บั่บว่าพักมือนานไปหน่อย กระทู้ซันอ้นก็เลยโดนเก็บ ขอลงรวมไว้กับตรัสเท็ตเลยแล้วกันเนอะ อย่าโกรธกันน้า โอ๋เอ๋~
ทฤษฎี : บทที่ 1
‘เพื่อน’ คำหนึ่งพยางค์ที่มีความหมายกว้างขวางเหลือคณานับ
แต่ค่าของมันช่างน้อยนิดเหลือเกินเมื่อเทียบกับความรู้สึกที่มี
ต่อให้แสนดีแค่ไหน ทุ่มเทมากเท่าไหร่ แม้จะให้ไปหมดแล้วทั้งใจ
อย่างไรก็เป็นได้แค่ ‘เพื่อน’ อยู่ดี
ผมไม่มีคำจำกัดความใดจะให้เปมทัต พิรัตน์ไพศาลได้ดีไปกว่าเพื่อนสนิท แปดปีที่อยู่เคียงข้างกันมาไม่เคยมีเลยสักวันที่ห่างไกล แม้แต่หน้าที่การงานยังไม่อาจทำให้เราแยกจาก อาศัยความใจกล้าและโชคชะตาเข้าหาผู้ใหญ่จนกระทั่งได้ตำแหน่งงานที่เทียบเคียงบุตรชายท่านทูต
เปมคือชื่อที่ผมถือสิทธิเรียกเขาแต่เพียงผู้เดียว สิ่งเล็ก ๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากเพื่อนคนอื่น ทั้งที่ความจริงแล้วเขาระลึกได้เสมอว่าผมรู้สึกอย่างไร ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคำว่าแตกต่าง แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดหรือแสดงอาการใด ๆ ให้ผมเสียใจ ผมรู้ดีว่าเปมไม่เคยข้ามเส้นความสัมพันธ์ จากวันแรกที่พบกันกำแพงแห่งความเป็นเพื่อนเคยสูงแค่ไหน ทุกวันนี้มันก็ยังคงเป็นเฉกเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ถามว่าผมน้อยใจไหมกับความคลุมเครืออย่างนี้ คำตอบคือไม่เลย ทุกอย่างมันยุ่งยากเพราะหัวใจของผมดื้อแพ่ง ทางออกง่าย ๆ ก็แค่เก็บกั้นอารมณ์และสำรวมใจไม่ให้มันเลยเถิดไปกว่าที่เป็นอยู่ เปมไม่ใช่ฝ่ายผิดและจะไม่มีวันผิด เขาไม่รักก็เพราะเขาเลือกที่จะไม่รัก ไม่ใช่เพราะผมไม่ดีหรือไม่มีความเหมาะสมคู่ควร ผมเชื่ออย่างนั้น
ผมเริ่มคุ้นชินกับการทำงานในสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเบอร์ลินในส่วนของสำนักงานพาณิชย์ กับตำแหน่งผู้ช่วยดำเนินการด้านการค้าระหว่างประเทศที่ผมภาคภูมิใจ โดยมีคุณปราโมทย์ พิรัตน์ไพศาล คุณพ่อของเปมท่านให้ความกรุณา ส่วนตัวลูกชายประจำตำแหน่งผู้ช่วยทูตฝ่ายพาณิชย์
ผมรีบกลับมาสานต่องานที่ค้างคาหลังจากหัวหมุนกับเหตุระทึกที่มาตุภูมิ เมื่อไอ้คุณชายตรัส รัตนภูมิเศรษฐเขาเกิดเพี้ยน ทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาปฏิเสธการติดต่อกับเพื่อนฝูงทุกช่องทาง ทำให้แผนการท่องเที่ยวเกาะฮ่องกงของผมล่มชนิดไม่เสียดายค่าโรงแรมที่จ่ายล่วงหน้า ทั้งที่ตั้งใจว่าจะเปิดหูเปิดตาในย่านคาสิโนของมาเก๊าก็เป็นอันจบเห่
“เอาไว้วันหยุดยาวครั้งหน้าค่อยไปกันใหม่ก็ได้” เปมพูดขณะที่เขี่ยใบเรดโอ๊คในจานสลัด เรากำลังใช้เวลาพักกลางวันในร้านอาหารท้องถิ่น “แค่ตรัสกับเท็ตคืนดีกันได้ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว” น้อยไปสิ ก็เพราะหน้าตาบอกบุญไม่รับของตัวเองไม่ใช่หรือที่ทำให้ผมเป็นกังวล กลัวว่าเขาจะรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้ใช้เวลาในช่วงวันหยุดอันน้อยนิดให้มีค่า อุตส่าห์รีบเดินทางกลับไทยเพื่อพบว่าคู่กรณีกำลังนอนกอดกันกลมบนเตียงขนาดควีนไซส์ ไม่น่าจิตอ่อนตามไอ้ตรัสมันเลยให้ตาย
ทัศนัย เกียรติพัชรเมธีเป็นชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันแต่กลับปฏิบัติตัวไม่ต่างจากเด็กมัธยมต้นที่แสนซนและอยากรู้อยากเห็น ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันจนถึงบัดเดี๋ยวนี้ผมยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด เฟรชชี่ปีหนึ่งหน้าเปื้อนแป้งที่โดดเด่นกว่าใครทำให้ตรัสสูญเสียตัวตนจนถึงขั้นยอมย้ายคณะเรียน มันช่างเป็นความคิดที่บ้าบิ่นสิ้นดี ซึ่งถ้าเป็นผม ถ้าคิดว่าเป็นคนที่ใช่ ต่อให้ต้องทุ่มเทอะไรที่มากกว่านั้นผมก็คงพร้อมจะยินยอมเช่นกัน โดยเงื่อนไขสำคัญคืออีกฝ่ายต้องไม่มีพันธะหัวใจ
ตรัสเคยถามผมว่าเชื่อเรื่องรักแรกพบไหม ผมตอบไม่ได้เพราะไม่เคยเกิดขึ้นกับตัว แต่ผมเชื่อเรื่องโชคชะตาที่สามารถนำพาคนของหัวใจมาพบกัน ซึ่งจุดเริ่มต้นอาจจะไม่สวยหรูเท่าไรนัก ยกตัวอย่างเช่นการไม่ชอบหน้า ก่อนจะชักพาให้เกิดเหตุการณ์พลิกผันแปรเปลี่ยนความชังเป็นมิตรภาพ ล่มหัวจมท้ายจนในที่สุดก็ไม่อาจแยกจาก ตัวตนของผมที่มีต่อเปมทัตจึงมีค่าไม่ต่างอะไรกับเงาตามตัว
เปมเคยตำหนิว่าผมชอบแสดงสีหน้าขึงขังไม่เป็นมิตร ครั้งแรกที่พบกันผมไม่สนใจเลยว่าคิ้วผูกโบกับตาดุ ๆ คู่นี้จะทำให้ใครนึกเหม็นหน้า ช่วยไม่ได้นี่นะ วันนั้นผมต้องกลั้นใจให้ตัวเองตื่นเช้าหลังจากการหยุดเรียนที่ยาวนานเมื่อจบมัธยมต้น โรงเรียนมัธยมปลายชายล้วนกับเด็กผู้ชายตัวขาวจัดที่แจกจ่ายรอยยิ้มอย่างฟุ่มเฟือยก็ทำให้ผมนึกเขม่นได้ไม่ต่างกัน ด้วยความสงสัยว่าการมาโรงเรียนมันน่าพิศวาสตรงไหน ตงิดใจตั้งแต่เห็นเขาก้าวลงมาจากรถบีเอ็มดับเบิลยูหรูหรา ก่อนจะรู้ทีหลังว่าอยู่ห้องเรียนเดียวกัน มิหนำซ้ำหมายเลขประจำตัวยังทำให้เราได้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะเรียนชนิดไม่ถามความสมัครใจ
แล้วใครจะรู้เล่าว่าเจ้าโชคชะตาจอมเกเรจะเสกสรรให้คุณหนูผู้เป็นที่รักของเพื่อนติดอยู่บนตึกเรียนในช่วงเย็นวันหนึ่งเพราะฝนตกหนัก จะวิ่งฝ่าสายฝนไปขึ้นรถราคาระยับที่จอดอยู่บริเวณหน้าโรงเรียนก็คงไม่กล้าเพราะว่าร่างกายอ่อนแอ เดี๋ยวหวัดเดี๋ยวไข้ไม่เว้นแต่ละวัน ผมที่เพิ่งกลับจากสนามบาสฯ มองเห็นคนหน้าสวยกำลังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อย่างคิดไม่ตก ซึ่งถ้าสามัญชนเช่นผมปล่อยให้เจ้าหญิงที่เพื่อน ๆ ขนานนามกลับบ้านอย่างทุลักทุเล คงไม่พ้นโดนรุมประชาทัณฑ์จากศาลเตี้ย
แล้วสรุปว่าผมทำอย่างไรน่ะหรือ มีร่มของใครไม่รู้ถูกวางลืมไว้ในสนามบาสฯ ผมเอ่ยปากขอยืมกับอัฒจันทร์เบา ๆ ก่อนจะนำไปถวายให้ คุณชายเปมทัตเขาก็ยิ้มรับอย่างปีติทั้งที่ก่อนหน้านี้เวลาที่ต้องเสวนากับผมชอบแสดงสีหน้าไร้ชีวิตชีวาเหมือนคุยกับต้นไม้ใบหญ้าก็ไม่ปาน ช่วงเวลานั้นผมบอกได้เลยว่าเห็นดอกทานตะวันผลิบานอ้อล้อแสงแดดรำไรที่ฉายผ่านดวงตากลมโต ทั้งที่ความจริงแล้วสายฝนภายนอกยังไม่ทีท่าว่าจะสงบลง ผมจึงตกหลุมรักด้วยประการฉะนี้
“ยิ้มอะไร”
“นึกถึงเรื่องเก่า ๆ แล้วตลกดี” ผมวนช้อนในแก้วกาแฟกรุ่นไอร้อนก่อนยกขึ้นจิบกลบเกลื่อน โชคดีที่เปมไม่ใช่คนเซ้าซี้ เห็นเจ้าตัวผินมองออกไปนอกร้านก่อนจะรวบช้อนแล้วเสนอความเห็น
“เดือนหน้ามีวันหยุดราชการติดต่อกันห้าวัน ถ้านายยังอยากเที่ยว ไปปราสาทนอยชวานชไตน์กันไหม ฉันเองก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปสักที”
“เอาสิ ถ้าไม่ติดงานด่วนอะไรฉันจะจองพักที่ให้แล้วกัน” รับปากเป็นมั่นเหมาะก่อนจะทำหน้าที่อารักขาพาคุณชายกลับสถานทูต ผมที่ยังติดพันงานเขียนบทความด้านการค้าที่มีประโยชน์ต่อผู้ส่งออกจึงต้องเร่งมือให้เสร็จทันกำหนด ก่อนจะหมดแสงสุดท้ายของวัน
เปมกลับมารอผมที่ห้องพักนานแล้ว ทั้งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะนั่งอยู่หน้าเตาผิงไฟฟ้า ด้วยสภาพอากาศที่เย็นจัดของค่ำคืนนี้ทำให้คนชอบความหนาวเหน็บถึงกับแก้มเปลี่ยนสี ฝาดชมพูระเรื่อน่ามอง ผมออกปากว่าขอเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าชั่วครู่แล้วค่อยออกไปหาอะไรอุ่น ๆ ดื่มคลายหนาว
ร้านอาหารใกล้ที่พักคือจุดมุ่งหมาย เปมเป็นบุรุษเพศที่ไม่ค่อยเห็นประโยชน์ของอาหารมื้อเย็น ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบออกกำลังกายทำให้ต้องควบคุมอาหารทดแทนกัน ไม่เช่นนั้นคุณชายเปมทัตคงไม่มีรูปร่างสูงโปร่งและสมส่วนอย่างที่เห็น ดังนั้นอาหารมื้อนี้ผมจึงเป็นฝ่ายละเลียดกอร์ดองเบลอที่มาพร้อมกับบราตวรุสต์ยั่วใจคนรักสุขภาพที่เอาแต่จิบชาร้อนอย่างไม่ยินดียินร้าย
“การประชุมวันนี้เป็นไงบ้าง”
“ก็ราบรื่นดีไม่มีปัญหาอะไร งานนายล่ะ”
“บทความสำหรับผู้ส่งออกเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้คงว่างไปอีกสักพัก” เปมยิ้มคล้ายว่าจะแสดงความยินดีก่อนจะเหม่อมองออกไปหน้าร้านอีกครั้ง ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบ ผู้คนบางตา มีเสียงเพลงแจ๊สเปิดคลอเบา ๆ ทำให้ผมกล้าที่จะถามถึงความเปลี่ยนแปลง “นายมีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า พักนี้ไม่ค่อยยิ้มแย้มเลย”
“ช่วงนี้...งานเร่งนิดหน่อย” ถามคำตอบคำก็ถือเป็นสิ่งผิดปกติเช่นกัน
“แน่หรือ ปกตินายไม่เคยเก็บเรื่องงานมาคิดนอกเวลา เว้นแต่ว่าเป็นเรื่องสำคัญ”
“อย่ากังวลเลยน่า รีบทานเถอะ วันนี้ฉันไม่อยากนอนดึก” เปมบอกปัด ดูอย่างไรก็คล้ายว่าปิดบังกันชัด ๆ สองสามวันนี้ผมก็ไม่มีโอกาสได้พบคุณปราโมทย์เสียด้วย ไม่อย่างนั้นจะขอเสียมารยาทไต่ถามถึงสีหน้าไม่สู้ดีของคนที่ไม่มีแก่ใจจะทำงาน จากเดิมเป็นคนพูดน้อยมีเสน่ห์ที่รอยยิ้ม แต่พักนี้เสน่ห์ที่ว่ากลับเลือนหายไปจากใบหน้าสวย ผมเองก็ไม่กล้าซักไซ้เพราะต่อให้ถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยแค่ไหน ถ้าเปมไม่อยากบอก ผมก็ไม่มีทางได้ล่วงรู้
ผมถอดใจนานแล้วเรื่องความสัมพันธ์ที่สิ้นหวัง เปมไม่มีทางปล่อยให้ผมก้าวผ่านเส้นแบ่งของหัวใจ เพื่อนทุกคนทราบเรื่องนี้แต่คนที่ออกอาการเหมือนอกหักแทนกันเห็นจะเป็นน้องชายฝาแฝดตัวดี แซนมันคอยยุยงให้ผมผูกสัมพันธ์ครั้งใหม่กับใครคนอื่น ไม่อยากให้ยึดติดและคิดรักใครเพียงคนเดียวเป็นเวลานาน ๆ เพราะมันไม่เคยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างรักแรกพบหรือคนของโชคชะตา ผู้ร่วมแผนการอย่างเท็ตก็คอยเป่าหูว่าน้องผู้หญิงที่แนะนำให้น่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ และเมื่อผมได้พบ...ผมเถียงไม่ออกเลยสักคำ
น้องนิษฐาหรือน้องฐาของไอ้แซนเป็นผู้หญิงน่ารักและคุยสนุก ผมไม่เคยนึกเบื่อเลยเมื่อได้พบปะ ด้วยความที่เป็นคนยิ้มเก่งไม่ต่างจากใครอีกคนผมจึงยอมเปิดใจและยินดีคบไว้ในฐานะคนรักเพื่อความสบายใจของแซน มีโอกาสโทรคุยกันบ้างไม่บ่อยนักตั้งแต่ผมเริ่มทำงานต่างบ้านต่างเมือง เปมทราบเรื่องนี้ดีและไม่มีท่าทีต่อต้านใด ๆ ซึ่งในทางกลับกัน ถ้าเปมมีคนรักผมคงยืนยิ้มละไมในขณะที่ทำความรู้จักกันเหมือนอย่างที่เขาทำไม่ได้แน่ เขาเอ่ยปากแสดงความยินดีโดยไม่มีความคลางแคลงใจเลยว่า...ผมยังรัก
วันต่อมาผมมีเวลาว่างหลังการประชุมในช่วงบ่าย ตั้งใจว่าจะพาคนที่อารมณ์ไม่ค่อยดีไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ อากาศบริสุทธิ์อาจทำให้รอยยิ้มที่เลือนหายไปฉายแววใหม่อีกครั้งบนใบหน้าสวย แต่โชคไม่ดีเลยที่เปมติดงานสำคัญทำให้ผมต้องนั่งจิบกาแฟอย่างสันโดษที่ม้าหินในสวนใกล้สถานทูต เหม่อมองคุณแม่จูงลูกสาวเดินเล่นบนสะพานข้ามบึงน้ำ อีกฝากฝั่งก็เห็นคู่รักทัดผมให้กันใต้ต้นเชอร์รี่ที่ออกดอกบานสะพรั่ง ในความรู้สึกที่อ้างว้างจับจิตไม่คิดเลยว่าเพื่อนคลายเหงาของผมจะโทรมาในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด
“ไงครับที่รัก”
(( ลองเรียกอีกที กูจะทำให้เจ้าหน้าที่การทูตไม่มีปากไว้พูดอีกเลย )) เมื่อปล่อยเสียงหัวเราะบรรยากาศรอบตัวผมก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ความจริงแค่เห็นว่าไอ้คุณชายคือสายโทรเข้าก็คล้ายว่ากาแฟยี่ห้อดังจะมีรสชาติกลมกล่อมขึ้นมาติดปลายลิ้น
“เอา ๆ ไม่เรียกก็ได้ครับที่รัก แล้วนี่โทรมาเพราะคิดถึงหรือมีธุระสำคัญ”
(( กูอารมณ์ไม่ดี อย่าชวนทะเลาะเลยซัน กูขอร้อง )) ลงว่าเนื้อเสียงใกล้เคียงสัตว์ป่าถูกทำร้ายอย่างสาหัสแบบนี้ ก็คงมีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นที่ผมพอจะนึกออก แล้วนายพรานก็คงไม่ใช่ใครที่ไหนไกลตัว น้องเท็ตคนดีของพี่ตรัสแน่ ๆ
“เท็ตทำอะไร”
(( ไม่ได้ทำอะไร แต่กูอึดอัดว่ะซัน คืนนั้นที่ไปกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันก็เหมือนว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย แต่ความจริงแล้วคือกูยังรู้สึกได้ว่าเท็ตเว้นระยะห่างระหว่างเรามากเหลือเกิน มากจน...กูกลัว ))
“ยังรักไหม”
(( เคยรักอย่างไร ทุกวันนี้กูก็ยังเหมือนเดิม )) ฉะฉานไร้ที่ติ
“ก็ไปง้อ ถ้ามันยังไม่หายโกรธก็ง้อจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง หรือจนกว่ามึงจะเลิกรัก”
(( ไม่มีวัน )) ชักไม่มั่นใจแล้วว่าเสียงโอดครวญของสัตว์บาดเจ็บเจียนตายกับเสียงผู้ชายที่ห้าวหาญเมื่อครู่คือคนเดียวกันหรือเปล่า แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกดีที่ช่วยปลุกใจคนที่กำลังท้อแท้กับปัญหาความรักให้ฮึกเหิม ทั้งที่เรื่องของตัวเองผมยังเอาตัวไม่รอดเลย
“อย่าลืมว่ามึงเป็นฝ่ายอมพะนำน้ำท่วมปากมาตั้งนานสองนาน มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จู่ ๆ จะมาแกล้งตายให้หมีมันใจอ่อน นี่ชีวิตจริงไม่ใช่นิทาน กูเคยเตือนแล้วว่างานนี้มึงต้องลำบากแน่ถ้าไม่รีบอธิบายก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป แล้วผิดไปจากที่กูพูดไหม คิดมากไปก็เท่านั้น เท็ตมันเข้าใจได้ โตแล้ว บรรลุนิติภาวะแล้ว กะอีแค่มึงโดนจับคลุมถุงชนเพราะผู้ใหญ่หวังดองกันเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ มึงก็บอกหมีไปสิว่าฮันนาห์ปฏิเสธ เล่าทุกอย่างให้มันฟัง แค่มึงเปิดปากเรื่องมันจะง่ายขึ้นเยอะเลย”
(( กูทำแล้ว กูบอกทุกอย่างหมดแล้ว กูถึงไม่เข้าใจว่าทำไมเท็ตยังทำตัวเหินห่าง ถ้าหากเท็ตหมดใจไม่รักกูแล้ว กูจะทำยังไงดีซัน กูจะขาดใจตายไปจริง ๆ หรือเปล่า ))
“ถ้าอย่างนั้นมึงก็ทำได้แค่รอ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมามึงก็รอให้ทุกอย่างมันบานปลายจนเกือบจะหาทางออกไม่ได้อยู่รอมร่อ มีอย่างที่ไหนขาดการติดต่อกันไปโดยไม่มีแม้แต่ข้อความ”
(( กูจะบอกอะไรดี ๆ ให้ ข้อความที่กูอยากส่งถึงเท็ตมีเป็นร้อยแต่มันเต็มไปด้วยคำเลี่ยน ๆ ชวนคลื่นไส้ กูเป็นคนพิมพ์เองแท้ ๆ ยังไม่กล้าอ่านเลยด้วยซ้ำ แล้วใครจะกล้ากดส่งให้คนที่แค่กูพูดว่าคิดถึงก็ขนลุกขนพอง ถ้าเท็ตได้อ่านข้อความพวกนั้นมีหวังโกรธกูเป็นฟืนเป็นไฟแน่ ))
“โกรธด้วยเรื่องพรรค์นี้ดีกว่าโกรธเพราะคิดไปเองคนเดียวว่ามึงอยากตัดความสัมพันธ์ หรือไม่จริง”
(( กูเปล่า ))
“แต่ถ้ากูเป็นเท็ต กูต้องคิดแบบนั้นแน่”
(( มึงไม่เข้าใจซัน อ่านให้ฟังเป็นตัวอย่างไหมว่าข้อความของกูมันน้ำเน่าแค่ไหน รอเดี๋ยว )) แล้วคุณชายก็เงียบไปนานผิดปกติจนผมเกือบวางสาย ก่อนที่เสียงกระซิบติดจะร้อนรนทำให้ผมได้แต่สงสัย (( หายไปแล้วว่ะ หายหมดทุกฉบับเลย กูบันทึกไว้เป็นข้อความร่างแต่ตอนนี้ไม่เหลือเลยสักข้อความ ))
“มึงเปลี่ยนเครื่องหรือเปล่า หรือว่าเผลอลบทิ้งไปหมดแล้ว” แล้วตรัสมันก็เงียบไปอีก ก่อนจะสบถพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์จนผมต้องถามซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น
(( กูกำลังนั่งรถไปหา อย่าเพิ่งกลับที่พัก )) พูดสวนกลับไปว่าเดี๋ยวแต่ก็ไม่ทันแล้ว ปลายสายถูกตัดหลังจากผมวางแก้วกาแฟลงข้างตัว กลอกตาไปมาอย่างมึนงงว่าผมกำลังอยู่ประเทศไหน แล้วตรัสมันจะนั่งรถในระยะเวลาสั้น ๆ มาจากอังกฤษได้อย่างไรในเมื่อผมอยู่เยอรมัน ด้วยความสงสัยจึงตัดสินใจโทรกลับไป แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไอ้ตรัสปิดโทรศัพท์ไปแล้ว
ผมอุตส่าห์ได้รับรางวัลความดีความชอบเป็นการกลับก่อนเวลาเลิกงานหลายชั่วโมงเพราะตลอดสามวันที่ผ่านมาผมไม่เคยได้กลับห้องพักตรงเวลา เหตุด้วยงานที่เร่งรัดกลัวว่าบทความจะเสร็จไม่ทันตีพิมพ์และเผยแพร่ในเว็บไซต์ผมจึงเลิกงานช้ากว่าปกติ กดดันตัวเองให้รีบเร่งจนผู้ใหญ่ชมเปราะว่าขยันขันแข็ง อย่างน้อยก็ได้ชื่นใจกับคำยกยอ
แล้วทำไมผมต้องนั่งลอยชายอยู่ในสวนสาธารณะโดยไม่รู้ว่าคนที่มันออกปากว่ากำลังเดินทางจะเยี่ยมหน้ามาถึงเมื่อไหร่ ทั้งที่จุดประสงค์แท้จริงคืออยากให้เปมรู้สึกสบายใจในบรรยากาศที่ร่มรื่น แต่จะด้วยสาเหตุอะไรไม่รู้ ดูเหมือนว่าวันนี้ลูกชายท่านทูตจะมีอารมณ์ขุ่นมัวมากกว่าวันก่อน ๆ เสียอีก
ข้อความที่ได้รับล่าสุดทำให้ผมต้องรีบสาวเท้าจากม้านั่งยาวในสวนมายังหน้ารั้วสถานทูต ประมาณสิบนาทีกว่าเท่านั้นหลังจากบทสนทนาที่ปิดประเด็นไม่ค่อยสวย จู่ ๆ ตรัสมันก็บอกว่ามาถึงแล้ว รวดเร็วทันใจจนผมอดคิดไม่ได้ว่าสิทธิพิเศษของบุตรชายคุณฉัตรพันธ์จะสามารถทำอะไรที่น่าตื่นตะลึงได้มากกว่านี้อีกไหม
“สรุปว่ามึงตั้งใจจะเดินทางกลับจากอังกฤษมาหากูอยู่แล้ว” มันไม่ตอบแค่เหลือบมองอาคารสี่ชั้นอย่างสนอกสนใจ “แล้วทำไมต้องโทรศัพท์มาพร่ำเพ้อทั้งที่กำลังจะถึงอยู่แล้ว เข้าใจว่ารวยแต่มันสิ้นเปลือง”
“อยู่บนรถไฟฟ้านาน ๆ มันน่าเบื่อ” เหตุผลไร้แก่นสาร ถ้าไม่ติดว่าใบหน้าของมันเกลี้ยงเกลาจนไม่กล้าแตะ ผมคงฝากหลังมือไว้เป็นอนุสรณ์ “ที่เชินเนอเฟลด์คนเยอะแยะไปหมด รู้อย่างนี้มาไฟลท์กลางคืนซะก็ดี”
“จะถือกระเป๋ายืนบ่นอยู่ตรงนี้หรือจะไปห้องพัก” คุณชายไม่มีปฏิกิริยากับถ้อยคำกระทบกระเทียบ แค่ถอนหายใจแล้วปรับความยาวของหูจับกระเป๋าสัมภาระ ก่อนจะหันมามองหน้าผมพร้อมเลิกคิ้ว
“อ้นล่ะ” ประสาทสัมผัสสั่งการช้าไปหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ถามถึงเลย
“ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน โชคดีที่วันนี้กูประชุมเสร็จเร็ว ไม่อย่างนั้นมึงคงต้องไปนอนแกร่วอยู่ที่ห้องคนเดียว จะทำอะไรก็ปรึกษากันบ้าง ชอบตัดสินใจปุบปับ กูตามมึงไม่เคยทันจริง ๆ”
“ถ้ายังไม่คิดจะพากลับห้องก็ส่งมือมาช่วยกูยกกระเป๋าด้วยครับ”
“ธุระไม่ใช่ว่ะ”
สถานที่พักสำหรับเจ้าหน้าที่ชาวไทยใช้เวลาเดินเท้าไม่กี่นาทีก็ถึง ห้องของผมอยู่ชั้นสาม ชั้นเดียวกับเปม ใกล้ชิดกันมากถึงขนาดเปิดประตูออกมาก็เจอหน้ากันทุกเช้าเย็น ตรัสไม่จำเป็นต้องรื้อกระเป๋าจัดเก็บข้าวของเพราะผมคิดว่าถ้ามันโผล่มาแบบไร้วี่แววได้ ก็คงจะหนีกลับแบบไร้เหตุผลได้เช่นกัน
“มึงยังไม่ได้บอกกูเลยว่าข้อความพวกนั้นหายไปไหน” ตรัสมันโยนเสื้อโค้ทไว้บนเตียงแล้วก้าวออกไปรับอากาศบริสุทธิ์ที่ระเบียง ไม่รู้ว่าเพราะสถาปัตยกรรมที่แปลกตาหรือว่าปัญหาจิตใจที่ทำให้ตรัสเหม่อมองออกไปโดยไม่รับฟังคำถาม จนผมต้องเดินตามมาจับไหล่แล้วย้ำถามอีกครั้ง
“ไม่ได้หาย มันแค่ย้ายจากข้อความร่างไปอยู่ในส่วนของข้อความที่ถูกส่งออก”
“ส่งออก ส่งไปให้ใคร ใครส่ง มึงจะบอกว่ามึงเบลอหรือเมาหรือขาดสติถึงขนาดส่งข้อความน้ำเน่าไปให้ใครก็ไม่รู้เนี่ยนะ”
“เปล่า คนส่งไม่ใช่กู ส่วนคนรับกูก็รู้จักดีเสียด้วย แต่ตอนนี้ขอทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แก้เผ็ดเด็กที่ชอบทำอะไรโดยพละการสักหน่อย”
“เท็ตล่ะสิ”
“มีอยู่คนเดียวที่กล้าแตะโทรศัพท์กู”
“เอาน่า อย่างน้อยความในใจมึงก็ส่งไปถึงผู้รับแล้ว เท็ตมันคงยอมลดหย่อนโทษให้บ้าง หรือไม่ก็รู้สึกสะอิดสะเอียนจนไม่กล้ามองหน้ามึงอีกเลย” ส่งมอบกำลังใจให้เสร็จสรรพก่อนจะรีบย้ายตัวเองกลับเข้ามาในห้อง ไม่รอให้ตรัสส่งหมัดมาขอบคุณ แต่ได้นิ้วกลางแทนสินน้ำใจ รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องปากท้องก่อนจะได้รับคำตอบว่า ‘อะไรก็ได้’
ระหว่างเดินกลับจากร้านอาหารใกล้ที่พักเปมโทรศัพท์หาผม ด้วยเวลาและความน่าจะเป็นป่านนี้เขาควรกลับถึงห้องพักแล้ว ดังนั้นประโยคแรกที่รับสายจึงไม่ใช่คำถามว่าอยู่ที่ไหน หรือทำอะไรกับใคร
“หิวไหม ฉันซื้อมื้อเย็นไว้ให้แล้ว”
(( ซัน...มารับหน่อยได้ไหม ))
“มีอะไรหรือเปล่า” เขารู้ว่าผมไม่มีทางปฏิเสธ แต่ด้วยน้ำเสียงทำให้ผมต้องย้อนถามเพื่อความสบายใจ เสียงเปมแปลกไปจนเรียกได้ว่าสั่นเครือ และจะด้วยจิตสำนึกฝ่ายไหนไม่รู้ ผมฟันธงไปแล้วว่าต้องเป็นเรื่องร้าย สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้ตรัสกลับไปรอเก้อที่ห้องพักพร้อมกล่องสลัดอโวคาโด
ผมก้าวยาว ๆ ผ่านประตูหน้าเข้ามาแล้วมองหาคนที่ควรจะนั่งรอผมอยู่ไม่ไกล แล้วผมก็เจอเปมทัตยืนอยู่กับใครอีกคน ผู้ชายที่ยืนพิงกำแพงหันหลังให้ผมคนนั้นทำไมถึงรู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก ความสูงประมาณนี้ รูปร่างแบบนี้ผมเคยเห็นที่ไหน นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกจนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกชื่อ ผมสาวเท้าเข้าไปใกล้...ใกล้จนมองเห็นว่าเขาเป็นใคร
รุ่นพี่ธาวิน รักแรกของเปมทัตกำลังยิ้มให้ผมอยู่ตรงนั้น▩▩▩