the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)  (อ่าน 68696 ครั้ง)

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
อ่านซะด้วย ตามนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-07-2013 13:45:12 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
อ่านตรงนี้กันก่อน

นิยายเรื่องนี้ เป็นเรื่องยาวนะครับ

เหตุการณ์ทุกอย่าง ตัวละครทุกตัว สมมตติขึ้น สถานที่อาจจะมีตามความจริงบ้าง อ่านเอามันแล้วกัน อย่าไปจับผิดมันมาก

ผมจะอัพวันที่ ที่อัพนิยายกับหมายเลขตอนให้ทุกครั้ง แต่ถ้าหากหลงๆ ลืมๆ อัพวันที่ของเวลาสวีเดนไปบ้าง ก็อย่าถือสานะครับ ท้วงได้ว่า "เฮ้ย ไอ้ต้น วันที่มึงผิดป่าววะ"​ ไรงี้ จะมาแก้ให้

นิยายเรื่องนี้ เป็นแนวผู้ใหญ่นะ ไม่ใช่วัยรุ่นหรือเด็กๆ มัธยมแบบที่ปกติจะแต่ง แต่น่าจะมีกลิ่นอายของ "กระดานดำหลังรั้วโรงเรียนชาย"​ อยู่บ้างไม่มากก็น้อย และตามสไตล์ของผม อาจจะมีตัวละครจากเรื่องเก่าๆ โผล่มานั่นนี่ คงจะพอทำให้หายคิดถึงกันไปได้บ้างเนอะ

อีกอย่าง เรื่องนี้ผมก็จะพยายามแต่งให้มีจุดต่างจากเรื่องอื่นๆ ไปอีก เพราะงั้น ช่วยกันคอมเมนท์ ติชม แนะนำกันหน่อยนะครับ

ไม่มีไรจะบอกมากละ แต่งมาก็หลายเรื่อง เอาเป็นว่า ติดตาม พูดคุย สอบถาม ข่าวสารของนิยายผม และรูปวาด รูปถ่าย ของกิน ฯลฯ ได้ที่แฟนเพจครับ

https://www.facebook.com/ExecutionerNovel

list นิยายเก่าๆ ดูได้จาก note ในเพจหรือ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=36869.0

..........................................................................

ตอน 1+2
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2013 17:11:54 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 1

ผมตื่นขึ้นและพลิกตัวไปหรี่ตามองนาฬิกาบนโต๊ะหัวเตียง หกโมงห้าสิบนาที ผมเหวี่ยงแขนขึ้นกดปุ่มปิดนาฬิกาปลุกลงก่อนที่มันจะดังขึ้น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมตั้งมันไว้ทำไมตั้งแต่แรก ในเมื่อผมแทบไม่เคยนอนนานพอที่จะได้ยินเสียงมันปลุกก่อนที่ตัวเองจะตื่นเลยสักครั้ง ผมพลิกตัวกลับมานอนหงายและลืมตามองดูเพดานห้องอยู่ครู่หนึ่ง วันใหม่มาถึงเหมือนกับเมื่อวันก่อนๆ ที่เพิ่งผ่านไป ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่การที่เป็นแบบนี้ก็ไม่ถือว่าแย่เสียทีเดียว ที่จริงแล้วในแต่ละวันก็เรื่องดีๆ เกิดขึ้นอยู่บ้าง โดยเฉพาะสิ่งๆ หนึ่งที่ทำให้ทุกวันของผมเป็นวันที่พิเศษอยู่เสมอ

แค่การนึกถึงเขาขึ้นมาก็ทำให้ผมยิ้มได้แล้วทุกครั้ง เขาคือคนที่ทำให้ผมมีรอยยิ้มแบบนี้ได้ในทุกเช้า และสามารถผ่านพ้นชีวิตในแต่ละวันไปได้อย่างเข้มแข็ง

ผมได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ดังมาจากอีกฟากหนึ่งของห้อง ผมว่าเขาต้องรู้แน่ๆ เลยว่าผมกำลังนอนคิดถึงเขาอยู่ ผมลุกออกจากเตียง เดินตรงไปที่เปล และก้มมองดูเด็กผู้ชายที่น่ารักที่สุดในโลก เขายิ้มให้ผมและชูแขนทั้งสองข้างขึ้น ผมตอบรับด้วยการอุ้มเขาขึ้นมา พาเดินกลับไปที่เตียง แล้วเอนเขาลงนอนคว่ำบนแผ่นอกของผม

“อรุณสวัสดิ์ครับ ตัวเล็ก วันนี้เป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย”

น้ำหัวเราะคิกคักอีกครั้งอย่างอารมณ์ดี เขาคว้าร่างกายของผมราวกับพยายามที่จะสวมกอดพ่อของเขาด้วยแขนเล็กๆ คู่นั้น ผมกอดเขา ลูบหัวเขาเบาๆ และฮัมเพลงเบาๆ ให้เขาฟัง นี่คือสิ่งที่ผมชอบทำที่สุดของวัน ผมรักเขามาก และรู้ว่าเขาก็รักผมมากเช่นกัน มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่คุณสามารถรับรู้ได้ด้วยแค่เพียงการมองดวงตากลมโตคู่นั้นกับการได้เห็นรอยยิ้มของเขา เขามอบความเข้มแข็งให้แก่ผม มอบกำลังใจที่ทำให้ผมสามารถลุกออกจากเตียงไปทำงานในทุกๆ เช้า ผมไม่อยากนึกเลยว่าชีวิตของผมจะเป็นอย่างไรถ้าหากว่าไม่มีเด็กคนนี้อยู่ข้างกาย

ผมผงกหัวขึ้นจนคางเกยอยู่บนหน้าอกแล้วมองหน้าเขา เขามองตอบกลับเข้ามายังดวงตาของผม เราสองคนพ่อลูกมีโครงหน้าแบบเดียวกัน มีจมูกเหมือนกัน และมีลักยิ้มที่มุมปากด้านซ้ายเหมือนกัน แต่เขาได้ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มมาจากฟ้า แม่ของเขา

แค่คิดถึงฟ้าขึ้นมา มันก็ทำให้ผมรู้สึกหดหู่ได้อีกครั้ง... ผมคงไม่มีวันลืมเธอได้เลย

ฟ้ากับผมเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเด็ก เราเคยมีบ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามกันก่อนที่ผมจะย้ายไปเมื่อตอนที่ผมขึ้นมัธยมปลาย ทำให้เราต้องห่างกันไปราวๆ เกือบหนึ่งปี ซึ่งช่วงนั้น ผมเองก็เคยมีปัญหาที่ต้องต่อสู้กับตัวเองและไม่รู้จะปรึกษาใครอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อผมได้กลับมาคุยกับฟ้าอีกครั้ง ความสับสนและความกังวลที่เคยมีก็หายไปจนหมด เราสองคนเข้ากันได้ดี เป็นทั้งเพื่อนที่ดีและคนรู้ใจ จนในที่สุดเราก็ตกลงคบกันตอนเข้ามหาวิทยาลัย ทุกๆ คนต่างก็คิดว่าหลังจากที่เรียนจบแล้วเราจะแต่งงานกันทันที ซึ่งก็เกือบถูก เพราะเมื่อผมเรียนจบปริญญาตรีภายในเวลาเพียงสามปีครึ่งและทำงานอยู่ที่ประเทศไทยสักพัก ผมก็ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศอีกหนึ่งปีทันที ซึ่งพอผมกลับมาที่ไทยก็เป็นช่วงหลังจากฟ้าเรียนจบได้ไม่นาน

หลังจากที่เราแต่งงานกันและพยายามกันอยู่หลายครั้ง เราก็มีเจ้าตัวเล็กขึ้นจนได้ ฟ้าตั้งชื่อให้ลูกของเราว่า ‘อากาศดี’ โดยได้มาจากชื่อของเราสองคน ‘วันหนึ่ง’ และ ‘ศิรินภา’ ส่วนผมตั้งชื่อเล่นของเขาว่า ‘น้ำ’ เพราะอยากจะให้คล้องจองกับชื่อเล่นของฟ้านั่นเอง

ช่วงเดือนท้ายๆ ของการตั้งครรถ์ ความดันเลือดของฟ้าขึ้นสูงเป็นประจำ และเธอก็มักจะบ่นปวดหัวอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่มีอะไรร้ายแรงจนน่าเป็นห่วง ในช่วงระหว่างทำคลอด ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี น้ำออกมาลืมตาดูโลกด้วยร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ฟ้าได้อุ้มลูกชายของเราเปณเวลาช่วงสั้นๆ ในขณะที่ผมทำหน้าที่ตัดสายสะดือ แต่หลังจากที่พยาบาลพาลูกของเราไปทำความสะอาด ฟ้าก็เริ่มชักอย่างรุนแรง ผมมารู้ทีหลังจากหมอว่ามันคืออาการที่เรียกว่าโรคพิษครรถ์ระยะชักหรือครรถ์เป็นพิษ ตอนนั้นผมตกใจมาก ทั้งหมอและพยาบาลต่างก็วิ่งกันวุ่นวายพยายามช่วยเหลือฟ้า แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที ฟ้าก็สลบไปและต้องนอนอยู่ในสภาพโคม่า ซึ่งหลังจากนั้นอาการของเธอก็ไม่ดีขึ้นอีกเลย หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ตับและไตของเธอก็เริ่มวายและหยุดทำงาน แล้วในที่สุดฟ้าก็จากพวกเราไปตลอดกาล ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ผมรู้สึกสูญเสียและเศร้าโศกแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมต้องเสียทั้งเพื่อนรักและผู้หญิงที่ผมรักเพียงคนเดียวในชีวิตของผมไปอย่างไม่มีวันได้คืนกลับมา

“น้ำ...” ผมกระซิบ ในขณะที่รู้สึกว่าน้ำตาเริ่มไหลมาคลออยู่ที่ขอบตาทั้งสองข้าง “ถ้าแม่เค้ายังอยู่ตรงนี้ก็คงดีเนอะ พ่ออยากให้แม่เราเค้าได้เห็นรอยยิ้มของหนูเหมือนที่พ่อเห็นอยู่นี่จริงๆ เลยครับ...”

และตอนนั้นเองที่ประตูห้องนอนของผมก็ถูกเปิดออก แม่เดินจ้ำเข้ามายืนเท้าเอวอยู่ปลายเตียง

“แม่ครับบบบ หนึ่งบอกแม่กี่ครั้งแล้วว่าอย่างน้อยก็เคาะประตูหน่อยได้มั้ย” ผมโอดครวญ

“แล้วอาจจะทำให้อากาศดีตื่นน่ะเหรอ” แม่ชอบที่จะเรียกหลานคนนี้ด้วยชื่อจริงเป็นที่สุด “แล้วทำไมแกนอนแก้ผ้าอยู่อย่างนั้นล่ะ หนึ่ง เอาเด็กมานอนบนเตียงเดียวกับแกมันไม่ดีนะ รู้มั้ย ยิ่งพ่อของมันนอนแก้ผ้าล่อนจ้อนแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่ น่าเกลียดจริงเชียว”

“แม่ครับ หนึ่งไม่ได้แก้ผ้าสักหน่อย หนึ่งใส่บ็อกเซอร์อยู่ และอีกอย่างหนึ่งเคยอ่านหนังสือเจอ เค้าบอกว่าการได้สัมผัสความอบอุ่นจากพ่อแม่ผ่านทางผิวหนังเนี่ย มันดีกับเด็กมากกว่านะครับ”

“อ๋อเหรอ แม่เลี้ยงลูกมาแล้วสามคน และแกยังต้องหาหนังสือมาอ่านว่าอะไรดีกับเด็กทารกอย่างนั้นเหรอยะ” แม่หรี่ตา “อยากรู้อะไรก็ถามแม่นี่สิ จะตอบให้หมดทุกอย่างเลย”

“ต่อให้หนึ่งไม่ถาม แม่ก็บอกหนึ่งอยู่ดีนั่นแหละ” ผมพูดเบาๆ

“ได้ยินนะคะ คุณวันหนึ่ง!” แม่เดินตรงเข้ามาข้างเตียงแล้วยื่นมือมาอุ้มน้ำไปจากอกผม “โอ๋ๆ มาหาย่านี่มา มาให้ย่าหอมแก้มหน่อย แหมมม วันนี้อารมณ์ดีเหรอลูก” แม่หอมแก้มหลานฟอดใหญ่ ในขณะที่เจ้าตัวเล็กก็เอาแต่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ

“พ่อล่ะครับ”

“อยู่ข้างล่างน่ะ กำลังเตรียมตัวจะออกไปกับพี่ชายแกนั่นแหละ”

“ไปที่ออฟฟิศเหรอครับ”

“ใช่แล้ว แล้วแกล่ะ วันนี้ต้องไปทำงานรึเปล่า”

ผมชันตัวขึ้นนั่ง “ไปครับ เข้าไปเคลียร์งานนิดหน่อย แต่บ่ายๆ ก็คงกลับแล้ว”

“ดีแล้วล่ะ แม่จะได้ดูแลลูกให้ แต่ก่อนอื่นแกรีบลุกไปอาบน้ำแล้วลงไปกินข้าวกินปลาได้ซะ เดี๋ยวจะสายนะ” แม่พูดพร้อมกับเดินอุ้มน้ำออกจากห้องไป

ครอบครัวของเราทำธุรกิจเกี่ยวกับการศึกษาต่อในต่างประเทศ บริษัทของเราทำหน้าที่เป็นเอเจนซี่ในการพานักเรียนไทยไปเรียนที่ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนซัมเมอร์ เรียนต่อ เรียนภาษา รวมทั้งการไปทำงานที่ต่างประเทศด้วย ซึ่งพ่อกับแม่และเพื่อนๆ ของพวกเขาอีก 2-3 คนเป็นคนร่วมกันก่อตั้งบริษัทขึ้นมาตั้งแต่พวกเรายังไม่เกิด และในปัจจุบันพี่ชายกับพี่สาวของผมก็ทำงานอยู่ที่นี่ด้วยกันทั้งคู่ เว้นก็แต่ผมแค่คนเดียวที่นอกคอกกว่าคนอื่น เพราะผมทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่สถาบันสอนภาษาแห่งหนึ่ง ซึ่งก็เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนทางธุรกิจของบริษัทของพ่อด้วยเหมือนกัน

หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินลงไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว คุยกับพ่ออยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งพี่ชายของผมมารับพ่อออกจากบ้านไป

“เอ้อ จะว่าไป เรื่องคอนโดแกว่าไงมั่งล่ะ” แม่ถามขึ้นในขณะที่กำลังเก็บจานบนโต๊ะอาหาร

“ใกล้เสร็จแล้วล่ะครับ จริงๆ ตอนแรกหลังจากเข้าออฟฟิศแล้วหนึ่งก็กะจะไปดูอยู่เหมือนกันว่าตบแต่งไปถึงไหนแล้ว” ผมตอบก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

“เฮ้ออ ไม่รู้แกจะไปอยู่ทำไมนะ ไอ้คอนดงคอนโดเนี่ย” แม่พึมพำเบาๆ

เอาอีกแล้ว...

“จริงๆ นะ แกจะไปอยู่กับลูกแค่สองคนแบบนั้นได้ยังไง แล้วตอนกลางวันใครจะดูแลอากาศดี ฟ้าก็ไม่อยู่แล้ว จริงๆ แม่ว่าแกน่าจะขายคอนโดทิ้งไปซะด้วยซ้ำ”

“แม่ครับ...”

“แม่รู้ว่าแกยังคิดถึงฟ้าอยู่ แต่...”

“แม่ครับ” ผมพูดดังขึ้นเล็กน้อย “หนึ่งไม่ได้จะไปอยู่ที่นั่นทันทีหรอกครับ ก็แค่ทำไว้เผื่อในอนาคต ดีกว่าปล่อยไว้เฉยๆ ไม่ใช่เหรอครับ พอน้ำโตแล้วหนึ่งก็อาจจะไปอยู่ที่นั่นหรืออาจจะแค่ไปๆ กลับๆ เท่านั้นเอง หนึ่งรู้ว่าหนึ่งไปอยู่ที่นั่นตอนนี้ไม่ได้หรอก เพราะหนึ่งก็ไม่อยากทิ้งน้ำไว้เป็นภาระพ่อกับแม่ด้วย”

“ภาระที่ไหนกัน ทุกวันนี้แกไปทำงาน แม่ก็ดูแลลูกแกให้ตลอดอยู่แล้ว”

“แม่ไม่เบื่อมั่งเหรอ หนึ่งโตจนอายุขนาดนี้แล้วยังอาศัยพ่อกับแม่อยู่เลยเนี่ย พี่ไม้กับพี่ดาวยังออกไปอยู่บ้านตัวเองกันแล้วเลย”

“แกพูดซะยังกับแกอายุสัก 40 แล้วนะคะ คุณวันหนึ่ง” แม่เดินมาหยิกแก้มผม “เพิ่งจะอายุ 25 ไม่ต้องมาทำเป็นอยากรีบหนีพ่อกับแม่ไปไหนนักหรอกย่ะ แล้วไม่ต้องเอาไอ้วัฒนธรรมของฝรั่งมาใช้กับแม่ด้วย อยู่กับแม่นานๆ นี่แหละ ดีแล้ว”

“หนึ่งรักแม่นะครับ” ผมยืนขึ้นแล้วหอมแก้มแม่

“ไปๆ ไปดูแลลูกไป เดี๋ยวแม่เก็บล้างก่อน แล้วตอนบ่ายๆ คุณตาคุณยายเค้าจะมาเยี่ยมหลานเค้าด้วยนะ”

“คุณตากับคุณยายจะมาเหรอครับ”

“ไม่ใช่ย่ะ ไม่ใช่ตากับยายแก แต่เป็นตากับยายของไอ้ตัวเล็กต่างหาก”

“อ๋อออ พ่อกับแม่ฟ้าจะมาเหรอ งั้นหนึ่งก็ไม่ได้เจอน่ะสิ”

“โอ๊ยยย บ้านเค้าอยู่เลยไปแค่นี้ จะเจอเมื่อไหร่ก็เจอได้น่า”

ถึงเมื่อตอนผมยังเด็ก ครอบครัวของเราจะย้ายบ้านไปรอบหนึ่ง แต่ตอนที่ผมกับฟ้าเรียนอยู่มหาวิทยาลัย พ่อกับแม่ของฟ้าก็ตัดสินใจมาซื้อบ้านอยู่ในหมู่บ้านใกล้ๆ กับพวกเราด้วย ทำให้เราสองครอบครัวกลับมาสนิทสนมกันเหมือนเดิม

“งั้นเดี๋ยวหนึ่งรีบไปออฟฟิศแล้วจะรีบกลับมานะครับ”

“อ้าว ไม่ไปคอนโดแล้วรึไง”

“นั่นก็ด้วยครับ แค่ไม่ได้พูดถึงเฉยๆ” ผมลุกออกจากโต๊ะกินข้าวแล้วเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น

เสียงหัวเราะเบาๆ ดังออกมาจากในเปลที่วางอยู่กลางบ้านราวกับเขารู้ว่าผมกำลังจะเดินไปหาอย่างนั้นแหละ

“ว่างายย คนเก่ง อารมณ์ดีเหรอครับ” ผมอุ้มน้ำขึ้นแล้วหอมแก้มเขาฟอดใหญ่ ทำให้เขายิ่งหัวเราะเสียงดังขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

น้ำเป็นเด็กที่อารมณ์ดีและเลี้ยงง่ายมาก แถมยังรู้จักที่จะอ้อนและเอาใจคนอื่นๆ อีกด้วย ถึงแม้ว่าจะอายุแค่ห้าเดือน แต่เขาก็รู้จักโปรยเสน่ห์จนทำให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างหลงมาแล้วนักต่อนัก ซึ่งครอบครัวผมทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าตรงนี้แหละ ที่เขาได้รับจากผมมาเต็มๆ เว้นแต่เสน่ห์ของผมนั้นมันได้จางหายไปจากผมหลายเดือนแล้ว

ผมไม่ใช่คนเจ้าชู้หรอก ตรงกันข้าม ถึงจะเป็นคนอารมณ์ดี แต่ปกติผมจะค่อนข้างเงียบๆ และพูดน้อยจนเกือบออกจะขี้อายด้วยซ้ำ แต่ก็ตรงนั้นอีกนั่นแหละที่คนอื่นต่างบอกว่าเป็นเสน่ห์ของผม ทำให้ใครก็ตามที่ได้อยู่ใกล้รู้สึกชอบ ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ตัวและไม่เคยเข้าใจเลยก็ตามว่าทำไม

“เดี๋ยวพ่อกลับมานะครับ ตัวเล็ก อยู่กับย่าไปก่อนนะ” ผมวางน้ำกลับลงในเปลเหมือนเดิม เขาส่งเสียงอืออาในลำคอตอบรับ

หลังจากนั้นผมก็ขับรถไปที่ออฟฟิศเพื่อรีบเคลียร์งานเอกสารที่เหลืออยู่ เหล่าพนักงานที่เคาน์เตอร์ต่างก็ยิ้มแย้มและกล่าวทักทายผมอย่างเป็นกันเอง วันเสาร์เป็นวันที่เรามีลูกค้ามากอย่างเคย ผมเดินผ่านทั้งผู้ใหญ่และวัยรุ่นหลายคนที่มาติดต่อเรื่องเรียน หรือไม่ก็มานั่งรอชั่วโมงเรียนของตัวเองตรงไปยังออฟฟิศที่อยู่ด้านหลัง โดยไม่ได้สนใจลูกค้าเหล่านั้นมากนัก ผมไม่ค่อยถนัดพูดโน้มน้าวใครให้มาสมัครเรียนกับสถาบันของเราสักเท่าไหร่ แต่ผมจะสามารถให้คำปรึกษาเรื่องการเรียนหรือการลงหลักสูตรที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ที่สนใจได้มากกว่า นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ผมสามารถทำงานด้านการตลาดได้ดี แต่เป็นพนักงานขายที่ไม่ได้เรื่องเลย

“พี่หนึ่งคะ ขอเวลาแป๊บนึงค่ะ” น้องเก๋ พนักงานใหม่ของเราที่อายุน้อยกว่าผมแค่เพียงหนึ่งปีรีบปรี่เข้ามาหาผม ก่อนที่ผมจะทันเดินไปถึงประตูออฟฟิศของตัวเอง

“อะไรเหรอครับ”

“พอดีมีน้องกลุ่มนึงเค้าสนใจจะเรียนคลาสสนทนา เพราะว่าอยากจะไปเรียนต่อเมืองนอกหรือไปเวิร์คแอนด์ทราเวิล อะไรประมาณนั้นอะค่ะ พี่หนึ่งอยากไปคุยกับน้องเค้าหน่อยมั้ยคะ”

“อ้าว แล้วคนอื่นๆ ล่ะ”

“พอดีพี่เอ๊ะไม่มา ส่วนพี่คนอื่นก็ติดคุยกับลูกค้าอยู่หมดเลยอะคะ แล้วเก๋เห็นว่าพี่น่าจะอธิบายเรื่องการไปเมืองนอกได้ดีกว่าด้วย ก็เลย...”

“โอเคๆ ได้ ไม่มีปัญหาครับ คนไหนล่ะ”

“ขอบคุณค่ะพี่ น้องเค้านั่งกันอยู่ข้างหน้า ตรงโต๊ะข้างๆ ชั้นวางหนังสือน่ะค่ะ” เก๋เดินนำผมกลับออกไปยังหน้าออฟฟิศอีกครั้ง

เมื่อผมไปถึงโต๊ะที่มีเด็กนักศึกษา 5 คนนั่งอยู่ พวกเขาก็ยกมือขึ้นไหว้ผม ผมแนะนำตัวเองแล้วก็ถามถึงจุดประสงค์ในการเรียนของเขา สิ่งที่เขาอยากจะทำ และอธิบายเรื่องที่สถาบันของเราร่วมมืออยู่กับบริษัทครอบครัวของผมสำหรับเรื่องการเป็นตัวแทนพานักเรียนไปต่างประเทศ แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไปหรอกนะว่าบริษัทนั้นเป็นของพ่อผมเอง พวกเขาแลดูสนใจและนั่งฟังประสบการณ์ที่ผมเคยไปต่างประเทศมาอย่างตั้งใจ

“แล้วนี่น้องจะไปเรียนภาษาที่นั่นกันหมดทุกคนเลยเหรอครับ” ผมถาม

“อ๋อ เปล่าค่ะ พวกหนูอะ จะไปกันแค่สองคน” เด็กผู้หญิงคนที่ดูกระตือรือร้นที่สุดในกลุ่มพูดขึ้น ก่อนจะหันไปชี้เพื่อนอีกสองคน

“ส่วนสองคนนี้มันว่าจะไปเวิร์คฯ น่ะค่ะ”

“อ้าว แล้วน้องล่ะ” ผมถามเด็กผู้ชายคนเดียวในกลุ่ม

“โอ๊ยยย ไม่ไหวล่ะครับพี่ แค่ในประเทศผมยังจะเอาตัวไม่รอดเลย และที่สำคัญ ไม่มีตังค์ด้วย” เขาตอบอย่างอารมณ์ดี

“อีนี่มันโง่ภาษาอังกฤษจะตายค่ะพี่ แค่ท่อง A-Z ได้ก็บุญแล้ว” เด็กผู้หญิงคนเดิมพูด

“อ้าว แบบนี้ก็ยิ่งต้องลงเรียนน่ะสิครับ นี่น้องๆ สนใจจะลงเรียนด้วยกันหมดนี่เลยรึเปล่า”

“ก็ว่าจะเรียนแหละครับพี่ อยากเก่งกว่านี้เหมือนกัน จะเรียนจบมหาลัยแล้วภาษาอังกฤษยังไม่เอาไหนอยู่เลย” เขาหัวเราะ

“นั่นสินะ เดี๋ยวนี้ภาษาอังกฤษยิ่งสำคัญมากอยู่ด้วย ถ้าน้องภาษาอังกฤษดีๆ หน่อย เวลาสมัครงานมันก็ง่ายขึ้นอีกเยอะนะ” ผมล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบนามบัตรออกมาหนึ่งใบ “อะนี่ นามบัตรพี่นะครับ พี่ให้ไว้ก็แล้วกัน เผื่อมีอะไรอยากจะปรึกษาเรื่องเรียนต่อ ไปเวิร์คแอนด์ทราเวิล หรือแม้แต่พวกการเตรียมตัวสอบโทเฟิล โทอิค อะไรพวกนี้ก็โทรมาปรึกษาพี่ได้นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”

“ขอบคุณค่าา/คร้าบบ” พวกเขาตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน

“ถ้างั้นพี่ขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่ให้พี่เก๋มารับช่วงต่ออธิบายเรื่องหลักสูตร ค่าใช้จ่าย และสไตล์การเรียนการสอนของที่นี่ให้ฟังแล้วกันนะ”

“พี่ชื่อจริงชื่อ ‘วันหนึ่ง’ เหรอครับ” น้องผู้ชายที่เพิ่งรับนามบัตรไปจากเพื่อนถามขึ้น

“ใช่ครับ”

“ชื่อโคตรเท่เลยพี่!”

ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ “ขอบคุณครับ พี่ขอตัวก่อนนะ”

น้องๆ ทุกคนยกมือขึ้นไหว้ผม ผมรับไหว้พวกเขาแล้วจากนั้นก็เดินตรงไปยังออฟฟิศของตัวเอง จริงๆ แล้วถ้าพวกเขากำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่สี่ นั่นก็แปลว่าเขาคงไม่ได้อายุน้อยกว่าผมสักเท่าไหร่ การแต่งงานกับฟ้าและมีน้ำ ทำให้ผมรู้สึกแก่ขึ้นมากเลยทีเดียว เพราะที่จริงแม้แต่เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันกับผมก็ยังมีคนที่เพิ่งแต่งงานไปแล้วแค่เพียงคู่เดียวเท่านั้นเอง แถมพวกเขายังไม่มีลูกอีกต่างหาก

“มึงพูดเหมือนมึงเสียใจที่แต่งงานเร็วและมีลูกเร็วเลยนะ ไอ้คุณวันหนึ่ง” ไอ้ยุทธ เพื่อนสนิทของผมย้อนกลับเมื่อมันได้ยินผมบ่นเรื่องอายุให้มันฟังทางโทรศัพท์

“เปล่าสักหน่อย ไอ้ห่า กูไม่ได้เสียใจเว้ย แต่บางทีเวลาเห็นเด็กๆ มัธยมรึมหาวิทยาลัยแล้วกูก็อดคิดไม่ได้ว่ากูแก่ขนาดนั้นแล้วเหรอเนี่ย แค่นั้นเอง”

“มึงเนี่ยนะแก่ ไอ้หนึ่ง กูว่ามึงน่ะหน้าเด็กสุดในหมูพวกเราแล้วนะ ไอ้เหี้ย มึงต้องดูกูนี่ วันๆ ออกแต่ไซท์งาน เจอแต่แดดแต่ลม จนล่าสุดพี่คนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานที่บริษัทกูยกมือไหว้กู เพราะคิดว่ากูแกกว่าแม่งแล้วอะ และประเด็นคือพี่แม่งอายุ 29 อะ มึง! ไอ้ห่ารากเอ๊ยยยย!!”

ผมหัวเราะเบาๆ “แล้วมะปรางเป็นไงมั่งวะ สบายดีรึเปล่า”

“ก็ดี ทะเลาะกับกูแทบทุกวันเหมือนเดิม”

“มึงสองคนนี่เป็นอย่างนี้กันมาตั้งแต่ตอน ม. ปลาย แล้วนะ เมื่อไหร่จะรีบๆ แต่งกันสักทีวะ”

“รอก่อน ไอ้เหี้ย อย่าเพิ่งเร่งกูสิวะ ขอกูเก็บเงินก่อน แต่คงไม่เกินปีสองปีนี้หรอก แล้วลูกมึงล่ะ แข็งแรงดีมั้ยวะ นี่ปรางมันก็อยากจะไปเยี่ยมอยู่เหมือนกัน”

“แข็งแรงดี มึงก็บอกให้มันมาสิ พรุ่งนี้ก็ได้ กูอยู่บ้าน”

“เดี๋ยวกูถามมันดูว่ายังไง ว่าแต่แล้วนี่มึงทำอะไรอยู่วะ”

“กูกำลังขับรถไปคอนโด นัดช่างรับเหมาไว้ว่ะ”

“เหรอวะ เออๆ ก็ดีเว้ย แต่กูต้องวางแล้วว่ะ พอดีกูมาเยี่ยมญาติที่นครปฐม ไม่อยากคุยนาน เดี๋ยวแม่กูด่าเอา”

“เออๆ ไม่เป็นไร มึงไปเหอะ ไว้ค่อยคุยกันเว้ย” ผมกดปุ่มบนบลูทูธวางสาย

ไอ้ยุทธเป็นเพื่อนที่ผมสนิทที่สุดตั้งแต่เราเรียนมัธยมต้นด้วยกันแล้ว ส่วนมะปราง แฟนของมัน ก็เป็นเพื่อนผู้หญิงที่ผมสนิทที่สุดเช่นกัน และมะปรางเองก็เป็นเพื่อนของฟ้าด้วย เราสี่คนจึงมักจะไปไหนมาไหนเป็นคู่ด้วยกันมาตลอด แต่หลังจากที่ฟ้าจากไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปและไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกเลย ผมกลายเป็นคนเก็บตัวมากขึ้น คุยกับคนอื่นๆ น้อยลง แม้แต่กับเพื่อนของตัวเอง ทั้งพ่อและแม่ต่างก็กระตุ้นให้ผมเริ่มก้าวเดินต่อไปข้างหน้าด้วยวิธีการและคำพูดต่างๆ กัน แต่ผมก็ยังทำไม่ได้จริงๆ ผมยังไม่สามารถลืมฟ้าและความเจ็บปวดจากการสูญเสียฟ้าไปได้เลย

เมื่อมาถึงที่คอนโด ผมก็โทรหาช่างที่นัดจะมาคุยกัน แต่เขาบอกผมว่าอาจจะมาสายเล็กน้อย ผมจึงโทรไปหาแม่เพื่อเช็คดูว่าน้ำเป็นอย่างไรบ้าง

“ตอนนี้ยายเค้ากำลังอุ้มอยู่น่ะ แต่อีกสักพักก็จะพาเข้านอนแล้ว”

“แล้วพ่อล่ะครับ”

“ยังไม่กลับมาเลย แล้วแกล่ะ เป็นไงบ้าง คุยกับช่างถึงไหนแล้ว”

“ช่างยังไม่มาเลยครับ บอกว่าจะมาช้าหน่อยน่ะ”

“อ้าวเหรอ แล้วนี่แกจะกลับมากี่โมง”

“ก็อาจจะเย็นนิดนึงน่ะครับ เพราะนี่ก็บ่ายโมงกว่าเข้าไปแล้ว” ผมดูนาฬิกาข้อมือ

“โอเค ไม่เป็นไร ว่าแต่อย่าลืมกินข้าวเที่ยงด้วยล่ะ อย่าเอาแต่ห่วงเรื่องอื่น ดูแลตัวเองด้วยนะลูก”

“ครับแม่”

หลังจากวางสาย ผมก็เดินออกจากลานจอดรถและตรงไปยังร้านอาหารที่อยู่ชั้นล่าง ภายในคอนโดแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามโซน ซึ่งมีราคาต่างกัน โซนแรกชื่อว่า ‘ทาวน์’ มีราคาถูกที่สุด ห้องของผมอยู่ที่โซน ‘พาร์ค’ มีราคาแพงขึ้นมาอีกหน่อย และโซนสุดท้ายคือ ‘วิลล์’ มีราคาแพงที่สุดและห้องขนาดใหญ่ที่สุด นอกจากนั้นก็ยังอยู่ติดกับห้างเซ็นทรัลที่สามารถเดินไปถึงได้อีกด้วย
พ่อของผมซื้อคอนโดแห่งนี้ไว้เพื่อให้เป็นของขวัญแต่งงานของผมกับฟ้าตั้งแต่เพิ่งเริ่มโครงการ ซึ่งตอนนี้มันก็สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วและเริ่มมีคนย้ายเข้ามาอยู่เยอะขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน แต่เรากลับปล่อยห้องของเราเอาไว้ครึ่งๆ กลางๆ นับตั้งแต่ที่ฟ้าจากไป สุดท้ายผมก็เริ่มกลับมาตบแต่งมันต่ออีกครั้งเมื่อสามเดือนก่อน และตอนนี้ทุกอย่างก็ใกล้เสร็จหมดแล้ว เหลือแค่เพียงติดวอลล์เปเปอร์ในห้องนอน ทาสีห้องนั่งเล่นใหม่ เปลี่ยนผ้าม่าน และขนพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่เช่นทีวี ตู้เย็น รวมทั้งเครื่องปรับอากาศสำหรับห้องนั่งเล่นที่ผมเพิ่งตัดสินใจจะติดเพิ่มเข้าไปเท่านั้น

ระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมก็นั่งจิบชาร้อนพลางมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมานอกร้านโดยไม่ได้สนใจพวกเขามากนัก จนกระทั่งสายตาไปสะดุดเข้าที่ผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังเข็นรถเข็นเด็กไปตามทางเดิน ผมเดาว่าเขาน่าจะอายุพอๆ กับผม เขาหยุดและนั่งลงที่ม้านั่งคอนกรีต จากนั้นก็หยิบพัดที่เหน็บไว้ข้างๆ รถเข็นออกมาพัดให้ลูกของเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผมนั่งมองเขายิ้มและเล่นกับลูกของตัวเองอยู่สักพัก จนกระทั่งเขาเงยหน้าขึ้นมาจากรถเข็นและเห็นว่าผมกำลังมองเขาอยู่ ผมจึงรีบหันหลบทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะคิดว่าผมแอบดูเขาอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักและผมหันกลับไปมองดูเขาอีกครั้ง เขาที่กำลังอุ้มลูกอยู่ก็หันมาสบตากับผมเข้าอีกจนได้ และถึงแม้เราจะอยู่ค่อนข้างไกลกัน แต่ผมก็มั่นใจว่าเขาส่งยิ้มตอบกลับมาให้ผมน้อยๆ ด้วย ผมจึงพยักหน้าตอบเขากลับไปแบบเขินๆ และแล้วผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะเป็นแฟนของเขาก็เดินตรงเข้ามาและรับลูกไปอุ้มเอาไว้ จากนั้นพวกเขาก็เดินเข้าไปในคอนโดฝั่งทาวน์ด้วยกัน

ผมอดคิดไม่ได้ว่าที่จริงผมเองก็ควรจะมีครอบครัวและช่วงเวลาแบบนั้นเหมือนกับเขา แต่...

ผมถอนหายใจและส่ายหน้าเบาๆ พยายามสลัดความคิดนั้นทิ้งไป

.
.

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
.
.

หลังจากนั่งกินข้าวจนใกล้จะเสร็จ ผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาช่างอีกครั้ง แต่เขาไม่รับสาย ผมวางโทรศัพท์กลับลงไปบนโต๊ะพลางมองดูนาฬิกาข้อมือ จะบ่ายสองแล้ว แบบนี้กว่าผมจะกลับถึงบ้านก็คงเย็นแน่ๆ

“ป้าคร้าบ! ขอกาแฟเย็นแก้วนึง!” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเสียงกระดิ่งที่แขวนอยู่บนประตูร้าน

ผมหันไปมองที่มาของเสียงเช่นเดียวกันกับลูกค้าอีก 3-4 คนในร้าน

“จ้ะๆ โอ๊ยย! ป้าตกใจหมด วันนี้ก็ยังอารมณ์ดีเหมือนเดิมนะ ไปเจออะไรดีๆ มารึไง”

“นิดหน่อยน่ะป้า” เด็กหนุ่มคนนั้นตอบพร้อมกับหันมาทางผมพอดี

“อ้าว!” เราสองคนอุทานขึ้นพร้อมกัน

เขาคือน้องผู้ชายคนที่ผมเพิ่งคุยด้วยที่ออฟฟิศเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้นี่เอง

“พี่หนึ่ง สวัสดีครับ!” เขายกมือขึ้นไหว้ผมพร้อมกับเดินตรงมาที่โต๊ะของผม “พี่ก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอเนี่ย”

“อ๋อ ก็ไม่เชิงนะ ว่าแต่เราล่ะ อยู่ที่นี่เหรอ”

“ใช่ครับ เพิ่งย้ายเข้ามาได้สามวันเอง” เขายิ้มกว้าง

“สามวัน แต่ทำไมดูสนิทกับป้าเจ้าของร้านเค้าขนาดนั้นล่ะ”

“อ๋อออ” เขาหัวเราะ “พอดีผมชอบกาแฟเย็นฝีมือป้าเค้าน่ะครับ ก็เลยมาซื้อทุกวัน บางครั้งวันละ 3-4 รอบด้วยซ้ำ ป้าเค้าก็เลยจำผมได้”

“คงเป็นเพราะเราคุยเก่งด้วยล่ะมั้ง พี่ว่า”

“ฮ่าๆๆ ก็อาจจะมีส่วนมั้ง แต่คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ผมออกจะขี้อาย พูดน้อย ไม่ค่อยสบตาใคร”

“หืมมม ใช่เหรอ”

“จริ๊งงงง”

“โอเคครับ ว่าไงก็ว่ากัน” ผมหัวเราะเบาๆ

ผมว่าผมดูไม่ผิดหรอก เด็กคนนี้ดูเป็นคนคุยเก่ง อารมณ์ดี และท่าทางจะแสบไม่เบาด้วย แถมเขายังหน้าตาดีแบบที่ดูเจ้าชู้นิดๆ รูปร่างสูงใหญ่แบบนักกีฬา แบบนี้คงจะมีสาวๆ ติดเพียบแน่นอน

“เอ้อ ว่าแต่ผมมานั่งกับพี่เนี่ย ยังไม่ได้ขออนุญาตพี่เลยนี่หว่า แถมมากวนตอนพี่กินข้าวอีก”

“ไม่เป็นไรๆ ตามสบายเลย พี่จะอิ่มแล้วล่ะ” ผมโบกมือเบาๆ “ว่าแต่เราพักอยู่กับใครล่ะ พ่อแม่เหรอ หรือว่ากับแฟน”

“โอ๊ยยย อยู่คนเดียวครับพี่ ผมยังไม่มีแฟนหรอก”

ผมพยักหน้าเบาๆ และตอนนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น ช่างของผมบอกว่ามาถึงแล้วพร้อมขอโทษขอโพยยกใหญ่ ผมจึงบอกเขาให้รอผมอยู่ที่หน้าคอนโด อีกไม่เกินห้านาทีผมจะไปเจอเขาที่นั่น

“พี่ต้องไปแล้วล่ะครับ พอดีพี่นัดช่างไว้มาดูห้องนิดหน่อย”

“โอเคครับพี่... ป้าคร้าบบบ! คิดตังค์พี่ผมโต๊ะนี้ด้วย!”

ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและยิ้มให้กับความร่าเริงช่างพูดของเด็กคนนี้

หลังจากที่จ่ายเงินเสร็จ ผมก็โบกมือลาเขาแล้วเดินออกจากร้าน ไปพบกับช่างที่หน้าประตูคอนโด เราสองคนเดินขึ้นไปคุยเรื่องรายละเอียดของการทำงาน รวมทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายที่ต้องประเมินกันใหม่เกือบทั้งหมด กว่าจะเสร็จธุระก็เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็นแล้ว ผมจึงรีบขับรถออกจากคอนโดและตรงกลับบ้านทันที

“เรื่องที่คอนโดเป็นยังไงมั่งแล้วล่ะ หนึ่ง” พ่อผมถามขึ้นในขณะที่เรากำลังนั่งกินข้าวเย็นด้วยกัน

“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ราคาก็ไม่ต่างจากที่เราเคยคุยกันไว้มากเท่าไหร่ น่าจะโอเค”

“แล้วตกลงว่าพอเสร็จแล้วแกจะย้ายไปอยู่ที่นั่นเลยจริงๆ รึเปล่า ไอ้หนึ่ง” พี่ชายของผมถามขึ้น

ผมเหลือบไปเห็นว่าแม่กำลังมองผมด้วยหางตาอยู่พอดี “ไม่ไปหรอก พี่ไม้ กลางวันจะไม่มีคนดูแลน้ำน่ะ แต่ถ้ามันทำเสร็จหมดแล้วก็อาจจะแค่ไปๆ กลับๆ ล่ะมั้ง”

“เออ พี่ว่าแกไปนอนที่นั่นบ้างก็ได้นี่หว่า เผื่อพา ‘เพื่อนผู้หญิง’ คนไหนไปเที่ยวไรงี้ไง”

“พอเลย พี่ไม้” ผมกลอกตา “หนึ่งไม่เคยมีความคิดแบบนั้นนะเว้ย”

“แต่แม่เห็นด้วยกับพี่แกนะ หนึ่ง แกน่าจะเริ่มต้นเดินต่อไปได้แล้ว ไม่ใช่จมอยู่กับความทุกข์อยู่แบบนี้ รีบๆ หาแฟนใหม่ตั้งแต่ลูกยังไม่โตน่าจะดีกว่านะ” แม่ผมเริ่มพูดเรื่องนี้อีกแล้ว

“แม่ครับ พี่ไม้มันหมายถึงให้หนึ่งเริ่มเที่ยวผู้หญิงบ้างต่างหาก ไม่ใช่ให้หาแฟน อย่าไปบ้าจี้ตามมันดิ”

“ตายแล้ว!” แม่อุทานเบาๆ

พี่ไม้หัวเราะเบาๆ ส่วนแม่ก็หันไปทำตาดุใส่พี่ชายของผม “ดีนะ ลูกแกไม่อยู่น่ะ ไอ้ไม้ โตป่านนี้แล้วยังทะลึ่งไม่เปลี่ยน!”

“โธ่ ไม้ทะลึ่งที่ไหน เรื่องธรรมชาติน่ะแม่ ไอ้หนึ่งมันก็ยังอายุน้อย หน้าตามันก็ไม่ขี้เหร่อะไร ให้มันเริ่มเที่ยว เริ่มได้เจอผู้คนบ้าง เผื่อมันจะเจอคนที่ถูกใจไง”

มาอีกแล้ว ทฤษฎีความรักจากพี่ชายอดีตเสือผู้หญิงตัวเอ้ของผม

พี่ไม้อายุมากกว่าผมถึง 10 ปี แต่งงานไปเมื่อเจ็ดปีก่อน มีลูกชายอายุหกขวบกำลังน่ารักหนึ่งคน และถอดเขี้ยวเล็บทิ้งไปจนหมดมาหลายปีแล้ว ส่วนพี่สาวของผม พี่ดาว อายุมากกว่าผมเจ็ดปี แต่งงานแล้วเหมือนกัน แต่ว่าไม่มีลูก วันนี้รับหน้าที่พาหลานชายคนเดียวไปเที่ยวสวนสนุก และพาไปนอนค้างที่บ้านด้วย

“แต่ฉันไม่อยากได้สะใภ้แบบนั้นนะยะ”

“เลิกคุยเรื่องนี้เถอะครับ ตอนนี้หนึ่งยังไม่อยากมีใครหรอก ยังไม่รู้สึกอยากไปเที่ยวหรือพบเจอใครด้วย ฟ้าเพิ่งตายไปไม่ถึงปีเองนะครับ อย่าเพิ่งบอกให้หนึ่งทำอะไรแบบนั้นเลย” ผมถอนหายใจ “และที่สำคัญ ใครมันจะมาสนใจพ่อม่ายลูกติดอย่างหนึ่งล่ะ หนึ่งว่าขอหนึ่งอยู่เงียบๆ กับลูก สบายๆ ใจแบบนี้ดีกว่า”

ทั้งพ่อ แม่ และพี่ไม้มองหน้าสลับกันไปมา ดูท่าทางว่าผมคงจะทำให้บรรยากาศแย่ลงเสียแล้ว

“แต่พ่อเห็นด้วยกับหนึ่งนะ” พ่อพูดขึ้น “ลูกผู้ชายน่ะ ถ้ารักใครแล้วก็ต้องรักจริง แบบนี้นี่แหละถูกต้องแล้ว”

“ขอบคุณครับ พ่อ”

“แต่แกก็ต้องอย่าลืมว่าแกไม่สามารถจมอยู่กับอดีตไปตลอดด้วยเหมือนกัน หนึ่ง มันอาจจะไม่ใช่ตอนนี้ แต่ในอนาคตถ้าหากแกเจอคนดีๆ ที่เค้ารักแก รักลูกของแก ก็อย่าลืมที่จะเปิดใจตัวเองออกด้วยล่ะ จำไว้”

“ครับพ่อ ถ้ามันมีคนแบบนั้นจริงๆ และหนึ่งพร้อมน่ะนะครับ...”


ฺBieKung

  • บุคคลทั่วไป
มาแล้วค๊าบบบพี่ต้นนน
เม้นแรกเลยด้วยยย ^^

ชอบนิยายที่พี่แต่งทุกเรื่องเลยยย...
มานั่งรอตอนใหม่ แหะๆ

 o13 o13 o13

ออฟไลน์ barjaku

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สวัสดีครับคุณต้น นี่เป็นนิยายเรื่องแรกที่อ่านแบบยังไม่จบ เพราะชอบการเขียนของคุณมากครับ ตามอ่านมาครบแหละ ขอบคุณนะครับสำหรับนิยายดีๆจะติดตามต่อไปเรื่อยๆครับ ไลค์แฟนเพจเรียบร้อยแล้วครับ^^

ออฟไลน์ netkung

  • เป็ดกูรู
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
ขอบคุณครับพี่ต้น เรื่องน่าสนุกตั้งแต่ตอนแรกเลยนะเนี่ย ฮ่าๆๆ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
มาตามดูชีวิตนายหนึ่งว่าจะเริ่มใหม่ยังไงกับใคร

ออฟไลน์ cinquain

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-0
เด็กหนุ่มคนนั้น ... น่าจะมีส่วนในชีวิตของหนึ่งหรือเปล่าคะ
ตอนแรกก็บังเอิญเจอกันสองครั้งแล้ว

เรื่องนี้มีเด็กทารกอีกเรื่อง ... ชอบหนูน้ำตั้งแต่แรกเลย ^^

รอคุณต้นเสิร์ฟตอนสอง  :mc4:

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
เรื่องนี้ดูท่าจะเป็นเรื่องราวชีวิต เข้มข้นพอสมควรนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ohm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
ขอบคุณครับ ที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่านอีกครั้ง ^^

winnie_the_far

  • บุคคลทั่วไป
มีเด็กน้อยด้วย ว้าวๆๆๆๆ

รอคอยตอนต่อไป

ออฟไลน์ miracle22936

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 220
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วสิ ... ต้องสนุกแน่ ๆ เลย อิอิ  o13

ออฟไลน์ Magis

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
 อิอิ ตามมาอ่านละครับบบบ เริ่มมาตัวเอกก็มีปมขึ้นมาทันทีเลย  ถ้าจะดราม่าไม่น้อยแฮะเรื่องนี้

ออฟไลน์ parn11

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
สนุกมากคะ

ออฟไลน์ KaorPaor

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-4
มาแล้วเรื่อใหม่ของคุณต้น  ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ vivalasvegus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตามมาอ่านเรื่องใหม่ของคุณต้นแล้ว นายเอกโผล่รึยัง?

ออฟไลน์ fannan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-6
น่าติดตามครับ

คุณพ่อลูกอ่อนน่ารัก

ออฟไลน์ puppyluv

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2539
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2000/-20
หนึ่งยังเป็นลูกของแม่อยู่ดี
ถึงจะโตแค่ไหนก็เถอะ
แต่ชีวิตต้องสู้นะคุณพ่อลูกอ่อน
ชอบบรรยากาศครอบครัว เป็นเช้าที่...ดี
ติดตามๆๆๆ
กดบวกและเป็ดน้อยกลอยใจ

ออฟไลน์ Ju

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-2
พ่อม่ายยยยยยยยยยยยย

รอตอนต่อไปครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
น่ารักดีอะ

TimelessOne

  • บุคคลทั่วไป
ชอบชื่อ วันหนึ่ง กับ อากาศดี จัง  o13

zeazaiz

  • บุคคลทั่วไป
พ่อหม้ายลูกติดอย่างนี้ล่ะ ดิฉันช๊อบชอบ
สนุกค่ะ จะรออ่านตอนตอไปนะคะ

M.Aplus

  • บุคคลทั่วไป
เพิ่งมีโอกาสมาดันนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

บอกเลย แค่เริ่มเรื่องมาก็ชวนติดตามโคตรๆใน30โลก

 :m25: :m25: :m25: :m25: :m25: :m25:

winnie_the_far

  • บุคคลทั่วไป
มาช่วยดันๆๆๆๆ อิอิ รอๆๆๆต่อไป...

ออฟไลน์ netkung

  • เป็ดกูรู
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
พี่ต้นมาแนวใหม่ อิอิ แต่ของแซมเด็กมัธยมเหมือนเดิมนะพี่ ผมรักเด็ก

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 2

เช้าวันถัดมา ในขณะที่ผมกำลังพับรถเข็นเก็บใส่หลังรถอยู่ แม่ก็เดินอุ้มน้ำออกมาจากในบ้าน น้ำที่ดูเหมือนจะรู้ว่าตัวเองกำลังจะได้ไปเที่ยวหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ และเมื่อพวกเขาเดินเข้ามาใกล้ผม น้ำก็ยื่นแขนเล็กๆ ทั้งสองข้างออกพร้อมโผตัวมาหาผมทันที

“เอ้า! จ้ะๆ รอแป๊บนึงลูก ใจเย็นๆ พ่อเค้าเก็บของให้เราอยู่นะ” แม่พูดพลางรั้งตัวของน้ำเอาไว้ไม่ให้เขาโผหลุดออกจากอ้อมแขนของตัวเอง “อากาศดีนี่ติดแกจริงๆ เลยนะ ตาหนึ่ง”

“ก็ลูกหนึ่งนี่ครับแม่” ผมหันไปหาแม่แล้วรับน้ำมาอุ้มแทน

“ย่ะ แล้วใครล่ะที่เลี้ยงลูกให้แกทุกวันตอนแกไปทำงานน่ะ”

ผมชะโงกหน้าเข้าไปหอมแก้มแม่ “คร้าบบ ขอบคุณนะครับ คุณย่า”

แม่ตีแขนผมเบาๆ “แล้วจะกลับมากินข้าวเย็นรึเปล่า”

“เดี๋ยวหนึ่งโทรบอกแล้วกันนะครับ”

วันนี้ผมตั้งใจจะไปซื้อของใช้เข้าบ้าน ซื้อนมให้ไอ้ตัวเล็ก และเดินดูราคาพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าคอนโดด้วยเลยทีเดียว แต่ในเมื่อสัปดาห์หนึ่งผมจะมีเวลาได้อยู่กับลูกแค่ไม่กี่วัน ผมจึงอยากพาเขาออกไปเดินเล่นด้วยกัน

ที่จริงผมเดินเล่นตามห้างสรรพสินค้าหรือที่อื่นๆ กับน้ำแค่สองคนมาหลายครั้งแล้วเหมือนกัน แต่ผมก็ยังคงไม่เคยชินกับการถูกคนมองสักที หลายๆ ครั้งผมก็พอดูออกว่าเขามองน้ำและชมว่าน่ารัก ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกดีและรู้สึกเขินๆ อยู่บ้าง แต่บางครั้ง คนบางคนก็มองผมด้วยสายตาแปลกๆ เขาอาจจะสงสัยว่าทำไมพ่อลูกคู่นี้ถึงไม่มีแม่อยู่ด้วย หรือคงสงสัยที่ผมอาจจะดูเด็กเกินไปที่จะมีลูก ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ผมก็ไม่ชอบสายตาแบบนั้นเลยจริงๆ

หลังจากที่เดินสำรวจราคาและซื้อของที่ต้องการครบแล้ว ผมก็พาน้ำเข้าไปนั่งพักที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ผมอุ้มเขาขึ้นนอนบนตักและป้อนนมให้ น้ำเป็นเด็กที่ไม่งอแงเลยจริงๆ เขาเป็นเด็กยิ้มเก่ง ร่าเริง ชอบเที่ยว และชอบเจอผู้คนมากๆ นิสัยเหล่านี้ทำให้เขาคล้ายกับฟ้ามากจนบางครั้งเวลาที่ผมมองเขา ผมก็จะนึกถึงรอยยิ้มและความสดใสของฟ้าขึ้นมาทุกที

“พี่หนึ่ง!” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น

ผมเงยหน้าขึ้นจากน้ำและหันไปมองยังที่มาของเสียง เด็กหนุ่มสองคนกำลังเดินตรงเข้ามาหาผม และผมก็รู้จักหนึ่งในนั้นดี

“อ้าว! เอ มาทำไรเนี่ย”

“มาเดินเล่นกับเพื่อนอะครับ แล้วพี่หนึ่งล่ะ พาน้องมาเดินเล่นเหรอ”

“ก็ประมาณนั้นน่ะ แล้วก็มาซื้อของด้วย มานั่งก่อนสิ”

เอกับเพื่อนนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผม

“พี่หนึ่ง นี่ไอ้อาร์ม เพื่อนเอครับ ไอ้อาร์ม นี่พี่หนึ่ง แฟนพี่ฟ้าที่กูเคยเล่าให้ฟังอะ อยู่บ้านใกล้ๆ กัน”

“หวัดดีครับพี่” อาร์มยกมือขึ้นไหว้ผม

เอคือญาติของฟ้าที่เพิ่งมาอยู่ที่กรุงเทพฯ พร้อมกับน้องๆ ฝาแฝดอีกสามคนได้ไม่นาน แต่ผมจะคุ้นเคยกับแฝดคนน้องสุดกับเอมากกว่าแฝดอีกสองคน เพราะเขาสองคนมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ก่อนสองคนนั้น และบ้านของเราก็อยู่ใกล้ๆ กันอีกด้วย ถึงแม้ว่าฟ้าจะไม่อยู่แล้ว แต่เอกับน้องๆ ก็ยังแวะมาหาผมและน้ำที่บ้านบ่อยๆ

“น้องชื่ออะไรอะครับพี่ น่ารักโคตรเลยอะ กี่เดือนแล้วครับเนี่ย” อาร์มถามขึ้น

“ชื่อน้ำครับ อายุห้าเดือน... เอ้า ทักทายพี่อาร์มกับพี่เอหน่อยสิครับ ตัวเล็ก” เมื่อผมเห็นว่าน้ำไม่ได้มีท่าทีจะอยากดูดนมต่อแล้ว ผมก็จับเขาขึ้นนั่งตัก เขาจึงส่งยิ้มและหัวเราะทักทายพี่ๆ ทั้งสองคนทันที

“อารมณ์ดีเหรอคร้าบบ คนเก่ง” เอยื่นนิ้วให้น้องจับ และน้ำก็กำนิ้วชี้ของเขาเอาไว้แน่นพร้อมทั้งเขย่าเบาๆ

“คงจะจำเอได้น่ะ” ผมพูด

“อารมณ์ดีไม่เปลี่ยนเลย เอขออุ้มหน่อยได้มั้ยครับ พี่หนึ่ง”

“เดี๋ยวพี่ให้น้องเรอก่อนนะ” ผมอุ้มน้ำพาดบนบ่าและตบหลังเขาเบาๆ จนเขาเรอ จากนั้นก็ส่งต่อให้เอ “เอ้า ตามสบายเลย”

เออุ้มน้องไปนั่งบนตักด้วยความเอ็นดู จากนั้นเขาก็หันไปหาเพื่อนของเขา “น่ารักมั้ยมึง หลานกู”

“มึงเป็นอาหรือเป็นน้าวะ ไอ้เอ” อาร์มถาม

“ก็ต้องน้าสิวะ ไอ้ควาย”

ผมหัวเราะเบาๆ “แล้วน้องๆ เราเป็นไงมั่งล่ะ เอ เดี๋ยวนี้พี่ไม่ค่อยเห็นหน้าเลย”

“ปล่อยมันไปเถอะครับ พี่หนึ่ง เอก็เหนื่อยกับพวกมันเหมือนกัน มีแต่ปัญหาไม่หยุดหย่อน” เขาส่ายหน้า

“อ้าว คราวนี้อะไรอีกล่ะ ใครเป็นคนก่อเรื่อง ไอ้สองตัวแรก รึ... ไม่สิ ไอ้สองตัวแรกแน่ๆ เลยใช่มั้ย”

“ก็ประมาณนั้นอะครับ แต่ไม่มีอะไรใหญ่โตหรอก พี่หนึ่ง ก็ความทะโมนสติแตกของพวกมันนั่นแหละ เหมือนเดิม” เขายักไหล่ “ว่าแต่หลังจากนี้พี่หนึ่งไปไหนต่อรึเปล่าครับ”

“ตอนแรกพี่ก็ว่าจะกลับบ้านน่ะนะ แต่ยังพอมีเวลา พี่เลยว่าจะเข้าไปคอนโดอีกสักรอบ เอจะไปกับพี่มั้ยล่ะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยกลับพร้อมกัน”

“อ๋อ ไม่เป็นไรครับ พอดีเอนัดเพื่อนอีกคนไว้ด้วย” เขาหันไปหาเพื่อนของเขา “ไอ้ต้ามันจะใกล้มาถึงรึยังวะ”

“น่าจะใกล้แล้วม้างง เมื่อกี้มันก็บอกว่าอีกประมาณ 10 นาทีเองนี่” อาร์มดูนาฬิกาข้อมือ “ว่าแต่เมื่อกี้พี่บอกว่าพี่มีคอนโดอยู่ด้วยเหรอครับ คอนโดอะไรแถวไหนเหรอพี่”

“พอดีไอ้อาร์มมันกำลังหาคอนโดจะเช่าอยู่กับแฟนมันน่ะครับ”

“อ้าว งั้นเหรอ เสียดายนะ เพราะคอนโดพี่จริงๆ มันก็แต่งเสร็จเกือบหมดแล้วล่ะ จะว่าไปก็อยู่ไม่ไกลจากมหาลัยพวกเราเท่าไหร่หรอกมั้ง ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าด้วย นี่พี่ก็กำลังให้ช่างแก้งานเก็บงานครั้งสุดท้ายอยู่”

“จริงเหรอครับพี่ พี่จะปล่อยเช่าเหรอ” อาร์มมีท่าทีสนใจขึ้นทันที

“เปล่าหรอกครับ”

“อ้าว” พวกเขาสองคนอุทานขึ้นพร้อมกัน

“คือพี่แค่ทำไว้เฉยๆ น่ะ ยังไม่มีแพลนว่าจะปล่อยเช่าหรือไปอยู่เองหรอก นี่พี่ก็เถียงๆ กับแม่อยู่เหมือนกัน แต่ถ้าอาร์มอยากเช่า อืมมม... พี่ว่าก็น่าจะโอเคนะ คนใกล้ตัว”

“เฮ้ย ถ้าพี่ไม่ตั้งใจจะปล่อยเช่าก็ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ ผมเกรงใจ” อาร์มรีบปฏิเสธ

“นั่นสิครับ พี่หนึ่งไม่ต้องลำบากหรอก เดี๋ยวจะมีปัญหากับแม่พี่เปล่าๆ” เอพูดเสริม

“เฮ้ย ไม่มีปัญหาหรอก เดี๋ยวพี่คุยกับแม่เอง เชื่อเถอะว่านอกจากจะไม่ว่าอะไรแล้ว แม่แกคงจะดีใจด้วยซ้ำ เนอะ จริงมั้ยครับ ตัวเล็ก” ผมก้มลงพูดกับไอ้ตัวเล็กที่นั่งอยู่บนตักของเอ เขาหันมาส่งเสียงเอ้ออ้าๆ ราวกับเห็นด้วย ก่อนจะโผตัวเข้าหาผม

“เอาจริงเหรอครับ พี่หนึ่ง” เอถามย้ำขณะส่งน้ำคืนให้กับผม “พี่ไม่ต้องลำบากเพื่อเพื่อนเอขนาดนั้นก็ได้มั้ง ไอ้เหี้ยนี่มันก็ปากไวไปแบบนั้นเองแหละครับ ให้มันไปหาที่อื่นเอาเองก็ได้”

ผมนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ที่จริงผมเองก็ไม่ได้อยากปล่อยห้องออกเช่าเท่าไหร่หรอก แต่จะให้ปล่อยมันไว้เฉยๆ แล้วทนฟังแม่บ่นอยู่แทบทุกวันก็ไม่ดีเหมือนกัน

“งั้นเอางี้ เอาไว้พี่ขอกลับไปคุยกับแม่แล้วก็ตัดสินใจดูอีกทีก่อนแล้วกันครับ ถ้าพี่โอเค พี่จะพาเราสองคนไปดูห้อง จากนั้นอาร์มก็ไปตัดสินใจว่าจะเอายังไง ถ้าไม่โอเคห้องพี่ เราก็จะได้ถือโอกาสนั้นดูป้ายประกาศห้องเช่าอื่นๆ ที่คอนโดไปด้วยเลย ดีมั้ย”

“เอออ แบบนั้นก็โอเคเนอะ” อาร์มพยักหน้า

“มึงมันก็โอเคกับทุกอย่างอยู่แล้ว ไอ้อาร์ม” เอเหล่ตามองเพื่อนของเขาพลางส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะหันมาหาผม “ถ้างั้นผมก็ขอบคุณด้วยอีกคนนะครับ พี่หนึ่ง”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า ยังไงเราก็ครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว”

เราสามคนนั่งคุยกันอีกครู่สั้นๆ ก่อนที่เด็กหนุ่มทั้งสองจะขอตัวไปพบเพื่อนที่นัดไว้ หลังจากที่ดื่มกาแฟหมดแก้ว ผมก็พาน้ำมาที่คอนโด พวกเราเคยพาเขามาที่นี่หลายครั้งแล้วก็จริง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้พาเขามาที่นี่ตามลำพังพ่อลูก

หลังจากจอดรถเสร็จ ผมก็อุ้มเขาที่หลับอยู่วางลงในรถเข็น จากนั้นก็พาเขาขึ้นไปบนห้อง ผมเดินวนดูรอบๆ ห้องและคิดเรื่องที่จะคุยกับช่างเพิ่มเติมอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ได้ยินเสียงร้องของน้ำดังขึ้น เมื่อผมเดินมาดูก็พบว่าผ้าอ้อมของเขาเปียกจนชุ่ม ผมจึงจัดการทำความสะอาดและเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เขาใหม่ จากนั้นเขาจึงกลับมาอารมณ์ดีได้เหมือนเดิม

“ไม่นอนแล้วเหรอครับ ตัวเล็ก ถ้างั้นเราไปเดินเล่นกันดีมั้ย” ผมชะโงกหน้าไปหอมแก้มเขา

น้ำตีแก้มผมเบาๆ พร้อมหัวเราะดีใจ ผมอุ้มเขาโยนเบาๆ เรียกเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจอยู่ 3-4 ครั้งก่อนจะหอมแก้มเขาอีกครั้งด้วยความหมั่นเขี้ยว จากนั้นก็ไม่ลืมหยิบขวดนมติดมือออกจากห้องมาด้วย เผื่อว่าเขาจะงอแงในขณะที่เราเดินเล่นกันอยู่ข้างนอก
หลังจากลงมาถึงชั้นล่างแล้ว ผมก็อุ้มเขาเดินวนดูพื้นที่ส่วนกลาง สระว่ายน้ำ ห้องฟิตเนส ร้านอาหาร ร้านค้า และอื่นๆ จนทั่ว เพราะก่อนหน้านี้ผมแทบไม่เคยสนใจเลยว่าที่นี่มีร้านค้าอะไรอยู่บ้าง แต่พอผมได้มีโอกาสเดินสำรวจรอบๆ แบบนี้แล้ว ผมถึงต้องรู้สึกแปลกใจว่าที่นี่ก็มีร้านอาหารกับร้านค้าอยู่ครบครันเหมือนกัน และก็มีคนอยู่อาศัยเดินไปเดินมากันอยู่หนาตาพอสมควรด้วย ทั้งๆ ที่เมื่อราวๆ 2-3 เดือนก่อนที่นี่ยังดูไม่ค่อยมีอะไรอยู่เลย

ผมเดินพาน้ำไปนั่งลงบนม้านั่งฝั่งตรงข้ามร้านอาหารที่ผมมากินเมื่อวาน ตำแหน่งเดียวกับที่ผมเคยเจอพ่อลูกคู่นั้นมานั่งอยู่ ผมนั่งป้อนนมให้น้ำพลางกวาดสายตามองผู้คนที่เดินผ่านไปมารอบๆ ไปด้วย และในตอนนั้นเองที่ผมเห็นผู้ชายคนเดิมเข็นรถเข็นเดินตรงเข้ามาทางพวกเรา ดูเหมือนเขาจะยังไม่ได้สังเกตเห็นผมในตอนแรก แต่เมื่อเราสบตากัน ผมกลับเป็นฝ่ายที่ต้องหลบตาเขาเสียก่อน

เมื่อน้ำเริ่มอิ่ม ผมก็วางขวดนมลงข้างๆ ตัวและอุ้มเขาพาดบ่า ตบหลังเบาๆ จนเมื่อเขาเรอออกมาแล้ว ผมก็วางเขาลงที่หน้าตักเหมือนเดิม

ผู้ชายคนนั้นเดินมานั่งลงข้างๆ ผม เขาโบกพัดที่พกมาด้วยให้ลูกของตัวเองในรถเข็น และเมื่อเราสบตากันอีกครั้ง เขาก็เป็นฝ่ายยิ้มทักทายผมก่อน

“กี่เดือนแล้วครับ”

“ห้าครับ” ผมตอบกลับไป รู้สึกเขินๆ แปลกๆ ชอบกล เพราะที่ผ่านมาผมยังไม่เคยคุยกับคนแปลกหน้าเรื่องลูกแบบนี้มาก่อนเลย

“ของผมขวบนึงแล้วครับ งอแงน่าดู” เขาหัวเราะเบาๆ “ต้องพาออกมาเดินเล่นทุกวันเลยครับ ชอบมาก ไม่งั้นจะอารมณ์ไม่ดี”

“ลูกผมก็ชอบให้พาไปเที่ยวเหมือนกันครับ แต่ไม่ค่อยงอแงเท่าไหร่ เลี้ยงง่าย”

“โห ดีแล้วล่ะครับ แต่เดี๋ยวเถอะ อีกสักพักก็คงเริ่มมีบ้างแล้วล่ะ”

“ทำไมล่ะครับ” ผมสงสัย

“ก็ตามพัฒนาการเด็กนั่นแหละครับ เริ่มอยากรู้อยากเห็น เริ่มฟังเข้าใจ เริ่มเรียกร้องมากขึ้น แล้วก็ยิ่งช่วงฟันน้ำนมขึ้นใหม่ๆ ก็ด้วยเหมือนกัน” เขาอธิบาย

ผมคงต้องยอมรับว่าในช่วง 2-3 เดือนแรก ผมอาจจะไม่ได้ทำหน้าที่พ่อที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะผมแทบไม่มีความรู้เรื่องการดูแลเด็กเลย แถมยังมัวแต่เศร้าเสียใจกับการจากไปของฟ้า ทำให้แม่เป็นคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือและดูแลน้ำให้จนกระทั่งผมเริ่มหายดี ดังนั้นนี่จึงนับเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมมีโอกาสได้คุยกับพ่อหรือแม่คนอื่นๆ เรื่องลูกและการเลี้ยงลูก นอกจากกับแม่ของตัวเอง

หลังจากที่ผมแนะนำตัวเองก่อน เขาก็บอกผมว่าเขามีชื่อเล่นว่าทะเล และคงเพราะเขาเห็นผมมีสีหน้าแปลกใจ ถึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ

“ใครที่ได้ยินชื่อผมก็ทำหน้าแบบนั้นแทบทุกคนแหละครับ”

“เอ๊อะ ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“ไม่เป็นไรเลยครับ ชื่อจริงผมชื่อ ชลธี น่ะครับ ชื่อเล่นก็เลยชื่อทะเล และจริงๆ ผมก็มาจากชลบุรีด้วย แต่มาโตที่กรุงเทพฯ”

“อ๋อออ ครับ”

“พ่อแม่ผมก็ตั้งชื่อไม่ได้คิดถึงตอนผมโตเลยเนอะ” เขาหัวเราะ “ตอนเด็กๆ ก็คงฟังดูน่ารักอยู่หรอก แต่พอโตมา เวลาใครจะเรียกผมว่า ‘คุณทะเล’ ก็คงฟังดูแปลกๆ ชอบกล เพราะงั้นเพื่อนร่วมงานผมก็เลยมักเรียกผมว่า ‘ธี’ บ้าง ‘เล’ บ้างน่ะครับ”

เขาเล่าให้ผมฟังว่าเขากับแฟนเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ราวเดือนกว่าๆ  แต่สิ่งที่แปลกสำหรับครอบครัวของเขาคือ แฟนของเขาเป็นคนออกไปทำงาน ในขณะที่เขาอยู่บ้านเลี้ยงลูกในตอนกลางวัน โดยที่เขาจะอยู่ที่คอนโดบ้าง บ้านของพ่อแม่บ้าง นอกจากนั้นเขายังให้คำแนะนำที่ผมอาจจะเอาไปใช้กับน้ำได้หลายอย่าง จนกระทั่งเวลาผ่านไปพอสมควร เขาจึงขอตัวกลับขึ้นห้องก่อน และเมื่อผมดูเวลาก็ต้องตกใจเหมือนกันที่เวลาผ่านมาถึงขนาดนี้แล้ว

“เฮ้ย จะห้าโมงแล้วเหรอเนี่ย” ผมรีบลุกขึ้นยืนและอุ้มน้ำเดินกลับไปยังตึกของตัวเอง

เมื่อขึ้นไปถึงที่ห้องและกำลังวางน้ำที่หลับอยู่ลงรถเข็นแล้ว ผมถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมวางขวดนมเอาไว้บนม้านั่ง แต่เมื่อผมเข็นรถเข็นกลับไปที่เดิม มันก็ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว ผมคิดในใจว่าคงต้องช่างมันแล้วล่ะ แต่ในขณะที่ผมกำลังพาน้ำไปยังอาคารจอดรถอยู่นั้น ยามคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหาผมพร้อมขวดนมในมือ ผมขอบคุณเขา และจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“พี่หนึ่ง!”

ผมหันกลับไปมองยังด้านหลังของตัวเอง ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นน้องช่างพูดคนนั้นนั่นเอง

“ใช่พี่หนึ่งจริงๆ ด้วย ตอนแรกผมคิดว่าไม่ใช่ซะอีก หวัดดีครับ!” เขายกมือไหว้ผม

“สวัสดีครับ พี่กำลังจะกลับพอดีเลย”

“อ้าวเหรอครับ ว้า เสียดาย เพิ่งได้เจอกันเองอะ” เขายิ้มให้ผม จากนั้นก็ชะโงกหน้ามองเข้ามาในรถเข็น “หลานพี่เหรอครับ หรือว่าน้องชาย”

ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “น้องเลยเหรอ พี่ให้ทายใหม่”

“งั้นก็หลาน”

“ไม่ใช่ครับ”

เขาตาโต “ลูกพี่เหรอครับ! พี่มีลูกแล้วเหรอเนี่ย!”

“ทำไมครับ พี่แต่งงานมีลูกแล้วนี่มันแปลกมากเลยเหรอ”

“เปล่าๆ ขอโทษครับพี่ ผมแค่ตกใจน่ะ นึกว่าพี่อายุมากกว่าผมไม่เท่าไหร่ซะอีก ก็พี่หน้าเด็กอะ”

“พี่อายุจะ 26 แล้วครับ”

เขายื่นนิ้วออกมาแตะแก้มน้ำที่กำลังหลับอยู่เบาๆ “หลับปุ๋ยเลย ชื่ออะไรครับเนี่ย”

“ชื่อน้ำครับ”

“น้องน้ำเหรอครับ”

“ใช่ครับ ชื่อจริงชื่อ อากาศดี”

“เหยดดด ชื่อเท่ทั้งพ่อทั้งลูก!!”

ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ “ว่าแต่เราเองเถอะ ชื่ออะไร พี่ยังไม่รู้จักชื่อเราเลย”

“ผมชื่อหมอกครับ ชื่อจริงชื่อสายหมอก อายุ 22 ครับ” เขาตอบ แถมชื่อจริงและอายุมาให้เสร็จสรรพ

“โอเคครับ น้องหมอก ลิฟท์มาพอดี พี่ต้องไปก่อนแล้วล่ะ เอาไว้คุยกันใหม่วันหลังนะครับ”

“เดี๋ยวพี่ เดี๋ยวผมไปส่ง ให้ผมช่วยเข็นน้องไปส่งพี่ที่รถก็ได้”

“เอางั้นเหรอ”

“โอ๊ยยย ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับพี่ มาๆ” เขาจับรถเข็นแล้วจากนั้นก็เดินเข้าไปในลิฟท์ “พี่จอดรถอยู่ชั้นไหน”

“ชั้นสามครับ” ผมก้าวเข้าไปในลิฟท์แล้วหยุดยืนอยู่ข้างๆ เขา

“แล้วแฟนพี่ไม่มาด้วยกันเหรอครับ” เขาหันมาถามผม

ผมยิ้มให้เขาน้อยๆ “แฟนพี่เค้าเสียไปแล้วน่ะครับ”

หมอกหน้าเสียลงทันที “อ้าว ขอโทษครับพี่ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”

เราสองคนยืนกันอยู่เงียบๆ จนกระทั่งลิฟท์พาเรามาถึงชั้นสาม เมื่อประตูเปิดออก เขาก็เข็นรถเข็นออกไปก่อนแล้วหยุดยืนรอ ผมเดินนำเขาไปที่รถ เขาช่วยผมพับรถเข็นและยกมันขึ้นรถในขณะที่ผมวางน้ำลงบนเปลที่ใช้สำหรับเด็กอ่อนในรถบนเบาะหลัง

“พี่หนึ่ง ผมขอโทษจริงๆ นะ เรื่องเมื่อกี้อะ” เขาพูดขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าลำบากใจ

ผมส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับยิ้มให้เขา “ไม่เป็นไรหรอก ก็เราไม่รู้นี่นา พี่ไม่คิดอะไรหรอกครับ อย่าคิดมากเลย”

เขานิ่วหน้า “แต่แววตาพี่มันไม่ได้บอกแบบนั้นเลยนี่”

คำพูดของเขาทำให้ผมสะอึกไปทันที นี่เขาดูผมออกขนาดนั้นหรือว่าผมเป็นคนดูออกง่ายกันแน่

“เอาเป็นว่าผมขอโทษพี่อีกทีก็แล้วกัน ต่อไปผมจะระวังปากมากกว่านี้ครับ กลับบ้านดีๆ นะพี่ ครั้งหน้าพาน้องมาเล่นกับผมมั่งนะ” เขายิ้มกว้างออกมาอีกครั้ง

“โอเค ได้ครับ ไม่มีปัญหา”

“ถ้าพี่มาอีกก็โทรบอกผมนะ จะแวะมาเล่นกับน้องด้วย”

“ได้ๆ ขอบใจมากนะครับที่มาส่ง” ผมเข้าไปนั่งในรถ

“ด้วยความเต็มใจคร้าบบบ ขับรถดีๆ นะพี่ ไว้เจอกัน!” เขาโบกมือให้ผม

ผมปิดประตูรถลงและโบกมือให้เขาน้อยๆ จากนั้นก็ขับรถตรงกลับบ้าน แต่ขณะที่รถติดอยู่ระหว่างทางผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมไม่มีเบอร์ของเขาด้วยซ้ำ แล้วผมจะโทรหาเขาได้อย่างไร

“เด็กมันจีบมึงรึเปล่าวะ” ไอ้ยุทธพูดพลางหัวเราะเบาๆ หลังจากที่ผมเล่าเรื่องของหมอกให้มันฟังทางโทรศัพท์

“ไม่ตลกนะเว้ย ไอ้ยุทธ กูยังไม่ได้คิดแบบนั้นสักนิดเลย มึงนี่ก็คิดไปได้นะ ไอ้ห่า”

“อ้าว ไอ้เหี้ย ของแบบนี้มันก็ไม่แน่เหอะ ตุ๊ดเกย์สมัยนี้น่ะ ดูออกยากนะเว้ย”

“ต่อให้น้องมันเป็นเกย์จริงๆ ก็เหอะ มึงคิดว่ามันจะมาจีบกูทำไมวะ ในเมื่อกูเองก็มีลูกแล้วนะเว้ย ใครมันจะบ้าจีบผู้ชายที่แต่งงานแล้วแถมมีลูกแล้วอย่างกูวะ”

“ฮ่าๆๆ ก็ไม่แน่นะมึง”

“พอเลย ไอ้เพื่อนเหี้ย ที่กูโทรหามึงเนี่ย เพราะกูอยากจะปรึกษามึงเรื่องคอนโดนะเว้ย มึงอย่าเปลี่ยนเรื่องสิวะ”

“อ้าว ก็มึงเสือกเล่าเรื่องไอ้น้องหมอกอะไรของมึงนี่ให้กูฟังเองนี่หว่า”

“ก็แค่เล่าเว้ย ไม่ได้ขอความเห็น แต่ที่กูอยากจะปรึกษาน่ะคือเรื่องคอนโดนี่ต่างหาก มึงว่าถ้ากูปล่อยให้เพื่อนของน้องเมียกูเช่าจริงๆ จะโอเคมั้ยวะ”

“ทำไมวะ เท่าที่กูฟังมึงมา มึงก็ดูค่อนข้างแน่ใจแล้วนี่ ก็ปล่อยๆ เช่าไปเหอะ ไม่เห็นเป็นไรเลย แล้วไอ้น้องคนนั้นมันก็ญาติฟ้าด้วยไม่ใช่เหรอวะ คอนโดมึงซื้อไว้เพื่อให้มึงกับลูกเมียได้อยู่ด้วยกัน แต่นี่ฟ้าไม่อยู่แล้ว ให้มันมีประโยชน์กับญาติๆ ฝ่ายนั้นก็ดีแล้วนี่”

“ตอนแรกกูก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่คนเช่ามันไม่ใช่ไอ้เอนะเว้ย แต่เป็นเพื่อนมันอีกทีน่ะ”

“แล้วไงวะ ตอนแรกมึงยังดูไม่เหมือนมีปัญหากับเรื่องนั้นเลยนี่กว่า กูว่ามึงไม่ได้คิดแค่นั้นหรอกมั้ง”

ผมยักไหล่ “ไม่รู้ดิ กูก็แค่คิดว่าถ้าเกิดกูให้น้องมันเช่าไปแล้ว หลังจากนี้กูก็จะไม่ได้ไปที่นั่นอีกเลยน่ะสิวะ”

“นั่นไงกูว่าแล้ว”

“ว่าแล้วอะไร”

“ว่ามึงต้องเกิดอาการเป็นผีติดที่ เจ้าที่ติดคอนโดอะไรแบบนั้นน่ะ หรือจู่ๆ ก็เกิดคิดถึงใครบางคนที่นั่นขึ้นมารึไง” ไอ้เพื่อนตัวดีทำเสียงแหย่

“มึงอย่ามาตลก ไอ้ยุทธ กูหมายถึงว่ากูคงรู้สึกเหงาๆ ล่ะมั้ง เพราะกูก็ตั้งใจตกแต่งที่นั่นไว้เพื่อให้น้ำในอนาคตด้วยน่ะ และบางทีเวลากูไปที่นั่น กูก็คิดถึงฟ้าขึ้นมาด้วยเหมือนกัน”

“กูรู้อยู่แล้วว่ามึงต้องคิดแบบนี้ ถ้างั้นมึงยิ่งต้องรีบๆ ปล่อยเช่าเลย ไอ้เหี้ยหนึ่ง ไม่งั้นมึงก็จะจมอยู่กับอดีตแบบนี้แหละ”

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ชีวิตกูมันไม่ค่อยได้พบปะผู้คนนี่หว่า ก็เลยอดคิดถึงเรื่องเก่าๆ หรือคนใกล้ตัวไม่ได้... เออ แต่นอกจากเรื่องของเด็กที่ชื่อหมอกแล้ว วันนี้กูได้เจอผู้ชายคนนึงเว้ย อายุน่าจะใกล้ๆ กับพวกเรานี่แหละ พอดีกูไม่ได้ถามว่ะ”

“แล้วไงวะ มันจีบมึงอีกรึไง” มันหัวเราะอีก

“ครวยเหอะ ไม่ใช่ละ เค้ามีลูกแล้วเว้ย อายุขวบนึง วันนี้กูได้นั่งคุยกับเค้าด้วย เลยทำให้กูคิดอะไรได้ขึ้นมาอย่างนึงว่ะ มึงรู้มั้ยว่าอะไร”

“อะไรวะ”

“กูรู้สึกว่ากูไม่มีเพื่อนที่สามารถปรึกษาเรื่องลูกได้เลยว่ะ”

“อ้าว ก็พี่มึงไง แม่มึงด้วย”

“กูหมายถึงเพื่อนสิวะ ไม่ใช่คนในครอบครัว คือกูนึกถึงพวกคอมมิวนิตี้บางอย่าง ที่พ่อแม่เค้าพาลูกๆ ไปเล่น ไปพบปะกัน พูดคุยกัน อะไรแบบนี้อะว่ะ ก่อนหน้าที่จะโทรหามึงเนี่ย กูลองเสิร์ชๆ ในอินเตอร์เน็ตแล้ว ตามโรงพยาบาลดังๆ ก็มี มึงว่ากูน่าลองพาน้ำไปดูดีมั้ยวะ”

“ก็ไปดิ ไม่เห็นมีอะไรเสียหายตรงไหน ดีซะอีก มึงจะได้เจอคนในโลกภายนอกบ้าง ไม่ใช่มีแต่งาน ครอบครัว ลูก แล้วก็เรื่องในอดีต และเผลอๆ มึงอาจจะได้เจอคุณแม่ม่ายลูกติดที่ยังสาว ยังสวย อะไรแบบนี้ก็ได้นะเว้ย”

ผมส่ายหน้าเบาๆ “มึงนี่มันเหมือนพี่ชายกูไม่มีผิด”

“ฮ่าๆๆ เอาเหอะ ถ้ามึงอยากไปก็บอกแล้วกัน เดี๋ยวกูส่งมะปรางไปเป็นเพื่อนมึงก็ได้”

“ขอบใจเว้ย แต่ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวกูลองปรึกษาเรื่องนี้กับแม่ดูก่อน แต่กูมั่นใจเลยว่าแม่กูเค้าต้องมีคนที่อยากให้กูพาไปด้วยอยู่ในใจแล้วแน่ๆ”

“ใครวะ”

“จะใครล่ะ ก็ก้อยไง ลูกเพื่อนเค้าน่ะ ที่กูเคยเล่าให้ฟังว่าเค้าพยายามจับคู่กูกับน้องคนนี้ตั้งแต่ช่วงที่กูยังทำใจเรื่องฟ้าไม่ได้แล้ว”

“อ๋อออ เออๆ กูก็ลืมไปว่ะ แล้วตอนนี้น้องเค้าเป็นไงมั่งแล้ววะ ไม่เห็นมึงพูดถึงเลย”

“ก็ยังคุยกันอยู่เรื่อยๆ แหละว่ะ นานๆ เค้าก็มาที่บ้านบ้าง แต่เห็นว่าช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมานี้ยุ่งๆ เรื่องงานน่ะ เลยไม่ค่อยได้เจอได้คุยกันเท่าไหร่”

“แต่มึงก็น่าลองคุยกับน้องเค้าดูไม่ใช่เหรอวะ ไอ้หนึ่ง เค้าเองก็อาจจะชอบมึงอยู่เหมือนกันก็ได้นะเว้ย”

“พอเลย ไอ้ยุทธ มึงไม่ต้องพูดเหมือนแม่กูอีกคนเลยนะเว้ย พอๆ กูไม่คุยกับมึงแล้ว ปวดกบาลว่ะ”

“ฮ่าๆๆ เออ ถ้ามีอะไรคืบหน้าก็โทรมาบอกกูแล้วกันเว้ย เอาไว้ว่างๆ ไปกินข้าวกันหน่อยเว้ย”

“เออ ได้ ไว้นัดกันอีกที”

ผมวางสายและโยนโทรศัพท์ลงบนเตียง จากนั้นก็เดินออกจากห้องลงไปยังชั้นล่าง แม่กำลังจะเปลี่ยนแพมเพิสให้น้ำอยู่พอดี แต่ดูท่าทางเหมือนจะกำลังเจอปัญหาอยู่ไม่น้อย เพราะเจ้าตัวเล็กเอาแต่จะดิ้นและคืบตัวหนีอยู่ตลอดเวลา

“อากาศดี อยู่นิ่งๆ หน่อยสิลูก! ย่าปล้ำอยู่กับหนูมาหลายนาทีแล้วนะ!”

เจ้าตัวเล็กส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากและพูดบางอย่างที่จับเป็นคำไม่ได้ออกมา เขาเตะขาไปมาและพยายามจะพลิกตัวเป็นนอนคว่ำ ผมจึงเดินไปนั่งลงข้างๆ แม่และช่วยอุ้มเขาให้ลอยขึ้นเพื่อให้แม่สวมแพมเพิสผืนใหม่ได้อย่างสะดวก

“เออ! ได้สักที!” แม่ถอนหายใจ จากนั้นก็หันมาหาผม “ทำไมอาบน้ำนานนักล่ะ”

“เมื่อกี้หนึ่งคุยโทรศัพท์กับไอ้ยุทธน่ะครับ เลยลงมาช้าหน่อย”

“อ้าวเหรอ มันเป็นยังไงบ้างล่ะ แม่ไม่เจอหน้ามันตั้งนาน”

“ช่วงหลังๆ นี้มันออกไซท์งานน่ะ เลยไม่ค่อยว่าง บางทีก็ออกไปต่างจังหวัดด้วย อย่างตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ ครับ เพิ่งไปเมื่อเช้าเลย แต่อาทิตย์หน้ามันก็น่าจะกลับมาแล้วล่ะ นี่ก็ว่าจะนัดกินข้าวกับมันอยู่เหมือนกัน”

“เอ้อ ดีๆ ให้มันมากินข้าวที่บ้านสิ”

“เดี๋ยวหนึ่งชวนให้ครับ” ผมยื่นของเล่นให้น้ำ พยายามให้เขาคืบตัวเข้ามาคว้ามันด้วยตัวเอง

ผมเล่าให้แม่ฟังเรื่องความคิดของผมทั้งเรื่องคอนโดและเรื่องที่ผมเพิ่งคุยกับไอ้ยุทธ ซึ่งสำหรับเรื่องคอนโดนั้นก็เป็นไปตามที่คาด เพราะว่าแม่เห็นด้วยเต็มที่อยู่แล้ว แต่ดูเหมือนแม่จะไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ที่ผมจะต้องเสียเงิน เสียเวลาไปนั่งฟังคนมาอบรมหรือสอนเรื่องวิธีการเลี้ยงลูกทั้งๆ ที่ก็มีแม่อยู่แล้วทั้งคน แต่เมื่อผมอธิบายว่าจุดประสงค์หลักของผมไม่ใช่เรื่องพวกนั้น แต่เป็นเรื่องการได้พบปะพ่อแม่คนอื่นๆ บ้าง แม่จึงดูเหมือนจะเริ่มคล้อยตามมาอีกหน่อย

“แล้วมันมีที่ไหนบ้างล่ะ มีข้อมูลแล้วรึไง”

“ตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ ก็มีครับ หรือไม่งั้นก็ตามพวกศูนย์พัฒนาเด็กที่อยู่ในห้าง หรืออะไรพวกนี้อะครับ หนึ่งคงต้องศึกษาข้อมูลดูอีกหน่อย”

“ทำไมไม่ลองชวนก้อยไปด้วยล่ะ”

นั่นไง

“แม่ครับ หนึ่งไม่อยากถูกแม่จับคู่นะ หนึ่งเคยบอกไปหลายรอบแล้วไง เราสองคนเป็นแค่พี่น้องกันนะครับแม่”

“พี่น้องก็พี่น้องสิ แม่ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำเลย ก็แค่บอกว่าลองชวนเค้าไปดูแค่นั้นเอง ไหนๆ ก็จะไปในห้างอยู่แล้วนี่ ก็พาน้องเค้าไปกินข้าวด้วยกันหน่อยจะเป็นอะไรไป ถ้าแกไม่โทรไปชวนน้องเค้า แม่จะโทรเองนะ”

“โอเคๆ งั้นเดี๋ยวเอาไว้สักกลางๆ อาทิตย์หน้าหนึ่งจะชวนน้องเค้าเองก็แล้วกัน” ผมยอมแพ้

ผมนั่งเล่นกับน้ำอยู่ครู่ใหญ่จนกระทั่งเขาเริ่มง่วง ผมจึงอุ้มเขาขึ้นไปนอนบนห้อง ผมกลับลงมาที่ห้องนั่งเล่นเพื่อคุยกับพ่อและแม่เรื่องรายละเอียดที่จะให้เพื่อนของเอเช่าคอนโดอีกสักพัก จากนั้นก็กลับขึ้นห้องไปโทรหาเอ เราจึงนัดกันว่าวันพรุ่งนี้เย็น พวกเขาจะมาหาผมที่ทำงานแล้วเราก็จะไปที่คอนโดเพื่อดูห้องด้วยกัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2013 19:07:50 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นมานอนเล่นกับน้ำอยู่พักใหญ่ๆ เหมือนเคย เมื่อแม่เดินมาหาผมที่ห้องและรับน้ำไปดูแลแล้ว ผมก็อาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกไปทำงาน การที่ต้องออกจากบ้านไปทำงานโดยทิ้งลูกเอาไว้เป็นเรื่องที่ทรมานและน่าเศร้าที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับผม ถึงแม้ว่าผมจะรู้ว่าลูกของผมอยู่กับคนที่ผมไว้วางใจได้มากที่สุดในโลก แต่ลึกๆ แล้วผมก็อดกลัวไม่ได้ว่าลูกจะลืมหน้าผมหรือติดย่าของตัวเองมากกว่าพ่อแท้ๆ คนนี้ไปเสียก่อน นั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่ทุกๆ วันหยุด ผมจะพยายามใช้เวลาอยู่กับลูกให้ได้มากที่สุด

ปกติแล้วที่สถาบันของผมจะเปิดทุกวันไม่มีวันหยุด และเสาร์อาทิตย์ก็เป็นวันที่มีลูกค้ามากที่สุดด้วย แต่เนื่องจากผมทำงานด้านการตลาด จึงสามารถที่จะหยุดงานสองวันนี้ได้ ซึ่งก็จำต้องแลกมาด้วยการรับมือกับเอกสารกองพะเนินที่ต้องจัดการในวันจันทร์ และในขณะที่ผมกำลังวุ่นงายอยู่กับการจัดการเรื่องสัญญาและเอกสารต่างๆ อยู่นั้น เสียงเคาะประตูห้องของผมก็ดังขึ้น

“น้องหนึ่งคะ ขออนุญาตค่ะ” พี่พนักงานแอดมินคนหนึ่งเปิดประตูและชะโงกหน้าเข้ามาในห้อง

“เข้ามาเลยครับ พี่แอมป์ ไม่ต้องเกรงใจ”

“คุณแม่มาหาน่ะค่ะ จะให้พี่เชิญมาในนี้หรือพี่จะออกไปพบข้างนอกดีคะ”

“ฮะ! แม่ผมมาที่นี่เหรอครับ!”

“คุณพ่อกับน้องน้ำก็มานะเออ มากันครบเลยแหละ”

“เอ๊า อะไรวะ โอเคๆ งั้นเดี๋ยวผมออกไปรับเค้าเองครับพี่” ผมรีบลุกออกจากโต๊ะทันที

เมื่อผมเดินออกไปที่หน้าออฟฟิศแล้วก็เห็นพ่อกับแม่กำลังนั่งรออยู่ที่โต๊ะรับแขกตัวหนึ่งของเรา

“พ่อ แม่ ทำไมมาไม่บอกหนึ่งล่ะครับ” ผมนั่งลงตรงข้ามทั้งสองคน

“พ่อโทรหาแกแล้วนะ แต่โทรไม่ติดเลย”

“อ้าว” ผมตบกระเป๋ากางเกงและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดู “เวรกรรม สงสัยแบ็ตฯ จะหมดน่ะครับ เมื่อคืนหนึ่งลืมชาร์จแบ็ตฯ ไว้อะดิ” ผมถอนหายใจ “โชคดีที่หนึ่งมีสายชาร์จอยู่ที่นี่อีกอันนะเนี่ย ว่าแต่ทำไมพ่อไม่โทรเข้าออฟฟิศล่ะครับ แล้วมาถึงที่นี่ มีอะไรรึเปล่า หรือว่าน้ำไม่สบาย”

“ไม่ใช่ๆ พ่อเอาเอกสารมาให้ สัญญาที่เราต้องเซ็นและส่งไปที่ออฟฟิศพ่อภายในวันพุธไง” พ่อวางซองสีน้ำตาลลงบนโต๊ะ “พ่อน่ะมาเรื่องงาน แต่แม่แกเนี่ย เค้าดันอยากมาด้วย”

“ทำไมล่ะ อยู่บ้านทั้งวันก็เบื่อบ้างสิ”

“นี่ก็เที่ยงแล้วนะ แกกินอะไรรึยัง”

ผมดูนาฬิกาข้อมือ เที่ยงกว่าแล้วจริงๆ ด้วย “ยังเลยครับพ่อ หนึ่งมัวแต่นั่งเคลียร์เอกสารอยู่จนลืมเวลาไปเลย”

“งั้นเราไปกินข้าวด้วยกันมั้ย” พ่อถาม

“ก็ได้ครับ”

พอดีพี่ต็อบ หัวหน้าของผมเดินออกมาเจอผมกับเราเข้าพอดี เขาเลยหยุดเล่นกับไอ้ตัวเล็กครู่หนึ่งก่อนจะทักทายและพูดคุยเรื่องงานกับพ่ออีกครู่สั้นๆ ทำให้กว่าที่เราจะได้ลงไปกินข้าวกันก็เกือบบ่ายโมงเข้าไปแล้ว

หลังกลับขึ้นมาจากพักกลางวัน ผมก็ส่งน้ำคืนให้กับแม่ และเมื่อพ่อกับแม่เดินจากไป ลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่ผมคุ้นหน้าก็เดินสวนเข้ามาพอดี

“อ้าว หมอก” ผมทักทายชายหนุ่มคนที่เดินนำหน้าสุด

“สวัสดีครับพี่หนึ่ง” เขายกมือขึ้นไหว้ผม “เมื่อกี้ลูกพี่ไม่ใช่เหรอครับ งั้นคุณลุงคุณป้าสองคนนั่นก็...”

“พ่อกับแม่พี่เองครับ มาๆ นั่งกันก่อน วันนี้มาทำอะไรครับ”

“พวกหนูมาจ่ายเงินน่ะค่ะ” น้องผู้หญิงในกลุ่มตอบ

“อ๋อ โอเค เชิญครับ รอแป๊บนึงนะ” ผมหันไปส่งสัญญาณเรียกพนักงานของเราให้มาดูแลพวกเขา จากนั้นก็ขอตัวน้องๆ เพื่อเดินกลับเข้าไปทำงานต่อที่ออฟฟิศ

“พี่หนึ่งๆ”

ผมหยุดยืนอยู่หน้าห้องของตัวเองและหันกลับไปหาหมอกที่เดินตามผมมา “ว่าไงครับ”

“นี่ครับ” เขายื่นเศษกระดาษชิ้นเล็กๆ ให้ผม

ผมรับมันมางงๆ

“เบอร์ผมไงพี่ ผมน่ะมีเบอร์พี่แล้ว แต่พี่ยังไม่มีเบอร์ผมเลยไม่ใช่เหรอ ตอนแรกผมก็ว่าจะส่งเมสเสจไปหาพี่อยู่หรอก แต่พอดีเพื่อนมันบอกผมก่อนว่าจะมาที่นี่วันนี้ ก็เลยคิดว่ามาเจอพี่และบอกพี่ด้วยตัวเองจะดีกว่า”

“อ๋อ พี่ก็สงสัยอยู่ว่าเราบอกให้พี่โทรไปบอกว่าจะพาน้องเข้าไปตอนไหน แต่พี่ไม่มีเบอร์เรา แล้วจะโทรยังไง”

“ฮ่าๆๆ ไอ้ตอนนั้นก็พูดไปแบบไม่ได้คิดไง ลืมสนิท แต่ตอนนี้พี่มีเบอร์ผมแล้ว คราวหลังถ้าพี่ไปคอนโดอีกก็โทรบอกผมด้วยล่ะ ไว้จะเดินไปหา” เขายิ้มกว้าง

“ได้ครับ” ผมพยักหน้า

เขายืนมองหน้าผมแล้วยิ้มอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง เขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็หน้าแดงขึ้นมาน้อยๆ ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ พร้อมฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง

“อะไรครับ” ผมถามพร้อมเลิกคิ้วขึ้น

“เปล่าพี่ ไม่มีอะไร” เขาก้มหน้าเล็กน้อยแล้วเกาหัวเบาๆ “ผมไปละพี่ พี่ไปทำงานเถอะ ไว้ค่อยเจอกันครับ” เขาพูดพลางตีต้นแขนผมเบาๆ 2-3 ที แล้วจึงออกกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับไปหากลุ่มเพื่อนของเขา


M.Aplus

  • บุคคลทั่วไป
ขอเจิมมมมมมมม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสนุก อิอิ :z13: :z13: :z13:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
“พี่หนึ่ง นี่ไอ้อาร์ม เพื่อนเอครับ ไอ้เอ นี่พี่อาร์ม แฟนพี่ฟ้าที่กูเคยเล่าให้ฟังอะ อยู่บ้านใกล้ๆ กัน”
...........ตรงนี้สับสนชื่อ.............

ตัวละครเพียบเลยทีนี้
สายหมอกคิดอะไรแน่ ๆ แอบหน้าแดง

โอ๊ะ ซอรี่ครับ แก้ด่วนๆๆ ฮ่าๆๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2013 19:07:05 โดย ExecutioneR »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด