ช่วงกลางเดือนที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปเที่ยวภาคเหนือเลยเกิดความคิดหาเรื่องใส่ตัวมาเล่าสู่กันฟังได้อีก ถึงไม่มีคนอ่านก็จะดันทุรังลงละว้า
***********************************
#1
“โอมศุกร์นี้เข้ากรุงเทพฯมาหาพี่หน่อยนะมาเร็วนิดนึงให้มาถึงสัก5โมงอย่างช้านะครับ”
อยู่ดีๆพี่ต่ายก็โทรมาบอกผมแบบนี้ล่ะครับ พอผมจะถามกลับพี่ต่ายก็ตัดบทบอกว่า
“มาก่อนแล้วค่อยคุยกัน” แล้วก็วางหูไปเลย ให้มันได้แบบนี้ซิแฟนผม เริ่มเผด็จการเข้าไปทุกทีแล้ว ชักจะเหิมใหญ่ สงสัยเริ่มเห็นผมเป็นลูกไก่ในกำมือ แต่ไอ้รึจะหือกลับก็ทำไม่ลง ก็มันรักไปแล้วนี่ครับ ว่าไงก็ว่าตามกันแล้วกัน
ก็เพราะเหตุนี้ละครับผมเลยมานั่งหงุดหงิดอยู่บนรถแท็กซี่ตอนเวลาเร่งด่วนในวันศุกร์13แบบนี้
“พี่บอกแล้วให้มาถึง5โมง ทำไมโอมมาซะ6โมงเลยล่ะ นี่เราจะตกรถกันไม๊เนี่ย เฮ้อ”
ผมฟังแล้วก็โมโห “ก็พี่ต่ายจะให้ไปเที่ยว ก็ไม่บอกผมมา บอกแบบสั้นๆแล้วผมจะรู้ไม๊ว่ามันวิกฤตขนาดนี้ ความผิดใครกันแน่เนี่ยพี่”ผมหน้างอไปในบัดดล ผมผิดตรงไหนก็ไม่รู้นี่ว่าต้องขึ้นรถไฟไปเชียงใหม่ตอน6.45 แล้วก็งานมันติดพันกว่าจะออกจากบ้านมาได้เวลาก็เตลิดน่ะซิ กว่าผมจะมาถึงกรุงเทพฯก็ปาเข้าไป6โมง พี่ต่ายบอกผมว่าไปเชียงใหม่กัน แค่เนี้ยนะ...ไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย....เง้อ
“ก็พี่อยากเซอร์ไพรส์โอมน่ะ อย่างอนซิ พี่อุตส่าห์เตรียมตัวตั้งนานนะ กว่าจะเจียดวันมาได้เนี่ย โอมก็รู้ตอนนี้งานเรายุ่งแค่ไหน” พี่ต่ายทำหน้าจ๋อยๆ ซีดๆ ทำเอาผมสงสาร
“แถมทีแรกเพื่อนที่ทำงานจองตั๋วรถไฟให้ ดันจองผิดวันอีก กว่าจะลางานใหม่ เคลียร์งานกันก็แทบแย่แล้วนะโอม”
เสียงออดอ้อนขอความเห็นใจจากพี่ต่าย ทำเอาผมใจอ่อน มันก็จริงแต่บอกกันตรงๆก็ได้ไม่ต้องมาเซอร์ไพรส์หรอก พี่ต่ายทำอะไรก็ดีมาตลอดอยู่แล้ว แค่นี้ผมก็รักหัวปักหัวปำแล้ว แต่จะให้บอกไปแบบนี้ก็ได้ใจซิครับ ไอ้ผมก็เป็นอะไรไม่รู้พูดดีๆไม่ค่อยเป็น
“ผมก็ยุ่งนะ กว่าจะออกมาได้เนี่ย ขับรถมาก็เหนื่อย ก็รีบแล้วนะ เต็มที่แล้ว”พอผมพูดจบ พี่ต่ายไม่พูดอะไรต่อครับเบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ได้แต่มองนาฬิกา อาการชักไม่ดีสงสัยจะงอนผมบ้างแล้วมั๊ง
“แล้วจะไปทันเหรอ ทำไมรถติดขนาดนี้ล่ะ มิต้องขึ้นมอเตอร์ไซด์ไปเหรอเนี่ย”
“.....................”เงียบครับ พี่ต่ายไม่ตอบ
“ก็ติดแบบนี้แหล่ะคุณ ทุกวันก็แบบนี้ไม่รู้เหรอ”พี่ต่ายไม่ตอบแต่น้าแท็กซี่ตอบแทน งั้นผมคุยกับน้าเค้าก็ได้วะ
“แล้วผมจะขึ้นรถไฟทันเหรอน้า รถออก6.45 น้าซิ่งหน่อยซิ”
“จะให้ซิ่งไปไหนล่ะคุณ ติดหน้าติดหลังแบบนี้ ผมไม่ใช่โดเรมอนนะจะได้ใช้ไฟฉายย่อส่วนรถให้เล็กลงแล้วลอดผ่านเจ้ารถพวกนี้ไปได้ คุณก็” น่าน....เจอแทกซี่ช่างจินตนาการได้อีก หรือว่ากวนผู้โดยสารกันแน่
“โอเคน้า อย่างมากก็ตกรถ เฮ้อ”ผมหันไปมองหน้าพี่ต่าย ยังเงียบครับ จะงอนไปถึงเชียงใหม่เลยไม๊พี่ครับ ที่รักครับ
“พี่ต่ายแล้วเรากลับวันไหนพี่?”ผมทำเป็นเนียนหันไปถามพี่ต่ายอีกครั้ง นานเลยครับผมเหมือนต้องกลั้นหายใจรอคำตอบพี่ต่าย แล้วในที่สุดพี่ต่ายก็ตอบมาก่อนผมจะขาดใจ (ซึ่งไม่รู้ผมจะกลั้นหายใจไปเพื่อ?...งงกับตัวเองจริงๆ)
“17”ตอบมาแค่เนี้ยครับ
“กลับตอนไหนล่ะ”ผมก็ดันทุรังถามต่อครับ
“กลางคืน” ตอนนี้เริ่มหมั่นไส้แล้วครับ ตอบสั้นๆๆอยู่ได้
“แล้วกลับรถไฟอีกไม๊”จะลองดูซิว่าจะหายงอนไม๊ ไปหัดงอนมาจากไหนเนี่ย
“ดูก่อน”
“ดูอะไร”
“ก็ดูก่อนไง”
“ก็ดูอะไรล่ะ ก็บอกมาซิ”ชักมีอารมณ์แล้วนะ จะต้องชนะผมให้ได้แน่ๆใช่ไม๊พี่ต่าย
“ก็ดูก่อนว่าจะกลับหรือไม่กลับรถไฟนะซิ” พี่ต่ายตอบแล้วหันมายิ้มเยาะให้ผม เหอๆๆช่วยให้ความกระจ่างได้มากทีเดียวครับ แต่ถ้าผมหยุดถามผมก็พ่ายซิในสนามรบนี้
ผมถามเสียงเครียดไปอีกครั้ง“อ๋อดูก่อน อืมมมแล้วถ้าเราตกรถไฟล่ะจะทำไง”
“.......”เงียบต่อได้อีก
“แล้วไปนี่จะไปไหนมั่ง”ไม่ตอบก็ถามต่อ
“ แล้วนี่บอกแม่ยังว่าจะไป”ไม่ตอบอีก แต่เหมือนๆจะเบือนหน้าไปแอบยิ้มๆกับหน้าต่าง แล้วผมก็ดันเห็นภาพสะท้อนมาจากกระจก เราสบตากันในภาพสะท้อนพอดี พี่ต่ายรีบหุบยิ้มทันที กลับมาทำหน้าเฉยเมยต่อ
“ แล้วใครจะทำงานแทนผมตั้งหลายวัน”อันนี้เหมือนเริ่มบ่นกับตัวเอง แล้วก็เริ่มมือไม้คันอยากลงมือลงไม้กับคนยั่วโมโหที่นั่งอยู่ข้างๆ
"......"
“แล้วนี่มีความสุขมากไม๊ที่แกล้งผมได้แบบนี้”ผมสะบัดเสียงใส่ไปหนึ่งที ส่งค้อนไปให้พี่ต่ายอีก1 ครั้ง แล้วกอดอกหันหน้าออกไปที่หน้าต่างทันที ในที่สุดผมก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้อีกครั้ง ได้ยินเสียงพี่ต่ายหัวเราะเบาๆ
“โธ่เอ๊ยโอม หึหึ แค่นี้ก็โมโห”มือของพี่ต่ายมาลูบหัวผมเบาๆ ชนะแล้วก็เป็นแบบนี้ครับผมโดนตบหัวแล้วลูบหลังตลอดเลยยย เจ็บใจจริงๆ ผมเอามือปัดมือพี่ต่ายออกไป
“ก็ดูซิ...จะไปเที่ยวอยู่แล้วยังมาหาเรื่องกันอีก แล้วไปเที่ยวกันจะสนุกได้ยังไง”
พี่ต่ายพูดยิ้มยั่วอีกครั้ง “ไปกับพี่ไม่สนุกได้หรือ ไปกับคนที่รักกันต่อให้ทะเลาะกันตลอดทริปก็สนุกอยู่ดี”
ผมหน้าแดงไปกับคำพูดของพี่ต่าย อายจนเกือบจะม้วนเป็นหอยอยู่ตรงนั้น แต่พอเงยหน้าขึ้นตาผมก็ไปสบกับตาน้าแท็กซี่ทางกระจกมองหลังพอดี แกรีบหลบตาผมเหมือนกระสือ นี่แอบดูแอบฟังตลอดเลยละซิเนี่ย ขับรถดีๆไม่ชอบชอบเป็นนักสืบรึไง พี่ต่ายก็พูดอะไรไม่มีอายคนอื่นบ้าง ผมเลยต้องเอาศอกถองเอวพี่ต่ายไปหนึ่งครั้ง แล้วทำตาขยิบๆไม่ให้พูดต่อ
“อุ๊บบบ.....โอมเล่นแรงอีกแล้ว เดี๋ยวพี่แรงมั่งอย่ามาร้องครวญครางนะ หึหึ”พี่ต่ายทำตาแวววาวใส่ผม แล้วยิ้มกรุ้มกริ่มให้อีก ผมละเชื่อเขาเลย จนตอนนี้6.15 ยังไม่ถึงสถานียังมีอารมณ์มาทำทะลึ่งอีก
“พอเลยพี่ต่าย เราจะตกรถไม๊ผมห่วงเรื่องนี้มากกว่า” พอผมพูดแบบนี้ น้าแท็กซี่ที่คงนั่งฟังพวกผมคุยกันก็รีบยกมือขอพูดทันที (อารมณ์ในห้องเรียนเลย รีบตอบกลัวโดนแย่งพูด 555+)
“หลุดไฟแดงนี้ก็ไม่ติดแล้วครับ แต่อาจต้องวิ่งกันนิดหน่อย เตรียมตัวไว้แล้วกันครับ”พอได้ยินน้าแกพูดแบบนี้ก็ค่อยเบาใจไปนิดนึงครับ แล้วพอหลุดไฟแดงไปได้ก็วิ่งฉิวจริงๆครับ
เราไปถึงสถานีรถไฟบางเขนตอน6.30 น.พอดี ผมกับพี่ต่ายรีบลงไปยืนรอรถไฟ สักพักได้ยินเสียงประกาศว่ารถไฟจะดีเลย์ประมาณ20นาที ทำเอาถอนหายใจกันเฮือกใหญ่ ตื่นเต้นได้ตั้งแต่วันแรกจริงๆ ผมพยายามจะหาร้านขายของกินหรือเซเว่นแถวนั้น แต่ก็ไม่เห็น มีแต่แผงขายไก่ย่างหมูปิ้งข้างทางซึ่งผมก็ไม่อยากทาน เลยไม่ได้ซื้อเสบียงอะไรเลย
รถไฟที่เราไปเป็นตู้นอนครับ ชั้น2 เป็นเตียงนอนบนล่างครับ ค่าตั๋วผมถามพี่ต่ายก็บอกแค่ว่า700กว่าบาทแต่กว่าเท่าไหร่ผมก็ไม่รู้ ผมก็เลยไม่ถามต่อครับกลัวพี่ต่ายขอค่ารถ หึหึ ไม่บอกก็ดีครับจะได้ไม่จ่าย ตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยผมก็ไม่ได้ขึ้นรถไฟอีกเลยครับ หลายปีแล้วทีเดียว
ขึ้นไปทีแรกก็เป็นที่นั่งปกติครับยังดูไม่ออกว่าจะพับเป็นเตียงได้ยังไง ข้างที่นั่งผมเป็นฝรั่งชายล้วนกลุ่มใหญ่คุยกันเสียงดัง คงจะขึ้นมาจากหัวลำโพง พวกผมก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่ที่นั่งฝั่งตรงข้ามผมซิเป็นสาวแว่นหน้าตาน่ารักสามคนนั่งคุยกันไม่สนใจใคร ผมก็ได้แต่ส่งยิ้มไปให้ แล้วแอบมองว่าเค้าซื้ออะไรมากินกันบ้าง แอบอยากกินของเขาซะงั้น แล้วหันมาโวยกับพี่ต่าย “พี่ต่ายซื้ออะไรมาเป็นเสบียงรึเปล่า ผมเริ่มหิวแล้ว”
พี่ต่ายส่ายหน้าแล้วบอกว่า “เดี๋ยวสั่งเค้ามาทานได้ บนนี้มีข้าวขาย”
“อ้าว..เหรอ ดีๆๆแล้วจะกินยังไงล่ะ ไม่มีโต๊ะให้นั่งกินนี่”ก็ผมพยายามมองดูมันมีแต่ที่นั่ง แล้วเวลากินไม่ลำบากแย่เหรอ
“ไม่รู้ซิ พี่เคยนั่งที่ไหนกัน เดี๋ยวก็คงมีวิธีเอง” สักพักนึงก็มีเจ้าหน้าที่รถไฟเดินเอาเมนูมาถาม ผมกับพี่ต่ายเลยสั่งข้าวมาคนละชุด มีข้าวหมูทอดกระเทียม พร้อมน้ำแกง และข้าวกระเพรากับน้ำแกงชุดละ 90บาท รอไม่ถึง15นาที เจ้าหน้าที่ก็เอามาเสริฟ ผมก็เลยได้รู้ว่าจะทานได้ยังไง น้าพนักงานเอาแผ่นโต๊ะมาจากตรงไหนไม่รู้ครับเอามาเสียบๆแป๊ปเดียวเราก็มีโต๊ะทานอาหารแล้ว สาวๆโต๊ะข้างๆแอบมองอาหารเรากันใหญ่ ผมเลยหันไปชวนให้มาทานด้วย ก็ตามมารยาทนะครับ
“ทานด้วยกันไม๊ครับ” พวกสาวๆยิ้มๆแล้วตอบว่า “ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวสั่งมาทานกันเอง ขอบคุณค่ะ” พวกผมเลยทานกันต่อ ก็รสชาติดีครับอร่อยใช้ได้ ถึงแม้จะแพงไปหน่อยแต่ก็อุดหนุนกันหน่อยครับ ได้ข่าวว่าไม่ค่อยมีกำไร
“พี่ต่ายจะให้ผมอยู่บนหรือล่าง เอาไงดีพี่”ผมดูๆแล้วนอนล่างก็ดีครับไม่ต้องปีน แต่นอนบนก็ดูน่าสนุกดีอยู่เหนือคนอื่น (เกี่ยวไม๊เนี่ย)
“ปกติพี่ชอบให้โอมนอนล่างนะ พี่ชอบที่สุด.....พี่ว่ามันเป็นท่ามาตรฐาน” ผมถึงกับเหวอหน้าแดง พี่ต่ายตีหน้าซื่อ แต่แววตาระยิบเลยครับ เอ๊ะชักยังไง นี่ผมพูดเรื่องเตียงนะ พี่ต่ายพูดเรื่องอะไรเนี่ย งง......
“แต่คราวนี้พี่ให้โอมอยู่บน อยู่ล่างอันตราย เดี๋ยวคนเข้าหาง่ายๆ เอาไว้คราวหน้าโอมค่อยอยู่บนแล้วกันนะครับ”
เฮ้อ!!!โล่งอกครับ เหมือนๆจะพูดออกนอกลู่นอกทาง แต่ในที่สุดก็กลับมาเข้าเรื่องได้ แต่ผมว่าสาวๆข้างๆดูเงี่ยหูฟังหรือเปล่าผมไม่แน่ใจ ผมเลยต้องส่งสายตาดุพี่ต่ายไปอีก พี่ต่ายอมยิ้มกลั้นหัวเราะไว้
เวลาผ่านไปหลายๆคนเริ่มให้เจ้าหน้าที่มาจัดเตียงให้ ถ้าจัดด้านบนด้านล่างก็ต้องจัดด้วยครับ พวกผมเลยให้เค้ามาจัดเตียงด้วยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาไม่นานเราก็พร้อมนอนได้ทันที แต่พอจัดแล้วก็นั่งคุยไม่ได้ครับ ต้องแยกย้ายกันนอน แต่ปกติผมนอนดึกเลยออกจะหงุดหงิดเพราะไม่มีอะไรทำ ทางเดินยังคงเปิดไฟสว่างไสว ผมว่าก็ดีนะครับปลอดภัยดี เพราะในตู้นอนมีทั้งหญิงและชาย จริงๆถ้าเราเข้าเตียงแล้วรูดม่านปิดก็มืดแล้วครับ นอนได้สบายๆไม่มีแสงไฟแยงตา
พอสี่ทุ่มกว่าๆ ผมชวนพี่ต่ายไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนอน ห้องน้ำอยู่ไม่ไกลมากก็สะดวกดีครับ ถึงแม้ว่าจะแคบไปหน่อยแต่ก็สะอาดใช้ได้ ระหว่างทางเดินไปพบว่าผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติครับ ผมดีใจที่ยังไงๆเมืองไทยก็ยังมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันมากอยู่ แอบหวังว่าอีกไม่นานเศรษฐกิจคงจะฟื้นได้แน่นอน
“โอมจะนอนเลยหรือเปล่าครับ”พี่ต่ายถามผมเมื่อผมเริ่มปีนขึ้นไปนอนด้านบน ผมก็ยังไม่อยากนอนแต่นั่งคุยก็คงไม่ได้เพราะส่วนใหญ่รูดม่านปิดนอนกันมากแล้วครับ เกรงใจกลัวเสียงดังรบกวนเค้า สาวข้างๆผมกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่ครับ ถ้าผมเปิดม่านมันก็เหมือนกับเรานอนมองเค้า ผมเลยว่าผมนอนดีกว่า
“ก็นอนเล่นๆนะพี่ เดี๋ยวคงหลับ พี่ต่ายนอนเถอะไม่ต้องห่วงครับ”ผมโบกมือให้พี่ต่ายแล้วลาไปนอน ยังได้ยินพี่ต่ายพูดแว่วๆ “ราตรีสวัสดิ์ครับ”
เมื่อผมล้มตัวลงนอนเสียงรถไฟยังคงดังอยู่ ความสั่นสะเทือนของรถไฟเวลาเคลื่อนขบวนไม่รบกวนการนอนของผมอาจจะเป็นเพราะเหนื่อยจากการขับรถเข้ากรุงเทพฯ หรืออาจจะเป็นเพราะอิ่มเกินไปก็ได้ ผมจึงเคลิ้มหลับไปหลังจากที่นอนไปได้ไม่นานนัก
ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนเพราะเตียงนอนชั้นบนไม่มีหน้าต่าง พอปิดผ้าม่านก็มืดสนิท ผมรู้แค่ว่ามันเงียบมากๆแต่ไม่รู้ว่ากี่โมงแล้ว ผมพลิกตัวจะตะแคงแต่ก็ทำไม่ได้มันอึดอัดหรือจะเป็นเพราะที่แคบ ผมพยายามอีกครั้งแล้วก็พบว่ามีคนนอนกอดผมอยู่ ผมตกใจนิดหน่อยหรือว่ามีใครเข้าหาผมจริงๆอย่างที่พี่ต่ายบอก
*****************************
ช่วยกันลุ้นหน่อยค่ะว่าจะแต่งตลอดรอดฝั่งรึเปล่า