ปฏิญญารัตติกาล บทส่งท้าย [28/01/13]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปฏิญญารัตติกาล บทส่งท้าย [28/01/13]  (อ่าน 96206 ครั้ง)

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

**************************************************

สารบัญ

บทนำ, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18, 19, บทส่งท้าย


---------------
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2013 22:45:17 โดย ZIar »

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทนำ [9/10/12]
«ตอบ #1 เมื่อ09-10-2012 21:27:50 »

ปฏิญญารัตติกาล



บทนำ



   จงเอ่ยถ้อยคำนั้นแก่ข้า และข้าจะมอบคำสัญญานั้นแก่เจ้า


   หากแม้นข้าเอ่ยถ้อยคำนั้นแก่เจ้า คำสัญญาจะเป็นจริงจนถึงเมื่อใด


   ตราบจนกว่าเจ้าจะสิ้นลมหายใจ ตราบจนกว่าชีวิตข้าจะสูญสิ้นไป


   ถ้อยคำนั้นสำคัญนักหรือ แสงสว่างที่ไม่เคยพบเห็นมีความสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แม้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้ไม่อาจดื่มกินรสอันหวานหอมที่แสนรักได้อีกเลยก็ตาม


   แม้จะต้องแลกด้วยสิ่งใดในโลกนี้ ข้าก็พร้อมจะยอมสละสิ้น เพื่อสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าแสงสว่างใด ๆ ที่เจ้าหรือข้าเคยรู้จัก


   สิ่งนั้นคือสิ่งใดกัน


   สิ่งนั้นอยู่ใกล้ตัวเจ้ายิ่งนัก


   หากสำคัญต่อเจ้าถึงเพียงนั้น ข้าก็จะมอบให้เจ้า

   ต่อแต่นี้ไป เจ้าจะสามารถปรากฏกายท่ามกลางแสงตะวัน ทอดกายบนผืนหญ้าเขียวชอุ่ม และราตรีจะเป็นเพียงอีกฟากหนึ่งของทิวา มิใช่ความมืดที่ครอบงำเจ้าอีกต่อไป ขอให้ทุกสิ่งจงเป็นไปดังคำของข้า ให้เจ้าผู้ต้องสาปได้อยู่ร่วมกับผู้ที่ได้รับพรแห่งพระเจ้าอีกครั้ง


   ข้าจะเป็นดังถ้อยคำนั้น และนี่...คือคำสัญญาของข้า ที่จะมอบให้เจ้าเพียงผู้เดียว...


--------------------------------

   เปลวไฟสีแดงฉานลามเลียทุกสรรพสิ่งที่มันสามารถกระพือไปถึงได้ เสียงไม้ที่ถูกแผดเผาแตกกระจายในความเงียบของราตรี สะเก็ดและเขม่าควันล่องลอยไปกับสายลมที่พัดผ่านมา บดบังแสงจันทร์กระจ่างอันเยียบเย็นที่จ้องมองลงมาจากบนผืนฟ้าสีดำสนิทไร้เมฆหมอก

   ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าสถานที่ที่เคยเป็นสิ่งสร้างเล็ก ๆ อันอบอุ่น ที่ซึ่งเขาจะได้เห็นรอยยิ้มของนางผู้นั้นท่ามกลางแสงตะวันอันสดใส

   บัดนี้มันกำลังถูกทำลายลง...

   
   ข้าทำตามคำสัญญาไม่ได้...

   
   ความอ่อนแอซึ่งเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับพรแห่งแสงสว่างนั้นได้พรากนางไปจากเขา หากเพียงแต่เขาซุกซ่อนในความมืดของรัตติกาล รักษาความแข็งแกร่งของสายเลือดแห่งคำสาปอันเข้มข้นนั้นไว้ เหตุการณ์ในวันนี้คงไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้

   ทว่า...ท่ามกลางเปลวไฟสีแดงที่กำลังกลืนกินทุกสรรพสิ่งอย่างเย็นชานั้น กลับแว่วเสียงอันเล็กจ้อยและอ่อนแอของสิ่งมีชีวิตซึ่งพยายามดิ้นรนที่จะอยู่รอดจากความตายที่คืบคลานเข้ามาอย่างเชื่องช้าและทรมาน เสียงนั้นเปรียบประดุจแสงสว่างดวงน้อยที่ปรากฏขึ้นบนหนทางอันมืดมน ทว่าแสงนั้นแสนจะริบหรี่อย่างน่าใจหาย แต่มันได้ชักจูงให้เขาเดินเข้าไปหาอย่างไร้ความลังเล และที่นั่น ท่ามกลางเปลวไฟร้อนระอุและเนื้อไม้ที่ถูกเผาไหม้ เขาได้เห็นเด็กน้อยคนหนึ่งในที่ซ่อนเล็ก ๆ กำลังร้องไห้เพราะเปลวไฟสัมผัสต้องผิวเนื้อบอบบาง

   เมื่อเขาอุ้มออกมา เด็กชายตัวน้อยยังคงร้องไห้ไม่ยอมหยุดด้วยความเจ็บปวด กระนั้นเสียงร่ำร้องของเด็กคนนี้ก็บ่งบอกถึงพลังแห่งชีวิตที่ยังไม่ดับสูญ บ่งบอกถึงความต้องการดิ้นรนที่จะมีชีวิตแม้ต้องก้าวผ่านความเจ็บปวดนี้ไปและรอยบาดแผลที่ไม่มีวันจางหาย

   ชายหนุ่มจ้องมองเด็กชายผู้ไร้นามด้วยประกายตาคล้ายกับความหวังที่กลับคืนมาอีกครั้ง


   คำสัญญาของเรายังไม่จางหายไป....


   และครั้งนี้...ข้าจะไม่ผิดพลาดอีก...



TBC

มาแบบสั้นๆก่อนนะคะ ไม่ได้เขียนแนวแฟนตาซีนาน มันฝืดๆ.... :'D

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทนำ [9/10/12]
«ตอบ #2 เมื่อ09-10-2012 21:34:56 »

เปิดเรื่องมาอย่างอลังการ :mc4: :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ มะมะมะหมิว

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทนำ [9/10/12]
«ตอบ #3 เมื่อ09-10-2012 22:05:18 »

อ้ายยยยยยยยยยยยยยยยย ชอบนิยายที่พี่เซียร์เขียนทุกเรื่องเลยค่า
หลงรักมาตั้งแต่เรื่องสัตยาธิษฐาน
รออ่านเรื่องนี้ ♥ แนวแฟนตาซี


ออฟไลน์ udongjay

  • ความรัก...ไม่เคยจำกัดเพศ แต่เพศต่างหากที่จำกัด...ความรัก
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 417
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +235/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทนำ [9/10/12]
«ตอบ #4 เมื่อ10-10-2012 00:01:04 »

รออ่านตอนต่อไปค่ะ
น่าอ่านมากเลย

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทนำ [9/10/12]
«ตอบ #5 เมื่อ10-10-2012 00:16:26 »

เข้ามาเพราะทั้งชื่อเรื่องและชื่อคนเขียน  :mc4:
ชอบอ่านแฟนตาซีมากๆ รอมาอัพค่า

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทนำ [9/10/12]
«ตอบ #6 เมื่อ10-10-2012 00:21:09 »

เย่
นิยายคุณเซียมาอีกแล้ว
พลาดไม่ได้
ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทนำ [9/10/12]
«ตอบ #7 เมื่อ10-10-2012 01:51:36 »

 :mc4:

ออฟไลน์ Ali$a฿eth

  • [จิ้น]ตนการ
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทนำ [9/10/12]
«ตอบ #8 เมื่อ10-10-2012 01:57:44 »

เย๊ อลังการ

เข้ามารอรับเรื่องใหม่

แนวนี้ชอบมาก :mc4:

ออฟไลน์ Ginseng

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทนำ [9/10/12]
«ตอบ #9 เมื่อ10-10-2012 09:22:35 »

มาตามชื่อคนแต่งค่ะ
น่าสนุก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ปฏิญญารัตติกาล บทนำ [9/10/12]
« ตอบ #9 เมื่อ: 10-10-2012 09:22:35 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่1 [10/10/12]
«ตอบ #10 เมื่อ10-10-2012 19:05:30 »

บทที่ 1 เหล่าผู้ต้องสาป


   ความเงียบสงบสร้างความเบื่อหน่ายให้กับเด็กชายที่วันนี้ถูกสั่งให้อยู่แต่ในบ้านทั้งที่วันอื่น ๆ เขาจะได้ออกไปช่วยคุณตาทำงาน ซึ่งทุกครั้งที่ออกไปเขาก็จะวิ่งเล่นกับเด็กในวัยเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ เป็นความสุขเล็ก ๆ ของเขาในแต่ละวัน แต่ในวันนี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตาของเขาจึงบอกให้อยู่บ้านกับคุณยายซึ่งทำอาชีพรับซ่อมแซมเสื้อผ้าและห้ามออกไปเล่นซนที่ไหนโดยเด็ดขาด

   คุณยายของเขาแม้จะเป็นคนใจดีแต่ก็พูดไม่ค่อยเก่ง ทำให้เขาไม่มีแม้แต่เพื่อนคุย ได้แต่นั่งมองกองผ้าบนพื้นสลับกับภาพนอกหน้าต่างที่มีแต่ต้นไม้ ไม่รู้ว่าทำไมตากับยายของเขาจึงย้ายมาอยู่ชายป่าแบบนี้ ทั้งที่ได้ยินว่าสมัยก่อนก็อยู่ในหมู่บ้านใกล้ ๆ ตลาดนั่นเอง

   “เบื่อหรือจ๊ะ” ยายของเขาเงยหน้าจากงานขึ้นมาถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

   “ข้าอยากออกไปเล่นข้างนอก ทำไมวันนี้ถึงไปไม่ได้ล่ะครับ?” เด็กชายเดินเข้ามานั่งแหมะข้างยายของตนแล้วประท้วงสิทธิที่ตนควรจะได้

   “เรื่องนั้น....เพราะเดี๋ยวจะมีคนสำคัญมาน่ะสิจ๊ะ” หญิงวัยกลางคนชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเธอฉายแววแปลกประหลาดที่ผสมความหวั่นเกรงเอาไว้หลายส่วน “จะว่าไป หลานก็อยู่กับเรานานแล้วสินะ ห้าปีมาแล้วนับจากที่หลานมาอยู่ที่นี่ อีกหน่อยยายกับตาต้องเหงามากแน่ ๆ” แล้วจู่ ๆ เธอก็พูดออกมาเป็นประโยคยาวจนผิดปกติทั้งที่นาน ๆ ครั้งจะได้ยิน ซ้ำรูปประโยคยังแปลกหูแม้แต่สำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ

   “แต่ข้าไม่ได้จะไปไหนนี่” เด็กชายจ้องมองยายของตนเองด้วยดวงตาใสซื่อ

   ฝ่ามือที่เริ่มมีร่องรอยของวัยยกขึ้นลูบหัวเด็กชายช้า ๆ อย่างอ่อนโยนโดยไม่พูดอะไร

   “แล้ว...คนสำคัญคนนั้น ข้าต้องเจอด้วยหรือครับ?” เพราะความสงสัยเขาจึงถามต่อ คนสำคัญคนนั้นเป็นใครกันนะ? ตาจึงต้องให้เขาเฝ้าบ้านกับยาย ปกติแล้วบ้านนี้ก็แทบไม่มีแขกมาเยี่ยมอยู่แล้ว นอกเสียจากชาวบ้านที่เอาเสื้อผ้ามาให้ยายช่วยซ่อมแซมให้ บ้างก็เอาของกินของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝากเป็นสินน้ำใจ แม้แต่เพื่อน ๆ ของเขาในหมู่บ้านก็ยังไม่เคยมาที่นี่สักครั้ง

   “ต้องเจอสิจ๊ะ....เขามาเพื่อพบหลานนี่นา”

   “พบข้า?” เขากะพริบตาปริบ ๆ แต่แล้วก็เหมือนมีความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในความทรงจำ “วันนี้วันเกิดข้านี่นา! เพื่อน ๆ จะมาเที่ยวที่นี่ใช่ไหมครับ? จะมากับคุณตาสินะผมถึงออกไปด้วยไม่ได้” เด็กชายกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ งานวันเกิดปีนี้เขาจะมีคนฉลองด้วยมากมายเป็นแน่

   ฝ่ายยาย เมื่อเห็นหลานดีใจถึงเพียงนั้นจึงไม่กล้าทักท้วงให้เสียความรู้สึก เธอก้มหน้าลง ค่อย ๆ เย็บปักเส้นด้ายลงบนผืนผ้าอย่างข้า ๆ เสมือนใจลอยไปคิดเรื่องอื่นซึ่งไม่เกี่ยวกับการงานตรงหน้า

   ใจของเธอนึกย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว....

   วันนั้นอากาศแห้งแล้งเพราะเป็นกลางฤดูร้อน แสงแดดแผดจ้าอยู่เหนือศีรษะแม้จะบ่ายคล้อยจนใกล้เย็นย่ำ สามีของเธอออกไปทำงานตามปกติ เขาลงทุนเปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้ากับเพื่อนเพราะเกรงว่าอายุมากขึ้นจะทำงานตัดไม้ล่าสัตว์ต่อไปไม่ไหวและลูกสาวคนเดียวของพวกเขาก็หายตัวไปนานแล้ว ส่วนเธอเองก็อาศัยอาชีพซ่อมแซมเสื้อผ้าช่วยจุนเจือครอบครัวและเป็นการฆ่าเวลานอกเหนือจากภาระงานบ้านที่ไม่ได้มากมายนักในบ้านหลังเล็ก ๆ

   กระนั้นด้วยอากาศอันแห้งแล้งชวนให้หายใจลำบาก เธอจึงรู้สึกอึกอัดจนต้องเดินออกไปรับลมอันน้อยนิดที่หน้าบ้าน

   เธอนั่งเพลินจนดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ ในสมองก็คิดเรื่องจิปาถะไปเรื่อยเปื่อย เมื่อเธอรู้ตัวอีกครั้งก็ปรากฏร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่งในผ้าคลุมมิดชิดมายืนอยู่ตรงหน้า บรรยากาศของเขาดูลึกลับและสูงส่งแม้ว่าเธอจะเห็นเพียงแค่ครึ่งหน้าล่างเพราะด้านบนถูกปกปิดเอาไว้ก็ตาม

   “อีกนานหรือไม่กว่าสามีของเจ้าจะกลับมา”

   น้ำเสียงของชายคนนั้นทุ้มนุ่มแต่กังวานเปี่ยมไปด้วยอำนาจ คงจะเป็นผู้สูงศักดิ์วัยหนุ่มจากที่ไหนสักแห่ง เธอซึ่งไม่เคยพบเจอบุคคลระดับสูงมาก่อนจึงออกอาการเงอะงะ

   “คิดว่า...อีกไม่นานจะกลับ...เจ้าค่ะ...” เธอตอบออกไปโดยไม่รู้ว่าตนเองควรจะลงเสียงอย่างไรจึงจะเหมาะสม

   “เช่นนั้นข้าจะรอ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินไปที่ประตู “เปิดให้ข้าเข้าไปสิ”

   “...ค่ะ ค่ะ” เพราะจู่ ๆ ก็ถูกสั่งเธอจึงไม่ทันได้คิดอะไรและเดินไปเปิดประตูให้ชายหนุ่มแปลกหน้าทันที แต่เมื่อตั้งสติดี ๆ แล้ว การมาออกคำสั่งแบบนี้ช่างเสียมารยาทจริง ๆ กระนั้นคงเพราะความเป็นคนชั้นสูงกระมังจึงติดนิสัยเอาแต่ใจและเจ้ากี้เจ้าการ

   ชายหนุ่มแปลกหน้าเดินเข้าไปในบ้านราวกับตนเองเป็นเจ้าของ และนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งโดยไม่พูดอะไรอีก เธอยกน้ำมาเสิร์ฟ เจ้าตัวก็จิบเพียงเล็กน้อย

   จนกระทั่งสามีของเธอกลับมาถึงบ้าน

   “นั่นใครกัน?” เขาถามทันทีที่เห็นคนแปลกหน้าในบ้านของตนเอง ซ้ำยังไม่ยอมเลิกผ้าคลุมออกแม้จะอยู่ในที่ร่มและตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้ว

   “อ้าว ไม่รู้จักหรือ? ก็เขามาถามหาเจ้าอยู่ตั้งแต่เย็น”

   “จะไปรู้จักได้ยังไงกัน แล้วนี่หน้าตาก็ไม่เห็นเลยหรือ?” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามอย่างเคร่งเครียด หากอีกฝ่ายเป็นโจรเข้ามาพวกเขาสองคนจะทำยังไง

   “แต่ว่า...ตั้งแต่มาที่นี่เขาก็นั่งอยู่แต่ตรงนั้น ไม่ขยับไปไหนเลย” เธอหันมองชายหนุ่มในผ้าคลุมอย่างหวาดระแวง หรือว่าจะรอพวกเขาสองคนพร้อมหน้าจะได้จัดการพร้อมกัน?

   ระหว่างที่พวกเขาปรึกษากันหน้าบ้านว่าจะเอาอย่างไรดีนั้น เจ้าของร่างสูงโปร่งในผ้าคลุมมิดชิดก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกมา เธอรีบถอยไปด้านหลังโดยสามีของเธอถลันขึ้นมาตั้งท่าป้องกันตัวเต็มที่ แต่แล้ว...ชายหนุ่มคนนั้นกลับเดินผ่านพวกเขาออกไปข้างนอกชานราวกับว่าไม่เห็นพวกเขาที่กำลังทำท่าทางแปลก ๆ อยู่เลย กระนั้นคำพูดของฝ่ายนั้นก็ทำให้รู้ว่าพวกตนยังมีตัวตนอยู่ไม่ได้เลือนหายไปไหน

   “ตามมาสิ”

   ตามไป?

   แค่มีคนแปลกหน้ามาที่บ้านโดยไม่รู้จักกันก็น่ากลัวพอแล้ว นี่ยังจะให้ตามไปไหนก็ไม่รู้อีกหรือ?

   ในขณะที่พวกเขากำลังลังเล อีกฝ่ายก็ไม่เดินไปก่อน กลับยืนนิ่งสงบเฝ้ารออย่างใจเย็น ความนิ่งเงียบราวกับกลายเป็นรูปปั้นนั้นเสมือนกำลังกดดันให้พวกเขาทำตามคำสั่งโดยไม่อาจละเลยเพิกเฉยได้

   “เอาอย่างนี้ ข้าจะไปเอาขวานมาเจ้าก็เอามีดทำครัวซ่อนไว้ใต้ผ้ากันเปื้อน ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลก็ลงมือเลย” ฝ่ายสามีว่าจบก็เดินอ้อมไปหลังบ้านซึ่งมีขวานผ่าฟืนเก็บไว้อยู่ แม้ไม่ได้ใช้มาสักพักหนึ่งแล้วก็ยังคมพอจะป้องกันตัวได้ ส่วนภรรยาก็เข้าครัวไปหยิบมีดสำหรับแล่ปลามาซุกไว้ใต้ผ้ากันเปื้อนที่สวมใส่เป็นประจำ เมื่อพร้อมจึงออกมารวมกันที่หน้าบ้าน ชายคนนั้นที่ยังคงยืนรออยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวไปไหนก็เริ่มออกเดินราวกับรู้ว่าพวกเขาพร้อมที่จะไปด้วยแล้วแม้ไม่ได้ยินเสียงตอบรับเลยก็ตาม

   พวกเขาถูกพาเดินไปทางชายป่า และเพราะเป็นเวลาค่ำแล้วคนอื่น ๆ จึงเก็บตัวอยู่ในบ้านไม่ออกมาเดินท่อม ๆ ข้างนอก พวกเขาจึงไม่ถูกมองด้วยสายตาสงสัยว่ากำลังติดตามใครไปที่ใด

   เมื่อถึงชายป่า ก็ปรากฏบ้านขนาดเล็กหลังหนึ่งซึ่งไม่ต่างจากบ้านที่พวกเขาอยู่กันมากนัก

   ชายหนุ่มในผ้าคลุมเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้นโดยไม่ได้พูดอะไร ทั้งสองจึงได้แต่ยืนอยู่ข้างนอกไม่กล้าตามเข้าไปเพราะอาจเป็นกับดักก็ได้

   แต่แล้วก็กลับมีเสียงแว่วของเด็กทารกดังออกมาจากข้างใน

   หรือว่าจะมีการลักพาตัวเด็ก!

   นั่นคือสิ่งที่พวกเขาคิดในตอนนั้น ฝ่ายสามีผลุนผลันเข้าไปข้างในพร้อมขวานในมือ ส่วนเธอเมื่อตั้งสติได้ก็รีบหยิบมีดออกมาแล้ววิ่งตามเข้าไปในบ้าน แต่ภาพที่เห็นกลับเป็นภาพที่น่าแปลก เพราะชายคนนั้นไม่ได้ทำอะไรเด็กที่กำลังร้องไห้งอแงอยู่เลย กลับเพียงแค่อุ้มไว้ในวงแขนและยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าพวกเขาที่ตามเข้ามาเท่านั้น และก่อนที่พวกเขาจะได้พูดอะไร เด็กคนนั้นก็ถูกส่งมาตรงหน้า

   “จงดูแลเด็กคนนี้ให้ดี”

   หมายความว่ายังไงกัน?

   เธอยื่นมือไปรับเด็กคนนั้นอย่างเงอะ ๆ งะ ๆ

   คน ๆ นี้เอาเด็กมาให้พวกเขาเลี้ยงอย่างนั้นหรือ? แล้วทำไมจึงต้องทำตัวลึกลับพามาถึงที่นี่ด้วย?

   “แล้วก็ย้ายมาอยู่ที่นี่เสีย”

   “อะไรนะ?” สามีของเธอร้องขึ้น “จะบ้าหรือเปล่า ที่นี่เดินทางไปทำงานก็ไกล ข้าไม่ได้มีกินถึงขนาดนั่ง ๆ นอน ๆ ก็เลี้ยงคนในบ้านได้หรอกนะ”

   “นั่นสิ...อยู่ห่างจากชุมชนแบบนี้คงทำงานลำบาก” เธอเองก็เห็นด้วย

   “ข้าไม่ต้องการให้เขาใกล้ชิดกับมนุษย์มากเกินไป”

   “ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงดูแลไม่ได้หรอก เอาเด็กคืนไปเถอะ” สามีของเธอรีบปฏิเสธแล้วพยักพเยิดให้ส่งเด็กคืนไป ทว่าฝ่ายนั้นกลับไม่ยอมรับคืน และเดินออกไปทางประตูเสียเฉย ๆ

   “พวกเจ้าเหมาะสมกับงานนี้ที่สุด หากตกลงก็จงย้ายสิ่งที่จำเป็นมาที่นี่ในวันพรุ่งนี้ แล้วพวกเจ้าจะได้รับรางวัลอย่างงาม”

   “แล้วถ้าพวกเราปฏิเสธ?”

   ชายในผ้าคลุมที่กำลังจะเดินออกไปชะงักเท้าของตนเองไว้หลังประโยคนั้นก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมาและเลิกผ้าคลุมศีรษะขึ้น

   ทันใดที่พวกเขาเห็นหน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจนก็ถึงกับเข่าอ่อนทรุดฮวบลงไปกับพื้น

   โดยที่ไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใดกันอีก ชายคนนั้นก็เดินออกไปจากบ้านและหายลับเข้าแนวป่าไป

   พวกเขามองหน้ากันด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง เพราะสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยพบเจอมา

   “พ...พวกเราจะทำยังไงดี....” เธอเอ่ยถามสามีด้วยเสียงสั่นเทา

   “เราคงจะต้อง....ทำตามที่เขาต้องการ”

   ไม่มีทางเลือก...

   “ถ้าเราขัดขืนผู้ต้องสาปล่ะก็...อาจจะถูกฆ่าก็ได้ ไม่น่าเลย ทำไมต้องมาเจอแบบนี้นะ” ทั้งที่พวกเขาอยู่อย่างสงบไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนสักครั้ง แล้วทำไมพวกเขาจึงต้องมาเจอเรื่องอัปมงคลกับชีวิตแบบนี้ “เดี๋ยวสิ แล้วเด็กคนนี้เป็นใครกัน?”

   ตามที่พวกเขารู้จากตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา ผู้ต้องสาปไม่อาจให้กำเนิดทายาทได้ ถ้าอย่างนั้นเด็กคนนี้เกี่ยวข้องกับผู้ต้องสาปได้อย่างไรกัน?

   ด้วยความกังขา เขาจึงเข้าไปตรวจดูเด็กชายอย่างละเอียดและพบว่าร่างกายเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาทั่ว ๆ ไปจึงค่อยโล่งอก

   ในที่สุดพวกเขาจึงตกลงใจทำตามความต้องการของผู้ต้องสาปคนนั้น โดยย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านที่ห่างไกลจากชุมชน แม้ว่าจะเดินทางไกลขึ้นแต่ก็ไม่ได้ลำบากมากมายนัก เพียงแต่การงานของเธอหลายครั้งต้องฝากสามีนำไปส่งให้ในตลาดและนำงานใหม่กลับมาให้ในตอนค่ำ กระนั้นเมื่อเวลาผ่านไปคนในหมู่บ้านบางส่วนก็นำมาให้ด้วยตัวเองเพราะเห็นว่าไม่ได้ไกลจากตัวชุมชนมากนักและยังเป็นทางผ่านเข้าไปเก็บของในป่าด้วย

   ส่วนรางวัลที่ฝ่ายผู้ต้องสาปสัญญาไว้นั้นก็ไม่อาจพูดได้อย่างเป็นรูปธรรมนัก เพราะเมื่อพวกเขามาถึงบ้านก็ยังคงเป็นบ้านไม้ที่ไม่มีอะไรเลยเหมือนเดิม พวกเขาที่ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้วจึงไม่แปลกใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปร้านของฝ่ายสามีก็มีลูกค้าจากต่างเมืองเดินทางมาใช้บริการมากมาย บางครั้งยังมีโอกาสได้ตัดเย็บเสื้อผ้าให้พวกชนชั้นสูงในเมืองสวมใส่ทำให้กิจการเป็นไปด้วยดีอย่างน่าใจหาย

   จนกระทั่งถึงวันนี้ ก็ผ่านมาได้ 5 ปีแล้วที่รายรับรายจ่ายของบ้านอยู่ในสภาพคล่องไม่เคยขาดแคลน งานที่ร้านตัดเย็บแม้จะมากแต่ก็เพราะขยับขยายตัวได้จึงมีลูกมือเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ทำกับเพื่อนเพียงสองคน ส่วนเด็กชายคนนั้นก็เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงไม่มีโรคภัย เป็นเด็กดีร่าเริงและเป็นที่รักของคนในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก เสียดายก็แต่...เพราะถูกกำชับไว้ว่าไม่อยากให้ใกล้ชิดกับมนุษย์จนเกินไป พวกเขาจึงไม่เคยอนุญาตให้พาเพื่อน ๆ มาเที่ยวเล่นที่บ้านแม้สักครั้งทั้งที่มีบริเวณให้เด็กวิ่งเล่นอยู่มากมาย

   ตลอด 5 ปีมานี้ พวกเขาก็ผูกพันกับเด็กชายอย่างลึกซึ้งราวกับเป็นลูกแท้ ๆ ไม่เคยคิดถึงวันที่จะต้องพรากจากกันมาก่อนเลย

   ทว่าเมื่อ 3 วันก่อน กลับมาจดหมายฉบับหนึ่งมาถึงที่บ้าน

   จดหมายฉบับนั้นมีใจความว่าอีกฝ่ายต้องการจะมารับตัวเด็กชายในวันนี้

   พวกเขาต่างก็ใจหายกับสิ่งที่ได้รับรู้ เด็กน้อยที่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมากำลังจะถูกพลัดพรากไปจากอกใครเล่าจะทนทำใจนิ่งเฉยได้ แต่พวกเขาก็ไม่มีสิทธิใด ๆ จะไปทักท้วง

   หญิงสูงวัยทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาทำงานและปล่อยให้เวลาค่อย ๆ ผ่านพ้นไปอย่างช้า ๆ โดยมีหลานตัวน้อยนั่งเล่นอยู่ข้าง ๆ อย่างไม่รู้เรื่องราว

   วันนี้อากาศอบอ้าวเหมือนในวันที่ได้พบกัน แต่เธอกลับไม่อยากออกไปนั่งตากลมแม้แต่น้อย
   แต่แล้ว เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พาให้เธอสะดุ้งจนเข็มหลุดมือ

   “ข้าเปิดเอง!” เด็กชายร้องเสียงใสแล้ววิ่งไปที่ประตูไม้ซึ่งเสียงเคาะเงียบไปแล้ว เมื่อเขาเปิดมันออกก็พบชายคนหนึ่งในชุดคลุมยาวสีเข้มที่ปิดลงมาจนเกือบไม่เห็นใบหน้า

   “ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ” เขากล่าวกับเด็กชายแล้วหันหลังเดินนำออกมา

   “เดี๋ยวสิคะ!” ผู้เป็นยายรีบวิ่งออกไปจับตัวหลานชายเอาไว้ “เด็กคนนี้ยังไม่รู้เรื่องอะไร ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ อย่าเพิ่งพาเขาไปเลย รอให้โตอีกหน่อยไม่ได้หรือ?” เธออ้อนวอนพลางบีบไหล่เด็กชายแน่น เมื่ออยู่ด้วยกันความผูกพันก็เกิดขึ้น และมันยิ่งผูกมัดพวกเขาเมื่อเวลาผ่านไป เธอไม่อาจทำใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หลานชายฟังได้ คิดว่าเมื่อถึงเวลาก็อยากจะให้เด็กชายจดจำไว้ว่าตนเองคือยายแท้ ๆ

   “จะไปไหนกัน? ข้าไม่ได้จะไปจากยายเสียหน่อย” เด็กชายโผเข้ากอดยายของตนอย่างซื่อ ๆ แต่ดูเหมือนการกระทำเหล่านั้นกำลังสร้างความไม่พอใจให้กับชายหนุ่มผู้มาเยือน แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงแค่ยืนนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้นและเฝ้ามองสองยายหลานที่ปลอบโยนกันและกัน

   หัวใจที่เย็นชาของเขาไม่อาจเข้าใจความผูกพันเช่นนั้นได้...

   “ปล่อยเขาไปเถอะ”

   เสียงของชายสูงวัยแทรกเข้ามาระหว่างความเงียบ

   “ยังไงก็ไม่ใช่หลานเรามาแต่ต้น” เขาเพิ่งกลับมาจากการทำงานและเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี

   “พูดอย่างนั้นได้ยังไงกัน! หลานอยู่กับเรามาตั้งหลายปี อยู่ดี ๆ ก็จะเอาตัวไปอย่างนี้น่ะหรือ!?” เป็นยายประท้วงพร้อมกอดหลานชายแน่น

   “เข้ามาข้างในหน่อย” ผู้เป็นสามีดึงมือภรรยาเข้าไปด้านในโดยปล่อยหลานชายไว้ข้างนอก กระนั้นชายผู้ซึ่งที่ถูกเรียกว่าผู้ต้องสาปก็ไม่ได้ดึงตัวเด็กชายไปแต่อย่างใด เขายืนเงียบ ๆ และรอเวลาในขณะที่เด็กชายก็มองสำรวจอย่างไม่ไว้ใจ

   “ท่าน...เป็นคนสำคัญที่ว่าหรือ? ทำไมถึงต้องพาข้าไปด้วย?”

   “.....” ชายหนุ่มไม่ได้ตอบ แค่เพียงเหลือบนัยน์ตามองเด็กชายที่ช่างสงสัยแต่ก็ระวังตัวแจจนน่าขัน กระนั้นเขาก็ขำไม่ออกเพราะสำหรับเขาแล้ว บุคลิกเช่นนี้ค่อนข้างจะน่ารำคาญ

   แต่อย่างไรก็เป็นลูกของเธอคนนั้น....

   เขาถึงต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้....

   “ข้าไม่ไปกับท่านหรอกนะ ข้าจะอยู่กับตากับยายที่นี่” เด็กชายขมวดคิ้วแล้วกอดอก แสดงเจตจำนงว่าจะไม่ยอมไปไหนตามใจอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาด

   “คิดว่าเจ้ามีสิทธิเลือกหรือ วาลเซอิค” น้ำเสียงทุ้มเย็นเยียบบ่งบอกว่าเจ้าตัวอารมณ์ไม่ดีนัก

   “ทำไม...รู้ชื่อข้าด้วย?” เด็กชายเบิกตาแล้วถอยหลัง รู้สึกกลัวผู้ชายตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก หากเขาต้องไปกับผู้ชายคนนี้จริง ๆ ....ไม่ เขาไม่อยากไป เขาคิดเช่นนั้นแล้วหันหลังจะเข้าบ้าน แต่กลับชนเข้ากับตาที่เดินสวนออกมาพอดี ส่วนยายไม่ได้ออกมาด้วย

   ชายสูงวัยจูงมือเด็กชายให้เดินออกมาข้างนอกโดยไม่พูดอะไรก่อนจะบังคับให้ยืนตรงหน้าผู้ต้องสาปที่มารับตัว เด็กชายได้แต่สงสัยว่าทำไมวันนี้ตาของเขาเย็นชาถึงเพียงนี้ ทั้งที่ปกติแม้จะดุบ้างแต่ก็ใจดีกับเขาเป็นส่วนใหญ่

   “พวกเราไม่ใช่ครอบครัวจริง ๆ ของหลาน....” ผู้เป็นตาพูดออกมาอย่างยากเย็น “คน ๆ นี้ต่างหากที่เป็นคนพาหลานมาให้ หลานเคยถามถึงพ่อกับแม่ไม่ใช่หรือ? เขาต้องรู้แน่ ๆ ว่าสองคนนั้นอยู่ที่ไหน”

   “แต่ข้าไม่อยากเจอแล้ว....” เด็กชายอ้อนวอน

   “ในเมื่อเขามารับตัวหลานก็ต้องไป” ชายสูงวัยปล่อยมือแล้วเดินถอยหลัง

   “ไม่เอานะ ตาอย่าทิ้งข้า ข้าทำอะไรไม่ดีหรือ?” แม้ว่าเด็กน้อยจะอ้อนวอนและวิ่งเข้าไปจับชายเสื้ออย่างสิ้นไร้หนทาง ก็กลับถูกสะบัดชายเสื้อออกอย่างไม่ใยดี

    “รีบไปซะ” เขากล่าวเช่นนั้นก่อนจะรีบเดินกลับเข้าบ้านไปโดยไม่หันมามองอีก

   เด็กน้อยกำชายเสื้อตัวเองร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่เมื่อวานนี้ทั้งสองคนก็ยังรักเขา แต่วันนี้กลับทำเหมือนไม่ต้องการเขาอีกแล้วและต้องการให้ไปกับคนอื่น

   “ไปกันได้แล้ว” ชายหนุ่มหันหลังเดินนำไปทางป่า

   เด็กชายที่ไม่รู้ว่าตนเองควรจะไปที่ใดจึงรีบวิ่งตามไปแม้จะรู้สึกกลัว สำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ แล้ว การถูกไล่ครั้งหนึ่งก็เหมือนการที่ไม่อาจกลับไปหาคน ๆ นั้นได้อีก เมื่อมีที่พึ่งพิงอยู่ใกล้ ๆ จึงจำต้องเลือกอย่างช่วยไม่ได้

------------------>

   เมื่อทั้งสองจากไปแล้ว ภายในบ้านกลับยังมีเสียงสะอื้นแผ่วเบาจากโต๊ะซึ่งปกติจะใช้ทำงานปะชุนเสื้อผ้า ผู้เป็นสามีเดินเข้าไปโอบบ่าภรรยาของตนแล้วนั่งลงข้าง ๆ และฟังเสียงพึมพำระคนสะอื้น

   “ผู้ชายคนนั้นเป็นผู้ต้องสาปนะ เด็กคนนั้นจะต้องกลายเป็นอาหาร...”

   “ไม่หรอก...เจ้าไม่เห็นหรือว่าผู้ชายคนนั้นเดินกลางแสงแดดได้”

   “หมายความว่ายังไงกัน?”

   “...เขาเป็นผู้ต้องสาปที่ได้รับถ้อยคำจากมนุษย์ เขาจะเดินท่ามกลางแสงอาทิตย์ได้แต่ไม่อาจดื่มกินเลือดของมนุษย์ได้”

   “ถ้าอย่างนั้น....เขาจะต้องการเด็กคนนั้นไปทำไมกัน?”

   “เรื่องนั้น...เราไม่มีทางรู้ได้หรอก....คิดเสียว่าพวกเรามีโอกาสได้เลี้ยงดูเขาเพียงแค่นี้ เรากลับบ้านเก่าพวกเรากันเถอะนะ พออยู่ท่ามกลางผู้คน เดี๋ยวก็คงลืมเรื่องพวกนี้ไปได้เอง...”

   หญิงสูงวัยทำได้เพียงตอบรับความต้องการของสามี แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่อาจจะลืมเลือนได้ง่าย ๆ เลย...

------------------------>

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่1 [10/10/12]
«ตอบ #11 เมื่อ10-10-2012 19:05:53 »

   ลึกเข้าไปในป่า ชายหนุ่มเดินนำไปด้วยความเร็วเช่นเดิมไม่เพิ่มหรือลดแม้แต่น้อย แต่ด้วยความยาวก้าวของเด็กวัยห้าขวบทำให้ต้องวิ่งบ้างเดินบ้างไปเป็นช่วง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เดินมาไกลแล้วและเข้าไปในป่าลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะมองไม่เห็นแสงอาทิตย์ด้านบนที่กำลังมืดลงทุกที

   “จะไปอีกไกลแค่ไหน....” เด็กน้อยเริ่มเหนื่อยและเดินช้าลง เสียงร้องไห้เงียบหายไปนานแล้วเพราะเขาเหนื่อยล้ากับการเดินมากเกินกว่าจะเอาเรี่ยวแรงมาร้องห่มร้องไห้ได้

   “อีกไม่ไกล” เสียงที่ตอบกลับมาไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นสักนิด

   วาลเซอิคทรุดลงนั่งกับพื้นเพราะความเหนื่อยอ่อน

   “ข้าจะกลับไปหาตากับยาย ข้าไม่ไปด้วยแล้ว” เขาเริ่มงอแงตามประสาเด็กอีกครั้ง ตั้งแต่จำความได้ ตากับยายไม่เคยให้เขาทำงานหนักเลย แล้วทำไมเขาถึงต้องมาเดินตามคนแปลกหน้าจนหมดเรี่ยวแรงขนาดนี้ด้วย ตอนนี้ทั้งสองคนคงหายโกรธเกลียดเขาแล้วแน่ ๆ

   “ถ้าคิดว่ากลับได้ก็ตามแต่ใจเจ้า” อีกฝ่ายไม่อนาทรกับคำพูดนั้นแล้วเดินต่อไปราวกับคนที่ตามหลังเป็นแค่สิ่งของที่จะทิ้งขว้างเมื่อไหร่ก็ได้

   ในคราวแรกเด็กชายก็คิดจะดื้อแพ่งจึงไม่ยอมลุกขยับไปไหน แต่ชายหนุ่มในผ้าคลุมก็ไม่ได้สนใจกลับเดินต่อจนถูกความมืดของผืนป่ากลืนหายไปจนหมด ตอนนี้เด็กชายจึงเสมือนอยู่เพียงคนเดียวในป่าอันกว้างใหญ่และมืดมิด ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วความกลัวก็เข้าเกาะกุมจิตใจที่ยังไร้เดียงสาและช่างจินตนาการ เขาอดคิดไม่ได้ว่าหลังต้นไม้ต้นนั้นจะมีอะไรอยู่ หรือในเงาของแมกไม้เบื้องบนจะปรากฏสิ่งใดขึ้น เสียงแสกสากที่ดังใกล้บ้างไกลบ้างให้ความรู้สึกเหมือนอาจจะมีอสูรกายกระโจนออกมาเมื่อใดก็ได้

   เมื่อถูกโอบล้อมด้วยความมืดและความเงียบสงัด ความหวาดกลัวก็พุ่งถึงจุดที่ไม่อาจทนนั่งเฉยได้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นและออกวิ่งไปทางที่เห็นคน ๆ นั้นครั้งสุดท้าย

   “เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน! รอข้าด้วย!” เขาวิ่งไปตะโกนไปแม้ว่าจะไม่เห็นเงาของคนข้างหน้าเลยก็ตาม

   นี่อีกฝ่ายคิดจะทิ้งเขาเอาไว้จริง ๆ หรือ? เขาจะถูกทิ้งในที่แบบนี้หรือ? กลับไปหาตากับยายก็ไม่ได้ ไปที่ไหนก็ไม่ได้ เขาจะต้องตายในป่านี้แน่ ๆ

   “ไม่เอานะ อย่าทิ้งข้าไว้แบบ....”

   ผลั่ก!

   “หากเจ้ายังตะโกนอยู่อย่างนี้อาจจะได้ตายจริง ๆ”

   วาลเซอิคเงยหน้ามองคนที่เขาเพิ่งวิ่งชนจนตัวเองล้มลงไปบนพื้น จากมุมนี้เขาเห็นดวงตาสีแดงน่ากลัวที่ซุกซ่อนไว้ใต้ผ้าคลุม

   “หวา!!!” เด็กชายร้องเสียงหลงตะกายถอยไปจนติดต้นไม้ “ท...ท่านเป็นอะไรกันแน่.....” ถึงแม้จะเป็นเด็ก แต่เมื่อเห็นประกายดวงตาสีแดงนั้น สัญชาตญาณก็ร้องเตือนโดยทันทีว่าคน ๆ นี้ไม่ใช่เพียงมนุษย์ธรรมดา เสมือนการยืนอยู่ต่อหน้านักล่าและตนเองเป็นเหยื่อ

   “...ผู้ต้องสาป พวกมนุษย์เรียกเราเช่นนั้น” ชายหนุ่มเอ่ยตอบแล้วโน้มตัวดึงเด็กชายขึ้นมาจากพื้นก่อนเดินต่อ “รีบตามมา ข้าไม่ชอบรอใคร”

   “ผู้ต้องสาป?” เขาไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ทำอะไร ความกลัวจึงจางหายไปบ้างและลุกเดินตามหลัง ถึงอย่างนั้นเพราะเมื่อครู่รีบวิ่งตามมาสุดแรงเกิดและล้มกะทันหันข้อเท้าจึงแพลง เมื่อเขาลุกเดินไม่กี่ก้าวก็ร้องออกมาเพราะไม่อาจหยั่งเท้าข้างหนึ่งอย่างเต็มน้ำหนักได้

   ชายหนุ่มหันกลับมามองด้วยสายตาที่ไม่ได้ฉายอารมณ์ใดเป็นพิเศษ ก่อนจะอุ้มเด็กชายขึ้นเพื่อจะได้ไม่เสียเวลาไปมากกว่านี้

   วาลเซอิครู้สึกแปลกใจที่อีกฝ่ายใจดีกับตนมากกว่าที่คิดไว้ เขาคิดว่าตนเองจะถูกทิ้งเอาไว้เสียอีก ทั้งที่ทำเย็นชาแต่ความจริงกลับรอเขาอยู่ พอเห็นเขาเจ็บตัวก็ยังอุ้มไปด้วยกัน บางที...ผู้ชายคนนี้อาจไม่ได้น่ากลัวก็เป็นได้ ก็แค่มีดวงตาสีแปลกจากปกติเท่านั้นเอง ทำไมเขาถึงได้นึกกลัวได้นะ...

   “เอ่อ....ข้าถามอะไรได้หรือเปล่า....” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเพราะยังรู้สึกเกรงอยู่ไม่น้อย

   “ว่ามาสิ”

   “ท่าน...ชื่ออะไรหรือ?”

   “เซเอล ไลโคริส ลาห์โคเวีย” อีกฝ่ายตอบอย่างไม่อิดเอื้อน

   “ท่าน...เอ่อ...เซเอล ทำไมถึงรู้จักชื่อข้าได้ล่ะ?”

   “....”

   แต่คำถามนี้ เด็กชายกลับได้ความเงียบเป็นคำตอบ กระนั้นเขาก็รู้ดีว่าการคะยั้นคะยอผู้ชายคนนี้คงไม่ได้ผลเหมือนที่เขาทำกับตาและยาย

   “ข้าเป็นคนตั้งให้เจ้าเอง” ทว่าในวินาทีต่อมา คำตอบที่ไม่น่าจะได้รับก็ปรากฏขึ้น เป็นคำตอบที่น่าแปลกสำหรับวาลเซอิคที่ไม่เคยพบเห็นคน ๆ นี้มาก่อน แล้วจะเป็นคนตั้งชื่อให้เขาได้อย่างไรกัน? หรือจะเป็นเรื่องจริงที่ว่าผู้ชายคนนี้รู้จักพ่อกับแม่ของเขา แปลว่าเขากำลังจะได้เจอพ่อกับแม่หรือเปล่านะ?

   ในขณะที่กำลังครุ่นคิดกับตนเองนั้น เบื้องหน้าก็ปรากฏปราสาทสูงดำทะมึนขึ้นจากความมืดมิดของผืนป่า เมื่อมองจากตรงจุดนี้ พวกเขาเหมือนแมลงเล็กจ้อยที่กำลังแหงนหน้ามองความโอฬารของสิ่งสร้างสูงตระหง่านทว่าทึบทึมจนน่าอึดอัด ไม่น่าเชื่อว่าสถานที่เช่นนี้จะมีผู้คนอยู่อาศัย หากบอกว่าเป็นปราสาทผีสิงยังจะเข้าท่าเสียกว่า พ่อกับแม่ของเขาจะอยู่ในสถานที่แบบนี้จริง ๆ น่ะหรือ? เด็กชายได้แต่แหงนหน้ามองสิ่งปลูกสร้างแปลกประหลาดนั้นด้วยใจที่มีข้อกังขาอยู่มากมาย

   เซเอลเดินตรงไปยังประตูบานใหญ่ซึ่งเป็นประตูหน้าของปราสาท แค่เพียงเจ้าตัวเดินเข้าไปใกล้ มันก็เปิดออกโดยไม่ต้องมีใครสัมผัสราวกับรู้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้คือเจ้าของของมันที่กลับมาถึงบ้านแล้วในที่สุด

   ชายหนุ่มวางเด็กชายในอ้อมแขนลงเมื่อเข้ามาข้างในแล้ว และประตูบานหนาหนักก็ค่อย ๆ หับปิดลงด้วยตนเองเช่นเดิม

   “ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าท่านจะพาเขามาที่นี่จริง ๆ” จู่ ๆ เสียงหญิงสาวคนหนึ่งก็ดังกังวานขึ้นอย่างไร้ทิศทางในโถงกว้าง เด็กชายที่ไม่เคยอยู่ในที่กว้างและสะท้อนเสียงไปมาได้อย่างนี้จึงรีบถอยกรูดไปหาที่พึ่งพิงหนึ่งเดียวที่ตนมีทันทีแม้จะไม่รู้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของใครก็ตาม

   “เจ้ามีอะไรขัดข้องหรือ?” เซเอลกล่าวพลางเงยหน้าไปทางบันได ซึ่งด้านบนนั้นมีหญิงสาวผมแดงคนหนึ่งยืนอยู่ที่ขั้นบนสุดและกำลังเดินลงมาด้วยท่าทีที่ไม่พึงใจนัก

   “หากท่านคิดจะทำแล้ว ข้าจะขัดข้องอะไรได้”

   “เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ชายหนุ่มไม่แสดงอาการทุกข์ร้อนกับสภาพอารมณ์ของหญิงสาวก่อนจะเลิกผ้าคลุมขึ้น เรือนผมสีเงินแปลกตาจึงปรากฏให้เด็กชายเห็น เขาเผลอจ้องมองอย่างลืมตัวเพราะไม่เคยเห็นสีผมเช่นนี้มาก่อนแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายมองกลับมา จึงหลบตาวูบอย่างเขินอาย เซเอลไม่ได้คิดอะไรกับท่าทางเช่นนั้นและหันไปพูดกับหญิงสาวต่อ “แล้วคัลดิช กับ คัลมาร์ ไปไหนเสีย?”

   “กำลังทำเรื่องไร้สาระอยู่น่ะสิ” หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิงกอดอกพลางทำหน้างอก่อนเหลือบตามองเด็กชายที่ทำตัวลีบเบียดเข้าไปหาเซเอลอย่างกับเธอเป็นยักษ์เป็นมาร “ข้าจะพาเขาไปดูห้องเอง ท่านไปพักผ่อนก่อนเถอะ อาหารวางรอที่ห้องนานแล้วเดี๋ยวจะเสียรสหมด”

   “เช่นนั้นก็ฝากเจ้าด้วย วาลเซอิค เจ้าไปกับอาร์วิน่า นางจะพาเจ้าไปห้องพักของเจ้า” เซเอลกล่าวจบก็เดินเลี่ยงขึ้นบันไดไปด้านบน แม้วาลเซอิคจะอยากให้อีกฝ่ายไปด้วยกันเพราะเริ่มคุ้นเคยด้วยแล้วแต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดเอาแต่ใจออกไป

   “เจ้า...วาลเซอิคสินะ ตามข้ามาทางนี้” อาร์วิน่ากวักมือให้เด็กชายเดินตามมาด้วยกันแล้วยัดเทียนที่จุดแล้วให้ถือไว้ในมือ พวกเขาเดินขึ้นชั้นบนและเลี้ยวเข้าสู่ปีกซ้ายของปราสาทซึ่งมีห้องพักอยู่มากมาย แต่กลับไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เลย ราวกับว่าที่นี่มีแต่เพียงพวกเขาเท่านั้น ไม่สิ...จะต้องมีอีกสองคนที่เซเอลเอ่ยชื่อถึงก่อนหน้านี้ด้วย พวกเขาจะเป็นคนแบบไหนกันนะ จะน่ากลัวหรือเปล่า?

   อาร์วิน่าเดินนำมาจนกระทั่งถึงห้องหนึ่งและเปิดประตูห้องออก

   “เข้าไปดูสิว่าเจ้าชอบหรือเปล่า”

   วาลเซอิคมองผ่านประตูเข้าไป เห็นห้องนอนที่ดูหรูหราแปลกตาก็รู้สึกตื่นเต้น ยิ่งเมื่อได้รับคำอนุญาตแล้วจึงเดินดุ่มเข้าไปโดยไม่ได้คิดระแวดระวัง ทันใดนั้นเอง ก็มีลมวูบหนึ่งพัดเทียนที่วาลเซอิคถือมาก็ดับพรึ่บ ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความมืดในบัดดล เด็กชายขวัญหนีดีฝ่อปล่อยเทียนหลุดมือพร้อมถลาถอยหลังออกมานอกห้อง แต่ขาของเขากลับถูกบางสิ่งบางอย่างจับเอาไว้แน่น

   “หวา!!! ม...ไม่เอานะ ข้าจะกลับบ้าน!!!” เด็กชายกรีดร้องลั่นจะผวาไปหาอาร์วิน่าที่รอด้านนอก แต่กลับมามืออีกคู่ล็อคเขาจากด้านหลังแล้วปิดปากดึงเข้าไปในห้อง

   เขาทั้งดิ้นทั้งร้องอู้อี้ หัวใจเต้นตึกตักเป็นรัวกลอง

   หรือว่าจะถูกหลอกพามาเป็นอาหารในบ้านผีสิง!

   ไม่เอานะ! ไม่เอา!

   วาลเซอิคกลัวจนร้องไห้ออกมาทั้งที่กำลังโดนลากเข้าไปในห้องที่มืดมิด ทว่าก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นมากกว่านั้น แสงไฟจากเทียนเล่มหนึ่งก็สว่างวูบขึ้น จึงปรากฏให้เห็นชายหนุ่มสองคนที่เหมือนกับราวกับภาพสะท้อนในกระจกกำลังช่วยกันจับเด็กน้อยที่ดิ้นรนขัดขืนอยู่

   “นายเจ้าคิดว่ากำลังเล่นอะไรกันอยู่น่ะ” อาร์วิน่านั่นเองที่เข้ามาช่วยไว้ทันเวลา เธอถือเทียนที่วาลเซอิคเผลอทำหลุดมือมาด้วย และก้มลงมองผู้ชายสองคนที่กำลังรุมรังแกเด็กห้าขวบด้วยสายตาเหนื่อยอกเหนื่อยใจ

   “อาร์วิน่า เจ้าทำให้เรื่องเซอร์ไพรซ์หมดรสชาตินะ” แฝดคนหนึ่งพูดขึ้นเมื่อพบว่างานกร่อยเสียแล้ว

   “ทั้งที่อุตส่าห์วางแผนอย่างดี อ้าว ร้องไห้เสียแล้วสิ” แฝดอีกคนพูดพลางลูบหัวปลอบเด็กชายที่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความกลัวสุดขีดจนขาอ่อนปวกเปียก จะหนีก็หนีไม่ไหว ทั้งเหนื่อยทั้งเพลียยังมาเจอเรื่องแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก พร่ำพูดแต่ว่าอยากจะกลับบ้าน

   “ไหนเจ้าว่าพอทำแบบนี้แล้วเด็ก ๆ จะดีใจไง” แฝดคนแรกกลอกตา เขาไม่ชอบเสียงร้องไห้ของเด็ก ๆ เอาเสียเลย

   “ก็ถ้าพามาถึงเตียงแล้วจุดเทียนทุกเล่มพร้อมกัน มันก็สวยดีไม่ใช่หรือ เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ชอบเรื่องตื่นตาตื่นใจกันนี่?” แฝดที่กำลังพยายามปลอบเด็กหันมาตอบและรู้สึกเสียดายไม่น้อยที่อะไร ๆ ไม่เป็นไปตามมโนภาพที่วางเอาไว้ คิดว่าจะให้ความประทับใจแรกเริ่มกลายเป็นทำให้ฝังใจแต่แรกเริ่มเสียแทน

   อาร์วิน่ากุมขมับอย่างเหนื่อยหน่ายกับแฝดคู่นี้

   “พวกเจ้าออกไปทั้งคู่นั่นแหละ เดี๋ยวข้าจัดการที่เหลือเอง” เธอไล่ทั้งสองออกไป ชายหนุ่มฝาแฝดจึงต้องยอมทำตามเพราะตอนนี้พวกเขาคงทำอะไรไม่ได้แล้ว เมื่อประตูปิดลง เธอจึงเดินไปวางเชิงเทียนไว้บนโต๊ะข้างเตียงแล้วอุ้มเด็กชายที่ยังขวัญเสียขึ้นไปนั่งบนเตียงนุ่ม “เจ้าตัวป่วนพวกนั้นออกไปแล้ว หยุดร้องเสียทีเถอะ”

   “....ข้า....อยากกลับบ้านแล้ว...” วาลเซอิคป้ายน้ำตาป้อย ๆ

   “เจ้าพูดอย่างกับว่าพูดแล้วจะกลับได้ทันทีอย่างนั้นแหละ ยังไงก็นอนไปก่อนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” อาร์วิน่าพูดกึ่งรำคาญแล้วไปหยิบเสื้อผ้าในตู้มาให้เปลี่ยน “ห้องน้ำอยู่ทางนั้น เจ้าไปล้างตาล้างตาก่อนแล้วค่อนนอนก็ได้ แต่ยังไงก็อย่าออกไปเดินข้างนอกตอนค่ำ ๆ มืด ๆ แบบนี้แล้วกัน ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาหาว่าข้าไม่เตือน” หลังจากขู่สำทับเสร็จจนเด็กน้อยหน้าซีดเป็นไก่ต้มแล้ว หญิงสาวก็พลิ้วกายออกไปโดยทิ้งเทียนไว้ให้ในห้อง

   ความเงียบสงัดปกคลุมลงมารอบกายของเด็กชายที่เพิ่งจะถูกพามาในสถานที่แปลกประหลาดและกลุ่มคนที่ไม่รู้จัก

   เขาจะต้องอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน....

   เขาได้แต่คิดกับตัวเองวนเวียนเช่นนั้นจนกระทั่งผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน

TBC

ปล. เรื่องนี้ไม่โชตะนะคะ 5555 /รู้นะว่ามีคนแอบหวัง

ออฟไลน์ mind223

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทนำ [9/10/12]
«ตอบ #12 เมื่อ10-10-2012 21:17:25 »

 :mc4:      :mc4:

 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:

 :mc4:           :mc4: 

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3960
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทนำ [9/10/12]
«ตอบ #13 เมื่อ10-10-2012 21:50:04 »

งืมมม รออ่านค่ะ สงสารเด็กน้อยจริง

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทนำ [9/10/12]
«ตอบ #14 เมื่อ10-10-2012 22:33:17 »

อุ่ย...ลืมเปลี่ยนหัวทอปปิกว่าอัพแล้ว

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่1 [10/10/12]
«ตอบ #15 เมื่อ10-10-2012 23:13:59 »

ว้าาา
น่าสงสารจัง เป็นเด็กเล็กๆต้องมาเจออะไรแบบนี้

รออ่านต่อนะคะ

ป.ล. ไม่โชะตะก็แสดงว่าเด็กน้อยคนนี้จะโดตสินะ ฮ่าๆ

ออฟไลน์ rubymoona

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-5
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่1 [10/10/12]
«ตอบ #16 เมื่อ11-10-2012 11:21:24 »

ไม่หวังโชตะแม้แต่น้อยเพราะเราชอบโอจิ แอร๊ย~
นิยายแฟนตาซีล่ะ~~~ :m1: ชอบจังเลย~~~ ท่านผู้ต้องสาปสวยสง่าจังคะ หลง~~~

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่1 [10/10/12]
«ตอบ #17 เมื่อ12-10-2012 00:04:55 »

นึกว่าจะพรากผู้เยาว์ซะแล้ว 5 ขวบเองนะนั่น 555
ชอบทุกคนในปราสาทเลยอ่ะ แต่ละคนบุคลิกแตกต่างกันดี ปลื้มเป็นพิเศษคืิฝาแฝด ขี้แกล้งอ่ะ นิสัยไม่ดี กร๊าาาาาาากกกก (?)
คุณพระเอกทำคะแนนหน่อยนะ เด็กน้อยดูจะไม่ค่อยปลื้ม หุหุหุ

ออฟไลน์ kangkaw

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่1 [10/10/12]
«ตอบ #18 เมื่อ12-10-2012 01:24:04 »

รอตอนต่อไปค่ะ  เขี่ย ๆ ที่ปูเสื่อ ^^

ออฟไลน์ reborn23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่1 [10/10/12]
«ตอบ #19 เมื่อ12-10-2012 08:55:48 »

รอดูกันต่อไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่1 [10/10/12]
« ตอบ #19 เมื่อ: 12-10-2012 08:55:48 »





ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่1 [10/10/12]
«ตอบ #20 เมื่อ12-10-2012 14:11:10 »


good  story !!!

+ duck


ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่2 [12/10/12]
«ตอบ #21 เมื่อ12-10-2012 20:41:45 »

บทที่ 2 แดนไร้ทิวากาล


   วาลเซอิคลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนที่ไม่คุ้นเคย เทียนเล่มนั้นดับไปนานแล้ว ทำให้ความมืดสลัวปกคลุมภายในห้องซึ่งอาจเป็นเพราะม่านหน้าต่างที่ปิดสนิทด้วยกระมัง แต่เมื่อเขาพยายามเขม้นมองออกไป กลับพบว่าตนเองไม่พบเจอแสงสว่างอย่างที่ยามเช้าควรจะเป็น หรือว่าตอนนี้ยังไม่เช้ากันแน่?

   “เจ้าเด็กขี้เซา ตื่นได้แล้ว จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงเมื่อไหร่!” ประตูถูกดันเปิดออกพร้อมเสียงแหลมของหญิงสาวเจ้าของนามอาร์วิน่า

   “แต่ว่ามันยังมืดอยู่เลย.....” วาลเซอิคงัวเงียและเพราะความอ่อนล้าทำให้เขาไม่สามารถบังคับตัวเองให้ตื่นเต็มตาได้ในทันที แม้จนถึงตอนนี้เขายังเพลียไม่หาย

   “ที่นี่ก็มืดอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ หากเจ้ารอให้สว่างแล้วค่อยตื่นเจ้าคงได้นอนยันตาย” อาร์วิน่าตลบผ้าห่มออกเพื่อให้เด็กชายลุกขึ้น “ให้ตายสิเจ้านอนไปได้ยังไงกันนะ ทั้งตัวเลอะฝุ่นแบบนั้น” เธอบ่นพลางมองเตียงนอนและผ้าห่มที่ตอนนี้มีแต่ฝุ่นดินทราย

   “ก็....มันน่ากลัว....” เด็กน้อยสารภาพตามจริงว่าตนเองกลัวเกินกว่าจะลุกจากเตียงไปไหนได้ ซ้ำยังเหนื่อยเสียจนไม่อยากขยับตัว

   อาร์วิน่าไหวไหล่แล้วพยุงตัววาลเซอิคลงมา

   “ช่างเถอะ เดี๋ยวมันก็เป็นเหมือนเดิมเอง” เธอพูดราวกับสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ในตอนแรกวาลเซอิคคิดว่าคงเพราะปราสาทหลังนี้มีคนรับใช้อยู่มากมายจึงไม่ได้คิดมากอะไร

   หญิงสาวพาวาลเซอิคเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับเทียนเล่มหนึ่งและค่อย ๆ ไล่จุดตามเชิงเทียนทีละเล่ม ทำให้เขาได้เห็นห้องน้ำกว้างขวาง ประกอบไปด้วยอ่างอาบน้ำที่บรรจุน้ำอยู่เต็ม และผนังที่ทำจากหินอ่อนเป็นเงามัน สำหรับเด็กชายที่เติบโตในบ้านเล็ก ๆ การได้เห็นสิ่งที่แตกต่างทำให้เกิดความไม่คุ้นเคย ดังนั้นเมื่ออาร์วิน่ากำลังจะเดินออกไป เขาก็รีบเดินไปเกาะชายกระโปรงแน่น

   “ข้า...ไม่อยากอยู่คนเดียว อยู่เป็นเพื่อนได้ไหม?” วาลเซอิคช้อนตามองอย่างน่าสงสาร
   อาร์วิน่าถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เธอรู้สึกว่าตัวเองช่างมีสัญชาตญาณความเป็นแม่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาแต่ไหนแต่ไร พอถูกอ้อนจึงเกิดความรู้สึกรำคาญแต่ก็ไม่อาจปล่อยปละละเลยได้ เพราะเดี๋ยวเจ้าเด็กนี้ก็คงร้องไห้จ้าขึ้นมาอีก ถึงตอนนั้นใครจะมานั่งปลอบ

   แต่อย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิง แม้อีกฝ่ายจะเป็นแค่เด็กผู้ชายก็เถอะ

   “เอาอย่างนี้ เจ้ารอตรงนี้ก่อนแล้วเดี๋ยวข้ากลับมา” หลังพูดจบเธอก็จะเดินออกไปแต่วาลเซอิคกลับไม่ยอมปล่อยชายกระโปรง

   “แต่ว่า...”

   “ถ้าเจ้ายังมีแต่อะไรอีกข้าจะขังเจ้าไว้ในนี้เสียเลย!” อาร์วิน่าแผดเสียงด้วยความรำคาญใจ แต่พอเห็นหน้าเบะเหมือนจะร้องไห้เธอก็พบว่าตนเองพลาดเสียแล้ว “เดี๋ยว! หยุด! ห้ามร้องเลยนะ! รู้แล้ว ๆ ข้าไม่ไปไหนก็ได้ อยากจะเปลือยกายล่อนจ้อนให้ข้าเห็นก็สบายสบายเจ้าเลย เอ้า!” เธอรีบชิงตัดบทก่อนที่เด็กชายจะร้องออกมา แล้วกอดอกหันหลังให้ด้วยอารมณ์หงุดหงิด นึกถามตัวเองว่าทำไมเธอถึงต้องรับหน้าที่ดูแลเจ้าเด็กคนนี้ด้วย

   ซึ่งหากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้สัก 3 ชั่วโมง ในเวลานั้นทุกคนในปราสาทอันประกอบด้วย เซเอล คัลดิช คัลมาร์ และตัวเธอเองกำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียดว่าพวกเขาซึ่งเป็นผู้ต้องสาป มีชีวิตผิดแผกจากมนุษย์ปกตินั้นจะเลี้ยงดูลูกมนุษย์อย่างไร

   “เรื่องอาหารคงไม่มีปัญหา ในเมื่อปกติพวกเราก็กินเลือดสัตว์อยู่แล้ว” คัลดิชพูดแล้วไหวไหล่ ซึ่งก็จริงอย่างเจ้าตัวว่า พวกเขาดื่มเลือดสัตว์แทนเลือดมนุษย์มานานแล้ว แต่ก่อนนี้ก็เข้าไปล่ามนุษย์ แม้ไม่เคยถึงชีวิตแต่ก็ทำให้เกิดความหวาดกลัวทำให้พวกเขาต้องล่ามนุษย์เพียงนาน ๆ ครั้งทั้งที่เลือดมนุษย์คืออาหารอันโอชะ ทว่าหลังจากที่เจ้านายของพวกเขา เซเอล ตัดสินใจที่จะทำบางอย่างลงไป การดื่มกินเลือดมนุษย์จึงกลายเป็นเรื่องต้องห้าม พวกเขาที่เป็นผู้อาศัยในปราสาทจึงต้องยอมอดไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้

   และจากประเด็นนี้ พวกเขาจึงคิดว่าแทนที่จะดื่มแต่เลือดก็ล่าทั้งตัวมาเป็นอาหารให้เจ้าเด็กน้อยคนนี้ด้วยเสียเลย ส่วนการทำให้อาหารสุกนั้น...คงไม่ใช่เรื่องยากเกินตัวของ “ปราสาท” หลังนี้

   เรื่องอาหารการกินเป็นประเด็นที่เริ่มและได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว

   เรื่องถัดมาที่เป็นปัญหาของเธอก็คือ การดูแลวาลเซอิคและคอยสอนเรื่องการดำรงชีวิตในปราสาทหลังนี้ ซึ่งนับเป็นภาระหน้าที่สำคัญ เพราะหากไม่มีใครรับหน้าที่นี้ วาลเซอิคอาจจะอยู่อย่างยากลำบากและไม่สามารถความแตกต่างระหว่างพวกเขาและตนเองได้

   ซึ่งพอมีการยกประเด็นนี้ขึ้นมา ทุกสายตาก็หันมามองเธอเป็นจุดเดียว

   “จะบ้าหรือเปล่า! ข้าไม่ทำเรื่องอะไรแบบนั้นแน่!”

   “แต่ในจำนวนพวกเรา เจ้าเป็นผู้หญิงคนเดียว” คัลมาร์ให้เหตุผล “ข้าเคยได้ยินว่าเด็ก ๆ มักต้องการความรักจากแม่ไม่ใช่หรือ?”

   “แต่...”

   “เมื่อคืนก็เป็นเจ้าที่ทำให้เจ้าเด็กนั่นหยุดร้องแล้วยอมนอนได้ คงไม่มีใครเหมาะเท่าเจ้าอีกแล้ว” คัลดิชรีบเสริมก่อนที่เธอจะได้ชี้แจ้ง

   “แต่ว่า...”

   “เช่นนั้น....” และก่อนเธอจะได้โอกาสพูดคัดค้าน เสียงจากหัวโต๊ะก็ทำให้ทุกเสียงที่ถกเถียงหยุดชะงัก เซเอลจ้องมองมาด้วยดวงตาเรียบเฉย “....เจ้าคงจะเหมาะสมที่สุดในหมู่พวกเรา ข้าฝากเจ้าดูแลเขาด้วยก็แล้วกัน”

   เมื่อเซเอลตัดสินลงไปแล้วทุกอย่างก็เป็นอันสิ้นสุด อาร์วิน่าทำได้แค่ยอมรับมันอย่างเสียไม่ได้

   และเพราะเหตุทั้งหมดทั้งปวงนั้น ทำให้เธอต้องมาอยู่ที่นี่ตอนนี้และพยายามระงับสติอารมณ์ไม่กระโดดขย้ำคอเด็กชายขี้แยตรงหน้า

   ถ้าหากเพียงแค่คัลมาร์ไม่พูดเรื่องที่เธอเป็นผู้หญิงขึ้นมาล่ะก็...

   มันน่าโมโหเสียจริง!

   “เจ้าดูอารมณ์ไม่ดีเลยนะ” แต่แล้วเสียงของคนที่กำลังคิดถึงก็แทรกเข้ามาในโสตประสาท คัลมาร์ยืนอิงวงกบประตูด้วยท่าสบาย ๆ

   “จงใจมายั่วอารมณ์ข้าหรือยังไงกัน” อาร์วิน่าตวัดเสียงใส่อย่างไม่สบอารมณ์

   “เปล่า ๆ ขอโทษที” ชายหนุ่มรีบโบกมือด้วยเกรงว่าจะถูกอาละวาดใส่ “ข้ามาช่วยผลัดเวรเท่านั้นเอง เมื่อตอนประชุมพวกข้าแค่แกล้งเจ้าเล่น แต่อย่างไรพวกเราก็ต้องช่วยกันดูแลเด็กคนนี้อยู่แล้ว หากเจ้าดูแลคนเดียวมีหวังเผลอกินเข้าไปสักวันแน่” แม้จะพูดทีเล่นทีจริง แต่เขาก็รู้นิสัยเพื่อนสาวผู้นี้ดีว่าอารมณ์ร้ายแค่ไหน หากให้ดูแลจริง ๆ อาจจะเผลอกินเข้าไปอย่างที่พูดก็ได้

   “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จัดการต่อด้วยแล้วกัน” อาร์วิน่าคร้านจะต่อล้อต่อเถียงจึงสะบัดตัวเดินออกไปทิ้งให้ดัลมาร์ดูแลที่เหลือต่อ

   แต่...

   อาจเป็นเพราะความฝังใจจากการพบกันครั้งแรก แทนที่การจากไปของอาร์วิน่าจะทำให้เด็กชายสบายใจและกลับทำให้รู้สึกผวากว่าเดิมเมื่อพบว่าตนเองต้องอยู่ตามลำพังกับคัลมาร์ ผู้ชายหนึ่งในสองคนที่ทำให้เจ้าตัวเกือบหัวใจวายตายเมื่อคืนนี้

   และด้วยเหตุนั้น วาลเซอิคจึงทำตัวลีบติดกำแพงเมื่อคัลมาร์เดินเข้ามาใกล้เพื่อช่วยจัดการเรื่องเสื้อผ้า

   ชายหนุ่มมองความหวาดกลัวนั้นแล้วหัวเราะ แต่สายตาของเขากลับเลื่อนไปพบรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่กินบริเวณหัวไหล่ขวาจนถึงต้นแขน เขาหยุดหัวเราะแล้วเลื่อนสายตากลับมาที่ใบหน้าเด็กชายโดยไม่แสดงท่าทีแปลกประหลาดใจใด ๆ ออกมา

   “ข้าไม่กัดเจ้าหรอก ความจริงแล้วข้าควรจะต้องขอโทษเจ้าเรื่องเมื่อคืน ที่นี่ไม่มีแขกมานานแล้วโดยเฉพาะเด็ก ๆ อย่างเจ้า” คัลมาร์ยิ้มให้อย่างอารี “เจ้าคงลำบากแย่ที่ที่นี่มืดมิดแทบตลอดเวลา ถึงจะมีเชิงเทียนตั้งอยู่ทั่วแต่พวกข้าก็ชินกับความมืดจนไม่จำเป็นต้องใช้ แต่เจ้าคงต้องใช้เวลาสักหน่อย”

   “....แล้วถึงตอนนั้น....ข้าจะ.....” เพราะคัลมาร์ชวนคุยได้ดีหรืออย่างไรไม่ทราบ วาลเซอิคจึงเริ่มยอมพูดออกมาแม้จะยังเบียดตัวเองอยู่กับผนังก็ตามที คัลมาร์ที่ได้ยินคำพูดแผ่วเบานั้นจึงหันมองด้วยสายตาฉงนพลางยิ้มขำเด็กชายที่กระมิดกระเมี้ยนอย่างน่าเอ็นดู

   “อยากถามอะไรก็ถามข้าได้ ข้าไม่ดุเจ้าแน่” เขาหัวเราะออกมาอีกครั้ง

   “....ข้าจะ.....มีตาสีแดงเหมือนพวกท่านหรือเปล่า?”

   คำถามของวาลเซอิคทำให้เสียงหัวเราะและรอยยิ้มเลือนหายไปในทันที ดวงตาของคัลมาร์ฉายแววแปลกประหลาดออกมาชั่วครู่ก่อนยกมือขึ้นสัมผัสเปลือกตาตนเองเพื่อปกปิดความรู้สึกเหล่านั้น

   “อันนี้มันค่อนข้างจะพิเศษอยู่สักหน่อย ตาของเจ้าก็เป็นสีเขียวสวยดีอยู่แล้ว ข้ายังอิจฉาเลย” คัลมาร์ยีผมเด็กชายแล้วหัวเราะกลบเกลื่อน “เอาล่ะ เดี๋ยวข้าจะไปเอาชุดใหม่มาให้ระหว่างที่เจ้าอาบน้ำ ตู้อยู่ข้างนอกนี้เองแล้วก็เปิดประตูไว้ด้วย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ตะโกนดัง ๆ แล้วกัน แล้วข้าจะรีบเข้ามา” ว่าจบเขาก็ลุกขึ้นแล้วเก็บเสื้อผ้าที่วาลเซอิคถอดไว้แล้วขึ้นมาพาดบนแขนและสามารถเดินออกไปจากห้องน้ำได้โดยที่เด็กชายไม่ยึดตัวไว้

   วาลเซอิคที่ถูกกล่อมให้รู้สึกวางใจแม้จะระแวงอยู่บ้างแต่ก็เห็นเงาตะคุ่มของอีกฝ่ายที่นอกประตูจึงใจชื้นอยู่บ้างแม้จะอยู่คนเดียวในห้องน้ำกว้าง

-------------------->

   หลังจากอาบน้ำเสร็จ คัลมาร์ก็พาวาลเซอิคลงมาที่ห้องทานอาหาร ซึ่งมีโต๊ะยาวสามารถนั่งได้หลายคนตั้งอยู่ กระนั้นกลับมีอาหารวางเพียงชุดเดียว

   “อาหารมื้อแรกของเจ้าจะเป็นอะไรกันนะ” คัลมาร์ดูจะตื่นเต้นไปด้วยทั้งที่ตนเองไม่ใช่เจ้าของอาหารชุดนั้น เขาอุ้มวาลเซอิคให้นั่งบนเก้าอี้แล้วเปิดฝาครอบเงาวับขึ้น จึงเห็นเนื้อกระต่ายอบหมักกับเครื่องเทศหอมกรุ่นวางเรียงบนจานอย่างสวยงาม

   “อันนี้ของข้าหรือ?” วาลเซอิคไม่แน่ใจนักว่ามันเป็นของที่เตรียมไว้สำหรับเขาเพราะความหรูหราของมัน สำหรับชาวบ้านแบบเขาแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่มากเกินไปจนไม่กล้าแตะต้อง

   “แน่นอน ของเจ้าสิ” คัลมาร์ตอบโดยไม่คิดมาก เพราะหากไม่ใช่ของเด็กคนนี้คงเป็นของใครอื่นไปไม่ได้ สำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ห่างไกลจากความเป็นจริง กลิ่นอันหอมหวานของเครื่องเทศไม่ได้กระตุ้นความอยากอาหาร และรสชาติอันโอชาของมนุษย์ก็เสมือนเม็ดทรายบนปลายลิ้น แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาหิวโหยนั้น....คือเลือดเนื้ออันอ่อนนุ่มและหอมหวนของเด็กมนุษย์ตรงหน้านี้ต่างหาก...

   เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอาร์วิน่าจึงไม่ชื่นชอบการอยู่ใกล้วาลเซอิคสักเท่าไหร่....

   “ข้านั่งด้วยแบบนี้ทำให้เจ้าเกร็งหรือเปล่า? ถ้าเจ้าอยากกินคนเดียวข้าจะออกไปก่อนก็ได้” ยังไงก็คงจะดีต่อทั้งเขาและอีกฝ่าย จากที่พวกเขาคุยกันไว้ หากอยู่ใกล้เด็กคนนี้นานเกินไปมีแต่จะทำให้กระหายจนทนไม่ไหวจึงต้องคอยสลับเวรกันมาดูแลแล้วอีกหน่อยคงจะคุ้นชินกันไปเอง แต่วาลเซอิคกลับส่ายศีรษะ

   “ที่นี่น่ากลัว....”

   คัลมาร์ถอนหายใจ ยังไงคัลดิชคงไม่ใจดีมาสลับกับเขาตอนนี้แน่ ๆ ช่างเป็นเวรกรรมของเขาจริง ๆ ที่ไปแกล้งหลอกให้ตกใจตั้งแต่วันแรก จากที่กลัวอยู่แล้วเลยยิ่งหวาดผวากว่าเดิม สำหรับวาลเซอิค สถานที่นี้คงไม่ต่างกับปราสาทผีสิงไปแล้ว

   “ถ้าอย่างนั้นก็รีบกินเถอะเดี๋ยวมันจะเย็นหมด” เขาตัดบทอย่างปลงตก

   เมื่อได้รับคำอนุญาต วาลเซอิคจึงหยิบมีดและส้อมขึ้นมาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เก้าอี้ค่อยข้างจะต่ำเกินไปสำหรับเด็กอายุห้าขวบแบบเขาซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครทันได้นึกถึง

   “มื้อต่อไปคงต้องหาเบาะมารองเพิ่มเสียล่ะมั้ง...” คัลมาร์มองท่าทางการกินอันยากลำบากนั้นโดยไม่รู้ว่าจะช่วยยังไง แต่แล้วก็มีเสียงเปิดประตูห้องอาหารเขาจึงหันไปมองเพราะคิดว่าคัลดิชมาผลัดแล้ว ทว่าคนที่เขาเห็นกลับเหนือความคาดหมาย “นายท่าน?”

   “เจ้าไปเถอะ ข้าจัดการที่เหลือเอง”

   ด้วยโทนเสียงที่คุ้นเคยเรียกให้วาลเซอิคหันไปมองเช่นกัน และได้พบกับชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินซึ่งเป็นคนพาตนมาที่นี่

   “เช่นนั้นเจ้าอยู่กับ....ท่านเซเอลก็แล้วกัน นายท่านไม่น่ากลัวหรอกไม่ต้องห่วง” คัลมาร์พูดจบก็เดินเลี่ยงออกไปโดยเซเอลเดินสวนเข้ามานั่งแทนที่

   “ไม่สะดวกหรือ?” เขาสังเกตได้ในทันทีว่าเด็กชายนั่งต่ำเกินไปจนทำอะไรไม่ถนัด

   วาลเซอิครีบส่ายศีรษะและพยายามจะจัดการสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยตนเอง เขาไม่กล้าที่จะยื่นมือไปขอความช่วยเหลือจากคนเหล่านี้มากเกินไปเพราะยังไม่คุ้นเคยกันนัก สำหรับเด็กแล้วความเชื่อใจแต่แรกพบเป็นสิ่งสำคัญและคนเหล่านี้ทำให้เด็กชายรู้สึกกลัวมากกว่าเชื่อใจ ด้วยเหตุนั้น นอกจากการเอ่ยปากขอให้อยู่เป็นเพื่อนแล้ว เขาก็ไม่กล้าออกปากขอสิ่งใดอีก

   ตัวเซเอลเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์เลี้ยงเด็กมาก่อน เมื่อตัวเด็กไม่พูดอะไรเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

   ในที่สุดเขาจึงลุกขึ้นแล้วเลื่อนเก้าอี้ของวาลเซอิคออก อุ้มเด็กชายลงวางบนพื้นและขึ้นไปนั่งแทน
   วาลเซอิคมองการกระทำนั้นอย่างไม่เข้าใจ จนกระทั่งชายหนุ่มเอ่ยปาก

   “ขึ้นมาสิ”

   เด็กชายเบิกตามองอย่างไม่เชื่อหู นี่ผู้ชายคนนี้อนุญาตให้เขาขึ้นไปนั่งซ้อนบนตักหรือ? แต่ถึงแม้ว่ามันจะสะดวกสบายเขาก็ยังไม่กล้ากระทำเรื่องแบบนั้นกับคนที่ไม่ไว้ใจเต็มร้อยอยู่ดี วาลเซอิคจึงยืนลังเลใจซึ่งในสายตาผู้ใหญ่แล้วจะดูเหมือนเด็กกำลังยืนกระมิดกระเมี้ยนเขินอายอยู่นั่นเอง

   เซเอลเห็นดังนั้นจึงก้มลงไปอุ้มขึ้นมานั่งตักด้วยตนเอง

   “สบายกว่าหรือไม่?”

   วาลเซอิคพยักหน้าอย่างเก้ ๆ กัง ๆ รู้สึกเกร็งจนไม่รู้จะทำอย่างไร ยิ่งบุคลิกของเซเอลนั้นดูสูงส่งยากจะเอื้อมถึงในหมู่ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ด้วยแล้ว หากทำอะไรผิดพลาดไปเขาอาจจะถูกดุด่าเอาก็ได้ จากที่ควรจะกินได้สะดวกขึ้นจึงกลายเป็นทำได้ลำบากยิ่งกว่าเดิม กระนั้นเซเอลก็คล้ายจะมีความอดทนสูงพอตัว ถึงแม้วาลเซอิคจะทำอะไรชักช้าเขาก็ไม่ได้พูดเร่งแม้แต่คำเดียว กลับกัน เขากำลังคิดอยู่ว่าจะหาเรื่องใดมาพูดคุยเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียดที่ตนเองสร้างขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

   “เจ้าเคยถามใช่หรือไม่ว่าข้ารู้ชื่อของเจ้าได้อย่างไร”

   เด็กชายเอี้ยวคอมองอีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า

   ดวงตาสีแดงเลือดสะท้อนความอ่อนโยนออกมาชั่วขณะหนึ่ง

   “ในชื่อของเจ้ามีข้าอยู่ นางเป็นคนบอกกับข้าว่าหากเจ้าเกิดจะตั้งชื่อนี้ให้” เขาหวนกลับไปคิดถึงความทรงจำในช่วงเวลานั้น หญิงสาวที่ทำให้หัวใจอันเย็นชาสั่นไหวด้วยความรู้สึกที่แสนแปลกประหลาด “และนางก็ไม่ทันได้คิดชื่ออื่นไว้ข้าจึงตั้งชื่อนี้ให้เมื่อพบเจ้าในกองไฟ”

   กองไฟ?

   วาลเซอิคคิดทวนคำในใจ

   “....ข้ามีแผลเป็นแปลก ๆ อยู่ ตากับยายบอกว่าข้าเคยตกลงไปในกองไฟสมัยจำความไม่ได้” เพราะรอยแผลเป็นนั้นทำให้เขาไม่เคยถอดเสื้อให้ใครเห็นเลยเพราะตากับยายกลัวว่าเขาจะถูกพวกเพื่อน ๆ ล้อเลียน “ท่าน....เป็นคนช่วยข้าไว้หรือ?”

   “จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิด” เซเอลตอบ เขาไม่แปลกใจที่เด็กคนนี้จะมีแผลเป็นเพราะในตอนนั้นเปลวไฟไหม้ลามจนลุกไหม้ผิวเนื้อ ด้วยฐานะทางบ้านของสองตายายคงไม่สามารถให้การรักษาพยาบาลจนกระทั่งไม่มีบาดแผลใด ๆ หลงเหลืออยู่ได้

   “แล้วตอนนั้น...พ่อกับแม่...”

   “.....พวกเขาไม่อยู่”

   ดวงตาของวาลเซอิคหมองลงเล็กน้อย ด้วยจิตใจของเด็ก ย่อมอยากจะรู้จักพ่อแม่ของตนเอง เมื่อเขาเห็นคนอื่นมีพ่อแม่ก็รู้สึกอิจฉาและกลับมาถามตากับยายทุกครั้ง แต่ทั้งสองก็ตอบเลี่ยง ๆ เหมือนไม่อยากจะพูดถึงมัน ความจริง...เขาคงจะเป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่ทิ้งแน่ ๆ

   ท่าทางหดหู่ของวาลเซอิคทำให้เซเอลถอนหายใจออกมา

   “รีบกินให้หมดเสีย แล้วข้าจะพาไปดูส่วนอื่น ๆ ของปราสาท” เขาตัดสินใจหยุดพูดเรื่องนั้นแล้วปล่อยให้เด็กชายได้กินอาหารเงียบ ๆ

----------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่2 [12/10/12]
«ตอบ #22 เมื่อ12-10-2012 20:42:19 »

   ปราสาทหลังกว้างที่ไม่มีแสงสว่างจากภายนอกลอดผ่านเข้ามาทำให้วาลเซอิคต้องถือเชิงเทียนติดมือไว้เสมอ เซเอลเดินนำเด็กชายไปที่ห้องต่าง ๆ ในส่วนที่เจ้าตัวน่าจะมีโอกาสได้ใช้งาน อย่างเช่นห้องหนังสือ ทางเดินลงไปที่สวนด้านล่าง และห้องนั่นเล่นซึ่งคัลดิช คัลมาร์ กับอาร์วิน่ากำลังพักผ่อนสนทนากันอยู่ เมื่อวาลเซอิคเดินเข้าไป เสียงของการพูดคุยก็ชะงักกะทันหัน

   “พวกเจ้าอยู่พร้อมหน้าก็ดีแล้ว” เซเอลเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง “จะได้แนะนำตัวกันเสียที”

   “นั่นสินะ จะว่าไปพวกเรายังไม่ได้แนะนำตัวให้รู้จักเลย” คัลมาร์เดินไปจูงวาลเซอิคมานั่งบนโซฟายาวที่ตนเองนั่งอยู่เมื่อครู่ “ข้าคัลมาร์ ส่วนนี่ฝาแฝดข้าชื่อคัลดิช ปกติพวกเราจะมีหน้าที่ออกไปล่าสัตว์ดังนั้นเจ้าอาจจะไม่เจอพวกเราในบางเวลา”

   “กระต่ายที่เจ้าเพิ่งกินไปก็ฝีมือพวกเราจับนั่นแหละ” คัลดิชเสริมแล้วไหวไหล่ เจ้าตัวมีบุคลิกที่ห่างเหินกว่าคัลมาร์แต่ก็ไม่ได้ดูมีพิษภัยมากนัก วาลเซอิคสามารถแยกทั้งสองออกจากกันได้ในทันทีด้วยบุคลิกที่ต่างกันจนเห็นได้ชัดนี้แม้จะมีใบหน้าเหมือนกันมากก็ตาม

   “ส่วนอาร์วิน่ากับนายท่านเจ้าคงรู้จักแล้ว”

   วาลเซอิคมองไปทางหญิงสาวผมแดงที่ใบหน้าบอกบุญไม่รับแทบตลอดเวลาก่อนเลื่อนสายตาไปทางชายหนุ่มผมเงินที่นำทางคนมาถึงที่นี่

   “ข้ามีหน้าที่คอยดูแลเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นี่ ดังนั้นถ้าเจ้ามีปัญหาอะไรก็บอกข้าได้ทุกเรื่อง” อาร์วิน่าแนะนำหน้าที่ตัวเอง ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นหน้าที่ของผู้หญิงธรรมดาแต่ในความเป็นจริงแล้วเธอมีหน้าที่คอยดูแลบริเวณรอบ ๆ อาณาเขตปราสาทว่ามีมนุษย์กล้ำกรายเข้ามาหรือไม่ กระนั้นสถานที่นี้ก็เป็นที่รู้กันว่าเป็นแดนต้องสาปทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้มานานแสนนานแล้ว

   “แล้วข้า...?”

   “เจ้ารอโตกว่านี้อีกสักหน่อยก็แล้วกัน” เซเอลตอบ เด็กมนุษย์นั้นอ่อนแอเกินกว่าจะใช้งานได้แต่แรกเริ่ม “ระหว่างนี้เจ้าก็อยู่กับข้าที่นี่จนกว่าจะถึงเวลานั้น”

   ข้อกำหนดที่วาลเซอิคอยู่ที่นี่นั้นข้อสำคัญที่สุดคือพวกเขาไม่ต้องการให้เด็กคนนี้ข้องเกี่ยวกับมนุษย์อีก ด้วยเหตุนี้ วาลเซอิคจึงเสมือนถูกกักขังไว้ในปราสาท

   แต่การอยู่อาศัยของวาลเซอิคก็ไม่ได้ยากลำบากอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก อาจเพราะยังเด็กจึงสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งต่าง ๆ ได้ง่าย เพียงไม่นาน จากความกลัวก็ค่อย ๆ กลายเป็นความคุ้นเคย โดยเฉพาะกับฝาแฝดคัลดิชและคัลมาร์ที่เป็นผู้ชายด้วยกันและมีนิสัยซุกซนอยู่แล้วจึงหาเรื่องละเล่นแปลก ๆ อยู่เสมอ คนที่มีปัญหากับเรื่องนี้ที่สุดเห็นจะเป็นอาร์วิน่าที่เป็นเป้าหมายการเล่นซนของทั้งสามคน ถึงแม้เธอจะอาละวาดรุนแรงแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ด้วยกันนานไปนิสัยขี้โวยวายและโมโหง่ายของเธอก็กลับกลายเป็นเรื่องสนุกมากกว่าน่ากลัว

   ส่วนเซเอล...ซึ่งเป็นใหญ่ที่สุดในที่นี้และเป็นคนเดียวที่ไม่มีใครกล้าต่อกรด้วย มักจะมองดูทุกสิ่งอยู่ห่าง ๆ โดยไม่เอาตนเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เหล่านั้น หลาย ๆ ครั้งที่เขาเฝ้ามองวาลเซอิคด้วยสายตาซึ่งแอบแฝงความรู้สึกอันลึกซึ้งต่อเค้าลางบางอย่างที่เขาเห็นบนใบหน้าของเด็กคนนี้

   และสายตานั้นก็ปรากฏให้วาลเซอิคเห็นอยู่เนือง ๆ ในเวลาที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว

   ความรู้สึกพิเศษที่ถ่ายทอดผ่านดวงตาคู่นั้นเสมือนดึงดูดให้เด็กชายพาตนเองเข้าไปหาอีกฝ่ายโดยไม่รู้เหตุผล แต่เมื่อรู้ตัวกันอีกครั้ง วาลเซอิคก็กลายเป็นคนที่ใกล้ชิดเซเอลที่สุดในหมู่ผู้อาศัยในปราสาทไปเสียแล้ว

------------------------------>

   แต่เด็กมนุษย์ก็ย่อมเติบโตตามกาลเวลา พออายุได้สิบปีเซเอลก็ให้คัลดิชและคัลมาร์พาออกไปฝึกล่าสัตว์เพื่อหาอาหารให้ตนเอง ในช่วงเวลานั้นวาลเซอิคไม่ได้นึกสงสัยเลยว่าเหตุใดตนจึงเป็นผู้เดียวที่กินของเหล่านี้ส่วนคนอื่น ๆ ต้องการเพียงเลือดของสัตว์ที่ล่าได้

   ปัญหาที่แท้จริงนั้นเริ่มปรากฏขึ้นเมื่อวาลเซอิคอายุสิบสามปี....

   เมื่อในวันหนึ่งเจ้าตัวไม่ยอมลุกจากเตียงไม่ว่าใครจะเข้าไปปลุกก็ตาม

   “เริ่มเข้าวัยต่อต้านหรือยังไงกันนะ” อาร์วิน่าบ่นอุบเพราะเธอเป็นคนแรกที่เข้าไปและวาลเซอิคก็ซุกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม ปฏิเสธไม่ยอมออกมาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

   “แต่เมื่อวานก็ยังปกติดีอยู่นี่?” ดัลดิชว่า เมื่อวานนี้เจ้าตัวก็ออกไปด้วยกันกับพวกเขาตามปกติไม่ได้แสดงอาการแปลก ๆ อะไรออกมาเลย

   “มนุษย์นี่เดี๋ยว ๆ ก็เปลี่ยนแปลงกันง่ายจริง พวกเราเริ่มจะตามไม่ทันแล้วสิ” คัลมาร์แสดงสีหน้าหนักใจขณะเดินออกมาเมื่อความพยายามอีกครั้งล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง วาลเซอิคไม่ยอมพูดกับเขาสักคำ ไม่ยอมแม้แต่จะโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มให้เขาเห็น

   “ยังไงก็ต้องลากออกมาให้ได้นั่นแหละ ก่อนที่นายท่านจะ.....” อาร์วิน่าพูดยังไม่ทับจบประโยคริมฝีปากของเธอก็อ้าค้างอยู่อย่างนั้นเมื่อสายตาเลื่อนไปเห็นเซเอลที่มายืนอยู่ด้านหลังคัลดิชตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้

   “ข้าทำไมหรือ?”

   หญิงสาวหันไปมองหน้าสองแฝดเหมือนผลักภาระให้พูดแทนทันที ซึ่งทั้งสองก็มองหน้ากันไปมาก่อนที่คัลดิชจะตัดสินใจเป็นคนพูด

   “วาลเซอิค...ไม่รู้ว่าเป็นอะไร พวกเราเข้าไปเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมลุกจากเตียง พวกเราเลยกำลังปรึกษากันว่าจะเอายังไงดี”

   เซเอลฟังแล้วก็มองเข้าไปในห้อง เห็นเด็กชายที่ขดตัวนิ่งใต้ผ้าห่มเหมือนกำลังพยายามซุกซ่อนตัวเองจากบุคคลอื่น

   “เมื่อวานนี้มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่?”

   ทั้งสามมองหน้ากันก่อนจะพร้อมใจส่ายศีรษะ สีหน้าของแต่ละคนบ่งบอกว่าต่างก็ไม่รู้สาเหตุและไม่มีกระทั่งเหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้รู้สึกเอะใจ เซเอลจึงสรุปในใจว่าถึงจะถามทั้งสามต่อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องด้วยตนเองโดยมีคัลดิช คัลมาร์ และอาร์วิน่ามองสังเกตการณ์อยู่ข้างนอกเพื่อดูว่าเจ้านายของพวกเขาจะทำได้สำเร็จหรือไม่

   เสียงฝีเท้าที่คืบเข้าใกล้เตียงทำให้ร่างใต้ผ้าห่มเกิดการเคลื่อนไหวเล็กน้อยก่อนจะสงบนิ่งเช่นเดิม เซเอลค่อย ๆ แตะมือลงบนบริเวณที่น่าจะเป็นไหล่ ทันใดนั้นร่างข้างใต้ก็ผวาเฮือกและขยับตัวหนีทั้งที่ไม่ยอมปล่อยผ้าห่มผืนหนา กลับกัน วาลเซอิคยิ่งดึงมันแน่นกว่าเดิมเสียอีก

   “เจ้าเป็นอะไรไป?” เซเอลเอ่ยถามพลางมุ่นคิ้ว “เจ้าจงใจหลบหน้าอย่างนี้คิดว่าจะซ่อนตัวเองอยู่ใต้ผ้าห่มได้จนถึงเมื่อไหร่กัน”

   ....

   ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ จากร่างบนเตียง

   “ตามใจเจ้าก็แล้วกัน” ว่าแล้ว เซเอลก็หย่อนตัวนั่งลงบนเตียง ซึ่งเป็นเสมือนการแข่งความอดทนระหว่างเขาและวางเซอิคกลาย ๆ ว่าใครจะหมดความอดทนยอมล่าถอยก่อนกัน ซึ่งหากเทียบกันแล้ว เซเอลถือว่าเป็นคนที่มีความอดทนสูงมากกับการอยู่นิ่ง ๆ เขาสามารถนั่งอยู่เฉย ๆ ได้เป็นชั่วโมงโดยไม่ขยับไปไหนเลย ในขณะที่วาลเซอิคอยู่ในสถานภาพที่เสียเปรียบเพราะซุกใต้ผ้าห่มจึงแทบไม่มีอากาศหายใจ และเจ้าตัวก็เริ่มหิวแล้ว ทำให้การแข่งขันความอดทนของทั้งสองใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง วาลเซอิคก็พูดเสียงแผ่วให้เพียงตนเองและอีกฝ่ายได้ยิน

   “ถ้าท่าน...สัญญาว่าจะไม่บอกใคร....”

   เซเอลกลอกตาเล็กน้อยก่อนจะเปล่งเสียงรับคำในคอ

   “อย่าหัวเราะด้วย...”

   เขาส่งเสียงในคออีกครั้งแล้วทำสัญญาณมือให้ทั้งสามคนด้านนอกไปทำธุระของตัวเอง แม้ว่าอาร์วิน่าและฝาแฝดจะสงสัยว่าวาลเซอิคเป็นอะไร แต่เมื่อเซเอลสั่งให้ออกไปแปลว่าเด็กคนนั้นคงไม่อยากให้พวกเขารับรู้ด้วย จึงปิดประตูลงและแยกย้ายไปหาอะไรทำ

   “ว่ามาสิ ข้ากำลังฟัง” เซเอลกระตุ้นให้อีกฝ่ายยอมพูดออกมาหลังจากห้องนี้เหลือแต่พวกเขาแค่สองคน

   วาลเซอิคค่อย ๆ เลื่อนผ้าห่มให้พ้นใบหน้า แก้มของเขาแดงเรื่อไปด้วยเลือดฝาดซึ่งไม่ใช่เพียงเพราะร้อนและกลั้นหายใจใต้ผ้าห่มเป็นแน่

   “ข้า.....ฝันถึงใครบางคน....”

   ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

   เซเอลคิดในใจ สมองคนเราคิดถึงคนได้มากมาย บางครั้งก็เก็บเอามาฝันได้ มันดูไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้อีกฝ่ายอยากหลบหน้าคนอื่นถึงขนาดนี้

   “แล้วก็มีบางอย่างเกิดขึ้น....” วาลเซอิคเล่าความตะกุกตะกัก ดูไม่ปะติดปะต่อสักเท่าไหร่ “แล้ว....แล้วข้าก็ตื่นขึ้นมา...”

   “เจ้าฝันร้ายหรือ?”

   วาลเซอิคส่ายศีรษะแรง

   “ก็....ไม่เชิง...” พร้อมกับที่พูดเช่นนั้น ริ้วแดงที่แก้มก็ลากไปถึงใบหู

   “แล้วมันยังไงกัน?” เซเอลมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย เพราะพูดวนไปวนมาแล้วเขาก็ยังจับใจความไม่ได้ว่าเหตุใดวาลเซอิคจึงต้องซุกตัวเองใต้ผ้าห่มไม่ยอมให้ใครเห็นหน้า

   “ค...คือว่า......” สีหน้าวาลเซอิคเหมือนกำลังอับอายอย่างมาก แต่เมื่อเป็นเซเอล...คงจะทำความเข้าใจเขาอย่างเงียบ ๆ และไม่หัวเราะเยาะ พอคิดแบบนั้นวาลเซอิคจึงกลั้นใจตลบผ้าห่มออก เปิดเผยสิ่งที่ตนเองซ่อนเร้นเอาไว้ให้อีกฝ่ายได้เห็นโดยไม่ต้องพูดอะไรให้มากความอีก

   เมื่อผ้าห่มถูกตลบออกไป เซเอลก็มองทั่วตัวอีกฝ่ายก่อนจะสะดุดตากับบางสิ่งบางอย่าง

   รอยจ้ำชื้นปรากฏอย่างชัดเจนที่เป้ากางเกงนอนสีขาว....

------------------>

   “ฝันเปียก?” คัลดิชและคัลมาร์ทวนคำพร้อมกันเมื่อเซเอลนำเรื่องทั้งหมดมาเล่าให้ฟัง

   “จะว่าไปมันก็เคยมีเรื่องแบบนั้นอยู่สินะ” คัลมาร์หันไปมองแฝดตนเอง แต่เพราะพวกเขาห่างไกลจากช่วงเวลาที่เคยเป็นมนุษย์มานานแล้ว เรื่องเหล่านี้จึงดูจะเกินจินตนาการไปสักหน่อย “แล้ววาลเซอิคเป็นยังไงบ้าง? เขาคงจะตกใจน่าดู”

   “หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ออกไปในป่าโดยไม่มองหน้าข้าเลย” เซเอลถอนหายใจ

   “หวังว่าคงไม่ใช่อาร์วิน่าหรอกนะ” คัลดิชตีสีหน้าเคร่งเครียด หากพูดตรง ๆ มันค่อนไปทางหวาดกลัวเสียมากกว่า

   “ทำไมหรือ?” คัลมาร์เลิกคิ้ว

   “ก็....ตอนฝันเปียกจะฝันถึงใครบางคนไม่ใช่หรือ? แล้วในพวกเราทั้งหมด อาร์วิน่าเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เจ้าเด็กนั่นรู้จักมักคุ้น”

   หลังฟังเหตุผล สีหน้าคัลมาร์ก็ไม่ต่างจากแฝดของตนเองมากนัก

   “หวังว่านางจะไม่รู้นะ....”

   ในขณะที่กำลังรำพึงเช่นนั้น อาร์วิน่าก็เปิดประตูเข้ามาพอดี ทำให้สองฝาแฝดสะดุ้งเฮือกแบบคนมีชนักติดหลังและต่างคนต่างก็หลบตาหญิงสาวเป็นพัลวันจนผิดสังเกต กระนั้นอาร์วิน่าก็ไม่อยู่ในอารมณ์มานั่งจับผิดทั้งสองคนในเวลานี้

   “เด็กของท่านท่าทางจะมีปัญหาจริง ๆ นั่นแหละ” เธอว่าแล้วกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกตัวที่เหลืออยู่ “ข้าอุตส่าห์ตามไปถามว่ามีอะไร เจ้าเด็กบ้าก็เอาแต่พูดว่าไม่มี ๆ แล้วทำเป็นเดินตามสัตว์ป่า ดูยังไงก็เหมือนหนีหน้าข้าอยู่ชัด ๆ”

   สองแฝดมองหน้ากันและหันไปมองเซเอลที่ยังคงตีหน้าสงบนิ่งอย่างแนบเนียน แต่ในใจของแต่ละคนก็คงกำลังคิดเหมือนกันว่าเรื่องที่คุยกันเมื่อครู่ไม่ควรเข้าหูอาร์วิน่าอย่างยิ่ง หากอยากให้วาลเซอิคมีชีวิตอยู่จนแก่ตายอย่างสงบในปราสาทหลังนี้

   แต่แล้วอยู่ ๆ ก็เหมือนเซเอลคิดอะไรออก

   “บางทีวันนี้วาลเซอิคอาจจะกลับมาค่ำ ๆ พอเขากลับมากินอาหารเรียบร้อยแล้วก็บอกให้มาหาข้าด้วย”

   “ท่านคิดจะทำอะไรหรือ?” อาร์วิน่าเอ่ยถามพลางมุ่นคิ้ว บนใบหน้าของชายหนุ่มฝาแฝดก็มีคำถามแบบเดียวกันปรากฏอยู่

   “เอาเถอะ ข้ามีวิธีก็แล้วกัน”

TBC

ออฟไลน์ k00_eng^^

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 647
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่2 [12/10/12]
«ตอบ #23 เมื่อ12-10-2012 22:10:27 »

คนในฝันอาจจะเป็นเซเอลก็ได้นะ

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่2 [12/10/12]
«ตอบ #24 เมื่อ12-10-2012 22:29:24 »

แต่ละคนดูวุ่นวาย

และน่ารักแบบแปลกๆ

5555

ออฟไลน์ ตัวเลข

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่2 [12/10/12]
«ตอบ #25 เมื่อ12-10-2012 22:36:25 »

เซเอลจะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไรนะ

 o13 o13

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่2 [12/10/12]
«ตอบ #26 เมื่อ12-10-2012 23:18:06 »

ฮ่าๆ
คือแบบ ไม่รู้จะบรรยายว่ายังไง
แต่น่ารักมากเลยค่ะ ฮ่าๆ
รอมาต่อนะคะ

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่2 [12/10/12]
«ตอบ #27 เมื่อ12-10-2012 23:31:19 »

เรื่องนี้น่ารักจังเลย เรื่อยๆเพลินๆ วาลเซอิคก็น่าฟัด (/me โดนเซเอลกัดคอ)
เซเอลจะแก้ปัญหาอย่างไรหนอ ลุ้นๆ
ว่าแต่ว่าวาลเซอิคเป็นลูกชายของผู้หญิงที่เซเอลหลงรักใช่ม่ะ ดังนั้นความรู้สึกของเซเอลต่อวาลเซอิคก็อาจจะเป็นเพราะคิดถึงผู้หญิงคนรนั้นก็ได้ล่ะมั้ง ก็ต้องลุ้นกันต่อไป 

มาอัพไวมากเลย ขอบคุณค่า ^^
ปอลิง ชอบเจ๊อาร์วิน่ามากๆอ่ะ แต่โดนผู้ชายรุมแกล้งแอบเห็นใจเบาๆ  :laugh:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-10-2012 23:36:21 โดย ratnalin »

ออฟไลน์ Ali$a฿eth

  • [จิ้น]ตนการ
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่2 [12/10/12]
«ตอบ #28 เมื่อ13-10-2012 00:51:27 »

ดีใจค่าที่ไม่โชตะ

แสดงว่ามีภาคต้นภาคปลาย อุ๊ อู๊ว


เราว่าฝันถึงเซเอลมากก่านะคิคิ

เอ๊รึอาจจะไม่ ตอนนี้ยังแค่13เองนะ น่าจะยังไม่รู้ คิคิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2012 03:08:22 โดย Ali$a฿eth »

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่2 [12/10/12]
«ตอบ #29 เมื่อ13-10-2012 16:09:22 »


his  first  time !!!

+ duck

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด