หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว  (อ่าน 66345 ครั้ง)

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 


สวัสดีทุกท่าค่าาา เราชื่อแตงกวา จะเรียนเราสั้นๆว่ากวาก็ได้
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เรานำเอามาลงที่นี่(มือใหม่ฝุดๆ) หวังว่าทุกคนจะคอยเป็นกำลังและสนับสนุนผลงานของเรานะคะ

หากผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะคะ ^^

เรื่องนี้เป็นกึ่งพีเรียด เกี่ยวกับโขนและตัวละครในรามเกียรติ เนื้อเรื่องจะเข้มข้น กินใจแค่ไหน ติดตามกันได้เลยค่าาา ^^








อารัมภบท







“พระราม หากวันนี้ข้ามิได้คร่าชีวิตเจ้า ข้าจักมิขอยอมตายเป็นอันขาด!” น้ำเสียงแผดกล้าเต็มไปด้วยโทสะยังคงดังกึกก้องไปทั่วอาณาเขตกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา นัยเนตรสีเขียวมรกตดุดันและเกรี้ยวกราด หากวันนี้ไม่ได้สะสางความแค้นต่อกันจนถึงความตาย อย่าได้เรียกเขาว่า ทศกัณฐ์!

สองทัพใหญ่ระหว่างฝ่ายยักษ์ ผู้มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขาไกรลาส มีสีผิวหลากหลายทั้งแดง เขียว เหลือง ดำ แต่ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นสุดเห็นจะเป็นเขี้ยวอันแหลมคมที่โผล่พ้น ประดับอยู่มุมปากทั้งสองข้าง แผ่รังสีอำมหิต ความดุร้ายกระจายไปทั่วผืนธรณี จนทหารฝ่ายศัตรูบางส่วนถึงกับสั่นงกด้วยความกลัว

ฝ่ายมนุษย์และกองทัพลิงหากจะเทียบทางรูปร่างกับฝั่งตรงข้ามยังตกเป็นรองอยู่มาก ทว่าความเข้มแข็งของทหาร กำลังใจที่ได้จากผู้นำทัพอย่างเต็มเปี่ยม รวมถึงบรรดาผู้ติดตามผู้ซึ่งแข็งแกร่งดุจหินผา ฉลาด มีฝีมือมิยิ่งหย่อนไปกว่ากองทัพยักษ์แม้แต่น้อย ทำให้พวกทหารทั้งหลายต่างเชื่อมั่นและศรัทธาว่า ศึกในครานี้ฝ่ายตนต้องชนะฝ่ายพวกยักษ์อย่างแน่นอน

“อย่ามัวมุดหัวอยู่แต่ในกระดอง รีบเดินทัพมาให้ข้าได้ฆ่าเจ้าเสียพระราม เพราะเจ้า เจ้ามันมิสมควรอยู่ให้แผ่นดินแปดเปื้อนอีกต่อไป”

ร่างกำยำในรูปลักษณ์ที่แท้จริงปรากฏสู่สายตากองทัพยักษ์และกองทัพศัตรู เขามีกายสีเขียว มีสิบหน้า ยี่สิบกร ทรงมงกุฎชัยพร้อมเครื่องทรงสีทอง บ่งบอกถึงอำนาจบารมีของผู้นำทัพในครานี้ ไม่ต่างกันนักกับบุรุษอีกคนผู้ซึ่งมีผิวกายสีเขียวมรกต หากทว่ามีสองกรเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป ถือคันศร ซึ่งเป็นอาวุธที่ได้ประทานมาจากพระอิศวร รอยยิ้มน้อยปรากฏบนมุมปากหยัก

“ทศกัณฐ์เอ๋ย เหตุใดเจ้าถึงกล้าเอื้อนเอ่ยเช่นนั้นอีก ข้ามิใช่ฤาที่ต้องเป็นฝ่ายบอกเจ้า สีดาคือเมียข้า เป็นคนของข้า ส่วนเจ้า...ทศกัณฐ์...เจ้ามันคือตัวต้นเหตุที่ทำให้เรื่องทุกอย่างเลวร้ายลงอย่างมิน่าให้อภัย”

“เมียกระนั้นรึ” กษัตริย์แห่งกรุงลงกาพ่นลมลอดไรฟัน เก็บความหงุดหงิดไว้ในใจและกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงดุดัน “สีดาก็เมียข้าเหมือนกัน เจ้าต่างหากที่เป็นผู้ผิดพระราม หากในวันนั้นเจ้ามิลอบบุกเข้าไปในวังข้ากลางดึก พร้อมพรั่งด้วยกำลังพลหน้าขนของเจ้า แลหากสีดามิวิ่งมาห้ามทัพเราทั้งสองฝ่าย นางก็คงมิต้องมาตายเช่นนี้ดอก” ดวงตาของทศกัณฐ์อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อนึกถึงหน้านางอันเป็นที่รัก แม้นตัวเขาจะเจ้าชู้ มีเมียมายมายนับพันนับหมื่น ทว่านวลนางที่อยู่ในหัวใจเขามาโดยตลอดคือสีดาเพียงคนเดียว

กริชที่ปักลงบนอกซ้ายของนางยังคงฉายชัด ติดตราตรึงในส่วนลึกของดวงหทัย แววเนตรอันอ่อนโยน รอยยิ้มแลหยาดหยดน้ำตาอันไหลอาบแก้มนวลนางซ้ำแล้ว...ซ้ำเล่า ราวกับกำลังบอกเขาว่า นางรักเขา สีดารักทศกัณฐ์ มิใช่พระราม

มันทำให้เขาเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส...เจ็บปวดที่มิอาจรักษานางไว้ข้างกายได้

“ข้ารู้...เจ้ามาก่อน ส่วนตัวข้ามาทีหลัง หากแต่ความรักที่ข้ามีให้กับนางนั้น มันมิเคยยิ่งหย่อนไปกว่าเจ้าเลยสักเศษเสี้ยวเดียว” ทศกัณฐ์ปรายตามองศัตรูหัวใจแวบหนึ่งแล้วเงยมองท้องฟ้า "ถ้าจัดโทษ ก็ควรโทษสวรรค์ที่ช่างโหดร้ายกับข้านัก ให้นางมาเกิดเป็นลูกข้ายังมิพอ ยังต้องให้ข้าหลงรักนางในฐานะผู้เป็นเมียของฝ่ายศัตรูอีก"

“เจ้าอยากพูดอันใดกันแน่ทศกัณฐ์” พระรามหรี่ตามองผู้นำทัพฝั่งยักษ์อย่างสงสัย ปลายนิ้วสัมผัสจับคันศรมาวางขนาบข้างลำตัว

“ให้เกล้ากระหม่อมจัดการมันเลยฤาไม่” หนุมานที่ยืนทนฟังบทสนทนาทั้งสองมานานเกิดอาการกระวนกระวาย ร้อนในใจ อยากทะยานตัวเข้าไปซัดหน้าหนาๆของเจ้าทศกัณฐ์ใจหยาบ ที่มัวแต่พิรี้พิไรพูดจาวกไปวนมาจนน่ารำคาญรูหู จะปล่อยให้พญาวานรเผือกอย่างเขานิ่งเฉย คงเป็นไปไม่ได้

“นี่เป็นเรื่องระหว่างข้ากับทศกัณฐ์ เจ้ามิต้องยุ่ง”

“แต่...”

“เชื่อฟังข้าหนุมาน” เมื่อเห็นลูกน้องแสนซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อตนก้มหน้ายอมทำตามอย่างเงียบๆ พระรามจึงหันกลับไปเจรจาพาทีกับกษัตริย์แห่งกรุงลงกาอีกครั้ง “สิ่งที่เจ้าอยากพูดจงพูดมันเสียบัดนี้”

“ข้าแลเจ้า พวกเราต่างเป็นสามีนางทั้งคู่ ทว่าผู้ใดกันเล่าที่ครอบครองหัวใจของนาง”

“แน่นอนต้องเป็นข้า”

พระรามเอ่ยด้วยความมั่นใจ

“อย่ามั่นให้มากพระราม ข้าก็เป็นสามีนาง” พญายักษ์หนุ่มยืดตัวผายอกดูสง่า พระรามยืนนิ่ง ทว่าแววตากลับขุ่นลงอย่างชัดเจน

“ไหนๆเราทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับพรจากพระอินทร์ให้มีชีวิตเป็นอมตะ มิมีวันตาย เหตุไฉนเรามิใช้ศึกในครานี้เป็นตัวตัดสิน ชี้ขาดกันไปเลยเล่า ว่าผู้ใดกันแน่ที่เหมาะสมแลคู่ควรกับสีดามากกว่ากัน” ทศกัณฐ์ยื่นข้อเสนอตามที่พิเภกวางแผนเอาไว้ ภายในใจร่ำร้องอ่อนแรง เขาไม่อยากสูญเสียอะไรมากกว่านี้แล้ว ทั้งกรุงลงกา ชีวิตพี่น้องร่วมสายเลือด บรรดาลูกๆ รวมถึงทหารที่เป็นข้าทาสบริวารคอยรับใช้ ทศกัณฐ์รับรู้ชะตากรรมอันใกล้ของตน หากเขายังเลือกที่จะทำศึกสงครามกับพระราม ชีวิตคงได้ดับสูญตลอดกาล

 “ศึกรักรึ น่าสนใจ...น่าสนใจ” พระลักษณ์กอดอกยืนยิ้ม ไม่เคยคิดคนอย่างทศกัณฐ์ที่มีนิสัยหุนหันพลันแล่น โมโหร้ายจะคิดอะไรดีๆเป็นเหมือนคนอื่นเขาด้วย คับคล้ายเจ้ายักษ์กำลังบอกเป็นนัยๆว่าฝ่ายมนุษย์และฝ่ายยักษ์ควรยุติลงเสียที ไม่มีการต่อสู้ให้เสียเลือดเสียเนื้อกันอีก นอกจากเสียเวลาคิดแผนการเกี้ยวพาราสีแม่นางสีดาในภพชาติต่อๆไป

เพราะอำนาจแห่งรัก จึงทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนี้เชียวหรือ ช่างน่าอัศจรรย์ใจนัก

“น้องว่าอย่างไร” พระรามเอ่ยถามน้องชายของตน

“ตามความคิดข้า สิ่งใดที่ทำให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุดต่อประชาชนเรา บ้านเมืองเรา ข้าเห็นด้วยทั้งนั้น”

“...”

“หากท่านพี่รักสีดา อยากครอบครองทั้งหัวใจแลกายนางอีกครั้ง ท่านพี่ต้องตอบรับคำมันผู้นั้น” สีดาคือคนเดียวที่พระรามรัก แน่นอนเขาย่อมพยักหน้าตอบตกลงทศกัณฐ์ทันทีที่ปรึกษากับพระลักษณ์จนแน่ใจแล้ว

เขาจะไม่ยอมให้นางตกเป็นของไอ้ยักษ์เจ้าเล่ห์นั่นอีกเป็นอันขาด ศึกแห่งศักดิ์ศรีที่เดิมพันด้วยความรักและหัวใจ

“ตกลง แต่ข้ามีข้อแม้ แลเจ้าต้องรับปากข้าข้อหนึ่ง”

ทศกัณฐ์ยืนกอดอกฟังอย่างเงียบๆ

“ถ้านางรักเจ้า ข้าจักขอมิยุ่งเกี่ยวกับพวกเจ้าอีก” เว้นวรรคลมหายใจชั่วครู่ “แต่ถ้านางรักข้า ทศกัณฐ์...เจ้าต้องให้นางเป็นคนปักกริชลงบนหัวใจเจ้าด้วยตนเอง”

“พระราม เจ้า! สามหาวนัก!” อินทรชิตเท้าสะเอว ชี้หน้าใส่พระรามอย่างโมโหโกรธา ต่ำช้านัก บังอาจตั้งข้อบังคับขู่เข็ญให้พระบิดาเขาต้องตอบตกลง ช่างเป็นมนุษย์ที่มีดีเพียงเปลือกนอกเสียจริง

“ได้ ข้าน้อมรับคำขอของเจ้า”

“พระบิดา! เหตุใดจึงตอบรับคำของมันเช่นนั้น โปรดคิดดูใหม่เถิด”

“พ่อมิเป็นกระไรอินทรชิต” คนมากวัยกว่ายิ้มอ่อนให้ลูกชาย

“แต่ข้ามิใคร่เห็นด้วย ที่มันอาจหาญกล่าววาจาเช่นนี้เป็นเพราะมันอยากฆ่าพระบิดาให้ตายต่างหากเล่า!”

“เจ้ามิเชื่อมั่นในตัวพ่อเจ้าฤาอินทรชิต มิว่าอย่างไรพ่อก็ต้องได้ครอบครองหัวใจของนางอยู่แล้ว” ขนาดชาตินี้เขายังสามารถทำให้นางปันใจให้ได้ นับประสาอะไรกับชาติต่อๆไปล่ะ 

“แต่พระบิดา...”

“อย่าลืม พ่อเจ้าเป็นผู้ใด มิว่าต้องใช้เล่ห์กล มารยาร้อยเล่มเกวียนเฉกเช่นอิสตรี หากมันทำให้พ่อได้ครอบครองทั้งกาย วาจาและใจนาง พ่อก็จักทำ”

ทศกัณฐ์ยกยิ้มมุมปาก



ศึกนี้พ่อต้องชนะพระราม





ถูกใจก็เม้นให้กำลังใจด้วยน้าาาา ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา^^
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-02-2017 19:14:33 โดย Lalita »

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่ ๑:
«ตอบ #1 เมื่อ10-12-2016 22:02:24 »

บทที่ ๑






พิธีกร: สวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน บทสัมภาษณ์ของเราในวันนี้ ต้องขอออกตัวบอกไว้ก่อนเลยค่ะว่า เอ็กซ์คลูซีฟสุดๆ เพราะวันนี้ทางนิตยสาร Man Look ของเราได้เชิญแขกพิเศษคนหนึ่งมาเพื่อร่วมพูดคุยแบบส่วนตั๊วววววว ส่วนตัว ฮั่นแน่ อยากรู้ใช่ไหมคะว่าเขาคือใคร งั้นเราไปร่วมพูดคุยกับหนุ่มหล่อคนนี้กันดีกว่าค่ะ สวัสดีค่ะคุณทศ

อสุเรนทร์: สวัสดีครับ

พิธีกร: แนะนำตัวกับผู้อ่านหน่อยสิคะ

อสุเรนทร์: อ่า ครับ ผม อสุเรนทร์ อมาตยสูร เรียกสั้นๆว่าทศก็ได้ครับ อายุก็...แก่มากแล้ว(หัวเราะ)

พิธีกร: แหม เป็นการแนะนำตัวที่สั้นมากเลยนะคะ แต่ที่ว่าแก่เนี่ย ยี่สิบปลายๆหรือเปล่าคะคุณทศ

อสุเรนทร์: ผมสามสิบเจ็ดแล้วครับ

พิธีกร: ไม่อยากจะเชื่อว่าอายุเลยเลขสามไปแล้ว แต่เอาเถอะค่ะ ต่อให้คุณห้าสิบ พวกผู้หญิงอย่างเราก็ยังรักและคลั่งไคล้คุณอยู่ดี

อสุเรนทร์: คลั่งไคล้ได้ แต่อย่ารักผมเลยครับ

พิธีกร: ทำไมล่ะคะ

อสุเรนทร์: ผมก็ผู้ชายทั่วไป ไม่ได้มีดีอย่างที่ทุกคนคิดหรอกนะครับ

พิธีกร: ค่ะไม่ดีก็ไม่ดี งั้นเรามาเริ่มคำถามแรกเลยดีกว่า ได้ข่าวว่าบริษัท RAVANA Ent. ของคุณทศนั้นได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการจัดแสดงโขนที่สร้างชื่อเสียงล้นหลามทั่วโลกอย่าง กำเนิดทศกัณฐ์ มาคราวนี้คุณกลับมาใหม่อีกครั้งหลังจากหายหน้าหายตาไปนาบเกือบห้าปี ช่วงที่คุณหายไปคุณไปทำอะไรหรือคะ

อสุเรนทร์: ผมใช้เวลาห้าปีที่ผ่านมาไปกับการศึกษาค้นคว้า ประวัติของตัวละครที่ชื่อทศกัณฐ์อย่างละเอียด ว่าตัวละครนี้มีลักษณะอย่างไรบ้างทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศและต่างประเทศ เมื่อผมมีข้อมูลมากพอ ผมก็เลยอยากนำเสนอเรื่องราวของเขาให้ทุกคนได้รู้จักมากขึ้นน่ะครับ

พิธีกร: ดูคุณจะให้ความสนใจในตัวทศกัณฐ์มากเลยนะคะ

อสุเรนทร์: ครับ ผมสนใจเรื่องราวของเขามากกว่าตัวละครอื่นๆ ถึงแม้คนทั่วไปจะรู้จักเขาในนามพญายักษ์ผู้ครองกรุงลงกา ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้ โหดร้าย แต่พวกคุณรู้ไหม สิ่งที่ผมค้นพบ มันทำให้ผมประหลาดใจ จะมีใครรู้บ้างว่าต้นฉบับ ตัวตนแท้จริงของทศกัณฐ์ก็ไม่ต่างอะไรกับพระลักษณ์ พระรามเลย ทรงคุณค่าและมีความดีงามซ่อนอยู่ ผมเลยใช้โอกาสนี้เตรียมจัดการแสดงโขนเรื่องใหม่ โดยใช้ชื่อว่า หทัยทศกัณฐ์ เพราะอยากให้ทุกคนมองเห็นถึงหัวใจของผู้นำฝ่ายยักษ์บ้าง

พิธีกร: งั้นคุณทศช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมคะ ว่า หทัยทศกัณฐ์ มีเรื่องราวเป็นยังไง แล้วแตกต่างกับโขนเรื่องอื่นมากน้อยแค่ไหน

อสุเรนทร์: หทัยทศกัณฐ์ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อจากกำเนิดทศกัณฐ์ แต่ทว่าเน้นและเจาะจงให้เห็นลักษณะนิสัยของตัวละครที่ชื่อทศกัณฐ์มากกว่าเดิม นำเสนออีกด้านของตัวละครตัวนี้ที่ยังไม่ค่อยมีใครเคยได้รู้ ว่าสิ่งที่เขาเป็น ที่ทุกคนเคยเห็นกันในเรื่องรามายณะ นั้น มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของทศกัณฐ์ทั้งหมด ไม่แน่นะครับ หลังจากดูการแสดงจบ พวกคุณอาจจะหลงรักทศกัณฐ์อย่างที่ผมเป็นอยู่ในตอนนี้ก็ได้

อสุเรนทร์: และถ้าจะให้ผมเล่าย่อๆ ก็คงจะพูดถึงตัวเอก ทศกัณฐ์ที่เป็นพญายักษ์ผู้เกรียงไกร แต่หัวใจเขากลับหลงใหลและรักในรูปงามของนางสีดา ซึ่งก็คือพระชายาของพระราม ด้วยความปรารถนามาเป็นของตนจึงให้มารีศปลอมเป็นกวางทอง และใช้โอกาสพระราม พระลักษณ์ไม่อยู่ลักตัวนางไปอยู่กรุงลงกา

พิธีกร: อ้าว ก็ไม่เห็นต่างจากต้นฉบับเลยนี่คะ

อสุเรนทร์: ผมก็ไม่ได้บอกว่าเปลี่ยนเนื้อเรื่องนี่ครับ แค่เน้นเรื่องราวของทศกัณฐ์มากขึ้นเท่านั้น

พิธีกร: เหตุผลหลักคือคุณทศต้องการสื่ออีกแง่มุมหนึ่งของทศกัณฐ์ให้คนหลายคนได้เห็นใช่ไหมคะ ถึงจะเป็นยักษ์ร้ายแต่ก็ยังมีมุมอ่อนโยน ไม่ได้มีแค่ความแข็งกร้าว ดุดันอย่างเดียว ใช่หรือเปล่า

อสุเรนทร์: ใช่ครับ(ยิ้ม) สำหรับผมทศกัณฐ์น่ะ...แม้จะทำตัวร้าย แสนโหดเหี้ยมต่อศัตรู ฆ่าผู้อื่นได้อย่างเลือดเย็น ทว่าเมื่อใดที่เขาอยู่กับนางสีดา เขาจะเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่ยอมทำทุกอย่างให้คนรักมีความสุข(ยิ้มหวาน) แม้กระทั่งเรื่องน่าอายที่ผู้ชายเขาไม่ทำกัน(หัวเราะ) นี่ถ้าพวกคุณได้ดูโขนเรื่องนี้นะ รับรองคุณจะต้องหลงรักทศกัณฐ์มากกว่าพระรามอย่างแน่นอน

พิธีกร: แหม ย้ำกันเสียขนาดนี้ ไม่ไปดูคงพลาดมากแน่ๆ แล้วแบบนี้นางสีดาในเรื่องคงตัดสินใจยากแล้วสิเนี่ย จะเลือกใครดีระหว่างทศกัณฐ์กับพระราม ถ้าเป็นดิฉันนะคะคุณทศ ฉันจะเลือกคุณ

อสุเรนทร์: ผมไม่เกี่ยวหรือเปล่าครับ(หัวเราะ) ผมก็แค่ทศ เจ้าของบริษัทที่จัดแสดงโขนให้ทุกคนได้ร่วมชมก็เท่านั้น ไม่ได้เป็นทศกัณฐ์ผู้ยึดมั่นต่อความรักคนนั้นเสียหน่อย

พิธีกร: ไม่ว่าคุณจะเป็นอย่างไร ผู้หญิงทั่วประเทศก็ยังอยากเป็นของคุณอยู่ดีแหละค่ะ ว่าแต่มีคนรู้ใจหรือยังคะ

อสุเรนทร์: ถามอย่างนี้เลยเหรอครับ(หัวเราะ)

พิธีกร: แน่นอนสิคะ Man Look ของเราเสียอย่าง

อสุเรนทร์: ถ้ากล้าถามผมก็กล้าตอบ

พิธีกร: ฉันใช่ไหมคะ

อสุเรนทร์: ผมมีใครบางคนอยู่ในใจแล้วล่ะครับ เหลือแค่เจอกันแล้วให้เธอตอบรับรักของผมแค่นั้นเอง

พิธีกร: ว้าว อย่างนี้ผู้หญิงที่หลงรักคุณก็ใจสลายหมดสิคะ


อสุเรนทร์: ต้องขอโทษด้วยนะครับ หัวใจผมไม่สามารถรับใครไว้ได้อีก

พิธีกร: อิจฉา อิจฉาเธอคนนั้นอย่างแรงเลยล่ะค่ะ ถ้ายังไงก็ขอให้เธอตอบรับรักคุณทศเร็วๆ ไม่แน่นะคะท่านผู้อ่าน อาจจะมีงานแต่งของประธานบริษัทรูปหล่อเกิดขึ้นในเร็ววันก็เป็นได้

อสุเรนทร์: ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น ชีวิตโสดมันไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่เลย

พิธีกร: แค่รับรักดิฉันก็ไม่โสดแล้วค่ะคุณทศ

อสุเรนทร์: ไม่ดีกว่าครับ เกรงใจ

พิธีกร: ช่างโหดร้ายเหลือเกิน เอาเถอะค่ะ ดิฉันยังมีผู้ชายในฝันอยู่ในหัวใจอีกเยอะแยะ สุดท้ายนี่ มีอะไรอยากจะฝากกับผู้อ่านหรือเปล่าคะ

อสุเรนทร์: เราจะเปิดการแสดงหทัยทศกัณฐ์รอบแรกในสามเดือนข้างหน้า ผมอยากให้ทุกคนลองเข้าไปชมการแสดงโขนเรื่องนี้ จะได้รู้ว่ายักษ์ที่ใครว่าร้ายนั้น ก็มีความดี ความน่ารักซ่อนอยู่เหมือนกัน

พิธีกร: ขอบคุณที่เสียสละเวลาอันมีค่าให้เราทำการสัมภาษณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟนะคะ วันนี้ดิฉัน รินดาและคุณทศ ขอตัวไปก่อน แล้วพบกันใหม่กับบทสัมภาษณ์คราวหน้า สวัสดีค่ะ




ท่วงทำนองดนตรีไทยบรรเลงขับขานเป็นเพลงหน้าพาทย์ดังแว่วออกมาจากด้านในหอประชุม ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์เนื้อดีกำลังยืนกระสับกระส่ายอยู่หน้าประตูทางเข้า นิ้วมือทั้งสิบล้วนแข็งเกร็ง ฟันขาวสะอาดเรียงตัวสวยขบริมฝีปากล่างด้วยความประหม่า

ถ้าไม่ได้งานนี้ ปู่ต้องไล่เขาออกจากบ้านแน่ๆ

เพราะทางบ้าน เรียกว่าทั้งตระกูลเลยดีกว่าต่างสืบทอดศิลปวัฒนธรรมที่คนไทยทุกคนรู้จักกันดีในนาม โขน จากรุ่นสู่รุ่น และตอนนี้มันก็ถึงคิวของชายหนุ่มที่จะต้องสืบสานต่อจากบรรพบุรุษต่อเสียที

เปมทัต โรจนวาทิตย์ หรือเปรม ชายผู้ซึ่งมีความลึกซึ้งและผูกพันกับศิลปวัฒนธรรมไทยแขนงนี้มาตั้งแต่อ้อนแต่ออกจากท้องแม่ เขาถูกเสี้ยมสอนจากคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย รวมถึงคนเป็นพ่อแม่ให้รู้จักคุณค่าของนาฏกรรมโบราณ พวกท่านเคยบอกเขา
อย่าทิ้งสิ่งมีค่าที่บรรพบุรุษให้มา ต่อให้คนอื่นเลือกที่จะลืมเลือน แต่เราจงเป็นคนสานต่อความตั้งใจของคนรุ่นเก่าสืบไป
เปรมทราบดี ต่อให้ปู่ไม่บอกกล่าว เขาก็เลือกที่จะสืบสานต่ออยู่แล้ว การที่เกิดและโตมากับสิ่งเหล่านี้ทำให้เขาเห็นถึงคุณค่าของมันดีกว่าใครอื่น ต่อให้โลกเจริญก้าวหน้า มีสื่อยุคใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ไหนเลยจะสร้างความประทับใจได้เท่ากับศิลปะเก่าแก่ที่คู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่โบราณหลายร้อยปี

“ใครชื่อเปมทัตครับ”

ทีมงานกรมศิลป์เอ่ยเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด เปรมยกมือขึ้นโชว์เหนือหัว “ผมครับ ผมชื่อเปมทัต”

“อ่า...อย่างนั้นตามผมเข้ามาเลยครับ ท่านครูกำลังรอคุณอยู่”

“ครับ”

ทันทีที่เดินตามทีมงานชายเข้ามาด้านหลังโรงละครใหญ่ เปรมรู้สึกขนลุกเพราะบรรยากาศที่หนาวซู่ซ่า ไม่รู้ทางทีมงานตั้งใจเร่งเครื่องปรับอากาศให้มันหนาวเหน็บอย่างนี้หรือเป็นเพราะอย่างอื่นกันแน่ ตลอดทางเดินเปรมไม่ได้พูดหรือซักไซ้ถามอะไรเลยสักอย่าง ทางผู้ชายคนนั้นก็เช่นกัน บางทีเขาก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่ามีคนเข้ามาสมัครเยอะหรือเปล่า” เปรมตัดสินใจถามหลังจากทนเดินเงียบมาตลอดทางไม่ไหว

“แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ”

“ผมถามคุณอยู่นะคุณทีมงาน ไม่ได้ให้คุณถามกลับ”

“ก็เยอะ”

“คุณพอรู้ไหม ว่ายังมีบทไหนที่ยังว่างอยู่บ้าง”

“ถ้าหมายถึงบทละครของกรมศิลป์ ก็...เต็มทุกบท”

“อ้าว” เปรมเผลออุทาน ชะงักการเดินและหันมองทีมงานหนุ่มที่เดินนำห่างออกไป ในเมื่อรับคนเต็มทุกบท อย่างนั้นการที่เขามาส่งใบสมัครในวันนี้ก็ไม่มีความหมายน่ะสิ

“อย่ากังวลไป ถึงบทละครโขนทุกเรื่องของเราจะเต็มหมด แต่บทละครของผู้จัดท่านอื่นก็ยังเปิดรับสมัครนักแสดงอยู่นะครับ” ทีมงานพูดเสียงเรียบก่อนจะบิดลูกประตูออกเล็กน้อย พอให้แสงเรืองรองจากด้านในโผล่พ้นจากช่องแคบๆนั่น “เดี๋ยวเดินเข้าประตูทางด้านขวาได้เลยนะครับ ผมขอส่งคุณเปมทัตแค่นี้”

“อ่าครับ ขอบคุณมาก”

แล้วเจ้าตัวก็หันหลังเดินกลับออกไปเฉย ไม่มีแม้แต่ยิ้มตอบรับคำขอบคุณจากเขาเลยสักนิด เล่นเอาคนที่กำลังส่งยิ้มให้นี่สิถึงกลับต้องหุบยิ้มฉับพลัน คนอะไรมนุษย์สัมพันธ์แย่จัง



สิ่งที่สะดุดตานับตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเข้ามาในห้องกว้างขวาง  นักดนตรีหลายชีวิตนั่งประจำเครื่องดนตรีของตนเองอย่างเป็นระเบียบ ตู้โชว์หัวโขนฝ่ายมนุษย์ ฝ่ายลิงและฝ่ายยักษ์เก็บไว้ตามมุมห้องทั้งสี่มุม โดยหัวโขนยักษ์แยกกับหัวโขนลิง  หรือไม่ก็ต้องวางไว้คนละด้าน คั่นกลางด้วยหัวโขนฤๅษี 

เปรมพอรู้จากปู่มาบ้าง ตามความเชื่อโบราณหัวโขนทั้งสองฝ่ายห้ามนำมาเก็บรวมกันโดยเด็ดขาด เพราะยักษ์และลิงเป็นปริปักษ์ต่อกัน อาจทำให้เกิดเรื่องไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่

ผ้าม่านสีน้ำตาลแซมลายกนกสีทองบางเบาปลิวไสวไปตามแรงลมของเครื่องปรับอากาศ  ความงดงามพิจิตรของหัวโขนแต่ละหัวทำให้เปรมลอบมองด้วยความตื่นตาตื่นใจ ถ้ายกโทรศัพท์มาถ่ายเก็บเอาไว้ได้ เขาจะขอถ่ายจนกว่าแบตจะหมดเลย

“ดูท่าเอ็งจะสนใจหัวโขนมากกว่าข้านะเจ้าหนุ่ม” ชายชราเอ่ยทักในขณะนั่งเอนพิงหมอน เหยียดขาตรงอยู่บนตั่งไม้สักทอง เปรมที่มัวแต่สนใจสิ่งของรอบด้านยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อยก่อนจะยกมือไหว้ชายชราด้วยท่าทีนอบน้อม

“สวัสดีครับครู”

“ชื่ออะไรล่ะ”

“เปมทัต โรจนวาทิตย์ ครับครู หรือจะเรียกว่าเปรมก็ได้” เปรมตอบเสียงเบา แต่ก็ทำให้ชายชรายิ้ม

“ผู้ให้ความรักงั้นเรอะ ไม่เลวๆ” เจ้าของชื่อลอบยิ้ม มันเป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ เปรมรู้สึกภาคภูมิใจ เพราะเขาคือผู้ที่ให้ความรัก และคนที่รับความจากเขาก็ล้วนมีความสุข อิ่มเอมใจกันแทบทุกคน “นี่เจ้าหนุ่ม...เอ็งเป็นอะไรกับครุฑ โรจนวาทิตย์หรือเปล่า”

“เป็นปู่ผมเองครับ”

“จริงเรอะ ฮ่าๆ โลกนี้ช่างกลมแท้ พอดีข้าเป็นเพื่อนเก่าแก่มันเอง ว่าแต่มันสบายดีใช่ไหม”

“คุณปู่สบายดีครับ” เขายิ้มตอบชายชรา รู้สึกตะลึงไม่ใช่น้อย เมื่อชายชราตรงหน้า บรมครูชั้นเอกมีชื่อเสียงแห่งกรมศิลป์ เจ้าของโรงละครโขนรู้จักกับปู่ของเขา โลกมันคงกลมอย่างที่ครูท่านว่าจริงๆ

“ข้าชื่อเหนือ เอ็งจะเรียกข้าว่าครูเหนือ หรือปู่เหนือก็ได้” ยกยิ้มเพิ่มเล็กน้อย “แต่ใจจริงข้าอยากให้เอ็งเรียกข้าว่าปู่มากกว่า ไหน...ลองเรียกข้าปู่เหนือสิ”

“ครับ ปู่เหนือ”

ชายชราเปล่งเสียงหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ “เออ ดีๆ เรียกต่อไปนะข้าชอบ”

“ครับ”

“ข้าล่ะแปลกใจนักที่เห็นคนรุ่นใหม่ หน้าตาดีอย่างเอ็งมาที่นี่ด้วย โดนปู่เอ็งบังคับมาล่ะสิใช่ไหม”

“ไม่เลยครับ ผมเต็มใจมาเอง”

บรมครูกรมศิลป์เลิกคิ้วสูง “คนรุ่นใหม่อย่างเอ็งเนี่ยนะ สนใจศิลปะเก่าแก่ โบราณ คร่ำครึ? เป็นไปได้หรือวะ”

“ก็ไม่เห็นจำเป็นที่คนรุ่นใหม่ต้องลืมเลือนสิ่งมีค่าที่บรรพบุรุษมอบให้เลยนี่ครับ ใครจะหาว่าเป็นของเก่า ควรเก็บไว้บูชาบนหิ้งก็ช่างเขา แต่ผม...ผมภาคภูมิใจในสิ่งเหล่านี้และอยากสืบสานต่อไปถึงลูกถึงหลาน”

ดวงตาชายชราประกายวาบวาบอย่างถูกใจในคำตอบ “ตอบได้ดีๆ แล้วเอ็งอยากแสดงอะไรให้ข้าดูล่ะเจ้าหนุ่ม”

“หนุมานครับ”

“งั้นก็แสดงมา”

เปรมเดินไปคุยกับนักดนตรีเรื่องเพลงตอนที่ต้องการแสดง สูดลมหายใจเข้าและปล่อยออกมายาวเหยียด ยกมือไหว้ครูบาอาจารย์ ไม่นาน...เสียงปี่ในก็ดังขึ้น

การแสดงโขนชุดเล็กตอนหนุมานจับนางเบญจกายเปิดฉากขึ้น ถึงแม้จะไม่มีนางเบญจกายให้ไล่ตามหากเปรมกลับสามารถแสดงท่วงท่าของหนุมานออกมาได้ดี ด้วยลีลา ท่วงท่ากระฉับกระเฉงไปตามทำนองเพลงเชิดนอก

ชายชราอมยิ้ม มองดูอย่างประทับใจ ไม่เลวทีเดียวสำหรับเด็กรุ่นใหม่ แม้จะดูไม่ค่อยแข็งแรงนักเมื่อเทียบกับบทอันกระฉับกระเฉง แข็งแรงของหนุมานที่ต้องใช้กระบวนท่ารำแบบลิง ประกอบไปด้วย ท่าเก็บ ท่าหย่อง ท่ายืดกระทบ กระโดดขึ้นกระโดดลง เจ้าหนุ่มคนนี้ยังต้องฝึกอีกเยอะ แต่มีแววน่าจะไปได้ไกล

เปรมย่อเข่าก่อนจะตั้งวงบน เดินไปหลบตรงมุมห้องเมื่อการแสดงจบลง ชายหนุ่มยกยิ้ม ดึงแขนเสื้อมาซับเหงื่อที่เกาะพราวบนหน้าผากตนเอง

“ใช้ได้ทีเดียวสำหรับบทหนุมาน แต่มันยังดีไม่พอ”

“...”

“ข้าคิดว่าบทลิงไม่เหมาะกับเอ็งหรอกเจ้าหนุ่ม แค่นิสัยของเอ็งก็ยังแตกต่างกับบทลิงอยู่มากโข ถ้าเป็นตัวพระยังดูเข้าท่ากว่า นี่ถ้าข้าเลือกให้เอ็งเล่นเป็นบทลิง ข้าคงต้องพิจารณาสมองตัวเองสักหน่อย”

เปรมทำหน้างอง้ำเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของชายชรา “ผมสามารถเล่นได้นะครับปู่เหนือ”

“วะ อย่ามาเถียงบรมครูชั้นเอกอย่างข้าเชียวนะ ข้าบอกไม่ได้ก็คือไม่ได้สิ” ชายชราเอ็ดจนชายหนุ่มกลัวหน้าหงอ คนอาวุโสนี่ยังไงนะ ชอบดุจริง “บอกตามตรง หน้าสวยเกินชายอย่างเอ็ง รูปร่างผอมกะหร่องต่ำกว่ามาตรฐานตัวยักษ์ ตัวลิง ทำให้ข้าคิดหนัก ผลงานที่เขียนแนบมาในใบสมัคร หรือการแสดงสด ไม่ได้ช่วยให้ข้าตัดสินใจได้ง่ายเลย” ชายชรายันกายลุกนั่งหลังตรง เอามือมาประสานกันตรงหน้าแล้วก้มมองชายหนุ่มนิ่ง

ด้วยเครื่องหน้าคมคายติดหวานราวอิสตรี ดวงตาเรียว นิ้วมือเรียวสวย ก่อนจะสะดุดที่ปานกุหลาบดอกเล็กสีแดงตรงใบหูขวา มันทำให้ชายชรานึกถึงบทสนทนาที่คุยกับประธานบริษัท RAVANA ผู้จัดแสดงโขนที่โด่งดั่งไปทั่วโลก

‘คนที่แสดงเป็นนางสีดา ผมขออย่างเดียว ขอให้มีปานรูปกุหลาบสีแดงตรงหลังใบหูด้านขวา และต้องเป็นปานที่ติดมาแต่เกิดเท่านั้น ไม่ใช่การสักเอา หวังว่าครูเหนือคงจะหาให้ผมได้’

นี่คงเป็นลิขิตของสวรรค์กระมังที่จงใจให้เด็กคนนั้นได้เล่นบทที่ไม่เคยมีผู้ชายคนใดได้เล่นมาก่อน

 “เจ้าหนุ่ม ปานตรงหลังหูเอ็ง...” เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนัก

เปรมยกมือจับหลังใบหูตนเอง “อ้อ ครับ ปานนี้ผมมีตั้งแต่เกิดแล้วล่ะ แม่บอกมันคือปนที่ติดมาแต่ชาติปางก่อน”

“ยากจะเชื่อโดยแท้...เอาล่ะ ข้ามีทางเลือกให้เอ็งสองข้อ”

“อะไรหรือครับปู่” เปรมถาม

“หนึ่ง ข้าจะให้เอ็งผ่าน แต่ต้องยอมเป็นตัวละครที่ข้าเสนอให้ หรือสอง...”

“...”

“กลับบ้านไปบอกปู่เอ็งซะ ว่าผมไม่ผ่านการคัดเลือกในครั้งนี้”

กลับบ้านมือเปล่า เหอะ แบบนี้ มีหวังเปรมคงหูชาเพราะโดนปู่บ่นเช้า กลางวัน เย็นแน่ๆ เรื่องอะไรเขาจะหาเรื่องใส่ตัวเองล่ะ สู้ยอมรับบทที่ชายชรามอบให้ ต่อให้เป็นตัวประกอบไม่โดดเด่น อย่างน้อยก็ยังได้เป็นส่วนหนึ่งของกรมศิลป์ที่เด่นดังเรื่องโขนที่สุดในประเทศไทย เอาวะ คิดเสียว่ามันคือจุดเริ่มต้นที่ดีของชีวิต

“ได้คำตอบหรือยัง”

“ครับ ผมขอเลือกข้อหนึ่ง ปู่อยากให้ผมแสดงเป็นอะไร ผมยอมทั้งนั้น ขอแค่ได้มีส่วนร่วมในการแสดงโขนอันยิ่งใหญ่ก็พอ”

“กลับคำไม่ได้แล้วนะพ่อเปรม” เป็นครั้งแรกที่ชายชราเรียกชื่อเขาแถมยังส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้อีก

“ผมทราบครับ”

ชายชรานั่งนิ่งอยู่สักพักก่อนจะตะโกนเรียกใครสักคนจากนอกห้องให้เข้ามา เป็นทีมงานหนุ่มคนเดิม แต่คราวนี้เขามาพร้อมกับหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง เปรมเผลออ้าปากค้างเพราะความสวยของเธอ เครื่องหน้างดงามราวกับถอดพิมพ์มาจากนางในวรรณคดี เธอยิ้มอ่อนให้เขา

“มาแล้วเรอะ แม่จันทร์”

“ค่ะ ท่านปู่”

“ปู่เจอแล้วนะ เจ้าหนุ่มนี้แหละ พอจะไหวบ้างไหม”

หญิงวัยสามสิบกว่าลอบสำรวจชายหนุ่มอย่างเงียบๆ หากดูจากรูปร่างและหน้าตาก็พอได้อยู่ แต่...คงต้องขัดเกลา ติวเข้มกันยกใหญ่

“คิดว่าพอได้ค่ะ”

“งั้นปู่ฝากดูแลพ่อเปรมด้วย อยากให้เขาแสดงออกมาให้ดีและเข้าถึงจิตวิญญาณตัวละครให้มากที่สุด” เว้นวรรคหายใจช่วงหนึ่งและหันไปคุยกับอีกคนที่ยืนเงียบตรงประตูทางเข้า “เจมส์ ข้าฝากบอกไปทางบริษัท RAVANA ที ตอนนี้เราได้นักแสดงที่เขาต้องการแล้ว”

“ครับครู”

“เอ่อ...ปู่ครับ พออธิบายให้ผมฟังหน่อยได้ไหม” พูดอะไรกันก็ไม่รู้ ฟังแล้วงงไปหมด อะไรคือไหว ไม่ไหว บทที่เขาต้องแสดงมันยากขนดนั้นเลยเหรอ

“ทำหน้าเป็นหมางงเชียวเอ็ง” ปู่เหนือหัวเราะเสียงดัง ถูกอกถูกใจ ในขณะเปรมที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเลยก็ยังทำหน้าหมางงต่อ “งั้นข้าจะบอกให้ก็ได้ จงไปบอกพ่อแม่เอ็งซะ สามเดือนต่อจากนี้ เอ็งต้องย้ายมาอยู่ในโรงละครแห่งนี้พร้อมกับนักแสดงคนอื่น ส่วนบทของเอ็ง ข้าขอแสดงความยินดีด้วย”

ดวงตาเรียวสวยเบิกโพล่งอย่างตกใจเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของบรมครูชั้นเอก หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะขอเลือกตอบข้อสอง ยอมโดนปู่กับพ่อบ่นหูชา ดีกว่ารับเล่นตัวละครที่บรมครูชั้นเอกอย่างปู่เหนือวางไว้ให้

หมดกัน ชีวิตไอ้เปรม



“หวังว่าบทนางสีดาที่ข้าเลือกคงถูกใจเอ็ง”




ถูกใจไหมล่ะหนูเปรม งานนี้มีเฮ 555

หนึ่งเม้นเท่ากับหนึ่งกำลังใจ ไว้จะมาลงตอนใหม่ให้นะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่าาา

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒:
«ตอบ #2 เมื่อ10-12-2016 22:18:25 »

บทที่ ๒
[/b]





 รถเมอร์เซเดสเบนซ์สีเทาควันบุหรี่ขับเคลื่อนอย่างไม่รีบร้อนนักเมื่อเข้าสู่ถนนสายเดี่ยวที่ค่อนข้างเงียบสงบ สองข้างทางเรียงรายด้วยต้นสนที่ปลูกไว้อย่างตั้งใจ ถนนสายนี้ไม่ค่อยมีรถผ่านเข้าออกมานัก นอกจากรถภายในคฤหาสน์หลังใหญ่กลางซอยที่ห่างจากปลายถนนเพียง 500 เมตร

ประตูรั้วสีทองสลักลายเครือเถา ค่อยๆเคลื่อนเปิดออกอย่างแช่มช้า เผยให้เห็นถึงบริเวณที่เรียกว่าบ้านได้ถนัดตา ผืนหญ้าเขียวชอุ่มทอดร่างอยู่ภายใต้ผืนฟ้ายามเย็น บ่อน้ำพุรูปปั้นนางมัจฉาตั้งตระหง่านตรงลานหน้าบ้าน พุ่งทะยาน แตกออกเป็นเส้นสาย ยามต้องแสงแดดจะแวววาวระยิบระยับดั่งเพชรจินดา

ความสดชื่นของต้นไม้ ดอกไม้นานพันธุ์แผ่กิ่ง ขยายก้านส่งความร่มรื่นปรกพื้นหญ้า และทางลาดปูด้วยดินเผาต่างสีช่วยส่งผลให้บ้านดูกึ่งเก่ากึ่งใหม่ ใครๆที่พบเห็นต่างตั้งคำถามว่า บนพื้นที่ 5 ไร่ ใครกันหน้าช่างสร้างบ้านได้งดงามวิจิตรและกลมกลืนไปกับธรรมชาติได้เพียงนี้

เมอร์เซเดสเบนซ์สีเทาวิ่งผ่านประตูเปิดรับอัตโนมัติ มาตามทางที่ปูด้วยกระเบื้องหินอ่อนลายสวย ซึ่งจัดวางอย่างมีศิลปะ รถจอดสนิทตรงหน้าบันไดที่ตั้งระดับลาดเอียงสู่ประตูตัวบ้านที่เปิดกว้างไว้อย่างเปิดเผย เสมือนเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศอันโอ่โถง ประตูคนขับเปิดออกพร้อมกับชายวัยกลางคนใส่เสื้อสีกรมท่า กางเกงสีดำ รีบกุลีกุจอลงมาเปิดประตูด้านหลัง หากทว่ายังไม่ทันความตั้งใจของอีกคน เพราะบัดนี้ประตูสีเทาบานนั้นเผยให้เห็นผู้ที่เปิดออกมา...ประธานบริษัท RAVANA ผู้ครอบครองธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากมายทั้งบ้าน คอนโด ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร รวมถึงนายหน้าจัดการแสดงโขนทั่วโลกและยังเป็นเจ้าของบริษัทส่งออกทองคำและจิวเวอร์รี่อันดับหนึ่งของประเทศ อสุเรนทร์ อมาตยสูร ชายวัยกลางคนรับกระเป๋าเอกสารที่ผู้เป็นเจ้านายยื่นให้อย่างนอบน้อม

“ท่านจะขึ้นไปพักเลยหรือไม่ครับ”

ชายวัยกลางคนซึ่งทำหน้าที่คนขับรถถามเพื่อให้แน่ใจในการเอากระเป๋าไปเก็บถูกตำแหน่ง

“ยัง นายไปเก็บกระเป๋าแล้วก็ไปทำอย่างอื่นเถอะ”

ชายวัยสามสิบเจ็ดที่ใบหน้ายังดูหล่อเหลาอ่อนกว่าวัยอยู่มาก เดินขึ้นบันไดพลางถอดสูทสีดำออกพาดแขน และดึงเนคไทขยายคอเสื้อก่อนเข้าประตูบ้าน หญิงแม่บ้านรีบวิ่งมารับเสื้อและเนคไท พร้อมรอรับรองเท้าที่กำลังถอดอย่างรู้งาน

“นายท่านเจ้าคะ คุณกฤตรอพบท่านอยู่บนเรือนเล็กเจ้าค่ะ เห็นบอกมีเรื่องสำคัญที่จะต้องบอกท่าน”

“นานหรือยัง”

“สักพักเห็นจะได้ค่ะ”

“ขอบใจ”

เธอยิ้มรับอย่างนอบน้อมก่อนก้มหยิบรองเท้าแล้วถอยจากไปทำหน้าที่ประจำของเธอต่อ

อสุเรนทร์เปลี่ยนจุดหมายจากขึ้นบันไดสู่ตัวบ้านชั้นบนเป็นเดินออกจากตัวบ้านหลังใหญ่ มุ่งหน้าผ่านต้นไม้ร่มรื่นสู่เรือนไทยวิจิตรงดงามด้านหลังตึกใหญ่

เรือนเล็กที่อสุเรนทร์จงใจปลูกไว้สำหรับมานั่งพักผ่อนหย่อนใจเพื่อซึมซับสิ่งที่คุ้นเคย เขาออกจะชอบบรรยากาศเช่นนี้มากกว่าความล้ำหน้าของเทคโนโลยีและมนุษย์  เรือนไทยเป็นโครงสร้างดั้งเดิมยกสูง  บนตัวเรือนเป็นชานกว้างทว่าร่มรื่นด้วยต้นไม้ต้นไทยที่แทงลำต้นสู่ผืนฟ้า...ผ่านกลางชานบ้านที่เจ้าของเปิดช่องให้ลำต้นของต้นจัน แผ่กิ่งก้านอวดโฉมได้อย่างอิสระ สงบท่ามกลางความวุ่นวายของยุคเทคโนโลยี

เวลานับพันปีที่ อสุเรนทร์ หรือนามเดิม ทศกัณฐ์ ใช้เวลาไปกับการดูแลทำนุบำรุงบ้านเมือง ยุติสงครามระหว่างฝ่ายยักษ์และฝ่ายมนุษย์ของพระราม ยกตำแหน่งผู้ครองกรุงลงกาให้พิเภกให้สืบสานต่อ ส่วนตนเองขอปลีกตัวไปพักรักษาใจ คอยอยู่เป็นที่ปรึกษาอยู่หลังม่าน ทุกอย่างเข้าสู่สภาวะปกติ ทว่ามีเพียงสิ่งเดียว...ใจของเขามันยังคงร่ำร้องถึงนางอันเป็นที่รัก อยากเจอ อยากครอบครอง อยากสูดดมกลิ่นหอมบนเรือนกายงามราวนางอัปสรสวรรค์จากชั้นดาวดึงส์ แม้จะรู้นางคือลูกแท้ๆของเขากับนางมณโฑ แต่ทว่าในเมื่อรักยกหัวใจให้นางไปทั้งดวงแล้ว ต่อให้ผิดศีลธรรมเท่าไหร่ เขาก็ไม่สน

และอีกอย่างนางกลับชาติมาเกิดใหม่ ความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกย่อมยุติไปด้วย

อสุเรนทร์เคยเจอนางสีดาทุกชาติ แม้นกายหยาบอาจเปลี่ยนแปลง ทว่าความงดงามและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้เขาจำนางได้อย่างแม่นยำ พยายามเกี้ยวพาราสี ทำทุกอย่างเพื่อทำให้นางรัก ทว่าดันมีอุปสรรคมาขัดขวางตลอดทุกชาติภพ ถ้านางไม่แต่งงานมีลูก...เกิดอาการวิปลาส ก็สิ้นชีวี

รู้เลยการรอคอยใครบางคนเป็นเวลานานๆ ถึงจะเป็นหัวใจยักษ์ก็มิอาจหลุดพ้นจากความเจ็บปวดอันเกิดจากเสน่หาได้
อสุเรนทร์ก้าวขึ้นบันไดเรือนไม้อย่างแผ่วเบาจนถึงชานบ้านที่ร่มรื่น เก้าอี้ไม้รายล้อมต้นจันต้นใหญ่ ความหอมของมันคลายความตึงเครียดจากการทำงานได้เป็นอย่างดี

 ชินกฤต หรือโหรหลวงพิเภกละสายตาจากหนังสือตรงหน้า มองมายังพี่ชายด้วยใบหน้าแย้มยิ้มละมุน

“ดูท่าเจ้าคงว่างมากกระมัง มีเวลาอ่านหนังสือต่างกับข้าทำงานจนปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมด”

“เพราะข้าเป็นคนพิเศษไงล่ะท่านพี่”

“เจ้ามันหลงตน ยักษ์เจ้าเล่ห์” อสุเรนทร์ยกยิ้ม “ไหน เจ้ามีอันใดจะบอกข้ารึ”

คราวนี้ชินกฤตปิดหนังสือ วางบนตั่งไม้สักทอง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นกว่าเดิมจนอสุเรนทร์ต้องทำหน้าขรึมจริงจังตามไปด้วย

“ทางกรมศิลป์แจ้งมาว่า ได้ตัวนางสีดาแล้ว

อสุเรนทร์นิ่งอึ้งหลังจากชินกฤตกล่าวจบ ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมน้ำ หัวใจเต้นแรงกระแทกทรวงอกจนปวดหนึบ การรอคอยตลอดหนึ่งร้อยปีเพื่อรอให้นางเกิดใหม่ก็สิ้นสุดลงเสียที ริมฝีปากค่อยเผยอยิ้มออกมา ดวงตาคมคายบัดนี้เปล่งประกายจนคนที่เห็นอดหัวเราะด้วยความขำขันมิได้

หนึ่งพันปีเป็นเช่นไร ปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้น

ผู้เป็นน้องชายหยิบแฟ้มสีขาวบางส่งให้อสุเรนทร์ “ประวัติของคนที่มาเล่นเป็นนางสีดา ผู้มีปานแดงรูปกุหลาบหลังหูด้านขวา ตรงตามที่ท่านพี่ต้องการ” ชินกฤตพ่นลมหายใจ “ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ชาติ นางก็ยังคงเป็นนาง คงความงามได้มิมีเปลี่ยน แม้นเป็นชายก็ยังงามงดเสียยิ่งกว่าอิสรี”

อสุเรนทร์หาได้สนใจคำพูดของชินกฤตอีกต่อไป ตั้งหน้าตั้งตาอ่านประวัติบนหน้ากระดาษสีเหลี่ยมผืนขาวทีละบรรทัดอย่างละเอียด 

“เปมทัต...” เอ่ยเสียงผะแผ่ว “นามเจ้าช่างเพราะนัก”

ภาพถ่ายหลายอิริยาบถ ดวงตาเรียวสวยวาววาบประดั่งดวงดาราบนฟากฟ้า  ริมฝีปากอวบอิ่ม ลำคอระหงและไหนจะผิวขาวละเอียดลออนวลเนียนน่าชม เป็นชาติที่สามที่นางได้กลับมาเกิดเป็นชาย ทว่าเขาหาได้สนใจเรื่องเพศไม่ ขอแค่เป็นนางไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉานหรือปีศาจ เขาก็ยังรักนางไม่เปลี่ยนแปลง 

“ท่านพี่เปลี่ยนไปมากนะขอรับ”

“ข้าเปลี่ยนเยี่ยงไรรึ”

“การที่ท่านยึดมั่นต่อนางเพียงผู้เดียวตลอดพันปีที่ผ่านมา มันสามารถเป็นข้อพิสูจน์ได้แล้วว่าท่านพี่รักนางจริง ข้าภูมิใจในตัวท่านนะ มันยากที่จะให้ยักษ์ตนหนึ่งกระทำสำเร็จ แต่ท่านก็ทำสำเร็จ ต่อจากนี้ข้าจักทำทุกอย่างเพื่อให้ท่านสมหวัง”

“ขอบน้ำใจเจ้านักน้องข้า”

“แล้วนี่ท่านพี่จักทำอันใดต่อ”

“เจ้ารู้ข้าคิดทำเช่นไร”

“หากในความคิดของข้า การที่ท่านปรี่ตัวเข้าไปหานางทันทีแล้วบอกรักช่างเป็นการกระทำที่บุ่มบ่ามและน่ากลัวนัก บอกตามตรงข้าเป็นนาง ข้าก็หนีขอรับ” บุรุษผู้มีญาณหยั่งรู้อนาคตเอนกายพิงพนักอย่างขำขัน “มนุษย์อ่อนไหวและตื่นตระหนกได้ง่าย ทางที่ดีท่านพี่ควรเริ่มต้นจากการทำความรู้จักช้าๆ”

“แต่ข้าอยากให้นางรักข้าเร็วๆ”

“ไม่มีประโยชน์อันใดหากท่านไม่เชื่อคำข้า ท่านพี่ต้องสูญเสียนางอีกครั้ง และเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ด้วย”

ชินกฤตพูดตามที่เขาเห็นและวิเคราะห์

“อย่าบอกนะ พระราม...”

“ขอรับ เขาซุ่มรอโอกาสจากเราอยู่”

อสุเรนทร์ไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องพรรณนั้นอย่างแน่นอน

สีดา...ไม่สิ เปมทัตในเมื่อเจ้าปรากฏกายต่อหน้าข้าแล้ว ข้าจักมิยอมให้ผู้ใดพรากเจ้าไปจากข้าอีกเป็นอันขาด

“น้องข้า จงเตรียมรถให้พร้อม”

“...”

“ข้าจักไปโรงละครโขน”


-โรงละครแห่งชาติ-

“จ่ะ โจ้ง จ่ะ ทิง โจ้ง..ง..ง ทิง....ดี...ดีแล้วพ่อเปรม ข้อมือด้านซ้ายบิดไปข้างนอกนิดหนึ่ง นั่นแหละ สวย...สวยมาก”

โจงกระเบนสีแดงคาดด้วยเข็มขัดนากเสียดสีกับเสื้อยืดสีขาวสะอาดด้านบนจนเกิดเสียง ปลายเท้าเปล่าย่ำลงพื้นแผ่วเบาตามจังหวะกรับเสภา เอี้ยวตัวอ่อนช้อยตามบทบรรเลงเสนาะหู ครูจันทร์ฉีกยิ้มพึงพอใจกับความหัวไวของลูกศิษย์ เปรมเป็นคนเรียนรู้เร็ว ไม่ว่าสอนอะไรให้เขาก็สามารถจำและทำตามได้แบบต้นฉบับไม่มีผิดเพี้ยน จะแก้ก็ต้องแก้ตรงความอ่อนช้อยเล็กน้อย ยังดูแข็งเกร็งตามแบบผู้ชายอยู่มาก ซึ่งเธอเข้าใจดี จะให้ผู้ชายมารำตัวนางก็ลำบากมิใช่น้อย

แก้มเนียนใสปรากฏสีแดงระเรื่อเพราะความร้อนที่สั่งสมมาตลอดครึ่งวันที่ฝึกซ้อมท่ารำตัวนางอย่างหนัก กล้ามเนื้อแขนและขาร้องโอดครวญด้วยความปวดระบม หนึ่งอาทิตย์ที่ตรากตรำ ขอใช้คำนี้เลยแล้วกันเพราะมันเหมาะกับสารรูปเปรมในตอนนี้จริงๆ โดนดัดโน่น ดัดนี่ทั้งตัว ทั้งๆที่เขาก็ถูกปู่กับตาจับให้ทำตั้งแต่เด็ก นี่ยังนึกถึงวันแรกที่กลับไปบอกพ่อ แม่ ปู่ ตา ยายได้อยู่เลย ว่ารับเลือกให้เล่นบทนางสีดา  ตัวหลักในเรื่องหทัยทศกัณฐ์ แต่ละคนถึงกับตะลึงกันเสียยกใหญ่ ยิ่งปู่นี่เป็นลมหมดสติข้ามวันเลยทีเดียว

ยกเว้นแค่มารดาผู้บังเกิดเกล้าที่ต่างจากคนอื่น

‘ดูๆไปลูกแม่ก็เหมาะกับบทนางสีดาดีนะ หนุมานไม่เหมาะหรอก’

ปัดโธ่...ถ้าแม่จะพูดกับเขาอย่างนี้ อย่าพูดเลยดีกว่า

“พักดื่มน้ำ ดื่มท่าก่อนเถิดพ่อเปรม” ครูจันทร์บอกเมื่อเห็นทีท่าอีกฝ่ายเริ่มไม่ไหว

“ขอบคุณครับครูจันทร์”

เปรมรับขวดน้ำเย็นจากมือหญิงวัยกลางคน ยกขวดเปิดฝากระดกอย่างรวดเร็วแก้กระหายพลางทรุดตัวนั่งลงพิงเสาและหลับตาลงอย่างหมดแรง

“รู้สึกยังไง”

“เหนื่อยมากครับครู ไม่เคยฝึกหนักอย่างนี้มาก่อน”

“ถ้าไม่ได้จำกัดเวลา ครูคงไม่ต้องเคี่ยวเข็ญเธอหนักขนาดนี้หรอกจ๊ะ” ครูจันทร์ยิ้ม “แต่คิดเสียว่ามันส่งผลดีต่อตัวเธอในอนาคต บทละครโขนที่เธอต้องเล่นผู้จัดเขาเน้นย้ำมาเลยนะ นักแสดงทุกคนต้องเข้าถึงจิตวิญญาณตัวละครและต้องเล่นให้เหมือนกับเราเป็นตัวละครนั้นจริงๆ ครูรู้ว่ามันยาก แต่เรา...คงทำได้อยู่แล้วใช่ไหม”

“ผมจะพยายามทำให้เต็มที่แล้วกันครับ”

“อยากรู้หรือเปล่า ทำไมท่านปู่ถึงเลือกเธอเล่นบทนี้”

“อยากครับ” เปรมรีบตอบทันควัน ความอยากรู้อยากเห็นเขามีมาตั้งแต่อาทิตย์ก่อนหน้าแล้ว พอถามชายชรา ท่านก็เอาแต่ยิ้มลูกเดียว จะถามคนอื่นก็ไม่กล้าเพราะไม่ได้สนิทเท่าไหร่นัก จะเหลือก็ครูจันทร์คนเดียวที่ดูจะถามไถ่ได้ พอครูมาถามก่อนเช่นนี้เลยเข้าทางเขาพอดี

“เพราะปานหลังหูของเธอ”

“ปานเหรอครับ” บทนางสีดาเกี่ยวอะไรกับปานของเขาด้วย

“ครูก็ไม่รู้รายละเอียดสักเท่าไหร่ ทางบริษัทผู้จัดเขารีเควสมาน่ะว่าต้องเป็นคนลักษณะนี้เท่านั้น ตอนแรกเราก็หมดหวัง แต่พอได้เจอเธอ...มันเลยทำให้ครูและคนอื่นๆรู้สึกว่าเธอคู่ควรกับบทนางสีดาจริงๆ”

“ผู้จัดเหรอครับ”

“RAVANA เธอเคยได้ยินหรือเปล่า”

“อ่า...ที่ประธานบริษัทสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศโดยการนำโขนไปแสดงที่ต่างประเทศใช่ไหมครับ”

ครูจันทร์พยักหน้า “ใช่จ๊ะ เขานั่นแหละ”

“ทำไมเขาต้องเจาะจงเลือกคนที่มีปานแบบผมด้วยล่ะ”

“ครูไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ท่านปู่บอกครูมาว่านางสีดาฉบับต้นแบบมีปานรูปกุหลาบที่ต้นคอจริงๆ”

เปรมชะงักชั่วครู่...ขนลุกซู่บริเวณท้ายทอยลามไปถึงหลังหูด้านขวา ลมหายใจติดขัดแล้วดวงตาก็พร่ามัวลง เขาไม่รู้ว่าเกิดผิดปกติอะไรในดวงตาหรือเป็นเพราะแสงพระอาทิตย์ที่แยงเข้ามาด้านในห้อง ทำให้เขาเห็นภาพบางอย่าง มีสันสันเสมือนจริง

‘เจ้างามดั่งกุหลาบแรกแย้ม งามพิศยิ่งกว่ามวลกลีบผกามาศที่พานพบ พี่ขอได้ฤาไม่ หากพี่จักประทับรอยกุหลาบเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของนวลเจ้า’

‘พี่ท่าน...’

‘เปรียบเสมือนพันธะสัญญาเราสอง หากเมื่อใดข้าแลเจ้าพบพานกันอีกครั้งในชาติพบหน้า ข้าจักได้จำได้ว่าเจ้าคือจอมขวัญของพี่คนเดียว’




“เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะพ่อเปรม”

ครูจันทร์ทักขึ้นเมื่อลูกศิษย์หนุ่มปิดตา

ถึงภาพจะพร่ามัว หากเปรมกลับเห็นหญิงสาวรูปบอบบางสวมใส่สไบสีชมพูผืนยาว ชายผ้าตกลู่ไหล่ เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าและผิวขาวนวลของเนินอกกว้าง ร่างสูงใหญ่กำยำของชายผู้หนึ่ง ผู้มีผิวกายสีเขียวมรกตเข้ามานอนอิงแอบอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน แม้จะเห็นเพียงไม่กี่ชั่ววินาที เปรมกลับรู้สึกคุ้นเคยราวกับภาพในหัวได้เกิดขึ้นกับเขามาก่อน เมื่อ...นานมาแล้ว

 “ไม่...ไม่เป็นไรครับ...ผมอาจจะเหนื่อยมากไปหน่อย...เลยเห็นภาพหลอน” เปรมรีบหาข้ออ้าง เพราะเขารู้ว่าสิ่งที่ตนเห็นในความคิด คงไม่มีใครเชื่ออย่างแน่นอนถ้าเขาเล่ามันออกไป

“ไปพักให้หายเหนื่อยเถอะพ่อเปรม บ่ายๆค่อยกลับมาซ้อมต่อ”

“ขอบคุณมากครับครู ไว้ผมจะซื้อของกินมาฝาก”



บรรยากาศร้อนอบอ้าวของช่วงกลางวันทำให้เปรมรู้สึกเหนอะหนะและรู้สึกไม่สบายตัว ทว่าเสียงท้องที่ร้องดังโครกครากเพราะความหิวเอาชนะได้ทุกอย่าง ชายหนุ่มจำใจต้องเดินออกไปนอกโรงละครเพื่อหาของกินประทังชีวิตทั้งที่ยังนุ่งผ้าแดงอยู่

“ป้าครับขอข้าวห่อหมกห่อหนึ่งแล้วก็น้ำเปล่าขวดหนึ่งด้วย”

“รอแปปนะอีหนู เดี่ยวป้ารีบทำให้จ๊ะ” แม่ค้าวัยเกินห้าสิบปีบอกเขาเสียงแปร๋นสะเทือนหู

“ป้าครับ ผมไอ้หนูครับ ไม่ใช่ใช่อีหนู” เปรมรีบแก้ต่าง ขืนไม่บอกสิ ป้าแกคงได้เรียกอีกหนูๆต่อไปทุกครั้งที่มาซื้อหรือเดินผ่านหน้าร้านแน่ แค่เกิดมาหน้าหวานเกินผู้ชายด้วยกันก็สร้างความทุกข์ใจให้เขามากพอแล้ว

“อ้าวเหรอ ก็หน้าเอ็งมันหวานเหมือนผู้หญิงนี่นา ป้าเองก็แก่แล้ว ตาเลยฝ้าฟางไปบ้าง งั้นเดี๋ยวป้าแถมน่องไก่ให้น่องหนึ่งแทนคำขอโทษ”

“ขอบคุณครับ”

เปรมยิ้มตาหยี ยกมือไหว้ขอบคุณอย่างนอบน้อม ของฟรีใครไม่อยากได้บ้างล่ะ

“เป็นนักแสดงใหม่เหรอ ป้าไม่เคยเห็นหน้าเลย”

“ครับ ผมเพิ่งมาใหม่อาทิตย์เดียวเอง”

“งั้นคงเป็นนักแสดงเรื่องใหม่ที่เขากำลังเปิดรับสมัครอยู่ล่ะสิ เอ...ชื่อเรื่องอะไรนะ”

“หทัยทศกัณฐ์ครับ” เปรมตอบแทน คนเป็นแม่ค้าถึงกับตบมือหนึ่งฉากราวนึกขึ้นได้

“เออ นั่นแหละว่าแต่...เอ็งเล่นเป็นใครล่ะ”

“ผมเล่น...”

ขณะชายหนุ่มเตรียมตอบคำถามแม่ค้าวัยสาวใหญ่ รุ่นพี่หนึ่งในนักแสดงโขนโผล่หน้าจากบานประตูทางเข้าโรงละครตะโกนเรียกเขาเสียก่อน

“เปรม! ครูเรียกรวมตัวนักแสดงด่วน”

“มีอะไรหรอครับพี่สินธุ” ตะโกนถามกลับ

คุณทศมา

“รีบไปเถอะพ่อหนุ่ม อย่าปล่อยให้คุณเขารอนาน พยายามตั้งใจซ้อมเข้าล่ะ นักแสดงที่นี่ได้ดีกันทุกคน”

ชายหนุ่มส่งยิ้มน้อยพลางยื่นเงินจ่ายค่าอาหารและใช้มืออีกข้างรับถุงใส่ข้าวจากแม่ค้าจิตใจดี ถึงเธอจะพูดเยอะไปบ้างแต่ก็ทำให้เขาผ่อนคลายมากทีเดียว

“ขอบคุณนะครับ ไว้จะมาอุดหนุนใหม่”

“เดี๋ยว พ่อหนุ่ม”

เปรมที่กำลังหันหลังเตรียมตัวเดินไปทางอื่นต้องหยุดชะงัก เอียงคอมองแม่ค้าอย่างสงสัย

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“จะเชื่อไม่เชื่อก็ตามใจนะ แต่อีกไม่นานจะมีคนเข้ามาให้เอ็งเลือกถึงสองคน และสองคนนั้นเขาก็รักเอ็งมากด้วย ฉะนั้น...ป้าแนะนำให้เชื่อหัวใจตัวเอง ดีเลวไม่สำคัญ สำคัญที่เอ็งรักใครมากกว่ากัน...โชคดีนะพ่อหนุ่มหน้าหวาน”


 
ชายชรานั่งมองความอลหม่านหลังโรงละครเล็กที่แยกออกมาอีกทีจากโรงละครใหญ่ เหล่านักแสดงวุ่นวายกับการซ้อมบทก่อนจะขึ้นแสดงต่อหน้าผู้ตัดสินกิตติมศักดิ์เพื่อทำการประเมินผลครั้งแรก

การที่อสุเรนทร์มาเยือนแบบไม่ได้บอกกล่าว ทำเอาทุกคนในกรมศิลป์ต่างวิ่งวุ่นกันหัวหมุนจัดการเรื่องต่างๆให้เสร็จโดยพลัน เพราะชายหนุ่มเจ้าของบทประพันธ์เรื่อง หทัยทศกัณฐ์ ควบตำแหน่งประธานบริษัท RAVANA ซึ่งเป็นผู้จัดแสดงโขนชั้นนำของประเทศ ต้องการดูความคืบหน้าของตัวนักแสดงว่ามีความพร้อมมากแค่ไหน ณ เวลานี้ ใครไม่พร้อมก็ต้องพร้อม ดูได้จากการร่วมงานกันในครั้งที่ผ่านมา ประธานหนุ่มคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องความเนี้ยบ สมบูรณ์แบบและค่อนข้างเอาแต่ใจมากถึงมากที่สุด ขนาดบรมครูชั้นเอกอย่างปู่เหนือยังต้องขอยอมแพ้

นัยน์ตาขุ่นเหลือบมองหลานชายของเพื่อนเก่า บัดนี้กลับนิ่งสงบกว่าคนอื่น ท่วงท่าสุขุมหลังเหยียดตรงอกผายไหล่ผึ่ง ราวผู้ที่ถูกอบรมมาดี ในความคิดชายชรา  หากเป็นหญิงคงงดงามเทียบเคียงนางในวรรณคดี ทว่าเป็นชายก็มิต่างไปต่างตัวพระผู้สูงส่ง

“เจ้าว่าพ่อเปรมเป็นอย่างไรบ้างแม่จันทร์”

“ใช้ได้ทีเดียวค่ะ จันทร์รู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้อย่างไรชอบกล คล้ายกับ...เขามีอะไรมากกว่าที่เราเห็นแต่จันทร์ก็บอกออกมาไม่ได้ว่ามันคืออะไร เขาเรียนรู้ได้เร็วกว่าคนทั่วไป แต่...แต่มันมีความพิเศษมากกว่านั้น หรือคงเป็นเพราะเขาอยู่กับสิ่งพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก”

“ใช่ เด็กคนนี้หัวไว แต่ไม่ได้หมายความเขาฉลาดหรือขยันซ้อมมากกว่าบุคคลทั่วไป” ทอดสายตามองเปรมด้วยสายตาชื่นชม “เท่าที่ปู่สังเกตมันเกิดจากความรู้สึกภายใน จิตวิญญาณของเขากำลังสวมรอยเป็นตัวละครนั้นๆที่เขาแสดงอยู่ มันเลยทำให้เขาไปได้ไกลและเร็วกว่าคนอื่นๆ”

“...”

ครูจันทร์ไม่ได้พูด หากพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“โดยเฉพาะบทของนางสีดา เล่นดีจนน่าขนลุกทั้งที่เพิ่งฝึกซ้อมแค่หนึ่งอาทิตย์”

เกิดความเงียบโรยตัวในฉับพลัน ต่างคนต่างเงียบ ปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปตามความคิดของตน จนกระทั่งเสียงประกาศเรียกชื่อนักแสดงคนแรกดังขึ้น จึงทำให้ปู่หลานคู่นี้กลับเข้ามาสู่ห้วงเวลาปัจจุบัน

“หากจันทร์ไม่ได้คิดไปเอง จันทร์คิดว่านางสีดากับพ่อเปรมคือคนคนเดียวกัน



อสุเรนทร์นั่งเท้าคาง ทำหน้าเบื่อหน่ายขณะมองดูการแสดงของนักแสดงบทหนุมานบนเวที แค่ท่วงท่ากระโดด ตีลังกา เกาหลัง เกาหัวก็ผิดไปจากต้นฉบับลิบลับ ขนาดอินทรชิตลูกชายของเขายังเลียนแบบได้ดีกว่าเลย

“ทำหน้าตาให้มันดีๆหน่อยสิพี่ทศ” ชินกฤตป้องปากกระซิบ “ทำอย่างกับเขาแสดงไม่ดีอย่างนั้นแหละ”

"ก็ใช่น่ะสิ ข้าเบื่อตายชัก"

ลำตัวหนาเอนพิงกับพนักเก้าอี้ทรงสูงแล้วถอนหายหนักหน่วง ก่อนหางตาคมเหลือบเห็นใครบางคนเสียก่อน บุคคลกลุ่มหนึ่ง ประกอบด้วยชายสามคน กำลังเดินตรงมานั่งแถวเดียวกับเขา พร้อมทั้งส่งยิ้มแสร้งเป็นมิตร ต่อให้อยู่ไกลสักร้อยเมตร พันเมตรหรือใกล้แค่เอื้อม อสุเรนทร์ยังคงจำได้อย่างแม่นมั่น

“ช่วงนี้เราไม่ค่อนเจอกันเลยนะทศกะ...อ่อ ไม่สิ คุณอสุเรนทร์”

นัยน์ตาคมกริบสีเขียวมรกตลุกโชนขึ้นชั่วครู่และเลือนหายไป ชายหนุ่มรูปงามในชุดสูทเรียบหรูขนาบข้างด้วยผู้ชายท่าทางดุคนหนึ่งและอ่อนโยนอีกคนหนึ่ง ข้อนิ้วเรียวยาวยื่นมาข้างหน้าหวังจับทักทายตามธรรมเนียมสมัยใหม่ หากกลับโดนอีกฝ่ายปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

“ราเมนทร์...” เขาเค้นคำรามในลำคอ

“ขอบคุณที่ยังจำชื่อใหม่ของฉันได้”

“เจ้ามาทำอันใด”

“ฉันก็มาดูลูกศิษย์ของฉันน่ะสิ”

อสุเรนทร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนปราดตาไปยังเจ้ามนุษย์ลิงร่างพิการบนเวทีแล้วยกยิ้มเยาะที่มุมปาก “นั่นน่ะหรือ ลูกศิษย์ ก็เหมาะดีนะ บทต่ำๆก็คู่ควรกับนักแสดงต่ำๆ”

“เจ้าทศกัณฐ์!”

ชายด้านซ้ายมือเตรียมพุ่งมาหา หากราเมนทร์กลับยกมือห้ามปรามเอาไว้เสียก่อน

“ยังเหมือนเดิมเลยหนาเจ้าลิงแก้มกลม...หนุมาน อ้อ ชื่อล่าสุด ลมเส็งเคร็ง สินะ โทษทีพอดีช่วงนี้ ข้ามักขี้หลงขี้ลืมกับเรื่องรกสมอง”

“เจ้ายักษ์ใจคด ข้าชื่อกบินทร์ต่างหาก!”

อสุเรนทร์ยักไหล่ตอบด้วยรอยยิ้มเรียบๆ เรื่องแกล้งเจ้าลิงเลือดร้อนเขาชอบนัก เวลาเห็นมันโมโหหน้าแดงกล่ำเขายิ่งชอบ อยากให้ลูกอินทรชิตมาจริงเชียว รายนั้นชอบแกล้งชอบแหย่มันมากกว่าเขาอีก

“คุณอสุเรนทร์ดูมีความสุขนะครับ”

“แน่นอนสิครับคุณราเมนทร์ ในเมื่อยอดจากการค้าขายไตรมาสนี้กระผมกอบโกยกำไรมากกว่าคุณมากโขนัก แถมยังได้ สัมปทานเหมืองเพชรที่คุณต้องการครอบครองอีกด้วย ถ้ากระผมไม่มีความสุข คุณราเมนทร์จะให้กระผมทำหน้าเศร้าโศกาเหมือนปลากระเบนหรืออย่างไร”

“อ่อ...ที่แท้ก็เป็นบริษัท RAVANA นี่เองที่เสนอเงินซื้อเหมืองเพชรจากเจ้าสัวกรรชัยมากกว่าบริษัทของฉัน เรื่องหลอกล่อ โน้มน้าวคนด้วยวาจากลิ้งกลอก คุณอสุเรนทร์ช่างเก่งจริงๆนะครับ นับถืออย่างสุดหัวใจ” ราเมนทร์ตอบด้วยรอยยิ้ม ทว่าดวงตากลับเจือกรุ่นด้วยความแข็งกร้าว ไม่พอใจ

“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับฝีมือ สีดาเองก็เช่นกัน” นางย่อมเป็นของเขาผู้เดียว

“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกทศกัณฐ์”

“รอดูเอาเองก็แล้วกัน”

“เจ้า...”

 “พี่ราม เรามาเพื่อดูพวกเขาแสดง เราไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับอสุเรนทร์นะครับ” ศุภลักษณ์เอ่ย และหันมาผงกศีรษะเล็กน้อยให้กับพวกเขา “ข้าคงต้องขอขมาเจ้าด้วย”

อสุเรนทร์กอดอก พ่นลมออกทางจมูก “น้องชายยังรู้จักมารยาท หัดสอนสั่งพี่เจ้าหน่อยหนาพระลักษณ์”

“พี่ทศ ท่านก็ด้วย เงียบเสียที” ชินกฤตเอ็ดเบาๆ

“มันหาเรื่องข้าก่อน”

“แล้วท่านจำต้องเถียงตอบรึ”

“...”

“สงสัยพี่ทศคงมิใคร่ดู”

“ดูกระไร” อสุเรนทร์ถามเสียงขุ่น ก่อนจะเข้าใจสิ่งที่น้องชายร่วมสายเลือดบอก

เสียงดนตรีไทยเริ่มบรรเลงในจังหวะสองชั้นพร้อมผู้ขับเสภาดังเสนาะหู ท่วงทำนองคุ้นหู อสุเรนทร์รวมถึงคนทั้งหมดต่างหันไปมองผู้แสดงอย่างรวดเร็ว

ทศกัณฐ์เกี๊ยวนางสีดา...ช่างเลือกมาเอาใจพี่นักนวลเจ้า

การปรากฏกายของผู้เล่นบทนางสีดาสร้างความตื่นตะลึงเหลือแสน หัวใจยักษาปวดหนึบทันทีที่นัยน์ตาหวานสบเข้ากับดวงตาของตน คล้ายมีบางสิ่งบางอย่างดึงดูดให้พวกเขาจ้องมองกันและกันด้วยความหลงใหล อสุเรนทร์นึกถึงครั้งแรกที่เจอนางในป่า




พิศพักตร์ผ่องพักตร์ดังจันทร พิศขนงก่งงอนดังคันศิลป์
พิศเนตรดังเนตรมฤคินทร์ พิศทนต์ดังนิลอันเรียบราย
พิศโอษฐ์ดังหนึ่งจะแย้มสรวล พิศนวลดังสีมณีฉาย
พิศปรางดังปรางทองพราย พิศกรรณคล้ายกลีบบุษบง
พิศจุไรดังหนึ่งแกล้งวาด พิศศอวิลาสดังคอหงส์
พิศกรดังวงคชาพงศ์ พิศทรงดังเทพกินรา
พิศถันดังปทุมเกสร พิศเอวเอวอ่อนดังเลขา
พิศผิวผิวผ่องดังทองทา พิศจริตกิริยาจับใจ


แม้นกายมิสะโอดสะองเทียมอดีตชาติ หากข้ากลับหลงใหลเจ้า หลงรักเจ้ายิ่งกว่าเดิม พี่จักทำเช่นไรกับเจ้าดีหนา


หากอสุเรนทร์ตกอยู่ในห้วงความรัก ราเมนทร์ก็ไม่ต่างอะไรกันนัก เหมือนหัวใจอันเฉี่ยวเฉาถูกชโลมด้วยน้ำทิพย์จากสวรรค์จนชุ่มชื่นเบ่งบาน หลังจากใช้เวลารอคอยมานานกว่าร้อยปี

“ศึกครานี้ เห็นทีข้ากับเจ้าต้องเป็นศัตรูกันจริงจังเสียแล้วกระมัง”

อสุเรนทร์ยกยิ้มให้กับคำตอบของอีกฝ่าย ในเมื่อประกาศศึกกันเช่นนี้ เห็นทีเขาจะมัวแต่พิรี้พิไรเล่นอยู่ไม่ได้แล้ว ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ตายเป็นตาย!


“หึ อย่างกับข้าเห็นเจ้าเป็นอย่างอื่นนอกเสียจากศัตรู ในเมื่อเจ้าท้ามา ข้าก็น้อมรับ เตรียมใจยอมรับความแพ้ไว้ได้เลยราเมนทร์”






โอ้ยย มีความมันส์พะยะค่ะ เห็นเขาฉะกันเพื่อแย่งนายเอกแล้วบอกคำเดียว อยากให้มีคนมาแย่งเราแบบนี้บ้าง  :hao7:

เรื่องนี้ทั้งเรื่องจะมีกาพย์ กลอนเป็นส่วนประกอบเพื่อมเสริมอรรถรสในการอ่านให้ดียิ่งขึ้น

เราตั้งใจแต่งเรื่องนี้มาก ฉะนั้นขอกำลังใจหน่อยน้าา เพื่อปลุกปั้นพลังในตัวนักเขียน

โอเค เราจะไปปั่นต่อล่ะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน :pig4:

เจอกันใหม่คราวหน้าจ้า   :hao3:  :bye2:


ออฟไลน์ Laliat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
มาต่อให้ไวน่ะคะ สำนวนการแต่งดีทีเดียว อ่านแล้วไม่ตะขิดตะขวงใจ สอดแทรกกลอนและแสดงภาพพจน์เนื้อเรื่องได้ค่อนข้างชัดเจนดี เหมือนนักเขียนมืออาชีพ ชวนติดตาม เป็นกำลังใจให้ค่ะ กำลังรอเรื่องที่ใช้ภาษาที่ดีและลื่นไหลอยู่เชียว ในเล้านี้มีเรื่องแต่งที่สนุกหลายเรื่อง แต่บางทีก็ติดขัดความสมจริง การสื่อสาร อารมณ์ หรือแม้แต่การใช้คำ เรื่องสนุกหาไม่ยาก แต่เรื่องที่ดีที่ถูกใจหาไม่ง่าย บางเรื่องดีคนแต่งก็ไม่มาต่อเสียดายมาก หวังว่าจะไม่ปล่อยให้ตั้งตารอเก้อน่ะคะ :mew1:

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
หาอ่านยากมากค่ะสำหรับนิยายอิงวรรณคดี ชอบมากเลย
พยายามเข้านะคะเก่งมากอ่ะ สู้ๆ

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
บทที่ ๓
[/size]



ท้องพระโรงกรุงลงกาคลาคล่ำไปด้วยเหล่าเสนาอำมาตย์ วาจาวิจารณ์เซ็งแซ่เมื่อนางสำมนักขาผู้เป็นภคินีน้อง ของเจ้าแผ่นดินกรุงลงกา บัดนี้กลับนั่งร้องห่มร้องไห้โศกเศร้าโศกาเล่าถึงความตายของพระยาทูษณ์ พระยาขร และพระยาตรีเศียรที่มาช่วยตนเอาไว้จากมนุษย์พวกหนึ่ง

พญารากษส กายสีเขียวทรงชุดเครื่องใหญ่ประดับดิ้นด้ายสีเงินเดินทองสง่างามราวเทพดาวดึงส์ สวมชฎาเก้าพักตร์เต็มยศดูเปี่ยมอำนาจบารมีล้นพ้น ทุกนิ้วมือพราวด้วยแหวนทองคำและอัญมณีเจิดจรัส ดวงแก้วมรกตคมคายฉายแววพิโรธอย่างเห็นได้ชัด เพียงแค่บุรุษผู้นี้ปรากฏกายขึ้น อากาศรอบตัวก็ดูเหมือนจะละลายกลายเป็นตะกั่วหนักทับศีรษะข้าราชบริพารยักษีแลยักษาให้จมลงพื้นพรมท้องพระโรง

“น้องสำมนักขา เจ้าหยุดเศร้าโศกก่อนได้ฤาไม่ ข้าฟังมิใคร่ถนัดหูนัก...ไหนเจ้าลองบอกข้าอีกสักครา เรื่องทั้งหมดเป็นเช่นไร”

“เพลานั้น ข้าออกเที่ยวในป่าอย่างที่เคยทำเป็นประจำ แต่ข้ากลับไปเจอสตรีนางหนึ่ง นางงดงามราวกับนางอัปสรบนชั้นฟ้า คราแรกข้าคิดจักพานางมาถวายเสด็จพี่ ทว่าข้ากลับโดนบุรุษเพศแปลกหน้าข่มขู่ มิหนำซ้ำยังทำร้ายข้าโดยการตัดมือ ตัดเท้า จมูก และหูให้เป็นที่น่าเจ็บปวดใจยิ่งนัก” นางแสร้งก้มหน้าเศร้าเคล้าน้ำตา “และพวกมันยังใช้แรงกำลังราวช้างศาล กระทำย่ำยี...เหยียดหยามน้ำใจราวกับข้ามิใช่อิสตรี...ข้านั้นแสนอับอายมากเหลือเกินจึงต้องไปทูลขอความช่วยเหลือจากพี่ทั้งสาม (พระยาทูษณ์ พระยาขร และพระยาตรีเศียร) ท่านพี่ทั้งสามต่างต่อสู้เพื่อข้าด้วยกำลังที่มี หากเจ้ามนุษย์แปลกหน้ากลับใช้เล่ห์กลหลอกลวงจนท่านพี่ทั้งสามตกหลุมพรางพ่ายแพ้ให้แก่พวกมันอย่างน่าอดสูจนถึงแก่ความตาย”

“มันเป็นผู้ใด”

“ฮึก...มันผู้นั้น...ฮึกๆ”

“ข้าถามมันเป็นผู้ใด!”

ขุนนางทั้งหลายต่างสะดุ้งโหยงเมื่อทศกัณฐ์ ผู้ครองกรุงลงกาฟาดฝ่ามือลงบนตั่งไม้ใกล้แท่นบัลลังก์จนแตกหักกระจายเป็นเศษส่วนน้อยใหญ่ แม้แต่นางสำมนักขาเองต้องรีบละล่ำละลักเอ่ยต่อด้วยความเกรงกลัว

 “ผู้นั้นมีกายสีเขียวเฉกเช่นเสด็จพี่นาม พระราม แลผู้เป็นพระอนุชามีกายสีเหลืองดั่งทองทานาม พระลักษณ์ ทั้งสองล้วนสวมชุดทรงที่ข้าแน่ใจว่าจักต้องเป็นโอรสจากเมืองใดเมืองหนึ่งที่ห่างจากกรุงลงมาไปไม่มากเพคะ”

ดวงตาขุ่นมัวด้วยความไม่พอใจ หนอย พระราม เป็นเพียงมนุษย์ตัวจ้อยร่อย ยังหาญกล้าหยามเหยียดวงศ์ยักษา เราคงต้องได้เห็นดีกัน ใบหน้าทรงอำนาจที่แฝงความเหี้ยมโหดหันไปทางภคินีน้องร่วมสายเลือด เพียงแค่ปรายหางตามอง นางสำมนักขาก็รู้สึกหนาววาบไปทั่วแผ่นหลัง

“มันอยู่ที่ใด ข้าจักไปฆ่ามัน” ดวงเนตรของพญารากษสเปี่ยมด้วยโทสะที่กำลังโหมกระพือขึ้นเรื่อยๆ น้องชายตายคนหนึ่งยังพอควบคุมอารมณ์ได้ แต่นี่! ตั้งสามคน เสียท่าให้มนุษย์ตัวกะจ้อยร่อยสองตัว! มันคุ้มแล้วรึ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น “จงบอกพี่มาน้องสำมนักขา พวกมันอยู่ที่ใด!”

“อย่าเลยเพคะเสด็จพี่!”

“เจ้ากล้าห้ามข้า”

นางเม้มริมฝีปาก ช้อนตัวตาขึ้นมองหน้าทศกัณฐ์อย่างกล้าๆกลัว ถ้าเกิดพระเชษฐาฆ่าพระรามแล้วนางจะได้อยู่ครองรักฉันท์ผัวเมียกับเขาได้อย่างไร นางจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้เด็ดขาด “เพราะเขาเป็นสามีข้าแล้ว ข้าไม่อยากให้เขาตายเพคะ...และตอนนี้ข้า....”

“ข้า? จงเร่งกล่าววาจา อย่าได้โป้ปดมดเท็จ”

“ข้ารักพระราม”

ใบหน้าพญารากษสสั่นสะท้าน ดวงตาเบิกโพล่งเต็มด้วยฉุนเฉียว“รัก เจ้าบอกเจ้ารักมันกระนั้นรึ”

“ใช่เพคะ ข้ารักพระราม”

“ทั้งที่เจ้าถูกมันตัดหู ตัดจมูกเจ้า?”

“มันเป็นความผิดของข้าเองที่คิดลักพาเมียของเขามาให้เสด็จพี่ได้เชยชม สุดท้ายกลับต้องมานั่งทุกข์โศกเพราะหน้าตาแสนอัปลักษณ์ของตน ไหนจักต้องมนต์หลงใหลในรูปงามนั้นอีก ข้าอดสูยิ่งนัก แต่เสด็จพี่มิคิดดอกรึ ความตายที่ท่านหมายมอบให้มันผู้นั้นถือเป็นความทรมานน้อยสุด ข้ายังอยากเห็นพระรามตายอย่างทรมานมากกว่านี้”

ทศกัณฐ์ที่ได้สดับฟังถึงกับยกยิ้มถูกใจ เขาลืมคิดถึงข้อนี้ไปเสียสนิท ปล่อยให้มันถูกทรมานไปเรื่อยๆทั้งชีวิตน่าจะช่วยให้ความกรุ่นโกรธเขาเบาบางลงได้ไม่ยาก

“ข้ามีแผนที่ดีกว่าการที่ต้องให้มือของท่านเปื้อนเลือดพวกคนชั่วใจบาปเพราะเรื่องน่าละอายของข้า”

“เจ้ามีแผนการอันใด”

“อย่างที่ข้ากล่าวไปเมื่อครู่ หญิงงามท่านจำได้ฤาไม่”

“จำได้สิ” เรื่องผู้หญิง ทศกัณฐ์มิเคยหลงลืมอยู่แล้ว

“ข้ารู้มาว่านางมีชื่อว่าสีดาเพคะ  เป็นเมียของพระรามที่หยามเกียรติข้า...ความงามของนางเป็นที่ลือลั่น รูปร่างหน้าตาสะโอดสะอง สะสวยสะคราญโฉมอย่างหาที่เปรียบเปรยไม่ได้ สวยงามที่สุดและงดงามยิ่งกว่าพระอุมา พระรัศมีหรือนางใดในโลกนี้ แม้แต่ข้ายังต้องยอมแพ้” นางยังคงบอกเล่าถึงความงามของนางสีดา มีการใส่สีปั้นแต่งเพื่อให้ผู้ประทับบนแท่นบัลลังก์เกิดอาการคล้อยตาม และนางก็ทำสำเร็จเมื่อทศกัณฐ์ที่ได้ยินถึงกับละเมอเพ้อพก เกิดความลุ่มหลงในตัวสตรีฝ่ายศัตรูเข้าให้อย่างจัง แค่คำพูดที่ออกมาจากลมปากยังน่าหลงใหล หากเขาได้พบตัวจริง มิครั่นเนื้อครั่นตัวเสียจนอยากได้นางเป็นเมียหรอกรึ

“เจ้าพอมีวิธีลักพานางมาให้ข้าได้หรือไม่”

นางสำมนักขายิ้มกริ่ม สิ่งที่ตนวางอุบายเอาไว้ประสบผลเป็นอย่างดี “ข้าต้องมีแน่นอนเพคะ”

“เจ้าจักทำเยี่ยงไรน้องสำมนักขา”

“เสด็จพี่ทศกัณฐ์โปรดวางพระทัย ขอให้ปล่อยเป็นหน้าที่ของข้าเอง ท่านแค่แปลงกายเป็นมนุษย์ไปอยู่รอในอาศรมร้างฤๅษีใกล้สายธารธาราก็พอ”



เสียงน้ำตกไหลเย็นและธารน้ำใสแลเห็นฝูงปลายแหวกว่ายไปมาอยู่ไหว...ไหว ปลุกให้ทศกัณฐ์รู้สึกตื่นตาตื่นใจได้ไม่ยากนัก อีกไม่นานจากคำบอกของภคินีน้องแล้ว มารีศจะแปลงกายเป็นกวางทองเพื่อหลอกล่อให้พระรามออกตามกวางเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของป่าหิมพานต์ตามความปรารถนาของนางอันเป็นที่รัก  แล้วไซร้จึงเหลือเพียงนางสีดาและพระลักษณ์นั่งคอยอย่างเงียบเชียบในอาศรมร้างของฤๅษีตนหนึ่ง

ถึงทศกัณฐ์จะเป็นคนขี้โมโหและเลือดร้อน ทว่าเขากลับควบคุมอารมณ์ได้ดีในยามที่ตั้งใจทำสุดความสามารถ พยายามควบคุมอารมณ์ดิบเถื่อนที่พลุ่งพล่านในกายามิให้หลั่งใหลออกมาก่อนทำสำเร็จผลที่ตั้งเป้า รอใช้โอกาสตอนพระลักษณ์เร่งรุดเข้าไปในป่าลึกตามเสียงเรียกที่มารีศใช้อุบายดัดแปลงเป็นพระราม แล้วปล่อยให้นางสีดารออย่างโดดเดี่ยว เมื่อนั้นแหละเขาจะลักพานางไปสมสู่กันที่กรุงลงกา

ความงามของนางสีดาเป็นไปตามที่นางสำมนักขาบอกทุกอย่าง อาจจะดูงามมากกว่าด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับกายจริงของนาง ผิวนวลนางผุดผาด เรียบเนียนน่าสัมผัสลูบไล้ ดวงตาหวานฉ่ำ...หวานเสียยิ่งกว่าน้ำผึ้งจากนางพญา ริมฝีปากเรียวบางสีชาดช่างน่าละเลียดอยู่นานสองนาน

ทศกัณฐ์เลือกแปลงกายเป็นฤๅษีหนุ่มรูปงาม ผิวกายขาวเหลืองผ่องตัดกับสีเขียวเข้มของแมกไม้ในดงป่าหิมพานต์ ดวงตาสีนิลคมคายรับกับคิ้วโก่งดั่งคันศร จมูกโด่งสันได้รูป ริมฝีปากอวบอิ่มที่เย้ายวน หากคลี่ยิ้มในคราใด สตรีในกรุงลงกาหรือแม้แต่หญิงงามจากเมืองอื่นต่างอ่อนระอวย ตกอยู่ในวังวนทั้งสิ้น

“เจ้าเป็นผู้ใด”

นางสีดาหันมองตามเสียงเรียก พบฤๅษีหนุ่มตนหนึ่งยืนสงบนิ่ง เอามือไพล่หลังอย่างสง่างามสมผู้ทรงศีล นางย่อกายก้มลงกราบเขาด้วยความเลื่อมใสพร้อมเชื้อเชิญให้นั่งพักด้านในอาศรม

“ท่านอาศัยอยู่ที่อาศรมแถวนี้ฤาเจ้าคะ”

“หาไม่ อาศรมข้าห่างไกลจากที่นี่มากนัก หากเพลานี้ข้าออกบำเพ็ญตบะเสริมสร้างบุญให้ตนเองแลคอยช่วยเหลือผู้ทุกข์ร้อน ก่อนจะมาเจอเจ้า” ทศกัณฐ์ในร่างฤๅษียิ้มน้อย “เจ้าอาศัยที่นี่ฤา”

“มิได้เจ้าค่ะ ข้าแค่ใช้เป็นที่พักพิงชั่วคราวเท่านั้นระหว่างรอพระสวามีของข้าแลพระลักษณ์กลับมาจากล่ากวางป่าสีทอง”

“พระสวามีเจ้าหรือ เขาเป็นผู้ใดกันเล่า”

“พระสวามีของข้าชื่อพระรามเจ้าค่ะ” คำว่า ‘ของข้า’ ทศกัณฐ์รู้สึกคันหัวใจขึ้นมาตงิดๆ โกรธที่นางสีดาเอาแต่ชื่นชม ยกยอปอปั้นผัวของตนประหนึ่งเป็นสิ่งล้ำค่าที่ชาตินี้ทั้งชาติจะหาได้เพียงหนึ่งเดียว

“พระรามรึ” ฤๅษีหนุ่มเจ้าเล่ห์ส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย “เหตุใดเจ้าเลือกมาอยู่กับพระรามในป่า มิบังควร มิได้เหมาะสมแม้เพียงเศษเสี้ยวเดียว...ข้าขอเตือนออเจ้าอยู่ห่างบุรุษผู้นี้ มิเช่นนั้นชีวิตเจ้าเป็นทุกข์ มิมีความสงบสุข จักสร้างความฉิบหายเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า”

“จริงฤาเจ้าคะ” นางสีดาเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย

“ข้าเป็นผู้มีศีลมีธรรม เหตุใดข้าต้องหลอกเจ้าล่ะ”

“...”

“ตามดวงชะตาของเจ้า เจ้าน่าจักเป็นเมียทศกัณฐ์เสียมากกว่า พญารากษสตนนั้นทั้งหล่อเหลาคมคาย เป็นเจ้าเมืองลงกาแลยังมีสมบัติพัสถานมากมาย คอยเลี้ยงดูเจ้าให้อิ่มหนำสำราญ หากได้ใช้ชีวิตร่วมกันฉันท์ผัวเมียจนถึงบั้นปลาย ชีวิตเจ้าจักมีแต่ความสุข”

คราวนี้สายตาอันอ่อนหวานแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว นางลุกขึ้นยืนด้วยโทสะแรงกล้า  “ทศกัณฐ์ฤาที่คู่ควรกับข้า ท่านช่างโป้ปดนักท่านผู้ทรงศีล! ผู้ใดก็ล่วงรู้ทศกัณฐ์นั้นเลวมากเพียงใด บรรดาน้องชายทั้งหลายของมันล้วนปรลัยด้วยฝีมือพระสวามีของข้ากันทั้งสิ้น รากษสผู้อ่อนแอเช่นนั้นจักคู่ควรกับข้าเยี่ยงไรเจ้าคะ”

อารมณ์ในกายเดือดพล่านมิอาจควบคุมได้อีกต่อไป ทศกัณฐ์แปลงกายกลับเป็นร่างเดิม และนั่นทำให้นางสีดาตื่นตระหนกสุดขีด คิดจะวิ่งหนี หากทว่าแขนกำยำฝ่ายศัตรูช่างมีแรงมหาศาลตวัดโอบรอบเอวคอดกิ่วและรั้งนางไว้อย่างแน่นหนา

“ปล่อยข้า เจ้ายักษ์ใจชั่ว”

“ข้ายอมชั่วเพื่อได้เจ้ามาครอบครอง คราแรกที่เห็นเจ้าข้าก็ตกหลุมรักเจ้าเหลือเกินจอมขวัญของพี่ พี่จักประคองกอดเจ้าทุกคืนวันแทนที่พระรามผู้เป็นพระสวามีเจ้าเอง”

“ปล่อยข้า!”

“รอให้ข้าตายเพราะอิ่มเอมความสุขที่เจ้ามอบให้เสียก่อน ข้าถึงจักปล่อยเจ้าไป”

“อย่าทำข้าเลย ได้โปรดเถิดทศกัณฐ์!!”

ต่อให้นางร้องจนเสียงแหบแห้ง ก็มิอาจห้ามความปรารถนาของพญารากษสได้อีกแล้ว ทศกัณฐ์ซุกไซร้ดอมดมกลิ่นหอมจากเนินอกอวบอิ่ม มือหนาลูบไล้เสียผิวเนื้อกายแสนเนียนละเอียด  คิ้วเข้มและหนาขมวดเข้าหากัน มิอาจทนต่อสิ่งเร้าได้อีกต่อไป รีบอุ้มนางสีดาด้วยสองแขนแข็งแรง เขจร ตรงไปกรุงลงกาทันที





ถึงจะเป็นการพบเจอกันครั้งแรกที่ไม่น่าประทับใจสักเท่าไหร่ หากมันกลับทำให้เขามีความสุขจนน้ำทิพย์แตกกระเซ็นซ่านไหลรินเต็มแท่นบรรทมแลกายนาง

อสุเรนทร์ยิ้มเยาะตัวเองในใจ ต่อให้กาลเวลาผ่านไปนานสักแค่ไหน เวลาเจอหน้านางทีไร เขาเป็นอันต้องอยากลักพานางไปสมสู่ด้วยจิตใจลุ่มหลงในตัณหาทุกครา

พี่ไม่ผิดนะพ่อเปรม ความงามของเจ้าทำให้พี่เป็นเช่นนี้เอง

ทางด้านเปรมเองเริ่มรู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้า...ยามชายแปลกหน้าสองคนจ้องมองเขาราวกับมองทะลุผ่านไปถึงข้างใน หากให้เดาทั้งสองคงเป็นคนที่มาประเมินการแสดงที่คุณจันทร์และปู่เหนือบอกไว้หรือไม่ก็เป็นครูฝึกของของเหล่านักแสดงที่ผ่านการคัดเลือกให้เล่นบทละครโขนเรื่องใหม่ เปรมลอบถอนลมหายใจระหว่างย่ำเท้าหมุนตัวไปทางทางด้านหลัง นัยน์ตาสวยหยาดเยิ้มเสมองไปยังทิศทางอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการเล่นเกมจ้องตากับคนเหล่านั้น ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่เปรมรู้สึกคุ้นเคยใบหน้าพวกเขาเหลือเกิน โดยเฉพาะผู้ชายหน้าคมคายสองคนที่ยืนใกล้กัน

เราเป็นอะไรไปนะ เปรมถามกับตัวเองขณะร่ายรำในทำนองช่วงสุดท้ายของการแสดงทศกัณฐ์ลักนางสีดา แม้จะรำเพียงคนเดียวปราศจากทศกัณฐ์ข้างกาย ทว่าเขากลับสามารถเข้าถึงจิตวิญญาณและอารมณ์ของตัวนางสีดาได้ดี จนอดแปลกใจไม่ได้ว่าเกิดขึ้นอะไรกับตนหรือเปล่า

ตั้งแต่รับบทเป็นสีดา ทุกครั้งที่เขาฝึกซ้อม ร่างกายจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างรวดเร็วว่าควรกระทำอย่างไร แสดงออกแบบไหนถึงจะพอเหมาะในฐานนะตัวเอกของเรื่อง เพราะเหตุนี้แหละที่เปรมแปลกใจมากที่สุด บอกตามตรงท่าทางที่เขาแสดงออกไปทุกครั้ง บางทีเขายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำออกไปแล้ว ราวกับเปรมเคยชินกับสิ่งเหล่านั้นมานานนม

ดนตรีไทยบรรเลงถึงช่วงสี่ห้องสุดท้าย ชายหนุ่มยกลำแขนทั้งสองข้างตั้งขึ้นเป็นวงโค้ง โดยนิ้วทั้งสี่ชิดปลายนิ้วอยู่ในระดับหัวเข้มขัด เอียงหน้าชายตาไปยังผู้ชมก่อนจะยกส้นเท้าเล็กน้อยแล้วย่ำเท้าซ้าย เท้าขวาสลับถี่เตรียมเคลื่อนผ่านเข้าไปหลังม่านสีแดงตามแบบที่ซ้อมก่อนหน้า หากทว่า!

จู่ๆฉากไม้ที่ถูกเซทไว้อย่างดิบดีกำลังล้มครืนพังลงมา เปรมเงยมองด้วยความตกใจ อยากขยับหนีทว่าร่างกายกลับนิ่งชะงักไม่ไปไหน ได้แต่หลับตาปี๋ยกแขนป้องกันตัวเองด้วยความกลัวสุดขีด

“ระวัง!”

หมับ!

เสียงเตือนดังพร้อมๆกับลำแขนแกร่งโอบล้อมกอดรัดกายเล็กไว้แนบอกกว้างแล้วดึงไปหลบบริเวณที่ปลอดภัยก่อนฉากไม้จะหล่นถึงตัว เสียงหัวใจของคนที่ช่วยชีวิตเขาเต้นตึกตักดังเข้ามาในหูชัดเจน กลิ่นหอมอ่อนๆและลมหายใจร้อนรินรดอยู่บนกลุ่มผมดำเงา เปรมสะอึกสะอื้นด้วยความตกใจกับอุบัติเหตุเมื่อครู่ หากไม่มีคนช่วยเขาคงต้องไปนอนอ้าปากพะงาบๆ ให้สายน้ำเกลืออยู่โรงพยาบาลเป็นแน่ เสียงฝีเท้านับไม่ถ้วนกำลังกรูมาทางเขาด้วยความตกใจไม่แพ้กัน เปรมยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม ภายในอ้อมกอดแสนอบอุ่นของผู้ชายแปลกหน้าคนนี้

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงไม่ยอมผละกายออก มันอุ่นมากจนอยากจะพิงหัวหลับ

“เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงทุ้มนุ่มลึกดังแผ่วราวกระซิบ มือหนาค่อยลูบหลังปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน เปรมหลับตาเอนศีรษะเข้ารูปพิงอกแกร่งอย่างอ่อนแรง

“พ่อเปรม! เกิดอะไรขึ้น เป็นอะไรมากหรือเปล่า” ครูจันทร์โพล่งร้อง วิ่งถลามาดูอาการลูกศิษย์บนเวทีอย่างนึกเป็นห่วง เปรมยิ้มพร้อมส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ

“ผมไม่เป็นไรครับครู"

“ขวัญเอ้ยขวัญมา” เธอถอนหายใจ ลูบหัวไปมาปลอบโยนและหันหน้าไปพูดกับอีกคน “ขอบคุณคุณทศมากเลยนะคะที่ช่วยพ่อเปรมเอาไว้ทัน ถ้าไม่ได้คุณทศช่วย เด็กคนนี้ต้องแย่แน่ๆ”

คุณทศ?

เปรมตัดสินใจเงยหน้ามองผู้ช่วยชีวิต เพียงพริบตาเดียวแล้วก็ต้องก้มหน้างุดลงไปอีกครั้ง แก้มนวลทั้งสองข้างพลันร้อนผ่าวแดงระเรื่ออย่างไม่ทราบสาเหตุ ก่อนกระจายไปทั่วจนเจ้าตัวต้องรีบหันหน้าหนีสายตาคมกริบที่สร้างความเขินอายให้ ไม่น่าเลย...ไม่น่ามองเลย

คุณทศที่ว่าคือหนึ่งในคนที่มองเขาด้วยแววตาแสนวาบหวาม

“ขอบคุณมากเลยนะคะคุณทศ พ่อเปรมขอบคุณคุณเขาสิจ๊ะ”

เปรมยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “ขอบคุณมากเลยนะครับที่คุณช่วยผมเอาไว้”

“ฉันเต็มใจช่วยเธอ...เปรม”

เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงเมื่ออสุเรนทร์ก้มหน้าลงแล้วส่งยิ้มละมุนให้แก่เขา นิ้วโป้งคนตัวโตกว่ายกปาดคราบน้ำตาที่อยู่บนแก้มใสออกอย่างอ่อนโยน ทำไงดี...ไม่กล้าสบตาเลย เปรมกระวนกระวายในใจขณะอีกคนยิ้มขันอย่างอารมณ์ดี

ราเมนทร์กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูนออกมาอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ เมื่อเห็นนางอันเป็นที่รัก (ในอดีตชาติ) ถูกอสุเรนทร์ประคองกอดอย่างรักใคร่ รอยยิ้มเหยียดหยันของพญายักษ์ทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนี

“พี่ราม” ศุภลักษณ์เอ่ยเรียกแผ่ว

“หากข้าไปเร็วกว่านี้...” ตวัดดวงตาแดงกล่ำไปทางคู่แข่งหัวใจตลอดพันปีอย่างดุดัน เรื่องอื่นราเมนทร์ยอมได้ แต่เรื่องของนางสีดา เขาไม่มีทางยอมเด็ดขาด!

เพียงสบตากันครั้งแรก ราเมนทร์ก็จำได้แล้วว่าชายหนุ่มผู้นั้นคือสีดาที่กลับชาติมาเกิด เขาอยากโผไปดึงร่างบอบบางนั้นเข้ามากอดด้วยความคะนึงหา ระดมหอม ระดมจูบทุกอณูผิวให้ชื่นอุรา  แต่เขากลับทำไม่ได้ เพราะมันคนเดียว...ทศกัณฐ์

“พี่ราม กลับกันเถอะ”

“...”

“มันยังไม่ถึงทีของเรา กลับเถอะครับ”

ราเมนทร์พ่นลมออกจากจมูกอย่างอดทน ทำใจเย็น เดินกลับหลังหันจากไปอย่างเงียบๆ และคิดทุกวินาที มันยังไม่ถึงเวลาของเรา นี่แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ถึงจุดสำคัญ เขาจะปล่อยให้เจ้ายักษ์ใจคดได้ใจไปก่อน  พอถึงคราวของเขาเมื่อไหร่ มันจะไม่มีสิทธิ์แตะต้องนางแม้กระทั่งปลายเล็บ

อสุเรนทร์หันกลับมาสนใจร่างในอ้อมกอดเช่นเดิมหลังจากเห็นศัตรูหัวใจเดินกระทืบเท้าออกไปแล้ว เขาลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดูก่อนจะสังเกตถึงความผิดปกติบนใบหน้าของอีกฝ่าย

“เจ้า...เธอเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนบ้างไหม”

“เอ่อ...” เปรมอ้ำอึ้งไม่กล้าตอบ ขณะยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบขมับปูดบวมของตน “ผมแค่เจ็บนิดหน่อย แต่ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ”

“ตรงไหน”

“ครับ?”

“ฉันถามว่าเจ็บตรงไหน”

อสุเรนทร์เหลือบมองลงล่าง ข้อเท้าของเปรมปูดบวมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปลายนิ้วหนากำลังเอื้อมแตะลงบนลูกมะนาวลูกเล็กที่กำลังเขียวช้ำได้ที่ หากอีกฝ่ายกลับถดหนีเสียก่อน

“ตรงนี้ใช่ไหม” อสุเรนทร์ถามย้ำ

“คะ...ครับ”

“ครูจันทร์ครับ ฝากบอกท่านครูด้วยว่าผมขอยืมตัวนักแสดงคนดีไปทำแผลที่โรงพยาบาลก่อน ถ้ามีอะไรให้แจ้งไว้กับชินกฤต น้องชายผมคนนี้” ชี้ไปทางชายหนุ่มที่หล่อไม่แพ้พี่ชาย “เขายังอยู่ที่นี่ต่อเพื่อทำการประเมินให้จบ...กฤต ฉันฝากนายดูแลด้วยนะ”

“วางใจได้เลยครับพี่ทศ”

“เดี๋ยว คุณอุ้มผมทำไมเนี่ย ละ...แล้วจะพาไปไหน ถ้าไปโรงพยาบาลผมไม่ไปนะ ผมกลัว” เปรมพูดรัวจนลิ้นแทบพันกันขณะอสุเรนทร์ช้อนอุ้มร่างบอบบางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ผ่านทุกคนที่กำลังมองพวกเขาด้วยสีหน้าตื่นตะลึง

อสุเรนทร์ไม่เคยเห็นใจใครหรือช่วยเหลือนักแสดงที่บาดเจ็บจากการซ้อมบทเลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นประธานหนุ่มสุดเนี้ยบอุ้มนักแสดงโขนรุ่นน้องไปส่งโรงพยาบาลด้วยตัวเอง!

“พูดมาก”

“ขะ...ขอโทษครับ”

“ทำไมเธอถึงไม่อยากไปโรงพยาบาล”

“ผม...ไม่ชอบ”

เปรมเกลียดโรงพยาบาลยิ่งกว่าอะไรดี เพราะเคยมีประสบการณ์ไม่น่าจดจำเกิดขึ้นกับสถานพยาบาลพวกนี้ ไหนจะกลิ่นสะอาด ที่สะอาดจนแสบจมูก เสียงโอดครวญของคนไข้ เสียงเด็กร้องไห้ มันเป็นสถานที่ที่รวมทุกสรรพสิ่งแห่งความน่ากลัวไว้ในที่เดียวกัน

“เด็กน้อย”

“ผมอายุยี่สิบสอง ไม่เด็กแล้วนะครับ” เปรมเบะปาก หันหน้าหนีไปทางอื่น อสุเรนทร์เลิกยิ้มและหัวเราะให้กับความน่ารักน่าเอ็นดู
ของสีดาเวอร์ชั่นปัจจุบัน

“ช่วยหยิบกุญแจรถในกระเป๋าเสื้อให้ฉันหน่อย มือไม่ว่าง”

“ตรงไหนครับ ปล่อยผมลงเดินก็ได้นะ”

“ไม่ ฉันอยากอุ้มเธออย่างนี้แหละ หยิบให้หน่อยสิ”

“อะ...อ่า” คำพูดของร่างสูงทำเอาเปรมไปไม่ถูกเลยทีเดียว อาการเห่อร้อนบนใบหน้าปรากฏบนแก้มซ้ายขวาอีกครั้ง เขาใช้มือล้วงหยิบกุญแจรถจากกระเป๋าเล็กด้านในเสื้อสูทสีดำของอสุเรนทร์ โดยไม่ทันสังเกตเลยว่าอีกฝ่ายกำลังก้มลงหอมเส้นผมของเขาอย่างเงียบๆ


เรณูนวลหวนหอมมารวยริน          พระพายพัดประทิ่นกลิ่นหวาน
เฉื่อยฉิวปลิวรสสุมามาลย์                 ประสานสอดกอดหลับระงับไป


แค่ได้ดอมดมวันละนิดวันละหน่อย พี่ก็สุขใจแล้ว

“เจอแล้วครับ” เปรมบอกพร้อมเงยหัวขึ้นมา อสุเรนทร์เลยพลาดโอกาสแปลงกายเป็นพญาผึ้งดอมดมกลิ่นหอมอย่างน่าเสียดาย

“ขอบใจ”

อสุเรนทร์รับกุญแจมาถือไว้ รีบปลดล็อกประตู วางร่างของเปรมลงบนเบาะรถแล้วรีบสตาร์ทเครื่องออกรถทันที

“คุณจะพาผมไปโรงพยาบาลจริงๆเหรอ ผมไม่ไปได้ไหม”

“แล้วเธออยากไปไหน ฉันพันแผลให้เธอไม่เป็นหรอกนะ”

“แวะแค่ร้านขายยาก็พอครับ”

“มีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉัน หืม เด็กน้อย” อสุเรนทร์เหลือบมองร่างบางตอนช่วงรถติดไฟจราจร ที่จริงเขาแกล้งทำเป็นดุไปเท่านั้น บอกมาเสียสิ สิทธิ์ความเป็นเมีย พูดเลย เขาจะยอมศิโรราบในบัดดล

“ผมไม่มีสิทธิ์หรอกครับ” เปรมยิ้มแห้ง ได้โปรดอย่าทำหน้าเศร้าเคล้าน้ำตาได้ไหม เห็นทีไรหัวใจอ่อนยวบลงทุกที

“โกรธฉันเหรอ”

“...”

เงียบ

“...”

“...”

“เปรม...เธอชื่อเปรมใช่ไหม” อสุเรนทร์ทนไม่ไหวเลยแกล้งถามเพื่อทำลายความเงียบที่สร้างบรรยากาศอึดอัดภายในรถให้กับพวกเราสองคน

“ครับเปรม เปมทัต”

“ชื่อเพราะดีนะ แปลว่าอะไรล่ะ”

“เปมทัต แปลว่าผู้ให้ความรักครับ พ่อกับแม่คงอยากให้ผมเป็นเด็กที่ให้ความรักกับผู้อื่น แล้วคุณทศชื่ออะไรหรือครับ”

"ฉันชื่ออสุเรนทร์ หมายถึงพญายักษ์"

"เพราะจังเลยนะครับ แต่แปลว่ายักษ์ไม่ดีเลย"

"ทำไมล่ะ"

"ยักษ์มักใจร้าย น่ากลัวด้วย" เปรมเปรยออกมา

"ยักษ์บางตนก็ใจดีนะ แถมหล่อมากด้วย"

“ผมจะพยายามเชื่อตามคุณแล้วกัน"

"แล้วสรุปชอบไหมล่ะ"

"ชอบสิครับ" รอยยิ้มกว้างหุบลงฉับพลัน "ผม...ผมหมายถึงชอบชื่อคุณเฉยๆนะ"

"ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย" อสุเรนทร์ยกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นอาการตื่นตระหนกเหมือนลูกแมวตัวน้อยๆ "ว่าแต่ความหมายชื่อเธอคือผู้ให้ความรัก แล้วเธอเคยให้ความรักคนอื่นหรือยัง”

 “ให้สิครับ...แต่ถ้าหมายถึงสถานะคนรัก ผมไม่เคยให้หรอก เพราะไม่เคยมี พ่อบอกมันยังไม่ถึงเวลาและยังไม่เจอคนที่เหมาะสมกับผม”

"เรื่องแบบนี้มันต้องตัดสินใจด้วยตัวเองหรือเปล่า พ่อเธอ...คงมีเหตุผลอะไรมากกว่านั้นใช่ไหม"

"แม่เคยเล่าให้ผมฟัง ประมาณผมอายุได้หนึ่งขวบ ระหว่างไหว้พระประธานในโบสถ์ จู่ๆก็มีพระสงฆ์รูปหนึ่งทักพ่อกับแม่ว่า ต่อไปลูกชายจะมีหน้ามีตาทางสังคม เชิดชูวงศ์ตระกูล แต่ช่วงอายุยี่สิบต้นๆจะมีอุปสรรคครั้งใหญ่ที่อาจถึงแก่ชีวิตเพราะเรื่องคู่ครอง ถ้าผ่านมันไปได้ชีวิตจะมีแต่ความสุข เรื่องแบบนี้ผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนะ แต่ถ้าทำให้พ่อหรือคนในครอบครัวสบายใจผมก็ยอมขึ้นคาน"

"เธอไม่มีทางขึ้นคานหรอก เชื่อฉันสิ" เพราะต่อให้ขึ้นไป เขาก็จะลากร่างแน่งน้อยลงมาอิงแอบแนบชิดกายเขาดังเดิม

"ทำไมล่ะครับ หรือคุณอยากขึ้นคานเสียเอง"

“ถ้าขึ้นแล้วได้อยู่กับเธอ ฉันก็ยอมนะหนุ่มน้อย” นัยน์ตาหวานรีบผลุบลงต่ำเมื่อโดนหยอดคำหวานจากชายหนุ่ม ประธานบริษัทยักษ์ใหญ่พ่วงด้วยตำแหน่งผู้จัดการแสดงโขนที่เป็นเจ้านายของเขา ทำเอาเปรมทำอะไรต่อไปไม่ถูก ยิ่งตอนช่วงเผลอเหลือบมองหน้าอีกฝ่ายซึ่งกำลังจ้องเขาอยู่พอดีพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก เจ้าค่าเอ้ย! หัวใจเต้นกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ แทบเทกระจาดยกให้ฟรีแบบไม่คิดเงินสักแดงเดียว

ไม่...ไม่นะเปรม นายเป็นอย่างนี้กับคนที่เพิ่งเจอกันได้ยังไง

“เปรม”

 “ค...ครับ” ตะกุกตะกักพูดแทบไม่ออก

อสุเรนทร์เปิดไฟ หักเลี้ยวพวงมาลัยเข้าไปจอดรถในลานจอดรถของร้านขายยาร้านหนึ่ง ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยออกมา บรรยากาศเงียบเชียบเสียจนอสุเรนทร์ได้ยินเสียงหัวใจของคนข้างกายชัดเจน เฉกเช่นเดียวกับกับหัวใจของเขาที่ยังคงเต้นกระหน่ำ ไม่หยุดหย่อนนับตั้งแต่เจอหน้านวลลออ

เมื่อไหร่หนอจะได้เคียงข้างกัน

สิ่งที่เขาคิดกระทำอาจจะเร็วไปนักสำหรับเปรม ผู้ไร้เดียงสา บริสุทธิ์ผุดผ่อง ทว่ามันยาวนานมากทีเดียวสำหรับคนที่รอแล้วรอเล่าอย่างเขา พญารากษสผู้ยิ่งใหญ่พร้อมรับความเสี่ยงหากมันทำให้แม่นางสีดาคนงามหันมารักทศกัณฐ์หมดทั้งดวงใจสักชาติหนึ่ง

“ฉันขอถามเธอสักข้อได้ไหม”

“อะไรครับ”

ฝ่ามือหนาวางทับลงบนพวงแก้มใสสวย ใช้นิ้วโป้งลูบไล้เบาๆ ดวงตาสองคู่สบกันต่างความคิดความรู้สึก หากดึงดูดกันและกันจนยากจะถอดถอน



“ถ้า...อสุเรนทร์อยากจะขอความรักจากพ่อเปมทัตจะให้ได้หรือเปล่า”






พี่ทศมีความอ้อยแรงงงงง ถ้าเราเป็นหนูเปรม เรายอมค่ะ ยอมให้หมดทั้งตัวและหัวใจ ฮิ้ววววว  :ling1:

มีความเขินเล็กน้อย สำหรับสกิลจีบของยักษ์ แน่นอนว่ามันจะเสี่ยวขึ้นเรื่อยด้วย ฮ่าๆๆๆ

ชอบใจก็คอมเม้นให้กำลังใจกันได้เลยนะค๊าาาาา

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน ไว้เจอกันใหม่ในตอนหน้าค่าาาาา  :z2:

ออฟไลน์ Laliat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ขายอ้อยมันทั้งไร่จริงๆ งานนี้เสี่ยทศทุ่มทุนสร้าง :hao6:

ออฟไลน์ ChabaSri

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
งื้ออออดีอ่ะ เราก็เป็นแฟนรามเกียรติ์เหมือนกัน รออ่านน้าาาาาาา
สำนวนดีมากเลย ชอบๆ

อยากแนะนำนิดหน่อยเวลายกบทคำกลอนมาอยากให้ใส่ที่มาด้วยเพื่อที่เวลาคนอื่นที่ไม่เคยอ่านรามเกียรติ์มาอ่านแล้วอยากต่อยอดไปหามาอ่านบ้าง เช่นตอนบทชมโฉมนางสีดาก็อาจลงท้ายวงเล็บเล็กๆว่า "บทละครเรื่องรามเกียรติ์ สมุดไทยเล่มที่ ๒๘ บทชมโฉมนางสีดา ตอนทศกัณฐ์ลักนางสีดา" จะเพิ่มอรรถรถและความมีเสน่ห์ให้นิยายมากขึ้นค่ะ  ^^

คนเขียนสู้ๆ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ DPAENGD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พี่ทศรุกเร็วมากเลยกลัวว่าเดี๋ยวพ่อเปรมจะเตลิดไปเสียก่อน แต่ยังไงก็เชียร์พี่ทศนะ
ภาษาน่ารักมากเลยค่ะ ชอบที่ทุกตัวละครเรียกเปรมว่าพ่อเปรมมากเลย เห็นถึงความเอ็นดูมากมายนัก พ่อเปรม พ่อเปรม

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

ชอบขอรับ

ภาษาสวย

ยักษ์ก็รักเป็น

รอต่อขอรับ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ awila

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ้ยยย ชอบเรื่องแนวนี้มากกกก
หยอดแบบไม่เกรงใจกันเลยนะพี่ทศ ฮือออออ
รอๆๆๆๆ อย่าดราม่าเยอะนะ ใจบาง5555

ออฟไลน์ larynx

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 821
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
บทที่ ๔
[/size]




 ‘ถ้า...อสุเรนทร์อยากจะขอความรักจากพ่อเปมทัตจะให้ได้หรือเปล่า’


‘ถ้า...อสุเรนทร์อยากจะขอความรักจากพ่อเปมทัตจะให้ได้หรือเปล่า’


‘ถ้า...อสุเรนทร์อยากจะขอความรักจากพ่อเปมทัตจะให้ได้หรือเปล่า’



นี่มันคำขอบ้าอะไรกัน!!


เปรมทำหน้ามุ่ย ทึ้งหัวตัวเองจนยุ่งเหยิง ชี้ไปคนละทิศคนละทาง นอนเอาหน้าซบหมอนกลิ้งตัวไปมาบนเตียง จิกหมอนพลางดีดดิ้นใต้ผ้าห่มไปมาจนผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่ ต้องโทษตัวเองที่เลือกจำ ไม่เลือกที่จะลืม เปรมยังจำแววตาแสนอาทรนั้นเวลาพูดกับเขาได้ ถึงจะมองคนไม่ค่อยเก่ง ทว่าการแสดงออกอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนของอสุเรนทร์ ต่อให้เป็นคนโง่เรื่องความรู้สึกอย่างเปรมก็ต้องรู้ว่า ประธานหนุ่ม RAVANA คิดจะสร้างสัมพันธ์ที่มากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง

เขาสงสัยนักว่าอสุเรนทร์คิดอะไรอยู่ คนที่หล่อ รวย มีชาติตระกูล มีทุกอย่างในชีวิตพร้อมเพรียง ไม่น่าแปลกหน่อยเหรอที่มาสนใจผู้ชายธรรมดา ไม่มีอะไรให้น่าภูมิใจอย่างเขา

“เปรม! ออกมากินข้าวลูก”

เสียงแม่ดังมาจากด้านนอกห้องนอน เปรมค่อยๆยันตัวลุกจากที่นอน เหลือบมองไปยังผ้าพันแผลบริเวณข้อเท้า คนที่บอกตลอดการเดินทางไปร้านขายยาว่าพันผ้าไม่เป็นกลับเป็นคนทำให้เขาเสียอย่างนั้น แถมยังทำออกมาเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้วขนาดเภสัชในร้านยังต้องยกนิ้วให้

อสุเรนทร์มาส่งถึงที่บ้านพร้อมบังคับให้อยู่รักษาตัวแต่ในบ้าน และจนกว่าจะหาย ห้ามหนีไปซ้อมที่โรงละคร ถ้ารู้ว่าไปเขาจะทำโทษเปรมขั้นเด็ดขาด

เหอะ เป็นผู้ชายประเภทเอาแต่ใจตัวเองสูงสินะ ตาบ้าเอ้ย

“เปรม!”

“รู้แล้วครับแม่ กำลังไป!”


การรับประทานอาหารในยามเช้าในวันนี้พิเศษกว่าทุกครั้งเมื่อหลานชายคนดีของปู่ไม้และตาเสมาแห่งคณะละครนาฏย*โรจนวาทิตย์ กลับมาเสียทีหลังจากหายหน้าหายตาไปหนึ่งอาทิตย์เต็ม ความคิดถึงหลานล้นอก พอรู้ข่าวว่าจะกลับมาพักที่บ้านเพราะข้อเท้าบวมซ้อมรำไม่ได้ คนแก่หลงหลานสองคนถึงกับยืนรอต้อนรับอยู่หน้าประตูบ้านอย่างใจจดใจจ่อ

ตั้งแต่เกิดเปรมเป็นเด็กที่นำพาความเจริญมาให้แก่ครอบครัว ไม่ว่าหยิบจำอะไรล้วนประสบความสำเร็จ เป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด ขนาดเชิญพระสงฆ์มาทำพิธีรับขวัญ*ที่บ้านตอนเปรมยังเป็นเด็กแรกเกิด มีคำพูดหนึ่งของท่านพระท่านหนึ่งที่ทุกคนในบ้านจำได้อย่างขึ้นใจ


*นาฏย์ = เกี่ยวกับการฟ้อนรํา เกี่ยวกับการแสดงละคร เช่น นาฏยศาลา
*พิธีรับขวัญเด็กแรกเกิด 1 วัน ถึง 3 วัน


กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ปานกุหลานสีแดง นัยน์ตาหวานฉ่ำ อืม...ลักษณะดีทีเดียว ดูแลเขาให้ดีแล้วกัน เขามาเกิดเพื่อสร้างคุณให้เรา คนเป็นพ่อเป็นแม่ควรหมั่นทำบุญ ไหว้พระให้มากเพื่อเสริมบุญให้แก่ตนเอง เพราะเขาอยู่สูงกว่าเราเยอะ อะไรที่ทำให้เขามีความสุขก็จงทำเสียเถิด มันมักมีแต่ผลดี ผลร้ายไม่เกิด  และถ้าเขารักใครก็ขอให้พวกโยมรักด้วย อาตมาบอกได้เพียงเท่านั้น จะทำตามหรือไม่ล้วนอยู่ที่พวกโยมตัดสินใจ

เพราะเหตุนี้ไม่ว่าเขาอยากทำอะไร ต้องการสิ่งไหนล้วนมีคนคอยตามใจตลอดเวลา หากทว่าเปรมกลับเป็นเด็กที่แสนดี เลี้ยงง่ายสอนง่าย ไม่เคยนอกลู่นอกทาง หรือเกเรอย่างเด็กบ้านอื่นๆเขาปฏิบัติกัน เปรม...ค่อนข้างพิเศษและแตกต่าง เขาเป็นเด็กที่อาจจะบอกได้เลยว่ามีความไม่ธรรมดาปรากฏตั้งแต่วันแรกที่เกิด ทันทีที่เสียงร้องของเด็กทารกเปล่งออกมา กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้หลากหลายชนิดคละเคล้ากันลอยโชยมาแตะจมูกปรีชา ดวงดาว รวมถึงหมอและนางพยาบาลที่ทำคลอดในห้องนั้น เด่นชัดสุดเห็นจะเป็นกลิ่นกุหลาบ หอมแรงทว่าไม่ฉุน คล้ายมีใครมาพรมน้ำหอมใกล้ๆ

ใบหน้ายามเกิดแลดูงดงามปานเทพเทวา เส้นผมสีดำดกหนา ผิวกายาขาวผุดผ่องทว่าคล้ายๆจะมีรัศมีสีทองเปล่งประกายออกมารอบนอก ดวงตารีเรียวแวววาว พราวระยับประดุจดั่งมีดวงดาวนับร้อยดวงแข่งกันอวดแสงอยู่ในนั้น และไหนจะปานกุหลาบแดงหลังใบหูด้านขวาที่ต่อให้พลิกแผ่นดินหาทั้งประเทศหรือทั้งโลกก็คงมีแค่เด็กน้อยเปมทัต โรจนวาทิตย์คนนี้คนเดียว

ถ้ามีใครคิดจะมาเป็นลูกสะใภ้ หลานเขยตระกูลนี้คงต้องผ่านด่านจากบรรดาคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายสาหัสสากรรจ์พอควร

“เอ่อ...ทำไมทุกคนจ้องเปรมอย่างนั้นล่ะครับ” เปรมกล่าวอ้อมแอ้มเมื่อพวกผู้ใหญ่ต่างพากันจ้องเปรมเป็นตาเดียว ชายหนุ่มยกมือลูบทั่วใบหน้า “มีอะไรติดอยู่หน้าเปรมหรือยังไง”

“เปล่าหรอกลูก พวกแม่แค่...”

“...”

“โถๆๆ เอ็งก็บอกลูกมันไปสิว่า ลูกเปรม ลูกมีอะไรปกปิดพวกแม่อยู่ไหมจ๊ะ” ปู่ไม้แกล้งดัดเสียงแหลมเลียนแบบลูกสะใภ้คนงามที่อายุล่วงเลยเกือบเข้าเลขห้ามะรอมมะร่อ หากยังคงเปล่งความงามเหมือนสาวแรกรุ่น

“ปกปิด?” เปรมทำหน้างง “ปกปิดเรื่องอะไรครับ นี่ปู่กับแม่ทำเปรมงงไปหมดแล้วเนี่ย” ดูแต่ละคนทำหน้าเข้าสิ อย่างกับเขาไปทำผิดมาแล้วกำลังถูกจับได้

“อย่ามาทำไขสือไอ้ตัวแสบ คนที่มาส่งเมื่อวานน่ะเป็นใคร”

จู่ๆพ่อก็เงยหน้าจากหน้าหนังสือพิมพ์ในมือ มีการกระแอมเก๊กเสียงให้ดูขรึมลงเล็กน้อย “รู้จักกันเหรอ”

“โธ่ เปรมนึกว่าเรื่องอะไร...ครับ เขาชื่ออสุเรนทร์หรือคุณทศ เป็นประธานบริษัท RAVANA ผู้จัดแสดงโขนเรื่องกำเนิดทศกัณฐ์และก็ทหัยทศกัณฐ์ที่ผมรับบทเป็นสีดาเนี่ยแหละครับ พอดีข้อเท้าผมมันบวมมาก คุณทศเห็นใจเลยพามาส่ง”

“เห็นใจ หรือมากกว่าเห็นใจกันแน่เจ้าเปรม”

“พ่อจะถามอะไรเปรมมากเนี่ย”

“ลูกชายหายไปแค่อาทิตย์เดียว แต่ดันมีผู้ชายมาส่งถึงหน้าบ้านเสียแล้ว สนิทกันถึงขั้นไหนล่ะ เจ้านาย...เพื่อนร่วมงาน หรือคนรู้ใจ”

“พ่ออ่ะ!” เจอกันแค่วันเดียว หน้าก็เพิ่งเห็นกันด้วยซ้ำ แล้วเปรมกับเขาจะมาสนิทชิดเชื้ออย่างที่พ่อกำลังเข้าใจอยู่ได้ยังไงล่ะ บ้าที่สุดเลย “เขาแค่มาส่งเฉยๆ พ่ออย่าคิดมากสิ”

“ถามเจ้าหนุ่มนั่นหรือยังว่ามาส่งเฉยๆ...หรือคิดอะไรกับลูกพ่อมากกว่านั้น”

“พ่อ!”

“พ่อพูดผิดตรงไหน เราก็โตพอแล้วที่จะรู้ว่าสิ่งไหนที่พ่อเตือนควรหรือไม่ควรทำ”

เพี้ยะ!


“โอ้ยคุณ!” กษิดิษร้องตะโกนทันทีที่เมียรักฟาดมือลงบนท่อนแขนแกร่งอย่างถือโทษ “ตีผมทำไมเนี่ย”

“ลูกอายุยี่สิบสองแล้ว คุณจะห้ามแกให้ทำตามคำสั่งโน้นนี่นั่นเหมือนตอนเด็กๆไม่ได้นะคะ ควรบอกตัวเองก่อนไหม สิ่งไหนควรพูดหรือไม่พูดต่อหน้าลูก อยากให้ลูกมันเครียด คิดสั้นกระโดดน้ำคลองหลังบ้านตายเพราะถูกพ่อบังคับให้อยู่ขึ้นคานหรือไง”

“เปล่าสักหน่อย...คุณก็” แสร้งดื่มน้ำตอบแบบอ้อมแอ้ม

“เปล่าอะไร เห็นชัดๆ”

เอาล่ะสิ พอแม่ดวงดาวคนงามเริ่มเข้าสู่โหมดโหด กษิดิษถึงกับรีบยกไม้ยกมือปฏิเสธ “ผมไม่ได้อยากห้ามลูกสักหน่อย แค่เตือนในสิ่งที่ถูกต้อง อยากให้ลูกยืนด้วยลำแข้งตัวเองให้มั่นคงก่อน ถึงตอนนั้นจะมีแฟน มีกิ๊ก มีเมียลูกสองก็ว่าไป”

“สีข้างถลอกหรือยังคะคุณ ไม่เนียนเลยค่ะไม่เนียน เปรม...อย่าไปเชื่อฟังพ่อเขามากนะลูก นี่เป็นชีวิตลูกอยากทำอะไรก็ทำ อยากคบใครก็คบ เข้าใจไหม”

เปรมได้แต่อ้าปากพะงาบๆราวกับน้ำท่วมปากขึ้นมาเสียดื้อๆ ตาเสมานั่งหัวเราะคิกคักในลำคออย่างถูกใจก่อนจะพูดแทรกด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“พ่อว่าเจ้าเปรมหลานรักมันคงไม่มีเมียหรอก”

ทุกคนหันมองชายชราเป็นตาเดียว แถมยังส่งกระแสจิตคาดคั้นต้องการคำตอบเต็มที่ ไม่มีเมีย? ให้เขามีอะไรล่ะ

“ทำไมเหรอครับพ่อ”

“ทำไมวะไอ้เสมา”

“เปรมมันคงมีแต่ผัวไง”

“พ่อ!/ตา!”

สิ่งที่ตาเสนาบอกทำเอาเปรมชักอยากเป็นลม มือสากมีริ้วรอยตามกาลเวลาบีบแก้มหลานชายจนปากยู่ ให้หันไปตามแรงของตน ซ้ายที ขวาที เชิดขึ้น กดลงต่ำ

“เอ็งดูสิ ดู๊! หน้าอย่างนี้รึ จะมีผู้หญิงคนไหนกล้าเดินด้วย หน้าผัวสวยกว่าหน้าเมียอีก ข้ารับประกัน ต่อให้ตามหาทั้งชาตินี้หรือชาติหน้าก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนเอาหลานข้าเป็นผัวหรอกหรอกนอกจากเพศเดียวกันเอง...มองทำไม ข้าพูดผิดตรงไหน เดี๋ยวนี้สังคมมันเปิดกว้างกันแล้ว พวกเอ็งก็หัดทำใจยอมรับเหมือนข้าหน่อยสิวะ”

“ไอ้เสมา เอ็งมันช่างทันกระแสโลกเหลือเกิน” ปู่ไม้ส่ายหน้าเอือมระอา

“ไอ้แก่ข้า เป็นเอามาก” ขนาดยายยังขยาด

เปรมตบหน้าผากตัวเองดังป้าบด้วยความเซ็งจิต ช่างเป็นผู้อาวุโสที่สตรองมาก มองการไกลไปถึงชาติหน้า นี่ถ้าบอกเขาว่าไม่มีเมียเพราะขึ้นคาน ยังดีกว่าไม่มีเมียเพราะมีผัว! ตานะตา คิดก่อนพูดบ้างก็ได้

“คุณเปรมคะ มีแขกมาขอพบค่ะ” แม่บ้านวัยสี่สิบเดินเข้ามาบอกด้วยความนอบน้อม ขณะยกถาดของหวานวางบนโต๊ะ ซึ่งมีแต่ของที่เปรมล้วนโปรดปรานทั้งสิ้น

“ใครเหรอครับ”

“เห็นเขาบอกชื่ออสุเรนทร์ค่ะ”

ป้าบ!

“ฮ่า ฮ่า นั่นปะไร! ต้องเป็นเจ้าหนุ่มคนเมื่อวานแน่ๆ โอ้ยๆ อีแก่ อย่าดึงหู เจ็บ โอ้ยเจ็บ!”

“เดี๋ยวนี้พูดมากเหลือเกินไอ้แก่ ข้าจะดึงให้หูยานไปถึงไส้ติ่งเลย!” ยายดึงหูตาแล้วตบไม่ยั้ง คนถูกทำร้ายร่างกายได้แต่ร้องโอดครวญอย่างน่าสงสาร ทว่ากลับไม่มีใครสนใจและคิดจะช่วยเหลือสักราย

เปรมขมวดคิ้วเข้าหากัน มาทำไมกันนะ

“ไปเถอะจ๊ะเปรม เดี๋ยวคุณเขารอนาน” ดวงดาวเอ่ยกับลูกชาย “วันนี้บรรยากาศดี พาเขาเดินเล่นรอบบ้านเราด้วยก็ได้นะ”

“ดาว! เจ้าเปรมมันขาเดี้ยงอยู่ จะพาคนอื่นเดินเล่นได้ยังไง” กษิดิษแหวใส่คู่ร่วมชีวิตอย่างไม่เห็นด้วย 
“เดี๋ยวก็มีคนช่วยพยุงเดินใช่ไหมแม่ดาว” แหนะ มีการยักคิ้วเจ้าเล่ห์ใส่เขาอีก คุณตานะคุณตา น่าให้คุณยายทุบตีจนน่วมไปทั้งตัวเลยเชียว



 รถเบนซ์สีเทาจอดสนิทอยู่หน้าเรือนไทยหลังงามหลังหนึ่ง ร่มรื่นด้วยต้นไม้แลสวนหย่อมที่จัดตกแต่งอย่างดีกลมกลืนกับธรรมชาติ อสุเรนทร์เห็นหญิงวัยกลางคนซึ่งน่าจะเป็นแม่ของเปรม คาดเดาได้จากการแต่งกายในชุดผ้าไหมเรียบหรูสีน้ำเงินเข้มขับกับผิวขาวผ่องและโครงหน้าที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับลูกชายที่เครื่องหน้างดงามราวเทพเทวานางฟ้าบนสวรรค์ ก้มหน้าเดินตามหลังผู้เป็นแม่ลงมาจากเรือนไม้ อสุเรนทร์ฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับเดินปรี่เข้าไปหาโดยลูกหลานเจ้าของบ้านไม่ต้องเดินมารับถึงที่ เปรมชะงักเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม

“คุณทศมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”

“ทุกครั้งที่มาหาเธอต้องมีธุระด้วยเหรอ” ยกมุมปากยิ้มน้อย ก่อนหันไปประนมมือไหว้ทักทายคนเป็นผู้ใหญ่กว่า (แม้อายุของอสุเรนทร์จะมากกว่าหลายเท่าก็ตาม) อย่างดวงดาว ในเมื่อเข้าทางลูกมันช้านัก ก็เข้าทางแม่เนี่ยแหละ ประจบประแจง โน้มน้าวสักเล็กน้อย ขี้คร้านไม่นานคงได้เป็นยอดลูกเขยบ้านโรจนวาทิตย์

“สวัสดีครับคุณแม่...ของเปรม”

อสุเรนทร์ลากคำว่าแม่ยานยาวและกระชับคำหลังให้สั้นลง เพื่อบ่งบอกว่าเขาต้องการสานสัมพันธ์กับครอบครัวนี้(เป็นพิเศษ) ดวงดาวรับไหว้ด้วยรอยยิ้มหวาน

“ไหว้พระเถอะค่ะคุณอสุเรนทร์ ดิฉันได้ยินชื่อเสียงของคุณมานาน ตอนแรกนึกว่าจะแก่กว่านี้เสียอีก ที่ไหนได้ยังหนุ่มแน่นพอๆกับเปรมลูกของดิฉันเลย”

“ขอบคุณที่ชมนะครับ นี่ผลไม้ ผมเห็นมันน่าทานเลยซื้อมาฝาก”

“ขอบใจจ๊ะ”

ดวงดาวรับถุงผลไม้ถุงหนึ่งจากมืออสุเรนทร์ แม่บ้านสองสามคนที่เดินอยู่ละแวกนั้นเดินมารับของทั้งหมดจากมือผู้เป็นนายไปเก็บอย่างรู้งาน เปรมชายตามองตามถุงผลไม้หลายถุงที่แม่บ้านเดินถือออกไป

“นี่คุณยังไม่ตอบผมเลยนะว่ามาที่นี่อีกทำไม”

“เปรม ทำไมพูดกับคุณเขาอย่างนั้นล่ะจ๊ะ ไม่ดีเลย”

อสุเรนทร์หัวเราะ “ไม่เป็นไรหรอกครับ พอดีผมกลัวเขาจะบาดเจ็บจนไม่สามารถเข้าร่วมซ้อมบทกับคนอื่นได้ เลยแวะมาเยี่ยมเยียนคนป่วยสักหน่อยด้วยความเป็นห่วง แต่เห็นเขาไม่เป็นอะไรมาก...ผมก็คงต้องขอลากลับเลยแล้วกันนะครับ”

“ได้ยังไงกันคะคุณอสุเรนทร์ ขับรถมาตั้งไกลคงเหนื่อยแย่ ดิฉันว่าแวะทานน้ำทานท่าให้สบายตัวสักหน่อยเถิดแล้วค่อยกลับก็ยังไม่สาย หรือว่าติดงานเร่งด่วนคะ”

“แม่..”

“เงียบไปเลยเรา ตกลงได้ไหมคะ”

“ได้สิครับ วันนี้ผมว่าง...ว่างทั้งวัน” อสุเรนทร์เหลือมองคนหน้าบึ้งด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ทำเอาคนโดนจ้องต้องเสมองไปทางอื่นเพื่อหลบหนีแววตาวาบหวามของอีกฝ่ายแทน แพ้...แพ้ราบคาบเปรมเอ๋ย

“งั้นก็ดีเลยค่ะ ถ้ายังไงดิฉันจะให้เปรมพาคุณไปนั่งเล่นบนศาลาริมน้ำก่อน และเดี๋ยวจะให้แม่บ้านยกถาดขนมไปให้”

“ขอบคุณนะครับ”

“แม่แต่เปรมขาเจ็บอยู่นะ ละ...แล้วก็ปวดด้วย เดินมากๆไม่ค่อยไหวหรอก” เปรมละล่ำละลักพยายามหาข้ออ้างสารพัดเพื่อก่ายเกี่ยงที่จะไปกับอสุเรนทร์ แค่ยืนคุยตรงนี้พร้อมกับแม่เขาก็ไม่รู้จะทำตัวยังไงแล้ว ขืนให้อยู่กันสองต่อสองอีก เปรมคงไม่ต้องทำอะไรนอกจากนั่งบิดตัว หน้าเห่อร้อนเพราะโดนหยอดคำหวานไม่เว้นสักนาที

“ถ้าเดินไม่ไหวเดี๋ยวผมช่วยพยุงให้เองครับ”

“มะ...”

“งั้นก็ดีเลยค่ะ เปรม...ดูแลคุณเขาดีๆด้วยนะลูก แม่ขอตัวไปเตรียมของว่างก่อน เสร็จแล้วจะให้เด็กยกไปให้ ไปนะคะคุณอสุเรนทร์”

“เรียกผมทศก็ได้ครับคุณน้า”

“จ๊ะ”

“แม่!”

เปรมส่งเสียงเรียกแม่ของตนที่เดินห่างออกไปทุกขณะ วันนี้มันวันอะไรของเขา ถึงได้มีแต่คนพูดไม่เข้าหูให้ได้ยินอยู่เรื่อย ตั้งแต่ตาเสมา พ่อ แล้วยังจะมีแม่เสริมทัพเข้ามาอีก และดูตัวต้นเหตุสิ ยืนฉีกยิ้มเหมือนคนบ้าก็มิปาน


บ้านเรือนไทยหลังนี้ร่มรื่น...แม้เป็นเวลาเกือบเที่ยงวัน หากแต่เงาของร่มไม้ ด้วยผังสถาปัตยกรรมอันแยบยลของหลังคาทรงเรือนไทย ทำให้ความร้อนระอุแผ่กระจายออกไป ทั้งยังมีสายลมพัดให้เย็นสบายไม่เหนียวตัวเหมือนในห้องปรับอากาศ
เปรมพาอสุเรนทร์มานั่งพักผ่อนหย่อนใจที่ศาลาริมน้ำ ทั้งคู่เหยียบย่ำพื้นไม้ที่ถูกเช็ดอย่างสะอาดด้วยเท้าเปล่า ครอบครัวโรจนวาทิตย์ต้อนรับอสุเรนทร์ด้วยน้ำกระเจี๊ยบที่หอมหวานชื่นใจ เขายืนมองวิวทิวทัศน์สองฝากฝั่งแม่น้ำอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเข้าไปนั่งตามสบายบนพื้นที่มันปลาบซึ่งเปรมได้ลงไปนั่งอยู่ก่อนหน้าแล้ว

“บ้านเธออากาศดีมากเลยนะ”

“ใช่ครับ ใครๆที่มาก็บอกว่าบ้านผมอากาศดี ลมพัดเย็น ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ทั้งวัน เคยมีคนมาขอซื้อด้วยนะครับแต่ถูกพ่อเอาปืนไล่ยิงเอา”

“ขนาดนั้นเชียว” อสุเรนทร์ทำเสียงสูงไม่เชื่อ

“ตอนนั้นผมเห็นคนที่คิดจะมาซื้อวิ่งออกจากบ้านแทบไม่ทันแหนะ” เปรมกวาดตามองโดยรอบ “บ้านหลังนี้พ่อหวงมากเพราะเป็นบ้านหลังเดียวในละแวกนี้ที่ยังคงสภาพเหมือนเก่าได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน พ่อกับแม่รับซื้อจากคนรู้จักคนหนึ่งแล้วเริ่มต่อเติมเสริมแต่งจนมันน่าอยู่ขึ้นมาถนัดตา นี่คงเป็นเหตุผลที่พ่อไม่ยอมขายให้คนอื่น แม้จะถูกเสนอราคาหลายร้อยล้านก็ตาม”

“เพราะบ้านเธอสวยไงล่ะ อีกอย่าง...ลูกหลานเจ้าของบ้านก็สวยด้วย ใครๆก็อยากได้ทั้งนั้น

“งั้นคนที่มาขอซื้อบ้านก็คงต้องโดนกระสุนปืนอัดใส่ปากก่อนจะก้าวเท้าออกจากบ้านทันแล้วล่ะครับ” เปรมตอกกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หากอสุเรนทร์ยังคงนั่งนิ่งสงบ

“งั้นเหรอ แสดงพ่อคงหวงเธอน่าดูสินะ”

“ลูกใครใครก็หวงนี่ครับ”

“เป็นฉันก็หวงเหมือนกัน”

“..!!”

อสุเรนทร์อ้ำอึ้งอยู่ชั่วครู่ “เอ่อ...ฉันหมายถึงถ้าเป็นลูกฉัน ฉันก็หวง”

“อ่อ ครับ” เปรมไม่ได้ถึงขั้นหลงเชื่อคำพูดแก้ตัวเหล่านั้น แค่พยักหน้าอย่างเข้าใจ ไม่ได้ถามต่อแม้ภายในอกกำลังเต้นตึกตักโครมคราม คล้ายมีใครมาจุดพลุเล่นใกล้ๆ

“หน้าเธอเหมือนไม่เชื่อคำพูดฉัน”

“เอาตามตรงไหมครับ”

“...”

“ไม่เชื่อ”

“หึ” อสุเรนทร์กระตุกยิ้มร้าย “แล้วเธอเชื่อแบบไหนล่ะ”

เปรมกระตุกยิ้มตาม แต่แทนที่มันจะดูร้ายนิดๆเหมือนอสุเรนทร์กลับน่ารักน่าชังเสียได้ “แล้วคุณคิดกับผมแบบไหนล่ะ”

จากคำตอบกลายเป็นคำถามข้อใหม่ ร่างสูงกอดอกเอนพิงเสาต้นข้างๆ สายลมพาดผ่าน พัดกลิ่นหอมฟุ้งของดอกจันทร์หอมแตะจมูก

“เธอไม่ใช่คนโง่เปรม เธอรู้ฉันคิดยังไง”

“คุณกับผมเพิ่งเจอกันแค่สองครั้ง เมื่อสามวันที่แล้วและวันนี้ คุณไม่คิดว่าเร็วไปหน่อยเหรอ”

“สำหรับฉันไม่เร็วเลย” ไม่เร็วเลยสักนิด ออกจะช้ามากเกินไปด้วยซ้ำ คนที่ถูกลบเลือนความจำแล้วกลับมาเกิดใหม่จะรู้สึกเหมือนคนที่รอแล้วรอเล่าอย่างเขาได้ยังไง

“ผมห้ามความรู้สึกคนอื่นไม่ได้หรอก”

“นี่คือคำตอบใช่ไหม”

เปรมหันหน้าหนี หากเป็นผลให้อสุเรนทร์แววตาวับขึ้นทันที

“พูดแล้วนะ”

“...”

“ห้ามคืนคำทีหลังล่ะ”

เปรมกลั้นหายใจยามสบตาคมที่ส่งตรงมายังเขา...ในแววตาคมคายนั้นมีความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่กล้าคิดต่อ...อสุเรนทร์ส่งออกมาชัดเจน

“นายคงไม่ว่าใช่ไหม หากฉันขอขึ้นไปบนเรือน เพื่อทักทายคนในครอบครัวเธอสักเล็กน้อยก่อนกลับ”


เปรมเงียบ และนึกในใจ มันคงไม่จบแค่การทักทายประโยคสั้นๆน่ะสิ



ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ต่อค่ะ




นับตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันนนี้ อสุเรนทร์ได้กลายมาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวโรจนวาทิตย์อย่าง(ไม่)เป็นทางการ ในสายของเปรม อสุเรนทร์เป็นคนช่างจ้อ เอาใจเก่งและกะล่อนมากกว่าที่คิดเอาไว้(มาก) ร่างสูงเป็นคนที่ค่อนข้างมีมนุษย์สัมพันธ์ดีเยี่ยมกับคนอื่นๆโดยเฉพาะคนแก่คนเฒ่า รู้ว่าคนแบบนี้ต้องการแบบนี้ อีกคนชอบแบบนั้น ถ้าบอกเปรมว่าอสุเรนทร์เป็นนักจิตวิทยาเขาก็เชื่อ เขาเกลี้ยกล่อมคนเก่งเหลือเกิน ดูได้จากเสียงหัวเราะชอบใจจากการชวนปู่กับตาที่เข้าหายากมากที่สุด(สำหรับคนนอก) คุยเรื่องนางในวรรณคดีที่สาวๆสวยๆ แถมยังอธิบายลักษณะของแต่ละนางเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ละเอียดเสียจนชายชราทั้งสองนั่งฟังไปตาลุกวาวไปเหมือนเด็กที่แม่มักเล่านิทานให้ฟังก่อนนอน หรือกับย่าและยายก็ชวนพูดคุยถึงความหลังในอดีตแบบจัดหนักจัดเต็ม เรียกคะแนนจากผู้อาวุโสในบ้านได้ไม่ยากเย็นนัก จนเปรมแปลกใจเหลือเกิน คนยุคใหม่อย่างอสุเรนทร์ทำไมถึงพูดเรื่องราวในอดีตที่คนรุ่นหลังส่วนใหญ่มักไม่ค่อยรู้ได้มากมายนัก

ในตัวอสุเรนทร์มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้คนแล้วคนเล่าหลงใหลและคล้อยตามในสิ่งที่เขาพูดหรือชักจูงเสมอ แม้แต่พ่อ ตอนแรกพยายามทำเป็นนิ่งขรึม ไม่สนใจ หากคำพูดเพียงไม่กี่คำที่ออกมาจากปากร่างสูงกลับเปลี่ยนแปลงพ่อเขาให้กลายเป็นคนละคนได้อย่างชะงัก ถึงขั้นพาไปดูของสะสมในห้องเก็บของที่ว่าหวงนักหวงหนา หวงยิ่งกว่าลูกในไส้

การที่พ่อให้คนนอก ซึ่งเจอกันเพียงไม่กี่ชั่วโมงเข้าไปดู แสดงว่าต้องเป็นคนพิเศษในสายตาพ่อมากๆ

“พ่อทศ จะกลับแล้วเรอะ ไม่อยู่ต่ออีกสักนิดล่ะ” ยายนวลเอ่ยถามขณะอสุเรนทร์สวมรองเท้าเตรียมตัวกลับบ้าน

“ครับ เห็นใกล้มืดแล้ว เกรงว่ากว่าจะถึงบ้านคงดึกดื่น”

“ถ้าดึกมากนักก็อยู่ค้างที่นี่เลยเสียสิ นอนห้องเปรมก็ได้นะ เพราะไม่มีห้องว่างเหลือแล้ว”

“พ่อ!”

ไม่น่าเชื่อว่าประโยคเหล่านี้จะดังมาจากปากของผู้ชายที่เข้มงวดและหวงลูกเสียยิ่งกว่างูจงอาง ตาเสมาแอบหัวเราะล้อเลียนกับปู่ไม้อยู่ทางด้านหลัง ส่วนแม่ก็เอาแต่ยิ้มไม่พูดหรือคัดค้านใดๆสักคำ

ทุกคนเป็นอะไรกันหมด!

หรือต้องมนต์เสน่ห์ของอสูรผู้ร้ายกาจเข้าจนถอนตัวไม่ขึ้น

“คืนนี้...รบกวนหน่อยนะครับ...เปรม”




ลมเย็นๆ ยามตะวันคล้อยต่ำลงเหลือเพียงแสงเหลืองอ่อน คอยพัดพาความชุ่มฉ่ำจากแม่น้ำลำคลองรจนาที่ไหลผ่านหน้าบ้านมาปะทะวงหน้า น้ำในลำคลองที่นี่ใสสะอาดกว่าคลองทั่วไป ตอนเด็กเปรมมักแอบแม่มาเล่นดำผุดดำว่ายตรงท่าน้ำริมศาลาริมน้ำตลอด

เปรมถือผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้าชุดใหม่ที่เป็นชุดนอนสะอาดตัวใหญ่ที่ได้มาจากพ่อ ขันน้ำที่มีสบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน เดินมาหยุดยืนดูสภาพเปลือกอกของอสุเรนทร์แบบกึ่งเขินกึ่งไม่เข้าใจ ประธานหนุ่มรูปหล่อหันมาเห็นก็ยิ้ม

“น้ำเย็นดี ฉันชอบ”

“คุณอาบในห้องน้ำในบ้านไม่ดีกว่าเหรอ”

“ไม่ล่ะ อาบแบบนี้สนุกกว่ากันเยอะ”

ชายหนุ่มเจ้าของบ้านเอาของวางตรงขั้นบันไดแรก “นี่นะครับ ผมเอาของมาให้ เดี๋ยวผมขอตัวไปอาบน้ำก่อน จะได้เตรียมห้องให้คุณทศเสียใหม่”

“อาบด้วยกันที่นี่สิ” อสุเรนทร์เอ่ยชวน

“ไม่ล่ะครับ เชิญคุณอาบให้สบายใจเถอะ”

“หรือเธออายฉัน...เปมทัต”

“ผมเปล่าอาย!”

เมื่ออีกฝ่ายสวนกลับ อสุเรนทร์ก็ยกยิ้มพรายราวพรานป่าผู้กระหายกระต่ายน้อยทันที “ถ้าเปล่า ก็ลงมาอาบด้วยกันสิ น้ำคลองใสสะอาด เย็นสบาย ไม่เปลืองน้ำประปาในบ้าน แถมยังได้ซึมซับบรรยากาศธรรมชาติอีก เธอไม่คิดว่าสิ่งที่ฉันพูดคือความจริงเหรอ”

“...”

“ถ้าฉันจะทำอะไรเธอ ฉันทำไปนานแล้ว”

“อ...อาบเสร็จขึ้นไปบนบ้านได้เลยนะครับคุณทศ ผมขอตัว”

“เดี๋ยวเปรม”

“อะไรอีกล่ะครับ”

ชายหนุ่มกลับหลังหันมองยามเร่งฝีเท้าก้าวขึ้นบันไดปนหงุดหงิดเล็กน้อย หากอสุเรนทร์ยันกายขึ้นเหนือน้ำ คว้าแขนเรียวเล็กให้ตกลงไปในน้ำคลองดัง ตู้ม! เปรมไอคอกแคก ใบหน้าแดงก่ำเพราะสำลักน้ำเนื่องจากตกลงไปในลำคลองอย่างไม่ทันได้ตั้งเนื้อตั้งตัว เอื้อมมือตีแขนคนชอบแกล้งอย่างแรง

“คุณเล่นบ้าอะไรเนี่ย ผมเปียกหมดแล้วนะ!” ริมฝีปากสีสวยคว่ำลงอย่างไม่ชอบใจ

“เปียกก็ดีสิ จะได้อาบน้ำพร้อมกัน”

“ถ้าผมหัวใจวายตายขึ้นมาทำยังไง”

“ฉันคงต้องตายก่อน”

“ห๊ะ”

กลิ่นหอมที่มาจากเจ้าของร่างตรงกันข้ามกำลังล่อลวงให้กายเขาปั่นป่วนจนยากจะหักห้ามใจ คนชื่อเปมทัตช่างเป็นคนที่อันตรายต่อ(หัวใจ)พญารากษสเหลือเกิน

“คุณมันบ้า คุณทศ”

“ใช่ฉันบ้า...บ้าแค่กับเธอเท่านั้นแหละพ่อเปรม”

“..!!”

ใบหน้าหวานเห่อร้อนจนลามไปยันลำคอและใบหูจนต้องหันมาวักน้ำใส่อย่างหมั่นไส้ เอาอีกแล้ว วันๆนอกจากหยอดคำหวานให้เขาหน้าเห่อร้อน ทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์เป็นบ้างไหม

ฝ่ามือหนาเหนี่ยวแขนรั้งเอวคอดกิ่วเข้าใกล้ตัว เปรมแทบจะปลิวไปตามแรงดึงนั้นอย่างรวดเร็ว...มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อศีรษะกระแทกอกแกร่งสีน้ำผึ้งนวลผ่อง ลมหายใจอุ่นจัดรินรดหลังใบหูย้ำให้รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้เพียงใด

“พ่อเปรม...”

เสียงทุ้มนุ่มลึกฟังดูกังวานกว่าปกติ อสุเรนทร์จับให้ร่างแข็งทื่อหันมาหาตน แม้ร่างแน่งน้อยจะตกน้ำ ผมลู่ลงไปตามรูปศีรษะ หากในสายตาของยักษ์หนุ่ม พ่อเปรมก็ยังคงความงามมิมีเปลี่ยน ยิ่งเจ้าตัวก้มหน้าหลุบตาลงผืนน้ำพร้อมใบหน้าแดงจัดก็ยิ่งทำให้หัวใจพญารากษสแห่งกรุงลงกาเต้นไม่ส่ำ

รักเจ้า...

ข้ารักเจ้าเหลือเกินน้องพี่...


รสใดไม่เหมือนรสรัก
หวานนักหวานใดจักเปรียบได้
แต่มิได้เชยชมสมใจ
ขมใดไม่เทียบเปรียบปาน

-ท้าวแสนปม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว-


มิทันตั้งตัว...อสุเรนทร์ก็ปิดปากหยุ่นด้วยแรงเสน่หา เปรมรู้สึกตกใจระคนเกิดความรู้สึกประหลาดแทนที่เขาจะผลักใสไล่ส่งกลับคล้อยตามเสียกระนั้น รสชาติหวานลิ้นที่ได้ครอบครองยิ่งฉุดให้อารมณ์ความต้องการร่างสูงเพิ่มมากขึ้น


เชยชมชู้ปากป้อน           แสนอมฤตรสข้อน
สวาทเคล้าคลึงสมร ฯ
กรูเกี้ยวกรกอดเกื้อ           เนื้อแนบเนื้อโอ่เนื้อ
อ่อนเนื้อเอาใจ ฯ

-ลิลิตพระลอ-


เนิ่นนาน...สัมผัสวาบหวามจากอสุเรนทร์ทำร่างบางแทบไร้เรี่ยวแรง กลีบกุหลาบเต่งตึงบวมเจ่ออย่างเห็นเด่นชัดยามอีกฝ่ายถอนริมฝีปาก ดวงตาคมที่จ้องมองมีแววเสน่หาอย่างสุดซึ้ง อสุเรนทร์มิอาจหักห้ามใจทำเช่นนี้ได้เลย นี่เขาก็ยอมอ่อนลงมากแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนคงจับร่างเน่งน้อยแล่นเรือสำเภา* ปล่อยให้คลื่นลมมรสุมโหมซัดกระหน่ำข้ามวันข้ามคืนจนเรือเทียบท่าเข้าฝั่งด้วยความสมอุรา


*แล่นเรือสำเภา = คำที่ใช้เรียกแทนการความสัมพันธ์ลึกซึ้งของคนสองคน:โดยคนเขียนเอง -.,-


ความปวดหนึบกลางกายเร่งสติให้อสุเรนทร์จำต้องผละเปรมออกด้วยความเสียดาย ไม่ได้...ข้าจักทำบัดสีเช่นนั้นกับพ่อเปรมไม่ได้ เย็นไว้ลูกพ่อ แม่เจ้ายังไม่พร้อม อย่าเพิ่งกระวนกระวายนัก ถึงเวลาเจ้าคงได้ออกมาโลดแล่นสู่โลกภายนอกเอง อสุเรนทร์เตือนตนเองพลางลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก พยายามควบคุมสติที่คงขาดผึ่งในอีกไม่กี่วินาที หากยังได้กลิ่นหอมบุปผามาลา ผิวพรรณขาวผ่อง ยอดสัตตบงกช*ที่โผล่พ้นจากเสื้อยืดตัวบางอยู่


อันตัวพี่จะหักอื่นขืนหักได้ หากแต่หักมิให้ซัดคลื่นคลั่งใส่เจ้านั้นสุดจะทน


*สุตตบงกช = บัวหลวงชนิดหนึ่ง มีเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ฉัตรชมพู" มีสีชมพูอมม่วงสวยงาม
*คลื่นคลั่ง = ความปรารถนาอันแรงกล้า



“เอ่อ...ฉ...ฉันขอตัวก่อน”

ร่างสูงรีบว่ายขึ้นฝั่ง หยิบผ้าขนหนูมาปิดคุมส่วนล่าง หยิบชุดนอนที่เปรมเตรียมมาให้พร้อมเร่งฝีเท้าวิ่งเข้าบ้านเต็มกำลัง เปรมตาค้าง ยกมือแตะริมฝีปากของตนเองท่ามกลางความเงียบสงบยามค่ำคืน ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนเพิ่งโดนโจรลักขโมย(จูบ)แล้ววิ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอย

จูบแรกของเขา...

ฝ่ายอสุเรนทร์เมื่อมาถึงห้องนอนของเปรมก็จัดการเดินตรงไปเข้าห้องในทันที พร้อมล็อกกลอนอย่างแน่นหนา ค่อยๆปล่อยลมหายใจออกมายาวเหยียด ภาพเมื่อครู่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวมิเสื่อมคลายสักนิดเดียว กายสีน้ำผึ้งร้อนผ่าวประหนึ่งมีไฟสุมความเร้าร้อนรุนแรงอารมณ์ภายในใจยิ่งยวด สองมือหนาประคองดาบใหญ่ออกจากฝักแล้วลูบยาวเป็นทางจนสุดปลาบดาบคมกริบ

“อา...”

อสุเรนทร์เม้มปากกลั้นเสียงร้องที่กู่ก้องกังวานทั่วห้องน้ำ

นวลน้องหนานวลน้อง เล่นเอาพี่ทศต้องมาลับคมดาบเองแบบลับๆ หากถึงคราหน้าเมื่อใดข้าจักให้เจ้ามาลับคมคาบของข้าเสียให้เข็ด!







กร๊ากกกกกกกกก คุณพี่ทศเจ้าขา อันใดคือลับ-คม-ดาบเจ้าคะ หุๆๆๆ ถูกใจแท้
เราบอกแล้วพี่ทศของเราเป็นคนดี ไม่หื่น(น้อย)เลยสักนิด 5555
แต่งเองเขินเอง โอยยย  :ling1:
ถูกใจคอมเม้นให้กำลังใจกันน้า
ไว้เจอกันในตอนต่อไป ซารางเฮ~~~~~~~~~~~



ออฟไลน์ ทิวสนที

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 763
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
นึกว่าเกิดมาแล้วมีแค่เราคนเดียวที่ไม่ชอบพระราม  :m11: :m11:

โอ๊ย!ดีต่อใจมาก รักทศกัณฐ์ ท่านทศของนางสีดา นางสีดาของท่านทศ  :oni2: :oni2:

ชอบทศกัณฐ์มากจริงๆ ชอบตรงที่ยอมที่จะเปิดสงคราม ยอมสูญเสียญาติพี่น้องและยักษ์บริวารเพื่อนางที่ตนรัก

โคตรใจอ่ะ ยอมทำทุกอย่างได้เพื่อคนที่ตนรัก

โอ๊ย! ทำไมไม่เป็นกูไม่เกิดเป็นนางสีดากูจะรักท่านทศให้หมดใจเลย

ออฟไลน์ Asmknrt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากกกกก รอๆๆ เนื้อหาดีมากๆ o13

ออฟไลน์ Biwty...

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 985
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
สนุกมากค่ะะะ ติดตาม เป็นกำลังใจให้นะคะ :L2:
ชอบมากกกก คุณทศ กรีดร้องงง ฉันชอบเขา
น้องเปรมของพี่ :hao7: :hao6:
ติดตามอยู่ตลอดนะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ Laliat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
 :z1: โอยท่านทศแซบหลายแท้น่อ อันนี้แหละ"เจ้าชู้ยักษ์" ของจริงต้นตำรับมาเอง คนแต่งนี่เก่งจังมีความรู้ภาษาไทยดี แทรกวรรณคดีอีก ชอบ!!! กระแทกไลค์ให้เลย

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
บทที่ ๕
[/size]





ร่างสูงสมส่วนชายไทย จอดรถหน้าตึกใหญ่อย่างรีบร้อน เร่งฝีเท้าเล็กๆเข้าในตัวบ้านทั้งที่ยังไม่ได้ถอดรองเท้าดีดวงตารีเรียวกวาดหาใครบางคนภายใต้กรอบแว่นกันแดดราคาแพง

“คุณอินคะ หาอะไรอยู่หรือคะ” แม่บ้านอาวุโสวัยห้าสิบเจ็ดปีประจำตระกูลอมาตยสูรเอ่ยถามเจ้านายอีกคนของบ้านนอกจากอสุเรนทร์และชินกฤตอย่างนอบน้อม สายตาที่เธอมองมีแต่ความปลื้มปริ่ม อิ่มเอม ในที่สุดนายน้อยก็กลับมาแล้ว...

“พ่ออยู่ไหน”

“คะ”

“ฉันถามว่าพ่อฉันอยู่ไหนจวง”

ร่างเล็กหรี่ตาเท้าสะเอวอย่างเอาแต่ใจ วันนี้กะมาเซอร์ไพรส์คนในบ้านเสียหน่อย เพราะตั้งแต่ไปเรียนอยู่เมืองนอกเมื่อหลายปีก่อน เขาก็แทบไม่ได้ติดต่อกลับมาหาที่บ้านเลย จะมีแค่โทรมาขอเงินเพิ่มไม่ก็ปรึกษาเรื่องการลงทุนธุรกิจในต่างประเทศกับอาชินกฤต พอกลับมาบ้านก็หวังจะเจอการต้อนรับอันแสนอบอุ่นจากคนในครอบครัว ได้วิ่งเข้าไปรับอ้อมกอดจากคนเป็นพ่อ รับรอยยิ้มละมุนละไมของอาชาย ทว่าตอนนี้ ณ เวลานี้...เขากลับยืนเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางห้องโถงที่โอ่อ่าเกินกว่าจะยืนเท้าสะเอวทำหน้านิ่งพร้อมคนรับใช้

เจ้าของบ้านหายหัวกันไปหมด

“คุณทศไปทำธุระข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ ยังไม่กลับมา ส่วนคุณกฤตกำลังกลับจากบริษัท คาดว่าอีกห้านาทีคงมาถึง...น้ำค่ะคุณหนู”

“ขอบใจ” ชายหนุ่มรับแก้วน้ำจากแม่บ้านยกดื่มดับความร้อนในใจลงได้บ้าง “พ่อบอกหรือเปล่าว่าไปไหน”

“จวงไม่ทราบค่ะคุณอิน”

“อืมๆ มีอะไรก็ไปทำเถอะ”

“ค่ะ”

ร่างเล็กถอดเสื้อโค้ทวางพาดบนแขน ก้าวเท้าเตรียมขึ้นบันไดเชื่อมต่อระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นสอง  แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงรถแล่นจอดเทียบหน้าบันไดหินอ่อนประตูบ้าน มุมปากที่เรียบตรงมานานยกสูงขึ้นเมื่อได้เห็นใบหน้าหล่อคมแบบไทยแท้ของคนเป็นอาก้าวลงจากรถ แทบจะในทันที ร่างเล็กวิ่งเข้าไปกอดอีกฝ่ายเต็มรักเสียจนเกือบหงายหลัง ชินกฤตหัวเราะเบาๆ

“ไง”

“อากฤต!”

ฝ่ามืออาชายยีหัวหลานตัวแสบเล่นด้วยความเอ็นดู

“ถึงเวลากลับแล้วรึไงเจ้าอิน เรียนจบมาตั้งเกือบปีเพิ่งโผล่หัวกลับบ้านติดแหม่มหรือติดผัวแหม่ม”

“พูดจาน่าเกลียดน่าอากฤต อินแค่แวะโน่นนี่หาประสบการณ์ใหม่ๆให้กับตัวเองก่อนกลับเมืองไทย อาไม่เชื่อเหรอ...นี่อินทำเพื่อหาแรงบันดาลใจ ช่วยพัฒนาบริษัทของเราในอนาคตข้างหน้าเลยนะ” กอดอกทำหน้าจริงจังให้กับชินกฤตที่มองมาอย่างขำๆ

“นิสัยฉอเลาะเหมือนใครกันนะไอ้หลานชาย”

“พระบิดาไง อินได้มาเต็มๆ”

อิน หรือ รณพักตร์ อมาตยสูร ดีกรีผู้บริหารคนใหม่ไฟแรงที่กลับมาเพื่อช่วยสานต่อธุรกิจของครอบครัว แถมยังเป็นลูกชายคนเดียวของอสุเรนทร์ อมาตยสูร ประธานบริษัท RAVANA Ent. ทว่าช่างมีน้อยคนนักที่รู้ว่าเขาคือลูกของชายหนุ่มที่รั้งอันดับหนึ่ง Handsome Man Award สามสมัยซ้อน ไม่ใช่อสุเรนทร์อยากปิดบังเรื่องที่รณพักตร์เป็นลูกชายของเขา หากรณพักตร์เองต่างหากที่เป็นคนห้ามเอาไว้

‘หน้าตาพระบิดากับหน้าตาอินในตอนนี้ ไม่มีใครเขาเชื่อกันหรอกว่าเราสองคนเป็นพ่อลูกกัน ถ้าจะคิดก็คิดว่าเป็นน้องชายเสียมากกว่า เพราะฉะนั้นปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ บางทีการปกปิดความลับเรื่องของอินไว้อาจส่งผลดีกับพระบิดาในอนาคตก็ได้’

นี่จึงเป็นข้อตกลงกันระหว่างพ่อและลูก จะไม่มีการพูดเรื่องนี้จนกว่าอสุเรนทร์ต้องการบอกนางสีดาคนงามด้วยตัวเอง

“อากฤต รู้หรือเปล่า พระบิดาอยู่ที่ไหน ทำไมถึงยังไม่กลับมาบ้านอีก”

“มาก็ถามถึงพระบิดาเลยนะ ถามอาก่อนดีไหมเจ้ายักษ์พันธุ์เตี้ย” ชินกฤตอมยิ้ม

“โธ่ อากฤตก็....” รณพักตร์ฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี “อาสบายดีหรือเปล่าครับ”

“เฮ้อ ก็ไม่ค่อยสบายหรอก” ส่งกระเป๋าทำงานและรองเท้าให้คนรับใช้ไปเก็บ “อาแทบไม่มีเวลาพักผ่อนเลยหลานรัก ช่วงนี้โหมทำงานหนักถึงรุ่งเช้าตลอด”

“ทำไมล่ะครับอา มีคนติดต่องานบริษัทเราเยอะขึ้นหรือไง” รณพักตร์ขมวดคิ้วถาม

“เปล่าหรอก พ่อหลานน่ะทิ้งงานแล้วหนีไปเกี้ยวพาราสีแม่หญิงในดวงใจ สุดท้ายงานทั้งหมด หลานคิดว่าใครต้องรับผิดชอบ...อาไง รองประธานบริษัทที่ประธานบริษัทไม่คิดจะเหลียวแล”

ร่างเล็กส่ายหัวกึ่งสงสารกึ่งขำขัน ใช้สองแขนกอดท่อนแขนเรียวของชินกฤตแล้วเอาแก้มถูไถไปมาราวแมวน้อย “คุณอาของอินช่างน่าสงสารจัง อินคงต้องสละเวลาอันมีค่าไปช่วยสักหน่อย”

“ให้จริงเถอะเจ้าอิน”

“ว่าแต่แม่หญิงนี่ใช่นางสีดาหน้าสวยหรือเปล่าครับ...โอ้ว อร่อยดีจริง” รณพักตร์ถามขณะหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟานุ่มนิ่มในห้องนั่งเล่น หยิบถาดขนมที่แม่บ้านยกมาเสิร์ฟขึ้นวางบนตัก อ้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

“แล้วเราคิดว่าใช่ไหมล่ะ” ชินกฤตย้อนถาม

“โหย ต้องใช่ดิอา พระบิดาเนี่ยเคยสนใจหญิงคนอื่นด้วยหรือนอกจากสีดาเวอร์ชันร้อยปีก่อน...แล้วนางเป็นยังไง รูปร่างสะโอดสะองเลิศสะแมนแตนเหมือนเดิมปะ”

ชินกฤตพยักหน้ายิ้มรับ นึกจินตนาการถึงร่างสูงเพรียวร่ายรำบนเวที

“สวยสิ สวยราวประติมากรรมชั้นเอกจากบรมครูผู้รังสรรค์งานศิลป์ แต่น่าเสียดายไปหน่อย ดันเกิดมาเป็นชายหาได้เกิดเป็นหญิงเนี่ยแหละ อาว่าถ้าได้เกิดเป็นหญิงคงงามหยดย้อยชนิดคนที่งามที่สุดในโลกยังต้องชิดซ้าย”

รณพักตร์ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “เรื่องเพศอินคิดว่าไม่ใช่ข้อสำคัญ พระบิดาเลือกมองจิตวิญญาณภายในของนางมากกว่าภายนอก ต่อให้เป็นเกย์ เป็นทอม เป็นสาวประเภทสอง พระบิดาก็รักเหมือนเดิม”

คนเป็นอาเบิกตาลุกวาวอย่างถูกใจ “พูดได้ดีนี่รณพักตร์ ไม่น่าเชื่อคนอย่างเจ้าจะพูดจามีเหตุมีผลกับเขาเป็นด้วย”

“นี่ใครครับ นี่ รณพักตร์ผู้หล่อและปราดเปรื่องในสามโลก ถ้าอินยังเลือกใช้แต่อารมณ์ตัดสินปัญหาอย่างเมื่อก่อน จะมีสมองไว้ใช้เพื่ออะไร แค่คั่นหูหรือ... เหอะ อินคงกลายเป็นคนที่หล่อและโง่ที่สุดในโลกแน่”

“หล่อหรืองาม คำสองคำมีเส้นกั้นขั้นบางๆอยู่นะหลานรัก”

“อากฤต!”

ชินกฤตหัวเราะ วางมือแหมะบนหัวหลายชายแล้วออกแรงขยี้ด้วยความเอ็นดู เจ้ารณพักตร์จะรู้ตัวบ้างไหม ยิ่งเวลาเดินผ่านไปนานเท่าไหร่ ความสง่าสมชายชาตรีกลับถูกความงามเยี่ยงสตรีบดบังจนเกือบมิด รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ผิวขาวนวล นัยน์ตาเรียวมีน้ำหล่อเลี้ยงสะท้อนแสงเป็นประกาย แลดูเย้ายวนอย่างน่าประหลาด

เมืองฝรั่งกินอยู่อย่างไร เหตุไฉนเจ้าอินถึงสวยวันสวยคืน

“แล้วเรื่องคู่แข่งเราล่ะอา พวกมันยังลอบกัดเราอยู่หรือเปล่า”

“พวกไหนล่ะ”

“ถามได้...จะใครเสียอีก ก็นายพระรามแปดคู่แค้นแสนรักของพระบิดาไง”

“เขาชื่อราเมนทร์...เฮ้อ ก็เหมือนเดิมแหละเจ้าอิน แต่ตอนนี้ออกจะดุเดือดขึ้นมาหน่อยเพราะทั้งท่านพี่ทศแลราเมนทร์เจอนางแล้วทั้งคู่”

“เป็นศึกชิงรักหักสวาทที่ไม่ธรรมดา งั้นผมขอร่วมแจมด้วยคน ไม่ได้ประมือมานาน” พูดพร้อมหักนิ้วดัง กร๊อบ ราวประกาศให้รู้โดยทั่วกัน รณพักตร์พร้อมลุยขย้ำฝ่ายศัตรูเต็มที่

“ระวังจะโดนฝั่งนั้นเล่นงานเอา”

“อย่างอินเล่นไม่ง่ายนะขอบอก”

“งั้นก่อนจะเล่น อันดับแรกมาช่วยงานที่บริษัทก่อนเลย อาจะบ้าตายกับงานเอกสารกองโตอยู่แล้ว คิดผิดคิดถูกเป็นรองประธานบริษัท รู้อย่างนี้อาขอใช้สิทธิ์เป็นที่ปรึกษาทำนายดวงชะตาบริษัท แล้วนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่บ้านให้สบายใจดีกว่า”

“โอเคๆ เดี๋ยวอินจะช่วยอากฤตดูแลบริษัทแทนพระบิดาเอง ดีกรีนักเรียนนอก เกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้านบริหารธุรกิจอย่างผมพร้อมรับใช้ด้วยความเต็มใจ...ปล่อยให้โคแก่เกี้ยวพานแม่โคอ่อนพันธุ์ดีไปเถอะครับ ถ้าพลาดชาตินี้ไปอีกซวยเลยนะอา”

“ไม่หรอก ลงเอยกันในชาตินี้แหละ”

“สรุปพระบิดาได้นางสีดาปะ”

“อนาคตมันเป็นสิ่งไม่แน่นอน รอดูของจริงดีกว่า”

“พูดอย่างกับพระบิดาจะแพ้มัน”

ชินกฤตแค่อมยิ้ม “ปัจจุบันยังเปลี่ยนได้ แล้วนับประสาอะไรกับอนาคตล่ะ”

ภาพนิมิตที่ชินกฤตเห็นมันเป็นเพียงภาพเลือนรางที่เขาไม่คิดจะใส่ใจ เพราะมันไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้อนาคตของคนทั้งสามคน มันก็แค่เป็นเส้นทางเส้นแรกที่สามารถถูกตัดหรือปรับแต่งให้เลี้ยวกลับหรือหักมุมไปทางอื่นได้ เพราะการมีอยู่ของตัวเขา ผู้มีญาณทิพย์รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า จึงทำให้อีกฝ่ายเริ่มไม่ไว้วางใจและหวาดกลัว

ชินกฤตไม่ใช่ยักษ์จิตใจเหี้ยมโหดที่คิดจะทำเพื่อชัยชนะของเผ่าพงศ์ แต่เขาอยากทำเพื่อความสุขของพี่ชายร่วมสายเลือด สำหรับการทนรอมานานนับพันปีโดยไร้คนรักข้างกายถือเป็นความทรมานสูงสุดของพญารากษส และนี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ชายหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาช่วยอย่างเต็มตัว เขาไม่เคยคิดว่าคนคนหนึ่งจะสามารถรอใครได้นานถึงเพียงนี้  แต่อสุเรนทร์กลับทำมันสำเร็จ เพื่อคนในครอบครัวแล้วชินกฤตาพร้อมยอมทำทุกอย่าง พยายามช่วยทุกวิถีทางเพื่อให้ทั้งคู่ได้ครองรักกัน ต่อให้ต้องผิดคำมั่นสัญญาที่ลั่นไว้กับพระลักษณ์เมื่ออดีตกาล รบรากับฝ่ายราเมนทร์ถึงขั้นตัวตาย เขาก็ยอมทั้งสิ้น

เปมทัต...เธอช่างเกิดมาเพื่อให้ชายได้แย่งชิงกันเสียจริง



อสุเรนทร์ยืดตัวเต็มความสูง ลากนัยน์ตาสีมรกตดวงจรัสไปยังร่างที่นอนกอดหมอนข้างหลับตาอย่างมีความสุขไม่ได้รับรู้เรื่องรู้ราวอะไรต่อจากนี้เลย

หน้าต่างที่เปิดกว้างออกไปทำให้เห็นบรรยากาศภายนอกถูกปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่สีเขียว มีลมพัดเย็นระเรื่อ ใบไม้ปลิวไสวล่องลอยไปสายลมอ่อน หากอสุเรนทร์ไม่ได้ตาฝาดหรือแก่จนสุกงอมมองภาพทุกอย่างฝ้า ท้องฟ้าที่เคยเงียบสงบพลันแปรปรวน ลิงเผือกตัวหนึ่งพุ่งกระโจนเผ่นโผนออกมาจากต้นไม้ใหญ่


เขี้ยวแก้ว กุณฑล* แลขนเพชร
หาวเป็นดาวเป็นเดือน
ถ้าถูกฆ่าตาย เมื่อลมต้องกาย ก็ฟื้นคืนดังเดิม

*กุณฑล = ตุ้มหู


ลิงเผือกชักตรีเพชรออกจากหน้าอกมากวัดแกว่งสำแดงเดช เขี้ยวแก้วส่องแสงแวววับเข้าตาอย่างท้าทาย ชายหนุ่มมองด้วยแววตาเรียบนิ่ง พร้อมแสยะยิ้มร้าย

“กล้ามากที่มาที่นี่ ทั้งที่ข้ายังอยู่”

การปรากฏตัวของเจ้าลิงเผือกตัวแสบหนุมาน ที่เปลี่ยนชื่อให้ทันสมัยขึ้นเป็นกบินทร์ สร้างความรำคาญใจให้อสุเรนทร์มิใช่น้อย การที่มันรู้ที่อยู่เปรม ราเมนทร์ก็ต้องรู้เช่นกัน เพราะเหตุนี้ไงล่ะเขาถึงต้องรีบตีสนิทกับเปรมและครอบครัวโรจนวาทิตย์ให้เร็วที่สุด ใครบอกพระรามเป็นคนดี แตกต่างกับยักษ์ทศกัณฐ์ผู้ชั่วร้าย มันผู้นั้นจงก้าวเท้าออกมาตบกับเขาประเดี๋ยวนี้...พวกมนุษย์ตัวจ้อยนี่ไม่ค่อยรู้เรื่องกันบ้างเลย มัวหลงเชื่อแต่สิ่งผิดๆ ต้องลองให้ปะหน้ากันสักสหัสวรรษหนึ่งอย่างเขากระมัง จะได้รู้พ่อพระรามแสนดีตาโตนิสัยเป็นเช่นไร

อสุเรนทร์คืนร่างเดิมครั้นยังเป็นทศกัณฐ์ผู้มีกายสีเขียวกำยำ เครื่องทรงชุดใหญ่ปักด้วยดิ้นทองดิ้นเงินแวววับตระการตา ปากพึมพำท่องมนต์บางอย่าง แสงสีทองเรืองรองก็สว่างวาบ ครอบคลุมทั่วทั้งห้องนอนของเปรมและบ้านทั้งหลังราวกับมันเป็นเครื่องคุ้มกันอันตรายที่อาจจะเกิดนับจากนี้

แผ่นหลังเหยียดตรงสง่างาม ทองกรและกำไลข้อเท้าส่งเสียงดังกลบความเงียบยามร่างพญารากษสเหาะเหินเดินอากาศไปทางลิงเผือกด้วยแววตาไม่เป็นมิตร

“เจ้ามาทำกระไรที่นี่เจ้าลิงเผือก”

“มาก็ดูไอ้ยักษ์ตนหนึ่งที่คิดจักครองนางของผู้เป็นนายแห่งข้าอย่างไรเล่า เครื่องหน้าอัปลักษณ์ อ้วนตุตะราวหมี ยังมีหน้ามาต่อกรกับองค์รามผู้ทรงสง่าของข้าอีก” กบินทร์ย่อตัวแล้วเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ หากอสุเรนทร์กลับยิ้มขำในความโอ้อวดของมัน ถ้าอย่างเขาเรียกอัปลักษณ์ มนุษย์ทั่วแดนโลกาคงอัปลักษณ์กันหมด

“อย่ามั่นหน้าให้มากนัก ประเดี๋ยวอาจเจอลูกเตะสะท้านโลกันต์”

“คิดว่าข้ากลัวเจ้าหรือไงทศกัณฐ์”

“จุ๊ๆๆ” นิ้วชี้ยาวประดับประดาแหวนทองแกะสลักลดลายกนกยกขึ้นแนบริมฝีปาก “อย่าเสียงดังไป เกรงพ่อเปรมเมียข้าจักจับไข้นอนซมหนา หากต้องตื่นมาหลังจากเราแล่นเรือสำเภาเข้าฝั่งด้วยกันมาทั้งคืน”

“เจ้ามันโป้ปด!”

“รู้ได้อย่างไรข้าโป้ปด นี่เจ้ามิได้เห็นข้ากับพ่อเปรมอิงแอบแนบชิด แล่นสำเภาผ่านมรสุมขึ้นไปสู่สวรรค์ชั้นฟ้าท่ามกลางแสงจันทร์ดอกรึ” พญารากษสหนุ่มทำหน้าเศร้าอย่างเห็นใจ “แหมๆ น่าเสียดายแทนเจ้าจริงเทียว แต่จักให้ข้าเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นก็พอได้อยู่ เจ้าอยากฟังไหมเล่า จักได้นำไปกราบทูลนายเหนือของเจ้าได้ถูกแบบละเอียดเจาะลึก ถึงพริก...ถึงขิง...” 

“ทศกัณฐ์” กบินทร์คำรามหนัก

“กลัวลืมชื่อข้าหรืออย่างไรถึงได้เรียกมันซ้ำไปซ้ำมา”

“เห็นทีข้าคงต้องปลิดชีวิตเจ้าเพื่อนำไปถวายแด่พระรามเสียแล้ว”

“ถ้าทำได้ก็เอา”

ใบหน้าทรงอำนาจแฝงความเหี้ยมโหดในดวงตาเรียวคม กบินทร์ในชุดทรงสีขาวคาดแดงปักเลื่อมดิ้นเงินเหาะปราดเข้าหาอสุเรนทร์ กวัดแกว่ง ตรีเพชร อาวุธคู่กายพุ่งทะยานหมายบั่นคอศัตรูให้ขาดสะบั้น ทว่ายังไม่ทันถึงตัวพญารากษสก็แผลงฤทธิ์ ปรากฏกรสิบพักตร์ ยี่สิบกร หยุดยั้งตรีเพชรเทพของกบินทร์ได้อย่างง่ายดาย อสุเรนทร์พลิกตรีเพชรสำรวจดูนิดหน่อยก่อนส่งมันกลับคืนสู่เจ้าของเดิม หากจะพูดแบบโอ้อวดคือ การจะทำลายอาวุธเทพด้วยกำลังเพียงหยิบมือช่างง่ายนิดเดียว แต่แบบนั้นจะไปสนุกอะไรล่ะ อสุเรนทร์ยังอยากเล่นอยู่ ไม่ได้ออกกำลังมานาน เล่นผ่อนคลายอารมณ์สักตั้งน่าจะดีไม่ใช่น้อย

“เจ้ามีของแค่นี้ฤาเจ้าลิงเผือก ไม่น่าสนุกเลย”

“ข้ามีดีกว่าที่เจ้าคิด”

“งั้นก็บุกมาสิ รอช้าอยู่ไย”

“ศึกของข้ากับเจ้าเริ่มตรงนี้ต่างหาก!”

เคร้ง!

การต่อสู้ระหว่าพญารากษสและพญาวานรเผือกเริ่มต้นด้วยเสียงอึกทึกกึกก้องกัมปนาทไปทั่วผืนนภาอันมืดมิด เวลานี้ไม่มีใครเหนือไปกว่าใคร อสุเรนทร์มียี่สิบกร ถืออาวุธครบครัน โจมตีครั้งหนึ่งสร้างความเสียหายเป็นหย่อมใหญ่ หากกบินทร์ได้เปรียบในความเร็ว ทั้งถีบทั้งกัด แผลงฤทธิ์ หลบหลีกวูบไหวราวสายลม แตะต้องไม่ได้

ยักษ์รึจะสู้บุตรของพระพายผู้แกร่งกล้าได้ ไม่มีทาง!

เพียงอึดใจเดียว กบินทร์ก็บุกมายืนหน้าพญายักษ์กายสีเขียว โจนทะยานขึ้นถีบอีกฝ่ายกระเด็นลงไปเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้น อสุเรนทร์กุมท้องใช้หอกฟาดกบินทร์จนเซซวน  มันผุดลุกตั้งหลักรวดเร็ว ยื่นหางยาวสีขาวหวังตวัดจับพญารากษส ทว่าต้องตีเข่าอย่างเจ็บใจเพราะหนึ่งในยี่สิบกรของอสุเรนทร์ดันปัดการเคลื่อนไหวของมันได้ทันแถมยังดึงขนที่ปลายหางให้เจ็บเล่นอีกต่างหาก 

“โอ้ย! ขนข้า!!”

“อ้าว นี่ข้าดึงผิดรึ เมื่อครู่ข้าเห็นว่ามีเห็บหมัดเกาะเลยคิดจักดึงออกให้ ไม่คิดว่าจักดึงขนเจ้าติดมือมาด้วย”

“สะเออะมิเข้าเรื่อง”

“ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ”

ต่างชาติพันธุ์ต่อสู้กันอย่างดุเดือด แรงปะทะกันส่งเสียงกัมปนาทไปทั่วบริเวณ อสุเรนทร์เอี้ยวตัวหลบไปทางด้านซ้าย ย่อตัวหลบความแหลมคมของตรีเพชร ใช้กรที่สามปัดหมัดของกบินทร์ อีกกรกระแทกไปที่หัวไหล่เล็กแล้วรวบขาจับฟาดลงกับแผ่นหินก้อนโตจนมันแตกละเอียดเป็นผุยผง หากกบินทร์กลับไม่ระคายผิวชักตรีรุกไล่ ผุดลุกสู้ยิบตา

ฝ่ายยักษ์ฝ่ายลิงย่ำลงบนผืนหญ้าชอุ่มแผ่วเบาด้วยปลายเท้า เดินวนรอบเป็นวงกลม สำรวจท่าทีของฝ่ายตรงข้ามอย่างมีชั้นเชิง อสุเรนทร์เช็คคราบเลือดที่มุมปาก กุมช่องท้องที่เป็นผลมาจากการต่อสู้ ไม่ต่างกันนักกับกบินทร์ที่ฟกช้ำระบมไปทั่วร่าง ก่อนฝ่ายพญาวานรเองจะเป็นคนบุกเข้ามา ทั้งคู่ปล่อยหมัดใส่กันไม่ยั้ง ผลัดกันรุกผลัดกันรับไม่มีใครยอมใคร อสุเรนทร์เอี้ยวตัวหลบด้านขวา หากความเร็วประดุจลมพายุโหมกระหน่ำทำให้เขาเผลอ เปิดช่องโหว่ให้กบินทร์เข้ามาโจมตี พญาวานรกระโดดขาคู่ถีบหน้าท้องแกร่งอย่างรุนแรง ส่งผลให้อสุเรนทร์ล้มลงไปนั่งกับพื้นอีกครั้งหนึ่ง ความแรงของลูกถีบทำภายในปั่นป่วนจวนสำรอก ตวัดตาจ้องเขม็งฝ่ายศัตรูที่กำลังเต้นโยกย้ายไปมาอย่างชอบใจ ย่อตัว เอียงหัวเกาขนที่ลำคอด้านขวาอย่างเมามัน

คันมากเดี๋ยวส่งไบติคอล น้ำยากำจัดเห็บหมัดไปให้

“มีดีแค่นี้ฤาทศกัณฐ์” กบินทร์พูดเยาะเย้ย

“ของดีไม่จำเป็นต้องพูดเยอะ”

อสุเรนทร์กวัดแกว่งหอกซัดสำแดงฤทธิ์เดชจนอากาศปั่นป่วน รอบร่างกายสูงกำยำเปล่งแสงสีทองประกายออกมาไม่ขาดสาย เจิดจ้า สว่างวาบราวกับเปลี่ยนกลางคืนให้เป็นกลางวัน เสียงสนั่นสั่นไหวดังก้องกังวานไกลถึงแดนห้องหกสวรรค์ชั้นฟ้า*ยามพญารากษสยกฝ่าเท้ากระทืบลงบนผืนพสุธา ดวงเนตรลิงเบิกกว้าง เสียการทรงตัวไปนอนเกลือกกลิ้งบนพื้นใกล้ต้นไม้ใหญ่ อาณาบริเวณกว้างขวางล้วนสั่นคลอนด้วยพละกำลังมหาศาล ทุกอย่างเกิดความเสียหายรุนแรง ยกเว้นเสียแต่บ้านเรือนไทยหลังงามเท่านั้นที่ยังคงเป็นปกติดีจากการร่ายมนต์ป้องกันของอสุเรนทร์

*ห้องหกสวรรค์ชั้นฟ้า = สวรรค์ ๖ ชั้น ได้แก่ ๑. จาตุมหาราชิก ๒.ดาวดึงส์ ๓.ยามะ ๔.ดุสิต ๕.นิมมานรดี ๖.ปรนิมมิตวสวัดดี


พญาวานรเผือกหอบหายใจถี่ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อรู้สึกถึงของเหลวอุ่นไหลยาวเป็นทางตั้งแต่ช่วงหัวไหล่จนถึงข้อมือ หอกซัดอันแหลมคมปักคาหัวไหล่ทะลวงทะลุโคนต้นไม้ เครื่องทรงสีขาวถูกย้อมให้กลายเป็นสีแดงสดโลหิตแดงฉานแผ่กระจายเป็นรัศมีวงกว้าง ความเจ็บแล่นเข้าสู่โสตประสาท กบินทร์ยกมือกุมแผลด้วยความโกรธเคือง

ต...ตั้งแต่เมื่อใดกัน!!!

ทุกก้าวที่อสุเรนทร์เหยียบย่ำ ก่อเกิดเป็นกองไฟขนาดย่อม เผาผืนหญ้าให้ไหม้เกรียมในชั่วพริบตา นัยน์เนตรมรกตเรืองรองทรงอำนาจดุจเจ้าแห่งโลกย* กบินทร์กระอักเลือดคำโตเมื่ออีกฝ่ายยกฝ่าเท้าใหญ่เหยียบย่ำลงบนหน้าอกแล้วบดขยี้ซ้ำไปซ้ำมา
 
*โลกย = โลก

กบินทร์ไม่คิดเลยว่าพญารากษสผู้นี้ยังคงความแข็งแกร่งไว้เฉกเช่นเดิม แถมยังมีลูกเล่นใหม่เข้ามาเพิ่มจนต้องพลาดเสียทีอย่างไม่น่าให้อภัย และเพราะความแข็งแกร่ง ความน่ายำเกรงเหล่านั้นทำให้พญาวานรเผือกรู้สึกไม่ชอบใจเอาอย่างแรง

ปลายเท้าบดขยี้เข้าไปอีก

“อึก เจ้า!”

“เห็นฤทธิ์รากษสอัปลักษณ์อย่างข้ารึยัง” ก้มตัวลงมา มองหน้าอย่างท้าทาย “ฝากคาบข่าวไปถึงราเมนทร์ด้วยว่า ชาตินี้ต่อให้มันคิดแย่งชิงพ่อเปรมไปจากข้า คิดใช้แผนสกปรก ลอบเล่นงานอย่างที่แล้วมา...จงจำใส่กบาลเอาไว้เถิด ข้า...ทศกัณฐ์ผู้นี้จักมิยอมพ่ายแพ้ต่อกลลวงมนุษย์หน้าซื่อใจคดอย่างพวกเจ้าอีก นี่เป็นการเตือนครั้งสุดท้าย หวังว่าสมองเจ้าคงมิได้มีไว้ประดับกลางกบาลอย่างเดียว คงรู้ว่าข้าหมายถึงสิ่งใด”

“...”

ดวงตาวานรแข็งกร้าว หากคิดไม่ผิด นี่คงเป็นสาสน์ท้ารบจากเผ่าพงศ์ยักษ์เป็นแน่แท้ และจะต้องเป็นศึกชิงชัยที่ใหญ่ที่สุดในรอบหนึ่งสหัสวรรษ






ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ต่อค่าาาาาาา





ความเย็นของลมในคืนนี้ไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกร้อนรุ่มในใจของราเมนทร์ดับลงได้ เครื่องหน้าคมคายเงยมองพระจันทร์ดวงโตลอยเด่นบนท้องนภาท่ามกลางหมู่ดาวระยิบระยับ ไม่ว่ายามใดที่มองดวงบุหลัน* ใบหน้างามของชายผู้นั้นมักปรากฏอยู่เมื่อเชื่อวัน เพียงพบสบตาแค่ครั้งเดียว กลับทำให้หัวใจกษัตริย์อย่างเขาถึงกับใจเต้นไม่เป็นส่ำ และไม่รู้ด้วยครั้งนี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ ที่รามเมนทร์ได้ตกหลุมรักคนคนเดียวมานานนับพันพันปีครั้งแรกครั้งเล่า

*บุหลัน = เดือน, พระจันทร์ 


อดอะไรจะเหมือนอดที่รสรัก
อกจะหักเสียด้วยใจอาลัยหา
ไม่เห็นรักหนักดิ้นสิ้นชีวา
จะเป็นบ้าเสียเพราะรักสลักทรวง
-พระอภัยมณี สุนทรภู่-


ท้าวชนกเมื่อเห็นว่าสีดาถึงวัยจะมีคู่ครองแล้ว จึงตัดสินใจจัดพิธียกศร มหาธนูโมลี ของพระอิศวร เพื่อหากษัตริย์ผู้มีบุญาธิการมาอภิเษกสมรสกับสีดา บุตรบุญธรรมของตน

และในพิธีนี้พระราม พระลักษณ์ได้ติดตามอาจารย์มาชมมหาธนูโมลีด้วย ตามเสียงลือเสียงเล่าอ้าง พระอิศวรเคยใช้ปราบยักษ์ตรีบูรัม ผู้หวังเป็นใหญ่ในสามโลก จึงคิดมาพิสูจน์ด้วยตาตนเอง

ขณะพระรามกำลังเดินชมความยิ่งใหญ่ของเมืองมิถิลา สายตาก็บังเอิญมองไปที่หน้าต่าง มิใคร่รู้ว่าเหตุใดจึงมอง ซึ่งในขณะนั้นสีดาผินหน้ามาพอดี ทั้งสองจึงได้สบตากัน พระรามจึงหยุดมองนางอยู่นานสองนาน ด้วยรูปร่างโอดสะองค์ เอวเป็นเอว เครื่องหน้าล้วนปั้นเสริมเติมแต่งราวกับนางมิใช่มนุษย์ หากจะเทียบกับนางอักสรบนสวรรค์ นางผู้นี้ยังงามล้ำกว่า

บุพเพสันนิวาสดลใจให้ทั้งสองรักกันตั้งแต่แรกพบ...

“เสด็จพี่รามพระเจ้าค่ะ เป็นกระไรฤาไม่”

พระรามที่ตกอยู่ในภวังค์ฟื้นคืนสติ หันมาตอบผู้เป็นพระอนุชาเสียงอ่อนโยน

“มิเป็นอันใด เดินทางต่อเถิดน้องข้า” แม้วาจากล่าวเช่นนั้น หากสายตากลับยังเหลียวมองนางสีดาจนสุดท้ายความห่างไกลทำให้ภาพนางแลลับอย่างน่าเสียดาย

ไม่ต่างกระไรกับนางผู้ผู้เลอโฉมนัก...

นิ้วเรียวงามดึงม่านไหมให้ปิดลง แก้มนวลเนียนผ่องระเรื่อกลายเป็นสีชาด*อ่อนๆเมื่อคิดถึงดวงตาคู้นั้น อยากจะยกยิ้ม ทว่านางกลับต้องเม้มเก็บเอาไว้เสียแน่น เกรงจะดูไม่งามนักเมื่ออยู่ต่อหน้านางสนองพระโอษฐ์ รวมถึงนางกำนัลทั้งหลาย

“ชายผู้นั้น...นมรู้ฤาไม่จ๊ะ ว่าเป็นโอรสจากเมืองใดกัน” สีดาเอ่ยถามแม่นมที่เลี้ยงตั้งแต่อ้อนแต่ออกด้วยจิตพิสมัย นางมิเคยเจอชายใดรูปงามเท่าคนผู้นี้มาก่อน

“พระองค์สนพระทัยหรือเพคะ”

“เปล่าสักหน่อย” ตอบเสียงอ่อน “ข้าแค่...ใคร่รู้เฉยๆ”

แม่นมปิดปากอมยิ้ม “รอให้ถึงวันยกศรมหาธนูโมลีเถิดเพคะ พระองค์จักรู้ทุกอย่างว่าเขาเป็นผู้ใด”


ในวันงานเหล่าผู้ร่วมท้าทายยกคันศรต่างกรูกันเข้ามายืนตรงหน้ามหาธนูโมลีอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เพราะใบหน้าอันงดงามยากหาหญิงใดเปรียบในสามโลกทำให้บรรดากษัตริย์จากทั่วทุกสารทิศต่างผลัดดันเข้ายกศร บ้างดึง บ้างงัดจนสุดกำลัง แต่กลับไม่มีใครทำให้ศรขยับได้เลยแม้แต่น้อย ท้าวชนกจึงสั่งให้พระลักษณ์ พระรามลองยกดู

พระรามปรารถนาตั้งจิตอธิษฐาน หากพระองค์เป็นเนื้อคู่ของนางสีดาขอให้ยกขึ้น

พระลักษณ์ที่เข้ามายกศรก่อนเห็นแรงเสน่หาที่พระเชษฐามีให้ต่อนางสีดาคนงาม จึงแค่หยั่งดูว่าหนักเพียงใด เมื่อพระลักษณ์จับ คันศรก็ขยับ จึงถอยออกมา พระรามเห็นเช่นนั้นจึงยิ้มและเข้ายกศรด้วยความปิติยินดี

ท้าวชนกดีใจเหลือแสนเมื่อหนึ่งในสองที่พระองค์พึงให้อภิเษกกับนางสีดายกธนูโมลีสำเร็จ นางสีดาแย้มยิ้มให้ว่าที่พระสวามี ใบหน้าที่เมียงมองกันในที่แสนไกล บัดนี้กลับอยู่ใกล้จนใจของนางเต้นหนัก แทบกระเด็นกระดอนออกจากอก มือใหญ่ประคองมือน้อย จรดริมฝีปากกลางเนื้อมือขาวนวล

มิมีสิ่งใดสำคัญเท่านางตรงหน้าอีกแล้ว ในที่สุดความปรารถนาพระองค์ก็เป็นจริง กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์พุ่งแตะจมูก มันช่างหอม...หอมจนพระรามหยุดยั้งชั่งใจไว้ไม่หวาดไม่ไหว


ในคืนวันอภิเษกสมรส วันที่พระรามรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ห้องโถงโอ่อ่า รายล้อมด้วยเทียนส่องแสงสว่างนับพันเล่ม เปลวเทียนปลิวพลิ้วไหวเอนไปเอนมาตามสายลม ดวงตาคมคายของพระรามจับจ้องนวลนางอันเป็นที่รักราวกับจะกลืนกินให้สมอุรา มือข้างหนึ่งช้อนคางกลมมน อีกข้างหนึ่งรวบเอวบางเข้ามาประชิดตนแล้วออกแรงผลักให้นอนราบลงกับเตียง

ดวงตาสบดวงตา

“สีดา”

“เพคะ” หญิงสาวตอยอย่างเอียงอาย

“เมื่อใดที่ได้ยินเสียงนี้ จงอย่าลืมว่าพี่คือพี่รามที่รักเจ้าหมดหัวใจ”

ริมฝีปากชายชาตรีลิ้มรสความหวานจากกลีบกุหลาบบางอย่างเนิ่นนาน ท่ามกลางดวงจันทร์และหมู่ดาวเป็นพยานรักให้ทั้งคู่ได้เสพสมอารมณ์หมาย


พลางอิงแอบแนบน้องประคองเคล้า        คอยต้องเต้าเต่งอุรามารศรี
พระเชยปรางค์ทางฉะอ้อนอ่อนอินทรีย์        ร่วมฤดีเดือนหงายสบายใจ

พลาหกเทวบุตรก็ผุดพุ่ง            เป็นฝนฟุ้งฟ้าแดงดังแสงเสน
สีขรินทร์ อิสินธรก็อ่อนเอน            ยอดระเนนแนบน้ำแทบทำลาย
-พระอภัยมณี-

*พลาหก = เมฆ หรือ ฝน
*สีขรินทร์ = เทียบเป็นเขาพระสุเมรุ, อิสินธร = เขารอบพระสุเมรุ



พระรามประคองร่างแน่งน้อยที่หลับตาพริ้มมีความสุขอย่างหวงแหน จมูกซุกไซ้ดอมดมกลิ่นบุษบงราวผึ้งภมรผู้หลงใหลในกลิ่นหอม มือร้อนลูบผิวกายเนียนละเอียดด้วยความปรารถนา

“หากพี่มิได้เคียงกายเจ้า เผ่าพงศ์อื่นก็อย่าหวังจักได้เชยชมเจ้าเช่นกัน”





“พี่ราม...พี่รามขอรับ”

ศุภลักษณ์เอ่ยทักเมื่อเห็นดวงเนตรของพี่ชายมีหยาดน้ำเอ่อคลอแทบล้นจากเบ้า สีหน้าราเมนทร์ตอนนี้ช่างเศร้าโศกา เขารู้สึกสงสารจับใจ

ราเมนทร์เป็นบุรุษทรงสง่างามสมเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์และมีใบหน้าที่หยุดสายตาได้ทั้งผู้คนและสรรพสัตว์น้อยใหญ่ ผิวกายขาวผ่องราวแสงจันทร์ในยามค่ำคืน ไม่ว่าจะอยู่ในเครื่องทรงแบบใดล้วนโดดเด่นไปเสียหมด  ราเมนทร์มีพร้อมทุกอย่างทั้งหน้าตา ฐานะ เงินทองล้นฟ้า ไหนจะหน้าที่การงานที่ครบเครื่องสมบูรณ์ หากยังขาดสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่เรื้อรังมานาน
คู่ครอง...

หากกล่าวถึงความรักของทศกัณฐ์ผู้มีต่อนางสีดา พญารากษสรักนางมากเท่าไหร่ ราเมนทร์รักนางยิ่งกว่านั้นหลายพันหลายหมื่นเท่าทวี

“พี่ว่าศึกนี้พี่ต้องแพ้อสุเรนทร์แน่ๆ”

“เหตุใดพี่จึงพูดราวยอมแพ้เช่นนั้น”

ราเมนทร์ยิ้มเศร้า “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม พี่มักจะก้าวตามหลังทศกัณฐ์ก้าวหนึ่งเสมอ พี่ท้อแท้และสิ้นหวังเหลือเกินลักษณ์ แถมเวลานี้นางยังดูเหมือนมีใจให้อสุเรนทร์ทั้งๆที่พี่ยังไม่ได้แม้แต่เอื้อนเอ่ย ใกล้ชิดนางเลยสักครั้ง พี่เหมือนทหารที่แพ้ตั้งแต่ยังไม่ออกรบ”

 “พี่...”

“เจ้าก็เห็น นางยอมให้มันจับตัว อ้อล้อหยอดคำหวานสารพัด ยอมมอบยิ้มอันมีค่าให้แก่มัน ทั้งๆที่พี่ควรเป็นคนได้รับมิใช่หรือ”

“ทุกอย่างเริ่มต้นจากศูนย์ นางไม่ใช่สีดาคนเดิม นางแค่มีจิตวิญญาณของสีดา ถ้าพี่มัวแต่มานั่งโศกเศร้าเคล้าน้ำตาเหมือนคนบ้า ชาตินี้ทั้งชาติก็อย่าหวังว่าจะได้นางกลับคืน”

น้ำตาชายหนุ่มหยดลงอาบแก้มทั้งสองข้าง ร่างกายสั่นเทิ้มเพราะความรัก ความโหยหา ราเมนทร์ไม่ต้องการความพ่ายแพ้ ไม่อยากเสียนางให้กับมหาบุรุษกายสีเขียวผู้ซึ่งเป็นคู่แข่ง ศัตรูคู่อาฆาต อสุเรนทร์เป็นปัญหาหลักปัญหาเดียวที่เขารู้สึกหนักใจที่สุด ถ้าหากไม่มีมัน เขาคงได้ครองรักกับสีดาไปตั้งแต่พันปีก่อน ไม่ต้องมานั่งรอคอยจวบจนปัจจุบันกาล

“หน้าตา ฐานะ นิสัย ความสามารถของพี่ ล้วนไม่ได้แตกต่างไปจากอสุเรนทร์สักนิด ได้โปรด...อย่าล่าถอยเหมือนพวกขี้ขลาดที่ทำได้แค่คิดแต่ไม่กล้าลงมือ...พี่รามที่ผมรู้จักเข้มแข็งกว่านี้มากนัก พี่ควรเชื่อมั่นในความรักของพี่ และผมก็เชื่อ...ภายใต้จิตวิญญาณของนางจะต้องเปิดรับพี่ในฐานะพระสวามีดังเดิม”

“ขอบใจนะลักษณ์”

“เก็บคำเหล่านี้ไว้บอกผมตอนชนะก็ยังไม่สาย”

ราเมนทร์หัวเราะในลำคอ ยิ้มแย้มด้วยรอยยิ้มอบอุ่นประดั่งแสงจันทรา คำพูดของน้องชายทำให้ม่านหมอกหนาทึบที่ห้อมล้อมรอบดวงตาค่อยๆเลือนหายไป ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่เหมือนดับมืดไปครั้งหนึ่งกลับพลันสว่างไสวอีกครั้ง

เพล้ง!

จู่ๆ เสียงคล้ายวัตถุบางอย่างแตกหล่นดังมาจากในห้องนอนของราเมนทร์ ทั้งสองรีบรุดวิ่งเข้าไปดูทันทีด้วยความตื่นตระหนกตกใจ

บานหน้าต่างถูกเปิดออกกว้างพร้อมกับแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาภายในห้องแรงกล้า ซึ่งทำให้พวกเขาเห็นร่างของพญาวานรนอนไร้สติตัวซีดเซียวอยู่บนพื้นเย็นเฉียบ เลือดไหลซึมออกจากปากแผลไหลนองพื้นเป็นแอ่ง

“กบินทร์!!”

เสียงแว่วดังผ่านโสตประสาทปลุกเรียกสติรับรู้ เปลือกตาค่อยๆ ปรือเปิด “พระราม....” พูดออกมาพร้อมกระอักเลือดคำโต
ราเมนทร์ทรุดนั่งข้างกายลูกน้องที่เปรียบเสมือนพี่น้อง คนในครอบครัว มือเอื้อมแตะแก้มขาวซีดแทบจะไร้สีเลือดอย่างเบามือ ตอนพลบค่ำเห็นบอกจะออกไปธุระ ซึ่งรามเมนทร์คาดไม่ถึงมาก่อนว่าธุระใดของกบินทร์ถึงกลับมาแล้วเจ็บหนักปางตายเช่นนี้

“ใครทำเจ้า”

“...”

“ข้าถามว่าใครทำ!” กดเสียงต่ำพร้อมใบหน้ามึนตึง

“ทศกะ....”

ปึง!!

ยังไม่ทันให้พญาวานรเอ่ยจนจบ ด้วยแรงหมัดทำให้พื้นหินอ่อนข้างกบินทร์แตกพังทลายเป็นวงกว้าง เศษหินชิ้นเล็กชิ้นน้อยระเบิดกระจายตัวคละคลุ้งขึ้นไปในอากาศ ศุภลักษณ์ที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆถึงกับกลืนน้ำลายอย่างฝืดเคือง ราเมนทร์เป็นบุคคลที่รักพวกพ้องยิ่งกว่าใคร การที่เขาเห็นคนสนิทชิดเชื้ออยู่ในสภาพเจียนตาย อารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ส่วนลึกจึงถูกปล่อยออกมาในรูปแบบโกรธเกรี้ยว เดือดดาลอย่างหาที่สุด แน่นอนไม่มีใครหยุดยั้งได้นอกจากตัวของเขาเอง

“ลักษณ์ พี่ฝากเจ้าช่วยดูแลกบินทร์ด้วย”

“พี่ราม...”

บัดนี้เปลวไฟแห่งความพิโรธได้สถิตในกายราเมนทร์เต็มเปี่ยม ดวงตาแดงก่ำของบุคคลที่ขึ้นชื่อความสุขุมเยือกใหญ่กลับแปรเปลี่ยนเป็นดุดัน น่ากลัว


“ในเมื่ออยากเปิดศึกกับข้านัก ข้าก็จะทำให้มันพ่ายแพ้แล้วมานอนตายอยู่แทบเท้า!”






เดี๋ยวนะเจ้าคะพระราม ได้ข่าวว่าส่งคนไปหาเรื่องเขาก่อนนะ(มีเข้าข้างพี่ทศอย่างแรง 555)

และก็ขอเปิดตัวพ่ออินของไรท์หน่อย เป็นตัวละครหนึ่งที่หลังจากนี้จะมีความสำคัญมากคนหนึ่ง ถ้าอยากรู้ว่าสำคัญยังไงต้องติดตามกันนะจ๊ะ
เม้น=กำลังใจ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน
ไว้เจอกันใหม่เน้อ บุยยยยย  :katai5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mam.nalok

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ทีมทศกันต์คะ อีพระรามนี่ส่งคนไปหาเรื่องเค้าแล้วยังจะไปว่าเค้าอีก นิสัยอันธพาลแล้ว

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

ตอนแรกก็หวาน........

กลางๆมาเริ่มโรมรัน

ตอนปลายนี่.........

ไม่เข้าข้างใคร

นั่งดูท่าทีก่อน

แบบว่าเป็นคนรักพี่ เสียดายน้อง

55+


ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
ท่าทางพระรามจะกลายเป็นคนพาลเสียกระมัง

ออฟไลน์ ทิวสนที

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 763
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
หนุมาน ไปเสนอหน้าและหาเรื่องก่อนเองนะจ๊ะ อวดอ้างว่าตนนั้นเก่งหนักหนา เก่งเทียบพญายักษ์ แพ้แล้วเป็นยังไงล่ะ

พระราม เจ้าไม่ใช่คนดีอย่างที่ใครหลายคนคิดเลย พาลคนอื่น ลูกน้องตัวเองผิดยังไปโทษท่านทศอีก

พระลักษมณ์ เป็นคนดีมีเหตุมีผลดี แต่อย่ามาดีแตกทีหลังนะไม่อย่างนั้นแม่จะตบให้!!!

พิเภก ปกติด่าเจ้าตลอดว่า ไอ้ทรยศ! แต่ตอนนี้รักเจ้า ที่เจ้ารักท่านทศมากจนยอมทำทุกอย่างเพื่อท่านทศ

อินทรชิต พ่อยักษ์เขี้ยวมะลิของฉัน ภพนี้ทำไมสวยอะไรถึงเพียงนี้ ว่างๆไปเมียพระลักษมณ์นะลูก

พ่อเปมรักท่านทศมากๆนะจ๊ะ :impress2: :impress2: :impress2:


ทีมทศกัณฐ์

ออฟไลน์ Laliat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
 :-[โอยๆๆๆ ศึกชิงนายจะบังเกิดแล้วเจ้าข้าเอ้ย รีบปูเสื้อจองขนอนเกาะขอบเวทีโดยพลัน

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
 
บทที่ ๖
[/size]




อสุเรนทร์พลิกภาพซึ่งมีตัวอักษรสลักหลังไว้ “พ.ศ. 2457 รำลึกแด่นาง” เขาละสายตาจากหลังภาพมาพินิจภาพของสตรีนางหนึ่ง อยู่ในกิริยายืนตรง ใบหน้าฉีกยิ้มสดใสดวงตาเป็นประกายดุจดวงดาว ผมสีดำขลับยาวปะบ่าดัดลอนสลวย อยู่ในชุดเดรสลายลูกไม้พร้อมสายผ้าคาดศีรษะประดับมุกโอบล้อมด้วยเพชร ข้อมือขวามีกำไลวงหนึ่ง ลวดลายฉลุสุดวิจิตรบ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก

อสุเรนทร์หยุดชะงักเมื่อคิดอะไรได้บางอย่าง วางแผ่นรูปขาวดำไว้ข้างตัวแล้วจึงหยิบกล่องไม้กล่องหนึ่งขึ้นมาจากกำปั่น ...เขาเปิดมันออก

ภายในกล่องไม้บุด้วยผ้าสักหลาดสีน้ำตาลอ่อนทั้งสี่ด้านพร้อมฝากล่อง แม้จะซีดไปตามกาลเวลาแต่ก็ยังช่วยส่งให้กำไลเส้นเล็กที่นอนแน่นิ่งภายในกล่อง ส่องประกายสู้สายตาผู้แอบมองได้อย่างชัดเจน...อสุเรนทร์หยิบมันขึ้น ฉีกยิ้มเศร้าเมื่อคิดถึงภาพในวันวาน

‘อรต้องขอประทานโทษคุณทศด้วยนะคะ ที่อร...ไม่สามารถรับสิ่งมีค่าชิ้นนี้จากคุณทศได้ อรผิดเองที่ไม่พูดให้ชัดเจน แต่คุณทศยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่ออรเสมอ อรเชื่อนะคะ อนาคตข้างหน้าคุณทศจะต้องเจอผู้หญิงที่ดีพร้อมกว่าอรแน่นอน’

คำพูดตัดเยื้อใยที่เคยทำให้เขาเจ็บปางตาย วันนี้กลับรู้สึกดีไม่น้อยที่หล่อนไม่ได้เลือกเขา เพราะหากหล่อนเลือก เขาคงไม่ได้มาเจอคนที่คู่ควรกว่าและเหมาะสมกว่าอย่างพ่อเปรม

เสียงกุกกักจากด้านนอกเรือนเล็กทำให้อสุเรนทร์หันไปมอง หากในมือยังคงถือกำไลเส้นนั้นอย่างหวงแหน ประตูห้องถูกเปิดออกโดยชายหนุ่มในเสื้อยืดสีฟ้าอ่อนลายขวางกางยีนส์สามส่วน รณพักตร์กอดอกเอนพิงขอบประตูห้องนอน จ้องบุคคลที่สะท้อนผ่านนัยน์ตาอย่างหมั่นไส้

“ดูมีความสุขนะครับ”

“กระไรของเจ้า”

ร่างเล็กไม่ตอบกลับมองไปยังกำไลที่อสุเรนทร์ถืออยู่ เดินมานั่งลงข้างๆแล้วตั้งใจจะจับดูสักครั้งแต่ก็ต้องชะงักมือไว้

“เจ้าอิน” อสุเรนทร์ห้ามโดยการย้ำเรียกชื่อเสียงเข้ม

“ห้ามอะไรนักหนา อินขอดูบ้างไม่ได้หรือไง”

“ไม่ได้” คนหวงของปฏิเสธเสียงแข็ง

“พระบิดาใคร ขี้หวงว่ะ ดูนิดดูหน่อยก็ไม่ได้”

“นี่ไง เจ้าก็ดูมันอยู่เต็มสองตา ยังไม่พอใจอีกเรอะ”

“โห่...เดี๋ยวเถอะ คิดจะเล่นกับอินใช่ไหม ได้...ถ้าพระบิดาเผลอเมื่อไหร่ อินจะแอบขนเอาไปไว้ในห้องอินให้หมดเลย”

อสุเรนทร์หัวเราะชอบใจที่ได้ยินลูกชายพูดย้อนตนเอง เรื่องขี้งอน อยากให้พ่ออ้อน พ่อรัก ต้องยกให้รณพักตร์เป็นที่หนึ่ง ต่อให้ช่วงเวลาเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน วัฒนธรรมเปลี่ยน เจ้ายักษ์ต้วมเตี้ยมก็ยังคงทำตัวเป็นเด็กติดพ่อเหมือนเดิม

“แล้วนี่พระบิดาจะไปไหน แต่งตัวหล่อเชียว”

“ไปดูซ้อมบทละคร อยากไปด้วยกันไหมล่ะ”

“หทัยทศกัณฐ์ของพระบิดาน่ะหรือ”

“ใช่”

“แบบนี้อินก็ต้องได้เจอนางสีดาหนุ่มของพระบิดาน่ะสิ” รณพักตร์พูดด้วยสีหน้าเบิกบานใจ “จะไปดูเสียหน่อย สวยราวนางฟ้านางสวรรค์อย่างที่อากฤตเคยบอกหรือเปล่า”

“อากฤตของเจ้าเกี่ยวอะไรด้วย” ดวงตาคมกริบหรี่มองลูกชายอย่างคาดคั้นและจับผิด ช่างเป็นผู้ชายที่ขี้หวงกระไรเช่นนี้ กับพี่น้อง ลูกเต้าด้วยกันยังทำเป็นหึงหวง

“อาแค่บอกว่าพ่อเปรมของพระบิดางามแค่ไหนเท่านั้นเอง พระบิดาจ้องงาบเขาเป็นเมียนานขนาดนี้ อากฤตคงไม่กล้าแย่งว่าทีเมียพี่ชายตัวเองหรอก”

“แล้วไป...” อสุเรนทร์ว่า “อย่าให้รู้ว่าหวั่นไหวกับพ่อเปรมเชียว เป็นน้องเป็นลูกก็ไม่เว้นโทษตาย”

“หวงเหลือเกิน หวงที่สุด”

“ทั้งหวงทั้งเครียด” อสุเรนทร์พ่นลมหายใจแรง “ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงฉุดกระชากลากถูจับไปทำเมียที่กรุงลงกานานล่ะ ไม่ต้องทำตัวเป็นสุภาพบุรุษแล้วมานั่งลับคมดาบเองทุกวันให้เมื่อยมือ”

“พระบิดามีอะไรให้เครียด แค่ความหล่อของพระบิดาก็น่าจะทำให้พ่อเปรมคนงามยอมศิโรราบได้ไม่ยากนี่ครับ”

“กับคนอื่นคงใช่ แต่คนนี้...”

“...”

“เรายังมีเสี้ยนหนามคอยตำแข้งตำขา ตำหัวใจเราอยู่ พวกมันคงไม่ปล่อยให้พ่อได้ใจพ่อเปรมไปง่ายๆแน่”

“อ่า...” ถึงกับเข้าใจแจ่มแจ้ง ไม่ต้องเอ่ยชื่อศัตรูเขาก็รู้ว่ามันเป็นใคร...เสี้ยนหนามใหญ่ที่คอยเป็นอุปสรรคขวากหนาม คอยกั้นความรักระหว่างพระบิดากับนางสีดามาช้านาน

“แล้วพระบิดาคิดจะทำยังไง”

“มิรู้” อสุเรนทร์ตอบอย่างง่าย

“What? ไม่รู้! โอ มาย ก๊อด ไม่รู้เนี่ยนะ” ถึงกับปิดปากด้วยท่าจริตจะก้าน สบถออกมาเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงบริติชแท้อย่างลืมตัว “มันไม่ใช่อ่ะ มันไม่ใช่”

“เก็บท่าทางหน่อยเจ้าอิน”

“ไม่ใช่ประเด็นเลยพระบิดา อยากได้เขาเป็นเมียแต่ยังไม่มีแผนเนี่ยนะ Oh god, I can’t believe”

“เจ้าอิน อย่ากระแดะ” อสุเรนทร์กลอกตามองอย่างไม่สบอารมณ์ ตั้งแต่กลับมาจากต่างประเทศ เรื่องมั่นหน้า กล้าแสดงออก ถ้าเต็มร้อยเขาจะให้สักพัน

“ชิ...นั่นแหละ” ทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดในลำคอ “อินพอมีทางอยู่บ้าง แต่ไม่รู้พระบิดาจะชอบหรือเปล่า”

“แล้วมันเป็นยังไงล่ะ”

“หนึ่ง พระบิดาต้องเป็นสุภาพบุรุษ”

“พ่อเป็นอยู่แล้ว”

“ฟังก่อนสิ อินยังพูดไม่จบ” เมื่อเห็นคนเป็นพ่อกอดอกฟังนิ่งจึงพูดต่อ “สอง ห้ามรุกอีกฝ่ายมากเกินไป...คิดเอาไว้ช้าๆได้พร้าเล่มงาม ต่อให้พระบิดาอยากกระโจนปล้ำเขาแค่ไหนก็ต้องห้ามใจเอาไว้ แต่ถ้าไม่เข้าใจย้อนไปดูข้อหนึ่ง”

“...”

“สาม พยายามทำยังไงก็ได้ให้อยู่กันสองต่อสองบ่อยๆ แค่นี้แหละ ไม่เกินหนึ่งเดือนพระบิดาได้พ่อเปรมเป็นเมียสมใจอยากแน่”

“ก็...มิได้ยากเท่าไหร่” ยักไหล่ตอบอย่างสบายๆ

“ส่วนเรื่องอื่น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอินจัดการเอง”

“อย่าให้เสียชื่อลูกชายพญารากษสทศกัณฐ์ล่ะ”

ในเมื่อคนเป็นพ่อเปิดทางให้ขนาดนี้ เห็นทีต้องต้องงัดแผนเด็ดๆมาประชันกับฝ่ายนู้นสักตั้ง ให้เห็นกันไปเลยใครเหนือกว่าใคร โดยเฉพาะราเมนทร์ อยากได้นางสีดามากนักใช่ไหม เดี๋ยวจัดให้

“คอยดูฝีมืออินแล้วกัน”



ในเวลาเจียนบ่าย มีเสียงของครูจันทร์ดังไปทั่วห้องกระจก ทว่ากลับดูเร่งรัดและเคร่งเครียดมากกว่าคนอื่นๆ พร้อมทั้งเสียงเคาะจังหวะไม้เรียวด้ามยามซึ่งใช้เฉพาะวันนี้เป็นพิเศษ...ชายหนุ่มในเสื้อคอกลมผ้าขาวบางขนาดใหญ่กว่าตัวกับโจงกระเบนสีแดงกำลังกรีดกรายนวยนาดตามจังหวะฉิ่งฉับของเครื่องดนตรีกำหนดจังหวะ ถึงแม้จะรำได้อย่างพลิ้วไหวไม่แพ้นักแสดงโขนมืออาชีพ หากยังมีข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆที่จะต้องเร่งแก้ไขให้ทันวันงานแถลงข่าวเปิดตัวนักแสดง หทัยทศกัณฐ์ ในหนึ่งเดือนข้างหน้า

“ยกมือขึ้นจีบหงายมือขวา โน้มตัวไปข้างหน้า เอียงศีรษะ ดี...ดี...ก้าวขาย่อแล้วม้วนตั้งวง ขวาคว่ำลงซ้ายตั้งขึ้น เอี้ยวตัวโยกช้าๆ ขวาตั้งวงล่างซ้ายจีบขึ้น ยกเท้าขวา...ดีจ๊ะพ่อเปรม...ดีแล้ว”

เปรมยิ้มกว้างเมื่อถูกชมจากผู้เป็นครู ถึงจะพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ไม่ได้มาซ้อมนานร่วมสองอาทิตย์ แต่เขาก็สามารถทำมันได้ดีทั้งๆที่ยังสวมผ้ารัดเท้าป้องกันการเกิดอาการบาดเจ็บซ้ำบริเวณที่เดิม ใบหน้าหวานแดงก่ำมีเหงื่อเม็ดเล็กๆเกาะพราวจากการซ้อมมาเกือบทั้งวันถูกเช็ดออกลวกๆ แล้วตั้งท่าเตรียมซ้อมรำต่อ

“พักสักหน่อยเถิดพ่อเปรม”

“ผมคิดว่ายังทำได้ไม่ดีเลยครับครู ขอซ้อมต่อดีกว่า”

“พอๆ โหมมากไปก็ไม่ดี มานั่งพักตรงนี้ให้หายเหนื่อยก่อน”

“แต่...” เปรมทำท่าจะแย้ง แต่พอเห็นไม้เรียวถูกยกขึ้นเหนือหัวก็เก็บปากเก็บคำเสียสนิท...หยุดรำ เดินเข้าหลบมุมเสาห้อง ปาดเหงื่อที่ไหลอาบใบหน้าแล้วหลับตาหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ให้พอหายเหนื่อย “อีกหนึ่งเดือนก็จะมีงานเปิดตัว ผมอยากทำให้มันดีกว่านี้ครับครู ผมคงไม่สบายใจถ้ามันทำสร้างผลลบให้กับคนทุกคนที่เกี่ยวข้องกับบทละครโขนนี้”

“ที่ทำอยู่มันก็ดีมากอยู่แล้ว เธอต้องการให้มันดีถึงขั้นไหนล่ะ”

“โธ่ครู...ผมกลัวคนอื่นถูกตำหนิเพราะผมนี่ครับ”

“เด็กหนอเด็ก” มืออ่อนนุ่มขยี้ศีรษะเล็ก “จะมีใครกล้าตำหนิความสามารถของเธอจ๊ะ รำสวยปานนี้ ถ้ามีใครมาว่ากล่าวครูจะเถียงกลับเอง”

“ครูจันทร์...”

“ดูทำหน้าเข้าพ่อเปรม อยากยิ้มหรือร้องไห้เลือกเอาสักอย่าง” เปรมไม่ได้ตอบแต่ส่งยิ้มกว้างจนตาปิดให้แทน เรียกความรักใคร่เอ็นดูจากครูคนงามได้เป็นอย่างดี

“ข้อเท้าเป็นอย่างไรบ้าง หายดีแล้วใช่ไหม”

“หายแล้วครับ โอ้ย!”

ชายหนุ่มทำท่าลุกขึ้นโชว์ว่าขาของเขานั้นหายดีเป็นปลิดทิ้ง ด้วยความรีบร้อนหรืออาการบาดเจ็บที่ยังคงซ่อนอยู่ใต้ผืนผ้า เปรมจึงล้มลงไปนั่งกองกับพื้น ครูจันทร์ถลาเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วงระคนตกใจเพราะไม่คิดว่าลูกศิษย์ยังมีอาการเจ็บอยู่ เปรมจับข้อเท้าที่กำลังปวดตุบๆ ร้องโอดครวญเป็นระยะๆ

“ยังไม่หายทำไมไม่บอก ปล่อยให้ครูสั่งเธอซ้อมรำทั้งวันอยู่ได้”

“ผมไหวครับครู”

“ดื้อเหลือเกินลูกศิษย์คนนี้ พจ! เจ้าพจ! วานหาน้ำแข็งประคบให้ครูที พ่อเปรมเจ็บข้อเท้า” ครูจันทร์ตะโกนบอกลูกศิษย์อีกคนที่กำลังเดินผ่านหน้าประตูห้องซ้อมพอดี เปรมเม้มปากฝืนกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ข้างใน พร่ำโทษตนเองที่อวดเก่ง ฉันหายดีแล้ว ฉันสามารถซ้อมบทรำได้ทั้งวัน ทั้งที่อาการบวมบริเวณข้อเท้ายังมีให้เห็นอยู่ชัดเจน

“เจ็บมากไหมลูก”

“ทนได้ครับ”

“เจ้าพจหนอเจ้าพจ แค่สั่งให้หาน้ำแข็งทำไมไปนานอย่างนี้...เดี๋ยวครูมานะพ่อเปรม นั่งอยู่กับที่ ห้ามลุกไปไหนล่ะ”

เปรมพยักหน้ารับระหว่างครูจันทร์เตรียมลุกขึ้นออกไปนอกห้อง เขาเหยียดขาข้างที่เจ็บแล้วจับมันเบาๆ เจ็บ...เจ็บเสียจนน้ำตาแทบไหลพราก เจ็บจนประสาทการรับรู้ทางเสียงขัดข้อง ไม่รู้ตัวสักนิดเลยว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ ทีละก้าว...ทีละก้าว ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งจ้องมองวงหน้างดงามที่เปื้อนคราบน้ำตาอย่างนึกสงสาร

ความอุ่นร้อนบริเวณข้อเท้าข้างที่ปวดทำให้เปรมลืมตามอง สิ่งแรกที่เห็นคือรอยยิ้มอบอุ่นของชายแปลกหน้าคนหนึ่ง นัยน์ตาคมโตเปล่งปลั่งดูมีรัศมีเหมือนมีอะไรบางอย่างให้เขาละสายตาไม่ได้ แล้วเปรมยิ่งต้องแปลกใจเป็นเท่าตัวเมื่อยกฝ่ามือขึ้นลูบแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบา หัวใจวูบไหวหนักหน่วง ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นบีบรัดจนเจ็บร้าวไปหมด

‘พี่ท่านคือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับน้อง’

‘พี่รักเจ้าเหลือเกินสีดา’

‘น้องก็รักพี่รามเจ้าค่ะ รักสุดหัวใจ จนมิอาจรักใครได้อีก มิว่าพี่ท่านอยู่แห่งหนใด โปรดพึงระลึกเสมอหัวใจของน้องเป็นของพี่ผู้เดียว’



 “คุณ...คุณครับ”

แรงสะกิดเบาจากฝ่ายตรงข้ามส่งผลให้ร่างบางสะดุ้งตื่นจากภวังค์ทันที เปรมวางแขนลง กระพริบตาเรียกสติให้กลับมาก่อนมองหน้าชายแปลกหน้าที่มองมาด้วยสายตานึกเป็นห่วง

“คือ...ขอโทษนะครับ เมื่อกี้...”

ราเมนทร์ส่งยิ้มอ่อน “ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ...ว่าแต่ข้อเท้าคุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า ได้ยินครูจันทร์บอกว่าข้อเท้าคุณพลิก ผมเลยเข้ามาดูอาการให้ เอ่อ..ไม่ต้องห่วงนะ ผมเคยเรียนปฐมพยาบาลมาบ้าง”

“มันปวดตุบๆ ขยับไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่”

“ผมขอดูข้อเท้าคุณหน่อยได้ไหม”

“อ่า...”

“ไม่ต้องเกรงใจครับ” เพราะถ้าเป็นเธอ ฉันพร้อมทำให้ทุกอย่าง....

“รบกวนคุณด้วยนะครับแล้วก็...ขอบคุณมาก”

ราเมนทร์วิ่งออกไปด้านนอก ก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลกล่องใหญ่ มือหนารวบขาเรียวขึ้นมาวางบนตักแล้วลูบมันแผ่วเบา  เพราะเกรงอีกฝ่ายจะเจ็บจึงค่อยๆออกแรงดึงผ้าพันที่รัดข้อเท้าเอาไว้อย่างเบามือที่สุด เปรมสะดุ้งเล็กน้อยยามผ้านิ้วหนาของอีกคนไปโดนส่วนที่บวมที่เปลี่ยนสีเป็นม่วงอมเหลือง  สีหน้าจริงจัง ความพิถีพิถันในการออกแรงประคบส่วนที่บวมด้วยน้ำหนักมือไม่หนักและไม่เบาจนเกินไปของราเมนทร์ส่งผลให้เปรมอดประทับใจไม่ได้ จะมีคนแปลกหน้าสักกี่คนที่เอาใจใส่กับสิ่งเล็กๆน้อยๆของคนอื่นที่ไม่ใช่เรื่องของตนอย่างนี้

เขาดูเป็นคนดีจัง...นั่นคือสิ่งที่เปรมคิด

“ตอนนี้จะเจ็บเสียหน่อย ถ้าทนไม่ไหว จับมือผมได้เลยนะครับ”

“ทนได้...อ๊ะ”

สะดุ้งเฮือก เผลอจับมือที่คนตรงหน้าเอาไว้แน่น ราเมนทร์ยิ้มแล้วใช้มืออีกข้างที่เหลืออยู่ประคบรอบๆส่วนที่บวมต่อไป นิ้วโป้งจงใจเกลี่ยข้อมือขาวเนียน ราเมนทร์ช้อนตามองพลางเขยิบเข้าใกล้เพื่อประคบอีกส่วนหนึ่ง ลมหายใจร้อนผ่าวกระทบใบหน้าหวานเป็นระยะ แถมปลายจมูกอยู่ห่างจากซีกแก้มแดงระเรื่อเพียงไม่กี่เซนติเมตร...ใช่ เขาจงใจทำเอง จงใจที่จะเข้าใกล้ และจงใจที่จะทำให้หนุ่มหน้าหวานเกิดความรู้สึกดีกับเขาบ้าง และมันได้ผลทีเดียว เปรมถึงกับหายใจติดขับ นั่งนิ่งตัวแข็งทื่อ ดวงตาหลุกหลิกไปมาเหมือนคนปกปิดความผิดแล้วโดนจับได้

“อีกนานไหมครับ”

“ตรงนี้บวมเอาเรื่อง ขอเวลาผมสักครู่นะครับ”

“อ่า...”

“ผมไม่มีเจตนาไม่ดีกับคุณนะ ถ้าคุณอึดอัดก็บอกเลย”

“ไม่ครับ...ไม่เป็นไร คุณทำต่อเลย” ตอบเสียงเบาพลางหลุบสายตาลงต่ำ เพื่อหนีสายตาของอีกฝ่าย ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ หัวใจเปรมยิ่งเต็มรัวมากเท่านั้น ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าหมู่นี้ถึงได้เกิดอาการประหลาดกับตนบ่อยนัก ของอสุเรนทร์ก็ทีหนึ่งแล้ว ไหนจะมาเป็นเพราะคนคนนี้อีก

“ผมทำให้คุณเจ็บหรือเปล่า”

“ไม่ครับ มือคุณเบากว่าหมอเสียอีก”

ราเมนทร์หัวเราะถูกใจ ดึงผ้าพันที่ไม่ใช่ผ้ารัดเท้าอย่างที่เปรมเคยใช้ออกมาพันตั้งแต่ปลายฝ่าเท้า เลยไปที่ส้นเท้าแล้วพันกลับมาใหม่

“คุณเป็นนักแสดงที่นี่เหรอ ทำไมผมไม่เคยเห็นหน้าคุณเลย” เปรมเอ่ยถาม

“เปล่าหรอกครับ ผมแค่เข้ามาดูลูกศิษย์ซ้อมน่ะ”

“ลูกศิษย์...ขอโทษนะครับ ไม่ทราบคุณอายุเท่าไหร่ เอ่อ...ผมไม่มีเจตนาไม่ดีแอบแฝงนะครับ แต่ถ้าไม่บอก...”

“37 ผมอายุ 37 แล้ว”

เปรมทำตาโตใส่ “โอ้โห หน้าคุณไม่เห็นเหมือนคนอายุเกือบสี่สิบเลย ผมนึกว่ายี่สิบปลายเสียอีก”

“ขอบคุณสำหรับคำชมครับ”

“งั้นผมก็ต้องเรียกคุณว่าพี่สินะ”

“ถ้าคุณอยากเรียก ผมก็ไม่ขัด” อยากเรียกพี่ท่านเหมือนแต่ก่อนก็ย่อมได้

ทุกอย่างกำลังไปได้สวย ราเมนทร์อยากให้เรื่องของพวกเขาค่อยเป็นค่อย ไม่จำเป็นต้องเร่งรัดให้อีกฝ่ายมารักทันทีที่เจอหน้า ค่อยๆเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เข้าใจกัน แบบนั้นน่าจะดีกว่า

“พี่ครับ เอ่อ...ช่วยปล่อยมือผมได้ไหม ผมไม่เจ็บแล้ว”

“อ้อ ขอโทษที”

ราเมนทร์ยอมปล่อยมือหอมอย่างเสียดาย รอดูปฏิกิริยาฝ่ายตรงข้ามอย่างนึกสนุก เปรมเป่าลมหายใจออกจากปากแรงๆ รีบเบี่ยงหน้าหลบสายตาคู่คมที่จ้องเขาไม่วางตา ลิ้นแดงเลียริมฝีปากตนเองอย่างลืมตัวเวลาประหม่า อาการเห่อร้อนที่ใบหน้ากลับมาเล่นงานอีกครั้ง หากคราวนี้เป็นคนละคนกับพ่อนักหยอดคำหวานอย่างอสุเรนทร์

“พ่อเปรมครู...อ้าว คุณราม มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ”

“สวัสดีครับครูจันทร์” ราเมนทร์ยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนที่เดินเข้ามาอย่างเคารพนอบน้อม แล้วตอบกลับ “มาได้สักครู่แล้วครับ พอดีได้ยินเสียงครูจันทร์ว่ามีคนเจ็บข้อเท้าผมเลยเข้ามาดูให้ก่อน นี่ก็เสร็จพอดีเลยครับ”

“โถ คุณคะ ไม่น่าต้องลำบากมาดูแลพ่อเปรมเลย”

“ผมทำด้วยความเต็มใจครับ ไม่ได้ลำบากอะไร”

เต็มใจ...

เปรมไม่รู้ความหมายที่เจ้าของคำพูดส่งออกมาคืออะไร เต็มใจที่จะช่วยเหลือแบบเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน หรือทำเพราะความเต็มใจอย่างอื่น

“ยังไงก็ต้องขอบคุณอีกครั้งนะคะ...เดี๋ยวเถอะพ่อเปรม ครูจะตีให้หลังลายเลย โทษฐานเป็นเด็กไม่ดี ไม่ยอมบอกครูว่ายังเจ็บอยู่” ครูจันทร์ง้างมือตีแขนเล็กสองสามที

“ก็ผมคิดว่ามันหายแล้ว”

“อย่าคิด ไม่ต้องมาอ้อนเลยเจ้าตัวแสบ ซ้อมไหวแล้วเป็นยังไง ข้อเท้าบวมขึ้นอีก มันน่าตีจริงๆ”

“ครูไม่กล้าทำผมหรอก”

“ลองไหมล่ะ”

“ครูครับ ผมรักครูนะ...อย่าตีผมเลย”

ราเมนทร์มองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาเป็นประกายอ่อนโยนปนเอ็นดู วาดฝันถึงภาพในยามที่มีอีกคนคอยออดอ้อน เอาอกเอาใจ หากเป็นเรื่องจริงเขาคงมีความสุขทั้งยามตื่นและยามนอน

“ถ้ายังไงผมขอตัวก่อน ช่วงนี้อย่าหักโหมซ้อมมากเกินไปนะครับ เกรงอาการบวมจะไม่ลดลงเสียที” ราเมนทร์สั่งทิ้งท้าย แม้อยากจะอยู่ต่อ แต่ก็ต้องปล่อยให้ครูลูกศิษย์สองคนมีเวลาคุยกัน

“ขอบคุณอีกครั้งครับ ผมเปมทัต หรือพี่ชายจะเรียกว่าเปรมก็ได้”

มือเรียวบางยื่นออกไปด้านหน้าพร้อมรอยยิ้มสดใส จะผิดหรือไม่หากตัวเขาอยากทำมากกว่ายื่นมือไปจับทักทาย เขาอยากดึงร่างบางมากอดรักให้เต็มอก จมูกซุกไซ้ดอมดมความหอมกรุ่นจากเรือนกายขาวผ่อง จูบกลีบปากบางที่คาดว่าคงหวานเช่นเดิมให้สมกับการรอคอย

แต่ก็ทำได้แค่คิด

ยัง...มันยังไม่ถึงเวลา...

“ราเมนทร์ครับ ผมชื่อราเมนทร์ แต่ผมอยากให้คุณเปรมเรียกผมว่าพี่รามมากกว่า เพราะมันคงดีกับใจคนแก่อย่างพี่ทีเดียว”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ...พี่ราม”



อสุเรนทร์กระฟัดกระเฟียด เดินวนไปมาหลายรอบราวหนูติดจั่นแล้วนั่งลง  เอาแต่หายใจฟึดฟัดหงุดหงิด แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป ตาก็คอยชะเง้อมองหาใครบางคนที่ยังไม่โผล่มาให้เห็นหน้าสักเสี้ยววินาทีเดียว...เมื่อไหร่จะมา เขารอจนหัวใจเหี่ยวเฉาหมดแล้ว อยากคุย อยากกอด อยากเย้าแหย่ รู้บ้างไหม คนรอเขาว้าเหว่แค่ไหน

“พระบิดา”

“...”

“พระบิดา”

ยังคงเงียบ

“สีดามา!!”

“ไหนๆๆๆ” อสุเรนทร์ตาลีตาเหลือก หันซ้ายหันขวา แลหน้าแลหลังอย่างคนคุมสติไม่อยู่เพียงเมื่อรู้ว่าคนในดวงใจมาแล้ว แต่พอรู้ว่าลูกของตนหลอกจึงคำรามด้วยสีหน้าขึงขังใส่

“เจ้าอิน!”

“โธ่คุณอสุเรนทร์ผู้เกรียงไกร ก็อินเรียกแล้วไม่ยอมหันเองนี่นา” ร่างเล็กตบขำ “ชะเง้อคอมองขนาดนั้นไม่ไปเดินหาให้ทั่วโรงละครล่ะครับ พ่อเปรมอาจรอพบพระบิดาในห้องก็ได้”

“พูดจาให้มันดีๆหน่อยรณพักตร์”

“แตะต้องไม่ได้เลยนะคนนี้” ร่างเล็กส่ายหัว

“คนนี้ พ่อขอสั่งห้าม”

อสุเรนทร์ผุดลุกจากเก้าอี้อย่างกระวนกระวายใจ ถอนหายใจเสยผมที่ปรกหน้าไว้เหนือหน้าผาก ทอดสายตามองรอบๆในโรงละครโขนตอนนี้แม้จะยังมีนักแสดงซ้อมบทให้ชมอยู่แต่จิตใจเขากลับล่องลอยไปตามสายลม ไม่ได้จดจ่ออยู่บนเวทีแม้แต่น้อย
“พระบิดา มันมาแล้ว”

ดวงตาคมปรายมองไปยังทิศทางที่ลูกชายบอก ราเมนทร์เดินอมยิ้มมาแต่ไกล มีการยกมุมปากยิ้มเย้ยเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงเก้าอี้ที่ห่างจากเขาไกลพอสมควร

“ให้อินจัดการเลยไหม”

“ไม่ต้อง”

ที่อสุเรนทร์สั่งห้ามไม่ใช่เพราะเกรงกลัวอะไรราเมนทร์หรอก แต่วันนี้เขามาเพื่อหาเปรมโดยเฉพาะ หากยอดดวงใจเห็นเขาเป็นนักเลงอันธพาลรังเกพ่อพระเอกหนังลิเกที่ไม่มีทางสู้จะทำยังไง ได้เสียเครดิตว่าที่ลูกเขยโรจนวาทิตย์กันพอดี จะทำศึกต้องทำอย่างชาญฉลาด ใช้กำลังบุกลุยอย่างเดียวไม่ได้แล้ว

“ในนี้ไม่ปลอดภัย”

“...”

จัดการที่อื่นสะดวกกว่า

ยังไงก็ยังไม่ทิ้งลายยักษ์เจ้าเล่ห์

รณพักตร์ยิ้มพึงพอใจกับคำตอบที่ได้ยิน ก่อนเอามือประสานท้ายทอยเอนกายพิงพนักเก้าอี้สบายใจเฉิบ ปรายตามองคู่แข่งเจ้าเก่าที่กำลังมองเขาอยู่ก่อนหน้า นัยน์ตาสีนิลของราเมนทร์แลดูมีไฟครุกรุ่น พอๆกับสายตาของร่างเล็กที่จ้องกลับอย่างผู้ถือตัว ราเมนทร์ก็ราเมนทร์สิ เจอรณพักตร์หน่อยเดี๋ยวก็จอดสนิท คิดจะเล่นเกมจ้องตากับพี่ไม่ง่ายหรอก

‘มาด้วยเหรอไอ้ขี้แพ้’ ยักคิ้วใส่ท้าทาย

‘ไม่คิดว่าจะโผล่หน้ากลับมาไทยอีก หึ ถ้าคราวก่อนไม่ได้พ่อเจ้าช่วย ป่านนี้คงกลายเป็นเศษเถ้าธุลีล่องลอยกลับนรกภูมิ’

‘เศษเถ้าธุลี...ก็ยังมีคนมองเห็น แต่กับเจ้าล่ะ เสมือนธาตุอากาศที่พระชายาคนงามมิใคร่เหลียวแล เลยต้องปันใจมารักพระบิดาข้า อันไหนน่าเจ็บปวดกว่ากันล่ะ’

‘อินทรชิต’

‘อย่าคิดว่าตนดีไปเสียทุกอย่าง มนุษย์ที่มีสองมือถือธนูโมลีอย่างเจ้าก็เลวมิต่างไปกว่ารากษสอย่างพวกข้า’

‘...’

‘โกรธสิ โกรธข้าให้พอใจ ให้สมกับความแค้นเคืองที่เรามีต่อกัน’

‘อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทำเจ้า’

‘ถ้าเจ้าคิดกระทำข้า เจ้าทำไปนานแล้ว’

‘...’

‘ระวังตัวให้ดี เพราะข้าจะไม่หยุดรังควานเจ้าแค่นี้ดอกราเมนทร์’


รณพักตร์ไขว่ห้างเชิดหน้าชูคอหยิ่งผยองราวราชนิกูลผู้สูงศักดิ์ ใจระริกระรี้นึกถึงแผนการต่างๆนาๆ เตรียมเอาไว้สำหรับเล่นกับศัตรูหน้ามนโดยเฉพาะ ถ้ามีหนุมานเป็นหมากสำคัญของฝ่ายมนุษย์ รณพักตร์ก็คงเป็นหมากตัวฉกาจของฝ่ายรากษสเช่นกัน



ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
และแล้วเวลาที่อสุเรนทร์รอคอยก็มาถึง...ร่างเพรียวบางในชุดโจงกระเบนสีแดงยาวคลุมเข่าเดินมาพร้อมกับครูจันทร์ นัยน์ตาหวานเหลือบมองมาที่เขาเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปตามเดิม อสุเรนทร์ยืดอกภาคภูมิใจ อย่างน้อยพ่อคุณทูนหัวก็เริ่มมีใจให้เขา ดูได้จากท่าทีเอียงอาย ริมฝีปากแดงระเรื่อที่เผยอพ่นลมร้อนออกมา จนเขารู้สึกมันช่างน่าดูและน่างับเล่นทั้งวันทั้งคืน พ่อเปรมจ๋า...ทำไมพ่อถึงน่ารักอย่างนี้...หัวใจพี่ทศแทบจะรอให้เจ้ามารินรดไม่ไหวแล้ว

“ชะเง้อเป็นยีราฟเชียวนะคุณทศ กระผมพาไปสู่ขอเลยดีไหม”

ชายชราในชุดเสื้อคอกลมสีฟ้าอ่อนกางเกงผ้าแพรสีน้ำเงินเข้ม เดินเอามือไพล่หลังมาหยุดด้านข้างร่างสูง อสุเรนทร์ตอบกลับทั้งที่ดวงตายังมองแต่เปรมไม่ห่าง

“ถ้าได้ก็ดีสิครับครู”

“ตั้งแต่ร่วมงานกันมา ไม่เคยเห็นคุณทศสนใจใครมาก่อน”

“ก็นี่ไงครับ สนแล้ว สนเอามากๆเสียด้วย” ดวงตาปู่เหนือวาววาบกับคำตอบแสนตรงไปตรงมาของอสุเรนทร์ ดูท่าจะหลงใหลในตัวลูกศิษย์ตัวน้อยของเขาหนักเอาการทีเดียว อย่างว่า...พ่อเปรมเป็นเด็กดี น่ารัก มีสัมมาคารวะ ใครพบก็ต่างหลงรักหัวปักหัวปำ
 
“งั้นข่าวโคมลอยหนาหูอยู่ตอนนี้ ที่ว่า....ทศกัณฐ์ริอยากจีบนางสีดา มันก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ ”

“ผิดแล้วล่ะครับ ทศกัณฐ์ไม่ได้อยากจีบนางสีดาสักหน่อย อยากได้นางสีดาเป็นเมียมากกว่า

“ปะไรกัน! ฮ่าๆๆ!! กระผมชอบนัก” เอี้ยวตัวป้องมือกระซิบเสียงเบา “คุณทศ...วันนี้พญารากษสทศกัณฐ์ต้องแอบย่องไปหานางสีดา แต่เผอิญทศกัณฐ์ป่วยจึงมาไม่ได้...พญารากษสจึงไหว้วานให้อสูรตนหนึ่งช่วยแปลงกายเข้าไปดูแลนางสีดาแทน...”

เจ้าของดวงตาคมเบิกกว้าง รอยยิ้มของความดีใจผุดขึ้นบนใบหน้า นึกขอบคุณชายชราในใจ ไม่เสียแรงที่ได้ร่วมงานกันมานาน วันนี้คงเป็นวันที่ดีที่สุดสำหรับอสุเรนทร์ ได้กลับไปเป็นตัวของตัวเอง แถมยังได้ย้อนความหลังแด่นางอันเป็นที่รักอีก ใครไหนเลยจะโชคดีเท่าเขาไม่มีอีกแล้ว


เสียงขับร้องเสภาใสราวกระจกแก้ว ดังแว่วกังวานมาตามสายลมพร้อมกับเสียงเครื่องดนตรีไทยหลายชนิด การปรากฏตัวของนางสีดาหลังจากผืนผ้าม่านถูกเปิดออกกว้าง เปรมที่กำลังนั่งอยู่บนตั่งไม้ ประนมมืออยู่ที่ระหว่างอก ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองด้านบนราวมองพระจันทร์ที่ลอยเด่นกลางนภาอย่างเศร้าโศกา สีหน้าและท่าทางการแสดงทำให้ใครต่อใครต่างตกอยู่ภวังค์ แม้แต่ราเมนทร์เองก็ตาม

เปรมยังคงเล่นไปตามบทที่ซ้อม ทว่าใจของเขากลับปวดหนึบหยาดน้ำตาคลอเบ้าโดยไม่ทราบสาเหตุ มีแต่ความโศกา โหยหา อยากพบ อยากเจอหน้าใครสักคนที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพนี้

“ท่านปู่ ทำไมจันทร์ขนลุก” ครูจันทร์เอ่ยขณะชี้ให้ชายชราดูขนที่ลุกชันบนแขนตน การจะแสดงอารมณ์ออกมาได้ชัดเจนขนาดนี้ต้องเป็นคนที่ผ่านประสบการณ์การแสดงมาอย่างโชกโชน หรือไม่...ก็ต้องเป็นเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง เปรมยังเด็ก ไม่น่าจะเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน

ชั่ววินาทีชายชราเห็นร่างนางสีดาซ้อนทับร่างของเปรม

“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้”

“เป็นอะไรหรือคะท่านปู่”

“เปล่า” ได้แต่เก็บงำความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ ภายใต้สีหน้าสงบนิ่ง

ในขณะทุกคนจับจ้องตัวนาง ตัวยักษ์ทศกัณฐ์ก็เดินออกมาด้วยท่าทีองอาจ สะบัดหัวเมียงมองนางสีดาที่นั่งร้องไห้อีกฝากฝั่งหนึ่ง ทั่วโรงละครต่างเงียบกริบได้ยินเพียงแค่เสียงลมที่ออกมาจากเครื่องปรับอากาศ

“ครูเหนือครับ ผมจำได้ในรามายณะไม่เคยมีฉากนี้นี่ครับ” ราเมนทร์เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“มันจะไปมีได้ยังไง ในเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของเผ่าพงศ์ยักษ์”

“...”

“คนที่รู้มีแค่คนที่แต่งเท่านั้นแหละ” ปู่เหนือยืดหลังตรง “นี่เป็นตอนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องครั้งใหญ่เชียวนะ ฉากทศกัณฐ์แอบย่องมาหานางสีดาหลังจากนางถูกส่งตัวกลับไปหาพระราม ข้าดูแล้วรู้เลยว่านางสีดามีใจให้ใครมากกว่ากัน”

“แต่นางสีดารักพระรามนี่ครับ”

“รักน่ะใช่ แต่ที่ข้าพูดหมายถึงรักใครมากกว่ากัน

ราเมนทร์ปรายมองภาพบนเวที ตัวนางและตัวยักษ์ต่างอ้อร้อ หยอกเหย้ากันสนิทชิดเชื้อ ใบหน้าเขินอายของนางสีดายามทศกัณฐ์ประสานมือไว้ที่อกแล้วเอียงคออย่างน่ารักน่าชัง ถึงไม่บอกเขาก็รู้ว่านี่เป็นการบอกรักของพวกยักษ์ที่มักล่อลวงหญิงสาวที่พวกมันเสน่หา ทศกัณฐ์หมุนตัวยืนซ้อนหลังแล้วจับปลายนิ้วเรียว เอียงหน้าแทบซุกไซ้ดอมดมกลิ่นหอมจากลำคอระหงส์ หัวใจชายหนุ่มกระตุกวูบ สองมือกำเข้าหากันแน่น ดวงตาแดงก่ำสั่นระริก ข่มความโกรธเอาไว้ไม่อยู่ ยิ่งมองทั้งสองอิงแอบแนบชิดแทบจะกลายเป็นคนเดียวกัน ไฟที่สุมทรวงอยู่ก่อนหน้ายิ่งแผ่ซ่านออกมาจนชายชราที่นั่งอยู่ข้างๆยังรับรู้ได้

“เจ้าหนุ่ม เป็นอะไรหรือเปล่า”

กล้าดียังไง....กล้ากระทำลับหลังข้าได้ยังไง!

สติสัมปชัญญะของราเมนทร์ขาดผึ่ง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อชายหนุ่มก้าวฉับขึ้นไปบนเวทีพร้อมกระชากตัวยักษ์ทศกัณฐ์แล้วต่อยอีกฝ่ายล้มจนหัวโขนกระแทกกับพื้นไม้เนื้อแข็ง เปรมเบิกตามองด้วยความตกใจ เมื่อเห็นสายตาดุดันของราเมนทร์ และตกใจเข้าไปใหญ่เมื่อคนในหัวโขนทศกัณฐ์คืออสุเรนทร์

“เฮ้ย! อะไรของแกวะ” รณพักตร์แทบจะพุ่งเข้าหาด้วยความโมโห

“อย่า เจ้าอิน”

“แต่...”

“บอกว่าอย่าไง!” สุดท้ายร่างเล็กจำต้องเชื่อฟังอย่างขัดไม่ได้ เลยส่งสายตากัดจิกเต็มไปด้วยแรงโทสะใส่คู่อาฆาตอย่างไม่มีปิดบัง

“แกกล้าทำลับหลังฉันได้ยังไง”

อสุเรนทร์พยุงตัวลุกขึ้น แค่นยิ้มออกมาพร้อมกับใช้นิ้วโป้งเช็ดคราบเลือดที่มุมปากตัวเองอย่างเซ็งๆ เปรมที่ยังคงงงกับเหตุการณ์ตรงหน้ามองทั้งสองคนสลับกันอย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้สองคนนี้มีเรื่องบางหมางอะไรกันหรือเปล่าพี่ชายที่เพิ่งรู้จักถึงได้กระโดดเข้ามาขวางการซ้อมกะทันหัน

“ลับหลังที่ไหน นี่ก็ทำให้เห็นอยู่ทนโท่”

“แก!” ราเมนทร์กระชากเสื้ออสุเรนทร์เอาไว้และเข่นเขี้ยวใส่อย่างเอาเรื่อง “มันไม่จบแค่นี้แน่”

“ไม่จบก็ไม่จบสิ”

“เดี๋ยวก่อนครับ เกิดอะไรขึ้น” เปรมเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ เขาไม่อยากยุ่งเรื่องของคนสองคนนักแต่ก็ไม่อยากให้ทะเลาะกันใหญ่โตในนี้

“ถอยออกไปเปรม”

“หยุดทะเลาะกันเถอะ ได้โปรด”

“บอกให้ถอยไป!”

เปรมที่พยายามห้ามกลับโดนแรงผลักจากราเมนทร์จนซวนเซเกือบจะล้มคะมำหากรณพักตร์ไม่รับตัวไว้ทัน สีหน้าคนรับตัวเขาดูไม่พอใจสักเท่าไหร่

“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

เปรมส่ายหัว “ไม่ครับ”

อสุเรนทร์ที่เห็นร่างบางล้มลงไปนอนกองกับพื้นถึงกับฟิวส์ขาด กระโจนใส่พลิกตัวขึ้นคร่อมราเมนทร์ด้วยแววตาดุดัน กระชากคอเสื้อให้ขึ้นมาพร้อมสวนหมัดหนักเข้าเต็มแก้มข้างซ้าย

“อย่าคิดทำให้เขาต้องเจ็บตัวเพราะมือชั่วๆของแก”

“หึ” ราเมนทร์หัวเราะในลำคอ ยกยิ้มมุมปากปรายตามอง “ฉันควรพูดคำนั้นมากกว่าไหม”

ถึงฉันจะเลว แต่ฉันไม่เคยทำร้ายร่างกายของคนที่รัก

“!!!”

“รู้ตัวเองบ้าง สันดานของแกกำลังทำร้ายคนของฉันอยู่”

“พูดมาคงไม่กระดากปากเลยสินะ เรื่องของฉันกับแกคงต้องเอาจริงกันเสียที”

“แกมันก็เก่งแค่ปากล่ะว่ะ แน่จริงก็มาสิ พร้อมเสมอ”

“สีดาต้องเป็นของฉันเท่านั้น”

“หึ”

“ขำอะไร” ราเมนทร์ตวัดตามองอย่างขุ่นเคือง

“ก็เอาไปสิ ฉันยกให้”

“...!”

อสุเรนทร์ปล่อยมือจากคอเสื้อยับยู่ยี่ พร้อมทำท่าปัดมันอย่างนึกรังเกียจ เดินโซเซทรุดลงนั่งตรงหน้าเปรม มือแกร่งลูบแก้มนวลแผ่วเบาแล้วปัดปอยผมที่ปรกใบหน้าหวานไปอีกทาง ก่อนวาดสองแขนแกร่งช้อนร่างบางขึ้นอุ้มแนบอกด้วยความหวงแหน

“ค...คุณทศ”


“สีดาอะไรฉันไม่สนทั้งนั้นแหละ ฉันสนแค่พ่อเปรมคนเดียว”





สีดาอะไรฉันไม่สนทั้งนั้นแหละ ฉันสนแค่พ่อเปรมคนเดียว
สีดาอะไรฉันไม่สนทั้งนั้นแหละ ฉันสนแค่พ่อเปรมคนเดียว
สีดาอะไรฉันไม่สนทั้งนั้นแหละ ฉันสนแค่พ่อเปรมคนเดียว :katai2-1: :ling1: :hao7:

อ่ะจ้าพี่ทศ ในที่สุดสีดาก็ยังต้องตกเป็นรองพ่อเปรมคนงาม ราเมนทร์หลบซ้ายไปเลยนะคะ พ่อทศของเราเขามาวิน หุๆๆๆๆ


วันนี้มาลงช้าหน่อย แต่ก็ถือมาลงให้น้าาาา
คอมเม้นเพื่อเป็นกำลังให้แก่คนเขียน
เราจะพยายามมาลงทุกวัน หากมีเวลาว่าง ฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกของคุณคนด้วยนะคะ ถ้าโปรโมทให้ได้ยิ่งดีใหญ่ ฮิๆๆๆ
ถ้ายังไง ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า ราตรีสวัสดิ์ :mew1:


ออฟไลน์ โอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
บอกว่ารักแต่พอโกรธกลับผลักเขาแถมไม่ฟังเสียงใครคนที่รักกันต่อให้โกรธยังไงก็คงไม่มีวันทำร้ายร่างกายคนที่ตัวเองรักหรอก

ออฟไลน์ mam.nalok

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
กรี๊ดดดดดดดดดชอบคำนี้ "สีดาอะไรชั้นไม่สนทั้งนั้น ชั้นสนพ่อเปรมคนเดี่ยว " รักคะ รักทศกันต์  :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
สุเพิ่งจะเข้ามาอ่านค่ะ
ชอบมาก ๆ เลย ภาษาสวย พล๊อตดี วางเรื่องได้น่าอ่าน
สุเป็นอีกคนหนึ่งค่ะที่เป็นแฟนคลับท่านทศมานานนม
เจอนิยายเรื่องนี้เข้าไปรู้สึกปลื้มจิตปลื้มใจเป็นอย่างมาก
ขอบคุณนะคะ ขอบคุณทุกคนที่รักพญายักษา
บวกเป็ดให้ทุกรีแล้วนะคะ
จะรอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด