My angel of death ยมทูตขอรัก!!!
ตอนที่ 1 เมื่อพบเจอ
“ท่านเซบัส ขอรับ ท่านเซบัสสสสสสสสสสสสสสสสส”
“อะไรของเจ้า วาเลน”
“ท่านเซบัส ที่ประเทศไทยมีวิญญาณที่พวกเรายังไม่ได้รับอีก 328 ตน”
“เจ้าก็ไปรับมาแล้วเอาไปให้ท่านยมสิ เจ้าจะเรียกข้าทำไม”
“328 ตนเลยนะขอรับท่านเซบัส”
“ตอนนี้ข้าไม่ว่าง เจ้าชวนยมทูตตนอื่นไปสิ”
“ไม่มีใครว่างเลยขอรับท่านเซบัส”
“นั่นมันเรื่องของเจ้า” ข้าได้แต่มองเจ้าวาเลนทำหน้าละห้อยคล้ายมันกำลังจะไปตาย แต่ยมทูตไม่สามารถตายได้อีกครั้งก็เหมือนกับการที่ยมทูตไม่สามารถกลับไปเป็นมนุษย์ได้อีก ข้านามว่า เซบัส ดาวีเน่ เป็นหัวหน้ายมทูตที่มีหน้าที่รับวิญญาณแล้วนำไปให้ท่านยมบาลตัดสินว่าวิญญาณตนนั้นๆสมควรขึ้นสวรรค์หรือลงนรก แต่ในโลกนี้มักมีข้อยกเว้นเสมอ เมื่อความดีและความชั่วของมนุษย์เท่ากัน วิญญาณนั้นๆจะไม่สามารถขึ้นสวรรค์หรือลงนรกได้และไปเกิดก็ไม่ได้ จะถูกพวกข้าพาไปส่งที่ทุ่งหญ้าทาทารัส ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกข้าด้วย วิญญาณที่อยู่ที่ทุ่งทาทารัสบางตนก็จะสมัครเป็นยมทูต บางตนก็อยู่เฉยๆและใช้ชีวิตปกติเหมือนมนุษย์
“ใจร้ายจังเลยนะ เซบัสที่รัก”คนที่เรียกข้าว่าเซบัสที่รัก มีอยู่คนเดียวที่เรียกแล้วข้าไม่เอาเคียวยมทูตฟัน คือ เรย์ ชอนแทเยอร์ หัวหน้ายมทูตอีกตน ข้าได้แต่ปรายหางตามอง ขี้เกียจเสวนากับไอ้เสเพล
“โหมีปรายตามอง เจ้ากล้าใช้วาเลนสุดสวยของข้าทำงานหนักเรอะ?”
“ท่านเรย์ขอรับ ข้าไม่ใช่ของท่านนะขอรับและข้าก็ไม่สวยด้วย”ข้าเหลือบมองวาเลนเห็นเจ้านั่นเดินสะดิ้ง ? ออกไป -*-
“หึ งั้นเจ้าก็ไปช่วยวาเลนสิ”ข้าพูดกับเรย์ แต่ไม่ได้หันหน้าไปมอง ข้ากำลังสนใจหนังสือสัตว์โลกน่ารัก ที่ตอนนี้ข้าอยากเลี้ยงชูการ์ไกรเดอร์ ว่างๆข้าควรจะไปหาท่านสัตวบาล ให้หาวิญญาณชูการ์ไกรเดอร์มาให้ข้าเลี้ยง
“นี่เซบัส เจ้าจะเสียมารยาทกับข้าอีกนานไหม เพื่อนอุตส่าห์มาเยี่ยม”
ข้าเงยหน้าจากชูการ์ไกรเดอร์ หันไปมองหน้าเรย์แล้วข้าก็กลับมาอ่านหนังสือต่อ วิธีเลี้ยงชูการ์ไกรเดอร์ที่ถูกต้อง อาหารของมันคือหนอนตัวเล็กๆ แมลง
“นี่เจ้าเซบัส”
“อะไร” ข้าพูดแค่อะไรเสร็จ ไอ้เจ้าเรย์เดินมากอดคอข้าแล้วชะโงกมองหนังสือในมือข้า
“นี่เจ้ากำลังคิดจะเลี้ยงสัตว์รึไง หน้าอย่างเจ้าโคตรโหดเจ้าจะเลี้ยงชูการ์ไกรเดอร์ ไม่แอ็บแบ๋วไปหน่อยเหรอเพื่อน”
“แอ็บแบ๋วแปลว่า?”
“ไอ้ยมทูตหลังเขา ว่าแต่วันนี้ข้าชวนวาเลนผู้ช่วยเจ้าไปเที่ยว ได้ป่ะ”
“ถ้าข้าบอกว่าไม่”
“ข้าก็จะลากวาเลนไปอยู่ดี”
“แล้วขอเพื่อ?”
“บอกไว้ก่อนไงเพื่อน เดี๋ยวเจ้าหาผู้ช่วยไม่เจอ แล้วจะโมโห”
“ข้าดูโมโห?”
“ไม่เลยเพื่อน งั้นข้าเอาวาเลนไปได้แล้วใช่ป่ะ?”
“เจ้าต้องไปช่วยวาเลน รับวิญญาณ 328 ตนที่ประเทศไทยก่อน เพราะนี่คืองานของวาเลน”
“ถือว่าช่วยเพื่อนหน่อยสิเซบัส”
“ข้าว่าข้าช่วยเจ้ามาหลายครั้งแล้ว ทั้งที่เจ้าหอบวิญญาณแม่บ้านของข้าไปนอนกก ไหนเจ้าจะเอาวิญญาณ”
“พอ พอเลยเซบัสเจ้านี่มัน”
“ทำไม?”
“เจ้ามันเพื่อนสุดประเสริฐว่าแต่อย่าบอกเรื่องนี้ให้วาเลนรู้นะ”
“ข้าไม่เคยบอก”
“ดีมากเพื่อน คะแนนที่ข้าทำกับวาเลนเป็นร้อยปีจะได้ไม่สูญป่าว”
“เจ้าจริงใจกับวาเลนรึไง”
“แน่สิ ไม่งั้นข้าไม่ตามจีบตั้งนานหรอก”
“แต่วาเลนเป็นยมทูตชาย”
“ไม่แปลก ก็ข้าหลงใหลวาเลน”
“เรื่องของเจ้า”
“555 เย็นชาชะมัด เซบัสที่รัก ข้าไปก่อนนะ”
“ที่ข้าไม่เคยบอก เพราะ วาเลนเป็นคนรายงงานข้าเรื่องนี้”
“เจ้า =O=”
“เจ้ากำลังรบกวนเวลาของข้า” ข้าก้มหน้าลงมาอ่านหนังสืออีกครั้งหลังจากที่เสียเวลาไปกับไอ้ยมทูตเสเพล ในขณะที่ข้าตั้งใจอ่านกะว่าจะไม่สนใจอะไรอีกแล้วกลับได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของวาเลนและเพื่อนของข้า เรย์ ชอนแทเยอร์
“ท่านเซบัส ทำไมท่านทำกับข้าเช่นนี้”
“เร็วสิวาเลนที่รัก พวกเราต้องไปเก็บวิญญาณอีกเยอะ ไหนจะไปเดินเที่ยวอีก”
“ท่านเซบัสใจร้าย ไม่เอา ข้าไม่ไปกับท่าน ท่านเรย์ปล่อย”
“ไม่ทันแล้ววาเลนที่รัก”สักพักเสียงเริ่มเบาลง สงสัยเรย์คงลากวาเลนออกไปได้สำเร็จ ทีนี้ข้าจะได้มีสมาธิกับการอ่านหนังสือต่อ หวังว่าคงไม่มีเรื่องวุ่นที่ต้องทำให้ข้าปวดหัวเหมือนวิญญาณตนที่แล้ว ที่ข้าปล่อยกลับเข้าร่าง วันนั้นข้าโดนยมบาลด่าซะหูชา ข้าเลยอ้างปลากะละมังนั้นที่เจ้านั่นปล่อย ทำให้ยมบาลลดคำด่าข้าน้อยลง(นิดนึง) แต่ไม่วายที่จะลงโทษให้ข้าไปเก็บวิญญาณเพิ่มอีกเท่าตัว
“ข้าหวังว่าคงไม่มีอะไรรบกวนข้าอีกนะ”ข้าได้แต่พึมพำกับตัวเองเบาๆ
โลกมนุษย์
“ขนมอบลูก ไปดูให้ยายหน่อยสิว่าหม้อแกงสุกรึยัง”
“ครับยาย เดี๋ยวอบไปดูให้”
ผมชื่อ ขนมอบ ยายของผมเป็นคนตั้งให้เพราะยายขายขนมที่อบซะส่วนมาก ส่วนพ่อแม่ผมไม่มี ยายเล่าให้ฟังว่าแม่หนีไปกับพ่อ พอคลอดผมออกมาก็มาฝากยายเลี้ยง แล้วก็ไม่กลับมาหาผมอีกเลย ผมเลยไม่รู้ว่าความรักจากพ่อแม่เป็นแบบไหน ผมเกิดมาก็มีแค่ยาย บ้านของพวกผมอยู่ในสลัม ทุกๆเช้าผมกับยายจะเข็นขนมไปขาย เมื่อก่อนพอสายหน่อยผมก็จะไปโรงเรียน แต่พอผมจบม.หก ยายจะให้ผมต่อมหาลัย แต่ผมรู้ว่ายายไม่ได้มีเงินมากขนาดที่จะส่งเสียผมเรียนมหาลัยแล้วอีกอย่างผมไม่ใช่คนฉลาดออกจะเป็นคนโง่ ผมไม่มีทางที่จะสอบทุนได้แน่ๆ ผมเลยไม่เรียนต่อ แล้วมาช่วยยายขายขนม
ผมเดินมาหลังบ้าน และเปิดฝาหม้อดูที่ตอนนี้หม้อแกงกำลังสุกได้ที่ผมเลยยกออกไป
“ยายครับ หม้อแกงสุกแล้ว หอมมาก ฝีมือยายผมนี่สุดยอดในประเทศไทยเลยนะนี่”
“ไม่ต้องชมยายขนาดนนั้น กินมาตั้งแต่เล็กจนโต”
“ก็มันหอมจริงๆนะครับ วันนี้ต้องขายหมดอีกแน่เลย”
“จ้า สมพรปากเถอะ ขนมอบ”ผมช่วยยายจัดแจงวางของบนรถเข็น ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้ากว่า ได้เวลาที่ผมกับยายจะออกจากบ้านไปขายขนมที่ตลาด
“ว่าไงขนมอบ วันนี้ก็มาช่วยยายขายขนมเหมือนเดิมนะเรา”
“ครับ ป้าอร วันนี้ขอให้ป้าอรขายหมูได้เยอะๆนะครับ”
“สมพรปากนะ ขายได้หมดเดี๋ยวป้าเลี้ยงข้าวเลย”
“ขอบคุณครับป้าอร”ป้าอรเป็นป้าที่ขายเนื้อหมูอยู่ข้างๆ รถเข็นยาย ทุกเช้าป้าอรจะทักผม สนิทกันเหมือนป้าแท้ๆของผม ป้าอรเป็นคนนิสัยดี แถมบ้านยังอยู่ข้างๆกันเลยสนิทเป็นพิเศษ
“นี่ เจ้าอร ทักแต่หลาน”
“ฮ่าๆยายก็ น้อยใจไปได้ วันนี้อรขอให้ยายขายดีๆถ้าเหลือเอาขนมแบ่งอรมากนะ”
“ของซื้อของขายเจ้าอร”
“โหย อรขายของดีกว่าไม่คุยกับยายแล้ว”ผมได้แต่ยิ้มๆท่าทางงอนๆของป้าอร
ช่วงเช้าๆตลาดทีนี่คนจะเยอะเป็นพิเศษ เพราะแถวนี้อยู่ใกล้หอพัก โรงงาน หมู่บ้าน ทุกทีไม่เกินเที่ยง ผมกับยายจะขายขนมหมด เพราะขนมของยายอร่อยที่สุดในตลาดแล้ว แถมราคายังไม่ขูดเลือดขูดเนื้อ ยายบอกกับผมเสมอว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน ยายสอนผมเสมอให้เป็นคนดี ไม่ว่าเราจะจนหรือจะรวย ถ้าเราชั่วเงินพวกนั้นก็ไม่สามารถช่วยเราได้มีแต่ความดีเท่านั้นที่อยู่กับเราจนวันตาย
ตามคาดผมกับยายขายขนมหมดก่อนเที่ยง ผมกับยายเลยไปเดินซื้อของในตลาดกะจะมาทำมื้อเที่ยง เดินซื้อของเลือกนู่นเลือกนี่ จนเจอกับเอ็มลูกชายเจ้าของตลาด ผมไม่รู้ว่าผมจะนับเอ็มเป็นเพื่อนได้รึป่าว บางทีเอ็มก็ทำดีกับผม บางทีก็ด่าผม
“สวัสดีครับคุณยาย สวัสดีขนมอบ”
“สวัสดีเจ้าเอ็มไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“ครับ ช่วงนี้เอ็มติดเรียนที่มหาลัย ว่างก็แค่วันนี้”
“งั้นเอ็มก็คุยกับขนมอบไปก่อนนะ ยายไปซื้อของอีกนิดหน่อยนะ คุยเสร็จไปเจอที่รถเข็นนะขนมอบ”
“ครับ ยาย”ยายปล่อยผมให้คุยเล่นกับเอ็ม ผมว่าผมกับเอ็มไม่เคยคุยเล่นกันสักครั้งมีแต่เอ็มด่าผมแบบเสียๆหายๆ
“ว่าไงไอ้หน้าตุ๊ด ไม่เจอกันซะนานขาวขึ้นเหรอ?”นั่นไงผมว่าแล้ว คุยกันร้อยครั้ง มีแค่เสี้ยววินาทีที่เอ็มจะคุยกับผมดีๆเช่น ขาวขึ้นเหรอ? ผมว่าดีที่สุดที่เอ็มเคยคุยกับผมมา
“มีอะไรอีกไหม ไม่งั้นผมขอตัวกลับก่อน”
“เดี๋ยวสิไอ้ก้าง ฉันคุยกับนายยังไม่จบเลยนะ”
“ผมเห็นแต่คุณด่าผม”
“ก็มันจริง หน้านายมันตุ๊ด หุ่นก็แคระแกนถามจริงเคยแดกไรเข้าไปไหม?”
“ผมก็กินข้าวเหมือนกับคุณ แค่ตัวผมมันเล็กเท่านั้น” พอผมพูดเสร็จ เอ็มหมุนตัวผมไปมา จับหัวผมหมุนๆ นี่ตกลงเอ็มจะด่าผมหรือจะออกกำลังกายให้ผมกันแน่
“ตัวนายมันเล็กจริงๆด้วย ไอ้ก้าง”
“ถ้าไม่มีอะไร ผมขอตัวก่อนนะครับ”ผมรีบผละจากมือเอ็มเดินหนีออกมา ผมหันกลับไปมองเห็นเอ็มตบปากตัวเอง แต่ผมไม่สนใจหรอกเอ็มจะทำอะไรก็เรื่องของเขา ผมเดินไปหายาย จนผมไม่ได้ได้ยินประโยคบางอย่างจากปากเอ็มและผมคงไม่ได้ยินมันอีกเลยตลอดชีวิตผม
“ไอ้ปากหมา ไอ้เอ็มปากมึงนี่จริงๆเลยนะ รักเขาก็พูดไปสิโว้ย”
“ยาย กลับบ้านกันเถอะนะผมหิวข้าวแล้ว”
“อ้าวคุยกับเจ้าเอ็มเสร็จแล้วเหรอ ไปๆกลับบ้าน ยายก็หิวเหมือกัน”
“ครับยาย ผมเข็นไปเลยนะ” ผมกับยายเรากำลังจะเดินกลับบ้าน แค่ผมอยู่กับยายก็ทำให้ผมมีความสุขแล้ว แค่ชีวิตธรรมดาๆไม่รวยอยู่แบบพอเพียง ผมกับยายข้ามถนนเสร็จ ยายผมลืมซื้อของอีกอย่างหนึ่ง ยายเลยเดินหันกลับไปข้ามถนน แต่ว่าไฟมันเปลี่ยนเป็นสีเขียว แถมยายผมยังอยู่กลางถนน ผมรีบวิ่งไปหายาย
“ยาย ระวัง”
เอี๊ยดดดดดดด โครมมมมมมมมม
ผมรู้สึกว่าตัวผมกระเด็นไปพร้อมกับยาย แล้วสติผมก็เลือนรางลง
“คุณหมอคะ เราจะทำไงดีคะ เรื่องยายของเด็กคนนี้”
“ยังไงเราก็ต้องบอกเขา”
“แล้วเรื่อง”
“เราก็คงต้องบอกเขาทั้งสองเรื่อง”ผมได้ยินเสียงเบาๆแต่นั่นก็ดังพอที่จะทำให้ผมลืมตาขึ้นมา ผมกระพริบตาถี่ๆ เห็นเพดานสีขาว เห็นคุณหมอกับพยาบาล ผมอยู่ที่โรงพยาบาล? ครั้งสุดท้ายที่ผมคิดออกผมถูกรถชน ผมเอาแขนชันตัวเองขึ้น
“คุณหมอครับแล้วยายผมล่ะครับ”
“หมอว่าคนไข้พักผ่อนก่อนเถอะ”
“ไม่ครับ ผมจะไปหายายผม”
“เอ่อ คือน้องคะพี่ว่าน้องพักก่อนเถอะค่ะ”
“ไม่ครับ ยายผมล่ะ”
“หมอคะจะบอกดีไหมคะ”
“เสียใจด้วยนะ ยายของคุณเสียชีวิตตรงที่เกิดเหตุ”
“ยายผม เสียแล้ว?”
“พักผ่อนเถอะ”หมอกับพยาบาลเดินออกจากห้องไปทิ้งให้ผมนั่งบนเตียงคนเดียวในห้อง ผมได้แต่นั่งน้ำตาไหล ผมไม่เหลือใครแล้ว ยายผมไม่อยู่แล้ว แล้วผมจะอยู่กับใคร ทำไมต้องเอายายผมไปด้วย ทำไมฟ้ากลั่นแกล้งคนแบบผม ผมทำผิดอะไร
ผมเดินออกจาห้องเพื่อจะไปถามพยาบาลว่าศพยายผมอยู่ไหน อย่างน้อยผมก็อยากเห็นหน้ายายเป็นครั้งสุดท้าย
“น่าสงสารเด็กคนนั้นจังเลยนะคะ”
“ใช่ค่ะนอกจากยายจะเสียแล้วยังเป็นมะเร็งอีก”
“โห เด็กคนนั้นชาติที่แล้วไปทำกรรมไรมา แล้วถ้าเขารู้เรื่อง เขาจะทำใจได้ไหม”
“ถ้าเป็นฉันคงเป็นบ้า รีบไปวัดความดันเถอะได้เวลาแล้ว”ผมได้ยินบทสนทนาทั้งหมด นั่นคงหมายถึงผมสินะนอกจากผมจะเสียยายไปแล้วผมยังเป็นมะเร็ง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันทำไมมันต้องเกิดกับผม ผมไปทำอะไรผิด ตอนนี้ผมไม่เหลือใครแล้ว ขนาดตัวผมเองยังเป็นมะเร็งแล้วจะอยู่ไปเพื่ออะไรกัน
ผมตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องพักของตัวเอง ผมไม่เหลือใครแล้ว ผมเป็นมะเร็งแล้วผมจะอยู่ไปทำไม ผมหันไปเห็นมีดปอกผลไม้ที่โต๊ะพอดี ผมไม่รู้จะอยู่เพื่ออะไรแล้ว ผมเดินถือมีดเข้าห้องน้ำกดล็อคประตูห้องน้ำ เปิดฝักบัวให้น้ำไหลไปตามร่างกายผม
“ผมขอโทษนะครับยาย ผมกำลังจะไปหายายเดี๋ยวนี้แหละครับ ยายรอผมด้วยนะ”ผมกดมีดลงกับข้อมือตัวเอง ไม่นานเลือดไหลออกมาตามข้อมือผมแล้วก็ตัดสินใจกดลึกลงไปอีกเพื่อให้ถึงเส้นเลือดใหญ่ ผมได้แต่ปล่อยให้เลือดผมไหล
“ผมรักยายนะครับ”
“ท่านนะท่าน ข้าบอกแล้วว่าข้ามารับวิญญาณเองได้”
“ข้าก็บอกเจ้าแล้ววาเลน ว่าข้าจะมาช่วย”
“ไม่เห็นต้องการให้ท่านเรย์ผู้สูงศักดิ์ มาช่วยเลยขอรับ”
“หึทำดีไม่ได้ดี ถ้าเมื่อกี้ข้าไม่ได้จักการวิญญาณเฮี้ยนที่ไม่ยอมไปกับเราดีๆ มีหวังป่านนี้เจ้าบาดเจ็บไปแล้ววาเลน”
“ข้าไม่ได้ขอร้องท่านซะหน่อยท่านเรย์ ข้าจัดการเองได้”
“เจ้ามายืนเถียงกับข้าแบบนี้ วันนี้เจ้าก็รับวิญญาณไม่หมดหรอก”
“เหลือแค่ดวงเดียว ถ้าท่านเบื่อท่านก็ไปที่ชอบที่ชอบสิ”
“ก็ที่ชอบของข้า มันคือเจ้านี่นา”
“ท่าน”
“ว่าไงจ๊ะวาเลนที่รัก”
“ข้าไม่คุยกับท่านแล้ว ข้าจะได้รีบรับวิญญาณแล้วแยกกับท่านทันที”
“ไม่ได้หรอกวาเลนจ๋า เจ้ายังต้องไปเที่ยวกับข้าต่อ”
“ไม่มีทางข้ายังมีงานต้องทำอีกเยอะแล้วอีกอย่าง ข้าไม่ใช่สตรีเพศที่ท่านต้องมาพูดจ๊ะจ๋าใส่ จำไว้ด้วยท่านเรย์”
“ลืมไปข้าไม่ใช่ เซบัส ถ้าเป็นเซบัสเจ้าคงอยากเดินเล่นต่อใช่ไหม”
“ใช่”
“เจ้าทำร้ายจิตใจข้าจัง แต่ไม่เป็นไร ข้าจะจีบเจ้าต่อไปเรื่อยๆ”
“ท่านนี่มัน”
“โอ๊ะ นั่นไงวิญญาณดวงสุดท้าย รีบกันเถอะวาเลนที่รักชักช้าจะเสียการใหญ่”
“ขอรับท่านเรย์”
“ชักไวๆจะใหญ่กว่าเดิม”
“อะไรนะขอรับ”
“ข้าแค่พูดว่า ซักผักต้องซักไวไว จะใหม่กว่าเดิม”
“เกี่ยว?”
“ข้าพูดกับเจ้าแล้วชักช้า ไปรับดวงวิญญาณกันเถอะ”
ผมรู้สึกตัวผมเบาขึ้นผม แต่พอผมก้มลงผมกับเห็นร่างกายตัวเองนั่งพิงกำแพงห้องน้ำโดยที่รอบๆมีเลือดเจิ่งนองเต็มพื้น
“เจ้าชื่อ ขนมอบ ใช่ไหม”ผมหันกลับไปมองคนที่เรียกชื่อผม ผมเห็นพวกเขาสองคน คนหนึ่งตัวสูง หล่อแบบทะเล้นๆ ผมชักอิจฉานิดๆแล้วล่ะสิ ส่วนคนที่ถามผมมีหน้าออกแนวหวานๆ ตัวเตี้ยกว่าผู้ชายคนแรก แต่สูงกว่าผมนิดหน่อย
“เจ้ารู้ตัวรึยังว่าตายแล้ว”คนตัวสูงถามผมแล้วเดินเอามือมาพาดไหล่ผม
“เอ่อ...ครับ พวกคุณเป็น”
“พวกเราเป็นยมทูตน่ะ ฉันเรย์ ส่วนแฟนฉันวาเลน”
“ใครเป็นแฟนท่านกัน”
“ไม่เอาน่าวาเลน ดูสิวิญญาณทำหน้าเหมือนกินขี้เข้าไปทุกทีแล้ว”เอ่อ ผมกำลังสงสัยว่าผมทำหน้าเหมือนกินขี้เหรอครับ?
“ข้ามารับดวงวิญญาณเจ้า”คนที่ชื่อวาเลนพูดกับผมแต่มือเขากับเปิดหนังสือแล้วหันมาพูดกับผมอีกครั้ง
“เจ้าฆ่าตัวตาย”
“ครับผม”
“โอ้ว ขนมอบที่รักบาปหนักเลยนะ”ไม่ใช่ใครที่ไหนที่พูดกับผม คนที่ชื่อเรย์ แถมมือเขายังไม่เอาออกไปจากไหล่ผม
“ทีนี้เจ้าก็ได้วิญญาณครบ 328 ตนแล้วนะวาเลนจะไปเที่ยวกับข้าได้รึยัง”
“ไม่ไปขอรับ ข้ายังต้องเอาวิญญาณไปส่งให้ท่านยมบาล”
“หลังจากนั้นล่ะ”
“ข้าต้องกลับไปรับใช้ท่านเซบัส”
“อะไรก็เซบัสๆ ข้างอนเจ้าแล้ว”ผมว่าบรรยากาศของเขาสองคนเป็นสีชมพูแบบแปลกๆและผมกำลังคิดว่าผมเป็นส่วนเกิน
“เอ่อ พวกคุณมารับผมรึป่าวครับ”
“ใช่ข้ามารับเจ้า แล้วก็ไปกันได้แล้ว”คนที่ชื่อวาเลนจับมือผมแล้วผลักแขนของเรย์ออกจากไหล่ผม
“ไปกันได้แล้ว”
“หึ เจ้าได้วิญญาณครบ 328 ตน ข้าคงไม่มีความหมายแล้ว ข้าลาล่ะวาเลน ส่วนเจ้าขนมอบที่รัก ขอให้เจ้าโชคดี”
“ไปซะได้ก็ดี”
“ท่านเป็นแฟนกับเขาจริงๆเหรอครับ”
“ถ้าเจ้ายังปากพล่อย ข้าจะสลายวิญญาณเจ้าซะขนมอบ”ผมได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินตาม เอ่อ ลอยตามวาเลนไป
ผมเพิ่งเห็นนรกเป็นครั้งแรก ตอนนี้ผมกำลังต่อแถวรอคำพิพากษาจากท่านยมบาล(วาเลนบอกผมมาแบบนั้น) ผมพยายามมองหายายของผม แต่ผมมองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ผมต่อแถวไปเรื่อยๆจนถึงคิวผม
“นาย ขนมอบ ไทยเจริญ ได้กระทำความดีมาตลอดชีวิต ไม่เคยฆ่าสัตว์ทำบุญตักบาตรทุกเช้า กตัญญูรู้คุณ ไม่เคยโกหก กระทำความดีทั้งชีวิต”
“แล้วความชั่วล่ะเจ้าสุวรรณ”
“กราบเรียนท่านยมบาล ความชั่วสิ่งเดียวที่นายขนมอบทำ มีแค่การฆ่าตัวตายขอรับ”ผมได้แต่ยืนฟังความดีความชั่วของผม ผมผิดมากที่ฆ่าตัวตายแต่ผมไม่เคยมานั่งโทษในสิ่งที่ผมทำลงไป
“เจ้าขนมอบจงฟังข้า ถ้าเจ้าไม่คิดสั้นฆ่าตัวตายที่ถือว่าเป็นบาปร้ายแรงที่สุด เจ้าคงได้ขึ้นสวรรค์แล้วกลายไปเป็นเทพ แต่เจ้ากลับทำผิดอย่างมหันต์ เมื่อความดีและความชั่วของเจ้าเท่ากันเจ้าไม่มีสิทธิ์ขึ้นสวรรค์แล้วความชั่วที่ถูกหักล้างด้วยความดีทำให้เจ้าไม่ตกนรก และเจ้าจะไปเกิดไม่ได้เจ้าจะได้ไปอยู่ที่ทุ่งหญ้าทาทารัส ยมทูตพาตัวเจ้านี่ไปทุ่งทาทารัส”
ผมเดิน เอ่อ ผมลอยไปนอกห้องพิพากษาและมียมทูตตนหนึ่งมารับผมไป
“ว้าวขนมอบที่รัก เจ้าไม่ตกนรกเหรอเนี่ยแปลกใจมากๆ”ไม่ต้องมองก็รู้ว่าใคร คน เอ่อ... ยมทูตที่เรียกผมว่าขนมอบที่รักคน เอิ่ม...ตนเดียว(ผมยังไม่ค่อยชินกับภาษาวิญญาณที่ต้องใช้)ก็คงจะมีแต่ยมทูตที่ชื่อเรย์เท่านั้น
“ผมแปลกใจมากที่คุณเป็นคนไปส่งผมที่ทุ่งหญ้าทาทารัส”
“ยินดีมากเลย ข้าก็อาศัยอยู่ที่ทุ่งทาทารัส เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปชม จับหลังข้าไว้แน่นล่ะข้าไม่ชอบลอยช้าๆ ข้าชอบความไว”
ผมเกาะหลังของเรย์แน่น ผมเชื่อแล้วล่ะว่าเรย์ชอบความไว แปปเดียวผมก็ลอยมาถึงทุ่งหญ้าทาทารัส (เรย์เป็นคนบอกผม) เป็นที่กว้างๆคล้ายโลกมนุษย์แต่เป็นสังคมแบบ เป็นทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างๆมีบ้านทรงคล้ายๆเห็ดอยู่หลายหลัง มีผู้คนเดินไปมา เหมือนกับโลกมนุษย์เลยแต่ที่นี่จะดูสงบกว่ามาก อากาศเย็นๆ
“ที่ทุ่งหญ้าทาทารัสคล้ายโรคมนุษย์ของเจ้านั่นแหละ แต่ที่สงบสุขกว่ามากไม่วุ่นวายใช้ชีวิตก็แบบเดียวบนโลกมนุษย์ทำงานแลกเงิน เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปบ้านพักของเจ้าแล้วกัน”เรย์พาผมเดิน ผมเดินจริงๆแล้วครับ เพราะตั้งแต่เรามาถึงทุ่งหญ้าทาทารัส เท้าผมก็รู้สึกได้ถึงการแตะพื้น ผมเดินตามมาเรื่อยๆจนถึงบ้านเห็ดของผม เรย์เปิดประตูเดินเข้าไป ผมมองสำรวจบริเวณภายในบ้าน ผมมองดูข้างนอกเป็นบ้านเห็ดที่เล็กมากๆ คือมันดูแคบและดูเข้าไปได้สามสี่คนก็อึดอัดแล้ว แต่พอเข้ามาข้างในจริงๆ กว้างมากๆ แถมข้างในยังแบ่งเป็นห้องๆ ไม่น่าเชื่อ ผมเพิ่งเคยเห็นบ้านที่ดูข้างนอกแคบแต่ข้างในกว้างขวาง
“แตกต่างล่ะสิ ในทุ่งหญ้าทาทารัสนี่สบายกว่าโลกมนุษย์ของเจ้าเยอะเลย ขนมอบขาพาเจ้าเดินดูรอบเสร็จแล้วข้าแนะนำให้เจ้าออกหางานทำเพราะที่นี่จะต้องมีตัวกลางแลกเปลี่ยนสิ่งที่เจ้าอยากได้ในโลกของเจ้าก็คงเรียกว่าเงิน ค่าเงินในที่นี่เรียกเป็นดอล แบ่งออกเป็นสามดอล ดอลแดง ดอลเงิน ดอลทอง สิบดอลแดงแลกได้หนึ่งดอลเงิน สิบดอลเงินแลกได้หนึ่งดอลทอง เจ้าสามารถหางานได้ที่สำนักหางานทุ่งหญ้าทาทารัส แต่ถ้าตอนนี้เจ้าไม่มีเงินก็สามารถไปขอข้าวเช้า กลางวัน เย็นได้ที่ส่วนกลางของที่นี่ เจ้าถามคนแถวนี้ก็รู้เองแหละ ข้าแนะนำเจ้าเสร็จแล้วข้าขอตัวไปหาวาเลนก่อน” ผมกำลังคิดว่าเขาหายใจทางไหน ผมเพิ่งรู้ว่าผมมียมทูตพูดมากเอ่อ คือพูดเยอะไปหน่อย ในขณะที่เขากำลังจะลอยหายไปผมก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้
“เดี๋ยวก่อนเรย์”
“หือเจ้าเรียกข้าว่าเรย์เฉยๆเหรอ”
“ทำไมเหรอ ผมต้องเรียกคุณว่าอะไร”
“ดีแล้วๆเรียกข้าว่าเรย์ ข้าอยากมีเพื่อนสนิทอีกคนที่เรียกข้าว่าเรย์เฉยๆ ข้าเบื่อเต็มทีกับคำว่าท่านเรย์ ข้าล่ะเซ็งเป็ด”
“เรย์รู้จักคำว่าเซ็งเป็ดด้วยเหรอ”
“ข้าก็วัยรุ่นนะขนมอบที่รัก ว่าแต่เจ้าเรียกข้าทำไมเหรอ”
“คือผมอยากถามว่า เรย์เป็นแฟนกับวาเลนจริงๆเหรอ”
“ข้าหวังให้เป็นตามที่เจ้าพูดนะ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ ข้าแค่คนเดียวที่รักวาเลน”
“ผมเชื่อครับ ว่าวาเลนต้องรักเรย์แน่ๆ ผมดูคนเก่งนะครับ”
“เฮ้อเจ้านี่พูดทำให้ข้ามีความหวังนะ แต่ก็ไม่เคยหมดหวังข้ามีความหวังมาเป็นร้อยปีแล้ว เจ้าพูดดีนะเนี่ยเห็นแก่เจ้าเป็นเพื่อนสนิทคนที่สองของข้า อยากให้ช่วยอะไรบอกมาได้เลยนะ”
“ผมอยากขอให้เรย์ช่วยผมอีกอย่างหนึ่งได้ไหมครับ”
“ได้สิข้าเพิ่งบอกเจ้าไปเองเมื่อกี้”
“ช่วยหางานให้ผมทำได้ไหมครับ คือผมไม่รู้ว่าจะทำงานอะไร ที่นี่แตกต่างจากที่ผมเคยใช้ชีวิตอยู่”
“แปปนะ ข้าขอใช้ความคิดก่อน”แค่หางานให้ผมทำ ถึงกับต้องใช้ความคิดผมนึกว่าเขาพูดมากแล้วเขาจะแสนรู้ เอิ่ม...คือมากไปด้วยความรู้รอบตัว
....ฮัดเช้ย...
ข้าว่าข้าต้องเป็นหวัดหรือไม่ก็คงมีใครนินทาข้าอยู่ ขณะที่ข้ากำลังอ่านหนังสือสัตว์โลกน่ารักเพื่อหาสัตว์อื่นที่ทดแทนชูการ์ไกรเดอร์ที่ตอนนี้วิญญาณมันขาดแคลน
“ท่านเซบัสขอรับ ท่านเรย์ขอพบ”
“เรย์ขอพบข้า?” ที่ข้าแปลกใจไม่ใช่ว่าเขามาหาข้า แต่ข้าแปลกใจตรงที่ไอ้เสเพลนั่นมันขอพบข้า? ทุกทีมันเคยขอพบที่ไหนเดินเข้ามาเลย
“ขอรับ ผมให้เขารอด้านนอก”
“วาเลน ให้เข้ามา”ข้าก้มลงอ่านหนังสือต่อคงไม่มีเรื่องอะไรนอกจากไอ้เสเพลจะเอาเรื่องข้ามาอ้างแล้วแอบพาผู้ช่วยข้าไปเที่ยวอีก
“ขอรับ”วาลินเดินออกไปไม่นาน สักพักไอ้เสเพลก็เดินเข้ามา
“เซบัสที่รัก เพื่อนรัก มายดาร์ลิ๊งค์”
“ข้าจะอ้วก”
“โห่ ไอ้เพื่อนยาก วันนี้ข้ามีคนแนะนำให้รู้จัก”ข้าเหล่ตาไปมองมัน เห็นคน ต้องบอกว่าวิญญาณสินะ แอบอยู่หลังไอ้เสเพล
“ใคร?”
“แท่น แท๊น ชื่อขนมอบจะมาเป็นแม่บ้าน เห้ย พ่อบ้านแทนคนเก่า”
“ที่เจ้าเอาไปนอนกกเหรอ?”
“เงียบๆสิโว้ย” ข้าไม่ค่อยสนใจไอ้เสเพลนี่เท่าไร ข้าปิดหนังสือแล้วเงยหน้ามองเจ้านั่นแบบเต็มๆแต่เจ้านั่นก็ยังแอบอยู่หลังเรย์ไม่ห่าง
“นี่อย่าแอบอยู่หลังข้าสิ ข้าอุตส่าห์แนะนำที่ทำงานให้เจ้านะ”
“แต่ผมกลัว เรย์ให้ผมไปทำงานบ้านคุณแทนไม่ได้เหรอ”
“จะบ้าเหรอ แค่บ้านข้าก็มีแม่บ้านปาไปเป็นร้อย ข้าเพิ่งเอาแม่บ้านของไอ้หมอนี่ไป”ถึงจะกระซิบกันแต่ข้าก็หูดีนะ
“เซบัสเพื่อนยากข้าไปก่อนล่ะ ข้ามีงานที่จะต้องทำ ลาก่อนขนมอบ” ไอ้เสเพลหันมาลาข้าแล้วกลับไปพูดกับวิญญาณข้างหลัง ทำให้วิญญาณนั่นอึ้งเล็กน้อย ที่อยู่ดีๆเรย์ก็หายตัวไป
“เจ้าตกลงจะทำงานกับข้าหรือไม่”ข้าถามกับวิญญาณตนนั้น ถึงข้าจะบอกว่าถาม แต่เสียงของข้าคล้ายกับตวาดจนทำให้วิญญาณตัวเล็กอยู่แล้วกลับเล็กลงไปยิ่งกว่าเดิม
“ครับ ผมจะทำงานกับท่าน”
“ยินดีที่รู้จัก ข้าเซบัส”
“ผมชื่อขนมอบครับ” ขนมอบเป็นชื่อที่แปลกดีนะ ชื่อจะแปลกยังไงก็ช่างว่าแต่ไอ้หมอนี่ตายยังไงกันล่ะ
ไม่รู้ว่าดีกว่าเดิมหรือแย่กว่าเดิม เรื่องที่ 2 ค้าาา
ฮิ้วๆ *ขอฝากอะไรไว้สักอย่างถึงจะสิ้นหวังยังไงไม่เหลือใครก็อย่าฆ่าตัวตายนะคะ มันเป็นบาป(มากๆ)
While we breathe, we hope.
ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ พวกเราก็ยังมีหวัง