ตอนที่ 18
เรื่องรูปของโปเต้ที่อลันเอาลงโลกโซเชี่ยล กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมาก ณ ตอนนี้ ยอดไลค์และคอมเม้นต์เข้ามามาก และส่วนมากจะเป็นผู้หญิงและเพศที่สามทั้งนั้นเลย แถมตอนนี้ในคณะ บางทีโปเต้ยังโดนตามถ่ายรูปจนเจ้าตัวเกิดอาการฟิวด์ขาดไล่ตะเพิดคนพวกนั้นไปเลยเหมือนกัน
“.....” และไอ้คนที่พึ่งจะตวาดด่าคนไปเมื่อกี้ ก็กำลังนั่งกินเยลลี่แก้เซ็งอยู่
“ไอ้ภัทรแม่งดังกว่าแต่ก่อนอีกว่ะ แม่งมีสโตกเกอร์ด้วย” เซย์ว่าอย่างยิ้มๆ
“สนุกมั้ย?” โปเต้ถามเสียงเรียบ แต่แววตาน่ากลัวใช้ได้
“มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” เซย์ลากเสียงยาวอย่างจงใจกวนประสาท โปเต้ส่ายหน้าหน่อยๆก่อนจะหันไปกินเยลลี่ต่อ
ตอนนี้เราอยู่ที่มหาลัยกัน นั่งรอเวลาเรียน จินกับเซย์ที่กินเหล้าจนเมาแอ๋ก็ยังอุตส่าห์มาเรียน ทั้งที่วันนี้น่าจะหยุด เห็นเซย์บอกว่า จะมาดูกระแสตอบรับรูปของโปเต้ ดูท่าทางว่าจะเป็นเอามาก
“มาแล้ว ...อ่ะ เอาไป” จีน่ากับนิดาที่ไปซื้อของกินกลับมาพร้อมส่งเสียงบอก ก่อนที่จีน่าจะยื่นข้าวที่ผมฝากซื้อมาให้
“แลนด์กับหลุยส์ล่ะ” ผมถาม
“นั่งเฝ้าดินน่ะ ไอ้แลนด์มันไปลากดินมากินข้าวด้วย แล้วดินมันยังกินไม่เสร็จ พวกกูที่กินเสร็จแล้วกลัวพวกมึงหิวก็เลยมาก่อน” นิดาว่าก่อนจะยื่นข้าวกล่องไปให้เซย์กับจิน
“.....” ผมรับมาก่อนจะหยิบของตัวเองออกมากล่องนึง แล้วยื่นอีกสองกล่องไปให้โปเต้ เรายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกันเลย เพราะมีแต่คนมามองมาถ่ายรูปจนโปเต้หงุดหงิดแล้วตวาดคนพวกนั้นไปนั่นแหละ โปเต้เลยเลือกที่จะไม่ไปไหนเลย ผม เซย์ และจินเลยนั่งอยู่เป็นเพื่อนเขา ส่วนพวกเพื่อนๆผมก็ไปกินข้าวและจะซื้อข้าวมาให้พวกผมแทน
“.....” ผมกินข้าวไปอย่างเงียบๆ ส่วนโปเต้ที่กินเยลลี่รองท้องไปหลายชิ้น ก็ลงมือกินข้าวแล้วเหมือนกัน และแน่นอนว่าข้าวสองกล่องมันไม่ใช่ปัญหาสำหรับโปเต้ เพราะต่อให้เขากินมันจนหมด เขาก็ยังสามารถกินได้อีกเรื่อยๆ
ผมกินไปได้ครึ่งกล่องก็ทำท่าจะปิดกล่องข้าว คือมันก็ยังไม่ถึงขั้นอิ่มหรอก แต่ผมอยากกินขนมด้วย เลยกินข้าวแค่นี้ เพราะกระเพาะผมไม่ได้เป็นหลุดดำแบบโปเต้ ถึงจะยัดอะไรลงไปได้หมด ถ้าทำแบบนั้นผมก็อ้วกแตกตายพอดี
“อิ่มแล้วเหรอ” โปเต้หันมาถามผม
“ยัง”
“แล้ว...”
“จะกินขนมกับจีน่า” ผมบอกเขา ก็ผมชอบกินนี่นา เห็นจีน่ามันนั่งกินล่อหน้าล่อตาแล้วมันก็อยากกิน
“กินข้าวให้อิ่มก่อน” โปเต้ว่าเสียงเรียบ
“แต่ผมอยากกินขนม” ผมยังคงยืนยันความต้องการของตัวเองต่อไป
“ติณณ์ ที่ห้ามเพราะเป็นห่วงนะ” โปเต้หยุดกินแล้วหันมาบอกด้วยสีหน้าจริงจัง
“...เข้าใจแล้ว” ผมได้แต่ยอมแล้วกินข้าวของตัวเองให้หมด ไม่ใช่ทำไปเพราะจำยอมหรือประชด แต่จะไม่ให้ทำแบบนี้ได้ยังไงล่ะ ก็ไอ้คนพูดน้อยมันเล่นพูดมาซะแบบนี้ เขินนะ แต่ไม่อยากแสดงออก
จนกระทั่งพวกผมกินข้าวเสร็จ ก็ใกล้จะถึงเวลาขึ้นเรียนพอ พวกเราทั้งหมดเลยเรื่องที่จะขึ้นไปนั่งรอกันบนห้องครับ โดยที่ไม่รอแลนด์กับหลุยส์ ผมว่าแลนด์มันต้องชอบดินแน่ๆเลย แต่มันซึน เอาแต่บอกว่าเป็นเพื่อนๆ
ผมว่าถ้ามันปากแข็งแบบนี้มากๆ อีกฝ่ายก็คงจะเกิดอาการอยากเป็นเพื่อนขึ้นมาจริงๆซะล่ะมั้ง
“ติณณ์ อันไหนสวย” โปเต้ที่นั่งข้างๆผมเอ่ยถาม ก่อนที่จะยื่นโทรศัพท์ของนิดามาให้ผมดู มันเป็นร้านค้าในอินสตาร์แกรมน่ะครับ โปเต้คงไปยื่นโทรศัพท์นิดามาเปิดดู (อินสตาร์แกรมโปเต้เขาก็มีนะครับ แต่ติดตามแค่หมู่เพื่อนเท่านั้น)
เขาให้ผมดูสายรัดข้อมือที่มันเป็นหนังน่ะครับ บางอันก็ดูเท่ๆดี บางอันก็ดีวินเทจดี
“ก็สวยทั้งนั้นแหละ อยากได้เหรอ” ผมตอบก่อนจะถามกลับ
“อืม อยาก” โปเต้ตอบก่อนจะเลื่อนดูไปเรื่อยๆ
“จะซื้อจากในนี้เหรอ” ผมถามย้ำอีกครั้ง
“ก็ถ้ามันสวยถูกใจน่ะนะ”
“ผมว่าไปที่ร้านเลยไม่ดีกว่าเหรอ เผื่อสังมาแล้วมันใส่ไม่ได้” ผมบอกเขา เพราะโปเต้เป็นคนตัวใหญ่ ข้อมือก็ใหญ่มาก คราวที่แล้วก็สั่งมา แต่กลับใส่ไม่ได้ จนผมได้อนิสงค์มาใส่เองครับ บังเอิญมันพอดีข้อมือผม
“วันนี้พาไปหน่อย” โปเต้เงยหน้าขึ้นมาบอกผมอย่างกระตือรือร้น
“พูดเหมือนผมเป็นคนขับรถเน๊าะ นายจะไปไหนผมก็ไปด้วยอยู่ดีนั้นแหละ” ผมตอบก่อนจะยิ้มให้นิดนึง เวลาเขาจะให้ผมไปไหนด้วยกัน ผมก็ไม่เห็นจะเคยขัดเขาสักที
“หึๆ” โปเต้หัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะส่งโทรศัพท์กลับคืนไปให้นิดา
“.....”
“.....” แล้วโปเต้ก็เอื้อมมือมาเล่นมือผม เขาเล่นข้างที่ผมใส่แหวนไว้ นั่งเล่นไปอมยิ้มไป ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดอะไรอยู่ แต่ดูโรคจิตแปลกๆ
แต่ก็ช่างเหอะ มีความสุขก็ทำไป
ผมนั่งมองไป ดูดนมสดปั่นในมือไป ตอนนี้ผมกับโปเต้อยู่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งโปเต้ก็กำลังเลือกสายรัดข้อมืออยู่ ส่วนผมก็นั่งรออยู่ในร้านนั่นแหละ ยังดีที่ร้านนี้จัดเก้าอี้ไว้ให้ลูกค้านั่งด้วย ตัวเจ้าของร้านก็สุภาพดี แม้ว่าแขนทั้งสองข้างจะมีแต่รอยสัก แถมยังไว้หนวด แต่ด้วยความที่เป็นคนรูปร่างดี และหน้าตาดี มันเลยไม่ทำให้ภาพพี่เขาดูติดลบไป ออกจะเท่ด้วยซ้ำนะผมว่า
“เส้นนี้เท่าไหร่ครับพี่” โปเต้ถามพลางชูสร้อยข้อมือเส้นเล็กๆถามพี่เขา มันเป็นเหมือนโซ่เงินน่ะครับ สวยดีนะผมว่า
“สองร้อยห้าสิบน่ะน้อง แก้ไซด์ได้นะ จะเอายาวขึ้นหรือว่าสั้นลงก็ได้” พี่เขารีบขายของทันทีเลย
“...ติณณ์” โปเต้พยักหน้ากับคำพูดของพี่เขา ก่อนจะหันมาเรียกผม เหมือนจะให้เดินไปหา
“.....” ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปหาโปเต้ โดยทิ้งแก้วน้ำไว้ตรงเก้าอี้ก่อน
“.....” ผมมองหน้าโปเต้ประมาณว่าเรียกทำไม
“เอามั้ย” โปเต้ถามก่อนจะยื่นสร้อยข้อมือที่เขาถืออยู่มาให้ผมดู
“ก็สวยดี” ผมตอบเขาไป
“ผมถามว่าเอามั้ย” โปเต้ถามย้ำอีกรอบ
“จะเข้ากับผมเหรอ” ผมถามอย่างไม่ค่อยมั่น ปกติไม่ค่อยได้ใส่อะไรพวกนี้หรอก เพราะไม่ค่อยได้ไปไหน ตอนอยู่หอก็สิงอยู่ที่หออย่างเดียว จะมาเที่ยวบ่อยก็ตอนเป็นแฟนกับโปเต้นี่แหละ เดี๋ยวก็ชวนไปนู้นไปนี่
“ลองได้มั้ยครับ” โปเต้หันไปถามพี่เจ้าของร้าน
“ตามสบายเลยน้อง แล้วนี่เป็นแฟนกันเหรอ” พี่เขาว่า ก่อนจะถาม แต่สีหน้าพี่เขาดูชิลๆ ไม่ได้จะประชดหรือว่าอะไรเลย ดูเป็นมิตรมากครับ
“ครับ” โปเต้ตอบพี่เขา ก่อนจะหันมาจับมือผมขึ้นมาแล้วใส่สร้อยข้อมือให้ผม คือผมก็เป็นผิวขาวอ่ะนะ พอมาใส่อะไรที่มันเป็นเงินๆมันก็เลยทำให้ดูสว่างมากขึ้น ประมาณว่าช่วยขับผิวอ่ะครับ แถมมันยังพอดีข้อมือผมด้วย
“เฮ้ย ใส่แล้วสวยนะ เข้ามากๆเลย” พี่เจ้าของร้านพูดเชียร์ครับ
“สวยจริง ...ผมเอาสองเส้น” โปเต้หันไปบอกก่อนจะยื่นไปให้พี่เขา
“น้องก็ใส่ด้วยใช่มั้ย มา...เดี๋ยวพี่วัดข้อมือให้” พี่เขาว่าก่อนจะหยิบสร้อยข้อมืออีกเส้นมาทาบที่ข้อมือของโปเต้ ก่อนจะเดินไปที่เคาน์เตอร์ของที่ร้าน
“เดี๋ยวของผมจ่ายเองนะ” ผมบอกกับโปเต้ เพราะตั้งแต่เป็นแฟนกันมา ผมแทบจะไม่เคยต้องจ่ายอะไรเองเลย (เว้นแต่ว่าผมจะไปซื้อของกับพวกแลนด์แล้วซื้อของกินกลับมาฝากเขา อะไรแบบนี้) เวลาผมซื้อของ เขาชอบชิงจ่ายตัดหน้าผม ไม่ก็เวลาบอกว่าจะไปซื้อของมาทำงาน โปเต้ก็ชอบเอาเงินตัวเองมาใส่กระเป๋าสตางค์ผม แล้วหยิบเงินของผมออกไปใส่ในกระปุกออมสินในห้องแทน บางทีไปซื้อของด้วยกันก็ยื่นเงินใส่มือผมเลย แน่นอนว่าผมปฏิเสธทุกครั้ง แล้วก็แพ้สายตาดุๆของเขาทุกครั้งเลย
“ผมจ่ายให้” โปเต้บอกก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์จากกระเป๋ากางเกง
“แต่อันนี้ผมใส่ มันก็กลายเป็นของผม เดี๋ยวผมจ่ายเองดีกว่า” ผมบอกด้วยเหตุผล
“ทำไม”
“ก็มันเป็นของผมไง”
“แล้วทำไมไม่ทำให้มันเป็นของเราล่ะ” โปเต้ว่าก่อนจะยิ้มนิดๆ
“.....” เออครับ...ช่วงนี้ขยันหยอดจริงๆ
“ผมจ่ายนั่นแหละ ดีแล้ว...ติณณ์คนเดียวผมเลี้ยงไหว”
“แต่นายจ่ายทุกอย่างเลยนี่นา ถามจริง...ไปเอาเงินมาจากไหน”
“เงินรายเดือนจากของพ่อ และของแม่ แล้วก็รับจ้างออกแบบให้บริษัทของแม่ แล้วก็เงินปันผลที่เปิดรีสอร์ทที่หัวหินกับพี่ปาร์” โปเต้บอกผมอย่างยิ้มๆ บอกตามตรงว่าผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะเนี่ย
เออ ...โปเต้เขาหาเงินได้ แต่ผมนี่สิ ได้แค่เงินรายเดือนจากพี่ตาลที่ส่งเข้าบัญชีให้ทุกเดือน จากธุรกิจส่วนตัวของพี่ตาล และที่พี่ตาลทำร่วมกับพี่ปาร์ ซึ่งมันก็เป็นสองธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาก
“.....”
“ให้ผมจ่ายนั่นแหละ ไว้ผมจน ติณณ์ก็ค่อยเลี้ยงผม”
“ก็ได้” แล้วผมก็เถียงแพ้เขาอีกจนได้
“อ่ะนี่ สองเส้นพี่ลดให้เหลือสี่ร้อย” พี่เจ้าของร้านที่แก้ไซด์ซ้อนข้อมือของโปเต้เสร็จ ก็ยื่นมาให้โปเต้ลองใส่ดู
“ขอบคุณครับ”
“ว่าแต่น้องชื่ออะไรล่ะ” พี่เจ้าของร้านถามโปเต้
“นภัทร” โปเต้ตอบในขณะที่ใส่สร้อยข้อมือไปด้วย
“พี่ชื่อวิน พี่บอกตามตรงว่าพี่ถูกชะตาเอ็งว่ะ ดูนิ่งๆขรึมๆ ไม่ค่อยพูดดี แต่มีเสน่ห์มาก” พี่เขาพูดพลางมองหน้าโปเต้ และสรรพนามที่ใช้เรียกก็เปลี่ยน ราวกลับทำให้ดุสนิทขึ้น แต่...ถูกชะตานี่หมายถึงลักษณะไหนว่ะ
“.....” และโปเต้ก็คงจะสงสัยเหมือนผมเพราะเขาเงยหน้าขึ้นมามองพี่เขาทันที
“เฮ้ย ทำไมมองกันแบบนั้น พี่หมายถึงแบบ...ยังไงดีว่ะ ดูแลน่าจะคุยกันได้ไรงี้ ไม่ใช่เชิงชู้สาวนะเว้ย” พี่เขารีบแก้ตัว แต่หัวเราะไปด้วย
“.....” โปเต้พยักหน้าประมาณว่าเข้าใจ
“เอ้อ...เอ็งมีไลน์มั้ยนภัทร เอาไว้ของใหม่ลง หรือว่าพี่คิดแบบใหม่ได้ จะส่งให้เอ็งดูเป็นคนแรกเลย” พี่เขาว่า ซึ่งดูก็รู้ไม่น่าจะจีบโปเต้อะไรหรอก ดูเหมือนว่าพี่เขาจะถูกชะตาโปเต้จริงๆ
“ครับ” โปเต้ว่า ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ตัวเองไปให้พี่วิน (ขอเรียกพี่เขาแบบนี้ก็แล้วกัน)
“ดูท่าว่าเอ็งจะชอบของแบบนี้ใช่มั้ยว่ะนภัทร” พี่วินคุยกับโปเต้ในขณะที่กำลังแอดไลน์
“สนใจเสื้อป่าว เนี่ยแฮนด์เมท ส่วนลายนี่พี่คิดเอง ลองดูก่อนมั้ยล่ะ” พี่เขาว่าก่อนจะยื่นโทรศัพท์คืนไปให้โปเต้ ก่อนจะชี้ไปยังอีกมุมนึงของร้านที่มีพวกเสื้อผ้ากางเกง กระเป๋ารองเท้าอะไรอย่างงี้
“ครับ ...เดี๋ยวไปดูเสื้อก่อน” โปเต้ตอบพี่วิน ก่อนจะหันหน้ามาบอกผม แล้วเดินไปดูเสื้อของร้านนี้
“เอ็งชื่อติณณ์หรอว่ะ” พี่วินหันมาถามผม
“ครับ” ผมตอบพี่เขา ก่อนจะหยิบพวงกุญแจที่มันเป็นแฮนด์เมทที่อยู่บนเคาน์เตอร์มาดู ...สวยดีว่ะ
“ยังเรียนอยู่หนิ คณะอะไรล่ะ” พี่วินเริ่มชวนผมคุย
“สถาปัตย์ครับ ...อันนี้เท่าไหร่” ผมตอบ ก่อนจะถามถึงราคาพวงกุญแจ
“ร้อยห้าสิบ ...เรียนสถาปัตย์ แปลว่าชอบออกแบบอ่ะดิ”
“ครับ”
“ทั้งสองคนเลยใช่ป่ะ”
“แล้วเมื่อกี้เห็นนภัทรมันพูดว่ารับจ้างออกแบบด้วยใช่ป่ะ”
“ครับ รับจ้างออกแบบให้บริษัทแม่ของเขาน่ะ” ผมตอบก่อนจะวางพวงกุญแจรวมกับสร้อยข้อมือสองเส้นที่พวกผมจะซื้อ
“แล้วพวกสถาปัตย์นี่ออกแบบพวกสินค้า หรือผลิตภัณฑ์อะไรด้วยป่ะว่ะ”
“พวกผมเรียนออกแบบภายใน”
“อ๋อ โทษที พอดีพี่จบศิลปกรรมมาน่ะ ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับคณะอื่นหรอก แต่พวกเอ็งก็มีหัวศิลป์เหมือนกันสินะ ชอบออกแบบใช่ป่ะ” พี่วินถาม ส่วนมือพี่เขาก็กำลังทำสายรัดข้อมืออยู่ ดูเหมือนว่าของในร้านทั้งหมดนี่ พี่วินน่าจะเป็นคนทำน่ะ แม่งเจ๋งดีว่ะ
“ครับ”
“ถ้าพี่จะจ้างให้มาออกแบบของในร้านนี่ จะรับงานป่ะ” พี่วินถามผม
“จะดีเหรอพี่”
“เออดิ เนี่ย...ลูกค้าแม่งเริ่มบ่นพี่ล่ะ ว่าของให้ร้านมีแต่แนวเดิมๆ ก็พี่เป็นคนออกแบบใช่มั้ยล่ะ พี่ก็ชอบสไตล์นี้ สไตล์อื่นพี่คิดไม่ออก จะไปหาจ้างใคร พี่ก็ไม่รู้ว่าจะยังไง เพื่อนพี่ที่เปิดร้านแบบพี่มันก็มี แต่จะให้มันช่วยเดี๋ยวมันจะซ้ำกับของในร้านมัน ส่วนคนอื่นแม่งก็ธุรกิจรัดตัวจริง แค่งานของพวกมันพี่ก้ว่าก็หนักมากแล้ว ก็พวกมันเล่นชิ้งแต่งงานกันหมด จนต้องหาเงินเลี้ยงทั้งลูกเลี้ยงทั้งเมีย ไหนจะตัวเองอีก แล้วยังต้องส่งเงินให้ที่บ้านอีก พี่ก็ไม่อยากจะไปรบกวนมัน เพราะแค่พี่เอ่ยบอก มันต้องยอมช่วยพี่แน่นอน แล้วทีนี้พวกมันแม่งก็จะไม่มีเวลาพักน่ะ” พี่วินเล่าให้ผมฟังราวกับเราสนิทกันมาก ทั้งที่ความจริง พึ่งจะรู้จักชื่อของกันและกันเมื่อกี้นี่เอง
“ให้ออกแบบพวกอะไรล่ะพี่” ผมถามพี่วิน ซึ่งตัวผมเองก็ดีเหมือนกัน ถ้าได้ทำงาน จะได้มีเงินเก็บเยอะขึ้น ไม่อยากจะรบกวนพี่ตาลมาก
“ก็เนี่ย...ของขายในร้านนี่แหละ เอ็งก็ดูว่ามันมีแต่แนวๆเดียวกันใช่ป่ะ แล้วตอนนี้ลูกค้าส่วนใหญ่ก็อยากได้แบบ...ที่มันคนละสไตล์ที่พี่ออกแบบว่ะ แต่เอาแบบที่ว่า ...ใส่แล้วมันแมชกับของเดิมด้วย ...พี่คิดว่ามันก็ดี มันอาจจะช่วยเรียกลูกค้าหน้าใหม่เข้าร้านได้บ้าง”
“แต่ผมไม่ได้เรียนออกแบบผลิตภัณฑ์นะพี่ ถ้าผมทำงานพี่เสียล่ะ”
“เฮ้ย ของแบบนี้มันอยู่ที่จิตรนาการเว้ย มันไม่มีขอบเขตอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะเอามาประยุกต์ใช้ยังไงต่างหาก” พี่วินว่าพลางยิ้มขำ
“.....” ผมยังไม่ทันจะพูดอะไร โปเต้ก็เดินกลับมา พร้อมกับเสื้อสองตัว กางเกงสามตัว
“มาพอดีเลย ได้ยินเรื่องที่พี่พูดกับแฟนเอ็งป่ะนภัทร” พี่วินหันไปถามโปเต้
“จ้างออกแบบของ??” โปเต้บอกพี่วิน
“เออ นั่นแหละ ว่าไง เอ็งสนใจด้วยมั้ย...เนี่ย พี่จ้างสองคนเลย” พี่วินว่าอย่างพยายามเต็มที่ เหมือนอยากให้พวกผมรับงานนี่มาก
“ผมไม่มั่นใจหรอก ว่าจะทำได้มั้ย เอาไว้ร่างแบบแล้วส่งให้ในไลน์ล่ะกัน ถูกใจพี่ก็จ้าง ไม่ถูกใจไว้จะแก้งานให้” โปเต้ว่าราวกับต่อรองธุรกิจ
“เออ ก็ดีว่ะ เอ็งแม่ง...เป็นคนตรงดีว่ะ เนี่ย...พี่ถูกชะตาคนแบบเอ็งสองคนมากว่ะ คุยถูกคอดี” พี่วินว่าอย่างขำๆ ก่อนจะรับเสื้อกับกางเกงจากมือโปเต้มาใส่ถุง
“.....” ผมสองคนไม่ได้ตอบอะไร
“สร้อยข้อมือสองเส้น พวงกุญแจสองอัน เสื้อสองตัว กางเกงสามตัว ...ทั้งหมดสองพันแปดห้าสิบ เห็นว่าคุยถูกคอดี พี่ลดให้เหลือสองพันห้าล่ะกัน”
“ขอบคุณครับ” โปเต้เอ่ยขอบคุณพี่วิน ก่อนจะยื่นเงินไปให้พี่เขาสามพัน
“อ่ะ เงินทอน” พี่วินทอนเงินให้โปเต้ ก่อนจะยื่นถุงเสื้อผ้ามาให้ และถุงใบเล็กๆที่ใส่พวงกุญแจครับ ส่วนสร้อยข้อมือที่ซื้อ ผมสองคนหยิบมาใส่เรียบร้อยแล้วครับ
“อีกสองวัน รองเท้าจะเข้าร้าน แน่นอนว่าพี่ออกแบบเอง ไว้จะส่งไปให้ดูในไลน์ แล้วนี่บัตรส่วนลด ถ้าซื้อเกินสองพันบาทขึ้นไป จะได้ส่วนลดสองร้อย ถ้าสามพันก็สามร้อย ถ้ามากกว่านั้นจะมีข้อแถม” พี่วินว่า ก่อนจะยื่นบัตรส่วนลดไปให้โปเต้
“ครับ”
“เออ ไว้ว่างๆจะโทร.ชวนไปกินข้าว” พี่วินว่าอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันไปสนใจกันงานของพี่เขาต่อ ส่วนผมสองคนก็เดินออกมาจากร้านครับ
“ไปกินเค้กกัน” โปเต้หันมาชวนผม
“อืม”
โปเต้พาผมมาที่ร้านเค้กที่อยู่ในห้างฯนั่นแหละ ซึ่งเขามาบ่อยมากๆ เนื่องจากเครื่องดื่มที่นี่อร่อย ของหวานก็ถูกปาก มันเลยกลายเป็นร้านประจำของโปเต้ไป
“ติณณ์เอาไร” โปเต้หันมาถาม เมื่อเรานั่งลงที่โต๊ะในร้าน และพนักงานก็มายื่นรอจดเมนู
“ชามะนาวเย็น” ผมตอบโปเต้ เพราะตอนที่ซื้อของร้านพี่วิน ผมก็กินนมสดปั่นไปแก้วนึงล่ะ เฮ้ย...ผมลืมแก้วไว้ในร้านพี่วินนี่หว่า
...ช่างเหอะ ให้พี่วินเก็บไป คิดซะว่าผมลืม (ก็มันลืมจริงๆ)
“เอาชามะนาวเย็น ชาเขียวนมสดปั่น สตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก ฮันนี่โทสต์ พายแอปเปิ้ล สามอย่างนี้กินที่นี่ แล้วก็เอาสตรอเบอร์รี่พานาคอตต้า บราวน์นี่สองชิ้น มาการองสามกล่อง (ที่นี่เขาขายเป็นกล่องครับ กล่องละห้าชิ้น) เครปเค้กหนึ่งชิ้น ชูครีมสองชิ้น แล้วก็พุดดิ้งสามชิ้น ...กลับบ้าน” โปเต้ยาวเยียด จนพนักงานเร่งจดแบบกลัวจดไม่ทัน
“เอ่อ...ทวนรายการนะค่ะ ที่ทานที่นี่ก็มีชามะนาวเย็น ชาเขียวนมสดปั่น สตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก ฮันนี่โทสต์ แล้วก็พายแอปเปิ้ล แล้วที่เอากลับบ้านก็มีสตรอเบอร์รี่พานาคอตต้าหนึ่งชิ้น บราวน์นี่สองชิ้น มาการองสามกล่อง ชูครีมสองชิ้น แล้วก็พุดดิ้งสามชิ้นนะคะ” พนักงานเอ่ยทวนรายการ
“เครปเค้กด้วยหนึ่งชิ้น” โปเต้เอ่ยบอก เมื่อพนักงานไม่ได้ทวนชื่อรายการนี้
“อ๋อ ค่ะๆ” พนักงานรีบจดเพิ่มทันที ก่อนจะเดินไป
“วันนี้ใช้เงินเก่งนะ” ผมเอ่ยบอกเขา แม้ว่าในแต่ละเดือน (น่าจะ) มีเงินเข้าบัญชีเขามาเยอะ แต่ผมก็ไม่อยากให้เขาใช้เงินเยอะๆแบบนี้บ่อยอ่ะ เดี๋ยวเขาจะใช้เพลินจนลืมเก็บ
“นานๆทีน่ะ” โปเต้ตอบผมเสียงเรียบ
“ถ้าเรื่องซื้อเสื้อผ้าหรือพวกของที่ซื้อจากร้านพี่วินวันนี้น่ะ ไม่เถียง ...แต่ไอ้เรื่องของกินเนี่ย ซื้อเยอะไปนะผมว่า...” ผมบอกเขา เพราะเขาหมดเงินไปกับร้านเบเกอรี่ วันนึงก็ไม่ต่ำกว่าสามร้อยอ่ะ
“ก็ผมชอบ” โปเต้ตอบพลางเบะปากนิดๆ มันดูน่ารักและน่าเตะไปในเวลาเดียวกัน
“ไว้ผมทำให้กินเอามั้ย” ผมเสนอ เพราะไอ้ของพวกนี้ ผมก็พอทำเป็นอยู่บ้าน เพราะตอนเด็กเคยช่วยพี่ตาลทำทุกวัน หลังกลับจากโรงเรียน ตอนที่เราสองพี่น้องยังลำบากกันอยู่ ยังไม่ได้มีกินมีใช้อย่างทุกวันนี้ ตอนนี้พี่ตาลทำขนมส่งไปขายที่ร้านเบเกอรี่ในหมาลัยตัวเอง
“ทำเป็น?”
“อืม” ผมว่าทำเองมันน่าจะถูกกว่าซื้อเขากินอ่ะ
“เอาอย่างงั้นก็ได้ วันหลังนะ วันนี้สั่งเขาไปแล้ว”
“อืม แต่คงจะทำให้หลายๆอย่างไม่ไหวหรอกนะ อยากมากก็อย่างสองอย่างอ่ะ” ผมบอกเขา เพราะถ้าผมคนเดียวเป็นคนทำ มันก็ต้องใช้เวลาอยู่เหมือนกัน
“ครับ” โปเต้ว่าก่อนจะยิ้มให้ผม
....ช่วงนี้นี่ยิ้มบ่อยเหลือเกินนะ
พอกลับมาถึงบ้าน พวกผมก็ขึ้นห้องไปนอนแผ่อยู่บนเตียงเลยครับ รู้สึกว่าเดินเยอะมาก จนเริ่มปวดขาล่ะ
“โปเต้ ไปอาบน้ำก่อน” ผมบอกโปเต้ที่นอนอยู่ข้างๆกัน ทั้งที่ผมยังหลับตาอยู่
“ติณณ์ก่อนเลย”
“โปเต้นั่นแหละ”
“ติณณ์ก่อน”
“เอ๊ะ...” ผมส่งเสียงอย่างขัดใจหน่อยๆ ลืมตาแล้วหันไปมองหน้าเขา ที่มองมาทางผมอยู่ก่อนแล้ว
“หรือจะอาบด้วยกัน” โปเต้ถามก่อนจะยิ้มนิดๆ
“ไม่” แน่นอนว่าผมปฏิเสธ เกิดมายังไม่เคยอาบน้ำกับใครเลย
“ทำไมล่ะ...” โปเต้ถามแบบลากเสียงยาวในตอนท้าย ก่อนจะพลิกตัวมานอนทับผม
“จะอาบก็อาบคนเดียวสิ” ผมตอบพลางเบี่ยงหน้าหลบปากโปเต้ที่กำลังก้มลงมาจูบผม ทำให้เขาพลาดไปจูบแก้มผมแทน แต่โปเต้ไม่หยุดแค่นั้น เพราะเขากัดแก้มผมเบาๆซ้ำๆ จนผมรู้สึกจั๊กจี้
“โปเต้...อย่า จั๊กจี้” ผมเอ่ยบอก แต่เขาไม่ยอมหยุด ผมเลิกใช้มือกำเส้นผมของโปเต้ แล้วจิกเขาขึ้นมาเลย
“โหย...เดี๋ยวนี้จิกหัวเลยเหรอ” โปเต้ว่าก่อนจะจับข้อมือผมที่จิกหัวเขาอยู่นั้นออก ก่อนจะกดข้อมือทั้งสองข้างของผมลงบนเตียง
“ปล่อยผม แล้วไปอาบน้ำได้แล้วววววว” ผมส่งเสียงพร้อมทั้งบิดข้อมือไปด้วย แต่ทำได้ยังมันก็ไม่หลุดอ่ะ
“ม่ายยยยย” โปเต้ลากเสียงยาวตามผมปาก ก่อนจะก้มลองมาประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากของผม ก่อนจะค่อยๆ บดเบียดมันให้แนบชิดกว่าเดิม ลิ้นร้อนๆค่อยๆแตะที่ริมฝีปากผมเบาๆ ราวกลับขออนุญาต และมันก็ทำสำเร็จ จนตอนนี้ได้เข้ามาสำรวจในปากของผม โปเต้บดจูบและเกี่ยวตวัดลิ้นจนเรี่ยวแรงผมหายไปหมด
“แฮ่กๆ” นั่นคือเสียงหอบของผม หลังจากที่โปเต้ถอดถอนปากตัวเองออกจากปากของผม
“.....” โปเต้ยิ้มนิดก่อนจะพรมจูบไปทั่วใบหน้าของผม
“พอแล้ว” ผมบอกเสียงอ่อน
“หึๆ ...ไปอาบน้ำก่อนนะ” โปเต้กระซิบบอกผม ก่อนจะลุกขึ้น แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ทิ้งผมให้นอนหอบแหกๆอยู่คนเดียว
แต่ว่า...ความรู้สึกอุ่นๆ ที่ริมฝีปาก มันยังคงอยู่
“.....” ผมยกมือขึ้นแตะปากตัวเองเบาๆ
และนั่น...ทำให้ผมยิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัว ...ไอ้บ้า ชอบมาทำให้เขิน -////-
*********************************************************************
FANPAGE
Twitter พึ่งเล่น ไปฟอลโล่กันหน่อยยยยยยย
นี่แหละ...ที่เขาเรียกว่า 'ความรัก'
เผลอใจ 'รัก' ไปซะแล้ว
ถ้ามันเรียกว่ารัก...อืม รักก็ได้