PART 1PART 2Part 3
เปิดเรียนได้แค่สองอาทิตย์ นักเรียนที่สอบเข้าด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง ก็ต้องหยุดเรียนเพราะไข้ขึ้นสูงจากการวิ่งตากฝนกลับบ้าน ร้อนถึงเพื่อนสนิทและเพื่อนใหม่ต้องหอบหิ้วกันมาเยี่ยมด้วยความเป็นห่วง รถยนต์ที่คีย์เพื่อนใหม่ขับมาพร้อมกับมีคู่ป่วนอย่างสไปรท์และโชนติดรถมาด้วยนั้นขับมาจอดที่หน้าบ้านหลังย่อมย่านชานเมือง
“บ้านนี้ใช่ไหม”
คีย์ถามพร้อมดับเครื่องยนต์
“อืม ตามที่สีน้ำให้ไว้ก็เลขที่นี้แหละ ป่ะ ลงไปเยี่ยมสีน้ำกัน”
สไปรท์เปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับออกไปรอที่หน้าบ้าน
“ไอ้น้ำป่วยรับการเปิดเทอมเลย แต่ถ้ามันบอกว่าไม่ได้เอาร่มมานะ ฉันจะได้เอาร่มให้มันไป”
โชนบ่นพึมพำ ด้วยเพราะสนิทกับสีน้ำมานานเลยรู้ถึงสุขภาพของเพื่อนรักเป็นอย่างดี
“เสร็จหรือยังจะได้กดออด”
สไปรท์ที่บอกไปแบบนั้นแต่มือกลับกดออดหน้าบ้านแล้ว ไม่นานประตูหน้าบ้านก็เปิดออกพร้อมร่างของมารดาเพื่อนรัก
“สวัสดีครับคุณแม่”
สองเสียงประสานพร้อมใจกันทักทายคุณแม่ยังสาวของสีน้ำ
“สไปรท์ โชน สวัสดีจ๊ะ มาเยี่ยมสีน้ำหรอลูก เอ๊ะ แล้วหนูคนนี้ใคร หน้าตาน่ารักเชียว”
คุณแต้วเดินมาเปิดประตูรั้วเพื่อให้ทั้งสามได้เข้ามาในบริเวณบ้าน
“อ้อ คีย์ฮะ เป็นเพื่อนที่คณะ”
“สวัสดีครับคุณแม่ คีย์บอร์ดครับ”
“จ๊ะ ขอโทษทีนะจ๊ะทำให้ต้องลำบากมาเยี่ยมสีน้ำ”
“ไม่เลยฮะ พวกผมต่างหากที่ไม่ดี วันนั้นน่าจะถามสีน้ำสักหน่อยว่ามีร่มไหม รู้อยู่ว่ามันไม่ค่อยพูดอะไร”
สไปรท์รีบตอบออกมา
“ขอบคุณมากเลยนะที่ช่วยคอยดูแลสีน้ำให้แม่ด้วย รายนั้นน่ะตัวโตซะเปล่า ไม่ค่อยระวังตัวเท่าไรเลย ตอนนี้คงตื่นแล้วล่ะลูก ขึ้นไปหาเลยก็ได้นะจ๊ะ ห้องแรกทางซ้ายจ๊ะ เดี๋ยวแม่เอาของว่างขึ้นไปให้”
“ขอบคุณครับ”
เมื่อส่งเพื่อนสนิทของลูกชายขึ้นไปแล้ว คุณแต้วก็เดินไปในครัวเพื่อเตรียมของว่าง ส่วนทั้งสามเมื่อขึ้นไปถึงชั้นสองก็เคาะประตูที่หน้าห้องติดไว้ว่า “สีน้ำและพุดดิ้ง”
“ไอ้น้ำ หลับอยู่หรือเปล่า”
สไปรท์ที่เปิดประตูเข้าไปพูดขึ้นซะดังจนโชนฟาดกระโหลกไปซะที
“ไอ้ไป๊ แกถามดังแบบนี้ใครนอนอยู่ก็ตื่นหมดแล้ว”
“สีน้ำเป็นไงมั่ง เห็นว่าไม่สบายหนัก?”
คีย์ปล่อยให้ทั้งสองเถียงกันอยู่หน้าประตู ส่วนตัวเขาเดินเข้ามาหาสีน้ำที่นั่งเอนหลังพิงหมอนใบใหญ่อยู่บนเตียง ใบหน้าขาวจัดดูแดงเรื่อ แต่ในมือก็ยังมีหนังสือเรียน แสดงว่าเจ้าตัวคงกำลังอ่านหนังสืออยู่
“มาเยี่ยมหรอ ขอบใจนะ”
รอยยิ้มเซียวๆ จากริมฝีปากสีซีดดูน่าเป็นห่วง สีน้ำคงเห็นแววตาเป็นห่วงของคีย์จึงพยายามยิ้มให้กว้างขึ้น
“ไม่ได้เลวร้ายหรอกน่าคีย์ ฉันน่ะเป็นหวัดง่าย ไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าไร พอเป็นทีเลยดูแย่”
“อืม พวกนี้ก็เล่าให้ฟังว่าเด็กๆ นายไม่ค่อยแข็งแรง ไงวันหลังฝนตกอีกให้ฉันขับมาส่งก็ได้นะ ปกติฉันขับรถไปเรียนอยู่แล้ว”
“ขอบใจมาก”
ระหว่างที่คีย์สอบถามอาการของสีน้ำอยู่นั้น สไปรท์และโชนก็เดินไปสอดส่องสัตว์โลกตัวเล็กที่นอนอยู่ปลายเตียงของสีน้ำ
“นี่สีน้ำ มันฉีดยาหรือยังเนี่ย ดูมอมแมมมากๆ นายไม่อาบน้ำให้มันหรอ”
พุดดิ้งเงยหน้ามามองสไปรท์และโชนที่มาด้อมๆ มองๆ แล้วก็แยกเขี้ยวขู่ใส่
“แฮ่ แฮ่”
“มันขู่ด้วยว่ะ”
“พุดดิ้งไม่เอา แค่กๆ พุดดิ้งมานี่”
พอได้ยินเสียงเจ้านายเรียกพุดดิ้งก็เลิกสนใจคนแปลกหน้า กระโดดขึ้นเตียงไปนอนข้างๆ สีน้ำทันที
“สองคนนี้ห้ามขู่รู้ไหม เพื่อนฉันเอง”
“บ๊อก บ๊อก”
“เหมือนมันพูดรู้เรื่องเลยนะสีน้ำ”
คีย์ลองเอื้อมมือไปลูบหัวพุดเดิ้ลน้อยแล้วเจ้าตัวก็อยู่นิ่งๆ ให้จับแต่โดยดี
“อะไรกันวะสีน้ำ ทีกับคีย์ล่ะไม่เห็นขู่เลย”
โชนบ่นขึ้นมาเมื่อเห็นแบบนั้น
“หมามันคงกลัวจมูกโตๆ กับปากห้อยๆ ของแกมากกว่ามั้งไอ้โชน”
“ฉันว่ามันเห็นหน้าตาแกเป็นผู้ร้ายมากกว่าไอ้ไป๊”
“อ้าว พูดงี้ก็สวยดิ”
ก่อนที่เพื่อนทั้งสองคนจะทะเลาะกันจริงจัง สีน้ำก็หยุดการเถียงด้วยคำพูดประโยคเดียว
“จะเถียงหรือจะเอาการบ้านไปลอกดีๆ”
“ลอกกกกกก”
ทั้งสองพร้อมใจกันตอบแล้วเดินไปหยิบสมุดของสีน้ำมานั่งดูกันเงียบๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“สีน้ำทำการบ้านเสร็จหมดแล้วหรอ สูตรเคมีนั่นยากจะตายไปนะ”
“ก็นอนว่างๆ เลยเอามานั่งทำน่ะ”
ก๊อก ก๊อก
“แม่เอาของว่างมาให้จ๊ะ”
คุณแม่ของสีน้ำยกติ่มซำหน้าตาหน้ากินเข้ามา ตามด้วยชายหนุ่มผมทองหน้าตาดีที่ถือถ้วยชาตามมา
“ขอบคุณครับคุณแม่”
ทั้งคีย์ สไปรท์และโชนพร้อมใจกันไปรับของมาวางที่โต๊ะข้างหน้าต่าง พู่กันนั้นมองใบหน้าหวานของคีย์ไม่ละสายตาตั้งแต่เดินเข้ามาในห้อง ไม่สิ ตั้งแต่เขาเห็นคีย์ลงมาจากรถแล้ว
“อ้อ เด็กๆ นี่คุณพู่กัน เขาเป็นเพื่อนบ้านที่น่ารักที่สุดเลย ติ่มซำนี่ก็เป็นของทางร้านอาหารจีนที่คุณพู่กันเป็นเจ้าของด้วยนะจ๊ะ”
“ขอบคุณมากครับ”
“เรียกพี่กันก็ได้นะ แล้วเพื่อนสีน้ำกันหมดเลยหรอ”
ดวงตาเรียวของพู่กันจ้องที่คีย์จนทั้งห้องรู้สึกได้ สีน้ำเลยเหมือนถูกบังคับให้แนะนำเพื่อนเขาไปโดยปริยาย
“เอ่อ พี่กันฮะ นี่ สไปรท์ โชน แล้วนี่คีย์บอร์ดครับ”
“คีย์บอร์ดงั้นหรอ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
ทั้งที่แนะนำทุกคนแต่เหมือนไม่เข้าหูเพราะกันปราดเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ คีย์โดยทันที
“เช่นกันครับ”
“แต่หน้าตาคุ้นจังเลยนะ เรารู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า”
โชนและสไปรท์เหลือบมองกันโดยอัตโนมัติ แล้วสรุปคำออกมาได้คำเดียว “เฒ่าหัวงู” คีย์ยิ้มน้อยๆ เขาชินซะ
แล้วกับกลวิธีการหลีแบบนี้ บ้านๆ มากในความคิดของคีย์
“คงไม่หรอกครับ ผมจำไม่ได้ว่ารู้จักผู้ใหญ่แบบคุณกัน”
“อูย ผู้ใหญ่เลยหรอ ไม่หรอกมั้งน้องคีย์”
“คีย์บอร์ดดีกว่าครับ ผมขอสงวนชื่อไว้ให้คนพิเศษของผมได้ไหมฮะ”
คีย์ยิ้มน้อยๆ ราวกับคนกำลังมีความรัก ยิ่งทำให้พู่กันใจแป้ว
“มีคนพิเศษแล้ว?”
“ครับ ชื่อน้องเมาส์ครับ เรารักกันมากๆ แล้วก็คบกันมานานแล้ว ตอนนี้ก็อยู่ด้วยกัน ผมขอตัวนะครับจะไปดูเอกสารกับเพื่อนสักหน่อย”
“ครับ”
แห้วอีกแล้วตู พู่กันเดินหงอยๆ กลับออกไปพร้อมกับคุณแม่ของสีน้ำ แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มทั้งสี่ในห้องขำกันได้ไม่เลิก กับความขี้หลีของเพื่อนบ้าน คนนี้
“นี่สีน้ำ ลุงคนนี้เป็นแบบนี้หรอวะ จีบซะเปิดเผย มุกเก่ามากเหอะ”
สไปรท์ที่ตอนนี้ญาติดีกับพุดเดิ้ลน้อยแล้ว แบ่งขนมให้พุดดิ้งกินอยู่ที่โต๊ะ ริมหน้าต่าง
“อย่าไปเรียกพี่กันว่าลุงสิ นิสัยดีมากเลยนะ ช่วยเหลือทั้งแม่ทั้งฉันไว้ตั้งเยอะ แค่กๆ”
คนป่วยไอหน้าดำหน้าแดง ร้อนให้เพื่อนๆ รีบรินน้ำอุ่นมารอไว้ โชนก็เดินไปลูบหลังให้สีน้ำ
“ไอซะน่ากลัวเลย นี่พรุ่งนี้จะไปเรียนไหวหรอ”
“ขอบใจ”
สีน้ำรับน้ำอุ่นมาดื่ม แล้วพยักหน้าตอบคำถามเพื่อน คีย์เพิ่งสังเกต เห็นสีน้ำอย่างเต็มตาตอนที่สีน้ำไม่ใส่แว่นตาหนาเตอะแบบนี้เป็นครั้งแรก
“จะว่าไปหน้าตาของสีน้ำสวย ไม่สิ หน้าตาดีมากๆ เลยนะ ทำไมไม่ใส่คอนแท็กเลนส์ล่ะ เสียดายดวงตาคมๆ แบบนี้ต้องไปหลบอยู่หลังแว่นตาเชยๆ”
“คีย์ไม่ต้องไปพูดเรื่องนี้หรอก คนเขาพูดกันปากฉีกถึงหูแล้ว ถึงขนาดจะจับมัดไปร้านตัดคอนแท็กแล้วด้วยนะ”
โชนที่กำลังลอกงานเอ่ยตอบแทนสีน้ำ โดยมีสไปรท์พยักหน้าหงึกๆ อย่างเห็นด้วย ส่วนที่ตักก็มีหมาน้อยนอนหลับอยู่
“ทำไมล่ะ น่าเสียดายออกนะ มีดีก็ต้องโชว์สิ”
“ขอบใจนะคีย์ แต่ฉันชอบแบบนี้มากกว่าน่ะ เคยไม่ใส่แว่นไปวันเดียวเองนะตอนมัธยม รู้สึกว่ามันแปลกๆ ยังไงไม่รู้ มีคนแปลกๆ มาชวนคุยเยอะแยะ แล้วก็มีคนเอาของมาให้ มาวุ่นวายรอบตัวเต็มไปหมด ฉันจำได้ว่ามันทำให้ฉันไข้ขึ้นสูงหยุดเรียนไปอาทิตย์นึงเต็มๆ เลย ฉันคงไม่ถูกโรคกับการโดนคนมายุ่งวุ่นวายแบบนั้นเท่าไร เพราะฉะนั้นแบบนี้แหละดีสุดแล้ว”
“ก็จริง ทำอะไรที่เราสบายใจนี่แหละเนอะ”
คีย์ยอมรับกับเรื่องที่สีน้ำพูดมา เพราะบางทีเขาเองก็เบื่อกับการโดนรุมล้อมเหมือนกัน
“เบื่อพวกหน้าตาดีคุยกันว่ะ จริงไหมไอ้โชน”
“แต่ฉันไม่เบื่อว่ะ เพราะฉันหน้าตาดี”
“พูดมาได้นะแก ถ้าแกหน้าตาดี ฉันนี่คงเทพจุติเลยเหอะ”
“อ้าวไอ้ไป๊ อย่าเอามาเทียบกันได้โปรด คนละเลเวล”
“อ้าวไอ้โชน พูดแบบนี้ได้ไงสวยดิ”
คีย์มองเพื่อนสนิทสองคน ที่หันมาทะเลาะกันอีกแล้ว
“นี่สีน้ำ สองคนนี้เป็นแบบนี้ตลอดเวลาเลยหรอ”
“อืม ก็แบบนี้แหละ ปกติมากๆ เดี๋ยวนายก็ชิน แล้วถ้าวันไหนไม่ได้ยินจะเหงาหูไปเลยละ”
“คงจะอย่างนั้น”
คีย์มองอย่างขำๆ ก็เห็นเถียงกันได้ทุกเรื่องแต่ก็รักกันดีนะสองคนนี้
กว่าเพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมเพราะห่วง (ห่วงการบ้าน) จะกลับไปก็อยู่จนกินข้าวเย็นที่บ้านกันแล้วนั่นเอง สีน้ำที่อาการดีขึ้นมากแล้วก็จริงก็โดนมารดาไล่ให้ขึ้นไปพักผ่อนเยอะๆ เพราะขอว่าจะไปเรียนในวันรุ่งขึ้น ร่างเพรียวเมื่อเดินเข้ามาในห้องแล้วก็ไปหยุดที่โต๊ะอ่านหนังสือริมหน้าต่าง ความตั้งใจจะอ่านตำราทบทวนต้องล้มพับไปเพราะฤทธิ์ยาที่ทำให้เริ่มง่วงแล้ว เขาจึงปิดโคมไฟที่โต๊ะอ่านหนังสือ ดวงตาเรียวมองผ่านไปในความมืดที่มีเพียงแสงไฟจากโคมไฟสูงริมถนนในหมู่บ้านส่องสว่าง ก่อนที่จะผละจากหน้าต่างไป สีน้ำก็เห็นรถสปอร์ตสีแดงคันหนึ่งแล่นมาจอดที่หน้าบ้านตรงข้ามซี่งเป็นบ้านของพี่กันนั่นเอง
“รถนั่น มันของไอ้นายแบบตาโตนี่นา”
ถ้าเป็นตามปกติสีน้ำคงจะไม่ใส่ใจ แต่ไม่รู้ทำไมว่าพอเป็นเรื่องนายแบบนิสัยเสียคนนี้ดูมันสะกิดใจให้ต้องเผลอสนใจไปทุกครั้ง สีน้ำเห็นร่างสูงผึ่งผายของอีกฝ่ายเปิดประตูรถลงมาแล้วอ้อมไปเปิดให้คนที่นั่งมาด้วยลงมา ความไกลระยะนี้สีน้ำยังสามารถมองเห็นได้ชัดอยู่ จึงไม่แปลกที่จะเห็นความสนิทสนมของชายหนุ่มร่างสูงกับผู้หญิงต่างชาติที่ยืนเบียดอิงแอบแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกันที่ข้างรถไม่ยอมผละไปไหน แล้วสีน้ำก็เห็นว่าใบหน้าของทั้งคู่เข้ามาใกล้จนแนบสนิทกัน
“ทุเรศจริงๆ ทำอะไรหน้าบ้านเนี่ยประเจิดประเจ้อ”
สีน้ำจัดการรูดม่านหน้าต่างแล้วเดินไปล้มตัวลงนอนที่เตียงนุ่ม
“เห็นสิ่งสกปรกก่อนนอน จะฝันร้ายไหมเนี่ย เฮ้อ ไม่น่าไปดูเลยเรา”
ริมฝีปากแดงพึมพำเบาๆ ก่อนดวงตาเรียวจะปิดลงช้าๆ เพราะความง่วงงุนแล้วเจ้าตัวก็เข้าสู่นิทราไป
***************************************************
ที่ม้านั่งหน้าคณะนิเทศศาสตร์อันเป็นที่ประจำของกลุ่มภาควิชาการแสดงในวันนี้ดูจะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะวันนี้เป็นการแจกบทละครเวทีอันถือเป็นงานมาสเตอร์พีสของชั้นปีก็ว่าได้ หากแต่ในกลุ่มคนที่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรสชาติกลับมีร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มลูกครึ่งที่มองบทในมือด้วยความไม่พอใจ
“ไอ้มาร์ท แกจะนั่งทำหน้าหมดอาลัยตายอยากอีกนานไหมวะ”
“ถ้าเป็นแกมาได้รับบทนี้บ้างล่ะ เอาไหมวะ”
“แหมเพื่อน บทยิ่งยากยิ่งท้าทายนะเว้ย”
“ไอ้บทโฮโมเนี่ยนะ ถ้ามันแบบธรรมดาก็ว่าไป แต่นี่มันต้องสื่ออารมณ์ออกมาจากอินเนอร์ ต้องทำให้คนเชื่อให้ได้ ให้ฉันไปรับบทฆาตกรโรคจิตยังดีซะกว่า”
“เอาน่า ยังไงก็เปลี่ยนไม่ได้แล้ว อาจารย์คนนี้เฮี้ยบจะตายแกก็รู้ จะกล้าไปขอเปลี่ยนหรอ”
“เวรเอ๊ย วันนั้นถ้าฉันไม่เข้าสายไปนิดนึงนะ ไม่โดนแบบนี้หรอก”
“เอาน่าไอ้มาร์ท แกยังดี คนที่เข้าสายกว่าแก โน่นไอ้เจนโดนไปรับบทคุณโสที่โดนฆ่าอย่างโหดเหี้ยม”
“แต่แกก็รู้ว่าฉันตั้งใจกับละครปีนี้แค่ไหน ทั้งที่บทพระเอกมันน่าจะเป็นของฉัน ดูดิได้มาแค่นี้”
“แค่นี้ของแก แต่ก็เป็นตัวเดินเรื่องเลยนะเว้ย คิดไรมากวะ”
“ถ้าวันนั้นไม่โดนทำให้มาเข้าห้องสาย ฉันก็คงไม่ต้องมารับบทน่าอายแบบนี้ รู้ถึงไหน อายถึงนั่น สมาร์ทเอกการแสดงต้องมารับบทโฮโม แล้วสาวไหนมันจะมาสนวะ”
“แกก็คิดมากไป เขารู้หรอกเป็นแค่การแสดง”
“เหอะ แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบพวกแบบนั้นด้วย เสียของ ผู้ชายไปชอบผู้ชายด้วยกัน ยิ่งพูดยิ่งหงุดหงิด ทั้งหมดนี่เพราะไอ้เด็กหน้าจืดนั่นคนเดียว ถ้ามันไม่ขวางทางทำให้ฉันไปเข้าเรียนสายนะ”
พอสมาร์ทนึกถึงตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาเข้าเรียนสายแล้วก็อดโมโหไม่ได้ มือกำแน่นอย่างโมโห
“งั้นแกก็ไปจัดการมันเลยดิวะ”
“จัดการ?”
สมาร์ทหันไปฟังเพื่อนสนิทที่ลงมานั่งข้างๆ แล้วกระซิบแผนการให้ฟังอย่างตั้งใจ
“ไหนๆ แกก็ต้องรับบทนี้ เปลี่ยนไม่ได้อยู่แล้ว ทำไมแกไม่เอาไอ้เด็กนี่เป็นเป้าหมายซะเลย เอามันมาทดสอบความสามารถในการแสดงของแกเป็นไง ถ้าทำให้มันหลงรักแกได้ แสดงว่าการแสดงแกเข้าขั้นแล้ว ทีนี้แกก็ทิ้งมันไปซะ กระสุนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยเป็นไง”
สมาร์ทฟังแผนการที่เพื่อนเขาเสนอมาอย่างครุ่นคิด แล้วก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา
“ความคิดเข้าท่า น่าสนใจดี เอาให้มันคลั่งไปเลย ว่าแต่แกรู้หรือเปล่าว่าไอ้เด็กนั่นมันคือใคร”
“ไม่เห็นจะยากเรื่องแค่นี้ แกไปนั่งคิดวิธีการนำเสนอการแสดงของแกดีกว่าไป ว่าจะทำยังไงให้เด็กนั่นมารักแกได้”
“แกกำลังพูดอยู่กับดาวรุ่งของวงการละครเวทีอย่างสมาร์ทเลยนะ เรื่องแค่นี้ จิ๊บๆ ว่ะ”
“ไอ้แสบ เอาเลย ฮ่าๆๆๆ”
สมาร์ทมองบทในมืออย่างมุ่งมาด ช่วยไม่ได้นะไอ้เด็กหน้าจืด แกดันมาขวางทางฉันเอง จะโทษก็โทษดวงแกแล้วกัน
***************************************************
คุณแต้วที่กำลังจัดติ่มซำจากเพื่อนบ้านอัธยาศัยดี ที่แวะเอาเมนูใหม่มาให้ชิมได้วันเว้นวันเลยทีเดียว เธอเหลือบมองเจ้าหมาน้อยสีมอมแมมที่นอนหมอบอยู่ข้างๆ อย่างเอ็นดู
“ว่าไงพุดดิ้ง เหงาหรอวันนี้นายเราไม่อยู่น่ะ”
เจ้าหมาน้อยเงยหน้ามองตาละห้อยซะจนน่าสงสาร
“เดี๋ยวเย็นๆ สีน้ำก็กลับมาแล้วน่า มานี่มา ไปนั่งเล่นหน้าบ้านกัน เร็วพุดดิ้ง”
เมื่อจัดใส่จานแล้วเธอก็ยกมาพร้อมกับร่างน้อยของเจ้าพุดดิ้งวิ่งตามมาด้วย
“รบกวนแย่เลยนะคะ ให้คุณกันเอามาให้ชิมแบบนี้บ่อยๆ”
“ใครว่าละครับ เพราะคำติชมของคุณแต้วนี่แหละ ร้านผมถึงคนแน่นขึ้น ผมเอาไปปรับปรุงรสชาติให้ถูกปากคนยิ่งขึ้น”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกคะ”
“ดูเจ้าพุดดิ้งมันหงอยๆ นะครับ”
พู่กันเรียกเจ้าหมาน้อยให้มาหาแล้วจับขึ้นมาวางบนตัก ซึ่งเจ้าตัวเล็กก็มานอนหมอบที่ตักแต่โดยดี
“มันติดตาสีน้ำน่ะค่ะ พอนายไม่อยู่ก็เลยเฉาเลย”
“สีน้ำไปเรียนแล้วหรอครับ”
“ใช่แล้วค่ะ รายนั้นน่ะจะเป็นจะตายก็ขอให้ได้ไปเรียน ยังตัวรุมๆ อยู่เลย แต่ก็บอกว่าไม่เป็นไร นี่ถ้าเป็นไข้กลับมานะคะจะจับตีเลย”
“สมกับที่เรียนเก่งเลยนะครับ รักการเรียนแบบนี้ แต่ว่าผมกำชับเจ้า เหนือดินแล้วนะครับว่าต่อไปนี้ถ้าเจอสีน้ำก็ให้รับสีน้ำกลับบ้านมาด้วย คาร์พูลไงครับ”
“จะดีหรอคะ รบกวนคุณเหนือดินแย่เลย”
“ไม่เลยครับ ยินดีครับ เรื่องแค่นี้เอง คุณแต้วชิมจานนี้สิครับ เมนูใหม่เลยนะครับ”
พู่กันฉีกยิ้มกว้างให้คนตรงหน้า เขาถูกชะตากับผู้หญิงคนนี้มาก เสียอย่างเดียวคือเป็นคนที่มีสามีและลูกแล้วเท่านั้นเอง พู่กันได้แต่ปลงกับชีวิตตัวเองที่มักจะไปหลงใหลคนมีเจ้าของอยู่เรื่อย ทั้งคุณแต้ว ทั้งน้องคีย์
“เฮ้อ”
“บ๊อก บ๊อก”
“ทำไมเจ้าพุดดิ้ง แกปลอบฉันงั้นหรอ”
“บ๊อก”
“มันฉลาดดีนะครับเนี่ย ถึงหน้าตาจะไม่น่ารักเท่าไรแต่ฉลาดจริงๆ”
“นั่นสิคะ มีพุดดิ้งอยู่ ช่วยให้หายเหงาได้เยอะเลยค่ะ”
พุดเดิ้ลขนมอมแมมเหมือนรู้ว่าโดนพูดถึงมองคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างสนใจ ทำให้กันอดลูบหัวมันเล่นไปมาไม่ได้ เขานึกไปถึงเจ้าน้องชายตัวแสบที่ชอบหาเรื่องลูกชายบ้านนี้เสียจริง สงสัยต้องกำชับให้เลิกหาเรื่องได้แล้ว สีน้ำ ออกจะเป็นเด็กดีซะขนาดนี้
“จริงไหมพุดดิ้ง”
“บ๊อก”
**********************************
ร่างเพรียวที่ถือถุงหนังสือเดินอยู่หน้าป้ายรถเมล์นั้นคุ้นตาเหนือดินยิ่งนัก พอได้เห็นผมฟูๆ กับแว่นตาเชยๆ นั่นก็รู้แล้วว่าเป็นเจ้าเด็กตัวดีที่ทำให้เขาโดนเฮียกันว่าเอาว่าใจดำ
“ชื่ออะไรนะ น้ำ น้ำไรวะ อ่อ สีน้ำ ทำไมถึงได้มาเจอกันบ่อยนักวะ มาเจอกันเวลากลับบ้านทุกทีเลยให้ตายเหอะ”
เหนือดินบ่นอย่างหัวเสีย เขาเพิ่งโดนเฮียกันบังคับให้รับปากว่าจะพาเด็กนี่กลับมาด้วยถ้าหากว่าเห็น แล้วนี่ก็เจอเลย
“ทำไมต้องมาทำแบบนี้ด้วยวะ เซ็งจริงๆ”
พอไฟเขียวเหนือดินก็ออกรถแล้วหมุนพวงมาลัยขับรถเลียบฟุตบาทพลางเปิดกระจกฝั่งที่นั่งข้างคนขับ
“นี่ นี่ นายน่ะ สีน้ำ”
สีน้ำที่ตอนแรกก็สงสัยว่าใครมาตะโกนเรียกใครแถวนี้ พอได้ยินชื่อเขาก็หันไปมอง แต่พอเห็นคนเรียกก็แทบจะสะบัดหน้ากลับโดยทันทีแล้วรีบเดินให้ไวที่สุด
“นี่จะรีบเดินไปไหน เดี๋ยวก็สะดุดทางหรอก ผมฟูปิดหน้าปิดตาซะขนาดนั้น หยุดก่อน บอกให้หยุดไงละ นี่”
สีน้ำไม่สนใจพยายามจ้ำๆ ให้เร็วที่สุด เห็นแบบนี้ยิ่งทำให้เหนือดินหงุดหงิด คนแบบเขาไม่เคยโดนเมินแล้วยิ่งจากคนที่เป็นแบบสีน้ำ คนที่ไม่ควรจะเมินคนอย่างเขา นายแบบหนุ่มตัดสินใจเร่งเครื่องแล้วไปจอดรถดักข้างหน้าเอาไว้ โชคดีที่ตรงนั้นเป็นถนนจะเข้าหมู่บ้านแล้ว เลยไม่มีรถแล่นตามมา ร่างสูงลงมาจากรถแล้วไปยืนดักหน้าชายหนุ่มอีกคนเอาไว้
“นี่ ฉันเรียกนายนะ หูตึงหรือไง”
“ผมไม่ได้ชื่อ ”นี่” ทำไมผมต้องหัน กรุณาหลบด้วย คุณขวางทางผม ผมจะรีบกลับบ้าน”
“ก็ดี งั้นมานี่”
เหนือดินจับข้อมือขาวจัดแล้วลากไปที่รถของเขาโดยไม่สนการขัดขืนจากเด็กหนุ่มเลย
“นี่จะบ้าหรอ จะลากฉันไปไหน ไม่ไปนะ แค่กๆๆๆๆ”
พอสีน้ำตะโกนโวยวายเสียงดังเขาก็ไอไม่หยุดทันที ไอหอบจนตัวโยนและไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืนคนที่ลากเขาไปยังรถสปอร์ตสีแดงแล้วจัดแจงยัดตัวเขาให้เข้าไปนั่งเรียบร้อย เหนือดินปรายตามองคนข้างๆ ที่ยังไอไม่หยุดแล้วตัดสินใจออกรถ
“ฉันรับปากเฮียกันไว้ว่าถ้าเจอนายระหว่างทางจะพากลับบ้านด้วย ฉันไม่อยากผิดคำพูดกับเฮีย นายก็ทนๆ นั่งไปสักแป๊บละกัน”
“ผม...ไม่ต้องการ ครั้งหน้าไม่ต้องหรอกครับ”
“ผู้ใหญ่เขาหวังดี จะดื้อทำไมล่ะ”
“ผมไม่ได้ดื้อ แต่ผมดูแลตัวเองได้”
“นั่นสิ ดูแลตัวเองได้ถึงกับเป็นไข้แค่เพราะตากฝนนะหรอ”
สีน้ำถึงกับนิ่งไปเพราะเขาเถียงความจริงที่หลุดออกมาจากปากนายแบบหนุ่มไม่ออก
“ผมจะป่วยแล้วเกี่ยวอะไรกับคุณล่ะ”
“ไม่เกี่ยวกับฉัน แต่เฮียฉันเขาห่วงนาย อีกเดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้วนั่งข้างๆ ฉันสักแป๊บนายคงไม่ป่วยเพิ่มขึ้นหรอกน่า”
สีน้ำยู่ปากอย่างเคยชินเวลาที่หงุดหงิด ก็เอาเหอะไหนๆ มีราชรถมาเกยถึงที่แล้ว อยากเป็นคนขับรถให้เขานั่งสบายๆ ก็ตามใจ พอคิดได้แบบนี้สีน้ำเลยนั่งสบายๆ แล้วพยายามสนใจคนข้างๆ ให้น้อยที่สุด
“นี่ หลับหรือไง”
“ไม่ได้หลับ”
“ทำไมนั่งกับฉันมันน่ารังเกียจนักหรือไง”
สีน้ำรู้สึกว่าความเร็วรถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขารีบคาดเข็มขัดนิรภัยทันที พอเห็นสีน้ำกลัวเหนือดินก็ยิ้มอย่างพอใจที่มุมปาก เด็กเอ๋ย
“คุณจะขับรถเร็วไปไหน นี่ๆ มันจะเลยบ้านผมแล้วนะ คุณ จะบ้าหรอ นี่”
“ฉันไม่ได้ชื่อ “นี่” หรอกนะ”
พอโดนประโยคที่ตัวเองเพิ่งพูดไปย้อนกลับมาสีน้ำก็จ้องนายแบบหนุ่มอย่างไม่พอใจ
“ไหนบอกว่ารับมาส่งบ้าน นี่มันเลยบ้านผมแล้ว”
“ฉันบอกว่าจะรับมาส่งบ้าน แต่ไม่ได้บอกนิว่าบ้านใคร เอ้า ถึงบ้านฉันละ นายลงได้แล้วล่ะ”
รถสปอร์ตสีแดงแล่นเข้าไปจอดในลานจอดรถหน้าบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ติดสวน ถ้าตัดออกไปว่าบ้านนี้เป็นบ้านของนายแบบนิสัยเสียแล้วละก็ เป็นบ้านที่สวยน่าอยู่ทีเดียว
สีน้ำคว้าถุงหนังสือและกระเป๋าเปิดประตูลงมาจากรถ แล้วจงใจปิดประตูกระแทกเสียงดังจนเหนือดินสะดุ้ง
“เฮ้ย ปิดแบบนี้รถฉันพังหมด”
“พอดีมันยั้งไม่อยู่ รถมันคงทนทานเหมือนคนขับ ไม่พังง่ายๆ หรอก”
สีน้ำเดินย้อนกลับไปตามทางทันทีเพื่อกลับบ้าน ถึงบ้านเขาจะอยู่ถัดไปแค่สิบกว่าหลังแต่การต้องเดินย้อนก็ทำให้หงุดหงิดอย่างเหลือเชื่อ
“ว่าฉันนิสัยเสีย นายก็พอกันแหละ คนขับรถมาส่งไม่มีขอบคุณ”
“ผมไม่ได้เต็มใจมานิ แล้วคุณเองก็ไม่ได้เต็มใจขับมาส่งด้วย เจ๊ากันไป”
“นี่ น้องแว่น ดึกๆ น่ะ เลิกแอบดูหนังสดของชาวบ้านเขาด้วยนะ หรือถ้าทำเองไม่เป็นก็บอกได้จะหาคนไปสอนให้”
“พูดเรื่องอะไร”
สีน้ำหยุดเดินแล้วหันกลับมาเผชิญหน้านายแบบตาโตที่ยืนพิงรถอยู่
“ก็เรื่องที่ดึกๆ ดื่นๆ ปิดไฟแล้วแอบมองคนอื่นเขาพลอดรักกันน่ะสิ อย่าคิดว่าไม่รู้นะ อยากลองมั่งไหมล่ะ”
“นายเป็นคนที่ไร้ยางอายและทุเรศที่สุดที่ฉันเคยเจอมาเลย ใครให้มากอดจูบกันหน้าบ้านล่ะ คนเห็นมันก็ไม่แปลกหรอก เดี๋ยวฉันจะไปบอกพี่กันว่าน้องชายเขาน่ะนิสัยเสียที่สุด”
พอสีน้ำหันหลังกลับจะเดินต่อก็รู้สึกถึงมือหนาที่มาจับแขนเขาเอาไว้
“ก็ลองดูสิน้องแว่น นายบอกเฮียฉันเมื่อไรนะ ฉันจะจับนายมาจูบแทนคนเมื่อวานซะเลย ดีไหมล่ะ”
ไม่พูดเปล่าเหนือดินดึงร่างโปร่งแต่กลับดูอ่อนแอเหลือเกินของสีน้ำมาปะทะแผ่นอกหนา แล้วตวัดรัดจนสีน้ำดิ้นหนีไปไหนไม่ได้
“ไอ้บ้า เฮ้ย เล่นบ้าไรของแก ปล่อยฉันนะ”
เหนือดินขำกับการพยายามดิ้นของคนในอ้อมกอด ก็ดูซีดซะขนาดนี้จะมีแรงมาดิ้นหลุดจากคนที่ออกกำลังกายทุกวันแบบเขาได้ยังไงกัน
“จุ๊บ”
ริมฝีปากหนาจรดเบาๆ ที่แก้มขาวของสีน้ำ ทำให้เด็กหนุ่มตัวแข็งทื่อ หยุดดิ้นไปโดยปริยาย ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเหนือดินปล่อยเขาออกจากอ้อมแขนแล้ว
“นี่ ช็อกไปเลยหรอ แค่หอมแก้มเองนะ นี่ นี่”
เหนือดินโบกมือไหวๆ ที่หน้าสีน้ำ อีกฝ่ายเหมือนจะมีปฏิกิริยาตอบรับประหลาดจนเกิดเหตุ อย่าบอกนะว่า
“แค่หอมแก้มก็ไม่เคยโดนงั้นหรอ ฮ่าๆๆๆ นายไปอยู่ไหนมาเนี่ย เด็กชะมัดยาด”
“ไอ้ทุเรศ อย่ามาเข้าใกล้ฉันอีกนะ คราวหน้าจะต่อยให้ปากแตกเลย”
สีน้ำที่ได้สติแล้วก็รีบถอยหลังแล้ววิ่งกลับบ้านไปทันที เขาไม่อยากเจอหน้าไอ้คนนิสัยเสียอีกแล้ว อยู่ดีๆ มากอดรัดแถมทำแบบนั้นกับเขาอีก แล้วคนไม่เคยมันแปลกนักหรือไง ไอ้นายแบบนิสัยเสียยย
เหนือดินมองสีน้ำที่วิ่งหนีไปอย่างขบขัน เด็กที่แม้แต่หอมแก้มก็ไม่เคยอย่างนั้นหรอ ช่างแปลกประหลาดที่สุด แต่ยามที่เขายื่นริมฝีปากไปกระทบแก้มขาว เขากลับได้กลิ่นหอมแบบธรรมชาติที่แทบหาได้ยากในปัจจุบัน กลิ่นนั้นยังหอมติดจมูกเขาอยู่เลย
“ท่าจะบ้าแล้วเรา รู้ถึงไหนอายถึงนั้นไปปล้ำหอมเด็กแบบนั้นได้ สงสัยไข้จะขึ้นแน่ๆ เว๊ย”
เหนือดินล็อกรถแล้วเดินเข้าบ้านไปทันที
ฝ่ายสีน้ำที่วิ่งกระหืดกระหอบมาตามทางจนถึงบ้าน ก็วิ่งขึ้นชั้นสองทันทีโดยไม่แวะทักทายมารดาก่อนตามปกติ พอไปถึงห้องก็วางหนังสือและถุงต่างๆ ลง พุ่งไปในห้องน้ำทันที
“สกปรกที่สุด ไอ้บ้า ไอ้นิสัยเสีย ไม่รู้จะด่าว่าไรแล้วเนี่ย”
มือขาวบีบโฟมล้างหน้ามาทาที่แก้ม ถูซะจนรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า พอล้างออกแก้มด้านที่โดนขโมยหอมเมื่อครู่ก็แดงเป็นปื้นเพราะแรงจากการถู
“แสบเลย คราวหน้าถ้าเจออีกนะจะเจาะยางให้แบนเลยคอยดู”
สีน้ำบ่นพึมพำกับตัวเอง ไม่เคยมีคนไหนที่ทำให้เขาโมโหได้ขนาดนี้มาก่อนเลย คนที่ไม่เคยใส่ใจเรื่องอื่นนอกจากการเรียนกลับมาโมโหคนๆ หนึ่งได้แบบนี้ ถ้าเพื่อนเขารู้คงเป็นหัวข้อสนทนาไปอีกนานแน่ๆ
“เกลียดที่สุดเลย ไอ้นายแบบบ้า”
“บ๊อก บ๊อก”
“ว่าไงพุดดิ้ง ซนหรือเปล่า”
ลูกหมาวิ่งมาคลอเคลียพันแข้งพันขาจนสีน้ำต้องอุ้มมันขึ้นมา
“พุดดิ้ง จำไว้นะถ้าเจอคนใจร้ายเนี่ย กัดมันเลยนะ รู้ไหม นิสัยไม่ดีที่สุดของที่สุดเลย”
“บ๊อก”
“ดีมาก”
สีน้ำกอดลูกหมาน้อยไว้แนบอก หวังว่าคงไม่โชคร้ายต้องไปนั่งรถกับคนนิสัยเสียอีกเป็นครั้งที่สอง
***************************************************************