พี่จะดูแลจ้อยเอง ดูแลตลอดไปเลย.. พี่กระชากจ้อยเข้าไปหาโต๊ะใหญ่ มือหนากวาดแก้วกวาดขวดเหล้าบนโต๊ะลงพื้นแตกเปรื่อง ออกแรงน้อยนิดก็ยกร่างเบาหวิวขึ้นไปเกยพาดบนโต๊ะอย่างง่ายดาย
“อย่า!!” จ้อยกรีดร้องลั่น แต่คล้ายพี่ไม่ได้ยิน ร่างเล็กพยายามกระถดหนี แต่กลับถูกกระชากข้อเท้าลากเข้าหาอย่างป่าเถื่อน สองขาพยายามถีบถอง สองมือพยายามผลักไส พี่ยิ่งรุนแรงเข้าใส่ ร่างกำยำโถมลงทับจ้อยทั้งตัว
ลูกน้องพี่กรูกันเข้ามาอำนวยความสะดวก ไอ้ลอยเตะไอ้หมูเลิศที่นอนอืดให้ลุกขึ้นมาช่วยกัน ร่างอ้วนเผละสะดุ้งโหยง มันหายง่วงเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นภาพความรุนแรงตรงหน้า
เสียงร้องไห้คร่ำครวญของจ้อย เสียงหัวเราะสาใจของไอ้ลอยไอ้หมาน เสียงหอบครางหื่นกระหายของสิงห์ เสียงการปะทะ ต่อสู้ ดิ้นรน โครมครามจนกระท่อมแทบไหวสะเทือน
คนขี้ขลาดอย่างไอ้เลิศยืนเงอะงะ ในขณะที่ไอ้ลอยรี่เข้ามายึดข้อมือน้อยทั้งสองข้างกดตรึงกับโต๊ะ ไอ้หมานจับข้อเท้าเล็กข้างหนึ่งแยกออก ให้ลูกพี่แทรกกายเบียดเสียดเข้ามาถนัดถนี่
“อย่า! ปล่อยกู! ปล่อย!” จ้อยกรีดร้องปานจะขาดใจ น้ำหูน้ำตาไหลพรากเต็มหน้า ร่างน้อยทุรนทุรายอยู่ในกลุ่มชายฉกรรจ์ ๓ คน
“ไม่!! พี่สิงห์! อย่า!” เสียงเล็กผวาร้องลั่น เมื่อสิงห์กระชากเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนของจ้อยขาดควากออก และดึงกางเกงขาสั้นและกางเกงชั้นในของจ้อยออกด้วยการออกแรงเพียงครั้งเดียวเช่นกัน ซอกมุมเร้นลับเปิดเผยต่อหน้าสายตา ๔ คู่
“วู้ว.. ขาวโว้ย!” ไอ้ลอยคราวอู้ให้กับผิวกายขาวผ่อง ขาวเสียยิ่งกว่าพวกอีตัวในซ่อง
สิงห์ตระโบมจูบหื่นกระหาย ลมหายใจของนักเลงหนุ่มมีแต่กลิ่นเหล้าอวลซ่านคละคลุ้ง เมื่อผสมปนเปกับกลิ่นยาสูบแล้วกลายเป็นกลิ่นอายโสมมที่ทำให้จ้อยแทบคลั่งด้วยความขยะแขยง ริมฝีปาก หน้าผาก สองแก้ม ใบหู ไม่มีส่วนไหนไม่ถูกบดขยี้ เหมือนเสือตะกรุมตะกรามกินเหยื่ออย่างหิวโหย มือหยาบหนาสำรวจไปทั่วเรือนกาย ยิ่งจ้อยบิดกายหนีเร่าๆ เหมือนยิ่งยั่วยุอารมณ์อีกฝ่ายให้พลุ่งพล่าน
ริมฝีปากร้อนเหมือนถ่านนาบไซ้ลงซอกคอ ขบกัดเนื้ออ่อนจนเจ็บแปลบ ฟอนเฟ้นไปทั่ว ไหปลาร้า ลาดไหล่เนียน แผ่นอกเปลือยที่กระเพื่อมขึ้นลงแรงถี่ เหมือนร่างกายจ้อยเป็นอาหารอันโอชะที่เขาต้องกัดกินให้สิ้นซาก
“อ๊ะ!” จ้อยสะดุ้งวาบเมื่อปากอุ่นครอบลงยอดอก ลิ้นสากระคายไล้เลียดูดกลืนสลับกันไปมาทั้งสองข้างอย่างหื่นกระหาย ร่างเล็กดิ้นพราด แอ่นกายบิดหนีไปมา กลับกลายเป็นเปิดโอกาสให้มือใหญ่ช้อนแผ่นหลังเล็กป้อนเนื้อหวานเข้าปากเอร็ดอร่อย
“ไหนว่าถ้านมไม่โตจะไม่แตะให้เสียมือ นี่ทั้งเลียทั้งดูดอร่อยไปเลยนะ” ไอ้ลอยหัวเราะร่วน บางส่วนในร่างกายร้อนอ้าวแข็งตึงตามสัญชาติญาณดิบ ไอ้หมานไม่พูดอะไร ได้แต่สูดปากสูดคอ จ้องมองภาพการทารุณตรงหน้าด้วยดวงตาวาววับ
จ้อยสะดุ้งเฮือกทุกครั้งที่ริมฝีปากอุ่นกดจูบไปทั่วหน้าท้องขาว สะอื้นไห้หนักขึ้นทั้งที่ยังขัดขืนไม่หยุด ดิ้นหนีเร่าๆ เมื่อมือหยาบกระด้างกอบกุมส่วนที่อ่อนไหวไว้เต็มอุ้งมือ รูดรั้งรัวเร็ว
“ฮือ..พี่..พี่สิงห์..อย่า..” เสียงวิงวอนที่ปนเคล้ากับเสียงลมหายใจขาดห้วง จ้อยไม่รู้เลยว่ามันช่างยั่วเย้าอารมณ์อีกฝ่ายจนคุกรุ่น ใบหน้าคมสันเงยขึ้นมองกัน แลบลิ้นเลียริมฝีปาก หัวเราะเสียงต่ำในลำคอ ก่อนก้มลงทำสิ่งที่จ้อยคาดไม่ถึง
ปากร้อนครอบลงแก่นกายสีเรื่อ จ้อยผวากระตุกสุดตัว!
“ไม่!!” มิไยจ้อยจะร้องห้ามจนเสียงแห้ง สิงห์ยังคงดูดกลืนส่วนนั้นอย่างโหยหา สองมือจับสะโพกเล็กไว้แน่น ดื่มกินตะกรุมตะกราม ลามเลียไปถึงช่องทางคับแคบสีเรื่อ ถ่มน้ำลายลงอย่างกักขฬะ ก่อนสอดแทรกนิ้วแข็งชอนไชลงลึก
“เจ็บ!!” เสียงเล็กกรีดร้องคับกระท่อม สะบัดกายเร่าๆ จนไอ้ลอยไอ้หมานต้องเพิ่มแรงตรึงไว้ นิ้วยาวกระแทกกระทั้นระรัว ปากร้อนผ่าวยังคงทำหน้าที่อย่างต่อเนื่อง จ้อยพยายามหนีบขาเข้าหากัน กลับถูกไอ้หมานยกแยกออกกว้างกว่าเดิม
อย่างนี้เอง.. ความทุรนทุรายเหมือนถูกแผดเผาจากส่วนลึกที่สุด เสียงหัวเราะของปีศาจดังก้องอยู่ในเปลวไฟ ความหึงหวง ความเคียดแค้น ความมัวเมา จับมือกันเริงร่าย
หักหาญ อุกอาจ ปราศจากความยับยั้งชั่งใจหรือความหวาดเกรงใดๆ เป็นการกระทำเยี่ยงสัตว์โดยแท้
ร่างเล็กหอบสะท้าน ทั้งที่กลัวแสนกลัว ทั้งที่ขยะแขยงจับขั้วหัวใจ แต่ความเสียวซ่านที่น่ารังเกียจก่อตัวขึ้น ชั่ววินาทีที่ร่างกายไม่เชื่อฟังคำสั่งจากสมอง เหมือนจุดเปลวไฟใต้น้ำ ค่อยๆ ลามเลีย แผดเผา จนประทั่งประทุ
ทั้งร่างสั่นกระตุก เกร็งสะท้าน ปลดปล่อยสายธารหวานล้ำหลั่งริน กระฉูดกระฉอก ให้อีกฝ่ายดูดกลืนลงคอจนหมดสิ้น
“แตกแล้วโว้ย ข้นเชียว ไม่ค่อยได้เอาออกสิมึง” เสียงไอ้ลอยโห่ฮาหยาบคาย เสียงไอ้หมานเป่าปากเป็นลูกคู่ ผ่านหูจ้อยไปเหมือนสายลมบางเบา เสียงที่แจ่มชัดที่สุดคือเสียงหัวใจเต้นเป็นกลองรัว เสียงลมหายใจหอบสะท้านรวยรินของตัวเอง
และของ ‘พี่’
ไม่สิ.. ไม่ใช่พี่ ไม่มีพี่สิงห์ของจ้อยอีกแล้ว นับจากวินาทีนี้ พี่สิงห์ของจ้อย.. ความรักของจ้อย.. ตายไปจากใจจ้อยแล้วจนหมดสิ้น
เหลือเพียง ‘มัน’
เดรัจฉานในร่างคน!
จ้อยหลับตาลง ปล่อยน้ำตาหยดหนึ่งรินไหลจากหางตา อยากหลับลงแล้วตื่นขึ้นอีกครั้ง เพื่อพบว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี่เป็นเพียงฝันไป
หารู้ไม่ว่า ‘ฝันร้าย’ ที่แท้จริง กำลังจะเริ่มต้นขึ้น!
‘มัน’ พลิกร่างจ้อยให้คว่ำลงด้วยเรี่ยวแรงดั่งช้างสาร หน้าท้องจ้อยกระแทกกับขอบโต๊ะจนจุกเสียดไปหมด มันระดมจูบไซ้ไปทั่วแผ่นหลัง ส่งเสียงฮึ่มฮ่ำในคอเมื่อเสื้อขาดรุ่งริ่งของจ้อยเป็นอุปสรรค มันถลกเสื้อเชิ้ตที่ซื้อให้จ้อยเองกับมือขึ้นไปกองอยู่บนราวคอ ร่างมันปลาบด้วยหยาดเหงื่อลดระดับลงทาบทับอยู่เหนือแผ่นหลังจ้อย กลิ่นลมหายใจอวลซ่านรุนแรงยิ่งขึ้น มือหยาบลูบไล้ไปทั่วก่อนเลาะลงต่ำขยี้ขยำเนินเนื้อสะโพกขาวจนแทบนิ่มเหลวคามือ
ชั่วขณะที่มันผละออกไป จ้อยได้ยินเสียงกระชากเสื้อ เสียงรูดซิป ตามมาด้วยเสียงครางอู้จากพวกลูกน้องของมัน
“โอ้โห!”
“วู้ว!”
ร่างเล็กตัวสั่นสะท้าน เมื่อมันโถมลงทาบทับอีกครั้ง อวัยวะที่มีชื่อเรียกหยาบคายชิ้นนั้นของมันกำลังตื่นตัวเต็มที่ และถูไถอยู่กับต้นขาขาวที่ฉ่ำไปด้วยหยาดเมือกของจ้อย
ชายหนุ่มพยายามผ่านเข้าไปในเรือนกายสั่นสะท้าน ดั่งเรือลำใหญ่พยายามลัดเข้าคลองน้อย พอจ้อยอ้าปากจะเปล่งเสียงก็ปิดเสียด้วยจูบรุนแรง หางตามีหยดน้ำไหลหยาด สิงห์เกือบแผดเสียงเหมือนหมาป่ากระชากคอลูกแกะ เมื่อท่อนฟืนร้อนวาบดุนดันเข้าไปในกลีบดอกไม้แรกแย้ม แผดเผาแทบลุกไหม้
“อ๊าา!!” จ้อยกรีดร้องสุดเสียง เจ็บเหมือนร่างกายจะฉีกออกเป็นสองส่วน มือเล็กที่ถูกตรึงไว้ออกแรงตะกุยโต๊ะจนเนื้อไม้เป็นรอยเล็บครูด
“เฮ่ย ถ้ารูมันเล็ก ต้องแหกขากว้างๆ” ไอ้ลอยสั่งไอ้หมาน มันกักขฬะทั้งคำพูดและการกระทำ มือหยาบรวบข้อมือน้อยไว้ด้วยมือเดียว อีกมือกดแผ่นหลัง ดวงตาวาวโรจน์จ้องมองส่วนที่เชื่อมต่อเขม็ง “ไว้หลวมอย่างอีทองใบค่อยหนีบ”
เหมือนงูพิษ เหมือนปีศาจ เหมือนเหล็กแหลม น่าชิงชัง น่าขยะแขยง น่าสะพรึงกลัว ทิ่มแทงทะลวงเข้ามา
“เจ็บ!” จ้อยสำลัก น้ำตาพรูเหมือนตาน้ำทลาย “เอาออกไป! ออกไป!” ความเจ็บปวดมาจากไหนกัน เบียดเสียดแทรกแซงในร่างกาย
มือเทอะทะเป็นใบพายจับเอวเล็กกระชากเข้าหาเป็นจังหวะเดียวกับสะโพกแกร่งที่กระแทกสวนเข้าใส่ไม่หยุด ถะโถมถั่งถี่ ระรี่ระรัว จ้อยร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด น้ำตาไหลพรากอาบแก้มเผือดซีด
“ดิ้นพราดเลยเว้ย! ไอ้เหี้ยอ้วน มาช่วยกันจับสิวะ!” เสียงห้าวของไอ้ลอยตะโกนสั่งไอ้เลิศที่เอาแต่ยืนเงอะงะด้วยความขลาดอยู่กลางกระท่อม
“พ..พี่ลอย.. มันเป็นผู้ชายนะ” ใบหน้าอ้วนอูมเหยเกดั่งจะร้องไห้ ละล้าละลังไม่กล้าเข้าร่วมการข่มขืนกระทำชำเราอย่างป่าเถื่อนครั้งนี้
“ผู้ชายแล้วยังไง! เอาได้เหมือนกัน!” ไอ้ลอยหงุดหงิดใส่ความไม่ได้อย่างใจ ก่อนหันมาพยักพเยิดกับคนหูอื้อตามัว “ใช่ไหมพี่สิงห์”
สิงห์ไม่ตอบคำ นัยน์ตาเหลือกลอยเหมือนหลุดพ้นจากโลกขึ้นไปสวรรค์ชั้นฟ้า ใบหน้าเปลี่ยนไป ละม้ายเจ็บปวด แต่หากสุขสม สะโพกแกร่งเดี๋ยวขยับเป็นจังหวะถี่ เดี๋ยวสอดแทรกเนิบช้า เดี๋ยวกระแทกเน้นแรงลึกล้ำ เสียงขาโต๊ะลั่นเสียดสีกับพื้นกระดานดังออดแอด เสียงเนื้อต่อเนื้อกระทบกัน เสียงครวญครางราวจะขาดใจของจ้อย และเสียงหอบครางอย่างซ่านกระสันของสิงห์ นานาสรรพเสียง ปะปนคละเคล้า
นี่มันนรกขุมไหนกัน!
“ถ้ามึงไม่กล้าก็ออกไปดูต้นทางเลยไอ้สัตว์!” ไอ้ลอยตวาดใส่คนขี้ขลาด ไอ้เลิศจำต้องเดินตัวสั่นงันงกออกไปข้างนอก
เสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างทรมานยังเล็ดลอดตามออกมา เนิ่นนานราวไม่มีวันจบสิ้น ดงกล้วยท้ายตลาดรกร้างห่างไกลผู้คน ต่อให้จ้อยร้องจนคอแตกตายก็ไม่มีคนหรือหมาแมวที่ไหนได้ยิน
สิงห์ฆ่าจ้อยทั้งเป็นด้วยสัมผัสทารุณ ร่างบอบบางสะท้านสะเทือนไปตามแรงกระแทกกระทั้น ชายหนุ่มแหงนหน้าส่งเสียงครางกระเส่า สีหน้าบ่งบอกถึงความหฤหรรษ์ มือหยาบใหญ่ขยำลงเนินเนื้อขาวซีดจนเป็นรอยบุ๋มลงไปตามนิ้วทั้งสิบ เลือดสดๆ ไหลอาบลงไปตามลำขาขาว
เนิ่นนาน.. จนจ้อยเริ่มอ่อนล้า ไร้เรี่ยวแรงขัดขืน ได้แต่นอนทอดร่างเป็นเหยื่อสังเวยฝูงผีห่าซาตาน ร่างเล็กแน่นิ่งดั่งไร้วิญญาณ มือหยาบใหญ่จับร่างอ่อนเปลี้ยพลิกคว่ำจำหงายได้ดั่งใจเหมือนเล่นตุ๊กตา
ไอ้ลอยไม่ต้องคอยจับจ้อยตรึงอีกแล้ว มันทนดูลูกพี่ตระโบมกินอย่างสาสมใจอยู่พักหนึ่ง เกิดอดใจไม่ไหวขอร่วมวงด้วย..
ตามที่ตกลงกัน..
“ปากล่างได้กินเยอะแล้วนะ หืม์..” ร่างสูงใหญ่เดินเข้าหาร่างที่นอนแผ่หงายอยู่บนโต๊ะสั่นสะเทือน “ปากบนยังไม่ได้กินเลยนี่..”
มือใหญ่ตบแก้มซีดเผือดเบาๆ ดวงตาคู่สวยเหม่อลอยคว้างราวกับไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป ขนตาชุ่มน้ำติดกันเป็นแพเหมือนปีกผีเสื้อต้องน้ำค้าง ไอ้ลอยบีบคางเล็กเบาๆ หมายให้กลีบปากบางเปิดออก
แล้วรับความร้อนระอุของมันเข้าไปในโพรงปากที่ดีแต่พ่นถ้อยคำอวดดีนั่น
แก่นกายใหญ่โตจดจ่ออยู่ห่างจากปากเล็กไม่กี่เซ็น
ผลั่วะ!กำปั้นลุ่นๆ ของไอ้สิงห์ซัดเปรี้ยงใส่หน้ามันทีเดียวกระเด็น วินาทีที่ไอ้ลอยมัวแต่จดจ่ออยู่แต่กับอาวุธประจำกายจนไม่ทันระวัง มารู้ตัวอีกทีก็เซถลาไปกระแทกผนังกระท่อมเข้าแล้ว
“อะไรวะ!” มันลุกขึ้นโวยวายลั่น เจ็บซี้ดที่มุมปาก ได้รสเค็มปร่าแทรกปลายลิ้น ไอ้สิงห์ต่อยมันจนได้เลือด!
ลูกพี่ไม่ตอบ แต่ดวงตาแดงก่ำแข็งกร้าว และสองแขนที่รั้งร่างน้อยขึ้นกอดแนบอกอย่างหวงแหนนั้นแทนคำตอบได้ทุกสิ่ง
มันกอดคนที่มันย่ำยีไว้แน่นเต็มสองแขน แสงตะเกียงสะท้อนร่างเปลือยเปล่ามันปลาบด้วยหยาดเหงื่อและน้ำลายโสโครก เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยแดงช้ำและรอยฟันขบกัด ซบร่างระทดระทวยอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง บางส่วนยังเชื่อมติดกัน
“ตกลงกันไว้แล้วนะว่าเอามันได้ทุกคน” ไอ้ลอยทวงสัญญา พลางสาวเท้าเข้าหา อีกฝ่ายคำรามฮึ่มใส่เหมือนหมาบ้า ดวงตาวาวโรจน์ราวกับพร้อมจะฆ่าคนได้ทุกเมื่อ
ไอ้ลอยหัวเราะหึ ขบกรามกรอดให้ไอ้จ่าฝูงเฮงซวยที่เก็บเหยื่อไว้กินคนเดียวไม่เผื่อแผ่ลูกฝูง
มันจัดการเก็บอาวุธที่ยังแข็งตึงคั่งค้างรอการปลดปล่อยลงกางเกงยีนส์เนื้อหนาอย่างอึดอัด ก่อนเดินออกไปนอกกระท่อม ไอ้หมานเดินตามไปงงๆ ท้วงถามว่าจะไปไหนก็ไม่ได้รับคำตอบ
ที่หน้ากระท่อม ร่างอ้วนเผละของไอ้เลิศยังนั่งกอดเข่าตัวสั่น มันยกเท้ายันโครมไปทีแล้วเดินอาดๆ ไปหารถเครื่องที่จอดไว้ โดดขึ้นคร่อม สตาร์ท บิดคันเร่งกระหึ่ม ก่อนกระชากเครื่องตะบึงไปชนิดไอ้หมานโดดซ้อนแทบไม่ทัน
มุ่งหน้าไปทางซ่องนางทองใบ
ไอ้เลิศเยี่ยมหน้าไปดูในกระท่อม เสียงกรีดร้อง เสียงดิ้นรนขัดขืนเงียบหายไปนานแล้ว เหลือเพียงเสียงครางคำรามหื่นกระหายของคนที่มันยกย่องเป็นลูกพี่
สิงห์เหมือนคนคลุ้มคลั่ง พาจ้อยเคลื่อนไหวด้วยพลังมหาศาล ร่างเล็กถูกผลักให้นอนราบบนพื้นเสื่อ มือหยาบแยกขาเรียวออกกว้างก่อนยกขึ้นพาดบนลาดไหล่ที่เส้นเลือดปูดโปน
จ้อยหยุดร้องไห้นานแล้ว แต่น้ำตายังไหลไม่ขาดสาย ร่างกายโยกโยนเหมือนเรือในทะเล อับปางด้วยคลื่นลม พายุโหมกระหน่ำสุดควบคุมได้ ดวงตาแดงช้ำว่างเปล่าจ้องมองใบหน้าบิดเบี้ยวเสียวกระสันที่อยู่ห่างแค่คืบนิ่งงัน มือที่ตกเปลี้ยอยู่ข้างกายยกขึ้นช้าๆ แตะลงบนเสี้ยวหน้าคมสัน ไล้ลงจากหน้าผาก หางคิ้ว ปลายตา ข้างแก้ม
ดวงดาวที่สวยที่สุด เคยบรรจุอยู่ในดวงตานี้ ดาวดวงที่หายลับไปเมื่อ ๗ ปีก่อน ค่อยๆ เปล่งแสงเรืองรองขึ้นเมื่อเช้า หากกลับดับวูบลงอีกครั้งในคืนนี้ ปีศาจตนใดขโมยดาวสุกใสของจ้อยไป จ้อยไม่เห็นอะไรเลยในตาคู่นั้น นอกจากความหื่นกระหาย มืดบอดเหมือนสัตว์ป่ากระหายเลือด
ใช่แน่ๆ เดรัจฉานในร่างคน กำลังฉีกทึ้งจ้อยเป็นชิ้นๆ กัดกินเลือดเนื้อ หัวใจจ้อยจนแหลกเละ แม้เป็นเศษซากแล้ว มันยังตะกรุมตะกรามกินไม่หยุด
ตลอดเวลาสิงห์ไม่พูดอะไรเลยสักคำ ราวกับมันละทิ้งจิตวิญญาณมนุษย์ กลายเป็นเดรัจฉานไปแล้วในค่ำคืนนี้ มันคว้ามือน้อยมากดจูบลงไปกลางฝ่ามือ ก่อนวางมือข้างเดิมนั้นให้พาดลงลาดไหล่ แต่จ้อยกลับทำตกเปลี้ยลงข้างกาย ดั่งคนไร้วิญญาณ
ในสมองพร่าเลือน ในสายตาพร่ามัว ปรากฏภาพแห่งวัยเยาว์แจ่มใสกระจ่างชัด ฟ้าสดสวยสูงโล่ง รวงข้าวพลิ้วไหว พี่น้องเดินเคียงกันไปตามคันนาชุ่มน้ำค้าง
เด็กชายตัวโตจูงมือน้องน้อย มือนั้นแข็งแรง อบอุ่นนัก เสียงสดใสร้องเพลงเรือที่เคยได้ยินพวกลุงป้าน้าอาร้องเล่นกันหน้าน้ำนอง
“จะเสี่ยงสัตย์อธิษฐาน ขอให้เป็นพยาน อย่าคลาดไป
ถ้าน้องเป็นน้ำ ตัวพี่จะตามเป็นปลา จะได้เย็นอุรา พี่ชาย
ถ้าน้องเป็นข้าว พี่จะขอเป็นเคียว พี่จะได้ตามไปเกี่ยว ฉาดไป
ถ้าน้องเป็นไม้ พี่จะขอเป็นนก จะได้ชื่นอกชื่นใจ..”เสียงเล็กร้องรับเจื้อยแจ้ว
“เหลืองเอยใบยอ หอมช่อมะเขือเปราะ
รักกันให้มั่น เหมือนเชือกขันชะเนาะ
สามปีสี่เดือน อย่าให้เลื่อนสักเปลาะ
รักน้องให้มั่นเหมาะใจเอย” รักน้องให้มั่นเหมาะใจเอย..
น้ำตายังไหลรินลงอย่างเงียบเชียบ ความเจ็บปวดซาลงจนชาด้าน ทว่าที่เจ็บที่สุดคือหัวใจที่แหลกสลาย แตกละเอียดเป็นเศษแก้วป่น ร่วงหล่นกรูกราว บาดเลือดเฉือนเนื้อ
จ้อยจะฝังมันไว้ที่นี่.. หัวใจที่แหลกสลาย.. ความรักที่พังทลายของจ้อย..
ลูกชายกำนันเปล่งเสียงร้องลั่นห้อง กระแทกกายเข้ามาเป็นครั้งสุดท้าย หลั่งรินความอำมหิตเคลือบอาดูรลงในส่วนที่ลึกที่สุด หนุ่มน้อยรู้สึกถึงอาการสั่นสะท้านก่อนซบลงแน่นิ่ง เหงื่อซึมท่วมตัว กลิ่นของมันคาวจัด จ้อยเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ความขมเปรี้ยวแล่นเอ่อขึ้นตามลำคอ ทอดกายปล่อยแขนขาแข็งทื่อ
ในขณะที่ ‘มัน’ ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด แต่จ้อยกลับตกลงมา..
เด็กหนุ่มร่วงลงเหวลึกชั้นแล้วชั้นเล่าไม่มีสิ้นสุด มีเพียงความว่างเปล่าเสียดสีอณูเนื้อกาย โพรงดำมืดของจิตใจคนขยายออก ดูดกลืนจ้อยลงไป
ดิ่งละลิ่วสู่ดินแดนแห่งการไม่อาจอภัยชั่วนิรันดร์
โปรดติดตามตอนต่อไป ___________________________________________________________________________
* ยิ่งกว่าการฆ่า, สุรัฐ พุกกะเวส - คำร้อง, พิทยา บุญยรัตพันธ์ - ขับร้องเฮ้อ.. ขออนุญาตสงบนิ่ง ๑ นาที
ไว้อาลัยให้ความรักของน้องจ้อยค่ะ
รักคนอ่านเสมอ (ถึงเราจะเขียนช้าอัพช้า T^T)
ดอกไม้
๑๑ พ.ย. ๕๕
ปล. ขอมอบสิ่งนี้ให้พี่สิงห์

(ขอบคุณ Facebook สมาคมมุขเสี่ยวฯค่ะ

)