บทนำ
กล้าหาญ
ผมคือฝ่ายสวัสดิการของงานรับน้องคณะเศรษฐศาสตร์ในปีนี้
บอกเลยว่าผมโคตรจะภาคภูมิใจในหน้าที่นี้อ่ะ จริงๆ นะ
จริงจริ๊งงงงงงงง เชื่อผมดิ “หัวหน้าสวัสฯ มึงไปเอาข้าวหรือยัง”
“ยัง”
“ทำไมยังไม่ไปอีก น้องแม่งจะแดกตอนเที่ยงครึ่งนะ ไม่ใช่บ่ายสามครึ่ง!”
“กูขับรถที่ไหนเล่า”
“แล้วเพื่อนมึงไปไหนอ่ะ”
“เชี่ยเซียนไปซื้อน้ำให้พวกมึงแดกไง”
“แล้วเพื่อนคนอื่นล่ะ”
“ไม่รู้ อยู่ดีๆ พวกแม่งก็หายหัว”
วุ่นสัดรัสเซียโคตร...นี่แค่วันแรกที่ผมได้รับหน้าที่ผมยังหัวหมุนขนาดนี้ แล้วอีกเป็นอาทิตย์ที่เหลือล่ะ ผมจะไม่ตายห่าเลยหรืออย่างไร
“เอากุญแจไปแล้วหาคนมาขับให้” เพื่อนร่วมคณะโยนกุญแจให้ผมอย่างไม่ใยดีเพราะมันเองก็วุ่นอยู่กับการหาหยูกหายาให้น้องอยู่ “ขนไหวใช่มั้ยกล้า”
“กูใครวะ ไหนพูดซิ”
“ไม่รู้ดิ กูไม่รู้จักมึงเลย” กวนตีนฉิบหาย...
“กูคือกล้าหาญ คนที่แมนที่สุดในโลกใบนี้”
คนฟังมันสนใจสิ่งที่ผมพูดที่ไหนกัน “มึงไปเอาข้าวไปไอ้เหี้ย ของมึงคือข้าวปีสองนะ ไม่ใช่ข้าวปีหนึ่ง ข้าวปีหนึ่งไอ้ตงกับไอ้หมูหันเพื่อนมึงไปขนแล้ว”
“โอเคๆ รู้แล้วครับเอ้คนงาม”
เชี่ยเอ้คือประธานชั้นปีที่สองซึ่งเป็นหัวหน้าในการรับน้องครั้งนี้ มันเป็นตุ๊ดที่โคตรวีนโคตรเหวี่ยง และยังเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในชั้นปี บอกเลยว่าแม้กระทั่งกลุ่มเพลย์บอยแห่งเศรษฐศาสตร์อย่างผม ไอ้เซียน ไอ้ตงและก็ไอ้หมูหันยังต้องยอมสิโรราบ
เอาจริงๆ ปีสองคณะเรามีผู้ชายแบบนับคนได้ จะไม่ให้ผมสี่คนลงมือช่วยได้อย่างไรไหว แม้หนังหน้าและการกระทำแม่งบอกยี่ห้อว่าโคตรจะไม่ทำกิจกรรมก็เถอะ แต่สำหรับงานรับน้องปีนี้พวกเรานึกอยากกลับตัวกลับใจและก็ช่วยเพื่อนขึ้นมา
อ้อ...ไอ้เชี่ยเอ้บังคับด้วยก็ส่วนหนึ่ง
แล้วจะพูดยืดยาวให้ตัวเองดูดีทำไมกันล่ะเนี่ย
ผมชื่อกล้าหาญครับ ผมคือมนุษย์แมนๆ ที่ใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาเจ้าสำราญธรรมดาๆ คนหนึ่ง การเรียนก็ปานกลาง หน้าตาก็ถือว่าใช้ได้ ไม่มีอะไรโดดเด่นมากจนสามารถนำมาเล่าเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวได้
ครับ...ข้อมูลของผมมีเท่านั้นจริงๆ เชื่อโผมมมม
ไม่เชื่อเหรอ ให้ตายเถอะ โอเคผมบอกก็ได้ (น้ำตาจะไหล)
ผมเป็นคนขาสั้น ผมสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร บางคนคงร้องถามว่าร้อยเจ็ดสิบนี่เตี้ยตรงไหน แต่ผมขอถามชายไทยกลับหน่อยเถอะครับว่าเกิดมาทั้งทีพวกคุณคิดอยากจะสูงแค่ร้อยเจ็ดสิบจริงๆ น่ะเหรอ
ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย ผมได้ยินเสียงคนเป็นล้านตอบกลับมาว่าอย่างงี้นะ
ถึงแม้ผมจะเตี้ย แต่ก็แมนมากนะเออ...ผมมีนิสัยสุภาพบุรุษ ให้ความสำคัญกับเพื่อน ไม่ทำร้ายของรู้สึกของผู้หญิง โดยภาพรวมแล้วเป็นอะไรที่เรียกได้ว่าชีวิตของผมแม่งโคตรดีเลยแหละ
จริงๆ นะ เชื่อผมสักเรื่องเถอะ
ในที่สุดผมกับเพื่อนคณะอีกคนซึ่งเป็นคนขับรถให้อีกคนก็มาถึงร้านอาหารป้าปอย ร้านที่ผมจะมาเอาข้าวให้เด็กปีหนึ่งในวันนี้ พวกปีสองที่เข้ากิจกรรมรับน้องมาทั้งหมดทั้งสิ้นเจ็ดสิบชีวิต ฟังดูเหมือนเยอะใช่มั้ยครับ แต่ถ้าเทียบกับน้องที่มีจำนวนทั้งสิ้นเกือบสามร้อยห้าสิบคน บอกเลยว่ามันมีแค่หยิบมือเดียวจริงๆ
ปีสอง...พวกมึงจะนอนตายอยู่ที่หอจริงๆ ใช่มั้ยวะ!
ลำบากกลุ่มเพลย์บอยอย่างพวกผมจริงๆ แทนที่จะได้ลอยไปลอยมาเหมือนสัมภเวสี แต่กลับต้องทำตัวมีสาระทั้งๆ ที่ไม่ใช่ปรัชญาในการดำรงชีวิต ผมกับเพื่อนรู้สึกคันยุบยิบจริงๆ นะเว้ย
จะให้ผมเป็นที่รู้จักในนามพี่กล้าหาญ หัวหน้าฝ่ายสวัสดิการเนี่ยนะ...แม่งคูลตรงไหนไม่ทราบ แต่ถึงจะไม่คูล ผมก็กลายเป็นหัวหน้าฝ่ายสวัสฯ ของงานรับน้องเศรษฐศาสตร์ปีนี้ไปซะแล้วล่ะครับ
ผมคิดเล่นๆ ระหว่างนั่งรอข้าวกล่องเจ็ดสิบกล่อง ระหว่างนั้นสายตาของผมหันไปเห็นนมเปรี้ยวที่วางเรียงเป็นตับอยู่ในตู้แช่ร้านข้างๆ ซึ่งเป็นร้านของอาม่าคนหนึ่ง สิ่งนั้นพานให้ผมนึกไปถึงความทรงจำที่มีอยู่อย่างมากมาย
‘รสผลไม้รวมอร่อยดี’
‘ถ้าทำอะไรให้มึง มึงถึงจะให้นมเปรี้ยวใช่ป่ะ ถ้างั้นมึงก็อย่าเอาไปให้คนอื่นนะ ให้แต่กูคนเดียวเท่านั้น’
‘มึงสังเกตป่ะ เวลาที่เราสองคนอยู่ด้วยกันอ่ะ นมเปรี้ยวจะเป็นสองกล่องตลอด’
‘ฉิบหายละ มึงทำให้กูเสพติดการแดกนมเปรี้ยว’
‘ตอนนี้กูเห็นนมเปรี้ยวแล้วนึกถึงมึงตลอดมึงเลย เพราะเห็นแล้วอยากแดก’
เฮ้อ...นมเปรี้ยวแค่นี้มีความหมายนับล้านเลยนะ
ผมห่างหายจากวงการการดื่มนมเปรี้ยวไปนานเพราะดื่มแล้วนึกถึงใครบางคน คนๆ นั้นคือคนที่เป็นเจ้าของคำพูดหลายบรรทัดข้างบนนั่นแหละ
ว่าแล้วก็ไปซื้อแดกสักหน่อยดีกว่า
มือของผมเปิดตู้แช่ออกมา ก่อนจะเอื้อมไปหยิบนมเปรี้ยวรสผลไม้รวมสีเขียว ใครเล่าจะรู้ว่าจู่ๆ ก็มีมือจากไหนก็มิอาจทราบได้เอื้อมมาหยิบด้วย
ไอ้สัด...กูหยิบก่อน
แต่ทำไมแหวนที่นิ้วกลางของมันแม่งคุ้นฉิบหายเลยวะ
ผมหันไปหาตัวต้นเหตุ...เมื่อได้เห็นแล้วผมก็แทบจะทรุดตัวลงไปกองกับพื้น
ไม่รู้ดีหรือไม่ดีที่คนคนนั้นแม่งพยุงตัวผมเอาไว้ได้ทัน
คนที่อยู่ตรงนี้แม่งอย่างกับคนในความฝัน ผมไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่ามันจะมาอยู่ที่นี่และก็ตรงนี้ โอกาสแม่งเรียกได้ว่าแทบจะเป็นหนึ่งในล้าน แต่มันก็มา...มายืนอยู่ตรงนี้จริงๆ ขอขยี้ตาสักล้านที แต่ถ้าทำไปมันก็คงไม่เท่ เอาเป็นว่ายืนอึ้งเฉยๆ ดีกว่า
เพราะไอ้เหี้ยนี่มันคือคนที่อยู่ในความทรงจำเกี่ยวกับนมเปรี้ยวของผมคนนั้นนั่นแหละ!
“พี่เป็นไรมั้ยครับ”
ถ้อยคำห่างเหินทำเอาผมกลับมีสติอีกครั้ง ผมรีบปิดตู้แช่อาม่าก่อนจะกระแอมไอ เงยหน้าขึ้นมองมันพลางทำสีหน้าให้มันคูลที่สุดในชีวิต
“มึงจำกูไม่ได้เหรอ” ใจผมสั่นอย่างเจ็บปวดรวดร้าวไปหมดระหว่างที่ถามคำถามนั้น
นัยน์ตาคมมองมาที่ผมด้วยแววตาไร้อารมณ์
“กู...กล้าหาญไง” ผมลองย้ำดู เผื่อที่ผ่านมาแม่งจะสะดุดก้อนหินล้มหัวฟาดพื้นจนความจำเสื่อม
ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้มีความยินดียินร้ายอะไรทั้งสิ้น
“ส่วนมึงก็คือ...นายท่าน” แสดงออกให้เห็นอย่างเต็มที่ว่าผมจำแม่งได้
“พี่จะเอาอะไรมั้ยครับ ถ้าไม่เอาผมขอหยิบนะ”
ไอ้นี่มันชื่อนายท่านจริงๆ นะ ยังไงมันก็ชื่อนายท่าน ผมถูกมันตามตื๊อตามจีบอยู่นานเป็นปี ทำไมผมจะจำมันไม่ได้
มันต่างหากที่แกล้งทำเป็นจำผมไม่ได้
“เดี๋ยวหยิบให้” ผมรีบบอกมัน “รสผลไม้รวมใช่มั้ย”
ตอนมันจีบผมมันแดกรสนี้เป็นร้อยๆ กล่องเลยมั้ง
“เปล่าครับ รสส้ม”
ไอ้เหี้ย...ว่าไงนะ
“ผมชอบรสส้ม ผมไม่เคยชอบรสผลไม้รวมเลย” ฟ้าผ่ากลางกบาลผม...
ไม่จริงใช่มั้ย
“แต่ทำไมตอนนั้นถึงได้...” ถึงได้บอกว่าชอบวะสาด!
นายท่านทำเสียงรำคาญใส่ผม มันเดินไปที่หลังร้านเพื่อที่จะจ่ายตังค์ค่านมเปรี้ยวรสส้มกับอาม่าเจ้าของร้าน ทิ้งให้ผมยืนงง อีกทั้งยังเสียใจอย่าสุดซึ้งที่เข้าใจผิดมาตลอดคิดว่ามันชอบรสผลไม้รวม
แล้วความทรงจำที่ผ่านมาระหว่างเรา มันคือยังไงกันแน่วะ
ผมไม่ได้เจอมันมาสองปีกว่าแล้ว การกลับมาของมันทำเอาผมเจ็บปวดตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน
มันคือไอ้นายท่าน...ผู้ที่บล็อกผมทุกช่องทางมาตลอดกว่าหกร้อยวัน
“น้องกล้า เอาข้าวมั้ย ข้าวน่ะ!” ป้าปอยถึงขนาดใช้ตะหลิวเคาะไปที่กระทะเพื่อเรียกผมเลยทีเดียว
“เอาครับป้า”
ให้ตายเถอะ...กลับมาเจอผู้ชายในอดีตทีถึงกับไม่มีสติเลยกู TBC*มาเปิดเรื่องใหม่แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
ฝากนายท่านกับกล้าหาญด้วยนะคะ : )