รู้สึกว่าคนอ่านเรื่องนี้ชอบใสๆ ไม่ค่อยชอบNCกัน
มีแค่อยากกำจัดกิฟซี่ เป็นคนใจบุญกันทั้งน้าน
ดีใจที่คนอ่านแล้วอยากไปเที่ยวกัน ตอนที่ไปก็คิดว่าเคยไปมาแล้วหลายที่แต่พอไปจริงๆ คนที่ไปด้วยเปลี่ยน วิธีการเดินทางเปลี่ยน สถานที่ๆที่เคยไปก็เลยเหมือนเปลี่ยนไปด้วย ความสนุกมันอยู่ที่ไปกับคนที่เราอยากไปด้วยจริงๆนะคะ
เพราะงั้นหายร้อนเมื่อไหร่ไปเที่ยวกันเถอะนะ พักผ่อนกัน แต่ถ้ายังไม่มีเวลาไปก็มาเที่ยวไปกับการอ่านแล้วกันค่ะ
ความเดิมตอนที่แล้ว
#1มาอีกรอบ#2เพื่อนร่วมทาง#3ชมวัดร่องขุน#4ขึ้นภู..#5ขึ้นภูชี้ฟ้า#6บนภู#6(ต่อ)บนภู************************************
#7วัดพระแก้ว และบ้านดำ
วันนี้เราจะเที่ยวเชียงรายเป็นวันสุดท้ายครับกะว่าจะขับรถขึ้นไปทางเหนือของจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีที่เที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพระตำหนักดอยตุง พระธาตุดอยตุง สวนแม่ฟ้าหลวง ดอยแม่สลอง ตลาดแม่สาย สามเหลี่ยมทองคำ
แต่ขากลับมาเราใช้เส้นทางเดิม พอพ้นช่วงโค้งกิฟก็เกิดอาการแบ็ตหมดครับ สงสัยที่นอนชาร์จมาเมื่อคืนคงไม่พอ กิฟขอนอนพักให้พี่ต่ายขับแทนไปจนถึงเมืองเชียงราย กิฟย้ายไปนั่งด้านหลังผมแอบตีปีกดีใจนิดหน่อยก็นี่เป็นโอกาสแรกเลยที่ผมได้มานั่งเคียงคู่อยู่ด้านหน้าพี่ต่ายในทริปนี้จะได้นั่งกุ๊กกิ๊กกันเสียที
แต่พี่ต่ายขับรถอย่างใจเย็นมากครับจนผมเผลอหลับไปอีกคน กว่าจะรู้สึกตัวว่าพลาดโอกาสที่เสมือนได้อยู่กันสองคนไปอีกครั้งรถก็เข้าสู่ตัวเมืองเชียงรายแล้วครับ
“โอมครับ..โอมเรียกกิฟให้พี่หน่อยว่าต่อไปเราไปไหนกัน”เสียงพี่ต่ายปลุกผมจากภวังค์
ผมเอามือเช็ดน้ำลายที่ย้อยหยดลงมาที่เสื้อจนเปียกไปหมด อายจังเลยแต่หวังว่าคงไม่มีใครทันเห็น หันไปดูกิฟก็น้ำลายยืดไม่แพ้กันที่สำคัญกิฟมันเอาเสื้อหนาวผมไปใส่นี่หว่าน้ำลายหยดเป็นดวงเลย นี่ กลับไปมิต้องเอาไปต้มใส่เด็ตตอลฆ่าเชื้อก่อนใส่เหรอ “กิฟๆๆ น้องกิฟเราไปไหนต่อ” ผมเอื้อมมือไปเขย่าที่ตัวกิฟ
กิฟยังงัวเงียๆตื่นมาแบบเบลอๆ มองหันซ้ายหันขวาอย่างงงๆ “นี่เราอยู่ไหนแล้วพี่ ถึงในเมืองแล้วเหรอ”กิฟเอามือปิดปากหาวต่อ กระพริบตาอย่างง่วงๆ
“ใช่ เราจะไปที่ไหนก่อนกิฟ มีที่ไหนที่เราจะเที่ยวก่อนไปดอยตุงได้บ้าง”พี่ต่ายถาม
“ก็เข้าไปตามทางที่ป้ายเขียนเลยพี่ไปไหว้พระที่วัดพระแก้วกันก่อน” กิฟบอกทางเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาซึ่งถ้าผมมากันเองรับรองว่าหลงแน่นอนครับ ดังนั้นถ้าจะให้ดีไปไหนควรมีแผนที่ถนนในเมืองไปด้วยก็จะดีที่สุดครับ แต่ในกรณีนี้ถึงมีแผนที่ก็คงหลงเพราะผมเคยพยายามแล้ว
จากประสบการณ์ในอดีตสอนผมว่าถ้าให้ผมเป็นคนบอกทางดูๆแล้วจะตีกันตาย เช่น พอถึงทางแยกผมจะบอกพี่ต่ายว่าทางนี้ๆ แล้วใช้ยกมือบอกแทนว่าซ้ายหรือขวา แล้วพี่ต่ายก็บอกว่า “โอมครับพี่ขับรถครับ ไม่ได้ขี่มอเตอร์ไซด์ที่โอมจะมาโบกซ้ายโบกขวา แล้วพี่มองถนนอยู่จะหันไปมองได้ไงครับ พูดซ้ายขวาได้ไม๊ครับ ไหนลองพูดซิ” มันเป็นแบบนี้ครับนับตั้งแต่นั้นมาผมเลยไม่เสนอตัวเป็นเนวิเกเตอร์ให้พี่ต่ายอีกเลย แล้วถ้าไปด้วยกันแต่ไปไม่ถูกพี่ต่ายก็จะจอดรถแล้วดูเองครับ เป็นอันจบเรื่องสบายใจไปทั้งสองฝ่าย
เมื่อถึงห้าแยกพ่อขุนเม็งรายกลางตัวเมืองเชียงรายกิฟบอกให้เลี้ยวซ้ายแล้วตรงไปเรื่อยๆ จนสุดทางสามแยกให้เลี้ยวซ้ายไปประมาณ 100 เมตร จะเห็นวัดพระแก้วอยู่ทางขวามือ เราขับรถมาถึงวัดพระแก้วแต่กิฟบอกให้เลี้ยวเข้าตัววัดไม่ทัน พี่ต่ายก็เลยจอดรถหน้าโรงพยาบาลที่อยู่ฝั่งตรงข้าม กิฟขอตัวนอนในรถต่อไม่เข้าไปในวัดกับเรา ผมกับพี่ต่ายเลยเข้าชมวัดกันสองคน
วัดพระแก้ว เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ตั้งอยู่ที่ถนนไตรรัตน์ ในตัวเมืองเชียงราย แต่เดิมมีชื่อว่าวัดป่าเยี้ย เยี้ยแปลว่าไม้ไผ่ บริเวณที่ตั้งวัดเป็นป่าไผ่จึงตั้งชื่อตามที่มา ต่อมาในปี พ.ศ.1977 ฟ้าผ่าเจดีย์วัดนี้ จึงได้ค้นพบพระแก้วมรกต ชาวบ้านจึงเรียก วัดพระแก้ว หลังจากนั้นอีก 45 ปี ที่พระแก้วมรกต ได้ประดิษฐานที่ลำปาง เชียงใหม่ เวียงจันทร์ และกรุงเทพมหานคร จนปัจจุบัน ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง พระนามว่า"พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร"
พระอุโบสถสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2433 โดยพระประธานชาวเชียงรายเรียกกันว่า "พระเจ้าล้านทอง" ส่วนพระเจดีย์ที่ค้นพบพระแก้วมรกต ได้บูรณะแล้วเสร็จ พ.ศ. 2497 ภายในวัดยังมีอาคารสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ หอพิพิธภัณฑ์ โรงเรียนพุทธิวงศ์วิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรม และหอพระหยกเชียงราย ประดิษฐานพระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล ซึ่งเป็นพระพุทธรูปหยก โดยสร้างขึ้นเป็นองค์แทนพระแก้วมรกต ที่ถูกค้นพบ ณ. เจดีย์วัดพระแก้วเป็นแห่งแรก
(ขอบคุณข้อมูลจาก โอเคเนชั่น)
พระอุโบสถที่งดงามจริงๆ
เมื่อเราเดินเข้าไปภายในวัดความรู้สึกแรกเลยก็คือความร่มเย็นภายใน เพราะในวัดร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้ มีแนวต้นไผ่เรียงราย วันนี้ไม่มีนักท่องเที่ยวมามากนักเราจึงใช้เวลาเดินชมกันอย่างสบาย ชมความงดงามของพระอุโบสถที่แกะสลักอย่างดงาม มีพญานาคเลื้อยอยู่ตรงบันได เราเข้าชมภายในพระอุโบสถพบว่ามีนักท่องเที่ยวกำลังกราบพระอยู่ ผมกับพี่ต่ายเลยเข้าไปไหว้พระให้คุ้มครองเราในการเดินทาง
ความรู้สึกของผมทุกครั้งที่เข้าโบสถ์คือร้อนนนน....เอ๊ยยยไม่ใช่ครับ เข้าโบสถ์ทีไรผมรู้สึกเย็นกายเย็นใจอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่รู้ว่ามาจากการออกแบบของการก่อสร้างอันชาญฉลาดของคนไทยที่ทำให้ลมเข้าได้ทุกทิศทุกทาง หรือว่าเป็นเพราะเราเกิดความสงบในใจของเราหรือเป็นเพราะอะไรกันแน่
กราบพระชื่นชมความงามกันแล้ว ทำบุญกันไปตามสมควรแล้วเราก็ออกไปชมพิพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ด้านซ้ายจากทางเข้า เป็นเรือนไม้ที่สวยงามไปอีกแบบ ผมไม่มีไกด์อธิบายความเป็นมาก็ได้แต่ชื่นชมไปแบบคนที่ไม่รู้ศิลปะ บอกได้แต่ว่า เป็นพิพิธภัณฑ์ที่น่าเข้าชมจริงๆ ด้านในมีสองชั้นมีพระพุทธรูปองค์เล็กๆที่สร้างแบบศิลปะล้านนา และของสมัยโบราณมากมาย
ออกมาจากพิพิธภัณฑ์ด้านนอกอ้อมไปทางด้านหลังของพระอุโบสถเป็นหอพระแก้วเชียงราย บอกได้เลยว่าถ้าไปเชียงรายนอกเหนือจากวัดร่องขุนแล้ว ถ้ามีโอกาสควรเข้าเยี่ยมชมวัดพระแก้วด้วยก็จะเรียกได้ว่ามาถึงเมืองเชียงราย
ภาพพิพิธภัณฑ์ และหอพระแก้ว
เราเก็บภาพความสวยงามของวัดเสร็จแล้วก็กลับไปที่รถกิฟก็ยังไม่ตื่นอยู่ดี เป็นเรื่องจริงที่ว่าเด็กๆเวลานอนต้องนอนเต็มที่ แต่เวลาเล่นนี่ก็ไม่หลับไม่นอนเลยจริงๆ พี่ต่ายเลยต้องเป็นคนขับรถต่อ ก่อนที่จะมาเชียงรายพี่ต่ายบอกว่ามีน้องแนะนำให้ไปบ้านศิลปินซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในจังหวัดเชียงราย และหนึ่งในนั้นที่เราจะไปก็คือบ้านดำของอาจารย์ถวัล ดัชนีย์ พี่ต่ายสอบถามระหว่างทางที่ไปจากชาวบ้านข้างทาง
บ้านดำตั้งอยู่ในตำบลนางแล อ.เมือง ออกจากเมืองเชียงรายมาไม่ไกล แต่ทางเข้าไม่มีป้ายบอกถ้าจะไปควรสอบถามคนใกล้ๆแถวนั้นให้ดีก่อนเพราะอาจจะขับเลยไปได้ เพราะปากทางแคบนิดเดียวต้องเข้าไปในซอยเล็กๆผ่านบ้านเรือนของชาวบ้านแถวนั้น ช่วงที่เราไปมีบ้านหลังหนึ่งกำลังจัดงานแต่งงาน “ไปหาข้าวฟรีทานกันดีกว่าพี่ต่าย พี่ต่ายจะเป็นญาติฝ่ายไหนดี ของผมของเป็นฝ่ายเจ้าสาวดีกว่าสวยดี” พี่ต่ายได้แต่หัวเราะกับมุกของผม เราขับต่อไปอีกไม่ไกลก็มาถึงบ้านดำครับ ไม่มีป้ายบอกด้านหน้าแต่พอเห็นเราก็รู้ได้ทันทีว่าถึงแล้ว คือภาพหมู่เรือนไทยสีดำที่สร้างกระจายอยู่ห่างๆในอาณาบริเวณล้วนเป็นสีดำ
เข้าไปจะเจอเรือนไทยหลังนี้เป็นหลังแรก ซึ่งยังก่อสร้างไม่เสร็จ
บ้านดำ ตั้งอยู่ที่ ต.นางแล อ.เมือง จ.เชียงราย สร้างขึ้นโดย อ.ถวัลย์ ดัชนีศิลปินแห่งชาติ ลักษณะเป็นกลุ่มบ้าน ศิลปะแบบล้านนา ทุกหลังล้านทาด้วยสีดำ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่าบ้านดำ ในบ้านแต่ละหลังจะประดับด้วยไม่แกะสลักที่มีลวดลายงดงามวิจิตรยิ่ง นอกจากไม้แกะสลักแล้วยังประดับด้วยเขาสัตว์ เช่นเขาควาย เขากวาง และยังมีกระดูกสัตว์ เช่นกระดูกช้าง
เรือนไทยสีดำที่ตั้งอยู่ไม่ห่างกัน สามารถเดินชมได้ไม่เหนื่อย ยกเว้นก็คือร้อนเท่านั้นเอง
ในบริเวณบ้านประกอบไปด้วยบ้าน 36 หลัง ที่มีลักษณะแตกต่างกันไปไม่เหมือนกัน ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ซึ่งบ้านเหล่านี้ไม่ได้สร้างไว้สำหรับอยู่อาศัย แต่สร้างไว้สำหรับเก็บสิ่งของสะสมต่าง ๆ ของอาจารย์ถวัลย์ นอกจากนั้นยังมีอีกหนึ่งหลังที่ยังสร้างไม่เสร็จ คือพิพิธภัณฑ์ที่ใช้แสดงผลงานของ อ.ถวัลย์ สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง มีลวดลายแกะสลักที่สวยงามอย่างยิ่ง เนื่องจากลักษณะศิลปะของบ้าน การทาสีที่ใช้สีดำ การประดับด้วยเขาสัตว์ กระดูกสัตว์นี่เอง จึงเป็นที่มาของคำว่า “ถวัลย์ นรก”
(ขอบคุณข้อมูลจาก เวปการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)
“กิฟถึงบ้านดำแล้ว ตื่นๆๆ”ผมปลุกกิฟให้ตื่นเพื่อที่จะเข้าไปเดินเที่ยวด้วยกัน เพราะกิฟบอกว่ากิฟก็ยังไม่เคยมาเหมือนกัน พวกเราตื่นตาตื่นใจในความแปลกของบ้านเรือนไทยแต่ละหลัง บ้านเรือนไทยยกพื้นสูง ด้านล่างของเรือนบางหลัง จัดเป็นที่วางของสะสม ที่มีมากที่สุดก็คือเขาสัตว์ ซึ่งถ้าพวกอนุรักษ์สัตว์ป่าหรือพวก NGOมาเห็นผมว่าน่าจะโดนประณามเหมือนกัน
ผมก็ไม่เข้าใจว่าศิลปะของอาจารย์ถวัลย์ต้องการสื่ออะไร แต่ศิลปะคงไม่ต้องมีคำอธิบายแล้วแต่จะตีความจากความคิดของแต่ละคน ส่วนใหญ่เรือนแต่ละหลังจะเข้าไม่ได้เป็นกระจกรอบๆให้เราสามรถส่องเข้าไปดูภายในได้ บางเรือนเป็นเสมือนห้องนอน มีเตียงนอนที่มีหนังหมีที่มีหัวหมีด้วยนะครับวางอยู่ บนเก้าอี้ บนพื้น บนฝ้า บนผนังมีเขาสัตว์แขวนมากมาย นี่ถ้าใครจ้างผมให้มาเดินตอนกลางคืนผมคงกลัวน่าดูเลยครับ ให้แค่ไหนก็คงไม่รับ
ผมกำลังส่องดูด้านในที่เหมือนเป็นห้องพักผ่อนของอาจารย์ “โอม”พี่ต่ายมากระซิบที่หู ทำเอาผมสะดุ้ง กำลังกลัวอยู่นะเนี่ย ผมเอาศอกถองพี่ต่ายอย่างขัดใจ“พี่ต่ายอ่ะ ตกใจหมดเลย เรียกดังทำไม คนกำลังกลัว”
พี่ต่ายยิ้มๆแล้วชี้ให้ผมมองตาม “ดูนั่นซิโอม” ผมมองตามสายตาพี่ต่ายบนฝาผนังของห้องเค้าทำเป็นรูปตุ๊กแกเกาะอยู่นับสิบๆตัวหรืออาจจะถึงร้อย สีของตุ๊กแกสีเนื้อตัดกับสีพื้นของฝ้าที่เป็นสีดำทำเอาผมขนลุก แค่นึกว่าไปเดินด้านในแล้วเงยหน้าขึ้นมาก็สยองแล้ว “โอยยย...ไม่ไหวแล้วพี่ ไปดูที่อื่นดีกว่า”
แอบดูว่ามีอะไรข้างใน แล้วก็พบว่าห้องน้ำที่ไม่กล้าเข้านี่เอง
งานส่วนใหญ่จะป็นแกะสลักจำพวกงานไม้ทั้งหมด โดยมีองค์ประกอบหลักๆก็คือเขาสัตว์ หนังสัตว์ ก้อนหิน และสีดำ เดินออกมาสักพักเห็นคนกำลังเปิดประตูดูเรือนสีดำชั้นเดียวอยู่พวกผมเลยไปดูมั่ง ปรากฎว่าด้านในเป็นห้องน้ำ เหมือนกับเป็นห้องน้ำโชว์มากกว่าครับ มีหิ่งห้อยไม้นับสิบตัวส่องแสงสว่างสีนวลๆอยู่ด้านใน มีเขาสัตว์เป็นที่ใส่กระดาษทิชชู พื้นปูด้วยหินกาบสีดำ มีถังไม้ขนาดใหญ่เป็นถังอาบน้ำ มีเครื่องทำน้ำอุ่นด้วยนะครับ แต่ให้ผมมาใช่ผมก็ไม่เอาเหมือนกันครับ อาบน้ำไปก็คงกลัวไปทั้งหัวทั้งหำหดกันพอดี
“พี่โอม พี่อยากโดนสวมเขาไม๊”กิฟทำตาเจ้าเล่ห์ถามผมแปลกๆครับ หรือว่าที่จริงแล้ว กิฟก็สนใจพี่ต่ายอยู่เหมือนกัน
“ไม่ ทำไม”เสียงห้วนๆของผมทำเอากิฟขำก๊าก ที่ยั่วโมโหผมได้ “ว้าจะชวนถ่ายรูปซักหน่อย งั้นพี่โอมถ่ายให้กิฟนะ กิฟอยากโดนสวมเขา” แล้วกิฟก็ลากผมไปที่ซุปเปอร์เขาครับ ที่ผมต้องเรียกแบบนี้เพราะเจ้าเขานี่เป็นไม้สลักทำเป็นรูปเขาซ้อนๆกันขึ้นไปหลายสิบอัน พอเราไปยืนข้างหน้าท่อนไม้นี้ ศรีษะของเราก็จะตรงกับเขาพอดีเหมือนถูกสวมเขาหลายชั้นๆเลยครับ ทำเอาผมอยากโดนสวมเขาบ้างแล้วซิ “กิฟถ่ายให้พี่มั่ง”
“อะนะ ไหนว่าไม่อยากไง มาๆจัดไป ...โอพระเจ้าเขาช่างเหมาะกับพี่โอมจริงๆ” ผมก็ยิ้มรับคำชมของกิฟครับ รูปแปลกๆแบบนี้จะไปหาถ่ายที่ไหนได้ละ ถ้าไม่ใช่ที่บ้านดำ นี่ถ้ากิฟไปพูดแบบนี้ในสถานการณ์อื่นเป็นมีเรื่องกันแน่ๆ
“พี่ต่ายถ่ายไม๊พี่” ผมตะโกนเรียกให้พี่ต่ายมาถ่าย
แต่พี่ต่ายส่ายหน้าบอกว่า “โอมยอมโดนสวมเขาเองนะ แต่พี่ไม่ยอมหรอก” เอ๊ะมันหมายความว่าไงเนี่ย หรือว่าคิดจะมีใหม่มาสวมเขาให้ผม
“ไปกันเถอะ โอม กิฟ เดี๋ยวจะมีเวลาเที่ยวน้อย” เรากะว่าวันนี้ต้องไปต่ออีกหลายที่ครับเลยจบการชมบ้านดำแต่เพียงเท่านี้ เราออกจากที่บ้านดำกันด้วยความประทับใจ อดนึกเปรียบเทียบศิลปะของศิลปินสองท่านที่แตกต่างกันคนละด้านเลยทีเดียว ดังที่มีคนบอกว่าถ้าไปวัดร่องขุนคือไปสวรรค์ มาบ้านดำก็เหมือนมาชมนรกนั่นเอง ที่จริงงานก่อสร้างยังไม่เสร็จสมบูรณ์นะครับ ผมกะว่าอีกสักสองสามปีมาใหม่ต้องมีอะไรที่น่าดูชมมากกว่านี้เป็นแน่
*************************************************
ขอให้สนุกในการท่องเที่ยวค่ะ
ปล.การเดินทางอีกยาวไกล อย่าเพิ่งหมดแรงเที่ยวไปซะก่อนนะคะ