ตอนที่ 4โจวพอล “พอล.....พอล...พอล!!”
“เสียงดังทำไมจินนี่!” ผมหันไปดุคนที่ทำเสียงดังไม่เข้าเรื่อง ทั้งๆที่นั่งกันอยู่ในรถแค่สองคนแท้ๆ จะต้องตะโกนทำไมให้หนวกหู
“จินนี่เรียกพอลตั้งหลายรอบ พอลก็ไม่เห็นตอบ จะไม่ให้เสียงดังใส่ได้ไง...ทำไมพอลต้องทำตัวเหมือนกำลังเบื่อหน่ายจินนี่ด้วยคะ จินนี่จะฟ้องคุณลุง” แม่ตุ๊กตากระเบื้องจีนโวยวายใส่ผมไม่พอ ยังคิดจะทำตัวเป็นเด็กขี้ฟ้องหมายจะฟ้องปาปาผมอีก แต่ผมรึจะกลัว
“ตามสบาย” หลังถ้อยคำไม่แยแสของผม ทำเอายัยจินนี่โวยวายใส่ผมรถแทบแตก แต่ผมเลือกที่จะวางเฉย ขืนต่อปากต่อคำด้วย คงไม่ต่างจากการเทน้ำมันลงบนกองไฟ
ถ้าจินนี่เด็กกว่านี้สักสิบปี ผมจะหาผ้ามัดปากไม่ให้ส่งเสียงหนวกหู จนมาทำลายสมาธิในการขับรถของผมจริงๆด้วย อย่าหาว่าผมใจร้ายเลย ด้วยหูผมอื้อไปหมดเพราะไม่ได้พัก ด้วยเสียงเจื้อยแจ้วที่ดังขึ้นตั้งแต่สนามบินจนถึงเดี๋ยวนี้ พาลทำผมหงุดหงิดจึงพยายามปล่อยเสียงน่ารำคาญนั้น เข้าหูซ้ายผ่านออกไปทิ้งหูขวาแทน จนผมโดนแม่ตัวดีต่อว่าอย่างที่คุณได้ยินไปนั่นแหละครับ
ผมต้องยอมรับว่าผมนั้นเบื่อแม่ตุ๊กตากระเบื้องจีนตัวร้ายคนนี้ชะมัด แค่บินกลับจากการไปเที่ยว ทำไมต้องให้ผมถ่อมารับถึงสนามบินด้วยตัวเองก็ไม่รู้ ทั้งๆที่บ้านจินนี่เองก็มีคนขับรถรอรับอยู่แล้วแท้ๆ ซึ่งผมจะไม่มารับยัยจินนี่ขี้โวยวายนี่เลย ถ้ามามาจะไม่โทรมาบอกผมด้วยตัวเอง ให้คุณเชื่อเถอะว่ายัยนี่ต้องโทรไปอ้อนมามาของผม เพื่อให้ท่านมากดดันผมให้ไปรับอีกทอดหนึ่งอย่างแน่นอน
ผมคงจะเต็มใจและไม่หงุดหงิดเท่านี้ หากว่าผมว่างและไม่ได้กำลังปฏิบัติภารกิจสำคัญ อย่างการพยายามง้อฝูหรงคนน่ารักของผมอยู่ แต่ผมก็ต้องตัดใจด้วยต้องทำตามคำขอของมามา เพื่อมารับยัยผู้หญิงน่ารำคาญคนนี้ ที่สำคัญอาการของฝูหรงก่อนผมกลับออกมาดูแปลกๆ ด้วยก่อนหน้านั้นคนน่ารักของผมดูโอนอ่อนยอมตามใจผมมากแล้วแท้ๆ ถึงขั้นยอมให้ผมจูบยอมให้ผมชื่นใจเล็กๆน้อยๆ แต่พอผมออกมาจากห้องน้ำ กลับเปลี่ยนเป็นฝูหรงที่แสนเย็นชา ทิ้งภาพกระต่ายน้อยขี้อายแสนน่ารักไปจนหมด
คุณเริ่มสงสัยกันแล้วใช่มั้ยว่าแม่ตุ๊กตากระเบื้องจีนที่ผมเรียกเธอว่าจินนี่นี้เป็นใคร ทำไมถึงดูสนิทสนมกับผมมากขนาดนี้ แต่คงไม่ได้คิดกันไปใช่มั้ย ว่ายัยจินนี่เป็นคู่หมั้นคู่หมายที่บุพการีผมหาไว้ให้อะไรเทือกนั้น เพราะขืนคิดกันไปเช่นนั้น อาจมีสิทธิ์ที่ฟ้าจะผ่าลงมาบนหัวผมกับแม่สาวขี้โวยวายคนนี้แน่ๆ เพราะผมกับจินนี่เป็นญาติสนิทกัน ไม่มีทางที่เราจะมาฟีทเจอริ่งกันได้แน่นอน แถมนิสัยที่โคตรเอาแต่ใจของจินนี่ก็ไม่ใช่คนในสเป็คที่ผมตั้งไว้ด้วย ขืนผมได้เจอผู้หญิงแบบนี้ ผมมีแต่จะหนีให้ห่างซะมากกว่า
ไม่เหมือนใครบางคนที่มีกิริยาอ่อนหวานและท่าทางที่แสนนุ่มนวล ยิ่งพูดก็ยิ่งคิดถึง ผมไม่น่าต้องมารับยัยญาติแสนเอาแต่ใจคนนี้เลย ไม่เช่นนั้นคืนนี้มีสิทธิ์ที่ผมจะได้นอนกอดร่างนุ่มนิ่มก็เป็นได้
‘หมิงอี้ซาน’ หรือที่ใครๆต่างเรียกเธอว่า ‘จินนี่’ นั้น เป็นลูกสาวคนเดียวของประธานบริษัทจิวเวลรี่ชื่อดังของฮ่องกง ที่มีฐานะเป็นคุณอาหญิงของผมเอง ซึ่งอาหมิงฮุ่ยเป็นน้องสาวคนที่สองของพ่อผมในบรรดาพี่น้องสี่คน ซึ่งอาๆคนที่เหลือต่างก็เป็นผู้ชายแทบทั้งสิ้น แถมยัยจินนี่ที่อายุเท่าผมแต่อ่อนเดือนกว่า ก็เป็นหลานสาวคนเดียวในบรรดาหลานๆทั้งหมดด้วย ทำให้ปาปาและคุณอาผู้ชายต่างเอ็นดู และคอยตามใจจินนี่มากกว่าลูกหลานที่เป็นผู้ชายคนอื่น จนผมและลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ต่างยกตำแหน่งลับๆให้เธอเป็น ‘ยัยแม่มดน้อยจอมแสบตัวร้ายแห่งตระกูลโจว’
แม้ภายนอกจินนี่จะสวยและดูบอบบางน่าทะนุถนอม เหมือนดังคำเปรียบเปรยว่าแม่ตุ๊กตากระเบื้องจีนก็ตาม แต่นิสัยที่ขี้โวยวายและช่างเอาแต่ใจก็ไม่ต่างจากแม่มดตัวร้ายสักนิด ทำเอาญาติๆอย่างพวกเราต่างส่ายหน้าให้ ทว่ายามที่จินนี่อารมณ์ดี ด้วยคนรอบตัวยอมตามใจนั้น จินนี่ก็เปรียบดั่งนางฟ้าตัวน้อยๆที่ทำให้ทุกคนต่างหลงรักได้เหมือนกัน
ข้อเสียของยัยจินนี่ไม่ได้มีเพียงขี้โวยวายและเอาแต่ใจเท่านั้น แต่ยังมีข้อเสียอีกข้อที่ทำให้พวกเราลูกพี่ลูกน้องต่างปวดหัวกันทั่วหน้ามาแล้ว นั่นก็คืออาการขี้หวงบรรดาญาติผู้ชายทุกคน และทำตัวไปคอยกีดกันญาติตัวเองกับบรรดาสาวๆที่ญาติตัวเองคบด้วย จนถึงขั้นเลิกรากันก็มี
จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ลูกพี่ลูกน้องตระกูลโจวยังไม่มีใครมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกันสักคน หรือหากมีสาวที่ตัวเองสนใจก็จะแอบคบลับหลังไม่ให้จินนี่รู้ แต่พวกเราก็หายใจหายคอโล่งหน่อย ช่วงที่ยัยจินนี่ไปเรียนปริญญาตรีที่อิตาลีเป็นเวลาสี่ปี ซึ่งพอเธอกลับมาเมื่อกลางปีที่แล้ว วงจรเดิมๆกลับมาอีกครั้ง เพราะยัยจินนี่เที่ยวตามสอดส่องและตามกีดกันบรรดาญาติๆ หากเห็นว่าใครในพวกเรามีวี่แววว่าจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตน
ผมเคยคิดเล่นๆว่าจะหาผู้ชายสักคนให้ยัยญาติจอมจุ้นจ้านนี่ เผื่อว่าจะได้เลิกรังควานพวกเราสักที แต่ผมก็สงสารไอ้ผู้ชายโชคร้ายคนนั้น เกินกว่าที่จะชักนำมาให้ยัยแม่มดน้อยจอมแสบของพวกเรา
“ลุงฟู่สือคะ พอลน่ะว่าจินนี่ แถมยังทำหน้าบูดตลอดเวลาที่อยู่บนรถด้วย จินนี่ไม่ชอบเลย” เป็นไงล่ะครับเหมือนที่ผมบอกมั้ยว่ายัยนี่น่ะขี้ฟ้อง มาถึงและเจอหน้าปาปาผมได้ ก็เข้าไปอ้อนปาปาและฟ้องตามที่ได้ยินไป ซึ่งปาปาก็ได้แต่กอดตอบยัยขี้ฟ้องและยกยิ้ม พลางลูบหัวอย่างเอ็นดู และแค่เหลือบมองมายังผมยิ้มๆเท่านั้น
“ตอนจินนี่โทรไป พอลรับสายแล้วทำเป็นไม่ยอมคุยด้วย จนจินนี่ต้องโทรมาอ้อนป้าอีลิน่าให้โทรหาพอลแทน ไม่งั้นจินนี่คงได้นอนที่สนามบินแล้วมั้งคะ คุณลุงดูสิ่งที่พอลทำกับจินนี่สิ” เสียงเจื้อยแจ้วที่ฟังดูน่าสงสารไม่ได้เข้าหูผมสักนิด เพราะตั้งแต่ประโยคแรกที่ได้ยินนั้น ได้ดึงความสนใจจากผมไปจนหมด
ถ้าผมฟังไม่ผิดหมายความว่ายัยจินนี่โทรหาผม ก่อนที่มามาอีลิน่าจะโทรมาบอกให้ผมไปรับเธอ แต่ผมจำไม่ได้เลยว่าเผลอกดรับ หรือได้ยินเสียงเรียกเข้าของจินนี่ตอนไหน หรือจะเป็นช่วงที่ผมเข้าห้องน้ำ นั่นหมายความว่าคนที่รับสายจินนี่แล้วไม่พูดคือฝูหรงใช่มั้ย
เพราะฉะนั้นอาการตึงๆทำตัวเย็นชาของฝูหรงที่มีต่อผม เกิดจากสายโทรเข้าของจินนี่งั้นสิ หรือว่าที่ฝูหรงมีอาการดังกล่าวเป็นเพราะเข้าใจผิด คิดว่าผมมีผู้หญิงอื่นโทรมาตามตัวกันแน่ ‘ใช่!...มันต้องเป็นเพราะเหตุผลที่ว่าฝูหรงหึงผม!’
“พอล! โดนคุณป้าว่าแล้วยังยิ้มได้อีกเหรอ...คุณลุงคุณป้าดูพอลสิคะ” ผมไม่สนใจยัยเด็กสามขวบนี่หรอก ปล่อยให้งอแงกับปาปามามาไปแล้วกันครับ ส่วนผมขอเวลาโทรไปง้อและทำความเข้าใจกับว่าที่แฟนก่อนดีกว่า
“อ้าว จะไปไหนล่ะพอล” เสียงนี้เป็นของมามาคนสวยของผมเองครับ
ผมจึงเลือกที่จะหมุนตัวกลับและก้มไปหอมแก้มท่าน ก่อนจะบอกว่าขอตัวขึ้นห้องเพื่อไปจัดการธุระส่วนตัว ซึ่งท่านเองก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ย้ำให้ผมรีบลงมาทานมื้อเย็นด้วยกันเท่านั้น
ส่วนจินนี่ก็แค่สะบัดค้อนวงโตใส่ผม ก่อนหันไปฉอเลาะออเซาะปาปามามา เหมือนดังตัวเองเป็นลูกสาวคนเล็กของบ้านนี้ก็ไม่ปาน แต่ผมชินซะแล้วครับ เพราะจะว่าไปผมก็รักยัยแสบขี้วีนไม่ต่างจากน้องสาวคนหนึ่งเหมือนกัน
เมื่อผมขึ้นห้องมาได้ สิ่งที่ทำคือตรวจดูประวัติโทรเข้าจากโทรศัพท์ และพบว่ามันเป็นความจริงตามสิ่งที่จินนี่ฟ้องปาปา ซึ่งผมพบว่าสายดังกล่าวถูกกดรับ และใช้เวลาถือสายไม่ถึงนาทีก่อนจะถูกวาง แม้จะแอบเข้าข้างตัวเองว่าฝูหรงหึงจินนี่ จนพาลเข้าใจผิดและโกรธผมเข้า แต่ใจลึกๆออกจะแปลกใจอยู่บ้าง ว่าทำไมฝูหรงคนปัจจุบันนี้ถึงดูไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่ ทั้งๆที่ถ้าถามผมสักนิด ผมก็จะให้คำตอบได้ว่า ผมกับยัยจินนี่เป็นเพียงญาติกัน แต่ฝูหรงกลับคิดเองเออเองไปได้
“...รับสายแล้วกดวางทำไม...กระต่ายน้อยเป็นอะไรเนี่ย” ผมทั้งสงสัยและเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว เมื่อโทรไปยังไม่ทันพูดอะไร นอกจากเอ่ยทักปลายสายเท่านั้น สายผมกลับถูกกดวางเอาดื้อๆ
หลังจากนั้นไม่ว่าผมจะเพียรโทรไปกี่รอบและรอนานสักเท่าไหร่ ปลายสายก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับอีกเลย จนสุดท้ายผมต้องยอมแพ้ และได้แต่นั่งหงุดหงิดอยู่เพียงคนเดียว
ภายในใจผมนั้นอยากจะหายตัวได้ และไปโผล่ในห้องของกระต่ายน้อยแสนงอนซะเดี๋ยวนี้ เพื่อจะได้คุยให้ชัดว่าฝูหรงเป็นอะไรถึงไม่ยอมคุยกับผม แต่ในความเป็นจริงคือผมต้องลงมาทานมื้อค่ำกับครอบครัวและยัยตัวแสบช่างจ้อ ที่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นสาวน้อยน่ารักขี้อ้อนช่างเอาใจไปแล้ว แต่ยัยจินนี่เวอร์ชั่นนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นได้เลย
“คืนนี้พอลจะยอมปล่อยกระต่ายน้อยไปก่อน แต่พรุ่งนี้อย่าคิดว่าจะรอดเลย” ผมก็ได้แต่ข่มตาให้หลับพร้อมวาดแผนการไว้ในใจเพียงลำพัง
...............................................
‘ให้มันได้แบบนี้สิ หึ!’ ไอ้ผมล่ะคิดถึงแทบเป็นแทบตาย แต่อีกฝ่ายกลับทำเมินใส่เหมือนไม่เห็นผมอยู่ในสายตา ทั้งๆที่เมื่อวานเคลิ้มไปกับจูบของผม จนตัวอ่อนอยู่ในอ้อมกอดผมแล้วแท้ๆ ทำเอาผมฉุนไอ้ที่คิดจะง้อจะอ้อนใส่เป็นอันพับเก็บไว้ก่อน
“เชิญครับ นายน้อยให้คุณเข้าพบได้เลย” ผมสะกดกลั้นอารมณ์โกรธไว้เพียงในอก ก่อนจะแสร้งเมินเหมือนที่อีกฝ่ายทำใส่ผม และเดินผ่านร่างเล็กที่เปิดประตูห้องทำงานรอไว้ก่อนแล้ว ด้วยทีท่าไม่ใส่ใจว่าจะมีเค้าหรือไม่
ยามที่ผมเดินผ่านฝูหรง กลิ่นหอมอ่อนๆประจำตัวคนตัวเล็กลอยเข้าจมูกทำเอาใจแกว่ง จนผมอยากจะเปลี่ยนใจเข้าไปรวบตัวกระต่ายน้อยแสนงอนเข้าสู่อ้อมกอดแทน แต่ผมก็ไม่ได้ทำอย่างที่ใจคิด ด้วยทิฐิบ้าๆในใจที่มีมากกว่า
“ไงพอล ทำไมช่วงนี้มาบ่อยนักวะ ที่ทำงานฉันมีอะไรดีๆรึไง” ผมก็ได้แต่แค่นหัวเราะพลางกรอกตาไปมา ให้กับเพื่อนสนิทที่แสนรู้ใจ ก่อนจะถือวิสาสะเดินไปนั่งหน้าโต๊ะทำงานของเจ้าของห้อง
“ฮึๆ ก็คงงั้นว่ะ มันก็แค่ผลพลอยได้ แต่ที่ฉันมานี่เพราะโดนไรอันใช้ให้มาชวนนายต่างหาก” ผมส่งยิ้มใสซื่อให้หลี่ผิง ด้วยเชื่อว่าถึงผมไม่อธิบายไอ้เพื่อนผมคนนี้คงเข้าใจอะไรๆได้ไม่ยาก
ส่วนเรื่องที่ผมบอกมันก็เป็นเรื่องจริงนะครับ แต่ก็ถือว่าเป็นข้ออ้างที่ผมใช้เพื่อมาถึงที่ทำงานเพื่อน เพราะอยากเห็นหน้าใครบางคนเท่านั้น ด้วยความเป็นจริงแค่ผมโทรบอกแก๊กเดียวก็เป็นอันรู้กันแล้ว
“เอาเถอะมีไรก็บอกแล้วกัน แล้วไอ้ไรอันให้มาชวนฉันไปไหนล่ะ” หลังจากหลี่ผิงเลิกคิ้วและจ้องหน้าผมอย่างค้นหาพักหนึ่ง มันก็พูดประโยคนี้ออกมา ซึ่งเราต่างก็แค่กระตุกยิ้มและจ้องตากันอย่างรู้เท่าทันกันเท่านั้น
“ไรอันจะมีงานเปิดร้านของมันคืนนี้ มันโทรมาบอกตั้งแต่อาทิตย์ก่อนและฝากบอกนายด้วย แต่ฉันลืม ฮ่าๆ ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นเลย นี่ไงอุตส่าห์มาบอกถึงที่แล้ว เพราะรู้สึกผิดนะเนี่ยถึงมาด้วยตัวเอง มันฝากบอกว่าให้พาน้องธันว์ไปให้ได้ เพราะมันคิดถึง...เฮ้ย! ฮ่าๆ แค่นี้ก็ต้องหวง” ดีนะที่ผมตาไว หลบด้ามปากกาของมาเฟียขี้หวงได้ทันท่วงที เพราะไอ้คนขว้างมันไม่มีออมมือให้เพื่อนอย่างผมสักนิด
หากผมแหย่เรื่องเด็กน้อยของมันทีไร เป็นว่าหลี่ผิงเอาจริงตลอด ไอ้ผมเองก็ไม่รู้เป็นอะไรชอบเห็นเพื่อนหงุดหงิดเพราะความขี้หวงเกินเหตุ มันเองก็หวงได้หวงดีเช่นกัน แต่ก็นะได้เป็นเจ้าของเด็กน่ารักอย่างน้องธันว์ ไม่หวงก็แปลกคนแล้ว
ไม่ใช่ว่าผมคิดไม่ซื่อกับแฟนเพื่อนนะครับ เพราะคุณก็รู้ว่าตลอดมาในใจผมนั้น มีใครบางคนจับจองไว้เต็มทุกห้องหัวใจแล้ว และคนๆนั้นเองก็น่ารักน่าใคร่ได้ไม่แพ้น้องธันว์สักนิด แถมตอนนี้คนน่ารักของผมก็เข้ามาให้ผมได้เห็นหน้าจนได้ ด้วยหลังจากหลี่ผิงกดโทรศัพท์ต่อสายไปถึงเลขาหน้าห้อง ไม่นานฝูหรงก็เข้ามารายงานตารางงานที่เจ้านายตัวเองขอ พร้อมถ้วยกาแฟสำหรับผมที่เป็นแขก ตามคำสั่งของเจ้านายโดยตรงอย่างหลี่ผิง
ผมเองแอบกระตุกยิ้มกับหน้าจอโทรศัพท์ที่ตั้งใจควักออกมากดเล่นฆ่าเวลา ก่อนจะลอบชำเลืองเลขาหน้าใสนิด แต่ก็เล่นเอาผมสะดุ้ง เมื่อแก้วกาแฟถูกกระแทกวางลงตรงหน้า ด้วยความจงใจของคนที่ชงมาให้ แถมคนชงเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจผมสักนิด ทำเอาผมกรุ่นๆในอก จึงเสจิบกาแฟและมองไปทางอื่นที่ไม่มีร่างเล็กอยู่ในระยะสายตา และปล่อยให้เจ้านายลูกน้องเค้าได้สั่งงานกัน แต่ผมมาขัดใจอย่างที่สุด ก็ต่อเมื่อเหลือบเห็นแววตาชื่นชมเปิดเผยของเลขาหน้าใสที่มีให้กับคนเป็นนาย
ผมจึงอดใจไม่ได้และเกิดอาการปากเร็วประชดใส่แบบไม่ตั้งใจ ในทำนองที่ว่าคนเค้ามีเจ้าของแล้วอย่าคิดตั้งความหวังจะดีกว่า เล่นเอาคนที่ได้ยินหน้าซีดตาตื่นมีอาการก้มหน้าหลบตาทันที ส่วนคนเป็นเจ้านายก็ได้แต่ขึ้งตาดุๆใส่ผม ซึ่งผมเองก็ได้แต่วางเฉยทำเป็นไม่สนใจและจิบกาแฟต่อ แต่ในใจนี่บอกเลยว่ากำลังหงุดหงิดตัวเองที่พลั้งปากทำร้ายฝูหรงเข้า
แต่ใครไม่มาเป็นผมไม่รู้หรอก ผมจะทนได้อย่างไร ในเมื่อคนที่ผมเทใจให้มีสายตาชื่นชมชายอื่นต่อหน้า แม้ไอ้ผู้ชายคนนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทและมีแฟนที่รักมากอยู่แล้วก็ตาม
หลังจากนั้นหลี่ผิงก็ถอนใจยาวและเอ่ยปากให้เลขาออกไปจากห้อง ผมดูก็รู้แล้วว่ามันเห็นใจฝูหรง และคงเหนื่อยใจกับเพื่อนอย่างผมไม่น้อย ก่อนหลี่ผิงจะเอ่ยเตือนสติผมด้วยประโยคหนึ่งที่ทำเอาผมสะอึกและเริ่มหนักใจ
“ไอ้พอล มึงนี่นะทำเป็นเด็กไปได้ เรียกร้องความสนใจรึไง ระวังเถอะปากเสียแบบนี้ นอกจากเค้าจะไม่สนใจ แต่จะพาลเกลียดขี้หน้าเอา” ไอ้คำว่าเกลียดนี่มันแทงใจผมชะมัด เพราะหากฝูหรงเกลียดผมเพราะความปากเสียขึ้นมาจริงๆ เรื่องง้อขอคืนดีคงกลายเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสสำหรับผมแน่นอน
ผมจึงรีบเอ่ยลาและพุ่งออกจากห้องทำงานของมันทันที โดยไม่คิดจะรอฟังคำตอบรับสักนิด แต่เมื่อออกมายืนนอกห้องได้ ผมกลับทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะเริ่มพูดกับฝูหรงอย่างไร ในเมื่อตอนนี้ฝูหรงเอาแต่นั่งเงียบ และจ้องเพียงหน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น ผมเชื่อว่าเจ้าตัวรู้ว่าผมมองอยู่แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจกันสักนิด แต่แล้วผมก็ได้ใจหาย เมื่อได้เห็นหยดน้ำตาร่วงหล่นมาตามพวงแก้ม ก่อนฝูหรงจะเบี่ยงหน้าหนีและทำท่าจะลุกหนีผมไปดื้อๆ
“ฝูหรง...มานี่” ผมไม่มีทางปล่อยให้ฝูหรงหนีผมไปไหนอีกแล้ว จึงเข้าไปรวบจับข้อมือและดึงคนตัวเล็กเข้าหาอก ก่อนจะบังคับให้เดินหลบมายังห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลนัก
เมื่อเข้ามาในห้องน้ำได้ ผมก็กดล็อกและรวบกอดร่างเล็กที่มีน้ำตาไหลพราก แต่กลับไม่มีเสียงสะอื้นให้ได้ยินไว้กับอก พลางลูบหลังปลอบประโลม แต่ผมก็รู้สึกผิดมากจนไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกไป ยิ่งผมรู้สึกถึงความชื้นบริเวณอกเสื้อมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งใจแกว่ง จึงออกแรงรวบกอดร่างบางเข้าหาอกมากขึ้น
ผมยืนกอดปลอบฝูหรงเงียบๆพักหนึ่ง ก่อนจะรับรู้ถึงแรงต้านที่อก จนต้องคลายอ้อมกอดลง แต่ก็ยังเห็นเพียงกลุ่มผมดำขลับเท่านั้น ผมจึงเอื้อมมือเชยคางฝูหรงขึ้น และจงใจถอดแว่นอันโตออกจากใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตา ผมเองถึงกลับใจร่วงไปอยู่ตาตุ่ม เมื่อได้สบตาเข้ากับดวงตากลมโตที่ส่งกระแสแห่งการต่อต้านรุนแรงมาให้ โดยที่เจ้าของดวงตานั้น ยังคงยืนประจันหน้ากับผมไม่มีหลบเลี่ยง
“ฝูหรง...” ผมหมดแรงจึงเปล่งเสียงเรียกชื่อคนตัวเล็กออกไปได้เท่านั้น ก่อนจะทำใจกล้าเกลี่ยคราบน้ำตาออกจากพวงแก้มใส ซึ่งฝูหรงเองก็ยังคงยืนนิ่งและปล่อยให้ผมได้ทำตามใจ
“เลิกยุ่งกับผมเถอะ” ประโยคนี้ไม่ต่างจากสายฟ้าฟาดลงกลางใจ แม้ผมจะตกใจและสำนึกตัวแล้วว่าทำผิด แต่ผมไม่มีทางทำตามคำขอนี้หรอก
“ไม่มีทาง!...พอลได้เจอฝูหรงแล้ว ยังไงก็จะไม่ยอมปล่อยให้ฝูหรงไปไหนอีก...พอลขอโทษที่ปากเสียใส่ แต่ใครจะทนไหว ที่ได้เห็นคนที่เรารักชื่นชมผู้ชายอื่นคาตา” แม้ฝูหรงจะทำหน้าเคร่งขรึม แต่แววตากลับอ่อนแสงลงกว่าเมื่อแรกที่ตัดรอนกัน ทำเอาผมเริ่มใจชื้นขึ้นมานิด
“คนที่รักงั้นเหรอ...ผู้ชายอย่างคุณรักคนได้กี่คนกันแน่” ประโยคประชดประชันและหางเสียงสั่นๆอย่างคนผิดหวัง แม้จะทำผมใจเสียแต่ก็ทำให้ผมเข้าใจในตัวคนพูดได้ทันที
ผมรวบมือทั้งคู่ของคนที่เข้าใจผิดไว้ระหว่างอก ก่อนจะจ้องเข้าไปในดวงตากลมโต ที่เคลือบคลอไปด้วยหยาดน้ำตาไว้
“ฝูหรง พอลรักฝูหรง รักมาตลอดและรักอยู่คนเดียว ไม่เคยมีใครอื่นนอกจากกระต่ายน้อยขี้ตื่นของพอลคนนี้เลย ขอให้เชื่อใจพอลนะครับ ส่วน ‘คนอื่น’ ฝูหรงคิดมากไปเอง” ผมคลี่ยิ้มใส่ตากระต่ายน้อยน่ารักที่กำลังหรี่ตามองผมอย่างจับผิด ก่อนจะรวบกอดร่างเล็กเข้าหาอกอีกครั้ง และแช่จูบไว้ที่ขมับขาวๆอยู่พักหนึ่ง
ฝูหรงเองก็มีขยับขลุกขลักอยู่ในอกผมอย่างขัดใจ ก่อนจะผลักผมออกและจ้องตาอย่างรอคอย คงหวังว่าจะได้ยินคำอธิบายคำว่า ‘คนอื่น’ ที่ผมเน้นในประโยคก่อนหน้า แต่ผมก็เลือกที่จะเงียบและยิ้มใส่ตาวาวๆคู่นี้เท่านั้น ด้วยผมเริ่มอารมณ์ดีที่อย่างน้อยฝูหรงก็ยังยอมฟังในสิ่งที่ผมพูดและมีทีท่าอยากรู้
แต่จะให้ผมมายืนอธิบายท่ามกลางอ่างล้างหน้าและโถสุขภัณฑ์ก็ใช่ที่ เพราะแค่คำสารภาพรักเมื่อครู่ก็มากเกินพอแล้ว ด้วยผมคงต้องร่ายยาวถึงที่มาที่ไปของตัวผมเองตั้งแต่ต้น ไหนจะเหตุผลที่ผมอยากรู้ว่าทำไมฝูหรงถึงหนีผมไปเมื่อห้าปีก่อนอีก เอาเป็นว่าผมขอพากระต่ายน้อยเข้าไปทำความรู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของผมยังบ้านของตัวเองเลยแล้วกัน
งานนี้เชื่อเถอะว่ากระต่ายน้อยแสนน่ารักไม่มีทางดิ้นหลุดไปจากกรงเล็บของสิงโตเจ้าป่าเยี่ยงผมได้อย่างแน่นอน
..............................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะตอนนี้คงพอเดาออกเนอะว่าอะไรเป็นอะไร หรือใครเป็นต้นเหตุของเรื่องยุ่งๆนี้
และก็คงขัดใจพอกันว่าเมื่อไหร่ไอ้คู่นี้มันถึงจะเคลียร์กันให้รู้เรื่องสักที
นั่นสิ!! ‘พอล! ทำไมนายไม่พูดๆไปให้รู้เรื่องว้า เล่นตัวทำไม!’
ตามนั้นค่ะ เราต่อว่านายพอลให้แล้ว

ตอนต่อไปมาตามฟังนายพอลแจงเรื่องยุ่งๆเมื่อ 5 ปีก่อนกัน และลุ้นด้วย
ว่ากระต่ายน้อยขี้ตื่นจะเชื่อมั้ย เจอกันอาทิตย์หน้าค่ะ
+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ
ปล.เหตุการณ์เดียวกันนี้มีในตอน
“ซาตานน้อยที่รัก” ธันว์&หลี่ผิง เพิ่มอรรถรสในการอ่านนะคะ เผื่อคนที่ไม่เคยอ่าน “รักหวานๆของมาเฟียขี้หึง” ค่ะ
