงินซื้อยากับของใช้จำเป็น แต่ครูบอกว่าเราอยู่เฉยๆไม่ได้ เราต้องพยายามด้วย'
ใต้ภาพของน้องเป็นรูปเด็กผู้ชายที่กำลังถือไม้ชี้ไปที่กระดาน...เหมือนตอนที่เห็นพวกลุงมั่นประชุมกับชาวบ้านคนอื่นๆ
ของน้องเสาลูกชายลุงมั่นเป็นภาพภูเขาที่มีสีเขียวเต็มไปหมด ตรงกลางเป็นรูปคนมากมายที่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า
'ผมอยากปลูกผักให้ได้เยอะๆเหมือนพ่อ เอาให้เต็มเขาเลย!'
ผมอมยิ้มเมื่อได้อ่านความฝันของน้อง ยิ่งเปิดกระดาษไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งยิ้มมากขึ้นเท่านั้น
'ผมอยากเป็นเหมือนครูเฮีย ครูเฮียเท่มากเลย'
"ทำไมเจย์หัวโล้น"
"นั่นสิครับ"ผมหัวเราะกับคำถามของโซโล่ เขาเองก็หัวเราะไม่ต่างกัน น้องมูนเองก็พลอยหัวเราะคิกคักตามไปด้วยทั้งที่ไม่น่าจะเข้าใจ
ผมพลิกไปที่กระดาษแผ่นต่อไปเรื่อยๆ ความฝันมากมายทั้งที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะดังไปทั่วห้องเรียนเล็กๆ
จนมาถึงแผ่นสุดท้าย...
"ของน้องมูนๆ!"เจ้าตัวเล็กส่งเสียงดัง ท่าทางตื่นเต้น ผมสบตากับโซโล่ขำๆ ก่อนจะก้มลงมองแผ่นกระดาษที่ถืออยู่
รูปวาดดูจะเป็นองค์ประกอบหลักของกระดาษแผ่นนี้ ผมไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไรเพราะรายละเอียดมันเยอะจนดูไม่ออก...หมายถึงสีที่ปนกันจนคิดว่าน้องน่าจะใช้ครบทั้งกล่องนะ ด้านล่างกระดาษมีตัวอักษรหยึกหยักที่ไม่ได้สวยนักแต่ก็พออ่านออกกำกับไว้
'ความฝันของน้องมูนคือเป็นพระจันทร์ให้ทุกคน'
"หมายความว่ายังไงเหรอครับ"ผมก้มลงถามเจ้าตัวเล็กที่ตัก น้องมูนหัวเราะฮิฮิ ขยับนิ้วจิ้มไปที่รูปภาพ
"นี่พระจันทร์...พระจันทร์คือน้องมูน"น้องขยับมือชี้ไปที่กลุ่มคนที่มีหลากสี "นี่ทุกคน มีครูหล่อ ครูยิ้ม ครูเฮีย ครูใหญ่ พี่จา พี่เสา ยาย แล้วก็คนอื่นๆเยอะแยะเลย"
"แล้วนี่อะไรเหรอครับ"ผมชี้ไปที่กองอะไรสักอย่างสีเขียวๆ
"เงิน"
"เงิน?"
"ครูหล่อบอกว่าถ้าอยากให้ทุกคนสบายต้องมีเงินด้วย"
ผมหันขวับไปมองคนสอน โซโล่ยกยิ้ม ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้
"แล้วที่เขียนล่ะครับ"ผมชี้ไปที่ตัวหนังสือ น้องมูนยิ้มแป้น เงยหน้าขึ้นอธิบายเสียงสดใส
"น้องมูนอยากเป็นพระจันทร์ให้ทุกคน อยากเป็นความอ่อนโยนที่ทำให้ทุกคนมีความสุข...แต่ครูหล่อบอกว่ามันไม่พอ ครูหล่อบอกว่าน้องมูนต้องขยัน ตั้งใจเรียน มีงานทำ มีเงินใช้ แล้วก็จะช่วยทุกคนได้"
ผมมองหน้าโซโล่อย่างคาดโทษ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่เขาสอนน้องมูนได้ ที่เขาพูดเป็นความจริงทุกอย่าง สิ่งสำคัญในโลกปัจจุบันคือเงินจริงๆ มีเงินก็ทำได้แทบทุกอย่าง
แม้แต่ผมก็คิดแบบนั้น
"มีเงินแล้วจะทำให้ทุกคนสบายก็จริง...แต่น้องมูนห้ามลืมความอ่อนโยนและความรู้สึกที่อยากทำให้ทุกคนมีความสุขนะครับ"ผมลูบหัวน้องมูนเบาๆ ยื่นนิ้วก้อยไปให้
"ครับ!"น้องรับคำด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนจะยื่นนิ้วเล็กๆมาเกี่ยวนิ้วผมไว้
"แล้วความฝันของกีตาร์ล่ะ"
ผมเงียบไปกับคำถามของโซโล่ ที่เงียบก็เพราะกำลังคิดว่าควรตอบแบบไหน ถ้าหมายถึงอยากเป็นอะไร แล้วตอบเป็นชื่ออาชีพเหมือนที่ใครชอบตอบกันก็คงไม่มี แต่ถ้าตอบแบบที่เด็กๆที่นี่ตอบ...
"อยากเป็นคนรวยครับ"
โซโล่ทำหน้าแปลกใจ คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง หน้าตาของเขาแสดงออกชัดเจนว่ากำลังคิดว่าผมล้อเล่น
"กีตาร์ไม่ได้อยากเป็นวิศวกรเหรอ"
"จะว่าไงดี..."ผมหัวเราะเบาๆกับคำถามที่เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก "พี่ไม่ได้อยากเป็นวิศวกรหรอกครับ"
"แล้วกีตาร์อยากเป็นอะไร"
"ถ้าโซถามว่าอยากทำอาชีพอะไร พี่คงต้องตอบว่า อะไรก็ได้"ผมลูบหัวน้องมูนที่กำลังมองมาตาแป๋ว ดูไม่เข้าใจที่ผู้ใหญ่พูดแต่ก็พยายามจะฟัง "ก็เหมือนที่โซบอกน้องมูน เงินเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับใครหลายๆคน นั่นรวมถึงพี่ด้วย"
"แล้วทำไมต้องวิศวะ"
"พีไม่ได้มีอาชีพที่ฝัน หรือมีคนให้เดินรอยตาม แต่พี่มีสิ่งที่ทำได้ดี เพราะงั้นพี่ถึงเลือกเรียนสิ่งที่พี่คิดว่าตัวเองทำได้ดีที่สุด เวลาจบไปจะได้มีงานดีๆทำ และทำตามความฝันที่อยากเป็นคนรวยของตัวเองได้"ผมมองหน้าน้องมูน นึกถึงความฝันของน้อง และความฝันของเด็กๆหลายๆคน
"ความฝัน..."
"ความฝันคือสิ่งที่ทั้งเป็นไปได้และไม่ได้ สำหรับบางคนก็นึกถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาถึงได้เรียกว่าความฝัน เป็นสิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริง แต่สำหรับบางคนที่นึกถึงสิ่งที่เป็นไปได้ มันก็ขึ้นอยู่กับจะทำตามความฝันของตัวเองได้หรือเปล่า ความฝันของพี่เป็นความไม่แน่นอน มันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้...แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า"
"แล้วทำไมกีตาร์ถึงอยากรวย"หมาขี้สงสัยถามต่อ มือก็ดึงตุ๊กตาพี่จันทร์ของน้องมูนออกแล้วทำหน้าแหยง
"ใครๆก็อยากรวยไม่ใช่เหรอครับ"
"ก็ใช่..."โซโล่ละสายตาจากน้องมูน หันมาจ้องหน้าผมด้วยสายตาจริงจัง "แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะฝันแบบนั้นแล้วจริงจังเหมือนที่กีตาร์เป็น"
ผมยกยิ้มให้เจ้าหมาที่บางทีก็ทำตัวเป็นพ่อหมาที่รู้ทันไปเสียทุกอย่าง แต่บางทีก็ทำตัวเป็นลูกหมาขี้อ้อนน่าหยิก
"ที่พี่อยากมีเงิน ก็เพราะอยากให้แม่ใหญ่สบายครับ จะงานอะไรก็ได้ แต่ถ้าจบวิศวะที่พี่ถนัดแล้วได้เกรดดีๆ ได้เป็นวิศวกรก็คงจะได้เงินดี"
ผมเห็นแม่ใหญ่ลำบากมาตลอด ทั้งที่อายุมากแต่ก็ต้องดูแลเด็กหลายสิบคน ไม่รู้ตั้งกี่คนที่ได้ครอบครัวดีๆรับไปเลี้ยงดู แต่แม่ใหญ่ก็ยังอยู่ที่เดิม ดูแลคนอื่นๆต่อไป
"แต่ตอนนี้ท่านก็ไม่อยู่แล้ว..."
ความฝันเลยเหมือนจะหยุดชะงักตามไปด้วย
"กีตาร์..."
"ครูครับ!"
เสียงตะโกนโหวกเหวกมาพร้อมกับร่างของน้องเสาที่วิ่งหอบมาแต่ไกล ผมรีบดันร่างน้องมูนไปหาโซโล่แล้วลุกขึ้นไปหาน้องที่ทรุดตัวลงกับพื้น
"น้องเสา เป็นอะไรครับ ทำไมรีบขนาดนี้"
"ครู...ครูช่วยด้วยครับ"น้องพูดไปหอบไป ตาแดงเหมือนจะร้องไห้
"เกิดอะไรขึ้นครับ"
"ทะ...ที่หมู่บ้าน"
ผมสบตากับคนข้างๆ โซโล่อุ้มน้องมูนขึ้น เราวิ่งตรงไปทางหมู่บ้านโดยมีน้องเสาวิ่งหอบตามมาไกลๆ ผมไม่มีเวลาห่วงเพราะกำลังกลัวว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่หมู่บ้าน กลัวว่าใครจะเป็นอะไรไป
ภาพแรกที่เห็นคือกลุ่มคนไม่คุ้นตากว่าสิบคนที่กำลังยืนประจันหน้าอยู่กับพวกชาวบ้าน มีแค่ลุงหมายกับป้าจิตที่ยืนอยู่ด้านหน้า ถึงจะยืนหยัดแต่ผมเห็นความหวาดกลัวจากพวกเขา โดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่กอดเด็กๆเอาไว้
"มึงเป็นแค่ชาวเขา จะไปรู้อะไรเรื่องการค้าขาย"ผู้ชายตัวใหญ่ใส่เสื้อผ้าดูดีมีราคากว่าคนอื่นตวาดเสียงดัง ผมขมวดคิ้ว เดินเข้าไปใกล้กว่าเดิม
"ครูใหญ่สอนหมดแล้ว ทำไมเราจะไม่รู้ว่าพวกคุณโกง"ป้าจิตพูดกลับด้วยเสียงสั่นๆ ผมมองออกว่าป้าแกไม่ได้กลัวพวกนั้น แต่กลัวคนอื่นจะโดนทำร้ายมากกว่า
"แล้วอีครูใหญ่แก่จวนจะลงโลงนั่นไปไหนเสียล่ะ เถียงพวกกูเหมือนมีความรู้ พอกูมาด้วยตัวเองล่ะหดหัว"
"ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าครับ"ผมเดินเข้าไปหา พยายามพูดด้วยน้ำเสียงปกติธรรมดา ทั้งที่ตอนนี้ในใจเดือดกว่าใคร
คนทั้งหมดหันมาทางผม พวกชาวบ้านมองมาด้วยสายตาขอร้องและดีใจ ส่วนอีกฝั่งที่ผมว่าน่าจะเป็นนายหน้าค้าขายมองมาเหมือนไม่พอใจโซโล่ปล่อยให้น้องมูนวิ่งไปรวมกับกลุ่มเด็กๆ แล้วเดินมาอยู่ข้างๆ
"มึงเป็นใคร เสือกอะไร"คนจากกลุ่มนั้นสักคนตะโกนถาม ผมรั้งแขนโซโล่ไว้เมื่อเขาทำท่าเหมือนจะหงุดหงิดกว่าเดิม
"ผมเป็นครูของเด็กๆครับ"ผมพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แต่ดูเหมือนฝั่งนั้นจะไม่สนใจฟังอะไรสักอย่าง
"เหอะ...ต่อจากอีแก่นั่นก็เป็นพวกท่าทางปวกเปียกเนี่ยนะ"
ผมยิ้มน้อยๆ ไม่สนใจท่าทางกับคำพูดดูถูกที่ได้รับ
"ไม่ทราบว่าพวกคุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ"
ใครสักคนทำท่าจะโวยวาย แต่ผู้ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหน้ายกมือห้ามไว้เสียก่อน
"มึงไปคุยกับชาวบ้าน บอกให้พวกมันขายของให้กูตามราคาที่กูบอก แล้วจะไม่มีใครเจ็บตัว"
ผมไม่ได้ตอบอะไร ดึงแขนโซโล่ให้เดินตามไปหาป้าจิต
"เกิดอะไรขึ้นครับป้า"
"ไอ้พวกนี้มันมาขอซื้อของเราหลายทีแล้วจ้ะครู ปกติไอ้เหลียงหัวหน้ามันไม่ได้มาด้วย มันมากันสี่ห้าคน จะแบกเอาของไป แต่ปกติมีครูใหญ่คอยขู่คอยเตือนพวกมันเลยกลัว ท่านพูดจาแบบคนมีความรู้ ไอ้พวกนักเลงแบบมันเลยไม่กล้า ป้าอธิบายแล้วว่าเราส่งขายให้คุณเฟื่องเจ้าเดียว แต่พวกมันก็ไม่ฟัง ยังจะกดราคาเรา ขอซื้อราคาต่ำกว่าคุณเฟื่องหลายเท่าตัว"ป้าจิตว่าทั้งน้ำตาคลอ "ป้ากลัวแต่มันจะทำร้ายเรา จะขายให้แต่ขอราคาที่สมเหตุสมผล พวกมันก็ไม่ยอม อาทิตย์ก่อนก็ทีแล้วที่โดนโกงไป ครั้งนี้มันยังมาอีก"
"ไม่เป็นไรนะครับป้า"ผมจับมือป้าจิตไว้ ดึงตัวท่านให้ถอยไปรวมกับชาวบ้านคนอื่นๆ ลุงหมายเองก็เดินตามมา
"จะขายไม่ขาย!"
ผมหันไปหาคนที่ตะโกน ถึงจะไม่พอใจแต่สติน่าจะสำคัญที่สุดตอนนี้
"เราค้าขายกันแบบเป็นธรรมจะดีกว่าไหมครับ เรื่องพวกนี้ผิดกฏหมาย การบังคับขู่เข็ญไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย ถ้าแจ้งความพวกคุณจะเข้าคุกได้นะครับ"ผมพูดเสียงเรียบ พยายามไม่ให้ตัวเองแสดงความไม่พอใจออกไปทางคำพูด
พวกคุณเหลียงมองหน้ากันแล้วหัวเราะเสียงดัง ถึงจะไม่เข้าใจว่ามีอะไรน่าขำแต่ผมก็มีมารยาทมากพอที่จะรอให้พวกเขาหัวเราะเสร็จ
"นี่มึงคิดว่ากฏหมายจะมาสนใจพวกบนเขาบนดอยแบบไอ้พวกนี้เรอะ ไอ้หน้าอ่อน"
"ถึงที่นี่ความเจริญจะมาไม่ถึง แต่ก็ไม่ได้ความว่าคุณจะเอาเปรียบใครก็ได้นะครับ"
"แล้วมึงจะมาเสือกอะไร เป็นครูก็อยู่ส่วนครูไปสิวะ พวกมึงไปจัดการมัน!"
ผมถอนหายใจ ยื่นมือไปจับแขนเสื้อโซโล่แล้วหันไปกระซิบ
"พี่ไม่ค่อยถนัดเรื่องการพูดคุยกับพวกไร้การศึกษาเลยครับ"
"มึงพูดอะไร!"
ดูเหมือนจะกระซิบดังไปหน่อย...แต่เอาเถอะ ยังถ่วงเวลาได้ผลอยู่
"ขอโทษด้วยครับ ปกติผมไม่ค่อยได้คุยกับคนไม่มีการศึกษา...กรุณาอย่าเข้าใจผิด คนบางคนไม่ได้เล่าเรียนแต่มีความคิด ตรงกันข้ามกับคนมีการศึกษาบางคนที่ทำตัวเหมือนไร้การศึกษา"ผมนิ่งไปเล็กน้อยเพราะไม่แน่ใจว่าจะใช้คำพูดแบบไหน ต้องขอบคุณฝั่งนั้นที่มัวชะงักค้างเลยมีเวลาพอให้ผมเรียบเรียงคำพูด "ต้องบอกว่าพวกไร้การศึกษาที่ผมว่า ผมไม่ได้วัดจากได้เรียนหรือไม่ได้เรียน แต่ผมหมายถึงพวกไร้พัฒนาการทางสมอง ไม่ค่อยจะคิดอะไรสักอย่าง ทำอะไรตามใจตัวเอง ไม่ใส่ใจความรู้สึกคนอื่นน่ะครับ"
"มึง!"
ผมยกมือเกาแก้ม ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าคำพูดมันหาเรื่อง แต่จะให้ยืนนิ่งรอคนมาด่ามาหาเรื่องอย่างเดียวก็คงไม่ใช่ อีกอย่างที่พูดไปผมก็คิดว่ามันจริงทุกอย่าง และคิดว่าอธิบายแบบสุภาพชนมากที่สุดแล้วนะ ตอนมีปัญหากับเด็กที่มหา'ลัย ใช้คำพูดก็พอจะรู้เรื่องกันอยู่ เพราะเด็กนั่นยังพอมีความคิด แต่กับคนพวกนี้...
ผมโดนดันให้ถอยไปอยู่ด้านหลังด้วยฝีมือของคนข้างๆ โซโล่ยืนบังอยู่ด้านหน้า เขาหันมามองผมแล้วยกยิ้มน้อยๆ มือก็ยกขึ้นขยี้หัวผมเบาๆ
"กีตาร์นี่นะ"
"เขาว่าแม่ใหญ่"ความอดทนมันมีขีดจำกัด โดนพูดรัวๆใส่แบบนั้นเป็นพ่อพระมาจากไหนก็คงทนไม่ได้ทั้งนั้น
"ครับ รู้แล้ว"โซโล่หันกลับไป ดันตัวผมให้ถอยไปอีกก้าว
"พวกมึงไปทำให้มันหายปากดี!"คุณเหลียงตะโกนเสียงดัง หน้าแดงก่ำน่าจะด้วยความโมโห
วินาทีที่คนของคุณเหลียงจะพุ่งเข้ามา ผมมองเห็นเงาร่างของคนหลายๆคนที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ชัดเจนมากขึ้น และถ้าผมคิดไม่ผิด...น่าจะเป็นคุณเจย์
"ไม่ตายดีแน่มึง!"
ผมขมวดคิ้ว มองดูคนฝั่งนั้นที่พุ่งเข้าหาเจ้าหมา ก้อนหินในมือที่ผมถือไว้แต่แรกเขวี้ยงใส่หน้าของผู้ชายคนนั้นจังๆ แต่ผลที่ได้คือโดนเพ่งเล็งมาทางนี้แทน
ผัวะ!
เพราะโซโล่เข้ามาขวางผมถึงไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่หน้าของคนขวางโดนต่อยเต็มแรง
"โซ!"ผมเข้าไปประคองคนตัวเซไว้ พวกชาวบ้านผู้ชายลุกขึ้นมาช่วยกันพวกนั้นไว้ให้ แต่คนในอ้อมแขนผมแลดูจะสติหลุดไปแล้ว ดวงตาคมนิ่งที่เห็นเป็นประจำทอประกายกร้าว วินาทีต่อมาโซโล่ก็ดันผมออกแล้วเดินผ่านชาวบ้านเข้าไปถีบคนที่ต่อยเขาเต็มแรง
ผมช่วยกันไม่ให้พวกผู้หญิงกับเด็กๆโดนลูกหลง พอมองภาพความวุ่นวายตรงหน้าแล้วก็ได้แต่ร้อนใจ
ผมไม่คิดว่าคุณเจย์จะมาถึงช้าขนาดนี้ ถึงจะไม่รู้ว่ามีใครบ้างแต่กลุ่มคนที่เดินมากับคุณเจย์มีมากกว่าสิบคนแน่นอน ผมมองเห็นพวกเขาแต่แรกแล้วและคิดจะถ่วงเวลาจนกว่าพวกเขาจะมา เพียงแต่ว่าสถานการณ์ทุกอย่างมันไวเกินไป ผมนึกเสียใจอยู่เหมือนกันที่ไม่พูดถ่วงเวลาให้นานกว่านี้
"โซ!"ผมเรียกเสียงดังเมื่อโซโล่พลาดท่าโดยต่อยเข้าที่หน้าอีกหมัด อยากจะพุ่งเข้าไปหาแทบตายแต่เด็กสองสามคนที่เกาะผมไว้ก็ปล่อยไปไม่ได้
"เจย์!"โซโล่ตะโกนเสียงดัง น้ำเสียงเจือความหงุดหงิดชัดเจน
"จัดการให้หมด!"เสียงออกคำสั่งของคุณเจย์ดังขึ้นพร้อมกับร่างของผู้ชายหลายคนที่เดินเข้ามา จากการต่อสู้กันสองฝ่ายเริ่มเป็นฝ่ายคุณเหลียงที่โดนเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียว
ผมส่งตัวน้องๆให้พวกคุณลุงที่เดินถอยมา ก่อนจะเดินเข้าไปหาคนที่ทำหน้าตาเหมือนอยากจะฆ่าใครตาย โซโล่กำมือแน่น มองภาพพวกนั้นที่โดนยำจนเละเทะด้วยสายตาเย็นชา
"โซ..."ผมเรียกเบาๆ แตะหลังมือของคนที่ยืนนิ่ง โซโล่หันมาหา สายตาอ่อนลงแทบจะทันที "เจ็บไหมครับ"
"ไม่เป็นไร"
ไม่เป็นไร...แต่ปากแตก
"คุณชาย"คุณเจย์เดินเข้ามาหา หน้าตาเคร่งเครียดผิดปกติ
"จัดการพวกมัน อย่าให้มายุ่งกับที่นี่อีก"โซโล่สั่งเสียงเรียบ ก้มหน้าให้ผมใช้ผ้าชุบน้ำที่ชาวบ้านส่งมาให้เช็ดหน้าให้เบาๆ
"ครับ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง แต่เรื่องที่สำคัญกว่านั้น..."
โซโล่ผละหน้าออก หันไปจ้องหน้าพวกที่เดินมาพร้อมคุณเจย์ ซึ่งกำลังจัดการกับพวกคุณเหลียงอยู่
"พวกนั้นมาได้ไง"
"พวกนั้นถูกส่งให้มาหาตัวคุณชายครับ"คุณเจย์ตอบด้วยเสียงเคร่งเครียด ท่าทางของเขาดูไม่ดีจนผมอยากถามว่าเป็นอะไรไหม แต่ก็ไม่อยากแทรกบทสนทนา
"ปกติพ่อไม่เคยยุ่งกับผมขนาดนั้นนี่"โซโล่ทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจ แต่พอได้สบตากับคุณเจย์เขาก็ขมวดคิ้วมุ่น "หรือว่า..."
คุณเจย์พยักหน้า ใบหน้าของเขาดูเจ็บปวดเหมือนจะร้องไห้
"คุณท่านมาถึงไทยเมื่อวานนี้ครับ...มาพร้อมกับคุณลินดา"
---------------------------------------
ติดแฮชแท็ก #โซโล่กีล์
Fan Page : Chesshire. Twitter : @Chesshire04