+:+ My all...私のすべて... +:+ Chapter 22 Missing piece 8 [6/03/16] (จบแล้วจ้า)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: +:+ My all...私のすべて... +:+ Chapter 22 Missing piece 8 [6/03/16] (จบแล้วจ้า)  (อ่าน 50141 ครั้ง)

ออฟไลน์ kagehana

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ด กรุณาอ่านทุกคน
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วย

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-03-2016 16:24:17 โดย kagehana »

ออฟไลน์ kagehana

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1
Re: +:+ My all...私のすべて... +:+ Chapter 1 แรกพบ
«ตอบ #1 เมื่อ20-12-2014 09:59:21 »


-1-


ณ โรงแรมระดับหรูแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ที่ห้องแกรนด์บอลรูม มีงานแต่งงานของคุณหนูในแวดวงไฮโซ แขกเหรื่อในงานตอนนี้กำลังพากันชื่นชมคู่บ่าวสาวที่กำลังเต้นรำบนฟลอร์โดยมีเสียงเปียโนบรรเลงเพลงรักหวานๆประกอบ แต่ก็มีสาวน้อยใหญ่บางคนที่แอบละสายตาไปยังนักเปียโนหนุ่มน้อยผมยาวผู้มีนัยน์ตาโศก ปลายนิ้วเรียวยาวที่เคาะแป้นสีขาวก็ดูสวยงาม ใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆเรียกสายตาให้ผู้ที่มองผ่านต้องหยุด แล้วหันกลับมามองอีกครั้ง

ดนตรีจบลงพร้อมๆกับเสียงปรบมือของบรรดาแขก หลังจากเข้าไปชื่นชมเจ้าสาว บิดาของหล่อนก็เดินมาทางเปียโนพร้อมเริ่มบทสนทนากับ ‘เขา’

“ญาณัช... ขอบคุณมาก... คุณเล่นเปียโนได้เพราะจริงๆ”

“ไม่หรอกครับ... ผมก็แค่เล่นได้” เขายิ้มบางๆให้เป็นการถ่อมตัว

“แล้วคุณทานอะไรหรือยัง... ระหว่างนี้ไปพักทานก่อนก็ได้นะ พวกเด็กๆเขาคงอยากคุยกันมากกว่าฟังเพลงแล้วล่ะ” พูดจบเขาก็หัวเราะ นักเปียโนร่างเพรียวยกมือไหว้พร้อมเอ่ยขอบคุณตามมารยาท แล้วจึงลุกจากเปียโนหลังนั้น เดินมาหยิบจานเปล่าแล้วเริ่มตักอาหาร

‘ญาณัช’ หนึ่งในทายาทรุ่นที่สามของตระกูลประสิทธิ์พรวิวัฒน์ เด็กหนุ่มอายุ20ที่ไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยเพียงเพราะทางบ้านไม่อนุญาต เขาที่อยากเรียนดนตรีจึงออกมาทำงานพิเศษเพื่อเก็บเงินที่โรงแรมแห่งนี้ทุกคืน โดยปกติจะเล่นที่ห้องอาหารของโรงแรม แต่ก็มีหลายทีที่เขาต้องมาเล่นในงานเลี้ยงเช่นนี้หากทางโรงแรมขอร้อง

เรื่องที่เขามาทำงานที่นี่ไม่มีใครรู้ ญาณัชตั้งใจว่าจะเก็บเงินเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม

ญาณัชตักกับข้าวใส่จานเพียงอย่างละนิดเพราะเขาไม่ใช่คนทานเยอะ แต่พอเจอกับบร็อคโคลี่ผัดกุ้งก็หยุดมอง ก่อนจะตักมากกว่าอย่างอื่นถึงเท่าตัวแล้วจึงเดินไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างซึ่งเป็นมุมเงียบสงบก่อนจะเริ่มทาน

รสชาติอาหารที่อร่อยถูกปากทำให้บนใบหน้ามีรอยยิ้มแต้มอยู่ ยิ่งตักบร็อคโคลี่มาทานก็ยิ่งรู้สึกว่าเชฟที่นี่ทำอาหารอร่อย แต่รอยยิ้มกลับจางหายไปจากใบหน้า คนที่แอบมองเขาอยู่อาจจะคิดว่าบร็อคโคลี่นั้นไม่อร่อยถูกปาก แต่จริงๆแล้วเปล่า... สำหรับญาณัชแล้ว บร็อคโคลี่ผัดกุ้งจานนี้อร่อยมากจนเขาหวนนึกถึงคนที่ไม่ได้อยู่กับเขาอีกต่อไปแล้ว

...ถ้าอาพีทได้ทาน...

...อาพีทต้องชอบแน่ๆ...

อาพีทที่ญาณัชคิดถึงก็คือ ‘พิชญ์’ ผู้มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพ่อของเขา ตอนที่ญาณัชอายุได้สี่ขวบ พ่อกับแม่ของเขาก็ประสบอุบัติเหตุทางเครื่องบินเสียชีวิต และในตอนนั้น คนที่รับเขามาดูแลราวกับเป็นลูกก็คือพิชญ์

ตอนแรกๆ ญาณัชไม่ค่อยเข้าใจเวลาได้ยินคนในบ้านแอบคุยกันถึงพิชญ์ว่าเป็นเกย์ เป็นตัวประหลาด พอโตขึ้นมาหน่อยก็เลยไปถามเอากับเจ้าตัวด้วยความซื่อ คำตอบที่ได้คือเสียงหัวเราะก่อนที่คำอธิบายจะตามมา

‘แต่ว่าผู้ชายต้องชอบผู้หญิงไม่ใช่เหรอฮะ’ เด็กผู้ชายตัวเล็กที่นั่งอยู่บนพื้นห้องเงยหน้าถาม

‘ฮ่าๆ นั่นก็ใช่ แต่อาไม่ชอบนี่... ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ จริงไหมนัท’ ชายหนุ่มผมยาวหน้าตาสะอาดอ้านเอื้อมมือมาลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู

‘แต่พวกลุงๆป้าๆชอบว่าว่าอาพีทแปลกแล้วก็ประหลาดนี่ฮะ... นัทไม่ชอบเลย’ ญาณัชทำหน้ายุ่ง

‘ถึงจะแปลก ถึงจะประหลาด... แต่ถ้าเรื่องที่อาชอบ ไม่ได้ทำร้ายหรือทำให้ใครเดือดร้อน ก็ไม่เป็นไรหรอก... เหมือนกับที่นัทไม่ชอบกินไข่ดาวยังไงล่ะ... ไม่มีใครเดือดร้อนจากการที่นัทไม่กินจริงไหม ถึงคนทั่วไปจะมองว่าประหลาดเพราะไข่ดาวเขาก็กินกันทุกคน แต่ก็ไม่มีใครตายเพราะนัทไม่กินไข่ดาว จริงไหม.... คนเรา ชอบอะไรไม่เหมือนกัน... ใช่ไหมนัท’

‘...ฮะ’

‘เข้าใจแล้วก็... ไปหาอะไรกินกันดีกว่า วันนี้ไปกินที่ร้านกุ้งกันเถอะ’ พิชญ์ลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมทั้งแตะหลังหลานรักเบาๆเป็นการบอกให้ลุกขึ้น

‘เมื่อวันก่อนก็เพิ่งไปมานะฮะอาพีท’

‘แต่บร็อคโคลี่ผัดกุ้งที่นั่นน่ะ อร่อยสุดยอดแล้วนะ เราก็ชอบเหมือนกันไม่ใช่เหรอนัท’

‘นัทชอบกะหล่ำผัดแฮมมากกว่าฮะ แต่ไม่เป็นไร อาพีทชอบก็ไปกินกัน’ รอยยิ้มสดใสปรากฎบนใบหน้ากลมๆของเด็กน้อย เขารีบกระโดดใส่หลังพิชญ์ ก่อนที่เสียงหัวเราะจะตามมา

นึกถึงตรงนี้ขอบตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ญาณัชรีบสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะลงมือทานต่อให้หมด ไม่นานนัก อาหารบนจานใบใหญ่หายไปจนหมด เหลือเพียงบร็อคโคลี่ผัดกุ้งครึ่งนึงจากที่ตักมาทิ้งไว้บนจาน เขายกมือประสานกันเป็นการไหว้ข้าว สิ่งที่พิชญ์สอนมาตั้งแต่เด็ก ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเดินหาเครื่องดื่ม

พักอยู่ได้ไม่นาน เขาก็ได้รับการเชิญให้ไปบรรเลงเพลงรักอีกสองสามเพลงก่อนจะเริ่มพิธีส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอ คำชื่นชมมากมายที่ได้รับทำให้ต้องโค้งขอบคุณด้วยความเขินอาย ญาณัชปลีกตัวออกมาด้านนอกเมื่อแขกทุกคนไปส่งตัวเจ้าสาวกัน ร่างโปร่งในชุดสูทสีดำมียี่ห้อเดินไปนั่งที่แกรนด์เปียโนหลังใหญ่ตรงล็อบบี้

ตรงล็อบบี้นั้นมีแขกมานั่งทานกาแฟอยู่แค่คนสองคน ญาณัชหลับตาลงก่อนจะเริ่มเล่นเพลงRomance d’Amour เพลงแรกๆที่เขาเล่นเป็นตอนเริ่มหัดเล่นเปียโน... เพลงที่พิชญ์ชอบฟังเวลาทำงาน

ใบหน้าของพิชญ์ยามยิ้มแย้มพร้อมคำชื่นชมในตัวเขาผุดขึ้นมาในมโนภาพ เพลงรักแสนหวานกลับฟังดูเศร้าสร้อยและโหยหา สองปีที่ผ่านมาหลังจากพิชญ์ตายจากไป ญาณัชยังไม่สามารถลบความโศกเศร้าออกจากหัวใจได้

เมื่อบทเพลงจบลง มีเสียงปรบมือดังขึ้นเบาๆจากมุมหนึ่ง เมื่อญาณัชหันไปดูก็พบกับหญิงสูงวัยร่างเล็กในชุดสูทผ้าไหมราคาแพงยืนอยู่ เด็กหนุ่มรีบยกมือขึ้นไหว้ก่อนจะลุกจากเปียโนแล้วเดินเข้ามาหา

“คุณพลอย... สวัสดีครับ” เขาเอ่ยทักทาย‘คุณพลอย’ เจ้าของโรงแรมแห่งนี้

“เล่นได้เพราะเหมือนเคยนะ...” หล่อนเอ่ยชม บนใบหน้ามีริ้วรอยแห่งวัยปรากฎให้เห็นชัดเมื่อเธอยิ้ม

“ขอบคุณครับ”

“คืนนี้ดึกไปหน่อยนะ... นอนที่นี่ไหม... ฉันจะได้เปิดห้องให้”

“...คงต้องรบกวนคุณพลอยด้วยนะครับ” ญาณัชเรียนรู้ที่จะไม่ตอบปฏิเสธ เพราะก่อนหน้านี้หากปฏิเสธ พลอยก็จะรบเร้าให้แท็กซี่ของโรงแรมไปส่งที่บ้าน ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น ความคงแตกว่าเขาทำงานที่นี่

“ไปขอคีย์การ์ดที่เคาน์เตอร์เหมือนเดิมได้เลยนะ... แล้วไว้พบกัน”

เด็กหนุ่มยกมือไหว้อีกครั้ง แล้วยืนรอให้หล่อนเดินจากไปก่อน - - - หากให้คิดถึงเรื่องกลับบ้านกับนอนค้างที่นี่ ญาณัชก็ไม่ค่อยอยากจะกลับไปที่บ้านประสิทธิ์พรวิวัฒน์สักเท่าไหร่นัก เมื่อวานเพิ่งมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นที่บ้าน อยู่ๆ พลภัทร ประธานคนปัจจุบันผู้มีศักดิ์เป็นลุงของเขาก็พาชายหนุ่มคนหนึ่งมาแนะนำว่าชื่อ ‘ชยางกูร’ โดยบอกว่าเป็นลูกที่เกิดกับภรรยาที่อเมริกา พูดง่ายๆก็คือลูกเมียน้อย พลภัทรบอกทุกคนในตระกูลให้รับรู้ว่า ชยางกูร จะมารับช่วงต่อบริษัทจากเขา และนั่น ทำให้คณัสนันท์ ลูกชายแท้ๆผู้ควรจะได้ตำแหน่งนั้นไม่พอใจจนถึงกับโวยลั่น สำหรับญาณัชแล้ว ใครจะสืบทอดอะไรยังไง เขาไม่สนใจนัก แต่เขาก็นึกสงสารคณัสนันท์อยู่ไม่น้อย เพราะเขารู้ว่าญาติผู้พี่ของเขาคนนี้ตั้งใจเรียนตามคำสั่งของพลภัทรขนาดไหน ในสายตาของญาณัชนั้น ชยางกูรดูเป็นคนรักสนุกมากกว่านักธุรกิจ ผมยาวสีทองกับต่างหูยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของว่าที่ประธานดูแย่ลงกว่าเดิม รูปร่างสูงโปร่งกับใบหน้าคมคายนั้นคงได้มาจากมารดาที่เป็นฝรั่ง ผู้ชายที่ดูดีแบบนี้คงไม่พ้นคำว่าเพลย์บอยแน่ๆ

แต่พิชญ์เคยสอนว่าอย่ามองคนแค่ที่เห็นจากภายนอก...

พอคิดได้อย่างนั้น ญาณัชก็เลิกเปลืองความคิดกับเรื่องที่บ้าน เขาตัดสินใจเดินไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ของโรงแรมเพื่อรับคีย์การ์ด - - - เมื่อรับการ์ดใบเล็กมาถือไว้ในมือแล้ว ร่างบางก็มุ่งหน้าไปที่ลิฟต์ แต่กลับไปสบตากับคนๆหนึ่งเข้า รูปร่างสูงใหญ่ในเครื่องแบบเชฟนั้นดูสะดุดตา

ญาณัชไม่ได้คิดอะไร เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคนๆนี้ตามเขามาตั้งแต่ตอนที่เขาออกมาจากงานแต่งงาน แต่พอเขาเดินผ่านเข้าลิฟต์ไป ผู้ชายร่างสูงคนนั้นก็สอดตัวเข้าตามเข้ามาในลิฟต์ ญาณัชใช้หางตามองด้วยความแปลกใจ บรรยากาศชวนอึดอัดก่อตัวขึ้นมาจนเขาต้องเงยหน้ามอง นัยน์ตาสีเขียวแปลกที่มองมาราวกับมีเรื่องไม่พอใจ ด้วยความที่เขาถูกอบรมมาดีพอ ถึงแม้จะไม่ได้ยิ้มให้แต่ก็เอ่ยถามอย่างมีมารยาทและสุภาพ

“ไม่ทราบว่า... มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”

คำถามที่ถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยขึ้น นัยน์สีเทาอมเขียวจ้องกลับไปหากแต่ก็ไม่ยอมปริปากพูดออกมา ร่างสูงเอนหลังพิงโลหะเย็นๆก่อนจะเริ่มให้ความสนใจกับรองเท้าสีดำที่ขัดจนมันปลาบของตนเอง แต่แล้วเสียงขยับตัวของอีกฝ่ายก็ทำให้ต้องละสายตาออกมา

“ขอโทษนะครับ...”

เชฟหนุ่มเงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มจางๆที่แต้มไว้บนริมฝีปาก “ครับ?”

“ไม่ทราบว่า... มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ” เด็กหนุ่มผมยาวสีดำขลับถามย้ำเป็นครั้งที่สอง คราวนี้นัยน์ตาอมโศกกลับจ้องตรงมาราวกับจะเค้นคำตอบ

“เพลงของคุณเพราะมากเลยครับ...ถึงจะเป็นเพลงที่ไม่รู้จักชื่อก็ตาม” เขาสะบัดปลายชุดคลุม เครื่องแบบสีขาวของเชฟประจำโรงแรมที่ถูกขอร้องให้ใส่แทนชุดเชฟปกติไม่ค่อยจะพอดีเท่าไร ด้วยอาจจะเป็นเพราะว่าชุดตัวนี้เป็นของใหม่ เนื้อผ้าแข็งด้านและสีขาวของมันเลยสะอาดเกินความเป็นจริง สำหรับคนภายนอก...มันอาจจะดูดีและมีราคาสูง หากแต่สำหรับคนที่สวมอยู่แล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกับหน้ากากสวยงามที่ถูกประดับด้วยเพชรวูบวาบที่เป็นของปลอม

“ขอบคุณครับ” ญาณัชเอ่ยขอบคุณ หากแต่เขาก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่าเพราะเรื่องแค่นี้...จะทำให้คนตรงหน้าถึงกับมายืนอยู่ในลิฟท์ตัวเดียวกันได้

“ผมเป็นเชฟของงานเมื่อครู่ เลยมีโอกาสได้ฟังเพลงของคุณตลอดทั้งงาน” ชายหนุ่มผมสีทองยาวถึงเอวแนะนำตัวทั้งที่ชุดที่สวมอยู่ก็เป็นตัวบอกได้อย่างดีอยู่แล้ว

“อาหารในงานอร่อยมากเลยครับ” ญาณัชชมกลับ เขาไม่ได้พูดโกหกเลยแม้แต่น้อย อาหารที่งานนั้นเป็นอาหารนานาชาติที่จัดออกมาได้อย่างลงตัว ทั้งสีสัน ความสวยงาม และรสชาติ ไม่มีสิ่งใดย่อหย่อนไปกว่ากันเลย

“อย่างนั้นหรือครับ” คนได้รับคำชมหรี่ตาลง “คุณคิดอย่างนั้นจริงๆหรือครับ”

‘ทยุต’ เชฟหนุ่มเจ้าของผลงานในวันนี้ทั้งหมดถามด้วยอาการนิ่งๆ ในงานเขาเห็นนักเปียโนคนนี้เดินมาตักอาหารอย่างละนิดละหน่อยในโซนของอาหารไทยก่อนจะเดินไปนั่งกินเงียบๆในที่ปลอดสายตาคน แต่มันอาจจะเป็นเหตุบังเอิญที่เขายืนประจำอยู่ในที่ที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ในตอนแรกๆคนๆนี้ก็กินด้วยท่าทางที่ดูจะมีความสุขดี แต่จู่ๆก็หยุดชะงักลง และถึงแม้จะกินต่อ สุดท้ายก็เหลืออาหารอย่างหนึ่งไว้ในจาน

“ครับ” ญาณัชย้ำอีกครั้ง เขาเห็นรอยยิ้มจางๆเริ่มเลือนหาย

ไฟสัญญาณบอกชั้นไล่ขึ้นไปตามตัวเลข เหลืออีกเพียงห้าชั้นเขาก็จะได้ออกไปจากกล่องแคบๆนี้แล้วไปอาบน้ำแช่ตัวพักผ่อนร่างกายเสียที การเล่นเปียโนเป็นสิ่งที่เขารัก...แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่เหนื่อย เด็กหนุ่มมองเชฟที่ยืนอยู่อีกฝั่งของลิฟท์ พอลองดูจริงๆแล้วกลับต้องทึ่งในภาษาไทยที่พูดออกมาได้ชัดเจนทั้งที่ลักษณะภายนอกดูจะเป็นชาวต่างชาติ ไหนจะสีผมที่ดูก็รู้ว่าเป็นสีธรรมชาติ แถมด้วยความสูงที่ต่างกัน และบรรยากาศรอบกายอีก

“คุณอยู่เมืองไทยมาหลายปีแล้วหรือครับ ภาษาไทยของคุณชัดเจนมากเลย”

“ผมเป็นคนไทยครับ” ทยุตตอบกลับไป “ถึงจะดูแปลก... แต่ว่าผมเกิดที่นี่และโตมาที่นี่” ชายหนุ่มมองหาความประหลาดใจที่มักปรากฏในแววตายามที่เขาบอกกับใครๆว่าเขาเกิดที่นี่ นัยน์ตาเรียบจนติดจะดุมองสบตาเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า

ญาณัชเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย

“ครับ” เขาตอบรับเพียงเท่านั้นเพราะลิฟท์ที่เคลื่อนขึ้นมาถึงชั้นสูงสุดหยุดลงเสียก่อน ชายหนุ่มกดลิฟท์ค้างให้ประตูเปิดไว้แล้วยืนชิดริมรอให้คนที่อยู่ด้วยกันออกไปก่อน

“เชิญก่อนเลยครับ” ทยุตก้าวเข้าไปยืนใกล้ๆแล้วแตะนิ้วลงไปบนปุ่มเดียวกัน โดยที่ไม่รู้ตัวท่อนแขนและร่างกายบางส่วนกลับเสียดสีกัน เขาก้มหน้ามองคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักเช่นเดียวกับญาณัชที่เงยหน้าขึ้นสบตาพอดี หลายครั้งที่เชฟหนุ่มนึกคุ้นกับใบหน้าเศร้าๆนี้ แต่นึกเท่าไรเขาก็นึกไม่ออกเสียที

“ขอโทษครับ” ชายหนุ่มพูดแล้วเบี่ยงตัวหลบ

“..ค..ครับ..” ญาณัชก้าวออกไปนอกลิฟท์ สำหรับเขาที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับการอยู่กับคนแปลกหน้าตามลำพังแล้ว สถานการณ์เมื่อครู่เป็นเหตุแปลกเสียยิ่งกว่าแปลกเท่าที่เคยเจอมา กลิ่นหอมจางๆที่โชยมาตอนร่างกายใกล้ชิดกัน...มันเป็นกลิ่นอะไรกันนะ

ตามหลักแล้วอีกฝ่ายที่เป็นคนทำอาหารน่าจะมีกลิ่นของมันติดไม่ใช่หรือ แต่นี่...มันเป็นกลิ่นคล้ายน้ำหอมเจือจาง ไม่เหม็นฉุน กลิ่นอ่อนๆกลับให้ความรู้สึกผ่อนคลาย

คล้ายกับกลิ่นนมอุ่นๆในถ้วยใบโต...หรือกลิ่นของเค้กอะไรสักอย่าง

“แล้วเจอกันครับ”

“อ๊ะ!?”

ญาณัชอุทานขึ้น ลิฟท์ปิดไปเสียแล้ว แถมอีกฝ่ายก็ยังไม่ได้ออกมาด้วย เขายืนรอครู่หนึ่งเผื่อว่าคนข้างในจะออกมา แต่ไฟสัญญาณของลิฟท์ที่ปิดหนีไปกลับบอกว่ามันเคลื่อนตัวลงไปชั้นล่าง

เด็กหนุ่มเอียงคอมอง แต่สุดท้ายก็เลือกการกลับไปนอนในห้องพัก มากกว่ายืนรอคนที่ไม่รู้จัก

...แล้วเจอกันงั้นหรือ...

ญาณัชหมุนคีย์การ์ดในมือเล่นช้าๆ...ก่อนที่จะเสียบมันเข้าไปตรงช่องด้านหน้าแล้วพาตัวเองเข้าไปในห้องพร้อมปิดประตูตัดโลกภายนอกทิ้งไว้เบื้องหลังอย่างรวดเร็ว





To be continue...



kagehana : คุณเชฟ น้องนัท >< นิยายเรื่องแรกสุด จุดเริ่มต้นของซีรีย์บ้านประสิทธิพรวิวัฒน์ใน Scar : ตราบาปไร้รอยเลือนค่ะ

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32704.0 <<จิ้มไปอ่านย้อนกันได้นะคะ /โฆษณาแฝง 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-12-2014 10:03:34 โดย kagehana »

ออฟไลน์ Melonlove

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Re: +:+ My all...私のすべて... +:+ Chapter 1 แรกพบ
«ตอบ #2 เมื่อ20-12-2014 13:57:08 »

ปูเสื่อรอออน้องนัท :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ kagehana

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1
+:+ My all...私のすべて... +:+ Chapter 2 รอยแผล [22/12/14]
«ตอบ #3 เมื่อ22-12-2014 15:36:49 »

-2-


 
ลิฟท์จอดลงที่ชั้นล่างสุดอันเป็นสถานที่จัดเลี้ยงเมื่อครู่ ทยุตเดินออกมาแล้วหยุดมองงานเลี้ยง บรรยากาศหวานชื่นผ่านพ้นไปแล้ว เหลือเพียงเบื้องหลังและการจัดการที่ต้องทำในระยะเวลาจำกัด เขาหยุดมองที่แกรนด์เปียโนแล้วพาลนึกไปถึงคนที่เล่นอยู่เมื่อครู่ คนที่ทำให้เขาติดใจกับการกระทำบางอย่างจนทิ้งงานในส่วนที่เหลือขึ้นลิฟท์ตามไปทั้งที่ไม่ได้มีธุระอะไรเลย

“เชฟทยุตครับ พวกหม้อฝาปิดอลูมิเนียมนี่จัดการยังไงดีครับ”

ทยุตหันไปตามเสียงเกรงๆที่เรียกชื่อเขา เชฟรุ่นน้องที่ทางโรงแรมจัดให้เป็นผู้ช่วยของเขายืนอยู่ด้วยท่าทีนอบน้อมเป็นพิเศษ

“แยกเศษอาหารแล้วก็ส่งไปทางห้องทำความสะอาดเลยแล้วกัน ผมฝากเรื่องจานชามด้วยนะ”

เขายกแขนรวบเส้นผมสีทองให้แน่นขึ้น หน้าตาทั้งหลายเป็นของงานฉันใด ภาระเก็บล้างหลังงานก็ตกเป็นคนที่ถูกจ้างฉันนั้น เชฟระดับสูงส่วนใหญ่อาจจะกลับทันทีที่งานเลิก แต่สำหรับเขาแล้วงานทำความสะอาดก็เป็นขั้นตอนหนึ่งของการทำอาหารเช่นกัน ทยุตไม่เคยรังเกียจงานเก็บล้าง เขามีน้ำใจมากพอๆกับความเงียบขรึม และทุกสิ่งทุกอย่างก็ผสมผสานกันทำให้ทยุตเป็นคนที่ทุกคนให้ความเคารพ

หลังจากที่ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงเวลาก็ล่วงเข้าไปสู่วันใหม่ เขาเดินออกมานอกโรงแรมไปยังลานจอดรถใกล้ๆ มือใหญ่ดึงผ้าใบกันน้ำค้างออกแล้วก้าวคร่อมบนอาน เขาขี่มันออกทางด้านหน้าของโรงแรมพลางนึกห่วงสองคู่กัดที่ถูกให้เฝ้าบ้านหลายชั่วโมง ที่แฮนด์รถมีถุงใส่เนื้อไก่และซุปเนื้อที่เหลือจากงานเลี้ยงแขวนไว้อยู่ เชฟรุ่นน้องที่เลี้ยงหมาเหมือนกันเก็บแยกเอาไว้ให้ เพราะเป็นคนรักสัตว์ เขากับคนๆนี้เลยสนิทสนมกันมากพอสมควร

ภายใต้ท้องฟ้ายามรัตติกาลที่มีหมู่ดาวพร่างพราย นัยน์ตาสีเทาอมเขียวกลับหยุดมองอยู่เพียงแสงไฟจากชั้นบนสุดของโรงแรม...

...แล้วเจอกันงั้นหรือ...

...อะไรที่ทำให้พูดออกแบบนั้นนะ...

/////////////////////////////////////////


ตราบใดที่แกยังอยู่ในบ้านหลังนี้ แกต้องอยู่ในงานเลี้ยงที่ฉันจัด’

ญาณัชถอนหายใจออกมาเมื่อนึกถึงตอนที่ถูกเรียกตัวไปพบ คืนนี้ที่ดาดฟ้าของบ้านประสิทธิ์พรวิวัฒน์จะมีงานเลี้ยงต้อนรับชยางกูร ว่าที่ประธานคนใหม่ ซึ่งบรรดาญาติๆทุกคนรวมไปถึงเพื่อนสนิทของคนในครอบครัวก็ได้รับเชิญกันมาทั้งนั้น

...แต่เขาไม่อยากไป

ปกติคืนวันอาทิตย์เขามักจะใช้เวลาอยู่ในห้อง ทำข้าวเย็นทานเอง แล้วมักจะเปิดเพลงที่พิชญ์ชอบฟังไม่ก็เล่นเปียโนในห้องมืดๆที่มีเพียงแสงจากท้องฟ้าจำลองขนาดพกพา ญาณัชไม่เคยสนใจว่าวันอาทิตย์เป็นวันที่ทุกคนต้องมาทานข้าวเย็นพร้อมหน้ากัน เพราะการทานข้าวร่วมกันครั้งแรกหลังจากงานศพของพิชญ์ หลายคนดูจะดีใจที่ไม่ต้องมี ‘ตัวประหลาด’ อยู่ในบ้าน

...เพียงเท่านั้น ครั้งเดียวก็เกินพอ

‘ถ้าไม่อยากนักก็ลองคิดดูว่าคนอื่นๆจะว่ายังไง หลานชายที่พีทเที่ยวบอกกับทุกคนว่าเลี้ยงมาเองเป็นเด็กดีเสียมากมายกลับไม่มีมารยาทในสังคม’

เพราะไม่อยากให้ใครมาว่าพิชญ์..

ปลายคัตเตอร์ถูกดันออกมาก่อนจะจรดลงกับข้อมือ รอยแผลตกสะเก็ดจางๆกับรอยยาวๆที่เป็นสีจางปรากฏให้เห็นมากกว่า10รอย

...ถ้าไปงานแล้วทำให้อาพีทไม่ถูกว่า...

...นัททำได้...

...ทำได้ครับ...

คมมีดกดลงช้าๆก่อนที่เลือดจะเริ่มซึมออกมา นัยน์ตาเศร้าที่ว่างเปล่าคล้ายจะชินชากับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น

...เจ็บแป๊บเดียว...

...เดี๋ยวก็หาย...

///////////////////////////////////////////////


วันนี้ ทยุตต้องเข้ามาที่บ้านประสิทธิ์พรวิวัฒน์เร็วกว่าปกติเพื่อเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยง แต่ก่อนที่จะได้เตรียมอาหาร ‘เพ็ญแข’ ภรรยาของพลภัทรจะพาเขาแนะนำส่วนอื่นๆในบ้านเป็นครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้ที่เขามาทำอาหารเย็นที่นี่ ก็ทำอยู่แค่ในครัวชั้นล่าง แล้วยกมาเสิร์ฟที่ห้องอาหาร ครั้งนี้เขาเดินตามเพ็ญแขเข้าไปในลิฟท์ แล้วหล่อนก็เริ่มพูด

“คุณพ่อท่านอยากให้พี่น้องในตระกูลอยู่ด้วยกัน เลยสั่งให้สร้างบ้านให้เป็นคอนโดอย่างที่เชฟเห็นว่าจะมีทั้งหมดแปดชั้น... ถ้าไม่นับชั้นล่าง ตั้งแต่ชั้นสองจนถึงชั้นเจ็ดก็มีชั้นละสองห้อง แบบเดียวกับคอนโดเป๊ะๆเลยล่ะ”

ประตูลิฟท์เปิดออก ร่างสูงใหญ่ยืนรอให้เจ้าบ้านเดินออกก่อนแล้วเขาจึงเดินตาม ดาดฟ้าเป็รลานกว้างปูด้วยกระเบื้องสีน้ำตาลอ่อน กว้างพอที่จะเชิญแขกได้ถึง100คน ทยุตมองไปรอบๆเพื่อกะบริเวณที่ว่างอาหาร

“วันนี้ส่วนใหญ่เด็กๆจะนอนอยู่บ้านกัน... เอ่อ ก็ในห้องตามชั้นนั่นแหละ... แต่กว่าจะได้เห็นหน้ากันก็มื้อเย็น.... คืนนี้ฉันจะแนะนำทุกคนให้รู้จักอีกทีก็แล้วกันนะ”

ทยุตไม่ได้สนใจจะรู้จักคนในตระกูลนี้ขนาดนั้น เขาคิดว่าก็แค่มาทำงานตามสัญญาว่าจ้าง ไม่ได้แปลว่าจะทำที่นี่ไปจนแก่

...อย่างน้อยๆก็อยากจะเปิดร้านอาหารของตัวเองมากกว่า...

เพ็ญแขพาเขาแนะนำส่วนอื่นๆของบ้าน ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำที่อยู่แต่ละชั้นโดยไม่ต้องเข้าไปรบกวนในบ้านของใคร ห้องหนังสือ หรือโรงหนังขนาดเล็กหล่อนก็พาเขาไปดูจนทั่ว โดยให้เหตุผลว่า หากที่บ้านจะจัดงานเลี้ยงที่ชั้นล่างหรือในสวนด้านนอก เขาจะได้รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน จะได้ไม่ต้องพามาเดินดูกันอีกรอบ

แต่ทยุตก็ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดมากมายขนาดนั้น...

...แค่จำเรื่องที่ต้องจำก็พอแล้ว...

ญาณัชหยิบเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวมียี่ห้อที่พิชญ์ซื้อให้ออกจากตู้มาสวมลงบนตัว เด็กหนุ่มเช็คดูให้ดีว่ารอยแผลที่เผลอกรีดข้อมือไปเมื่อเช้าถูกปกปิดไว้มิดชิดภายใต้แขนเสื้อที่ยาวเลยข้อมือ เขาหวีผมให้เรียบร้อย แล้วแต้มน้ำหอมกลิ่นBlue Oceanที่หลังใบหูทั้งสองข้างและที่ข้อมือ ญาณัชเช็คความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกอีกครั้งก่อนจะหันมามองรูปของพิชญ์ที่แขวนอยู่

“นัทไปนะครับอาพีท ถ้ามีของโปรดของอาพีทนัทจะบอกนะครับ”

โลกส่วนตัวของเขาที่ชั้นเจ็ดถูกปิดลง ก่อนที่เจ้าของห้องจะเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นดาดฟ้า

“พี่ยุ หวัดดีครับ”

“อ้าว นัท... หวัดดี หวัดดี” ณธายุทักทายกลับญาติผู้น้องที่ไม่ได้พบกันนาน

“ร้านกาแฟเป็นยังไงบ้างครับ” ญาณัชเอ่ยถาม เขาติดจะชื่นชมในความแน่วแน่ของคนๆนี้ ที่กล้าออกมาเปิดร้านตามความต้องการของตัวเอง

“ก็เรื่อยๆน่ะ คงยังไม่เจ๊งในวันสองวันนี้หรอก”

“ยุ” ชายหนุ่มร่างสูงกับผมสีทองโดดเด่นเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย

“เดฟ... นี่ลูกพี่ลูกน้องฉันเอง ชื่อนัท”

“ฮาย... ผมสวยดีนะ... ย้อมสีไหม”

ญาณัชถึงกับอึ้งในความสนิทสนมแบบมากๆจากชยางกูรที่มาจากไหนก็ไม่รู้ พออีกฝ่ายตั้งท่าจะจับปลายผมของเขา ร่างบางก็รีบถอยตัวออกมา

“เดี๋ยวผมไปเดินดูรอบๆก่อนนะครับ”

ญาณัชรีบปลีกตัวออกมา เขาไม่ได้คิดจะทักทายใครนอกจากคนที่ไม่เกลียด เขาเพียงต้องการกินข้าว และพูดคุยกับคนที่เข้ามาคุยด้วยเท่านั้น และไม่คิดจะพูดนานหากต้องถูกซักมากเกินความจำเป็น

มือผอมบางหยิบจานแบนกลมขึ้นมา แต่ก่อนที่จะได้ขยับไปไหนก็มีเสียงเรียกจากทางหนึ่ง

“นัท มานี่ซิ” เพ็ญแขในชุดกระโปรงผ้าชีฟองกวักมือเรียก ข้างกายมีชายร่างสูงในเครื่องแบบเชฟยืนอยู่ ญาณัชวางจานคืนที่เดิมแล้วจึงเดินเข้าไปหา

แต่พอเข้าไปใกล้และได้เห็นหน้าของเชฟชัดๆ ญาณัชถึงกับตกใจจนต้องรีบเก็บอาการทั้งหมดแล้วทำสีหน้าเรียบเฉยเหมือนคนไม่เคยเจอหน้ากัน

“ครับ?”

“คนนี้คือเชฟที่มาทำข้าวเย็นให้ที่บ้าน... ชื่อทยุต เราไม่เคยลงมากินด้วยก็เลยไม่ได้เจอสักทีไง...... คุณทยุต นี่ญาณัช หลานชายคนเล็กของฉันเอง”

ญาณัชยกมือไหว้ก่อนจะเอ่ยตามมารยาท

“สวัสดีครับ... ผมยังไม่ได้ชิมฝีมือเชฟเลย...... ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวไปลองชิมก่อนนะครับ” เขารีบถอยออกมาก่อนที่ทยุตอาจจะได้เผลอพูดอะไรมากกว่านี้

ทว่า... ทยุตนั้นติดใจแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำเหมือนคนไม่เคยเจอกัน ในขณะเดียวกันปริศนาที่คิดว่าเคยเห็นญาณัชที่ไหนมาก่อนก็คลายออก เพราะจากคำบอกเล่าของเจ้าบ้าน ถึงแม้เด็กหนุ่มตรงหน้าจะไม่เคยมาร่วมโต๊ะอาหารก็ตาม แต่ก็คงได้เห็นแบบแวบๆเลยคุ้นกับใบหน้านี้

ต่างกับญาณัชที่แม้จะเก็บอาการได้ดีเยี่ยมแต่กลับรู้สึกหวาดกลัวและระแวง หัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยความหวาดหวั่น ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเจอเขาที่โรงแรมแล้วรู้จักกับครอบครัวของเขา ญาณัชไม่เคยป่าวประกาศ ไม่เคยให้ใครรู้ว่าเขานามสกุลอะไร เขาไม่เคยออกงานสังคมจึงไม่ค่อยมีใครรู้จัก แต่ตอนนี้กลับมีคนที่รู้จักเขาในฐานะนักเปียโนปรากฏตัวขึ้น ถึงจะไม่ใช่คนใกล้ตัวกับเขาแต่ก็ใกล้กับคนในครอบครัว

...ถ้าความแตกคงไม่ดี...

ร่างบางวางแก้วไวน์ในมือลงบนโต๊ะเมื่อเห็นทยุตเดินปลีกตัวออกไป ญาณัชเดินตามอีกฝ่ายไปโดยเว้นระยะห่างไว้ พอทยุตเดินเข้าห้องน้ำไป เด็กหนุ่มก็รีบตามเข้าไปทันที

เมื่อทยุตเงยหน้าขึ้นมาจากการล้างหน้าล้างตา เขามองเงาตัวเองสะท้อนในกระจกตรงหน้าและก็ต้องตกใจเมื่อเห็นญาณัชเดินเข้ามา

ร่างสูงหันมาเผชิญหน้ากับคนตัวเล็กเป็นหนที่สอง

“ขอโทษนะครับ อาจจะสร้างปัญหาให้แต่.... เรื่องที่ผมเล่นเปียโนที่โรงแรมช่วยเก็บเป็นความลับได้ไหมครับ”

“ครับ” หลังจากที่ยืนนิ่งอยู่สักครู่เชฟหนุ่มก็รับคำในที่สุด

ทยุตเหลือบตามองรอยยิ้มที่เกือบเรียกได้ว่าพึงพอใจของอีกฝ่าย รอยยิ้มเย็นและนิ่งขรึมเหมือนใครคนหนึ่งที่เขารู้จักจากคำบอกเล่ามาตลอด นัยน์ตาสีเทาอมเขียวเปลี่ยนเป็นจ้องใบหน้าของอีกฝ่าย ถ้าจำไม่ผิดตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่...ตอนที่เขายังไม่ได้เป็นเชฟเต็มตัวแม่เคยพูดถึงเด็กคนหนึ่งให้ฟัง

 ‘...น้องนัท...’ คำเรียกชื่อที่แฝงความเอ็นดูอย่างชัดเจนรวมถึงคำบ่นต่างๆว่าไม่ยอมกินข้าวบ้างล่ะ ไม่ค่อยร่าเริงมั่งล่ะ รวมถึงการที่แม่ของเขาสรรหาเรื่องราวต่างๆมาเล่าทั้งที่ไม่ได้สนิทกับเด็กคนนั้นทำให้ทยุตรู้ว่านอกจากตัวเองแล้ว คนที่แม่ของเขาชอบมากอีกคนก็คือเด็กคนนั้น เด็กชายที่มีดวงตาอมโศก...

ดวงตารียาวมองปราดอีกครั้ง แม้จะไม่แน่ใจเท่าไหร่แต่คนตรงหน้านี้อาจจะเป็น ‘น้องนัท’ ด้วยลักษณะท่าทางคล้ายกับเด็กที่เคยได้ยินเมื่อรวมกับกาลเวลาที่ผ่านไปอายุของน้องนัทคงราวๆกับคนตรงหน้า

ญาณัช— น้องนัท งั้นหรือ?

“น้อง...เอ่อ....” ทยุตกัดริมฝีปากตัวเอง เผลอจะเรียกตามวีธีเรียกของแม่ไปเสียแล้ว ใบหน้าที่ติดจะซีดเซียวเล็กน้อยของอีกฝ่ายมีสีหน้าสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

การที่เขาเป็นคนปรุงอาหารทำให้รู้ว่าน้องนัทของแม่ตนเองในตอนนี้ ไม่ใช่คนที่สุขภาพดีสักเท่าไร ดูเหมือนนิสัยเลือกกินกับการกินอาหารเหลือติดจานก็ยังคงเดิม แก้มที่ไม่ค่อยมีเลือดฝาด ท่าทางจะอ่อนแรงง่ายและที่สำคัญคือ หน้าตาอันอ่อนระโหย

ในฐานะที่เป็นคนรู้จักเพียงข้างเดียว ทยุตทนไม่ได้ถ้าจะเห็นเด็กที่แม่เอ็นดูต้องเติบโตแบบแปลกๆ ไอ้การคำพูดที่ว่าโตๆกันแล้วปล่อยไปเถอะยังไงๆก็เปลี่ยนไม่ได้ มันไม่ใช่นิสัยของเขาเลยสักนิด

...คงต้องทำอะไรบางอย่าง...

“แต่ว่า...”

“แต่ว่า?” ญาณัชทวนคำที่อีกฝ่ายพูด

“เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนที่ผมรักษาความลับ...ถ้าผมจะขอวันหนึ่งในทุกๆสัปดาห์ของคุณ...จะขัดข้องไหมครับ”

“ไม่ทราบว่าเชฟ...เอ่อ...คุณ...ทยุต..ใช่ไหมครับ..” เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าเขาจึงพูดต่อ

“คุณทยุตจะต้องการไปทำไมหรือครับ” ข้อแลกเปลี่ยนของชายหนุ่มเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจ ถ้าหากว่าเชฟหนุ่มพูดด้วยแววตากรุ้มกริ่มก็พออนุมานได้ว่านี่เป็นวิธีจีบแบบใหม่ แต่นี่ นอกจากสายตาจริงจังแล้วน้ำเสียงยังเย็นชาจนญาณัชไม่สามารถคิดเป็นอย่างที่ว่าได้เลย เขาไล่มองเพื่อหาความรู้สึกที่อาจจะถูกซ่อนไว้แต่ว่ามันก็ไม่มีอะไรนอกจากนั้น...

“มื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น”

คำตอบที่ได้รับก็ไม่ได้ทำให้กระจ่างขึ้น ญาณัชขมวดคิ้วแน่นเขานึกไม่ออกเลยว่าไอ้คำแต่ละคำที่ทยุตพูดออกมาจะตีความไปได้ถึงเรื่องอะไร

“ออกไปคุยข้างนอกดีกว่า” ทยุตเดินลิ่วออกไปโดยที่ไม่รอทำให้ญาณัชต้องรีบวิ่งตาม

“เดี๋ยวครับ...”

ทยุตเดินดุ่มๆก่อนจะหยุดยืนในที่ค่อนข้างลับตาคน เส้นผมสีทองชื้นเหงื่อเล็กน้อยเพราะความรีบร้อน

“พูดง่ายๆว่า ในหนึ่งอาทิตย์ผมจะไปรับคุณมาทานข้าวหนึ่งวัน” เชฟหนุ่มพูดแล้วลอบพิจารณาสีหน้าของฝ่ายตรงข้าม แน่ล่ะ ข้อเสนอแปลกๆแบบนี้เป็นใครก็คงตกใจ แต่ก็น่าชื่นชมว่าญาณัชคนนี้ควบคุมสติอารมณ์ได้ดี

“ทำไมล่ะครับ...นั่นมันรบกวนคุณไม่ใช่หรือ” ญาณัชพูดเบาๆแต่สื่อความหมายปฏิเสธกลายๆ

“ผม...” ทยุตนึกหาเหตุผลมารองรับการกระทำ “ผมคิดว่าจะเปิดร้านอาหารเลยอยากให้มีคนมาช่วยชิมหรือไม่ก็ไปสำรวจตลาดด้วยกัน วงการอาหารจะว่ากว้างก็กว้างจะว่าแคบก็แคบ การที่เชฟคนหนึ่งไปทานอาหารตามร้านบ่อยๆอาจถูกหาว่าไปล้วงข้อมูลก็ได้” ที่ทยุตพูดก็ไม่ผิด เพียงแต่มันอาจจะไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้น กับแค่เสียงนินทา ถ้าไม่ใส่ใจมันก็หายไปเอง

“จะดีหรือครับ ผมมันพวกลิ้นจระเข้นะ” ญาณัชแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน

“อีกอย่างผมต้องทำงาน คงช่วยอะไรคุณไม่ได้มากหรอกครับ”

“นั่นมันเป็นอีกเรื่อง แค่วันเดียวต่ออาทิตย์ตามคุณสะดวกมันก็ไม่ได้ลำบากกับคนที่ทำงานกลางคืนไม่ใช่หรือครับ” ทยุตพูดอย่างรู้ทัน

“ผมว่า....”

“เอาเป็นว่าลองไปสักครั้งก่อนแล้วค่อยคิดแล้วกัน วันพุธหน้าตอนเจ็ดโมงครึ่งที่หน้าบ้าน ผมขอตัวก่อน” เขาส่งยิ้มบางๆที่แสนราบเรียบไปให้แล้วผละออกมา ปล่อยให้เจ้าตัวที่ถูกทึกทักยืนกึ่งงงกึ่งฉุนกับสัญญาที่ผูกมัดไปแล้วกว่าครึ่ง

ไหนว่าตามคุณสะดวก...นี่อะไร จัดแจงนัดวันเองเสร็จสรรพเลยไม่ใช่หรือไง

สุดท้ายแล้วญาณัชก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

เขาไม่ชอบการเต้นไปตามจังหวะชีวิตของคนอื่น ไม่เลยสักนิด

แต่ดูเหมือนจะเจอสิ่งนั้นเข้าจังๆแล้ว...









To be continue...



kagehana :

*จับน้องนัทกอด*

ออฟไลน์ netthip viriya

  • รับจ้างวาดปกนิยาย ตัวอย่างดูโปรไฟล์ได้เลยhttps://www.facebook.com/ARTmeto
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
    • https://www.facebook.com/ARTmeto
Re: +:+ My all...私のすべて... +:+ Chapter 2 รอยแผล [22/12/14]
«ตอบ #4 เมื่อ22-12-2014 16:26:07 »

อยากอ่านต่อววววววววววววววว

ออฟไลน์ Guill

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 678
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: +:+ My all...私のすべて... +:+ Chapter 2 รอยแผล [22/12/14]
«ตอบ #5 เมื่อ25-12-2014 20:53:45 »

รอติดตามอยู่นะคะ ^^

ออฟไลน์ yisren.

  • #คนที่ฉันไม่เคยลืม
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 830
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
Re: +:+ My all...私のすべて... +:+ Chapter 2 รอยแผล [22/12/14]
«ตอบ #6 เมื่อ25-12-2014 22:40:37 »

น้องนัทน่าเอ็นดูที่สุด

ออฟไลน์ kagehana

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1


-3-









“ครับ?”  โทรศัพท์สายด่วนจากอดีตผู้ร่วมงานและแฟนเก่าที่กลายเป็นคนสนิทดังขึ้นกลางดึก ชายหนุ่มงัวเงียรับก่อนจะกรอกเสียงลงไปอย่างเสียไม่ได้

“......พี่ยุต....” เสียงจากอีกฟากดังแผ่ว เสียงอ่อยๆที่ติดจะเศร้าซึมเรียกชื่อเขาเบาๆ

“มีอะไรหรือวิน” เขาเปลี่ยนจากนอนราบเป็นนั่งฟังอย่างตั้งใจ ให้เสียงมาอย่างนี้ก็รู้แล้วว่าต้องมีปัญหามาแน่ๆ

รวิน อดีตเชฟฝึกหัดที่ลาออกไปเรียนต่อด้านการทำอาหารที่ฝรั่งเศส แฟนเก่าที่เคยคบกันมาระยะสั้นๆก่อนจะเลิกเพราะรู้สึกว่าไม่ใช่คนที่ใช่ของกันและกัน แต่เพราะว่าต่างฝ่ายต่างก็สนิทใจต่อกันความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดของคนเป็นเพื่อนจึงเกิดมาชดเชย

ถ้าถามว่าทำไมถึงคบกับผู้ชาย สำหรับทยุตแล้ว เขาไม่เคยคิดว่าเรื่องเพศจะเกี่ยวข้องกับการคบกัน เขาซึ่งเคยคบมาทั้งผู้หญิงและผู้ชายคิดว่าสิ่งทำคัญที่สุดคือความรัก ถ้าความรู้สึกมันมากพอที่จะใช่ เขาก็ตกลงรักได้อย่างไม่ลังเล

...แต่ถึงอย่างนั้น คนที่ใช่ที่สุด คนที่เขาอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดไป...

...ก็ยังไม่เจอเสียที... 

“ทะเลาะกันมาอีกแล้วหรือไง” น้ำเสียงนุ่มๆถามต่อแทบจะทันที

“นิดหน่อยน่าพี่ แต่ว่า...ผมเหนื่อยจัง”

‘แฮ่งงง แฮ่—’

“อ๊ะ! ไอ้สองตัวนั้นยังไม่นอนอีกหรือ” เสียงกลั้วหัวเราะทำให้ทยุตหันมองไปที่ปลายเท้าตรงพื้นเตียง ก้อนกลมๆขนฟูสีทองนอนขดอยู่ในขณะที่เจ้าตัวเล็กนอนหงายท้องอ้าซ่าไม่อายใคร เสียงฮึ่มแฮ่ดังในลำคอของมันก่อนจะเงียบไป เชฟหนุ่มหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วเฉลยให้ปลายสายฟัง

“มันละเมอน่ะ ไอ้พวกนี้กินอิ่มแล้วชอบเพ้อเป็นวรรคเป็นเวร”

“เหมือนเดิมเลยนะไอ้สองยุ่งนั่น” หลังจากเสียงหัวเราะค่อยๆน้ำเสียงเศร้าสร้อยก็เข้ามาแทนที่

รวินเล่าเรื่องราวต่างๆ เขาไม่ได้ขอความเห็นอะไรแต่ชายหนุ่มก็รู้สึกดีที่ได้ยินเสียงคนสนิท เขาชอบน้ำเสียงต่ำๆของทยุต ชอบความคิดและวิธีการดำรงชีวิต ชอบที่อีกฝ่ายเป็นคนรักสัตว์ แต่ก็ไม่ใช่ความรัก หลังจากที่พูดคุยกันได้สองชั่วโมงคนโทรมาก็กล่าวขอบคุณแล้ววางสายไป

ทยุตดึงผ้าห่มคลุมร่างแล้วล้มตัวลงนอน...แม้จะง่วงแสนง่วง แต่ก่อนที่จะเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์เขากลับเห็นใบหน้าของใครบางคนอย่างชัดเจน...

...แถมเป็นคนที่เพิ่งไปรวบรัดตัดความทำสัญญากันมาเสียด้วย...

//////////////////////////////////////

เช้าวันพุธในสัปดาห์ต่อมา พอให้อาหารสองปีศาจในคราบหมาเสร็จ แผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวที่อยู่บนมอเตอร์ไซค์ก็กลายเป็นภาพลิบๆของเจ้าสัตว์สี่เท้าจอมกวนไปเสียแล้ว

ทยุตขี่รถไปตามทาง ยามเช้าที่มีแสงแดดอ่อนๆส่องเหมาะกับการออกกำลังกายที่สุด ลมเย็นๆพัดปะทะใบหน้ายามขี่ผ่าน ความรู้สึกสดชื่นในยามเช้าเป็นสิ่งมีค่าที่อยากจะเก็บเอาไว้ ตักตวงทีละเล็กละน้อยเพื่อให้สิ่งต่างๆที่รบกวนจิตใจเหือดหายไป

เขาจอดรถแล้วยืนรอ อีกประมาณสองนาทีจะถึงเวลานัดกับ ‘น้องนัท’ เชฟหนุ่มมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องออกมาๆพอๆกับทฤษฎีพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ถึงญาณัชจะดูไม่พอใจเท่าไร แต่ยังไงๆก็คงไม่ผิดสัญญา

ทันทีที่เห็นคนตัวเล็กๆเดินออกมาจากรั้วใหญ่...ไม่มีคำทักทายใดๆจากทยุตนอกจาก...

“คุณญาณัช อาหารเช้าวันนี้อยากทานอะไร?”

“........” เจ้าของชื่อในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีน้ำเงินดำไม่ตอบในทันที เขามองใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใดใดของอีกฝ่ายแล้วก็สูดลมหายใจเข้าหนึ่งที เขาไม่อยากวุ่นวายกับคนอื่น ถึงจะไม่ได้เกลียดคนนอกครอบครัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยากเข้าไปใกล้ชิด

“... โจ๊กหมูใส่ไข่ครับ” ญาณัชตอบเรียบๆ ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ ก็คงทำได้แค่ตอบไปตามตรง อย่างหนึ่งที่ตั้งใจไว้ก็คือจะไม่เกรงใจมากเด็ดขาด

จริงๆแล้วหากทยุตไม่ยื่นเงื่อนไขอะไรให้เลย เขาคงเกรงใจอีกฝ่ายน่าดู

...อย่างน้อยในตอนแรกเขาก็คิดแบบนั้น

“... ขึ้นมาสิครับ” ทยุตหันหลังเดินไปยังรถมอเตอร์ไซค์ของตนเองก่อนก้าวขึ้นคร่อมอานก่อนจะสตาร์ทเครื่องยนต์ แต่กลับไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของคนอีกคนที่ควรจะเพิ่มขึ้นบนรถ

ร่างสูงหันไปมอง ก็พบกับญาณัชที่ยังยืนรีๆรอๆอยู่ใกล้ๆ เขากำลังจะถามว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า แต่เด็กหนุ่มก็ค่อยเดินเข้ามาที่มอเตอร์ไซค์ มือเรียวที่เคาะแป้นเปียโนเป็นประจำวางลงบนไหล่กว้างของทยุตแล้วก้าวข้ามนั่งคร่อมลงบนอาน

...ไม่เคยขึ้นมอเตอร์ไซค์แน่ๆ ทยุตคิดในใจก่อนจะเอ่ยบอกคนที่นั่งข้างหลัง

“เกาะผมไว้แน่นๆก็ได้ครับ”

ญาณัชไม่ตอบรับ แต่มือสองข้างก็ยึดเอาเอวของทยุตไว้แน่นตามคำบอกของอีกฝ่าย เจ้าของรถอมยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวก่อนจะออกรถไปยังเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก

///////////////////////////////


มอเตอร์ไซค์ของทยุตจอดลงที่หน้าบ้านเดี่ยวชั้นเดียวพร้อมสวนที่ไม่ไกลจากบ้านประสิทธิพรวิวัฒน์มากนัก ญาณัชเดินตามร่างสูงเข้าไปในบ้านอย่างงงๆ พอเปิดประตูไม้มาฮ็อกกานีออก อย่างแรกที่เตะตาของญาณัชคือโซฟาตัวใหญ่สีน้ำตาลท่าทางนุ่มสบาย

“คุณจะนั่งรอที่โซฟาหรือจะนั่งที่โต๊ะทานข้าวรอก็ได้นะครับ” เจ้าของบ้านเอ่ยบอกก่อนจะหายเข้าไปในห้องครัว ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงของสุนัขเห่ากังขรมอยู่ทางเดียวกัน ญาณัชเหลียวไปมอง ฟังจากเสียงแล้ว น่าจะมีตัวเล็กกับตัวใหญ่อย่างละตัว เขาเก็บความอยากดูไปแล้วหันสำรวจรอบตัว

ตรงหน้าโซฟามีทีวีกับเครื่องเสียงชุดกลางเมื่อเทียบกับของพิชญ์ที่วางอยู่ที่บ้าน มีตู้กระจกที่โชว์ประกาศนียบัตรและถ้วยรางวัลจากการแข่งขันทำอาหารจากหลายเวทีวางอวดอยู่

...ก็เก่งมากน่าดู

จริงๆก็ไม่เคยคิดว่าทยุตฝีมือไม่ดี สำหรับเขาแล้วอีกฝ่ายมีฝีมือดีมากจนเขายังชื่นชอบ ร่างบางกลับมายืนตรงโซฟา แต่ก่อนที่จะทันได้หย่อนตัวลง กลิ่นหอมอ่อนๆของหมูหมักที่น่าจะสุกแล้วโชยมาแตะจมูก เขาจึงเดินไปนั่งรอที่โต๊ะทานข้าวแทน

ทันทีที่นั่งลง เสียงเห่าสองเสียงก็ดังแข่งกันมาพร้อมเสียงห้ามปราม

“ลูกชิ้น! ไส้กรอก! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

‘แบ๊ก! แบ๊ก!’

‘โฮ่ง! โฮ่ง!’

ร่างบางที่นั่งอยู่รีบลุกขึ้นเมื่อสุนัขสองตัวพุ่งเข้ามาหา โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่กับชิวาว่าตัวเล็กวิ่งเข้ามาใกล้ ญาณัชยกแขนตั้งการ์ดเพื่อรับการกระโจนจากเจ้าตัวใหญ่ที่อาจเกิดขึ้น

“... เอ๋?”

เจ้าสองตัวยุ่งที่ทยุตต้องคอยดุว่าตลอดกลับวิ่งวนรอบคนตัวเล็กที่ดูจะตกใจไม่น้อย เสียงงี้ดง้าดดังแข่งกันจนญาณัชย่อตัวลงมาหาแล้วยกสองมือลูบหัวใหญ่เล็กที่ยืนกระดิกหางรอทั้งซ้ายขวา

“ว่าไงครับ คนไหนลูกชิ้นเนี่ย” เจ้าชิวาว่าตัวดีรีบยกขาหน้าทั้งสองข้างขึ้นวางบนหัวเข่าของญาณัชแล้วเห่าออกตัวว่าชื่อลูกชิ้น

“ฮะฮะฮะ งั้นคนนี้ก็ไส้กรอกใช่ไหมครับ” โกลเด้นขนสวยรีบเห่ารับ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มจางๆออกมาด้วยความเอ็นดู

ทยุตที่ตามออกมาเพราะกลัวว่าเจ้าตัวดีทั้งสองตัวจะกระโจนใส่ ‘น้องนัท’ ของแม่เขา กลับยืนดูรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าเศร้าสร้อยเพียงบางเบา

ทั้งลูกชิ้นทั้งไส้กรอกดูจะชื่นชอบญาณัชไม่น้อยเลยทีเดียว ไอ้อาการทะเลาะกันหรือไม่ยอมฟังที่เคยมีอยู่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะหายไปสิ้น เขายืนมองไส้กรอกที่วางขาหน้าข้างนึงลงบนมือของเด็กหนุ่มอย่างว่าง่ายต่อคำว่า ‘ขอมือ’

...เจ้าพวกนี้นี่...

“คุณญาณัชครับ... อาหารเช้าเสร็จแล้วครับ...” ทยุตเอ่ยเรียกก่อนจะนำชามที่ใส่โจ๊กหมูเรียบร้อยแล้ววางลงบนโต๊ะที่มีแผ่นรองจานจัดวางไว้แล้ว

ญาณัชลุกขึ้นยืน รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้า

"ห้องน้ำอยู่ทางไหนครับ"

เจ้าบ้านที่ดีชี้บอกก่อนจะเช็ดมือแล้วเดินมาหาสองแสบที่นั่งเรียบร้อยจนเขาแทบจำไม่ได้

“ลูกชิ้น... ไส้หรอก... ช่างประจบเชียวนะ” ทยุตมองพร้อมทำสายตาดุใส่ ลูกชิ้นรีบเห่าราวกับจะเถียง

ยังไม่ทันที่เชฟคนเก่งจะได้ดุเจ้าจอมป่วนสองตัวต่อ เสียงฝีเท้าของญาณัชที่ใกล้เข้ามาทำให้เขาต้องเดินไปเปิดตู้เย็น

“คุณญาณัชอยากดื่มอะไรครับ”

“โอวัลตินเย็นเข้มๆไม่หวานครับ”

“....” ทยุตเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่คิดว่า ‘น้องนัท’ ที่ดูน่าจะเป็นคนเรียบๆก็สั่งอะไรที่มีเงื่อนไขแปลกๆได้อย่างนั้นเหมือนกัน เขานำโอวัลตินเย็นตามคำขอของญาณัชไปวางให้ ตอกไข่ใส่ชามโจ๊กร้อนๆ ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับเด็กหนุ่ม

ดูเหมือนญาณัชจะรับมือกับการทานข้าวโดยที่มีคนนั่งอยู่และไม่พูดได้ดีทีเดียว เขาไม่มีท่าทางอึดอัดเลยแม้แต่น้อย ทยุตถือโอกาสสำรวจคนตรงหน้า ตอนที่ตักโจ๊กคำแรกเข้าปากไป สีหน้าของญาณัชดูดีขึ้นเล็กน้อย แปลได้ว่าอาหารมื้อนี้คงอร่อยถูกใจ เขามองดูเส้นผมสีดำขลับที่ยาวสลวยเคลียไหล่บาง ผมม้าที่ยาวจนเกือบปิดหน้าปิดตาของเขาหมด ใบหน้าที่ดูซีดกว่าคนปกติเล็กน้อยยิ่งทำให้ญาณัชเหมือนคนป่วย มือที่จับช้อนถึงแม้จะไม่ได้สั่นหรือทำช้อนหล่น แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีแรงเลยแม้แต่น้อย

...เด็กคนนี้โตมาแบบไหนกันนะ...

ไม่ใช่ว่าญาณัชไม่รู้ว่ากำลังถูกสังเกต แต่เขาเลือกที่จะไม่สนใจมากกว่า รสชาติของโจ๊กกลมกล่อมพอดีมากกว่าร้านหม้อดินร้านโปรดที่พิชญ์จะคอยสั่งให้คนในบ้านไปซื้อมาให้เขาทุกเช้าเสียอีก

“อิ่มแล้วครับ” เขาลุกขึ้นพร้อมกับหยิบชามโจ๊กขึ้นมาด้วย แต่ทยุตรีบปรามไว้พร้อมทั้งออกปากว่าเขาจะจัดการเอง

“ผม... กลับได้หรือยังครับคุณทยุต”

“ยังเหลืออีกสองมื้อนะครับ...”

“....” ญาณัชนิ่งไป ไม่ชอบเลยกับการที่ต้องถูกใครมาบอกให้เขาทำอะไรแบบนี้

“เดี๋ยวผมจะออกไปรดน้ำต้นไม้... คุณจะดูทีวีหรือทำอะไรก็ได้ ตามสบายนะครับ”

“.....” เขาไม่ตอบรับ ร่างบางนั่งลงบนโซฟาตัวนุ่มก่อนจะมองไปที่จอโทรทัศน์สีดำสนิทตรงหน้า ลูกชิ้นกับไส้กรอกรีบพากันวิ่งมานั่งข้างหน้าพลางคลอเคลียแข่งกันประจบ ญาณัชคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำอะไรในเวลาว่างเช่นนี้ แต่ไหนๆก็มีคนที่ทำอาหารอร่อยมากมาอาสาทำให้ทานแล้ว ก็ดีเหมือนกัน พอเสียงเปิดประตูดังขึ้น เขาก็รีบหันไปมอง ทยุตกำลังจะออกไปรดน้ำต้นไม้อย่างที่บอก

“คุณทยุตครับ”

เจ้าของชื่อหันมาหา รอสิ่งที่อีกฝ่ายตั้งใจจะพูด

“กลางวันผมอยากทานข้าวผัดกระเพราหมูกรอบไม่ใส่ใบกระเพรานะครับ”

ทยุตทำหน้าแปลกใจอีกครั้ง ผัดกระเพราที่ไม่ใส่ใบกระเพราจะเรียกว่าผัดกระเพราได้อย่างไร

“ส่วนตอนเย็น ผมอยากทานสปาเก็ตตีปลาเค็มผัดแห้งๆครับ”

ญาณัชเลือกแต่เมนูโปรดของตัวเองอย่างไม่คิดจะเกรงใจอีกฝ่าย ในเมื่อตามที่ตกลงกันไว้ ไม่ได้ระบุว่าเขาเลือกทานอาหารที่ชอบไม่ได้

“ได้ไหมครับ”

‘เอาแต่ใจ’

นี่เป็นคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ ทยุตกระแอมเบาๆอย่างไว้เชิงก่อนจะหันกลับมามองเต็มสองตา

“ถ้าถามว่าได้ไหม... ก็คงได้ล่ะครับ แต่ว่า... ถ้าเป็นอย่างงั้นแล้วอาหารแต่ละมื้อของคุณก็ไม่มีสารอาหารครบถ้วนน่ะสิ... อย่างจำพวกผักถ้าเติมลงไป... อืม... อ่อ กลางวันเป็นแกงจืดผักกาดขาวเต้าหู้ไข่ ส่วนมื้อเย็นเป็นสลัดผักนิดๆหน่อยๆเพิ่มเข้าไปคงได้ละมั้ง” ประโยคหลังๆเขาเริ่มพูดกับตัวเองพลางพยักหน้าหงึกหงัก ปริญญาตรีทางโภชนาการของทยุตมิได้มีไว้เพียงประดับบ้านเท่านั้น งานอีกอย่างที่เขาชื่อชอบคือการกำหนดอาหารทั้งคุณค่าและปริมาณให้เหมาะสมกับคนกิน...

“ผมไม่กินน้ำสลัด” ญาณัชเอ่ยท้วง ริมฝีปากบางเม้มแน่น... แค่นึกถึงรสชาติเปรี้ยวๆหวานๆและความแหยะของมันที่ราดอยู่บนผักสลัดก็ชวนคลื่นเหียนแล้ว

“ไม่กินมะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ แครอท ฟักทอง แล้วก็ผักฉุนๆอย่างต้นหอม ตั้งโอ๋ ผักชีก็ไม่กินเหมือนกัน” นักเปียโนหนุ่มนับนิ้ว มีอีกหลายอย่างที่เขาไม่กิน...มันมากเสียจนนับนิ้วมือรวมกับนิ้วเท้าเข้าไปแล้วยังไม่พอเลย

‘กินยาก’

คำที่สองแวบเข้ามาต่อ...ทยุตกวาดตามองร่างที่ติดจะผอมบางที่นั่งอยู่...เพราะว่าเลือกกินสินะเลยตัวเท่านี้

“แล้วสปาเก็ตตีปลาเค็มผัดแห้งๆที่ว่าจะกินกับอะไรล่ะ...ครับ” เชฟหนุ่มเกือบลืมคำลงท้าย ทั้งที่จริงๆแล้วกับคนที่อายุน้อยกว่าเขาแทบจะไม่พูดมีหางเสียงด้วยซ้ำ ความที่มักจะครองตำแหน่ง ‘คนสั่ง’ มากกว่า ‘คนถูกสั่ง’ ทำให้เขาค่อนข้างขาดความละเอียดอ่อนด้านนี้ไป

“อย่างเดียวก็ได้ ผมไม่เรื่องมาก” ญาณัชเอนหลังพิงโซฟาดังเดิมแล้วกดรีโมททีวีเป็นสัญญาณว่าจะจบการสนทนาเพียงเท่านี้

ทยุตส่ายหัวให้ ‘คนไม่เรื่องมาก’ ลับหลัง

“งั้น...เชิญตามสบาย ผมจะออกไปรดน้ำต้นไม้ก่อน”

“ครับ”

ทยุตดีดนิ้วพลางเรียกชื่อเจ้าสองยุ่ง แต่เจ้าของชื่อกลับนอนกระดิกหางครางหงิงทำเมินไม่สนใจ ไส้กรอกนั่งเอาหัววางพาดหัวเข่าญาณัช ส่วนลูกชิ้นยิ่งแล้วใหญ่...ชิวาว่าตัวจ้อยอาศัยอภิสิทธิ์ของขนาดตัวขึ้นไปนอนครองบนโซฟาข้างๆก่อนจะตะกายเปลี่ยนที่ไปนอนบนตักหาความอบอุ่นของร่างกาย

...หมาทรยศ...

เจ้าของที่ถูกเมินบ่นในใจ และดูเหมือนลูกชิ้นจะรู้ว่าในหัวเจ้านายคิดอะไรอยู่ มันเห่าเสียงแหลมหนึ่งทีแล้วทำกริยาที่..ถ้าเป็นคนคงเรียกว่าค้อนควักใส่

....สาบานได้ว่าเขาไม่เคยอยากถีบสัตว์เลี้ยงที่น่ารักด้วยความเอ็นดูเท่าตอนนี้มาก่อนเลย

“แล้วอย่าตามออกมาล่ะ”

“ครับ?” ญาณัชหันหน้ากลับมาหาแต่เจ้าของคำพูดก็เดินออกไปแล้ว เขากดรีโมททีวีไล่ดูไปเรื่อยๆ ในเวลานี้ ตามปกติเขาจะนั่งๆนอนๆอยู่บนเตียงหรือไม่ก็อ่านหนังสืออ่านเล่นกลิ้งไปมา แต่พอได้ตื่นเช้า ได้กินข้าวเช้าอร่อยๆตบท้ายด้วยเครื่องดื่มก็ทำให้ขี้เกียจจนไม่อยากจะลุกไปไหน

“หงิง” ชิวาว่าพันธุ์ขนยาวสีน้ำตาลปนขาวเงยหน้าเรียกร้องความสนใจ ดวงตากลมใสแป๋วจ้องมาตรงๆ ลิ้นเล็กจิ๋วสีชมพูอ่อนแลบออกมาทำท่ายิ้ม ลูกชิ้นซุกตัวเข้ากับหน้าท้องของญาณัชแล้วนอนขดอีกครั้ง

เด็กหนุ่มยิ้มให้มันแล้วลูบหัวเบาๆ ทีวีที่ไม่มีอะไรน่าสนใจถูกปิดลง อีกมือที่ว่างก็ลดลงไปลูบตัวตัวใหญ่ที่กระดิกหางจนขนสีทองสั่นไหว ความนุ่มของขนและความอุ่นของผิวหนังของมันทำให้รู้สึกดี ราวกับได้พักผ่อนหลังช่วงเวลาอันแสนเหน็ดเหนื่อย

ญาณัชหรี่ตาลงช้าๆ เปลือกตาหนักอึ้งปิดลงพร้อมๆกับความรู้สึกปลอดโปร่งที่เขาไม่ได้รับรู้มานานแสนนาน

///////////////////////////////////////

สายน้ำฉีดพ่นเป็นหยาดละอองไปทั่วหญ้าสนามสีเขียวอ่อน เชฟหนุ่มใช้สายยางแบบมีที่สวมคล้ายฝักบัวส่ายไปรอบๆให้ความชุ่มชื่นแก่หญ้าต้นเล็กๆอย่างทั่วถึง ต้นไม้ที่ปลูกไว้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกไม้ดอกไทยๆที่มีกลิ่นหอมอย่างการเวก แก้ว มะลิ และพวกกินผลอย่างละนิดละหน่อย ด้านข้างซ้ายขวาของตัวบ้านเป็นแนวกุหลาบขาวที่แม่ปลูกไว้ตั้งแต่เขายังเล็ก ทุกๆวันทยุตมักจะเจียดเวลามารดน้ำและใช้ชีวิตอยู่ในสวนของแม่ตัดแต่งกิ่ง ริดใบ จับหนอน พรวนดินไปตามเรื่องราวโดยมีไส้กรอกและลูกชิ้นวิ่งวนไปมาอยู่รอบๆกาย

...เพียงแต่ว่าวันนี้เจ้าสองตัวนั่นพร้อมใจกันเอาใจคนมาใหม่กันหมด...

ทยุตเดินไปฉีดน้ำที่กอกุหลาบ ดอกสีขาวบริสุทธิ์มีน้ำใสๆขังไว้เป็นหยดกลมๆดูสดใส เขาเดินเอาสายยางไปเก็บแล้วหยิบกรรไกรมาตัดดอกกุหลาบขาวทีละดอกจนได้เต็มหอบมือ เขาชอบให้ที่บ้านมีดอกไม้ เพราะมันทำให้นึกถึงตอนที่แม่มีชีวิตอยู่

ชายหนุ่มเดินหอบดอกกุหลาบเข้าไปในบ้านด้วยเสื้อผ้าชุ่มละอองน้ำ เขาเหลือบมองนาฬิกาแล้วจึงรู้ว่าตนเองใช้เวลาไปกับการรดน้ำทำสวนนานมากและสมควรที่เขาจะเข้าไปทำผัดกระเพรา ไม่ใส่ใบกระเพราได้แล้ว

ทยุตก้าวไปยืนหยุดที่ด้านหลังโซฟา เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของญาณัชและเสียงครางของเจ้าสองตัวทำให้เขายิ้มออกมาได้นิดหน่อย ร่างสูงเดินไปยืนข้างหน้าหวังจะปลุก

...แต่ใบหน้าซีดๆที่หลับตาพริ้มอย่างเหนื่อยอ่อนที่สะท้อนเข้ามาในแววตากลับสั่งห้ามเอาไว้

ทยุตย่อตัวลง นัยน์ตาสีเขียวอมเทาจ้องมอง ‘น้องนัท’ ช้าๆ— เด็กชายที่ไม่เคยเห็นหน้าในความทรงจำค่อยๆชัดเจนขึ้น เขายื่นมือไปใกล้ๆเส้นผมสีดำที่ตกปรกใบหน้าแล้วหยุดชะงักลงเพราะแรงดึงที่ขากางเกง โกลเด้นรีทรีฟเวอร์สีทองงับปลายกางเกงแล้วดึงเอาไว้เหมือนจะบอกว่า...อย่าไปกวนคนนอน...

ทยุตลดมือลงตบตัวเจ้าหมาตัวใหญ่เบาๆ ก่อนจะเอานิ้วแนบริมฝีปาก..สั่งไม่ให้มันไปบอกใคร...

...โดยเฉพาะเจ้าของเส้นผมสลวยที่อยู่ตรงหน้า...

ชายหนุ่มหยิบดอกกุหลาบสีขาวมาหนึ่งดอกจากในอ้อมแขน เขาวางมันไว้ข้างๆกายของญาณัชที่อยู่ในห้วงฝัน รอยยิ้มบางเบาที่ขัดกับบุคลิกเงียบๆนอกบ้านส่งให้คนที่นอนหลับอยู่ทีหนึ่งก่อนที่เขาจะลุกขึ้นจากไป

เขาจัดดอกไม้ใส่แจกันใบใหญ่แล้วเอามาวางไว้บนโต๊ะเล็กในห้องกินข้าว เส้นผมสีทองถูกรวบขึ้นเป็นหางม้าเช่นเดียวกับผ้ากันเปื้อนสีขาวที่ถูกเอามาพันไว้กับเอว ทยุตหยิบหมูกรอบ กระเทียม พริกสดออกมาไว้ข้างๆกระทะก่อนจะจุดไฟตรงเตาแก๊ส

เปลวไฟสีส้มที่มีใจกลางเป็นสีฟ้าพุ่งขึ้นเหนือฐานเหล็กสีดำมะเมื่อม ลมอ่อนๆที่โชยมาจากพัดลมระบายอากาศพัดให้ไฟที่ลุกโชน...วูบไหวโอนเอน





To be continue...


kagehana : คุณเชฟครีเอทชื่อน้องหมามาก....ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเมนท์ให้กำลังใจนะคะ ><

ออฟไลน์ pooinfinity

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-3
ในซีรีย์ตราบาปไร้รอยเลือน เค้าอ่านเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เด็กดี ร้องไห้กะน้องนัทไปหลายรอบ

สงสารน้องมากกกกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ yisren.

  • #คนที่ฉันไม่เคยลืม
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 830
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
น้องนัทน่าเอ็นดูเสมอ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
สนุกดี รออ่านอีก

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
เรื่องราวมันเป็นยังไง
ทำไม ถึงให้ลูกเมียน้อยมาดูแลบริษัท
ทำไม นัทถึงไม่ได้เรียนมหา'ลัย
ทำไมนัทต้องไปอยู่บ้านหลังนั้นทั้งๆที่ไม่ชอบ
ทำไมนัทต้องปิดปังเรื่องที่ตัวเองไปเล่นเปียโนไม่ให้คนที่บ้านรู้  ในเมื่อไม่เห็นจะมีใครสนใจ
นัทจบแค่ ม.ปลายหรอ
หรือว่า จบมหาลัย แต่ไม่ใช่คณะที่ตัวเองต้องการ
ชักจะปมเยอะละนะ
รอตอนต่อจ้าาา
 :katai5:

ออฟไลน์ kagehana

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1


-4-






กลิ่นหอมอ่อนๆสะอาดๆลอยเข้าสะกิดโสตประสาทของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนโซฟา สิ่งแรกที่เห็นคือดอกไม้สีขาว เมื่อสายตาเริ่มปรับโฟกัสก็ถึงได้เห็นว่าเป็นดอกกุหลาบ
 
“... อาพีท” ริมฝีปากบางพึมพำชื่อคนที่อยู่ในฝันเมื่อครู่ มือเรียวยกขึ้นขยี้ตาก่อนจะยันตัวขึ้นมามองไปรอบๆ ดอกกุหลาบสีขาวก้านยาววางอยู่ตรงหน้า

‘ไง... ตื่นแล้วเหรอเรา’ พิชญ์ยิ้มทักขณะที่กำลังจัดดอกกุหลาบสีขาวกำใหญ่ใส่แจกันแก้วใบสวย เด็กหนุ่มหยิบก้านกุหลาบขึ้นมามอง

‘ได้มาอีกแล้วเหรอครับอาพีท’

‘อื้ม สวยใช่ไหมล่ะ’ ญาณัชเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับยื่นดอกกุหลาบให้

‘ครับ... แต่อาพีทน่าจะเลิกเอามาวางใกล้ๆนัทเวลานัทนอนน้า... เดี๋ยวนัทกลิ้งทับดอกไม้แบนหมดนะครับ’

พิชญ์วางมือลงบนศีรษะของหลานรักก่อนจะลูบเบาๆ

‘นัทไม่ได้นอนดิ้นสักหน่อย ตื่นมาเจอกลิ่นหอมอ่อนๆของกุหลาบก็ดีแล้วนี่ สดชื่นดีออก’

ญาณัชส่ายศีรษะแรงๆก่อนจะหยิบดอกกุหลาบขึ้นมาถือไว้

“อ๊ะ” หนามกุหลาบที่ยังไม่ถูกตัดออกทิ่มลงบนปลายนิ้วชี้ เลือดสีแดงซึมออกมาจากจุดที่ถูกหนามตำ เด็กหนุ่มรีบเดินไปหาเจ้าของบ้านที่กำลังง่วนอยู่ในครัว

“ขอโทษนะครับ... มีเบตาดีนกับพลาสเตอร์ยาไหมครับ”

ทยุตที่กำลังตักกระเพราหมูกรอบไม่ใส่ใบกระเพราลงบนข้าวสวยร้อนๆที่อยู่ในจานสีขาวชะงักมือ ก่อนจะจัดต่อ แล้วหันมาสนใจแขกในวันนี้ เขาเห็นปลายนิ้วที่มีจุดแดงๆที่พอจะเดาได้ว่าคงเป็นเลือด

...แผลแค่นี้แค่บีบเลือดออกแล้วแปะพลาสเตอร์ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ...

“คุณแพ้หนามกุหลาบเหรอครับ”

“เปล่าครับ”

...อย่างนั้นยาก็ไม่จำเป็นหรอก...

ทยุตยื่นมือมาหมายจะจับข้อมือเล็กมาดูให้ แต่อีกฝ่ายกลับชักมือไว้ ไม่ยอมให้เขาได้ทำอย่างนั้น

“ไม่ต้องครับ ผมทำเองได้” ไม่ใช่ไม่อยากรับความหวังดีจากอีกฝ่าย แต่ถ้าถูกดึงไป ต่อให้เป็นเสื้อแขนยาว ก็คงไม่อาจปกปิดรอยแผลที่เกิดจากการกรีดข้อมือได้

“เดี๋ยวผมเอาพลาสเตอร์ให้ครับ” ทยุตเดินออกมาจากบริเวณเคาน์เตอร์ที่กั้นระหว่างครัวกับโต๊ะทานข้าว หายเข้าไปในห้องทางเดินทางด้านใน แล้วกลับออกมาพร้อมกับพลาสเตอร์

“นี่ครับ”

“ขอบคุณครับ” ญาณัชเดินหายไปในห้องน้ำอีกครั้ง เพราะไม่เคยถูกหนามกุหลาบตำมาก่อนจึงไม่รู้ว่าต้องจัดการอย่างไร เขาจึงทำเพียงล้างแผลให้สะอาดก่อนจะเช็ดให้แห้งแล้วพันพลาสเตอร์รอบปลายนิ้ว ถึงพิชญ์จะชอบเอากุหลาบมาวางไว้ข้างๆ แต่พิชญ์ก็จะขจัดหนามออกไปเพื่อไม่ให้สร้างบาดแผลให้เขา

“ข้าวกลางวันเรียบร้อยแล้วนะครับ” ทยุตเอ่ยบอกเมื่อเห็นร่างบางเดินกลับมา นักเปียโนหนุ่มตาโศกเอ่ยบอกขอบคุณแล้วนั่งลงที่โต๊ะอาหาร นอกจากกระเพราหมูกรอบไม่ใส่ใบกระเพราที่สั่งไป มีชามใส่แกงจืดผักกาดขาวเต้าหู้ไข่ ญาณัชถึงกับขมวดคิ้วไปนิดนึง

...ไม่ได้บอกหรอกหรือว่าไม่ทานผักกาดขาวในแกงจืด...

ญาณัชใช้ช้อนส้อมค่อยๆเขี่ยพริกกับกระเทียมออกไปวางไว้ริมจาน แม้จะชิ้นเล็กจนกินเข้าไปก็ไม่รู้สึกเขาก็ยังเขี่ยออก จนในจานเหลือเพียงหมูกรอบกับข้าวและน้ำซอสผัดกระเพรา แล้วจึงกดช้อนลงเพื่อกระจายข้าวออก

“...” เขาตักกระเพราเข้าปากก่อน และรสมือของทยุตก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เขาตักน้ำแกงมาชิม ก็รสดีมากจนแอบคิดว่าถ้าอยากจะเปิดร้านก็เปิดไปเลย ไม่จำเป็นต้องให้เขาช่วยชิมด้วยซ้ำ

เด็กหนุ่มตักเต้าหู้ลงมา หั่นออกเป็นสองชิ้นแล้วค่อยทาน

การกระทำทุกอย่างของเขาตกอยู่ในสายตาของทยุต เชฟฝีมือดีมองการตั้งใจเลือกพริกกับกระเทียมออกให้หมดทุกชิ้นไม่เหลือแม้แต่เสี้ยวหรือสักอณูเดียว

หลังจากสังเกตได้สักพัก ก็พบว่าผักกาดขาวในแกงจืดไม่ได้ถูกตักออกมาเลย

...ถ้าไม่ทานก็น่าจะบอกกันไม่ใช่เหรอ...

‘น้องนัท’ ของแม่เขาเลือกทานอย่างนี้นี่เอง ถึงได้ตัวเล็กแบบนี้... ทยุตคิดอยู่ในใจ ถึงผิวจะไม่ได้ขาวจนซีด แต่ร่างกายที่ติดจะผอมบางกับสีหน้าที่ดูเหนื่อยอ่อนยิ่งทำให้ญาณัชเหมือนคนป่วยหนักเข้าไปอีก

เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่เรื่องของเขาที่จะเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องของคนอื่น... ไม่ใช่นิสัยของเขาเท่าไหร่นัก แต่พอนึกว่าเป็นคนที่แม่ของเขาคอยมาพูดถึงให้ฟังบ่อยๆ กลับรู้สึกคล้ายกับอดไม่ได้ที่จะต้องยื่นมือเข้าไป

...ถ้า‘น้องนัท’แข็งแรงดี แม่ที่อยู่บนสวรรค์ก็คงจะดีใจเหมือนกัน...

“ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” ทยุตรีบเดินเข้าไปหาพร้อมทั้งดึงจานข้าวมาจากเด็กหนุ่มที่ตั้งท่าจะหยิบไปล้าง เมื่อตอนเช้าก็ต้องพูดแบบนี้หนนึง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมญาณัชถึงต้องพยายามจะจัดการเอง นิ้วก็มีพลาสเตอร์พันรอบอยู่

...ความคิดของลูกคุณหนูช่างเข้าใจยาก

ญาณัชทิ้งตัวลงบนโซฟาอีกครั้ง อย่างน้อยถ้ามีเปียโนก็ยังดี เขาหยิบรีโมทขึ้นมากดไล่ไปตามช่องต่างๆอีกครั้ง รายการทีวีในเวลานี้ไม่มีอะไรน่าสนใจ หนังซีรี่ส์ก็ไม่มีเรื่องที่เขาชอบดู

...เบื่อ...

ร่างบางขยับตัวมาทางด้านนึงของโซฟาเมื่อเจ้าของบ้านเดินมานั่งลงข้างๆ สายตาที่ดูแน่วแน่มองไปยังหน้าจอโทรทัศน์ ญาณัชจึงหันมายื่นรีโมทให้

“ผมไม่ได้ดูอะไรอยู่ครับ”

“....” ในเมื่ออีกฝ่ายบอกเช่นนั้น เขาจึงเปิดดูรายการพาเที่ยวพร้อมแนะนำร้านอาหารดังๆจากทั่วโลก ทยุตตั้งใจไว้แล้ว สักวันเขาจะต้องมีร้านอาหารของตนเองให้ได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินพอจะลงทุน แต่เพราะเขาเองยังรู้สึกว่าไม่พร้อม

น่าอิจฉาเจ้าของร้านที่พิธีกรเข้าไปสัมภาษณ์ สีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขแบบนั้น... สักวัน... ทยุตบอกกับตัวเอง

สักวันเขาจะยืนยิ้มอย่างภาคภูมิใจกับร้านอาหารของเขาเอง

“ลูกชิ้-” ทยุตรีบกลืนคำที่ตั้งใจจะต่อว่าเจ้าชิวาว่าตัวเล็กลงคอ น้ำหนักที่ตกลงมาบนตักของเขาไม่ใช่ลูกชิ้น แต่เป็นศีรษะของญาณัช

“....” ร่างสูงหันมองคนที่นอนลงบนโซฟา ศีรษะวางอยู่บนตักของทยุตโดยไม่ได้ตั้งใจ นัยน์ตาที่ดูโศกเศร้าปิดสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอของเขาทำให้ทยุตรู้ว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว

...ทำไมถึงหลับได้อีกแล้ว...

สายตาของทยุตละจากหน้าจอโทรทัศน์มาที่คนข้างๆ เส้นผมสีดำขลับยาวสยายลงมาล้อมกรอบใบหน้าหวาน เขาไล้ปลายนิ้วไปบนปอยผมที่ตกลงมาระใบหน้า ปัดออกให้ไม่เกะกะรบกวนคนที่กำลังนอน

“...!?” ฝ่ามือใหญ่กลับถูกมือของญาณัชที่ไม่รู้สึกตัวจับไว้แล้วดึงไปแนบอยู่กับแก้ม

“... อาพีท” ริมฝีปากบางขยับเพียงเล็กน้อย มีเสียงพึมพำออกมาเบาๆก่อนที่จะปรากฎรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม เมื่อเห็นเช่นนั้น ทยุตที่ตั้งใจว่าจะค่อยๆลุกไปก็ล้มเลิกความคิดดังกล่าว

ทั้งๆที่ทำงานกลางคืนที่โรงแรมแล้ว แต่ข้างในคงยังเป็นเด็กมากกว่าที่คิดไว้

...จะยอมให้นอนอยู่แบบนี้ก่อนก็ได้...


////////////////////////////////////////


...กี่ชั่วโมงแล้วนะ...

ทยุตมองคนที่นอนหลับเป็นตายอยู่บนตักของเขา ญาณัชยังไร้วี่แววว่าจะตื่น ถ้าหากคนๆนี้เป็นน้องเป็นนุ่งของเขาเองเขาคงได้ปลุกให้ตื่นมาสั่งสอนอบรมอะไรบางอย่าง อย่างเช่น ความระมัดระวังตัว ถึงจะไม่ใช่ผู้หญิงแต่ผู้ชายสมัยนี้ก็ใช่ว่าปลอดภัย ยิ่งเป็นจำพวกตัวเล็กปลิวลมไร้เรี่ยวแรงและท่าทางจะถูกหลอกง่ายอย่างญาณัชยิ่งต้องระวังเข้าไปใหญ่

“...อือ...” เสียงครางลอดออกมาจากริมฝีปากเล็กๆ ใบหน้าขาวซีดที่แนบอยู่กับอุ้งมือของเขาขยับถูไถไปมาคล้ายกำลังออดอ้อนใครบางคนอยู่

“อาพีท...นัท...” เสียงขาดหายไป ทยุตลองเงี่ยหูฟังหากแต่ก็ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจแผ่วๆ

“อาพีทงั้นเหรอ...”

การที่ได้ยินผู้ชายที่บรรลุนิติภาวะแล้วมาละเมอถึงใครคนหนึ่งด้วยรอยยิ้มจางๆแบบนี้เป็นประสบการณ์ที่ชั่วชีวิตเขาไม่เคยได้รู้จักมาก่อน ไม่สิ ตั้งแต่การให้ใครมานอนตักแล้ว จะเคยมีก็แค่รวินที่มาขอนอนเล่นๆชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น

ทยุตก้มลงมองด้วยสายตาพินิจจนเส้นผมสีทองตกระแผ่นอกแข็งแกร่งใต้เสื้อเชิ้ต นัยน์ตาสีเขียวอมเทาสำรวจคนที่นอนหลับใหล

...ทั้งที่เมื่อกี้เพิ่งคิดว่าเป็นคนเรื่องมากแท้ๆ...

...แต่ทำไมตอนนี้กลับคิดว่าใบหน้ายามนอนหลับก็น่ารักดีไปเสียได้...

ถ้าจะให้บอกว่าน่ารักขนาดไหน...ก็เทียบเท่าได้กับเด็กผู้ชายที่เพิ่งโตธรรมดาๆทั่วไป ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ไม่เหมือนกับรวินอดีตคนรักที่มีทั้งดวงตากลมโตสุกใส ผิวนุ่มเนียนมือและความขี้อ้อนที่ต่างจากเด็กผู้ชายทั่วๆไป แต่ว่า... ยิ่งคิดว่าไม่พิเศษเท่าไรก็ยิ่งเห็นอะไรบางอย่างในตัวคนๆนี้ อาจจะเป็นความผูกพันที่หลงลืมไปเนิ่นนาน ก็ได้ล่ะมั้ง

เชฟหนุ่มไล้นิ้วไปตามเส้นผมสีดำเบาๆ นุ่ม อ่อนละมุน คล้ายกับเวลาสัมผัสขนของไส้กรอกแต่ก็ต่างกันในหลายๆจุด เขายกปลายผมขึ้นมาชิดจมูกแล้วปล่อยลงเบาๆ

‘Trrrrr Trrrrr’

เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ใกล้ตัวดังขึ้นเช่นเดียวกับดวงตาสีดำที่อยู่ใต้เปลือกตาลืมขึ้นมองทยุตในระยะประชิด ญาณัชตกตะลึงกับใบหน้าที่อยู่ใกล้แต่เขาก็ไม่ผลักออกให้เสียมารยาท ริมฝีปากบางเม้มครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆลุกอย่างระมัดระวังเช่นเดียวกับทยุตที่เอื้อมมือไปรับโทรศัพท์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“สวัสดีครับ”

ญาณัชแกล้งดีดนิ้วเรียกไส้กรอกที่นอนพังพาบเอาหัวพาดขาหน้าอยู่ใกล้ๆ หูได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์ชัดเจน ดูเหมือนคนที่โทรมาจะเป็นใครก็ตาม ที่ค่อนข้างสนิทกับเชฟหนุ่มคนนี้มาก เพราะเสียงหัวเราะสดใสกับการเรียกชื่อเล่นด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่เช่นนี้เขายังไม่เคยเห็นทยุตเป็นมาก่อน

...แต่ก็อย่างว่า...พวกเราเพิ่งเจอกันได้ไม่กี่ครั้งนี่นะ...

“วิน... วินนี่เดอะพูห์...ไอ้เด็กบ้า” ทยุตเรียกชื่อเล่นที่เขาเป็นคนตั้งให้แบบล้อๆก่อนจะหัวเราะลั่นกับเสียงกระฟัดกระเฟียดที่อีกฝ่ายฟอดแฟดมาตามสาย

ไอ้เด็กบ้างั้นเหรอ...

ญาณัชที่แม้ไม่อยากเสียมารยาทฟังเวลาคนคุยโทรศัพท์ได้ยินเสียงหัวเราะชัดเจน คุณเชฟหน้าตึงขรึมๆคนนั้นหัวเราะได้ขนาดนี้เชียว ยิ่งพอหันไปมองก็ได้เห็นรอยยิ้มกว้างที่ยิ้มทั้งปากทั้งนัยน์ตา ดูมีความสุขจนน่าอิจฉา

ทยุตหันกลับมามองทางญาณัช ทันทีที่สบตาดวงตาทั้งสองคู่ก็ประสานกันอยู่ครู่หนึ่งจนปลายทางต้องตะโกนใส่เขาดังลั่น

“ไอ้พี่ยุตตตตตต เหม่ออยู่ได้เดี๋ยวพ่อก็วางซะหรอก”

“อะไรครับไอ้คุณน้องวิน มาเป็นพ่อกันตั้งแต่เมื่อไหร่” ทยุตเองก็ตะโกนกลับไปโดยไม่ลดราวาศอก

แม้จะเป็นเสียงที่ติดหวานนิดๆแต่นั่นก็เสียงผู้ชาย ญาณัชเหลือบมองอีกครั้งแต่ทยุตก็เดินออกไปคุยนอกบ้านแล้ว เขาทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่มๆพลางลูบขนไส้กรอกที่ทำท่าจะตามเจ้านายไป....

น่าอิจฉาจัง การที่มีคนสนิทถึงขั้นทำให้อารมณ์ดีได้ขนาดนี้

นักเปียโนหนุ่มมองนาฬิกา อีกสักพักก็จวนจะหกโมงเย็นแล้ว คงได้เวลาที่เขาจะได้กลับไปเตรียมตัวทำงานที่โรงแรมแล้วมั้ง แต่ว่าข้าวเย็นที่อีกฝ่ายสัญญาเอาไว้ยังไม่ได้กินเลย....

พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ก็แทบจะกัดลิ้น... อย่างกับพวกเห็นแก่กินเลย ถูกเอาอาหารมาล่อซะได้

ยิ่งคิดก็โมโห ญาณัชผุดลุกขึ้นแล้วจ้ำอ้าวจะเดินออกนอกตัวบ้านพอดีกับคนที่โทรศัพท์เสร็จเดินสวนมา ร่างสูงใหญ่ขวางประตูไว้แล้วก้มลงถามด้วยน้ำเสียงของ ‘เชฟทยุต’

“จะไปไหนครับ”

“พอดีว่าผมเห็นว่าเย็นแล้ว เลยไม่รบกวนคุณดีกว่า” ญาณัชตอบกลับไป

“ครึ่งชั่วโมง...แล้วเดี๋ยวผมจะไปส่งคุณที่โรงแรมเอง” ทยุตพูดแค่นั้นแล้วเดินหายเข้าไปในครัว เสียงหม้อและเสียงน้ำไหลก่อนจะตามด้วยเสียงจุดแก๊สบอกเขาว่าทยุตกำลังเตรียมอาหารเย็นให้เขากิน

ญาณัชยืนหันรีหันขวางก่อนจะกลับไปนั่งที่โซฟาเหมือนเดิม พอดีกับชิวาว่าตัวน้อยที่เพิ่งตื่นก็ครางอ้อนพลางแลบลิ้นเลียที่ปลายเท้าเบาๆ

“จั๊กจี้นะครับลูกชิ้น” เขาก้มตัวลงไปจับตัวนิ่มๆด้วยสองมือแล้วยกขึ้นสูงเกือบแนบชิดใบหน้า ชิวาว่าขี้อ้อนแลบลิ้นเลียจมูกแล้วดิ้นทำท่าอยากจะลงจากมือเมื่อได้กลิ่นหอมๆโชยมาจากในครัว ซึ่งไส้กรอกสัญชาติโกลเด้นรีทรีฟเวอร์เดินนำเข้าไปก่อนหน้านั้นแล้ว

“จะไปกินข้าวเหรอครับ” ญาณัชปล่อยลูกชิ้นลง มันวิ่งหางแกว่งเห่าแบ๊กๆไปตามกลิ่นของอาหารของเจ้านาย...แน่ล่ะ ถึงจะขี้อ้อนแค่ไหนแต่ยังไงๆเรื่องกินก็มาเป็นอันดับหนึ่งของสัตว์เลี้ยงในบ้านนี้

“ไง...ทีอย่างงี้ล่ะมากันเชียวนะไอ้สองแสบ” เสียงกึ่งขำกึ่งเอ็นดูของเชฟหนุ่มในครัวทำให้คนที่นั่งรออยู่อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ญาณัชเหลือบมองนาฬิกาอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นไปด้วยความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม

“ออกไปข้างนอกไป เดี๋ยวมีดหล่นใส่หัวกลายเป็นซุปกระดูกหมาไม่รู้ด้วยนะ” ทยุตบ่นแบบขำๆ ฝ่ายตรงข้ามที่นั่งนิ่งทำหน้ามึนน้ำลายย้อยกระดิกหางพลางส่งสายตาคาดหวัง กลิ่นเค็มๆอะไรก็ไม่รู้...รู้แต่ว่าฝีมือเจ้านายต้องอร่อยแน่ๆ

“แน่ะ ไปนั่งกับน้อง... เอ่อ... คุณญาณัชไป” เชฟหนุ่มออกปากไล่แล้วหันไปเขย่ากระทะ สปาเก็ตตีปลาเค็มตามสั่งกำลังจะได้ที่แล้ว เขาผัดกระทะค่อนข้างใหญ่กะจะให้พอกินสองคน ส่วนกระทะอีกใบและกล่องเปล่าก็เตรียมรอรับการบรรจุแล้ว... เหลือเวลาอีกแค่อึดใจเท่านั้น

เสียงไมโครเวฟดังขึ้นพร้อมกับหมาบ้าจี้สองตัวที่เห่ากันขรม ทยุตหลุดขำออกมาจนเกือบทำกระทะหลุดมือ ไม่รู้หมาคนอื่นจะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า บ้าจี้ในทุกกรณี แบบนี้...

“เอ้า หลบๆ” เขาเทสปาเก็ตตีลงในจานกลมใหญ่สีอ่อนที่วางผักกาดหอมและมะเขือเทศหั่นแว่นบางๆประดับไว้แล้ว ควันกรุ่นๆลอยขึ้นมาเป็นสายด้วยความร้อน ทยุตยกทั้งสองจานออกจากห้องครัวไปยังโต๊ะกินข้าวก่อนจะวางไว้ใกล้ๆกัน

“คุณญาณัชครับ... อาหารเสร็จแล้ว” เสียงเรียบขรึมพูดเบาๆ เขารอเงี่ยหูฟังเสียงเดินพออีกฝ่ายเดินมาจะถึงโต๊ะก็พูดต่อทันที

“ทานก่อนได้เลยนะครับ ผมขอไปจัดการในครัวแป๊บนึง”

“ไม่ทานด้วยกันเหรอครับ” ญาณัชรีบท้วง หากจะให้เขานั่งกินคนเดียวโดยที่คนทำไปจัดการเก็บล้างเองดูจะน่าเกลียดเกินไป แค่ทยุตทำอาหารอร่อยๆให้ทานแบบนี้ก็มากเกินกว่าที่เขาจะพูดว่าขอบคุณอย่างเดียวได้แล้ว

“ผมทานเร็ว คุณทานไปก่อนเถอะ”

ญาณัชมองแผ่นหลังตรงที่เดินหายลับเข้าไปในครัวก่อนจะยกส้อมขึ้นมาม้วนเส้นเป็นก้อนกลมๆ แค่กลิ่นหอมก็ทำให้น้ำลายสอแล้ว....ยิ่งตอนที่กัดเข้าไปคำแรก กลิ่นเค็มๆของปลาเค็มกับรสสัมผัสนุ่มปนหยุ่นๆของเส้นทำให้ลืมร้านดังๆที่เคยกินมาจนหมด ญาณัชหมุนอีกคำเข้าปาก..ต่อด้วยอีกคำ...และอีกคำ

...ไม่แปลกใจเลยที่ไส้กรอกกับลูกชิ้นจะห่วงกินมากกว่าเล่น...

“คุณท—” คนที่กินอยู่พยายามจะเรียกชื่อก่อนแต่เจ้าของสปาเก็ตตีกลับวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วพร้อมหอบของในมือ สักครู่หนึ่งก็เดินกลับเข้าไปในครัวแล้วหยิบขวดกับแก้วมาสองใบ ทยุตรินน้ำใส่ทั้งสองแก้วแล้วเลื่อนไปให้ญาณัชนึง

เชฟหนุ่มไม่พูดไม่จาหยิบส้อมขึ้นมาตักกินอย่างรวดเร็ว ผิดกับญาณัชที่นั่งนิ่งจ้องมองแก้วน้ำเย็นเฉียบจนเป็นฝ้าบางๆริมขอบแก้ว

...นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่มีคนรินน้ำให้ตอนกินข้าวแบบนี้...

นัยน์ตาหมองลงเมื่อไพล่ไปนึกถึงพิชญ์... คนที่เคยนั่งกินข้าวร่วมกันแบบนี้ คนที่คอยดูแลเอาใจแบบนี้ คนที่รินน้ำพร้อมยื่นให้พร้อมรอยยิ้ม...

...อาพีทครับ...นัท...

“เดี๋ยวก็เย็นหมดหรอกครับ” คนที่กินไปได้มากกว่าเศษหนึ่งส่วนสี่ของจานพูดโพล่งขึ้นแล้วกินต่อไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ค..ครับ”

///////////////////////////////////////////

“ถึงแล้วครับ” ทยุตแกะหมวกกันน็อคที่คางของตนเองแล้วก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่หน้าโรงแรมที่ทำงานของญาณัช เขาไม่ได้ยื่นมือไปช่วยญาณัชที่ลงจากเบาะอย่างทุลักทุเล... แต่ก็ไม่ได้เย็นชาถึงขนาดที่จะปล่อยให้กลิ้งโค่โร่ลงจากรถ

พอเท้าแตะพื้นได้เด็กหนุ่มผมยาวก็ถอดหมวกกันน็อคส่งคืนให้ “ขอบคุณสำหรับอาหารนะครับ....”

“อาทิตย์หน้าเอาเป็นวันพฤหัสแล้วกัน วันอื่นผมมีงาน...เวลาเดิมหน้าบ้าน”

“เดี๋ยวครับ ผมว่า...ผมไม่รบกวนดีกว่า...ครับ” ญาณัชพูดไม่ทันจบประโยคในอ้อมแขนก็มีกล่องพลาสติกเนื้อหนาอย่างดีกับกระบอกสุญญากาศสีเงินวางใส่แล้ว

ทยุตกดมือลงปิดกล่องร้อนที่ติดอยู่ด้านหลังเบาะรถลง ที่ตรงนี้เขาดัดแปลงเอาไว้ใส่อาหารเวลาที่ต้องนำไปจากที่บ้านหรืออาหารที่ต้องใช้ความประณีตในการทำมากๆ....แต่ถ้ามองผิวเผินก็คล้ายกับที่เก็บหมวกกันน็อคอยู่บ้าง

“เอาไว้กินหลังเลิกงานแล้วกัน...ตอนดึกคงหิว” ทยุตพูดเสียงเรียบเมื่อตอนเย็นเขาตั้งใจจะทำไว้เผื่อกลางดึกอยู่แล้ว...ซุปกะหล่ำปลีที่เปื่อยนิดๆในกระบอกกับหมูผัดซอสและไก่อบที่แยกกันไว้ในกล่องพร้อมข้าวคงจะพอแก้หิวได้

“ทำมาให้ผมเหรอครับ” ดวงตาสีเข้มเงยสบตา บอกไม่ถูกว่าทำไมเหมือนในอกจะตื้อจนไม่สามารถพูดว่าขอบคุณได้

“อย่าลืมอุ่นก่อนกินล่ะ...” สำทับเข้าไปอีก อาหารจะอร่อยที่สุดก็ต่อเมื่อทำเสร็จใหม่ๆ หรือไม่ก็ต้องอุ่นให้ร้อน นัยน์ตาสีเขียวอมเทามองจ้องลงไปในดวงตาสีดำ มือยกขึ้นลูบศีรษะคนตรงหน้าเบาๆ อย่างเผลอไผล

“ขอบ...”

“แล้วเจอกัน” ทยุตละมือออกก่อนจะก้าวขึ้นรถมอเตอร์ไซค์แล้วขี่ออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้คนที่ยืนถือของเต็มหอบมือมองนิ่งด้วยใบหน้าที่ต่างไปจากทุกวัน

“.......... ยังไม่ทันจะได้ขอบคุณเลย......”

/////////////////////////////////////////

...อร่อย...

นั่นเป็นความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวหลังจากทานอาหารที่ทยุตทำใส่กล่องมาให้อย่างดีเข้าไป หลังจากทานอาหารฝีมือของทยุตมารวมมื้อนี้ด้วยเป็นมื้อที่หก เขาอยากจะบอกไปเสียเลยว่า เปิดร้านอาหารไปเลยก็ได้ ไม่ต้องให้เขามาเดือดร้อนชิมด้วยซ้ำ ญาณัชค่อยๆตักใบกะหล่ำปลีที่เปื่อยจนแทบใสใส่ปาก ความนุ่มของใบที่ดูดเอารสชาติกลมกล่อมของน้ำซุปไว้พอดีทำให้อดยิ้มออกมาไม่ได้

อาหารมื้อดึกนี้ยิ่งอร่อยมากขึ้นเมื่อมีแต่ของที่ญาณัชชอบทาน หลังจากจัดการเรียบร้อย โดยเหลือหมูผัดซอสไว้ครึ่งนึงของที่ทยุตทำมา มือผอมบางประสานกันครู่หนึ่ง แล้วจึงลุกขึ้น นำภาชนะทั้งหมดไปล้างในอ่างล้างมือ พร้อมๆกับที่เปิดน้ำใส่อ่างอาบน้ำ

...กว่าจะได้คืนคงเป็นวันพฤหัสหน้า...

ร่างบางยืนอยู่ริมหน้าต่างของโรงแรม ทิวทัศน์ของเมืองใหญ่ยามกลางคืนยังดูวุ่นวายอยู่มากนัก เขากะเวลาให้พอดีก่อนจะหันกลับเข้าห้องน้ำไป ถ้าให้เสียเวลากับการดูความวุ่นวายยามค่ำคืน เขาเลือกที่จะเสียเวลากับการแช่ในอ่างน้ำอุ่นให้สบายตัวดีกว่า

////////////////////////////////////////

ภายในห้องน้ำสีขาว ไอน้ำร้อนลอยกรุ่นอยู่ทั่วห้อง แขนเรียวยกขึ้นมาจากน้ำก่อนจะตีเล่นสองสามที นัยน์ตาโศกจ้องไปที่รอยแผลยาวบนข้อมือก่อนจะปิดลงช้าๆแล้วเอนศีรษะพิงกับขอบอ่างที่มีผ้าขนหนูผืนเล็กวางรองไว้

‘นัท... หลับในห้องน้ำอีกแล้วเหรอ?’ เสียงที่ดังผ่านประตูไม้มาทำให้คนที่กำลังหลับตาอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นทันที

‘เปล่าครับ นัทกำลังแช่น้ำอยู่ต่างหาก’ เด็กหนุ่มรีบแก้ตัวพลางรีบลุกขึ้นจากอ่าง น้ำในอ่างแทบจะเย็นหมดแล้วก็ว่าได้

‘เดี๋ยวไม่สบายนะเรา’

‘ไม่หรอกครับ แค่แช่น้ำเอง’ ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ถูกใช้อย่างรวดเร็ว ญาณัชเช็ดตัวลวกๆแล้วรีบสวมชุดนอน ก่อนจะเปิดประตูออกมาเจอกับพิชญ์ที่ยืนยิ้มอยู่พร้อมกับแก้วใบใหญ่

‘เอ้า นมใส่น้ำผึ้งอุ่นๆ...’

 

‘วิน...วินนี่เดอะพูห์...ไอ้เด็กบ้า’ ทยุตเรียกชื่อเล่นที่เขาเป็นคนตั้งให้แบบล้อๆก่อนจะหัวเราะลั่นกับเสียงกระฟัดกระเฟียดที่อีกฝ่ายฟอดแฟดมาตามสาย

 

ญาณัชแทบจะสะดุ้งจนเกือบไหลลงไปในอ่าง แขนสองข้างรีบยันตัวเองไว้ ใบหน้ากับน้ำเสียงยามหัวเราะอารมณ์ดีของทยุตผุดขึ้นในมโนภาพอย่างชัดเจนจนตกใจ

เขาจุ่มหน้าลงในอ่างแล้วเงยขึ้นมาอีกครั้ง

ถ้าไม่นับคุณพลอย... ทยุตเรียกได้ว่าเป็นอีกคนที่เข้ามาใกล้พอสมควร ไม่เคยมีใครสนใจจะรู้ด้วยซ้ำ แต่จะว่าไปเขาก็ไม่เคยสนใจจะบอก ว่าอาหารที่ทานได้มีอะไรบ้าง เพราะพิชญ์จะเอาใจใส่และรู้เสมอว่าเขาทานและไม่ทานอะไร

วันนี้ที่ใช้เวลาอยู่กับทยุต - - - จะเรียกว่าใช้เวลาก็ไม่น่าจะถูกเพราะเขาแทบไม่ได้คุยกัน - - - ญาณัชรู้สึกได้ว่า เขาไม่ได้สร้างมิตรภาพกับใครเลย ไม่เคยสนใจจะมีเพื่อนเสียด้วยซ้ำ แต่พอเห็นทยุตที่ดูนิ่งขรึมยังหัวเราะแบบนั้นได้กับคนที่สนิทสนมด้วย

...จะหัวเราะแบบนั้นได้บ้างไหม...

แต่เรื่องจะให้เปิดใจ... ไว้ใจคนอื่น เป็นเรื่องที่จัดได้ว่าอยู่นอกเหนือความคิดของเขา นอกจากนั้น ทยุตเองก็ไม่ได้มีทีท่าว่าอยากจะเป็นเพื่อนด้วยเท่าไหร่ ถ้าอยากเป็นเพื่อนด้วย ก็ต้องยิ้มให้มากกว่านี้สิ...

...ไม่...

ทยุตจะมาอยากเป็นเพื่อนกับเขาทำไม ก็แค่อยากจะหาคนช่วยชิมอาหารที่ทำเท่านั้น

ญาณัชคิดถึงตอนที่ทยุตรินน้ำให้ สองปีได้แล้วที่เขาต้องทานข้าวคนเดียว ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคิดถึงเสียงหัวเราะที่เคยมีมาตลอดบนโต๊ะอาหารขนาดไหน บางที... บางทีถ้าสามารถสนิทกับทยุตจนสามารถหัวเราะด้วยกันแบบนั้นได้ อะไรๆก็อาจจะดีขึ้น

ร่างบางลุกขึ้นจากอ่าง ปลายผมเปียกชื้นเกาะติดลำคอระหง กระจกบานใหญ่สะท้อนภาพตัวเองพร่าเลือนเพราะไอน้ำ

...แม่...

‘ถ้าเราผมยาวคงเหมือนกับแม่เลยนะ’

‘จะเหมือนได้ไงฮะอาพีท... นัทเป็นผู้ชายนะ’

‘ได้สิ... ทำไมลูกชายจะหน้าเหมือนแม่ไม่ได้ล่ะ’

‘ลูกชายหน้าเหมือนแม่.... ก็หน้าเหมือนผู้หญิงสิฮะ’

‘ฮะฮะฮะ นัทก็เป็นหนุ่มหน้ามนไง’

‘........ นัทว่าฟังดูประหลาดออกฮะ’ เด็กหนุ่มตัวเล็กทำหน้าเบ้ เลยถูกขยี้ศีรษะกลมจนหัวยุ่ง

...หน้าเหมือนแม่...

...อย่างนั้นเหรอ...

...ถ้าอาพีทไม่พูดก็คงไม่รู้สึก...

...จะตัดผมดีไหมนะ...

...หรือจะไม่ตัดดี...

...คุณเชฟคนนั้นก็ผมยาว...

“????” ญาณัชรีบคว้าผ้าเช็ดตัวมาเช็ดตัวลวกๆแล้วหยิบเสื้อคลุมที่ผ้าค่อนข้างหนักมาสวมทับ ผ้าเช็ดตัวผืนนุ่มสีขาวถูกวางลงบนศีรษะของตัวเองแล้วขยี้แรงๆ ตกใจกับตัวเองที่คิดถึงทยุตขึ้นมาอีก

“.......... วัน.... พฤหัส... เหรอ”

ร่างเพรียวบางทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม ก่อนจะหลับตาลงช้าๆ

...ถ้ามาถึงเร็วๆ...

...ก็คงจะดี...





To be continue...

ออฟไลน์ yisren.

  • #คนที่ฉันไม่เคยลืม
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 830
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
สารภาพว่าแอบไปหาอ่านในเด็กดีเรียบร้อยแล้ว
กรี๊ดมากๆๆๆ  :heaven

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
รอๆๆๆๆ

ออฟไลน์ kagehana

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1
+:+ My all...私のすべて... +:+ Chapter 5 sleeping beauty [04/01/15]
«ตอบ #15 เมื่อ04-01-2015 15:53:58 »




-5-










ญาณัชตื่นขึ้นในตอนเช้าอย่างเช่นทุกวัน แต่วันนี้ถือเป็นความรู้สึกที่ต่างกว่าวันอื่นๆ...

…วันนี้เป็นวันพฤหัสบดี

‘เปรี้ยง!’

เด็กหนุ่มหันออกไปนอกหน้าต่างด้วยความตกใจ ชั่วพริบตาเดียว หยาดฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา เสียงหยดน้ำตกกระทบหน้าต่างฟังดูบางเบาในทีแรกก่อนจะเริ่มหนักขึ้น

...ฝนตก...

เขาไม่คิดว่าฝนจะตกในวันนี้ ร่างเล็กลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินมาที่โต๊ะ กล่องข้าวที่ล้างสะอาดถูกใส่ไว้ในถุงเรียบร้อย ญาณัชตัดสินใจไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยด้วยเสื้อแขนยาวที่ปิดรอยแผลบนข้อมือได้มิดชิด จากนั้นถือถุงกล่องข้าวไว้ แล้วหยิบร่มเพื่อลงมาข้างล่าง

/////////////////////////////

นักเปียโนหนุ่มผมยาวกำลังยืนรอคนที่เป็นฝ่ายนัดเวลาไว้ มือข้างหนึ่งกางร่มไว้เพื่อป้องกันละอองฝน อีกไม่นานก็จะถึงเวลาที่บอกไว้

...ฝนตกแบบนี้...

...มอเตอร์ไซค์อาจจะลำบาก...

...อาจจะไม่มา...

...ก็ได้...

/////////////////////////////

สายฝนสีขาวโปรยปรายลงบนพื้นถนน น้ำจากฟากฟ้าเจิ่งนองกระเซ็นเป็นสายยามที่ล้อรถบดเบียดกระแทกลงไป ความเร็วที่เร่งได้น้อยกว่าปกตินำพาความหงุดหงิดมาให้ชายหนุ่มในเสื้อแจ็กเก็ตสีดำเล็กน้อย เขาหมุนข้อมือที่บิดคันเร่งพลิกขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้เลยเวลานัดมาตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว...ไม่รู้เหมือนกันว่า จะยังรออยู่ไหม

ถ้ารอ...ก็ดี...

แต่ถ้าไม่รอ...ก็ไม่แปลก...

ทยุตบิดคันเร่งเพิ่มอีกนิดพามอเตอร์ไซค์คู่ใจทะยานไปตามถนน ท่ามกลางสายฝนที่ไร้วี่แววว่าจะหยุด


///////////////////////////

“ฮัดชิ้ว!” ร่างบอบบางถูจมูกฟุดฟิดไปมา ใบหน้าขาวที่เปรอะด้วยละอองฝนมองไปยังสุดปลายถนนหน้าบ้าน ญาณัชเขย่งตัวมองซ้ำไปซ้ำมาอย่างนี้มากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ในหัวคิดจะกลับไปนอนในบ้านหลายครั้ง...แต่เขาก็ยังยืนกางร่มรอท่ามกลางสายฝน

...ทำไมยังไม่มาอีกนะ หรือว่าจะมีอุบัติเหตุ หรือว่า...เพราะฝนตกเลยยกเลิกนัดวันนี้...

ยังไม่ทันที่ความคิดฟุ้งซ่านจะได้สานต่อ เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่คุ้นตาขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าฝนเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมเสียงทุ้มห้าวที่พูดอู้อี้ออกมาจากหมวกกันน็อค

“ทำไมไม่เข้าไปรอในบ้าน”

ญาณัชสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปด้วยเสียงขุ่นๆ....

“ก็ในบ้านมันไม่เห็นนี่..ครับ” ท้ายประโยคเขากดเสียงต่ำระงับอารมณ์ขุ่นมัว...ทั้งๆที่ตัวเองมาช้าแท้ๆ พอมาถึงยังจะมาดุใส่อีก

ทยุตนิ่งไปครู่หนึ่ง เขามองร่างที่เปียกละอองฝนก่อนจะพูดด้วยเสียงอ่อนลง “ผมแค่...กลัวคุณเป็นหวัด ขอโทษที่มาช้า ฝนตกแบบนี้ผมไม่อยากขับรถเร็ว”

“ดีแล้วครับ จะได้ไม่เกิดอุบัติเหตุ” ญาณัชพูดเสียงเบา

“แล้วฝนตกอย่างนี้คุณญาณัชจะไปพร้อมผมหรือให้เรียกแท็กซี่ดีครับ” เชฟหนุ่มเสนอทางเลือกเพราะถ้าไปกับเขา...ญาณัชเปียกแน่ๆ แถมท่าทางอย่างนี้ก็บอกได้เลยว่าโดนฝนนานๆต้องไม่สบายเพราะความต้านทานของร่างกายเดิมก็ต่ำอยู่แล้ว ภาพที่อยู่ก็หลับ... แถมหลับหลายครั้งต่อวันส่งผลให้เชฟหนุ่มรู้ว่าความแข็งแรงของร่างกายคนๆนี้ต่างจากคนทั่วๆไป

...หรือถ้าเรียกให้ถูกก็คือ...อ่อนแอกว่าธรรมดาเป็นสองเท่า...

“ผมไปกับคุณดีกว่า...” ญาณัชตอบแล้วก้าวขึ้นซ้อนทันที ซึ่งดูจากท่าทางที่ยังเก้งก้างเจ้าของรถเลยอดจะยื่นมือไปช่วยไม่ได้

ทยุตถอดเสื้อแจ็คเก็ตที่สวมอยู่แล้วยื่นส่งให้ ดวงตาสีเขียวอมเทาจ้องมองราวกับจะสั่งไม่ให้ปฏิเสธ...คนที่อ้าปากจะพูดว่าไม่เลยจำใจรับมาสวมแต่โดยดี

“เก็บร่มด้วยครับ...ผมขี่รถไม่ถนัด” ทยุตสั่งแล้วใส่หมวกกันน็อคครอบลงไปบนเส้นผมสีดำเปียกชื้นของเด็กหนุ่มที่ตัวเล็กกว่า ญาณัชขมวดคิ้วแน่น...ก็รู้อยู่แล้วว่าเวลานั่งรถแบบนี้กางร่มไม่ได้แล้วเขาก็กำลังจะเก็บอยู่แล้ว...ไม่ต้องรอให้ใครบางคนมาคอยสั่งหรอก

...ขี้บ่นจริง...

/////////////////////////////////

“ห้องอาบน้ำอยู่ข้างๆครัวครับ”

หลังจากที่จอดรถข้างๆบ้านได้ญาณัชรู้สึกเหมือนร่างของตัวเองปลิวหวือติดมือเย็นเฉียบของชายหนุ่มร่างสูงเข้ามาในบ้านอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับผ้าขนหนูสีขาวกรุ่นกลิ่นแดดจากที่ไหนไม่รู้โปะลงบนศีรษะตัวเอง

“คุณอาบก่อนเลยครับ” ตามมารยาทที่ดี...แถมอีกฝ่ายดูเหมือนจะเปียกกว่าหลายเท่า ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะให้เขายืมเสื้อไปคลุม ดวงตาโศกจับจ้องร่างสูงตรงหน้า เสื้อเชิ้ตสีดำแนบไปตามร่างกายที่แค่ดูภายนอกก็รู้แล้วว่าแข็งแรง เส้นผมสีทองที่ดูฟีบลงเล็กน้อยเพราะถูกฝนแนบลงมาตามเสื้อผ้าชุ่มน้ำ

“คุณเปียกมากกว่าผม” ญาณัชยืนยันคำเดิมแล้วเช็ดหัวตัวเองเบาๆ

“แต่ผม...แข็งแรงกว่าคุณ” ท่าทีที่พูดอย่างมั่นใจแล้วเดินเข้าไปในห้องฝั่งตรงข้ามทันทีที่พูดจบทำให้ญาณัชนึกอยากเขวี้ยงผ้าเช็ดตัวลงพื้น...แต่เขาก็ทำได้แค่ถอนหายใจแล้วหยิบมันเดินเข้าห้องน้ำไป

...นอกจากจะขี้บ่นแล้ว...ยังน่าหมั่นไส้อีกด้วย...

แต่น่าแปลกที่ว่า...กับคนๆนี้เขากลับไม่มีความรู้สึกไม่อยากอยู่ใกล้เลย...


//////////////////////////////////

ทยุตถอดชุดที่เปียกโชกออกแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวในห้องนอนมาพันผมไว้ลวกๆ มือใหญ่หยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมแล้วผูกเชือกเอาไว้แน่นหนา เขาส่องกระจกในห้องนอนแล้วนึกขำกับการแต่งตัวของตัวเอง...รอยยิ้มบางเบาบนกระจกสะท้อนให้เห็นว่า...บางที...แค่บางที...การได้อยู่ร่วมกับใครบางคนในวันฝนตกมันก็มีความสุขได้

ชายหนุ่มเดินออกมาจากห้องนอนทั้งชุดนั้นผ่านเจ้าปีศาจสองตัวที่นอนหลับข้างโซฟาฟังเสียงฝนไปยังห้องครัวที่เย็นเยียบ ปลายเท้าเปล่าเปลือยย่ำกระเบื้องในห้องครัวไปทางตู้เก็บของและตู้เย็นหยิบส่วนประกอบที่จะใช้...ทำอะไรอุ่นๆให้คนที่กำลังอาบน้ำ

ทยุตปาดเนยใส่ชามที่มีช็อกโกแลตแบบเม็ดกับน้ำตาลแล้วส่งเข้าเวฟไปหนึ่งนาที ระหว่างนั้นก็หันมากรุพิมพ์ด้วยแผ่นฟอยล์พร้อมกับทาเนยขาวบางๆ พอไมโครเวฟดังก็เอาส่วนผสมที่กลายเป็นสีน้ำตาลข้นๆมาคนแล้วพักเอาไว้ อีกชามอ่างหนึ่งเขาร่อนแป้งสาลี โกโก้ ผงฟู เกลือเข้าด้วยกัน ชายหนุ่มหยิบไข่ตอกลงในชามใบใหม่พร้อมผงกาแฟนิดหน่อยและกลิ่นวานิลลาแล้วตีมันให้ขึ้นเป็นฟองก่อนจะเทส่วนผสมที่เข้าเวฟแล้วลงไปคนให้เข้ากันอีกที

“......... คุณทยุตครับ.....” เสียงเรียกเบาๆอย่างเกรงใจดังขึ้นจากในห้องน้ำ

ร่างสูงอุ้มชามอ่างที่กำลังคนผสมอยู่เดินไปยืนหน้าประตูที่ปิดสนิท “ครับ?”

“คือว่าผม....” เสียงบิดลูกบิดห้องน้ำดังแกร็กแล้วใบหน้าขาวที่พราวด้วยหยดน้ำก็ยื่นออกมา ญาณัชเบิกตากว้างกับชุดอีกฝ่าย... เช่นเดียวกับทยุตที่ตกใจกับร่างผอมบางที่เห็นเพียงแวบเดียว

“ผมขอยืมเสื้อแขนยาว...กับกางเกงได้ไหมครับ เอาเป็นเชิ้ตก็ได้”

“สระผมหรือยัง”

“ยังครับ...กำลังจะสระ”

“งั้นรออีกแป๊บนึงเดี๋ยวผมไปเอามาให้ คุณอาบน้ำไปเรื่อยๆก่อน จะแช่ในอ่างก็ได้” เชฟหนุ่มพูดพลางคนส่วนผสมไปด้วย

เขาเดินกลับไปที่ครัวแล้วเอาแป้งที่ร่อนแล้วลงไปผสมพร้อมๆกับเปิดไฟวอร์มเตาอบ หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อยก็เอาส่วนผสมที่ได้ใส่ลงในพิมพ์แล้วเคาะไล่อากาศก่อนจะกรุด้วยฟอยล์ด้านบนกันหน้าขนมไหม้ แล้วส่งเข้าเตาอบตั้งเวลาไว้

“คุณทยุตครับ...” เสียงเรียกครั้งที่สองดังขึ้นทันทีที่เขากดตั้งเวลาเสร็จ ทยุตรับคำแล้ววิ่งไปหยิบเชิ้ตขาวกับกางเกงยืดขาสั้นแบบที่เขาเอาไว้ใส่ตอนนอนมายื่นให้มือขาวๆที่โผล่ออกมาจากห้องน้ำ

“ถ้าอาบเสร็จแล้วไปนั่งรอที่โซฟาก่อนก็ได้”

“ครับ” เสียงที่เริ่มแหบแห้งตอบออกมา ร่างเล็กที่เดินออกจากห้องน้ำดูบอบบางลงเมื่ออยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตที่ใหญ่กว่าตัวเองจนไหล่ตกและกางเกงขาสั้น เส้นผมสีดำยาวถูกรวบด้วยผ้าเช็ดตัวเผยผิวขาวที่แดงเรื่อด้วยน้ำอุ่น ดวงตาสีเขียวอมเทาลอบมองตามไปช้าๆ ก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดแล้วก้าวเข้าไปแทนที่ให้สายน้ำชำระล้างร่างกาย

...บ้าเอ๊ย...

...ดันคิดว่า 'น่ารักดี' ซะได้...


///////////////////////////////////

ญาณัชเดินมาหยุดที่โซฟา ข้างๆนั้นมีสองปีศาจ... ตามคำเรียกของทยุต... นอนอิงแอบกันและกันอยู่ ริมฝีปากบางยิ้มเอ็นดู เขานั่งบนโซฟาชันเข่าขึ้นมากอด ในตัวรู้สึกหนาวๆร้อนๆตั้งแต่ยังอาบน้ำหากแต่น้ำอุ่นยังพอช่วยได้บ้าง แต่ในเวลานี้... ที่มีเพียงโซฟากับพื้นกระเบื้องเย็นๆ ความหนาวก็เริ่มโจมตีช้าๆ.... เขาไอออกมาเบาๆพลางสูดจมูก พอเอาหลังมืออิงที่หน้าผากก็รู้สึกถึงความร้อน

...ป่วยจริงๆซะแล้ว...


///////////////////////////////

ทยุตในชุดเสื้อเชิ้ตปลดกระดุมสองเม็ดและกางเกงยีนส์เดินออกมาจากห้องนอน หลังจากอาบน้ำและเข้าไปแต่งตัวเรียบร้อยเขาก็นึกห่วงสิ่งที่อยู่ในเตาอบทันที ร่างสูงก้าวยาวๆไปทันได้ยินเสียง ‘ติ๊ง’ ของเตาอบ บราวนี่ชุ่มฉ่ำอุ่นจัดถูกนำวางคว่ำลงบนตะแกรงเพื่อเอาออกจากพิมพ์ เขาปล่อยมันทิ้งไว้แล้วคว้าชามอ่างที่สะอาดมาหนึ่งใบเพื่อทำกานาซ ช็อกโกแลตแบบแท่งผสมกับวิปปิ้งครีมและเนยสดในถ้วยถูกเอาไปเวฟชั่วครู่แล้วเอาออกมาคนสลับกันไปสองสามครั้ง พอทั้งหมดละลายเขาก็เอาผงกาแฟที่บดแล้วใส่ลงไปคนให้ละลาย

เชฟหนุ่มเอาจานสีขาวสองใบที่อยู่ในตู้ออกมาวางบนโต๊ะ มือใหญ่ถือมีดคมกริบค่อยๆเฉือนบราวนี่สีเข้มออกมาเป็นชิ้นใหญ่วางใส่ลงไปราดทับด้วยกานาซอุ่นๆ ทยุตหันไปทำแบบเดิมกับอีกจากก่อนจะหยิบช้อนมาวางบนจาน พลางรินน้ำร้อนใส่กาที่มีชาสำเร็จรูปกลิ่นคาโมมายด์ ทั้งหมดถูกวางลงบนถาดพร้อมแก้วชาสองใบ....

....มื้อเช้าอุ่นๆต้อนรับวันฝนตกได้เริ่มขึ้นแล้ว....


////////////////////////////

ทยุตเดินมาที่โซฟาเพื่อเรียกให้เด็กหนุ่มทานข้าว ทันทีที่มือสัมผัสลงที่ลาดไหล่บาง ชายหนุ่มก็รีบย้ายมือมาแตะเบาๆที่หน้าผากมนแทน

“คุณญาณัช... ทานข้าวก่อนนะครับ... เดี๋ยวผมเอายามาให้” เจ้าของบ้านพูดเป็นเชิงสั่ง น้ำเสียงที่ใช้ฟังดูเข้มแต่ก็ลดความแข็งกระด้างลงไปมากกว่าเมื่อก่อน เป็นอย่างที่คิดไว้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้อ่อนแอกว่าคนทั่วไปขนาดไหน เมื่อเห็นว่าร่างเล็กลุกขึ้นจากโซฟาแล้ว เขาจึงเดินไปหยิบยามาให้

ทันทีที่ญาณัชลุกขึ้น เขารู้สึกมึนหัวมากกว่าเมื่อครู่ นัยน์ตาเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาจนรู้สึกได้ มือผอมบางยกขึ้นปิดทาบดวงตาครู่หนึ่งก่อนจะเดินมานั่งที่โต๊ะทานข้าว กลิ่นหอมหวานปนขมของช็อคโกแล็ตโชยมาแตะจมูกจนท้องร้อง นักเปียโนหนุ่มนั่งรอไม่นาน ทยุตก็เดินกลับมาพร้อมกับแก้วใบจิ๋วในมือที่มียาสองเม็ดอยู่ในนั้น

“ยาหลังอาหารครับ”

“.................. ขอบคุณครับ” นัยน์ตาโศกสีนิลจ้องไปในดวงตาสีเขียวอมเทาของอีกฝ่ายอย่างจริงใจ

...ทยุตไม่ได้ตอบอะไร

“... ไดร์เป่าผมอยู่ในห้องน้ำนะครับ...” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นมาลอยๆ แต่นั่นก็เป็นการบอกกลายๆว่าให้ไปหยิบมาเป่าผมเสีย ทยุตจินตนาการสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูญาณัชให้เติบโตมาแทบไม่ออก ทั้งเลือกกิน ป่วยง่าย หรืออย่างแค่หนามกุหลาบตำก็รีบหาพลาสเตอร์กับยา - - - อย่างกับได้รับการทนุถนอมราวกับไข่ในหินก็ว่าได้

“................................ ครับ”

บทสนทนาสั้นๆจบลง ญาณัชนิ่งไปพักหนึ่ง เขาอยากจะคุยกับคนตรงหน้าได้มากกว่าถามคำตอบคำ แต่ในสภาพที่ปวดหัวตึ๊บๆแบบนี้เขาก็นึกอะไรไม่ค่อยจะออก

“...... คุณ... ทำงานที่โรงแรมเหรอครับ” เด็กหนุ่มหมายถึงโรงแรมของคุณพลอยที่พวกเขาพบกันเป็นครั้งแรก

“เปล่าครับ... ผมรับเป็นงานๆไปตามแต่เขาจะเรียกจ้าง...” ร่างสูงตอบแล้วหยุดไปอึดใจหนึ่งก่อนถามกลับ

“คุณล่ะครับ”

“ผม... ทำเฉพาะ... ตอนกลางคืนครับ” น้ำเสียงนุ่มเริ่มฟังดูอู้อี้เล็กน้อย เขายกเครื่องดื่มขึ้นจิบเพื่อให้ชุ่มคอมากขึ้น

“...... แล้ว...” ทยุตยั้งไว้ ไม่รู้ว่าควรจะถามมากกว่านี้หรือไม่

“ครับ?”

“ตอนกลางวัน... คุณทำงานที่ไหนหรือเปล่าครับ”

“... เปล่าครับ”

คนตอบนิ่งไป บางทีควรจะตอบมากกว่าแค่นั้นไหมนะ

“... ผมอยู่บ้าน... ครับ...... แต่ถ้าทำจนดึก... ผมก็อยู่ที่โรงแรมครับ”

บทสนทนากระท่อนกระแท่นจบลงอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ต้องรอนานญาณัชก็เป็นฝ่ายลุกขึ้นก่อน

“อิ่มแล้วครับ... อร่อยมาก........ ขอบคุณครับ” ทยุตมองตามร่างบอบบางที่เดินอย่างอ่อนแรงไปทางห้องน้ำ เขาหวนนึกถึงรวิน อดีตคนรักที่ชอบมาอ้อนเขาทุกครั้งที่ป่วย กับ คนป่วยที่ไม่คิดจะขอความช่วยเหลืออะไรเลยตรงหน้าเขาคนนี้ ทั้งๆที่ตัวก็มีแค่นี้แต่กลับไม่อยากพึ่งใคร

...หรือบางทีอาจจะไม่คุ้นเคยกับการพึ่งคนอื่น

หลังจากเก็บล้างภาชนะที่ใช้สำหรับอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย เขาก็เดินไปที่ห้องน้ำ เสียงไดร์เป่าผมยังคงดังให้ได้ยิน ฝ่ามือใหญ่ดันประตูให้เปิดออกช้าๆ - - - ญาณัชยืนหลับตาพริ้มอยู่หน้ากระจกขณะที่มือข้างหนึ่งจับปลายผมไว้ และใช้มืออีกข้างที่ถือไดร์ค่อยๆเป่า ริมฝีปากบางซีดมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่เล็กน้อยราวกับกำลังนึกถึงใครบางคน

‘หยุดเลยนะเจ้าตัวดี! จะเป่าผมให้อาแล้วเอาไดร์ยื่นใส่มาแบบนี้พอดีผมเยินกันหมด’ พิชญ์หันไปโวยใส่เด็กประถมวัยกำลังซนที่ยืนอยู่ข้างหลัง

‘ก็นัทอยากช่วยอาพีทนี่ฮะ’

‘นี่ เวลาเป่าผมน่ะ ทำแบบนี้ ผมจะได้ไม่เสียรู้ไหม’

‘ทำช้าๆก็เสียเวลาสิฮะ อาพีท’ เสียงเล็กๆเอ่ยบ่นกระปอดกระแปดตามประสาเด็ก

‘งั้นก็เอาไดร์มา อาทำเอง’

‘ไม่เอาฮะ! นัทอยากช่วย’ ญาณัชร้องเสียงดังขึ้นมา มือเล็กๆยื้อยุดไดร์เป่าผมไว้

‘ถ้าอยากช่วยก็ต้องทำดีๆ รู้ไหม’

‘....... ฮะ’

เมื่อรู้สึกว่าผมแห้งดีแล้ว นัยน์ตาคู่สวยที่ดูเศร้าค่อยๆเปิดขึ้นช้า เขาสะดุ้งเล็กน้อยที่พบกับภาพของทยุตยืนพิงประตูผ่านทางกระจกบานใหญ่ ญาณัชหันมาหาเจ้าของบ้านขณะที่พันสายไฟของไดร์เป่าผมคืนที่

“... มีอะไรเหรอครับ”

“กลางวันผมจะทำข้าวต้มให้... ข้าวต้มกุ้งนะครับ” เขาถอยตัวออกมาจากประตูเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาหา... ต้องบอกว่าญาณัชอยากจะเดินออกจากห้องน้ำมากกว่า

“ข้าวต้มหมูแทนได้ไหมครับ” ญาณัชถามกลับ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบทานกุ้ง แต่เพียงรู้สึกว่ากุ้งในข้าวต้มออกจะแปลกไปหน่อยสำหรับเขา

“.... ได้ครับ” คนเป็นเชฟจะตอบอะไรได้ เขาเองก็เป็นฝ่ายขอให้อีกฝ่ายมาทาน อย่างน้อยจากกุ้งเป็นหมูก็ยังมีเนื้อ

“.... อย่าใส่ผักโรยกับกระเทียมนะครับ” ก่อนที่ญาณัชจะได้เดินผ่านไป เขาหยุดยืนตรงหน้าร่างสูงแล้วเอ่ยบอกอีกอย่าง

...เพราะว่าเลือกกินถึงได้ป่วยง่ายแบบนี้...

“... ถ้าไม่ใส่กระเทียมเจียวก็จะไม่หอมนะครับ”

“..... เอาแค่น้ำมันจากกระเทียมเจียวก็ได้นี่ครับ”

ทยุตตัดสินใจหยุดเถียง ถือว่าเป็นคนป่วยต้องทานข้าวทานยา เขาจะยอมให้ก่อนก็ได้ เมื่อเห็นว่าเชฟร่างสูงไม่พูดอะไรต่อ ญาณัชจึงเดินไปเอนตัวลงบนโซฟา

เจ้าของบ้านมองออกไปนอกหน้าต่าง วันนี้ดูท่าว่าฝนจะตกอีกยาว ระหว่างที่ยังคิดไม่ออกว่าควรจะทำอะไรฆ่าเวลา เขาไปเตรียมของไว้ทำอาหารกลางวันก็ได้ เริ่มจากหุงข้าวก่อนคงไม่เป็นไร

“ลูกชิ้น! ไส้กรอก! มานี่มา” ทยุตร้องเรียกเมื่อเห็นเจ้าหมาตัวแสบทั้งสองตัวตั้งท่าจะปีนขึ้นไปหาคนที่นอนหลับไปแล้ว อาจฟังดูประหลาดแต่สัตว์เลี้ยงที่น่ารักทั้งสองตัวพากันค้อนให้เจ้าของก่อนจะยอมเดินถอยออกมา

/////////////////////////////////

หลังจากทานอาหารกลางวันและยาเรียบร้อย เด็กหนุ่มเดินไปหาเจ้าของบ้านที่ง่วนอยู่กับการล้างหม้อใบใหญ่

“คุณทยุต... ครับ”

“ครับ?”

“ผมขอ... ยืมโทรศัพท์... ได้ไหมครับ” ร่างบางเริ่มไอออกมาบ้าง ทยุตหยิบสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการยื่นให้

“ขอบคุณครับ...”

...คงต้องขอลาคุณพลอย...

...สภาพแบบนี้ยังไงก็ไปทำงานไม่ไหว...

ญาณัชที่รู้สึกแย่ลงกว่าเดิมพาตัวเองไปนอนลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็รู้สึกได้ว่าหนาวจนมือเย็นเฉียบ ร่างบอบบางภายใต้เสื้อเชิ้ตตัวหลวมห่อตัวเข้าหากันเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับตัวเอง ทั้งๆที่ก็รู้ว่าตัวร้อน

...เกลียดเวลาเป็นแบบนี้...

‘นัท... ตัวร้อนจี๋เลย อาบอกแล้วไงว่าตากฝนมาแล้วให้รีบสระผม’ ชายหนุ่มรีบอุ้มหลานตัวเล็กขึ้นมากอดไว้

‘... อือ’ นัยน์ตาโตหรี่ปรือเปิดแทบไม่ถึงครึ่งด้วยพิษไข้

‘ปะ... ไปหาหมอกันดีกว่านะ’

มือเล็กยึดเสื้อเขาไว้แน่น

‘ไม่เอา...... ไม่เอาหมอ...’ เสียงเล็กๆที่คอยแต่เจื้อยแจ้วแหบแห้งจนพิชญ์ต้องยกมือขึ้นลูบหัวเบาๆ

‘ไม่เอาหมอแล้วจะหายไหมนัท’

‘... อาพีท... อยู่กับนัทนะฮะ.... นัทไม่เอาหมอ...'

ผู้เป็นอายิ้มให้กับญาณัชแล้วพยักหน้าช้าๆ

‘เอาล่ะเอาล่ะ... ถ้าอย่างนั้น คนป่วยก็ต้องกินยาแล้วนอนพักรู้ไหม’

เจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดพยักหน้าช้าๆ แล้วกอดคนที่อุ้มไว้แน่นสนิท

“.... หนาว.......” เสียงที่แหบแห้งหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากบางของคนที่นอนขดตัว ทยุตเดินมาหมายจะถามว่าเอาผ้าห่มไหม

“คุณญาณัช.......” เขายื่นมือไปหมายจะเรียกแต่กลับพบว่าอีกฝ่ายตัวร้อนมาก ญาณัชยังไม่รู้สึกตัวขึ้นมา ริมฝีปากพร่ำเรียกแต่ชื่อของพิชญ์

“... คุณญาณัชครับ”

เมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว ก่อนที่จะคิดว่าควรทำอะไร เขาก็ย่อตัวลงสอดแขนช้อนเข้าใต้ร่างเล็กแล้วยกขึ้น

...ทำไมตัวเบาได้ขนาดนี้??

ความคิดของทยุตหยุดลงเมื่อมือผอมบางทั้งสองข้างยกขึ้นสัมผัสลำคอหนาก่อนจะซบใบหน้าเข้าหา

“... อาพีท... ตัวอุ่นจัง... ครับ”

ร่างสูงถึงกับถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้ที่คิดว่าการได้อยู่ร่วมกับใครในวันฝนตกก็ทำให้รู้สึกดีได้ เขาชักไม่แน่ใจแล้วว่าดีหรือไม่ ทยุตเดินไปเปิดตู้เย็นทั้งๆที่ยังอุ้มเด็กหนุ่มไว้ ญาณัชตัวเบาเสียจนแค่แขนข้างเดียวก็ยังประคองไว้ได้ เขาเอื้อมมือไปหยิบเอาCold packออกมา

...อย่างน้อยก็ต้องให้อุณภูมิลดก่อน...

ทยุตค่อยๆวางร่างบอบบางลงบนเตียงช้าๆ แล้ววางCold packทาบไปบนหน้าผากมน แต่ก่อนที่จะได้ลุกออกมา ต้นแขนแข็งแรงกลับถูกคว้าเอาไว้

“อาพีท... อยู่กับนัทนะครับ...” เขาจ้องลึกไปในดวงตาสีนิลที่มองเขาอย่างอ้อนวอน

...บางทีเขาอาจจะคิดผิดที่เลือกยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่าย

...สถานการณ์แบบนี้...

เขาไม่คุ้นเคยเลย...

“....” ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นลูบเรือนผมนุ่มช้าๆไปโดยไม่รู้ตัว ญาณัชที่ยังมองเขาอยู่ค่อยๆยิ้มให้ รอยยิ้มที่แสดงออกมาว่าดีใจขนาดไหนทำให้รู้สึกแปลกๆขึ้นมา เมื่อร่างบางตรงหน้าเขยิบตัวหนีไปเล็กน้อยเพื่อสร้างพื้นที่ให้เขาได้นั่งลงบนเตียง เสื้อเชิ้ตตัวหลวมที่ถูกแผ่นหลังของเจ้าตัวทับไว้ก็รั้งลงเผยให้เห็นลาดไหล่เนียนขาว นัยน์ตาเศร้าคู่สวยค่อยๆปิดลงช้าๆ

ทยุตย้ายมือมาหมายจะจัดเสื้อที่หลุดรุ่ยให้เข้าที่ แต่มือกลับสัมผัสโดนกับผิวกายเนียนมือ เขาชะงักไปชั่วครู่

...ทั้งๆที่คิดว่าเป็นเด็กแปลก...

ใบหน้าคมค่อยๆโน้มลงหาคนที่หลับสนิทไปแล้วช้าๆ

...แต่ว่า...

กลิ่นหอมจางที่รวยรินออกมาจากร่างซึ่งหลับใหลด้วยพิษไข้เป็นกลิ่นที่ชวนให้อะไรบางอย่างในร่างกายปั่นป่วน ทยุตหลับตาลงช้าๆพลางดื่มด่ำไปกับกลิ่นนั้น จมูกโด่งได้รูปอยู่ใกล้ผิวแก้มร้อนผ่าวจนเกือบจะสัมผัสกันหากแต่สุดท้ายแล้วเขาก็หยุดมันไว้แค่นั้น

ไอร้อนของลมหายใจคนป่วยระบายออกมาเป่ารดปลายจมูกซึ่งนั่นก็ทำให้เชฟหนุ่มรู้สึกตัวว่าเขา “เกือบจะ” ทำอะไรลงไปแล้ว

“อันตราย....” บ่นแล้วดึงมือเรียวที่จับแขนออก มือใหญ่แตะเบาๆที่ลำคอที่เผยผิวจนถึงลาดไหล่เพื่อวัดอุณหภูมิอีกครั้งพลางคิดว่าถ้านานเข้าแล้วไข้ยังไม่ลดอีกคงได้มีการพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลแน่ๆ

ชายหนุ่มเกือบจะห่มผ้าให้แล้วออกไปข้างนอกแล้วถ้าหากว่านัยน์ตาคมกริบไม่ได้สังเกตเห็นริมฝีปากบางพร่ำเรียกชื่ออาพีท และมือที่เคยแต่กดแป้นเปียโนลูบไล้ตามผ้าปูที่นอนเหมือนหาอะไรบางอย่าง

“อาพีท...อย่าไปไหนนะ...”

ยิ่งหาไม่เจอมือนั้นก็ยิ่งกวาดไปข้างตัวอย่างกระวนกระวาย ทยุตยืนนิ่งมองการเคลื่อนไหวของมืออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินในดึงผ้าห่มนวมของตนเองมาห่มให้แล้วลงนั่งเอนตัวพิงหัวเตียงยึดพื้นที่อีกครึ่ง มือหยาบหนาสอดเข้าไปกุมมือนิ่มแล้วบีบเบาๆราวกับจะบอกว่าเขาอยู่ข้างๆ

“.........................” รอยยิ้มจางๆที่แทบมองไม่เห็นแต้มลงบนริมฝีปากบางที่แดงก่ำ ญาณัชคล้ายอยากจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็มีเพียงมุมปากที่ยกขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น

“เด็กจริงๆ....ให้ตายสิ”

 

To be continue...



kagehana : เค้าว่ากันว่า...คนป่วยมักจะเซ็กซี่ขึ้น อุฮิ<3

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: +:+ My all...私のすべて... +:+ Chapter 5 sleeping beauty [04/01/15]
«ตอบ #16 เมื่อ04-01-2015 19:26:35 »

มาพร้อมกับอาการป่วย รออ่านอีก

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: +:+ My all...私のすべて... +:+ Chapter 5 sleeping beauty [04/01/15]
«ตอบ #17 เมื่อ04-01-2015 19:35:22 »

อ่านตอนแรกก็ว่าอยู่ว่ามันเหมือนเป็นไซด์สตอรีของเรื่องไหนซักเรื่อง
พออ่านตอนแรกจบเห็นที่คนแต่งเขียนไว้เลย อ๋อเลย
ติดตามค่าาา

ออฟไลน์ เฉื่อย

  • UNCOMMON AS NORMAL.
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
Re: +:+ My all...私のすべて... +:+ Chapter 5 sleeping beauty [04/01/15]
«ตอบ #18 เมื่อ04-01-2015 20:29:19 »

ชอบการดำเนินเรื่องของคนเขียนนะครับ
ดูเป็นไปเรื่อยๆ สบายๆ หน่วงๆหน่อย
ชอบครับไสตล์แบบนี้
ดูน้องนัทจะปมเยอะนะ
รอยุตมาคลายปัญหาให้น้องนัทนะ

ออฟไลน์ kagehana

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1


-6-







นัยน์ตาสีเข้มค่อยๆกระพริบช้าๆ ญาณัชรู้สึกเหมือนมีใครมากดศีรษะเอาไว้ให้ปวด แม้จะรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว แต่เขาก็ยังมึนศีรษะอยู่
 
ร่างบางรู้สึกได้ถึงใครอีกคนที่เขากอดเอาไว้ ก่อนที่จะไม่รู้สึกตัว เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับได้เจอพิชญ์อีกครั้ง ทว่าพิชญ์ที่เขารู้จักไม่ใช่คนตัวใหญ่ขนาดนี้
 แม้จะตกใจ แต่ญาณัชก็ไม่ได้ผละหนีออกมาทันที เขาค่อยๆเหลือบตามองก่อนจะพบว่าทยุตกำลังอ่านหนังสืออยู่ - - - ร่างบางไม่เข้าใจ...

 ทั้งๆที่ไม่ใช่คนสนิทกัน กลับยอมให้เขานอนกอดเอาไว้แน่นขนาดนี้ แต่ที่สำคัญกว่านั้น ญาณัชรู้สึกว่าการได้กอดร่างสูงเอาไว้ทำให้เขารู้สึกดี แม้จะเป็นความรู้สึกที่ยังอธิบายดีๆไม่ได้ แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงความสงบที่เกิดขึ้นในจิตใจของเขา

 ...ถึงจะฟังดูแปลก แต่ถ้าตัดเรื่องไข้ขึ้นออกไป ตัวเขาเองก็ไม่ได้นอนหลับสบายอย่างนี้มานานแล้ว

เด็กหนุ่มนอนนิ่ง เขาไม่ได้รีบร้อนผละออกหรือผลักไสเหมือนนางเอกในนิยายที่ทำเป็นรังเกียจพระเอกทั้งๆที่นอนกอดมาตั้งนาน ท่อนแขนเรียวยังคงพาดผ่านบนตัก สัมผัสของร่างกายคนอื่นเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเกิดกับใครก็ได้ แต่อะไรบางอย่างของความอบอุ่นที่ส่งผ่านบอกเขาว่าอย่างน้อยที่สุด ทยุตก็คงจะ “ดี” กับเขามากกว่าใครหลายๆคน

“ลุกไม่ไหวเหรอครับ?”

ประโยคที่เหมือนพูดลอยๆถามออกมาเบาๆ แต่มือที่เลื่อนหนังสือลงมาจากระดับสายตาและดวงตาที่สบกันเบาๆก็บอกให้ญาณัชรู้ว่าผู้ชายคนนี้กำลังพูดกับตัวเขา

“....ก็...มึนหัวนิดหน่อย...ครับ” น้ำเสียงแหบพร่าที่เกิดจากการเพิ่งตื่นนอนตอบไป

ทยุตวางหนังสือลงข้างเตียงแล้วก้มตัวลงสอดแขนเข้าใต้รักแร้ยกร่างบางให้นั่งพิงเขาไว้ เขาเอ่ยขอโทษพอเป็นพิธีแล้วใช้มือใหญ่แตะที่หน้าผาก ลำคอ และข้างแก้ม

“ตัวไม่ร้อนเท่าไหร่......ไส้กรอกอย่ากระโดดขึ้นเตียง!!” พูดกับคนไม่ทันจบก็ต้องตวาดหมาที่พยายามทำตัวมีประโยชน์ด้วยการเอาขาหน้าแปะลงบนเตียงแล้วพยายามยกตัวขึ้นมา ทยุตปล่อยมือที่จับคนหันไปดันหัวกลมๆป้านๆภายใต้ขนสีทองนั้นแทน

“ที่นอนคนไม่ใช่ที่นอนหมา เข้าใจไหม”

“โฮ่ง!”

เสียงเห่าที่เหมือนขานรับเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากคนป่วย ญาณัชยื่นมือไปลูบหัวเจ้าหมาตัวโตที่ทำท่าหงอยๆ

“ไส้กรอกคนเก่ง...เป็นห่วงเหรอครับ” “คนเก่ง”ตอบรัวด้วยการเอาหัวดุนมือแถมท้ายด้วยเลียด้วยลิ้นสากๆอันเปียกชื้น

นัยน์ตาสีเทาอมเขียวมีแววไหวระริกด้วยการพยายามกลั้นหัวเราะ เจ้าหมายักษ์นี่ตัวดี เห็นใครน่ารักหน่อยไม่ได้ชอบมาอ้อนอยู่เรื่อย ตั้งแต่คราวรวินที่ชอบแกล้งนอนทับกลิ้งไปมาหรือไม่ก็โดนรวินยกขาหน้าขึ้นมาเต้นรำ พอมาถึงญาณัชก็ทำตัวน่ารักออดอ้อนใส่ ไม่รู้ไปติดนิสัยแบบนี้มากจากไหน....

“คุณหลับไปนานเหมือนกัน...ตอนนี้ก็ค่ำแล้วด้วย หิวไหม”

“ผม........” ญาณัชกระพริบตาเบาๆ ไม่เชิงว่าไม่อยากกินอะไรแต่ท้องของเขาก็ไม่ได้ว่างจนต้องเรียกร้องอาหารมื้อหนักเข้ามาอีก

“...นิดหน่อยครับ...” เขาเลือกที่จะตอบอย่างประหยัดถ้อยคำแทน

“ถ้างั้นเอาเป็นพวกโจ๊กหรือซุปดีไหมครับ” ถ้าอาหารที่ดีต่อคนป่วยเชฟหนุ่มก็พอนึกได้แต่จำพวกนี้ ด้วยความที่ไม่ได้ป่วยมานานประกอบกับอาหารที่ทำส่วนใหญ่ก็ทำเพื่อคนในงานที่มีความสุขอย่างงานแต่งงานหรืองานฉลองเลยทำให้ในตัวคิดเมนูอื่นๆแทบจะไม่ออกเลย

“แต่ว่าก็เพิ่งกินข้าวต้มไปนี่นา...เบื่อไหมครับ”

ร่างสูงขยับลุกออกมายืนบนพื้นพลางดึกปลอกคอหมาตัวใหญ่ที่ส่ายหางระริกระรี้ไว้ ไม่ทันได้ทำอะไรเขาก็เห็นชิวาว่าพันธุ์จรวดที่วิ่งเข้ามาในห้องเสนอหน้าออดอ้อนไม่แพ้กัน

“ลูกชิ้น!”

พูดจบก็ย่อตัวเอามือดักหมาน้อยที่วิ่งมาเร็วจี๋ก่อนจะอุ้มขึ้นมาให้ขาวางพาดไหล่

“คุณญาณัชอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมครับ”

“มีมาม่ารสวุ้นเส้นเย็นตาโฟไหมครับ”

“หือ?”

“คือว่า...ผมอยากกิน” คนพูดพูดเสียงอ่อน รู้หรอกว่าอีกฝ่ายเป็นถึงเชฟถ้าขอให้ทำพวกอาหารสำเร็จรูปให้กินก็คงดูแปลก

“ใส่ผักใส่หมูได้นะครับ”

“ค...ครับ”

ไม่นึกว่าจะยอมทำให้ง่ายๆ ทั้งที่เตรียมใจจะโดนบ่นว่ามาม่าไม่ดีต่อร่างกายไว้บ้างแล้ว แต่พอไม่มีคำบ่นกลับรู้สึกแปลกๆซะได้

คนป่วยส่งสายตามองคนไม่ป่วยลากหมาป่วนออกไปนอกห้องช้าๆพร้อมกับเสียงร้องประท้วงของมันจนยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว





///////////////////////////////////////////////






“ผมมาเรียก....ให้คุณไปทานข้าวที่อีกห้อง เดินไหวไหมครับ” ทยุตพูดเบาๆเหมือนเกรงใจ ตอนแรกเขาว่าจะยกชามมาที่นี่แต่ดูเหมือนว่า “น้องนัท” จะดีขึ้นแล้ว เพราะงั้นถ้าให้คนป่วยออกไปทานเองน่าจะสะดวกกว่า

“ทานที่ห้องอาหารดีกว่าครับ” อาการปวดหัวที่ยังไม่ทุเลาทำให้ร่างเล็กเคลื่อนไหวร่างกายค่อนข้างลำบาก ญาณัชยืนขึ้นช้าตัวเซนิดหน่อยแต่ก็พยายามก้าวเท้าโดยที่ไม่พึ่งมือใหญ่ที่ไขว้หลังอยู่ของทยุต แต่พอออกเดินได้สองสามก้าวก็เซถลาจนคนที่บอกให้ออกไปกินข้างนอกวิ่งเข้าไปทำท่าประคองแทบไม่ทัน

“ไม่เป็นไรครับ แค่เวียนหัว” ปลายนิ้วบอบบางแตะที่ท่อนแขนแข็งแกร่งแล้วยึดเอาไว้กลายๆ ทยุตผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงยอมให้คนป่วยจับแขนเดินมาถึงโต๊ะอาหาร

บนนั้นมีมาม่าวุ้นเส้นเย็นตาโฟตามที่สั่งมาหร้อมกับผักผุ้งลวกหั่นแฉลบวางรองอยู่ข้างใต้ หมูสับที่เขาเอากรุบางๆลงในถ้วยอีกใบแล้วเอาน้ำร้อนลวกจนสุกร่อนออกมาเป็นแผ่นถูกนำมาหันเป็นชิ้นไม่เล็กนักแล้ววางลงไปบนวุ้นเส้นอีกที ทยุตปรุงรสเพิ่มนิดหน่อยจนกลมกล่อมและเอามันมาวางรอเสิร์ฟอยู่ตรงหน้า

“จริงๆใส่ไข่ไปสักฟองแบบผมจะดีกว่า แต่คุณคงไม่กินหรอก ใช่ไหม” เขาชี้ไปที่ชามซึ่งวางอยู่ใกล้ๆ

“ผมกินแค่นี้แหละครับ”

...นั่นก็หมายความว่าไม่กินเหมือนกันล่ะน่า...

ทยุตดึงเก้าอี้ออกมาแล้วประคองญาณัชให้นั่งเรียบร้อย ร่างสูงนั่งลงใกล้ๆแล้วคว้าขวดน้ำอุ่นมารินใส่แก้วพร้อมกับยาแก้ปวดหัวที่เตรียมไว้ในถ้วยเล็กดันส่งให้

“ทานยาก่อนนะครับ”

ญาณัชรับยามาแล้วใส่เข้าปากดื่มน้ำตามลงไปจากนั้นก็หยิบตะเกียบที่วางอยู่ข้างๆคีบหมูขึ้นมา

“นึกว่าคุณจะบอกว่ากินแบบเม็ดไม่เป็นเสียอีก”

“..........” ดวงตาที่เจือแววอ่อนล้ามองไปยังนัยน์ตาที่สั่นระริกซ่อนแววขำขันและมุมปากที่ยกยิ้มอย่างไม่ปิดบัง เด็กหนุ่มอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ในหัวก็งุนงงจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน

...เดี๋ยวสิ...

...พูดอย่างนี้มันเหมือนเห็นเป็นเด็กชัดๆ...

“ผมกินได้ครับ”

“ครับ...เห็นแล้ว”

นัยน์ตาสีเข้มของคนที่เด็กกว่าไล่สายตาไปตามแนวหยักโค้งของริมฝีปากพลางอดคิดไม่ได้ว่าหากทยุตยิ้มบ่อยๆเขาคงรู้สึกแปลกๆ...ไปบ้างนิดหน่อย เพราะว่าริมฝีปากได้รูปที่ยกขึ้นนิดๆและดวงตาที่ฉายแววยั่วล้อนั้นมันทำให้ภายในอกหวั่นไหวขึ้นมา..ทีละนิด

...อะไรกัน....





//////////////////////////////////////////






หลังจบมื้ออาหารอาการป่วยก็ทุเลาลงมากจนญาณัชสามารถพาตัวเองไปนั่งที่โซฟาแล้วเอาชิวาว่าตัวน้อยมาอุ้มเล่นได้โดยที่ไม่ต้องอาศัยท่อนแขนของคนอื่นพยุง

“ตัวเล็กตัวใหญ่เป็นกันไปหมด” เสียงทุ้มห้าวพูดประโยคปริศนาก่อนที่โซฟาข้างตัวร่างบางจะยุบลงด้วยน้ำหนักของอีกคน

“ไง...เล่นกันจนลืมกินข้าวเลยนะ โน่น...รีบๆไปกินซะเดี๋ยวก็จับอาบน้ำซะหรอก”

พอได้ยินคำว่าอาบน้ำสองหมาก็แทบวิ่งแจ้นไปอีกทาง โกลเด้นเดินนำไปก่อนพร้อมกับชิวาว่าที่วิ่งตามและวิ่งเหยียบเท้าเจ้าของพร้อมกับเผ่นแน่บไป

“คุณทยุตครับ”

“ครับ”

ใบหน้าซีดเซียวหันไปหาคนที่นั่งข้างๆ “ผมว่าน่าจะกลับบ้าน...เอ่อ...ได้เวลาแล้วมั้งครับ...”

“อ่อ” เสียงรับคำเหมือนไม่ใส่ใจ ทยุตดึงหนังยางที่รัดผมออกแล้วปล่อยให้มันแผ่สยายตกระใบหน้าหล่อเหลา

“ค้างที่นี่สิครับ..มันดึกแล้วแถมคุณยังป่วย”

“แต่ว่า.....”

“หรือว่าที่บ้านมีใครรออยู่หรือเปล่าครับ”

คำถามธรรมดานั้นเสียดแทงใจคนที่เหมือนเป็นแกะดำในครอบครัวอย่างรุนแรง....คนที่รอให้กลับไปนะหรือ..มันไม่มีมาตั้งนานแล้วตั้งแต่พิชญ์จากไป การใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นไม่ต่างอะไรกับอากาศธาตุ ไม่เป็นที่สนใจ..หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือไม่มีใครอยากสนใจ...

“ผมเกรงว่าจะรบกวนคุณทยุตมากเกินไป แค่คุณทำกับข้าวให้กินก็มากเกินกว่าจะขอบคุณแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องขอบคุณคุณที่มาเป็นเพื่อนกินข้าวเหมือนกัน....”

...ใช่...ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรกันมากมายแต่เท่านี้มันก็เพียงพอแล้ว...

ทยุตนึกแปลกใจอยู่บ้างที่ตัวเขายอมที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับใครสักคนที่เพิ่งรู้จักตัวจริงไม่นาน แต่ความแปลกใจนั้นมันเกิดขึ้นไม่นานก่อนที่จะถูกเติมเต็มด้วยความสนิทสนมที่ไม่จำเป็นแม้แต่การเอ่ยปากพูด

“นอนค้างที่นี่นะครับ” ไม่ใช่คำบังคับแต่เป็นการขอร้องด้วยเสียงที่ค่อนข้างอ่อนโยน

ญาณัชได้ยินคำพูดนั้นแล้วจึงพยักหน้าอย่างไม่ยากเย็น ตัวเขาเองก็ไม่เห็นความสำคัญที่จะต้องฝ่าอากาศเย็นๆตอนกลางคืนข้างนอกเพื่อกลับไปหาบ้านที่ไร้คนรอ

...ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว สู้อยู่ที่ๆมีคนคอยนั่งเป็นเพื่อนไม่ดีกว่าเหรอ...

“งั้น...ผมนอนโซฟาก็ได้ครับ...ขอแค่ผ้าห่มก็พอ”

“ไปนอนที่เตียงดีกว่า...เจ้าไส้กรอกน่ะมันชอบนอนตรงโซฟานี้” ทยุตยกเหตุผลมาอ้าง ใช่ว่าไส้กรอกจะจับจองพื้นที่ตรงนี้ในเมื่อมันมีพรมพร้อมผ้าห่มผืนนุ่มให้นอนอยู่ตรงพื้นมุมห้องแล้ว ความจริงก็คือเขาอยากจะให้คนตรงหน้าได้นอนสบายๆบนเตียง และแน่นอนว่าเตียงของเขาก็ใหญ่พอที่จะให้ผู้ชายสักสามคนนอนด้วยกันได้เลยด้วยซ้ำ

“ผมมานอนมันคงไม่มาทับหรอกครับ”

เรียวคิ้วสีจางของเชฟหนุ่มขมวดมุ่นขึ้น...ดื้อ...เขานึกในใจ

“จะยังไงก็ตาม...ถ้าคุณไม่สบายใจผมจะเอาหมอนข้างกั้นตรงกลางไว้แล้วกัน...”

ญาณัชเคยนึกว่าคนๆนี้เป็นคนเงียบขรึม...ทั้งจากก่อนหน้านี้และบุคลิกท่าทางที่ไม่น่าจะพูดเล่นหัวกับใครนอกจากหมาของตัวเองและคนในโทรศัพท์ได้

...แต่ที่จริงกลับเป็นคนที่กวนมากกว่าที่คิดเสียอีก....

...ยังมีอะไรที่จะชวนให้แปลกในในตัวคนๆนี้อีกหรือเปล่านะ....

“....... ไม่ต้อง ก็ได้ครับ” ญาณัชเอ่ยพูดขึ้นขณะที่นั่งอยู่บนเตียงโดยที่สอดขาเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้ว คนที่กำลังหยิบหมอนข้างขึ้นมาวางถึงกับชะงักมือไป

“อะไรไม่ต้องครับ?”

“... หมอนข้าง.... ผมไม่ใช่คนนอนดิ้น ไม่ต้องห่วงว่าจะไปเตะคุณหรอกครับ”

“...” ทยุตนิ่งไปเมื่อได้ยินสิ่งที่คนตรงหน้าพูดออกมา... เจ้าหมอนข้างที่เขาเอาขึ้นมาวางนั้นไม่ใช่เพราะว่ากลัวอีกคนจะนอนดิ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรออกมา อีกฝ่ายก็หันหลังให้แล้วเอนตัวลง

“ราตรีสวัสดิ์ครับ..”

ทยุตเลิกคิ้วมองร่างบางที่ล้มตัวลงนอนด้วยความแปลกใจ บทจะนอนก็หลับเอาดื้อๆอย่างนี้ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาที่เขาต้องมาวุ่นวายใจอะไรไปด้วย ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงบนเตียงกว้างก่อนจะหลับตาลง

...ตั้งแต่เลิกกับรวิน เขาก็ไม่ได้นอนร่วมเตียงกับใครมานานพอตัว ยิ่งเป็นคนที่ไม่ได้สนิทกันมากอย่างญาณัชแล้วยิ่งถือเป็นเรื่องประหลาด แต่ทยุตก็หยุดคิด เพราะเขาเองก็ได้เวลาพักผ่อนแล้วเช่นกัน

“!?” นัยน์ตาสีเขียวที่ปิดไปรีบเปิดขึ้นอีกครั้งด้วยความตกใจเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่ช่วงเอว ครั้นเอี้ยวตัวมามองก็พบกับร่างบางที่ควรจะนอนอยู่ห่างๆมาอยู่ใกล้ชิดขนาดนี้ เรียวแขนบอบบางภายใต้เสื้อนอนแขนยาวของเขาทาบอยู่กับเอว ทยุตหัวเราะเบาๆให้กับ ‘คนไม่นอนดิ้น’ เขายกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กเบาๆก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยให้เขาหันตะแคงมาหาญาณัช

“ราตรีสวัสดิ์ครับ... น้องนัท”


//////////////////////////////////////





แสงแดดที่ลอดผ่านผ้าม่านสีเข้มมากระทบบนเปลือกตาปลุกให้ญาณัชตื่นขึ้นมา ไออุ่นที่ยังรู้สึกอยู่ใกล้ๆทำให้เขาหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะขยับซุกตัวเข้าหาไออุ่น แต่ก็ต้องรีบลืมตาขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่าอ้อมกอดที่เขาเข้าหาไม่ใช่อ้อมกอดที่คุ้นเคย

นัยน์ตาสีเขียวคมที่มองมาคล้ายจะล้อเลียนทำให้คิ้วเรียวบางขมวดเข้าหากัน แต่พอเห็นสายตาของเชฟหนุ่มที่เลื่อนลงไป ญาณัชถึงได้รู้ตัวว่ากำลังกอดร่างสูงเอาไว้ เขายกแขนของตัวเองออกมาก่อนจะเอ่ยพูดเบาๆขณะที่ยันตัวขึ้น

“... ขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไรครับ” สีหน้าและน้ำเสียงของทยุตที่กลั้นหัวเราะเอาไว้นั้นทำให้ใบหน้าของญาณัชร้อนขึ้นมา

“... มีอะไรหรือครับ” คนเอ่ยถามแสร้งทำเสียงขุ่น

“รู้สึกยังไงบ้างครับ...” ชายหนุ่มร่างสูงลุกขึ้นนั่งบ้าง ปล่อยให้เรือนผมสีทองปรกลงระใบหน้า เขายกมือขึ้นสางให้ออกไปพ้นสายตาก่อนจะเอื้อมมาแตะหลังมือกับหน้าผากมน แล้วเลื่อนลงมาที่ลำคอเรียว

“ไม่มีไข้แล้วนี่ครับ”

“ก็... คงจะอย่างนั้นครับ” นัยน์ตาสีเข้มมองตามมือใหญ่ของทยุตที่ถูกชักคืนด้วยความรู้สึกบางอย่างที่วิ่งไปมาในอก

“เช้านี้คุณอยากทานอะไรครับ”

“เอ่อ...” หากเป็นปกติ เขาจะไม่ยอมลุกขึ้นมากินอะไรจนกว่าจะเที่ยงเสียด้วยซ้ำ แต่เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ ญาณัชจึงเอ่ยสั้นๆไป

“ไข่เจียวหมูสับ... ไม่ใส่ผักครับ”

คล้ายกับจะเห็นคิ้วของเจ้าของบ้านขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่ทยุตก็รับคำแล้วลุกขึ้นจากเตียงไป ปล่อยให้ร่างบางยังได้นั่งอยู่บนเตียงนุ่ม

...อุ่น...

ญาณัชยกมือของตัวเองขึ้นมาพิจารณามอง เรียวนิ้วยาวเล็กแตกต่างกับทยุตอย่างสิ้นเชิง ฝ่ามือใหญ่หนาที่หยาบกร้านของทยุตนั้นชวนให้เขานึกถึงมือของใครอีกคน

‘นัทต้องกินเนื้อ นม ไข่ให้เยอะๆรู้ไหม? จะได้โตๆสูงๆ’

เจ้าของชื่อเงยหน้ามองคนพูดที่มีรูปร่างสูงใหญ่ อีกฝ่ายก้มลงมามองก่อนจะยกมือลูบศีรษะเขาไปมา

‘ถ้านัทไม่แข็งแรง อาพีทจะเป็นห่วงนะ... เชื่ออาสิ’

‘ไม่ต้องมาเป่าหูอะไรหลานฉันเลยธัช’ เสียงดุๆของพิชญ์ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้คนถูกว่ารีบยิ้มแป้นรับก่อนหาเรื่องแก้ตัว

 

...คุณธัชก็มือใหญ่แบบนี้...

ภาพความทรงจำของธัชนั้นคล้ายกับเริ่มเลือนรางไป ก่อนที่พิชญ์จะประสบอุบัติเหตุ เขาได้ยินว่าธัชกำลังจะมาพอดี แต่ญาณัชก็ไม่ได้เจอกับธัช— ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ไม่มีหนทางติดต่ออยู่ดี

ทว่ากลิ่นหอมๆของไข่เจียวที่ลอยมาแตะจมูกทำให้ญาณัชหยุดความคิด ร่างบางหย่อนปลายเท้าลงกับพื้นเบาๆ แต่เมื่อพื้นห้องไม่ได้เย็น เขาก็พาตัวเองเดินออกจากห้องนอน

“... ว่ายังไงครับ ไส้กรอก ลูกชิ้น” รอยยิ้มแตะแต้มบนใบหน้าหวานเมื่อเห็นเจ้าสุนัขขี้ประจบสองตัวพากันมายืนกระดิกหางต้อนรับ

หลังจากทักทายทั้งสองตัวเรียบร้อยแล้ว ญาณัชก็ค่อยเดินเข้าไปในครัว

“... ผม... ไปแปรงฟันก่อนนะครับ”

เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ ร่างบางจึงหมุนตัวออกมา


/////////////////////////////////////////





“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง...” ญาณัชเอ่ยบอกหลังจากลงมายืนที่หน้าประตูบ้าน

“ไม่เป็นไรครับ”

คนอายุน้อยกว่ามองใบหน้ากับสายตาของทยุตที่มองมาแล้วก็ยืนนิ่ง เพราะสีหน้าของอีกฝ่ายแสดงออกมาราวกับมีอะไรที่อยากพูดกับเขาต่อ

“วันอาทิตย์ผมจะทำกะหล่ำผัดแฮมที่คุณชอบ... ลงมากินด้วยนะครับ” พูดจบทยุตก็ขับมอเตอร์ไซค์จากไปโดยไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ ทิ้งให้เด็กหนุ่มร่างบางยืนมองตามด้วยความแปลกใจ

...รู้ได้ยังไงว่าเขาชอบกะหล่ำผัดแฮม




To be continue...


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nikkou

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +294/-4
ติดตามค่ะๆ

 o13 o13 o13

ออฟไลน์ kagehana

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1



-7-





ญาณัชยังคงนอนกลิ้งไปมาอยู่บนผ้านวมผืนหนาที่ปูอยู่กลางห้องโดยมีเพลง ‘When you say you love me’ ที่พิชญ์ชอบฟังเปิดอยู่เบาๆให้ห้องไม่เงียบ

“อาพีทครับ... นัทควรจะลงไปกินข้าวเย็นกับพวกคุณๆเขาไหมครับ?” นัยน์ตาโศกคู่สวยมองไปยังรูปของพิชญ์ที่ติดอยู่บนผนังห้อง

“ถ้าพวกคุณๆเขาว่าอาพีทอีก นัทต้องโมโหแล้วลุกออกมาแน่ๆเลย... ทำแบบนั้นก็ไม่ดีอีก ใช่ไหมครับ”

ร่างบางยันตัวลุกขึ้นมานั่งก่อนจะมองเหม่อไปที่พื้นห้องแล้วถอนหายใจออกมาแรงๆ

“แต่คุณเชฟทยุตคนนั้นบอกว่าจะทำกะหล่ำผัดแฮม... ถ้านัทไม่ลงไป จะเสียมารยาทกับเขาไหมนะ...”

เขานิ่งคิดไปนาน เพราะความทรงจำครั้งสุดท้ายจากการทานข้าวเย็นร่วมโต๊ะกับคนที่บ้านนั้นแย่มากจนอยากจะลบออกไป— แต่เพราะทยุตดูแลเอาใจใส่เขาในวันที่ไข้ขึ้นขนาดนั้น

...จะลงไปก็ได้





////////////////////////////////






ทุกคนในบ้านดูจะแปลกใจกันมากเมื่อเห็นญาณัชเดินเข้ามาในห้องทานข้าวแล้วนั่งลงที่โต๊ะอาหาร บรรยากาศกดดันที่ลอยอยู่รอบๆทำให้เขาเริ่มรู้สึกอึดอัด ทว่าชยางกูรก็ทำลายมันออกไปหมดสิ้นด้วยการเอ่ยทักเขา

“นัทใช่ไหม ที่วันนั้นเจอกัน... จำฉันได้นะ?”

“จำได้ครับ คุณชยางกูร”

“ไม่ใช่สิ ฉันบอกว่าให้เรียกเดฟได้ไง”

เพียงไม่กี่ประโยค ชยางกูรก็ทำให้บรรยากาศที่แสนน่าอึดอัดจางหายไป ญาณัชนึกขอบคุณคนที่เพิ่งเจอหน้ากันเป็นครั้งที่สองอยู่ในใจ

“เอ้าๆ ข้าวมาแล้ว ไว้ค่อยคุยกันทีหลังก็แล้วกันพวกเรา” พลภัทรเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเด็กรับใช้ยกอาหารเข้ามา แล้ววางเรียงลงบนโต๊ะทีละจานก่อนจะตักข้าวใส่จานเปล่าตรงหน้าของแต่ละคน

...ทำมาจริงๆด้วย

ญาณัชคิดขณะที่มองจานกะหล่ำปลีผัดแฮมตรงหน้า ก่อนจะเอื้อมมือมาใช้ช้อนกลางตักใส่จานของตน

“รู้จักลงมาให้เห็นหน้ากันบ้างก็ดี... รู้ไหมนัท”

“... นั่นสิ บางทีป้าก็เป็นห่วงว่าไม่สบายไปบ้างหรือเปล่า” เพ็ญแขเสริมบ้าง

“... ครับ” เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายก็เพียงพูดไปตามมารยาท เพราะไม่ว่าอย่างไร เขาก็คือเด็กที่ไม่ยอมเรียนต่อตามที่พลภัทรต้องการ เป็นหลานของพิชญ์ที่ทุกคนคิดว่าเป็นตัวประหลาด— พอทานข้าวส่วนของตัวเสร็จ ร่างบางก็ลุกขึ้นแล้วเอ่ยปากขอตัวพร้อมทั้งยกจานของตัวเองออกมาจากห้องอาหารทันที

ญาณัชพาตัวเองมาถึงห้องครัวก็พบกับคนที่คุ้นตายืนอยู่

“ขอบคุณนะครับ คุณทยุต”

“... ครับ?” คนได้รับคำขอบคุณดูจะแปลกใจเสียหน่อย จึงไม่ได้เอ่ยอะไรมากไปกว่านั้น

“กะหล่ำผัดแฮมอร่อยมากครับ....”

“ครับ” ทยุตตอบรับสั้นๆ พลางมองคนที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะออกไปจากห้องครัว แปลว่าคงมีเรื่องที่อยากจะพูดด้วยอีก

“... อาทิตย์หน้า...... ผมว่างทั้งอาทิตย์...”

...น่าแปลกที่รู้สึกอยากจะสนิทสนมกับทยุตให้มากขึ้นกว่านี้ แม้จะยังแปลกใจอยู่ที่ทยุตรู้เรื่องอาหารจานโปรดของเขา แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการคำตอบในตอนนี้

“ถ้าคุณอยากจะให้ผมไปลองชิมอาหารที่คุณทำมากกว่าหนึ่งวัน... ก็ได้นะครับ”





/////////////////////////////////////







ท่ามกลางแสงอาทิตย์อ่อนๆยามบ่าย ภายในสวนร่มรื่นของบ้านชั้นเดียวหลังเล็กปรากฏร่างบอบบางของเด็กหนุ่มผมยาวยืนอยู่พร้อมกับสายยางในมือ นิ้วหัวแม่โป้งของเขากดที่ปากสายยางเพื่อฉีดน้ำให้กระจายไปทั่วบริเวณ โดยมีสุนัขสองตัวที่ต่างขนาดกันวิ่งวนไปมารอบๆสร้างความบันเทิงให้

บนใบหน้าหวานที่ดูเศร้าสร้อยมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่เพียงเล็กน้อยก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยพูดออกมา “ไส้กรอก ลูกชิ้น ไม่กลัวเปียกเหรอครับ”

ถึงญาณัชจะเอ่ยถามแบบนั้น เจ้าตัวยุ่งทั้งสองก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะสนใจ กลับยิ่งวิ่งวนไปมาเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากคนที่รดน้ำต้นไม้อยู่

ผ่านมาได้หลายเดือนแล้วหลังจากวันที่เขายอมลงมาทานข้าวร่วมโต๊ะกับคนที่บ้าน ทยุตไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่ก็บอกว่าจะมารับในวันจันทร์ พอคืนวันจันทร์มาส่งเขาที่บ้าน ก็บอกว่าวันพุธจะมารับอีก... รู้สึกตัวอีกที ญาณัชก็ถูกพามาที่บ้านหลังนี้เป็นประจำไปเสียแล้ว

..แต่ก็ใช่ว่าเด็กหนุ่มจะเบื่ออะไร

จากที่เคยนั่งเฉยๆ ญาณัชก็อยากจะหยิบจับช่วยอะไรในบ้านบ้าง - - - อย่างวันนี้ เขาก็ได้รดน้ำต้นไม้ในสวนของทยุต ถึงจะไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไร แต่ก็ยังดีกว่านั่งเปล่าๆไม่ทำอะไร

แต่แล้วเสียงประตูหน้าบ้านก็เรียกให้เขาหันหน้าไปมอง พร้อมกับเจ้าสองตัวเล็กใหญ่ที่ช่วยกันเห่าต้อนรับ

ริมฝีปากบางแย้มรอยยิ้มจางๆให้ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ “... เสร็จธุระแล้วเหรอครับ”

“ครับ....” ทยุตรับคำแล้วคุกเข่าลงนั่งลูบขนชื้นๆของหมาสองตัวที่เข้ามาไถตัวอย่างไม่กลัวเจ้าของเปียก

“พอดีว่าเดี๋ยวตอนค่ำๆต้องไปดูแลงานเลี้ยงแต่งงานที่โรงแรมคุณพลอย แต่จริงๆแล้วก็แค่ไปดูแลความเรียบร้อยเท่านั้นแหละครับไม่ได้ลงมือเต็มตัว” มือใหญ่ตบสะโพกเจ้าตัวใหญ่เบาๆ ช่วงนี้โรงแรมของคุณพลอยมีคู่รักมาจัดงานแต่งบ่อยทำให้เขาเองก็พลอยมีรายได้เพิ่มขึ้นไปด้วย

ญาณัชนึกถึงสิ่งที่คุณพลอยบอกเขาเมื่อคืน ว่าอยากจะให้มาเล่นเปียโนในงานแต่งงาน

“... งานเดียวกัน... สินะครับ” ร่างบางเดินไปปิดน้ำแล้วจึงค่อยๆม้วนสายยางเข้าเก็บให้เรียบร้อย

จากนั้นจึงเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่วางไว้ตรงเก้าอี้หน้าประตูเข้าบ้านขึ้นมาเช็ดละอองน้ำที่เกาะติดตามใบหน้าออก

“ถ้างั้นก็ไปพร้อมกันนะครับ แต่คุณญาณัชคงต้องไปเร็วกว่าปกติ...จะเป็นไรไหมครับ” นัยน์ตาสีเขียวอมเทาจ้องมองไปยังร่างเพรียวก่อนจะดึงเสื้อของตัวเองขึ้นมาเช็ดหน้าบ้าง

“อย่าใช้เสื้อเช็ดสิครับ” คนตัวเล็กกว่าเดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า ก่อนจะยกผ้าผืนเล็กของตนแตะบนใบหน้าของทยุต

“เสื้อเลอะหมดนะครับ...”

ทยุตนิ่งงันจากกิริยาที่อีกฝ่ายกระทำ ไม่ว่าจะด้วยความรู้สึกแบบใดก็ตามแต่ตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาดและน่าสนใจ... ชายหนุ่มแตะมือลงไปบนหลังมือแล้วจับเอาไว้เบาๆ

“ขอบคุณครับ...”

ญาณัชมองนัยน์ตาสีเขียวของร่างสูงนิ่ง ปกติไม่ค่อยได้สังเกตเท่าไหร่ แต่พอยืนในที่ที่มีแสงขนาดนี้ เขาก็รู้สึกว่าสีมรกตที่ดูสว่างใสก็สวยงามมากกว่าจะแปลกตา

“จริงๆแล้ว... คุณทยุต... จะเรียกผมว่านัทเฉยๆก็ได้นะครับ....” ทั้งๆที่เขามารบกวนที่บ้านของทยุตบ่อย แต่อีกฝ่ายก็ยังเรียกชื่อเขาอย่างห่างเหิน บางที อาจถึงเวลาเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว

....จะให้บอกยังไงว่าแอบเรียก ‘น้องนัท’ ในใจไปตั้งหลายทีแล้ว

“ถ้าอย่างนั้น... คุณญา... เอ่อ... นัทเรียกผมว่ายุตก็ได้นะ จะได้สนิทกันไว้” รอยยิ้มที่นานๆจะมอบให้ ‘คน’ สักครั้งเผยออกกว้างบนใบหน้าที่เคยเคร่งขรึม ยิ้ม... ไปจนกระทั่งนัยน์ตาสีเขียวที่เจือลำแสงอ่อนหวาน

ญาณัชที่ได้รับรอยยิ้มจากคนตรงหน้าเป็นครั้งแรกอดรู้สึกดีใจไม่ได้ เขาขาดปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นมานานมากจนคิดว่าคงยากถ้าจะต้องคุย หรือทำความสนิทสนมกับใคร แต่จากที่เป็นอยู่ตอนนี้ ก็ดูจะไปได้ด้วยดี เด็กหนุ่มจึงแย้มรอยยิ้มจางๆอีกครั้ง

“ไม่ดีหรอกครับ คุณอายุมากกว่า.....”

“งั้นเรียกพี่ยุตนะครับน้องนัท” หลุดปากออกไปเหมือนที่เรียกประจำตอนเด็กๆแล้วทยุตเลยได้แต่แสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้อุ้มชิวาว่าตัวน้อยขึ้นมาแหย่เล่นด้วยการยื่นนิ้วให้งับเบาๆ

“... น้องนัท..? เหรอครับ.....” เด็กหนุ่มรู้สึกขัดเขินที่ต้องถูกเรียกเหมือนเป็นเด็กๆจนต้องเอ่ยปากท้วงไป

“... เหมือนเด็กๆเลย... นะครับ.... คุ- เอ่อ พี่ยุต”

“ไม่ชอบให้เรียกแบบนี้เหรอครับ....ลูกชิ้น!!” ไม่ทันพูดจบลูกชิ้นดิ้นได้จอมกวนก็แลบลิ้นเลียแก้มจนเชฟหนุ่มเผลอเสียงดังใส่ ซึ่งแน่นอนว่าหมาบ้าจี้ก็เห่าตอบด้วยเสียงที่ไม่แพ้กัน

“ก็... ผมว่า มันฟังดูเด็ก....... ผมไม่ใช่เด็กประถมแล้วนะครับ” แม้คำพูดจะฟังดูไม่ค่อยพอใจ ทว่าบนใบหน้าหวานก็ปรากฏรอยยิ้มจากการกระทำของเจ้าชิวาว่า

“งั้นเรียกว่านัทอย่างเดียวก็ได้” ทยุตวางลูกชิ้นปล่อยให้วิ่งออกไป

“แล้วก็ไม่ต้องพูดสุภาพนักก็ได้นะ ถือว่าเป็นพี่เป็นน้องกันก็ไม่ต้องครับทุกคำหรอก”

“ที่พี่ยุตขอแต่ละอย่าง.... ยากจัง... ครับ” สุดท้ายญาณัชก็หลุดปากหางเสียงไปอีกจนได้ ก็ไม่ใช่ว่าเพราะว่าพิชญ์สอนมาอย่างดีให้มีสัมมาคารวะหรอกหรือ

“ครับอีกแล้ว” เชฟหนุ่มยกยิ้มด้วยนัยน์ตายั่วล้อผิดจากทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน...อาจจะเป็นเพราะตัวเขาเองก็อยากจะ ‘สนิท’ กับ ‘น้องนัท’ ของมารดาก็เป็นได้ ยิ่งพอได้ลองแกล้งสักครั้ง ปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้ามก็ยิ่งชวนให้สงสัยว่าจะเป็นอย่างไรเสียด้วย จะเรียกว่าท่าทีของ ‘น้องนัท’ มันปลุกความขี้แกล้งที่หายไปตั้งแต่สมัยรวินยังอยู่ก็คงพูดได้

“ถ้าครับอีกจะเก็บตังค์นะ”

คราวนี้คนฟังถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว มีอย่างที่ไหนที่จะมาเที่ยวเรียกเก็บเงินคนอื่นเขาอย่างนี้

“ผมไม่มีให้เก็บหรอกครั-.............” ญาณัชอยากจะกัดปากตัวเองที่เผลอถอนหางเสียงของไป

“ครับนี่คำละกี่บาทดีครับ?” ทยุตยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย

“แล้วนี่หิวหรือยัง”

“ทำไมพี่ยุตไม่ฟังผมเลยคร-.........” ร่างบางไม่อยากเถียงด้วยต่อเรื่องนี้จึงหันหลังให้ก่อนจะเอ่ยตอบคำถามที่สองของทยุต

“หิวแล้ว.........................” ญาณัชตอบเสียงเบาแล้วจึงเปิดประตูบ้านเดินหายเข้าไป โดยมีเจ้าไส้กรอกรีบวิ่งตามเข้าไป

ทยุตแอบขำกับพฤติกรรมที่เหมือนเด็กของคนที่เดินหายเข้าไปในบ้าน ร่างสูงขยับเท้าเดินตามเข้าไปด้านในก่อนจะปิดประตูลง... ทิ้งโลกภายนอกอันวุ่นวายไว้เบื้องหลัง





///////////////////////////////////////






เย็นวันอาทิตย์เวียนมาถึงอีกครั้ง บรรยากาศบนโต๊ะอาหารที่มีญาณัชร่วมอยู่ด้วยก็ไม่ได้น่าอึดอัดอย่างวันแรกๆแล้ว ทั้งพลภัทร และเพ็ญแข ก็ดูจะพยายามพูดคุยกับเด็กหนุ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน... วันนี้ก็เหมือนกับวันอาทิตย์ก่อนๆ

“ดีจริงๆนะ ที่เรารู้จักลงมาให้เห็นหน้า.... จากนี้ไปคิดจะทำอะไรล่ะนัท?” พลภัทรเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้นในคราวนี้ และเขาก็ไม่รอช้าที่จะวกเข้าเรื่องการทำงานของญาณัชทันที

“ก็....” ญาณัชกัดริมฝีปากตัวเองไว้ ไม่อยากจะพูดออกไป ทว่าเขารู้สึกได้ถึงสายตาจากทุกคนที่พุ่งมายังเขา

“ถ้า... ไม่ได้เรียนต่อ.... ผมก็อยากจะ... สอนเปียโนให้กับเด็กๆ... น่ะครับ”

...พลภัทรหัวเราะ

“จะเป็นครูสอนเปียโน? แล้วแกจะเอาอะไรที่ไหนกิน?” ชายผู้เป็นหัวหน้าตระกูลเอ่ยว่ากลั้วเสียงหัวเราะ

“เพราะพีทเลี้ยงแกมาหรือไง? ถึงคิดได้แต่อะไรที่มันแหกคอก”

“กรุณาอย่าเอาอาพีทเข้ามาเกี่ยวด้วยครับ!” ญาณัชสวนกลับไปอย่างสุภาพ แต่ก็มิอาจกดเก็บอารมณ์โกรธที่พุ่งพล่านขึ้นมาได้

“ทำไมฉันจะเอาเข้ามาเกี่ยวไม่ได้? พีทมันทำตัวประหลาดนอกคอก พ่ออุตส่าห์ส่งเสียมันเรียนจบอย่างดี แต่กลับมาเป็นครูสอนศิลปะ แล้วยังเป็นพวกผิดเพศ เหอะ! เสียเงินเสียเวลากับคนไร้ค่าจริงๆ.... แล้วแกยังอยากจะเป็นแบบนั้นรึไง? นัท”

ถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามกรีดลึกลงหัวใจที่เป็นแผลอยู่แล้วให้ยิ่งเจ็บกว่าเดิม สำหรับญาณัช พิชญ์เป็นทุกอย่าง แต่เขากลับทำอะไรเพื่อปกป้องพิชญ์จากคำพูดโสมมของคนกลุ่มนี้ได้เลย

...แต่จะร้องไห้ให้คนพวกนี้เห็นไม่ได้

“................ ผม อิ่มแล้วครับ” เด็กหนุ่มสะกดกลั้นอารมณ์ของตนเอาไว้ ฝืนใจเอ่ยตอบไปให้เรียบที่สุดก่อนจะตัดสินใจก้าวหนีออกจากห้องอาหารที่ชวนคลื่นไส้เสีย

ทันทีที่พ้นจากห้องอาหารได้ หยาดน้ำตาก็ไหลลงอาบแก้มขณะที่เขากำลังวิ่งไปยังลิฟท์เพื่อขึ้นไปที่ห้องของตัวเอง... ที่ๆให้ความรู้สึกว่าพิชญ์ยังอยู่กับเขา

พอเปิดประตูห้องเข้าไปได้ ญาณัชก็รีบปิดประตูให้มีเพียงตัวเองอยู่ในห้องของพิชญ์

“เพราะนัทไม่ได้เรื่อง... อาพีทเลยโดนว่า”

“เพราะนัทเอาแต่ใจ... อาพีทเลยโดนว่า......”

ถ้อยคำต่อว่าตัวเองหลุดออกมาจากริมฝีปากบางที่ขยับช้า เอ่ยวนไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในอกมากมายจนน้ำตาต้องหลั่งรินไม่หยุด ถ้าหากเขาหนีออกไปจากที่แห่งนี้ได้ก็คงดี แต่ลำพังเพียงเขา ของๆพิชญ์ที่ยังอยู่ในห้องนี้เขาจะเอาไว้ที่ไหน เด็กหนุ่มไม่ต้องการทิ้งเลยแม้สักนิดเดียว

...โดยเฉพาะแกรนด์เปียโนสีขาวหลังนี้

แต่ญาณัชก็รู้ดี ว่าจะกำจัดความเจ็บปวดที่รู้สึกอยู่ตอนนี้ออกไปอย่างไร - - - ร่างบางคว้าเอาคัตเตอร์ที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนพื้นทั้งที่น้ำตายังไม่หยุดไหล เขายกข้อมือข้างซ้ายขึ้นมาแล้วพับแขนเสื้อให้ร่นขึ้น จากนั้นจึงจรดปลายคัตเตอร์ลงบนข้อมือขาวที่มีรอยเก่าจางๆอยู่

ทันทีที่กรีดลง ความเจ็บปวดก่อขึ้นจนต้องหลับตา กัดฟันกรีดให้ลึกจนหยดเลือดซึมออกมา... เพียงเท่านี้ ก็ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้วนอกจากแผลที่ข้อมือ


///////////////////////////////////////

มือใหญ่หนาของคนที่ยืนอยู่หน้าห้องเคาะเบาๆบนประตูก่อนจะส่งเสียงเรียกชื่อเจ้าของห้อง ทยุตนึกเป็นห่วงญาณัชขึ้นมาด้วยเพราะว่าเขาเห็นเด็กหนุ่มผลุนผลันวิ่งไปทางประตูด้านในพร้อมกับนัยน์ตาที่รื้นเรื้อและแดงก่ำ เขาอดใจไม่วิ่งตามมาในทันทีแต่หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็อดไม่ได้ที่จะขึ้นมาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง

ก่อนหน้านี้ญาณัชยอมลงมากินข้าวข้างล่างและอะไรๆก็เหมือนจะดีขึ้นแต่จู่ๆ...ก็กลับกลายว่ามีบรรยากาศแปลกๆที่แม้แต่คนนอกอย่างตนเองยังสัมผัสได้ในยามที่แกล้งเข้าไปเสิร์ฟผลไม้ในห้องนั้น

“นัท...เป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามไถ่ แม้จะไม่ได้ยินเสียงตอบแต่หูกลับแว่วเสียง...คล้ายสะอื้นไห้

“นัท...” บิดล็อคออกแล้วมันก็เปิดออกอย่างง่ายดายเพราะดูเหมือนข้างในไม่แม้แต่จะใส่ใจกับการล็อคประตู "พี่เข้าไปนะ"

“???!!!?” เจ้าของห้องหันไปตามเสียงเรียกด้วยความตกใจ เขาไม่คิดว่าจะมีใครตามขึ้นมา... โดยเฉพาะทยุต

“เดี๋ยวครับ—”

“ทำอะไรน่ะนัท!!” บาดแผลบางเฉียบทว่าบาดลึกนั้นเต็มไปด้วยเลือดสีสดไหลเปรอะตัดกับข้อมือขาวซีด ข้างตัวเด็กหนุ่มมีคัตเตอร์เปื้อนเลือดที่เขาเห็นว่าเพิ่งหลุดจากมือไปในเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว ทยุตปิดประตูห้องแล้วเอาชายเสื้อของตัวเองกดปากแผลห้ามเลือด...ซึ่งนั่นก็ทำให้เขารู้ถึงเหตุผลที่ญาณัชมักใส่แต่เสื้อแขนยาว

รอยกรีดทั้งเก่าและใหม่ตัดกันเป็นสายสลับไปมาบนข้อมือ ทยุตยกชายเสื้อดูแล้วกดลงไปซ้ำที่เดิม

“ทำไมนัทถึงทำแบบนี้...รู้ไหม คนที่พยายามทำร้ายตัวเองน่ะมันมีแต่คนโง่กับคนบ้าเท่านั้นแหละ!!!” เขาตะคอกใส่ด้วยน้ำเสียงดุดัน ก่อนจะลดลงเป็นเสียงที่ราวกับกระซิบ

“ทำแบบนี้มานานหรือยัง....”

“.......” ญาณัชไม่ได้ตอบอะไรนอกจากปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาก่อนจะผงกศีรษะเป็นการตอบคำถาม เป็นแบบนี้แล้ว คนตรงหน้าคงจะไม่อยากที่จะเป็นเพื่อนกับเขาอีกต่อไป... ใช่ไหม ในเมื่อเขา ไม่ปกติ

“....นัททำแบบนี้ไม่เจ็บเหรอ...แล้วทำลงไปไอ้สิ่งที่นัทขัดข้องใจมันหายไปหรือเปล่า” ทยุตดึงเสื้อที่ชุ่มเลือดออกแล้วพลิกดู เขาไล้ปลายนิ้วไปตามรอยแผลที่เพิ่งหมดเลือด

“พี่ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้นัทเคยเจออะไรมา แต่พี่ขอได้ไหมว่าอย่าทำร้ายตัวเอง” ดวงตาสีเขียวจ้องสบเข้าไปในลูกแก้วสีดำที่ไหวระริก

“ถ้ามีอะไรไม่สบายใจนัทบอกพี่ได้ตลอดเวลาเลยนะ...แต่อย่าทำอย่างนั้นอีก..สัญญากับพี่นะ”

“พี่ยุต.....” ถ้อยคำอ่อนโยนที่ไม่เคยได้ยินนับแต่พิชญ์จากไปยิ่งทำให้น้ำตาไหลออกมาอีก ร่างบางขยับเข้าซบใบหน้ากับลาดไหล่กว้างก่อนจะร้องไห้ออกมาราวกับเด็กเล็กๆ มือข้างที่ไม่ได้ถูกยึดเอาไว้เกาะเอาเสื้ออีกฝ่ายเป็นที่พึ่ง

“... ผม... เกลียด.......... ทุกคนที่นี่....” จบคำเด็กหนุ่มก็ร้องไห้ต่ออีกระลอก ทุกทีที่ญาณัชเจ็บ เขาก็ได้แต่ร้องไห้เงียบๆเพียงคนเดียว ไม่เคยมีใครที่จะยื่นมือเข้ามาหา

แต่ในตอนนี้ ข้างหน้าเขามีทยุตที่ยังไม่ไปไหน

“นัทจะโกรธใครก็ได้บนโลกนี้....แต่อย่าเกลียดเลยนะ” ทยุตไม่สามารถทิ้งคนที่เขาเอ็นดูเหมือนน้องที่เขาไม่เคยมีไว้ได้ ชายหนุ่มสวมกอดร่างโปร่งที่ยึดเขาเหมือนที่พึ่ง

“...เพราะสุดท้ายแล้วความเกลียดมันจะเผาไหม้ตัวนัทเอง....”

ร่างสูงนิ่งไปพักใหญ่ก่อจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ตั้งใจจะทำให้อีกฝ่ายร่าเริงขึ้น

“วันนี้พี่ลักพาตัวนัทไปนอนที่บ้านดีกว่า เดี๋ยวให้เจ้าสองยุ่งนั่นเป็นลูกน้องพี่เป็นหัวหน้าโจรเอง”

ญาณัชยกใบหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาคู่สวยที่ชุ่มน้ำตากระพริบไปมาสองสามทีเพื่อไล่น้ำตาออกให้หมด

“ถ้าอย่างนั้น......” หากทยุตสังเกต ก็จะเห็นรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าหวานของเด็กหนุ่ม

“... ช่วยจับผมไว้นานๆที.................”


/////////////////////////////////////

แผ่นหลังกว้างของร่างสูงเอนล้มลงบนที่นอนในสภาพที่เจ้าของแหงนหน้ามองเพดานในขณะที่เตียงหนานุ่มยุบตามน้ำหนักเล็กน้อย เจ้าของเตียงหลับตาลงตั้งใจฟังเสียงน้ำไหลที่ดังแว่วๆมาจากห้องอาบน้ำที่อยู่ห่างออกไป เขากางแขนแผ่ออกในท่าทางแสนสบายแม้ว่าจะเพิ่งรับรู้เรื่องราวที่ไม่ธรรมดาของคนๆหนึ่งมา พอย้อนกลับไปคิดดีๆแล้วการที่ญาณัชจะเกิดอาการเครียดจนทำเรื่องอย่างนั้นมันก็คงจะเป็นเพราะเรื่องของ ‘ครอบครัว’ นั้นแน่ๆ

ทยุตไม่เคยมีครอบครัวใหญ่ ชีวิตของเขามีแต่แม่... ทำให้ไม่อาจจะเข้าใจได้ถึงความสลับซับซ้อนที่เกิดจากคนสายเลือดเดียวกัน

แต่ถึงอย่างนั้น.... ในตอนนี้เขาก็อยากจะเข้าใจให้มากขึ้น... เพื่อใครบางคน

เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกพร้อมกับร่างบางที่เดินออกมาในชุดนอนแขนยาวของตัวเอง ผ้าเช็ดตัวถูกพาดไว้ที่ราวในห้องน้ำอย่างเรียบร้อย พอขอให้ทยุตจับตัวเอาไว้ ก็ถูกพามาที่บ้านหลังเดิมโดยที่เขามีโอกาสได้เก็บเสื้อผ้าออกมาบางส่วน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองคนที่นอนอยู่บนเตียงกว้างแล้วจึงเอ่ยขึ้นมาเบาๆ

“... อาบน้ำเสร็จแล้วครับพี่ยุต...”

ญาณัชคลี่รอยยิ้มบางๆให้อีกครั้ง

“เจ้าสองตัวนั้นหลับไปแล้วเหรอครับ?” เขาค่อยๆหย่อนร่างลงนั่งที่ริมเตียง

“ครับ? ถ้านัทพูดสุภาพอีกคราวนี้จะให้เจ้าสองตัวนั่นมานอนบนเตียงแทนนะ”

คราวนี้คนถูกแซวถึงกับทำหน้าเมื่อยขึ้นมาก่อนจะบ่นอุบอิบว่า

“อาพีทสอนมาแบบนี้.. จู่ๆจะให้ผมเลิก... ยากจังคร-........................”

“อยากเห็นหน้าอาพีทของนัทจัง......” พูดเบาๆแล้วลุกขึ้นนั่ง

“ต้องเป็นคนเจ้าระเบียบ...แต่ก็ตามใจนัทแบบสุดๆแน่เลย”

คนฟังยิ้มออกมาอีกครั้ง ก่อนจะยกปลายเท้าขึ้นแล้วสอดเข้าใต้ผ้าห่มผืนนุ่ม

“พี่ยุตพูดถูกเป๊ะเลยนะ......” ใบหน้าหวานหันมามองเจ้าของเตียง

“ถ้าพี่ยุตได้เจออาพีท... พี่ยุตต้องชอบอาพีทแน่ๆเลย”

“ง่วงแล้วเหรอ” ทยุตถามแล้วดึงผ้าห่มคลุมให้ถึงอก

“ถ้าอาพีทเหมือนนัทก็คงชอบละมั้ง” รอยยิ้มจางๆแตะบนริมฝีปากเฉกเช่นรอยระริกไหวในดวงตา ฝ่ามือหยาบลูบเส้นผมสีเข้มให้เรียบแล้วทัดลูกผมที่รุ่ยร่ายข้างหูให้

คราวนี้ญาณัชหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะเอ่ยต่อ

“ไม่เหมือนหรอกมั้ง... อาพีทบอกว่าผมหน้าเหมือนแม่...”

“เขาบอกว่าผู้ชายเหมือนแม่จะไม่อาภัพไง” ร่างสูงยันตัวขึ้นแล้วเขยิบตัวเองขึ้นไปนั่งพิงหัวเตียง

“แต่พี่.... เหมือนพ่อ... แม่บอกว่าอย่างนั้น”

“... พี่ยุตไม่อาภัพหรอก” เด็กหนุ่มก้มหน้าลงเล็กน้อย อย่างน้อยทยุตก็ยังได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ต่างจากตัวเขา

“อย่างนี้ล่ะดีแล้ว ดูเด็ดเดี่ยว แล้วก็เข้มแข็งดีออก ผมชอบ”

“นัททำพี่เขินซะแล้ว” ทยุตขยี้ศีรษะที่เพิ่งลูบให้เรียบเมื่อกี้ก่อนจะทิ้งตัวนอนหันหลังให้อีกฝ่าย

“ฝันดีนะ... นัท”

“ฝันดี... เหมือนกันนะพี่ยุต” นัยน์ตาโศกคู่สวยจับจ้องแผ่นหลังกว้างขณะเอ่ยราตรีสวัสดิ์ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา







To be continued...


kagehana : น้องนัททำร้ายตัวเอง ให้พี่ยุตจับตีเลย

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
เคลิ้มมมม

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ความสัมพันธ์พัฒนาไปมากทีเดียว

ออฟไลน์ kagehana

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1
+:+ My all...私のすべて... +:+ Chapter 8 ทะเลหวาน [25/01/15]
«ตอบ #24 เมื่อ25-01-2015 09:04:14 »



-8-







ญาณัชค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆเมื่อได้ยินเสียงฝนตกกระทบกับหน้าต่างห้อง เป็นอีกครั้งที่เขาพบว่าตัวเองกำลังกอดเอาร่างสูงใหญ่ของเชฟหนุ่มเอาไว้ ร่างบางตั้งใจจะถอยกายออกมา หากแต่ไออุ่นจากทยุตนั้นทำให้เขาพับเอาความคิดนั้นเก็บไป

เด็กหนุ่มซุกใบหน้าเข้ากับแผ่นอกกว้างอีกนิดเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังนอนนิ่ง บางทีถ้าจะฉวยเอาโอกาสนี้เก็บกักความอบอุ่นของคนตรงหน้าคงจะไม่เป็นไร

“.............กอดแน่นๆก็ได้นะ พี่ไม่ว่า....” เสียงทุ้มห้าวที่แหบนิดๆพูดขึ้นมาทั้งที่ยังหลับตาก่อนจะเป็นฝ่ายเอาท่อนแขนพาดไปบนเอวอีกฝ่ายรั้งให้เข้าใกล้อีกนิด

“เด็กไม่ดี... แต๊ะอั๋งคนนอน”

“!!??” คนถูกทักถึงกับสะดุ้งพร้อมทั้งถอยตัวออก แต่เพราะอีกฝ่ายพาดแขนไว้กับเอวของเขา ทำให้ญาณัชถอยไปไหนไม่ได้

“.... ผม.... เปล่า................” เด็กหนุ่มเอ่ยตอบเบาๆ

“แล้วที่กอดอยู่ล่ะ?” นัยน์ตาสีเขียวจางที่เผยออกมานั้นไม่มีแววง่วงงุนเลยแม้แต่น้อย ทยุตกดปลายคางสากที่หนวดแข็งๆเพิ่งขึ้นกับหน้าผากเบื้องล่างเส้นผมสีดำเข้ม

“ก็.. เตียงมันกว้าง.... ผมก็... ชิน...... กับที่เคยนอนกับอาพีท.......... เฉยๆ” ร่างบางได้แต่ขดตัวเข้าหากันก่อนจะเอ่ยแก้ตัวอ้อมแอ้ม

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่” ยิ่งมองคนตัวเล็กก็ยิ่งขดตัวเหมือนหนูแฮมสเตอร์จนทยุตอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

“... ตอนนี้ก็ค่อยๆเป็นไป สักวันคงจะชินกับพี่แทนอาพีทได้ล่ะมั้ง...”

แม้จะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ทยุตพูด เขากลับรู้สึกอุ่นใจ... นัยน์ตาคู่สวยเหลือบขึ้นสบสายตาที่อีกคนมองมา

“.... ให้ผม... อยู่ที่นี่ไปก่อน... ได้จริงๆเหรอ....”

“นานเท่าที่นัทอยากเลยล่ะ” รับคำแล้วคลายอ้อมกอดลง ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งแล้วหันมองหน้าต่างที่ถูกสายฝนโปรยใส่เป็นทางยาวสุดบาน

“คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านนัท อยู่ให้สบายเลยนะ”

ร่างบางเห็นอย่างนั้นจึงยันกายขึ้นนั่งบ้าง ก่อนจะยกมือขึ้นจับผมที่ปรกหน้าไว้ทัดกับใบหู

“... ขอบคุณนะ... พี่ยุต” ริมฝีปากบางค่อยๆคลี่รอยยิ้มให้... นานเท่าไหนแล้วนะที่ไม่ได้ยิ้มขนาดนี้ ตั้งแต่ต้องอยู่คนเดียว ญาณัชก็จำไม่ได้ว่าตัวเองอยากจะยิ้มให้ใครที่ไหนทั้งนั้น

...จนกระทั่งตอนนี้










“เดี๋ยวเราลงจากเรือแล้วเดินไปหน่อยก็ถึง” ท่าเรือเก่าคร่ำคร่าและแสงแดดที่แผดเผายามเที่ยงซึ่งสะท้อนกับน้ำทะเลเป็นประกายบอกให้รู้ว่าที่นี่นั้นต่างกับสภาพปกติประจำวันที่เป็นอยู่ ชายหนุ่มผิวแทนอุ้มโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่ด้วยท่อนแขนชื้นเหงื่อก่อนจะถูกมันใช้ขาหลังถีบส่งตัวขึ้นไปบนฝั่งอย่างปลอดภัย

“ไส้กรอก....” ดุไปก็เท่านั้น มีแต่เหนื่อยเปล่า

เชฟหนุ่มหันกลับไปหาอีกคนที่คงจะไม่ถีบเขาแล้วกระโดดขึ้นฝั่ง ทยุตยื่นมือหนาให้เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ

“นัทขึ้นได้ไหม เดี๋ยวเอาลูกชิ้นมาก็ได้ จะได้ขึ้นง่ายๆ”

“ไม่เป็นไรพี่ยุต....” ญาณัชอุ้มลูกชิ้นเอาไว้ด้วยแขนข้างเดียว ก่อนจะยื่นมือมาจับฝ่ามือใหญ่เอาไว้

“ลูกชิ้นไม่หนักหรอก” เด็กหนุ่มไม่พูดเปล่า แต่ยังยิ้มให้อีกด้วย

“เอ้า ฮึบ” พอมาหยุดยืนบนฝั่งทยุตก็อดคิดไม่ได้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้มาท่องเที่ยวพักผ่อนสบายๆแบบนี้ ชายหนุ่มย่อตัวลงเอาสายจูงติดกับปลอกคอไส้กรอกพันธุ์หมา อีกมือก็จับท่อนแขนซีดๆที่เหมือนไม่เคยโดนแดด ส่วนสัมภาระที่ขนมาเพียงเล็กน้อยนั้นก็อยู่ในเป้ด้านหลังใบไม่ใหญ่มาก

“ไปเอาของเก็บที่บ้านนะ แล้วบ่ายๆไปดำน้ำกัน... นัทกลัวทะเลหรือเปล่า”

คนฟังขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเบา “นัทไม่ได้เล่นตั้งนานแล้ว..... กลัวไหมไม่รู้หรอก...”

นัยน์ตาสีน้ำตาลหรุบลงต่ำก่อนจะก้มลงวางลูกชิ้นให้วิ่งบนผืนทราย

“อยู่กับพี่ไม่ต้องกลัวหรอก...ไม่ปล่อยให้จมแน่” พูดออกมาด้วยเสียงคล้ายล้อเล่นแต่ทยุตรู้ดีว่าเขาจริงจังกับคำนี้มากเท่าไหร่ มือใหญ่ไล้นิ้วบนหลังมือที่กอบกุมไว้เบาๆแล้วดึงให้เดินไปที่รีสอร์ท

ที่พักเป็นบ้านเดี่ยวหลังเล็กยกพื้น ด้านหน้าตั้งโอ่งดินเผาเอาไว้ล้างเศษทราย ถัดมาเป็นบันไดเตี้ยๆสามสี่ขั้น ตัวบ้านทาสีไข่ไก่อ่อนๆตั้งอยู่ในสนามหญ้าเล็กๆที่มีโต๊ะหินอ่อนวางไว้ชิดแนวรั้ว










“พี่ยุตอยากทำอะไรก่อนเหรอ” ญาณัชเอ่ยถามพลางเอียงคอมองคนที่เพิ่งวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ แม้ว่าเดินทางมาจะไม่เหนื่อยนัก แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ถูกโรคกับแดดจ้าๆเท่าไหร่นักอยู่ดี

“นัทเหนื่อยไหม” เขารู้ดีว่าญาณัชไม่ใช่คนแข็งแรงนัก ไหนจะเพิ่งเจอกับเรื่องที่ทำร้ายจิตใจจนเจ้าตัวทำร้ายตัวเองอีก...สำหรับเขาแล้ว ถึงจะได้รู้จักตัวจริงมาไม่นานแต่ก็ห่วงใยเกินกว่าจะเพิกเฉยแล้วทำแต่สิ่งที่ตัวเองอยากได้

“.... ไม่เท่าไหร่หรอกนะ...... แต่... ถ้าอยู่ตรงที่มีร่มๆก็ไม่เป็นไรนะพี่ยุต” คนที่ดูอ่อนแรงยิ้มให้กับทยุตเป็นการคลายกังวลให้ เขาเปิดกระเป๋าของตัวเองแล้วหยิบหมวกแก๊ปออกมา

“อุตส่าห์มาเที่ยวกัน นัทไม่อยากดึงพี่ยุตไว้ในห้องหรอกนะ” ใบหน้าหวานปรากฏรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขารู้สึกว่าได้ทำอะไรเพื่อทยุตบ้างก็ดี

“อะไรกันเล่า—” เสียงริงโทนโทรศัพท์ที่คุ้นหูในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นในจังหวะพอดิบพอดี เชฟหนุ่มหยิบมันขึ้นมาก่อนจะอมยิ้มเล็กๆ

“แป๊บนึงนะนัท...วินโทรมา”
“ว่าไง ไอ้เด็กบ้า” เสียงทุ้มห้าวพูดทักไปทันทีที่กดรับเช่นเดียวกับเสียงโวยวายของอีกฝ่ายที่ลอดออกมา

“มาเที่ยว...ทะเล....อือ...ก็ไม่อยู่ที่ไทยจะให้พามาได้ไงเล่า...”

ญาณัชมองท่าทางของชายหนุ่มร่างสูงด้วยความรู้สึกแปลกๆ ไม่รู้ว่าทยุตตั้งใจจะคุยโทรศัพท์กับรวินไปนานแค่ไหน แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะไปยุ่งด้วยได้ แค่ทยุตพามาพักผ่อนนี่ก็เกินพอแล้ว

...แค่ยังคุยด้วยหลังจากเจอกับตัวเขาในสภาพนั้นก็ดีมากแล้ว

“ไส้กรอก... ลูกชิ้น... ทางนี้ครับ” เด็กหนุ่มก้มตัวลงกวักมือเรียกสุนัขบ้าจี้ทั้งสองก่อนจะเหลือบขึ้นมองทยุตอีกครั้ง

ร่างบางชี้มือไปข้างนอกก่อนจะขยับปากบอกว่า ‘นัทจะไปรอข้างนอกนะ’

“เดี๋ยวตามไปนะ...... เฮ้ยอย่าแซวน่า” ทยุตพูดกลั้วหัวเราะ

“เปล่า... มาด้วยกัน... อยากมาด้วยก็บินกลับมาสิ... ไม่จ่ายให้หรอก ไอ้งก”

ทยุตเดินไปที่เตียงแล้วทิ้งตัวลงนอนจนฟูกยวบลงตามน้ำหนัก หางตาเหลือบเห็นประตูที่ปิดไปพร้อมๆกับขนสีทองแว้บๆ









ด้านนอก ญาณัชค่อยๆหย่อนกายลงนั่งบนผืนทรายสีอ่อน แสงอาทิตย์จ้าสาดส่องลงมาอย่างไม่เกรงใจคนที่ไม่ได้อยู่ในร่ม เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาขณะที่เหลียวกลับไปมองยังบ้านพักที่เพิ่งเดินออกมา

“.......” สายตามองไส้กรอกกับลูกชิ้นวิ่งไปมาด้านหน้าก่อนจะยกแขนโอบรอบเข่าของตัวเองไว้

“เดี๋ยวพี่ยุตก็มาแล้ว....” ริมฝีปากบางขยับรำพึงกับตัวเองเบาๆพลางจับจ้องไปที่ผืนน้ำตรงหน้า ครั้งสุดท้ายที่มาทะเล คือตอนที่พิชญ์ยังอยู่ และตัวเองก็ยังไม่ได้เข้ามัธยมปลายเลยด้วยซ้ำ

...ปกติ เวลามาทะเล ต้องทำอะไรบ้างนะ...

เวลาที่ผ่านไปพร้อมกับแสงแดดที่แผดเผาลงมาทำให้ผิวกายรู้สึกร้อนขึ้นจนต้องยกมือขึ้นลูบ นัยน์ตาโศกคู่สวยหรี่มองไปด้านหน้าก่อนจะก้มลงซุกเข้ากับหัวเข่าของตน ญาณัชเหลียวไปมองที่บ้านพักอีกครั้งหนึ่งแล้วหันกลับมามองผืนน้ำเช่นเดิม

“........ อาพีท... ถ้านัทเหงา....... นัทจะคุยกับใครได้ไหมนะ...”

เสียงลูกชิ้นเห่าพร้อมกับไส้กรอกเรียกให้ญาณัชหันมามอง ก็พบกับสุนัขสองตัวนั่งยิ้ม (จะเรียกว่ายิ้มคงไม่ถูกนัก แต่ก็ให้อารมณ์แบบนั้นจริงๆ) ให้ มือเรียวบางจึงเอื้อมไปลูบหัวทั้งสองตัวสลับกัน

“กลัวนัทเหงาเหรอครับ” รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้า เรียกเสียงเห่ารับจากเจ้าจอมยุ่งทั้งสองสลับกันไป

“... พี่ยุตบ้า” ญาณัชพูดออกมาเบาๆ เขารู้ดีว่ามันฟังดูเห็นแก่ตัว แค่ทยุตพามาเที่ยวนี่ก็ดีแค่ไหนแล้ว แต่กลับรู้สึกได้ว่าตัวเองไม่พอใจกับการที่ต้องอยู่คนเดียว โดยที่อีกฝ่ายไปคุยโทรศัพท์กับใครอีกคน











“.......นัท........นัท..........” เสียงทุ้มห้าวตะโกนเรียกคนที่มาด้วยกัน หลังจากวางโทรศัพท์ทยุตก็เดินออกมาตามหาคนที่มาด้วย ใบหน้าคร้ามยังเกลื่อนด้วยรอยยิ้มเพราะอารมณ์สนุกสนานยังค้างคาอยู่.... แม้จะไม่ได้โทรหากันมาพักหนึ่งแต่รวินยังเป็นเด็กที่ทำให้เขาอารมณ์ดีได้ไม่เปลี่ยน

“ไส้กรอก...ลูกชิ้น...น้องนัท...” เรียกสองชื่อแรกไปก็อดมองรอบด้านไม่ได้... ก็การที่คนๆหนึ่งเรียกหาของกินมันชวนให้คนอื่นสงสัยนี่นะ

“....... ทางนี้... พี่ยุต” ร่างบางตะโกนตอบเมื่อได้ยินเสียงเรียก เพราะแดดที่ร้อนจนเกินไปทำให้เขาต้องมาหาร่มเงาหลบพักเพื่อไม่ให้เป็นลมแดดเอาได้

พอเห็นหน้าของทยุต ญาณัชก็รู้สึกว่ามีความรู้สึกขุ่นมัวบางอย่างก่อตัวขึ้นมา แต่เพราะหาสาเหตุไม่ได้ เขาจึงไม่ได้เอามาใส่ใจ ริมฝีปากบางขยับเอ่ยถามเบาๆ

“คุยเสร็จแล้วเหรอ” เวลา20นาทีที่รอ ถ้าเอาไปเล่นเปียโนคงไม่รู้สึกว่านานอะไร แต่ที่ริมทะเลไม่มีเปียโนให้เล่น ญาณัชจึงไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งรอเฉยๆ

“เสร็จแล้ว... วินมันชวนคุยยาวไปหน่อย โทษทีนะ” ร่างสูงยิ้มกว้างแล้วยอบกายลงให้อยู่ในระดับเดียวกัน สองหมาไม่ต้องพูดถึง เพราะขนที่ยาวเป็นทุนเดิมทำให้นอนแผ่หอบหายใจแฮ่กๆแต่คนตรงหน้ากลับดูเพลียจัดจนอดทักไม่ได้

“นัทดูไม่ค่อยดีเลย เป็นอะไรหรือเปล่า”

“.....” เจ้าของชื่อเงยหน้าตามคำเรียก นัยน์ตาสีดำดูมีประกายแปลกไปจากทุกที

“.... จะทำอะไรกันต่อเหรอพี่ยุต” ญาณัชถามเสียงเบาก่อนจะรู้สึกปวดที่ระหว่างคิ้วขึ้นมาจนต้องหลับตาลง

“วันนี้คงไม่ทำอะไร พักผ่อนสบายๆดีกว่า หรือนัทว่าไง” มือใหญ่เอื้อมไปลูบหัวเจ้าไส้กรอกเบาๆแต่ดวงตาสีเทาอมเขียวกลับมองอยู่ที่เดิม

“นัทแพ้แดดหรือเปล่า”

“.... ไม่นี่...” ร่างบางตัดสินใจลุกขึ้นก่อนจะรู้สึกว่าทุกอย่างที่มองเห็นนั้นพร่าเลือนไปหมดจนต้องเอื้อมยึดเอาอีกฝ่ายไว้

“นัท!?” เชฟหนุ่มรั้งคนตัวเล็กเข้ามาไว้ในอ้อมกอด พอร่างกายถ่ายทอดอุณหภูมิให้กันถึงได้รู้ว่าความร้อนของผิวหนังนั้นสูงเพียงไร

“ได้ยินที่พี่พูดไหมนัท?”

“... อืม.........” เขาพยายามกระพริบตามอง แต่กลับรู้สึกว่าแสงแดดจ้าเกินไป

“... คงแค่... หน้ามืดเฉยๆ...” มือเรียวยกขึ้นเพื่อบังแสงแดดให้พ้นจากนัยน์ตา

“พี่ยุตอยากเล่นน้ำรึเปล่า...” ความขุ่นมัวที่มีก่อนหน้านี้คล้ายกับจะถูกอ้อมกอดที่อบอุ่นทำให้หายไป ริมฝีปากบางคลี่รอยยิ้มจางๆให้กับร่างสูง

“ไม่เอาหรอก นัทดูไม่ค่อยดี” ทยุตปล่อยคนในอ้อมกอดออกแล้วเอามือแตะหน้าผากเบาๆ

“นัทกลับไปนอนที่ห้องดีกว่าไหม เดินไหวหรือเปล่า.... ขี่หลังพี่ก็ได้นะ” ทยุตย่อตัวลงกับผืนทรายเล็กละเอียด ใบหน้าคมเหลียวหลังพลางพยักหน้าเร่ง

“..........” แม้จะอยากตอบว่าไม่ แต่เด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าร่างกายของตัวเองในตอนนี้ คงจะออกไปอยู่กลางแดดจ้าๆแบบนี้ไม่ได้นานเท่าไหร่

“ไม่ต้องขี่หรอก... นัทเดินไหว.......” เจ้าตัวกลืนคำว่าไม่ใช่เด็กๆแล้วลงไป เพราะเขารู้ดีว่าทยุตเป็นห่วง แต่เขาเองก็ไม่อยากทำตัวให้เป็นภาระขนาดนั้น

“เดินไหวก็ไม่ให้เดิน ไข้แดดมันปุบปับ...เกิดเป็นลมไปจะทำไง?” ทยุตท้วงเสียงเรียบแต่ยังเจือแววอ่อนโยน

ใครใช้ให้เด็กคนนี้เป็นคนชอบคิดมากกัน รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระ แต่เอาเข้าจริงตัวเขาเองก็ไม่เคยรู้สึกว่าญาณัชเป็น จะมีก็เพียงความรู้สึกที่บอกให้ต้องดูแลเป็นพิเศษ... ก็เท่านั้น

“ขึ้นหลังพี่เลย อย่าดื้อนะ”

“.........” ร่างบอบบางยอมทำตามคำพูดของอีกฝ่าย ญาณัชพาดแขนสองข้างผ่านลาดไหล่กว้างก่อนจะเอ่ยเบาๆที่ริมหูของชายหนุ่ม

“พี่ยุตชอบทำเหมือนนัทเป็นเด็กๆเลย....”

“ก็ถ้าเทียบกับพี่นัทก็ยังเด็กอยู่จริงๆนี่” ลมทะเลพัดปลายผมยาวของคนที่อยู่บนหลังย้อนกลับมาระใบหน้าชายหนุ่ม ทยุตลอบดมกลิ่นแชมพูหอมหวาน ผิวกายร้อนผ่าวที่ทาบทับบนแผ่นหลังสร้างความรู้สึกแปลกใหม่อันชัดเจน

ทั้งที่เมื่อก่อนคิดว่าเป็นแค่เด็กขี้โรค...แต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัวตนของญาณัชกลับชัดเจนในหัวใจขึ้นเรื่อยๆ

อาจจะเร็วไปที่จะเรียกว่ารัก แต่ ณ ตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สัมผัสได้มันเกินกว่าคำว่าชอบ

“เดี๋ยวกลับไปอาบน้ำก่อนนะ ตัวเหนียวๆเดี๋ยวนอนไม่สบาย”








“.... ต้องนอนด้วยเหรอ?” ญาณัชเอ่ยถามขึ้นทันทีที่เปิดประตูห้องน้ำออกมา เสื้อยืดแขนยาวสีส้มอ่อนที่สวมทับร่างกายยิ่งทำให้เด็กหนุ่มดูตัวเล็กกว่าเดิม ปลายผมยาวที่เก็บไม่หมดยังเปียกชื้นอยู่ นัยน์ตาสีเข้มมองหน้าทยุตเพื่อรอคำตอบ

“ถ้าไม่นอนเดี๋ยวป่วยหนัก ทีนี้จะพากลับบ้านเลย...ไม่ต้องเที่ยวแล้วทะเลน่ะ” เชฟหนุ่มที่กำลังสางขนยุ่งๆของเจ้าสองตัวพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง

“ลูกชิ้น อย่าดิ้น” มีที่ไหนจะเชื่อ ชิวาว่าตัวน้อยกระโดดผลุงจากมือใหญ่วิ่งหน้าเริ่ดเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ทันที

ทยุตส่ายหน้าระอาใจ เขาเงยหน้ามองญาณัชช้าๆกะจะบ่นเรื่องความดื้อของชิวาว่าสายพันธุ์ลิง

...ความรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว....

จะบอกว่าสวยก็ไม่ใช่ มองยังไงก็เป็นแค่เด็กที่ไม่ค่อยโต....แต่ถึงอย่างนั้น...ดวงตาสีเทาอมเขียวกลับละสายตาไม่ได้เลย

...น่ารัก...ทันทีที่คำนี้ผุดขึ้นมา ในสมองก็แวบคิดถึงความรู้สึกคลุมเครือที่แม้แต่ตัวเองยังไม่เข้าใจเท่าไหน่

...และมันก็ได้กระจ่างแจ้งแล้ว.....

“น่ารักจัง.... เอ่อ.... พี่หมายถึงชุดนอนน่ะนะ” บ้าเอ๊ย!! เชฟหนุ่มแทบกัดปากตัวเองเมื่อหลุดความคิดในหัวออกไป

“หือ?” ร่างบางก้มลงมองตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันก่อนจะเอ่ยถามต่อ

“... อืม... นัทไม่รู้หรอก ไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าเองตั้งนานแล้ว... แบบนี้เรียกว่าน่ารักเหรอ” มือเรียวสางผมที่ปรกหน้าไปทัดกับใบหูก่อนจะเอื้อมหยิบเอาผ้าขนหนูผืนเล็กที่พาดไว้กับโต๊ะตัวเล็กมาซับปลายผมของตัวเอง

“ถ้าสำหรับผู้ชายก็น่ารักละนะ” ทยุตงึมงำตอบ... ไม่สามารถพูดได้หรอกว่าน่ารักจนอยากจะดึงมากอดตอนนี้เลย

“ผมเปียกอีกแล้ว ทำไมไม่เป่าผมก่อน เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก” มือใหญ่เอื้อมไปจับปลายผมเปียกชื้น สัมผัสเย็นๆนั้นทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก

“รีบเป่าผมแล้วนอนเลย อยากกินอะไรไหมเดี๋ยวพี่ออกไปซื้อที่ร้านมา น่าเสียดาย... ที่นี่ไม่มีครัว” เชฟหนุ่มบ่นตามประสาคนชอบทำอาหาร บ้านพักน่ารักอยู่หรอก แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้น่าจะมีห้องครัวไว้หน่อย

“โฮ่ง” คนตอบไม่ใช่เด็กหนุ่มผมยาวหากแต่เป็นเสียงใหญ่ๆของไส้กรอกพันธุ์หมาที่นอนหงายยกขาทำท่าว่าลูบท้องหนูหน่อยสิอยู่

“ยังไม่นอนไม่ได้เหรอ... กินอะไรกันก่อนก็ได้...” ไม่ใช่ว่าหิวแล้วหรืออะไร แต่เป็นเพราะว่าเขายังไม่อยากนอน มาเที่ยวกันแบบนี้ ญาณัชอยากจะใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกับทยุตให้มากกว่าที่เคย

...อยากสนิทกันมากกว่านี้

“ไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอกนะ แต่อย่างน้อยก็งีบรอตอนพี่ไปซื้อของก็ยังดี” เชฟหนุ่มคว้าผ้าเช็ดตัวของตนที่ยังแห้งส่งให้

“เอาของพี่ไปเช็ดก่อน ของเราเปียกแล้ว เช็ดหัวให้แห้งล่ะ ถ้าเช็ดไม่ดีจะให้ไส้กรอกมันนอนทับ” เย้าอย่างอารมณ์ดีพลางตบสะโพกโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่กระดิกหางยิกๆ

“นัทมีอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษไหม เมื่อกี้นัทยังไม่ตอบพี่เลยนะ”

“.... ต้มยำทะเลน้ำข้นไม่ใส่ปลา... กับไข่เจียวกุ้งสับไม่ใส่ผักก็ได้” ร่างบางพูดผ่านผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ที่ขยุ้มไปมาอยู่บนหัว ญาณัชเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงอีกครั้ง

“พี่ยุตจะออกไปซื้อเหรอ?”

“อื้อ...” ชายหนุ่มขยับตัวพลางกระดิกนิ้วเรียกไส้กรอกซึ่งทำเมินนอนเอาคางเกยขาหน้าอย่างเบื่อๆ

“ไปเป็นเพื่อนกันหน่อยสิไอ้หมาขี้เกียจ”

ทยุตหัวเราะ ร่างสูงลงไปคลุกตัวปล้ำกอดเจ้าตัวใหญ่พักนึงก่อนที่ทั้งคนทั้งหมาต่างก็แยกกันนอนแผ่บนพื้น

“โอย..เหนื่อยจัง” ดวงตาสีแปลกพราวระยับ เชฟหนุ่มผุดนั่งแล้วยิ้มกว้างให้ญาณัช

“โทษทีนะ จะออกไปซื้อเดี๋ยวนี้แหละ”

“นัทไปด้วยสิพี่ยุต” ร่างบางดึงผ้าเช็ดตัวออกจากศีรษะของตน เรือนผมสีดำดูยุ่งเหยิงกว่าทุกที แต่ญาณัชก็ทำเพียงยกมือขึ้นสางแบบลวกๆเท่านั้น เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงทว่าทันทีที่เท้าแตะลงถึงพื้น เขากลับรู้สึกเหมือนโลกหมุนได้จนต้องเอื้อมมือคว้าเอาต้นแขนของทยุตไว้

...เสร็จกัน

เขารู้ดีว่าลองเป็นแบบนี้ ทยุตต้องไม่ยอมให้เขาไปด้วยแน่ๆ แต่ญาณัชก็ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองเชฟหนุ่มก่อนจะยิ้มจางๆ

“นะ...”

“.........................” ไม่กล้าพูดหรอกอะไรที่จะทำให้รอยยิ้มและแววตาคู่นั้นแปรเปลี่ยน ทยุตรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะอ้อนแต่คนที่โดนกระทำกลับรู้สึก ‘ถูกอ้อน’ อย่างห้ามไม่ได้

“พี่ว่า...นัทพักผ่อนดีกว่านะ จะได้มีแรงไปเที่ยวไง” ดวงตาที่จ้องอย่างมีความหวังสลดลงเล็กน้อย ใบหน้าของเด็กหนุ่มก้มลงแต่ก็ยังไม่ละความหวัง

ทยุตรู้อีกแหละว่าการกระทำของญาณัชมันเป็นไปตามธรรมชาติโดยที่ไม่ได้แกล้งกระทำ

...แต่มันโดนเข้าเต็มๆ...

“อย่าดื้อสินัท นะ..รอพี่อยู่นี่แหละ”

“............ ก็ได้” ญาณัชรับคำแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆเดินกลับมาที่เตียงนอนแล้วปีนขึ้นไปนั่งขัดสมาธิ บนใบหน้าของเขาดูจะมีร่องรอยของการถูกขัดใจเล็กน้อย แต่เด็กหนุ่มก็ยังเอ่ยพูดต่อ

“... มาช้านัทหลับไปก่อนไม่รู้ด้วยนะ”

กิริยาที่ดูราวกับเด็กถูกขัดใจปัดความหวามไหวเมื่อสักครู่ไปเสียสิ้น ทยุตยิ้มขำกับท่าทาง ‘งอน’ ของญาณัชแต่ก็ไม่กล้าหัวเราะออกมาเราะกลัวจะ ‘ถูกงอน’ ไปมากกว่านี้

“หลับก็ไม่ว่าหรอก พี่ก็อยากให้นัทหลับอยู่แล้ว” นัยน์ตาสีดำที่หรี่ลงของคนบนเตียงยิ่งทำให้ทยุตรู้สึกดีที่สามารถเรียกความรู้สึกอันหลากหลายของคนที่เคยเอาแต่เก็บอารมณ์ได้

“....งอนพี่เหรอครับ....” แก้มขาวขึ้นสีชมพูเรื่อจนอยากจะเข้าไปหยิกให้หายหมั่นเขี้ยว

“ไว้กลับมาเมื่อไหร่ต้องหายงอนนะ”








To be continued...





kagehana : เอาความหวานมาถมใส่ทะเล

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ความรู้สึกมันเริ่มชัดเจนแล้ว

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
สนุกมากคะ
น้องนัทน่าสงสารจัง

ออฟไลน์ สายลมที่หวังดี

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 508
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
ความรักเริ่มก่อตัวแล้วสินะ พี่ยุตดูแลน้องนัทด้วยนะ น้องนัทน่าสงสาร

ออฟไลน์ riangkarn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อยากบอกว่า อ่านมารวดเดียวเลยค่ะ
สนุกอะไรอย่างนี้
ภาษามันละมุนดีนะคะ ทำให้เรื่องมันกลมกล่อมมากเลย
ยังไงก็ รอที่จะอ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
น่ารัก
หลงทั้งน้องนัก ไส้กรอก เเละลูกชิ้น

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด