◤Love You Again : รักคุณคนเดิม◢
เราได้ทำการแก้ไขเซตติ้งของเรื่องจากจังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดกระบี่นะคะ
เนื้อหาไม่ได้เปลี่ยนไปมาก ต้องขออภัยในความไม่สะดวกสำหรับผู้ที่อ่านแล้วมา ณ ที่นี่ ด้วยนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ
BitterSweet
บทที่ 5 : คุณผู้เป็นที่รัก อัศวินความจำเสื่อมมาได้ครบหนึ่งอาทิตย์แล้ว
กิจวัตรประจำวันของเขาค่อนข้างเรียบง่าย ตื่นเช้า อาบน้ำ ลงมาร้านกาแฟกับขุนฟ้า คอยช่วยอะไรเล็กๆ น้อยๆ รอจนร้านปิด กลับขึ้นห้อง อาบน้ำ นอน
ถึงแม้จะเป็นตารางชีวิตซ้ำๆ แต่เขาไม่เคยนึกเบื่อ เพราะแค่มองขุนฟ้าทำงาน ก็รู้สึกเพลิดเพลินไปได้ตลอดทั้งวัน
แต่ช่วงสายของปลายสัปดาห์ อยู่ๆ ก็มีเสียงเรียกเข้าจากสมาร์ทโฟนของเขา
"ไง ไอ้วินนักรัก"
คนที่เรียกชื่อเขาว่า 'ไอ้วินนักรัก' แทน 'อัศวิน' ก็มีแค่เพื่อนสนิทของเขาคนเดียวตั้งแต่เรียนมัธยมจนถึงมหา'ลัย...ไอ้โปเต้ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รู้เรื่องอุบัติเหตุความจำเสื่อมของเขา เลยยังสนทนาทักทายกันเป็นปกติ
"คืนนี้มึงว่างเปล่า กูบินมากระบี่เนี่ย มากินข้าวด้วยกันหน่อยไหม"
“คืนนี้เหรอ?"
อัศวินเหลือบตามองบาริสต้าที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ หากขุนฟ้าไม่ได้แสดงสีหน้าห้ามปรามอะไร มีแต่เสียงจากปลายสายที่พยายามเร่งเร้า
"เออ มึงห้ามเบี้ยวนะโว้ย กูว่าจะเอาการ์ดงานแต่งมาให้มึงด้วย”
"ฮะ!? การ์ดงานแต่ง...ของใคร?"
"ก็ของกูไง นี่มึงลืมเหรอวะ กูจะแต่งกับจ๊ะเอ๋เดือนหน้าเนี่ย กูมากระบี่เพราะจะมาคอนเฟิร์มสถานที่จัดงานแล้ว"
"จ๊ะเอ๋ เนี่ยนะ!?"
"อะไรของมึง ทำไมต้องทำเสียงตกใจขนาดนั้น"
...จะไม่ให้ตกใจได้ยังไง เพราะในความทรงจำของเขา 'จ๊ะเอ๋' เป็นผู้หญิงสายห้าวๆ ลุยๆ เรียกว่ามีลักษณะสมชายมากกว่าผู้ชายแท้ๆ เสียอีก ซ้ำยังพูดจาตรงๆ ไม่เกรงกลัวใคร เลยมักจะมีเรื่องบาดหมางกับคนอื่นไปทั่ว โดยเฉพาะ 'ไอ้โปเต้' นับเป็นคู่กัดประจำ เจอหน้ากันทีไร เขาก็ต้องเป็นกรรมการคอยห้ามมวยอยู่ร่ำไป ไม่น่าเชื่อว่า ท้ายที่สุดทั้งสองจะมาลงเอยกันได้
สามปีที่ทำความทรงจำหล่นหาย คงทำให้เขาพลาดเรื่องราวไปมหาศาล
"ยังไงมึงก็ต้องมาเจอกูนะ นัดไว้ทุ่มหนึ่ง กูเลือกร้านไว้แล้ว เดี๋ยวกูส่งโลเคชั่นไปให้ในไลน์"
"ได้ คืนนี้เจอกัน”
ข่าวล่ามาแรงขนาดนี้มีหรือจะพลาด แต่ครั้นตกปากรับคำและวางสายไปเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่วายหันมาถามความเห็นจากอีกคน
“เออ...คืนนี้ผมขอออกไปคุยธุระกับเพื่อนได้ไหมครับ"
"อยากไปก็ไปสิ ไม่เห็นต้องมาขออนุญาตผมเลย"
ขุนฟ้าเอ่ยโดยที่ดวงตายังไม่ละจากหนังสือ คล้ายไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องใหญ่โต ตรงข้ามกับเหตุผลของอัศวิน
"...ก็ผมกลัวคุณจะเหงา"
ดวงตาคมตวัดฉับขึ้นมาทันควัน พร้อมคำพูดเสียงขุ่น
"ใครเหงากัน!"
"ไม่มีครับ"
อัศวินส่ายหัวดิก เมื่อสัมผัสถึงรังสีความไม่พอใจรุนแรง
ขุนฟ้าจึงก้มหน้าลงไปอ่านหนังสือที่ค้างไว้ดังเดิม กระนั้นก็ยังฝากประโยคทิ้งท้าย
“คุณคงไม่คุ้นทางแถวนี้ เดี๋ยวผมขับไปส่งที่ร้านก็แล้วกัน"
...ไม่มีคนเหงา แต่มีคนเป็นห่วง
จริงด้วยสินะ...ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เขาน่าจะถามเรื่องราวสมัยที่เขาจีบขุนฟ้าจากไอ้โปเต้ด้วย เพราะยังไงเพื่อนสนิทของเขาก็น่าจะรู้อะไรบ้าง เผื่อจะได้เอาข้อมูลมาเติมเต็มช่องว่างในความทรงจำของตัวเองอีกทาง
อัศวินชักจะรู้สึกตื่นเต้น นึกอยากให้ถึงเวลานัดๆ เร็ว
แน่นอนว่า...ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะข่าวงานแต่งของเพื่อนอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว
♡
เมื่อใกล้ถึงเวลานัด ร้านคาเฟอีนก็มีกำหนดปิดเร็วกว่าปกติ เพราะขุนฟ้าจำต้องเป็นสารถีขับรถส่งอัศวินไปยังร้านอาหาร
พวกเขาขึ้นรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นคันสีดำ ระหว่างทางผู้โดยสารก็ดันนึกสงสัยขึ้นมา
"ปกติผมหรือคุณเป็นคนขับรถเหรอครับ?"
"ผลัดกัน"
"แสดงว่าผมมีใบขับขี่แล้วน่ะสิ"
ถึงจะดีใจที่ตัวเองเติบโตขึ้นอีกนิดหน่อย แต่เพราะความทรงจำหยุดแค่ตอนเป็นนักศึกษา ทำให้สกิลการขับรถถูกลบเลือนหายไปด้วย กระนั้น ไม่ใช่เรื่องยากลำบากที่จะรื้อฟื้น เนื่องจากเขามีครูประจำตัวอยู่ใกล้ๆ
"จริงๆ ผมเป็นคนสอนคุณขับรถเอง"
“เอ๊ะ? เหรอครับ”
มาคิดดูก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะความที่ขุนฟ้าอายุมากกว่า ย่อมต้องมีทักษะประสบการณ์เหนือกว่าเขา ดูเหมือนว่าในอดีตก่อนจะความจำเสื่อม อัศวินคนเก่าจะพึ่งพาอีกฝ่ายไม่ใช่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ความเป็นผู้ใหญ่ของเจ้าตัวยังฉายชัด เมื่อถึงร้านอาหารในตัวเมือง คนขับก็จอดรถพลางหันมาพูด
“จะกลับก็โทรมาหาผมแล้วกัน”
“อ้าว แล้วไม่ไปกินข้าวด้วยกันเหรอครับ
“ไม่เป็นไร ให้คุณไปสนุกกับเพื่อนเถอะ”
ขุนฟ้าให้พื้นที่ส่วนตัวกับเขาอย่างเต็มที่ โดยไม่ได้นึกหวงหรือต้องมาตามตัวติดกันแจ เพราะกลัวว่าจะออกนอกลู่นอกทาง
คู่รักที่ทำเช่นนี้ได้ต้องมีพื้นฐานของความไว้ใจให้กันและกัน เช่นเดียวกับเพื่อนสนิทของเขา แม้โปเต้จะมาดูเรื่องสถานที่จัดงานแต่งกับแฟน แต่จ๊ะเอ๋ก็อนุญาตให้มาสังสรรค์ตามประสาลูกผู้ชายแบบฉายเดี่ยว และยังได้อัพเดทข่าวคราวของเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน
"อะไรนะ มึงความจำเสื่อม!”
ดวงตาเรียวเล็กเบิกกว้าง หลังจากที่อัศวินเล่าเรื่องตัวเองให้ฟัง
โปเต้ ยังเป็นเหมือนเมื่อสามปีก่อนราวกับถูกสตาฟไว้ ทรงผมสั่นไถเกรียนแทบจะติดหนังหัว ใส่แว่นตาเสริมภาพลักษณ์ให้แลดูเนิร์ดๆ แต่อย่าให้มันได้อ้าปากพูดขึ้นมาเชียว เพราะความกวนตีนของมันเข้าขั้นเซียน แม้แต่กับเพื่อนด้วยกันก็ยังไม่เว้น
“แล้วหนี้ที่มึงยืมตังค์กูไปห้าล้าน มึงก็ลืมด้วยอ่ะดิ"
"กูแค่ความจำเสื่อม ไม่ได้โง่นะเว้ย กูไม่มีทางยืมเงินมึงขนาดนั้นอยู่แล้ว"
"โธ่...อดเลย"
คนตีเนียนแสร้งทำหน้าเศร้า เพราะแผนตัวเองถูกจับได้ไวเกินไป
หลังจากพูดแซวแหย่เล่นกันพอเป็นพิธี เรียกให้บรรยากาศเก่าๆ ของความสนิทสนมหวนกลับคืนมา อัศวินก็เปิดฉากเข้าประเด็นตรงๆ
"ว่าแต่ ตกลงมึงกับจ๊ะเอ๋ เรื่องเป็นไงมาไง”
"ก็ไม่มีอะไร ตอนวันบายเนียร์ กูเมา จ๊ะเอ๋ก็เมา กูไปส่งจ๊ะเอ๋ที่ห้อง แล้วก็ได้กัน หลังจากนั้นก็คบมาเรื่อยๆ จนพาไปเจอพ่อแม่ แล้วก็นัดวันแต่งงาน"
"เดี๋ยวๆ นี่มึงข้ามรายละเอียดเยอะเกินไปรึเปล่า"
คนฟังประท้วงเนื้อหาที่รวบรัดตัดความแบบม้วนเดียวจบ
"จะให้กูเล่าเรื่องความรักของตัวเองมันก็เขินนี่หว่า"
ไอ้โปเต้ยกมือเกาต้นคอเก้อๆ บ่งบอกได้ว่ามันคงอายจริงๆ
...ไม่เป็นไร ถ้าไม่อยากเล่าเรื่องความรักของตัวเอง งั้นเล่าเรื่องความรักของคนอื่นแทนก็น่าจะพอได้
"งั้นมึงรู้เรื่องคนที่กูคบอยู่ด้วยไหม"
"พี่ขุนน่ะเหรอ? เออ มึงความจำเสื่อมแบบนี้ ก็จำเรื่องที่มึงคบกับพี่ขุนไม่ได้ใช่ไหม?"
"ใช่ กูเลยต้องขอให้มึงเล่าให้ฟังไงว่ามันเริ่มได้ยังไง"
คนนึกย้อนอดีตใช้มือลูบปลายคางทบทวนความทรงจำ ก่อนจะค่อยๆ เริ่มต้นสาธยาย
"ตอนเรียนปีสี่ มึงไปเจอเขาที่ร้านกาแฟ แล้วหลังจากนั้นมึงก็เที่ยวไปที่นั้นทุกวัน ทั้งๆ ที่อยู่ห่างจากม.โคตรไกล กูนี่นับถือในความพยายามของมึงเลย"
เรื่องนั้นพอจะรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง แต่เชื่อว่ายังมีเบื้องลึกเบื้องหลังอีกมากที่อัศวินยังคงสงสัย
"แล้วเขาโอเคเหรอวะที่กูเป็นผู้ชายไปจีบ"
"อันนี้กูไม่รู้ว่ะ แต่กูแปลกใจมึงมากกว่า มึงไม่สับสนตัวเองเลยสักนิด แล้วก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรด้วย เล่นเอาสาวๆ อกหักกันหมด เสียชื่อไอ้วินนักรักฉิบหาย”
ฉายา 'ไอ้วินนักรัก' ไม่ใช่ตั้งขึ้นมาเล่นๆ เพราะอัศวินเป็นถึงอดีตเดือนคณะนิติศาสตร์ เลยมีผู้หญิงเข้าคิวขอดูใจอยู่หลายคน แล้วพ่อหนุ่มเนื้อหอมก็สนองด้วยการสับราง นัดกินข้าวกับคนนู้นบ้าง นัดดูหนังกับคนนี้บ้าง เรียกได้ว่าเผื่อแผ่ความรักไปอย่างทั่วถึง
"อย่าว่าแต่มึงเลย กูก็งงตัวเองเหมือนกัน ไม่รู้ทำไมถึงได้ไปจีบเขา"
อัศวินยังจำความรู้สึกกระอักกระอ่วนที่เขาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า ตนเองมีแฟนเป็นผู้ชายหน้าโหดๆ มาดนักเลงได้แม่น
"เห็นมึงบอกว่า พี่ขุนน่ารักดีเลยติดใจ"
...น่ารัก?
จะว่าไป...ตลอดระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ใช้ชีวิตร่วมกัน ก็มีบางโมเมนต์ที่เขาคิดแบบนั้นอยู่หรอก
"แต่เวลากูเจอเขา กูจะรู้สึกเกร็งๆ ทุกทีเลย ก็พี่เค้าดูดุๆ อ่ะ ไม่รู้มึงมองว่าน่ารักได้ยังไง"
เพื่อนสนิทให้ความเห็น พลางยกเบียร์ขึ้นดื่มไปด้วย แต่อยู่ๆ อัศวินก็ตบโต๊ะเสียงดังปัง! เล่นเอาแทบสำลัก ซ้ำยังร่ายข้อแก้ต่างออกมายาวเหยียดแบบนอนสต็อป
"น่ารักสิ!...อย่างเวลาที่เขาเขิน แต่แกล้งทำเป็นปากแข็งใส่ก็น่ารัก หรืออย่างเวลาที่เขามองกู แต่พอกูหันกลับไปมองบ้าง เขาก็รีบหันหนีไปทางอื่น แบบนี้ก็น่ารัก...ยิ่งเห็นหน้าตาเขาตอนนอนด้วยนะ โอยย...น่ารักจะตาย"
คนนั่งตรงข้ามกระพริบตาปริบ เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
"นี่มึงความจำเสื่อมจริงๆ รึเปล่าเนี่ย"
"ทำไมล่ะ?"
"เมื่อก่อนมึงก็มาพร่ำเพ้อทำนองนี้ว่า พี่ขุนน่ารักอย่างโน้น น่ารักอย่างนี้ กูฟังจนเอือม"
...อ้าว? นี่เขาเผลอทำอะไรแบบเดิมโดยไม่รู้ตัวอีกแล้วเหรอเนี่ย
"สงสัยเป็นสัญชาตญาณกูมั้ง"
"ก็ดีแล้ว ถึงความจำเสื่อม แต่ดูเหมือนมึงจะยังชอบคนๆ เดิมอยู่"
อัศวินไม่ตอบอะไร ได้แต่ดื่มเบียร์เพิ่มเข้าไปอีกอึกหนึ่ง
...เรื่องชอบขุนฟ้าเท่าตัวเขาคนเก่าไหมยังไม่แน่ใจเท่าไร
แต่ที่มั่นใจในตอนนี้ ก็คือ...
...เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจขุนฟ้าเลยสักนิดเดียว
♡
หลังจากดวดเบียร์กับไอ้โปเต้ไปหลายขวด นั่งยาวในร้านเหล้าตั้งแต่หนึ่งทุ่มถึงเที่ยงคืน ฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็เริ่มส่งผล หนุ่มแว่นคออ่อนล้มฟุบไปกับโต๊ะเรียบร้อยแล้ว จนเขาต้องออกแรงเขย่าตัวเรียกสติ
"เฮ้ย! มึงตื่นขึ้นมาก่อน กูไม่รู้มึงพักอยู่แถวไหนนะ"
"เมิงเอามือถือปายยย โทรหาเมียกูห้ายยหน่อยยย เอิ้กก"
เพื่อนสนิทพูดเสียงอ้อแอ้ แล้วโยนสมาร์ทโฟนส่งมาให้ ลำบากเขาที่ต้องกดไล่หาชื่อแฟนมัน แต่ปรากฏว่าไม่มีชื่อ 'จ๊ะเอ๋' อยู่ในลิสต์โทรศัพท์ เพราะไอ้โปเต้มันเล่นเมมชื่อแฟนไว้ว่า 'เมียจ๋า'
ถ้าไม่ติดตรงที่ต้องช่วยเพื่อน อัศวินคงจะเก็บเรื่องนี้ไปพูดแซวจนลูกมันบวช แต่ด้วยสามัญสำนึกของความเป็นคนดี เขาเลยทำแค่เพียงโทรออกไปหาจ๊ะเอ๋ แล้วคุยให้อีกฝ่ายมารับว่าที่เจ้าบ่าวกลับที่พักเท่านั้น
...ในเมื่อหายห่วงเรื่องเพื่อนแล้ว ทีนี้ก็เหลือเรื่องของตัวเอง
อัศวินหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดบ้าง ตั้งใจจะโทรออกไปหาขุนฟ้า ตามที่เจ้าตัวเคยบอกไว้ว่าจะมารับ แต่ไม่คิดเลยว่า เขาจะเจอสถานการณ์เดียวกันกับไอ้โปเต้
ในลิสต์รายชื่อเบอร์โทรศัพท์ ไม่พบชื่อของ 'ขุนฟ้า'...มีเพียงชื่อที่บันทึกไว้ว่า 'สุดที่รัก'
ซึ่งคนที่จะเป็น 'สุดที่รัก' ของอัศวินคนเก่าได้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคือใคร
เขาไม่รอช้า กดโทรติดต่อโดยปราศจากความลังเล สัญญาณดังแค่สามครั้ง ปลายสายก็โต้ตอบกลับมา
"ฮัลโหล"
"สุดที่รักครับ ช่วยมารับผมได้ไหมครับ"
เผลอหลุดปากออกไปโดยไม่รู้ตัว อย่าว่าแต่อัศวินที่งง ทางฝั่งของขุนฟ้าเองก็ถึงกับอึ้งในคำเรียกขาน
"ฮะ!? พูดอะไร เมาเหรอ"
"อืม นิดหน่อย"
...ก็คงเพราะเมาจริงๆ นั่นแหละถึงได้ทำเรื่องที่ปกติไม่มีทางทำ
อัศวินยอมรับว่าตัวเองชักจะไม่ไหว เขาได้ยินเสียงกุกกักจากอีกฝั่ง คล้ายเสียงกระทบกันของกุญแจรถ ตามมาด้วยคำพูดก่อนจะตัดสาย
"รอแป๊บเดี๋ยวไป"
ระหว่างนั้น อัศวินก็เรียกพนักงานเช็คบิลให้เรียบร้อย ใช้เวลารอประมาณสิบห้านาที คนรับพวกเขาทั้งคู่ก็มาถึงแทบจะพร้อมๆ กัน
"ไม่เจอกันตั้งนานเลยเนอะวิน โทษทีนะที่ต้องมาคอยดูแลโปเต้ให้"
จ๊ะเอ๋ เปลี่ยนไปจากในความทรงจำของเขาค่อนข้างมาก ดูนุ่มนวลและอ่อนหวานขึ้นกว่าเก่า อาจเพราะกำลังจะกลายเป็นเจ้าสาว หรือไม่ก็เพราะต้องคอยอยู่เคียงข้างเพื่อนที่ไม่ค่อยดูแลตัวเองของเขา
"เมิงอย่าลืมตัดชุดสูทเพื่อนเจ้าบ่าวมาด้วย งานกูธีมสีน้ำเงินเนวิลบลู พี่ขุนก็มาด้วยน้าาา"
โปเต้ยังคงส่งเสียงย้ำเตือน ขณะที่จ๊ะเอ๋หิ้วปีกแฟนที่หมดสภาพขึ้นรถ สวนทางกับขุนฟ้าพอดี ซึ่งคนถูกชวนก็ตกปากรับคำ
"ได้ พี่จะไป"
"ขอบคุณคร้าบบบ แล้วกันเจอกันโว้ยไอ้วินนักร้ากกก"
คนเมาโบกไม้โบกมือร่ำลาทิ้งท้าย ท่ามกลางกลิ่นแอลกฮออล์คละคลุ้งที่ไม่รู้ว่ากินหรืออาบ ทำเอาขุนฟ้าต้องหันไปถามเพื่อนร่วงวงเหล้าด้วยกัน
"คุณโอเคไหม"
"โอเคครับ ยังไหวอยู่"
อัศวินยังเดินได้ตรง พูดรู้เรื่อง แค่กรึ่มๆ มึนๆ เล็กน้อยเท่านั้น แล้วก็รู้สึกว่าหนังตามันหนักๆ ยังไงชอบกล
"กลับกันเถอะ"
ขุนฟ้าสตาร์ทรถ ส่วนเขาก็รัดเข็มขัดตรงเบาะนั่งผู้โดยสาร โดยมีเสียงวิทยุเล่นเพลงรักคลอมาเบาๆ สงสัยคนขับคงจะเปิดทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ เพิ่มให้บรรยากาศผ่อนคลาย ไหนจะมีแอร์เย็นๆ ที่เป่าโดนตัวให้ความรู้สึกแสนสบาย จนทำให้ค่อยๆ เคลิ้มทีละนิด
"หลับแล้วเหรอ?"
"..."
ได้ยินเสียงถาม ทว่าอัศวินยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น ไม่พูดตอบอะไร ปล่อยให้ความเงียบค้างอยู่ในรถครู่หนึ่ง
และแล้วในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น เขาก็ได้ยินเสียงเรียกครั้งที่สอง...
"ที่รักครับ?"
...เอ๊ะ? นี่เขาหูฝาดรึเปล่านะ ถึงได้ยินขุนฟ้าเรียกเขาว่า 'ที่รัก'
เป็นไปไม่ได้หรอก...คงเพราะเมาแน่ๆ เลยฟังเพี้ยนไป เขาคงสับสนกับชื่อที่บันทึกไว้ในโทรศัพท์ถึงขนาดเก็บเอามาฝัน เพราะหลังจากนั้นพอลองเงี่ยหูฟังอีกรอบ เขาก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม...อัศวินยอมรับว่า ถ้านี่ไม่ใช่ความฝัน
เขาก็อยากฟังขุนฟ้าเรียกเขาว่า 'ที่รัก' ชัดๆ ด้วยสภาพไม่เมาแบบนั้นสักครั้งหนึ่ง
♡
อัศวินถูกประคองกลับมาจนถึงห้อง
ตอนดื่มเสร็จใหม่ๆ ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเมาหนัก แต่พอจะก้าวลงจากรถ ทำไมรู้สึกว่าพื้นมันเอียงๆ ขาเซไปเซมาเหมือนพลังกายมันหมดแรงเอาดื้อๆ
ลำบากขุนฟ้าที่ต้องมาคอยแบกร่างหนักๆ ของเขาขึ้นบ้าน แล้วบริการลากมาส่งถึงเตียงนอน
"ออโอษอ้วยนะคร้าบบ"
คนเมาพูดเสียงอู้อี้กับหมอน ทั้งๆ ที่แทบจะลืมตาไม่ขึ้น พร้อมจะละทิ้งสติไปสู่โลกแห่งความฝันได้ทุกเมื่อ ทว่าหูก็ยังได้ยินเสียงบ่นคล้ายลอยมาจากที่ไกลๆ
"คราวหลังก็อย่าดื่มหนักขนาดนี้สิ รู้ว่ามันติดลม แต่ก็ต้องดูลิมิตของตัวเองด้วย"
"คร้าบบบๆ"
อัศวินตอบรับแบบขอไปที เพราะความง่วงกำลังเข้าจู่โจมอย่างหนักหน่วง เขาปล่อยร่างกายให้นอนนิ่งๆ กระนั้นก็ยังสัมผัสถึงอะไรบางอย่างหยุกหยิกๆ อยู่แถวหน้าอก ก่อนความเย็นจะวาบผ่านผิวเปลือยเปล่า
เสื้อเชิ้ตถูกถอดออกไปแล้ว ตามด้วยกางเกงยีนต์ ตอนนี้ร่างกายของคนนอนจึงเหลือเพียงชั้นในกับบ็อกเซอร์
อุณหภูมิในห้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ทำให้รู้สึกหนาวขึ้นมานิดๆ แต่ยังดีที่เพียงไม่นาน เขาก็ได้รับความอุ่นสบายจากผืนผ้าขนหนูที่มาลูบไล้ไปตามตัว
เสียงบิดผ้าสลับกับการที่ขาแขนถูกเช็ดทำความสะอาดวนเวียนอยู่แบบนั้นพักใหญ่ โดยอัศวินก็ไม่มีหืออือ นอนนิ่งเป็นตุ๊กตาให้ขุนฟ้าจับใส่เสื้อนอนจนเรียบร้อย
กระทั่ง ในที่สุด สวิสซ์ไฟภายในห้องก็ถูกดับลง เหลือเพียงความมืด
เตียงขนาดคิงไซต์ทางด้านซ้ายยวบลงตามแรงน้ำหนัก ก่อนที่ผ้าห่มจะคลุมตัวของเขาไว้เพิ่มความอุ่น
...หากยังมีอีกหนึ่งสัมผัสที่มอบไออุ่นมากไปกว่านั้น
ร่างที่นอนเคียงกันขยับเข้ามาใกล้ พร้อมกับวาดอ้อมแขนมากอดตัวคนเมาซึ่งยังคงนอนไม่รู้เรื่อง เอ่ยคำราตรีสวัสดิ์ทิ้งท้าย
"ฝันดีนะ"
แล้วขุนฟ้าก็เข้าสู่ห้วงนิทราตามไปในเวลาไม่นาน...
...โดยไม่รู้เลยว่า คนข้างกายลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยการครองสติสมบูรณ์
อัศวินมองขุนฟ้าที่หลับสนิท แม้จะเมา แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดเสียการควบคุม ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการแสดงให้โอเวอร์ไปงั้นเอง จึงรับรู้ทุกการกระทำที่อีกฝ่ายคอยดูแลอยู่ตลอด
...จะมีใครคอยทำให้กันถึงขนาดนี้บ้าง ถ้าไม่ได้รักกันจริงๆ
แล้วเขาล่ะ?....รักขุนฟ้าจริงๆ รึเปล่า?
เป็นคำถามที่ไม่รู้จะตอบยังไง นึกเจ็บใจตัวเองที่ความทรงจำระหว่างเขากับขุนฟ้าหายไปจนหมดเกลี้ยง และไม่แน่ใจว่ามันจะกลับคืนมาได้เหมือนเดิมไหม
แต่เมื่อมองเห็นแขนที่โอบกอดเขาอยู่ อัศวินก็ปล่อยวางความสับสนลง กระซิบถ้อยคำถึงขุนฟ้าเบาๆ
"ฝันดีครับ”
ไม่เป็นไร...เรื่องของวันพรุ่งนี้ก็ให้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ในค่ำคืนนี้จะมีคนหลับฝันดีเหมือนกันสองคน
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
To be continue