At the beginning of the end ❆Story by Lavender’s blue
บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของคนข้างกาย ป้ายรถประจำทางภายในมหาวิทยาลัยข้างสระน้ำขนาดใหญ่ยามนี้ปราศจากผู้คนต่างจากช่วงเวลากลางวันสถานที่แห่งนี้มักเต็มไปด้วยเสียงจอแจของเหล่านักศึกษาชายหญิงที่มาคอยรถโดยสารเพื่อไปยังอาคารเรียนต่างๆ
โทรศัพท์มือถือบอกเวลาสามทุ่มกว่า แสงสว่างจากเสาไฟสีนวลเผยให้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งผมสีดำสนิทในทรงตามสมัยนิยมแผ่นหลังกว้างในเสื้อเชิ้ตสีขาวปล่อยชายเสื้อออกมาด้านนอกคลุมสะโพก ต่ำลงมาเป็นช่วงขาเพรียวยาวในกางเกงแสลคสีดำ เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นเป็นจังหวะยามก้าวเดิน
เขาหลุบสายตาจากกายของคนด้านหน้า ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองมาที่มือของตนเองซึ่งขณะนี้ถูกเกาะกุมไว้จนอุ่น ฝ่ามือหนาที่จับอยู่ไม่แน่นไม่หลวมหากบิดข้อมือปฏิเสธคงทำได้โดยง่าย แต่ก็เลือกที่จะไม่ทำ เพราะอะไรนะ
“เมื่อยหรือเปล่า” คนที่เดินนำอยู่ราฝีเท้าลงมาเดินเคียงกัน พอถามจบก็ส่งยิ้มอวดลักยิ้มสวยอย่างเคย เขย่ามือที่เกาะกุมไว้น้อยๆ อย่างเรียกร้องความสนใจ
“มาไกลขนาดนี้ เพิ่งจะถาม?”
“โธ่ ยังไม่แก่สักหน่อย แค่นี้ไม่เหนื่อยหรอกใช่ไหม” พูดจบก็กระชับฝ่ามือแน่นเข้า
เขาได้แต่ส่ายหน้ากับคำพูดที่เหมือนจะห่วงใยนั่น สุดท้ายไม่ว่าอย่างไร คนตรงหน้าก็มักจะสรุปเองอย่างเอาแต่ใจซึ่งเขาก็ไม่เคยขัดเลยทุกครั้ง
“ทำไมมาจอดถึงนี่ล่ะ” ลานจอดรถที่เห็นอยู่อีกฝั่งของสระน้ำโล่งเหลือรถยนต์จอดอยู่ไม่กี่คัน
“ที่จอดเต็ม วันนี้เข้ามาตอนบ่าย” สายลมปลายเดือนธันวาคมแม้จะไม่หนาวมากแต่คนที่เอาแต่นั่งอยู่ในห้องปรับอากาศทั้งวันต้องห่อตัวน้อยๆ เมื่อแขนขยับอีกคนจึงหันมา
“หนาวเหรอ?”
“นิดหน่อย”
“มานั่งนี่ก่อน”
โดนบังคับให้นั่งลงบนม้านั่งยาวตรงป้ายรถเมล์ คนข้างกายคลายมือที่กุมกันไว้ออกแล้วคว้าเอากระเป๋าของเขาไป รื้อค้นจนทั่วแล้วนั่นล่ะจึงจะพบของที่ต้องการ ยื่นเสื้อคลุมตัวบางสีเทาอ่อนมา
“ชวนไปออกกำลังกายด้วยกันก็ไม่ไป เห็นไหมพอโดนลมนิดหน่อยก็หนาวแล้ว” ปล่อยให้อีกคนบ่นไปเรื่อย หยิบเสื้อคลุมสวม
“ก็ไม่ชอบ”
“เดี๋ยวก็ไม่สบายอีก วิตามินที่ให้ไป ได้กินบ้างหรือเปล่า”
นึกถึงขวดสีน้ำตาลใสขนาดพอดีมือ เพิ่งได้มาเมื่อเดือนก่อน เอาไปวางไว้ที่ไหนแล้วนะ คงจะเผลอคิดนานไปหน่อยคนข้างกายคงพอเดาถึงสาเหตุที่ไม่ตอบได้ จึงถอนหายใจออกมาเสียงดัง
“ไม่กินอีกแล้ว ต้องทำยังไงถึงจะดูแลตัวเองสักทีล่ะ” น้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจเขาอดไม่ได้ต้องยิ้มออกมา
“เอาน่า ยังไม่ป่วยเลย”
“ไม่อยากต้องรอให้ป่วยก่อนถึงจะสนใจสักหน่อย”
นั่นสินะ ทำไมต้องรอให้เกิดเรื่องก่อนทุกทีจึงจะสนใจอย่างถ้อยคำบ่นปนห่วงใยนั่นด้วย แสงสีอ่อนสะท้อนภาพของคนพูดทำแก้มพองลมอย่างแสนงอน เขาหัวเราะเบา ท่าทางอย่างนั้นช่างไม่เข้ากับใบหน้าคมเข้มของอีกฝ่ายเอาเสียเลย คนขี้งอนพูดจบก็คว้ามือไปกุมไว้บีบแล้วคลายเป็นจังหวะหันหน้าไปอีกทาง
“ประชุมเหนื่อยไหม” เขาเอี้ยวตัวไปมองหน้าคนที่หันหน้าหนีไม่ยอมสบตา
“นั่งเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” ตอบเสียงสะบัด
“ฮะฮะ ไม่งอนสิ”
“จะง้อก็ง้อดีๆ สิ มีอย่างที่ไหนเอาเรื่องงานมาง้อ” เขาเลิกคิ้ว โดนรู้ทันด้วยแฮะ
“แล้วจะหายไหม” เมื่ออีกคนหันกลับมาสบตา เขาเอียงคอถามยกยิ้มที่มุมปาก
“เล่นถามแบบนี้ก็ต้องหายป่าววะ” ว่าแล้วก็บีบมือแน่นแล้วเขย่าไปมา เปลี่ยนใบหน้างอง้ำเป็นยิ้มกว้างทันตา เขาส่งยิ้มจนปิดให้ สบตากันก็หัวเราะออกมาอย่างไม่มีเหตุผล
แต่หากจะให้หาเหตุผลล่ะก็ ... คงเพราะสุขใจล่ะมั้ง
ลมเย็นพัดมาเป็นระรอกส่งผลให้ต้นไม้ใหญ่ส่ายไหว ส่งเสียงซู่ซ่าเริงระบำเป็นเงาตะคุ่ม ไกลออกไปหลังสระน้ำเป็นสนามฟุตบอล แสงไฟจากสปอตไลท์ดวงใหญ่ส่องให้เห็นผืนหญ้าสีเขียวกว้าง นักกีฬาหลายคนวิ่งไล่ลูกกลมๆ ได้ยินส่งเสียงโห่ฮาลอยตามลมมาเป็นระยะ
เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีดำสนิท คาดหวังท้องฟ้าพร่างพราวด้วยแสงดาว แต่ทว่าคืนนี้ท้องฟ้าไม่มีดวงเลยสักดวง
“เป็นแฟนกันเถอะ”
ฝ่ามือไม่ได้ถูกเขย่าอีกต่อไป มันถูกกุมไว้จนรู้สึกอุ่น ... กว่าทุกครั้ง
คำพูดแผ่วเบานั่น หรือเขาจะหูแว่วไปเอง
ปล่อยให้เวลาผ่านไป ไม่กล้าเอ่ยเสียงใดรบกวนโมงยามที่สงบสุขราวกับต้องมนต์นี้ ถ้าเพียงแต่คนที่กุมมือเขาอยู่จะเอ่ยคำพูดออกมาอีกครั้งด้วยเสียงหนักแน่นช้าชัดอย่างที่เคยได้ยินเสมอ ไม่แผ่วเบาและรวดเร็วตามลมปลิวอย่างเมื่อครู่
บางทีถ้อยคำที่ได้ยินเมื่อครู่ เจ้าตัวอาจไม่ได้ตั้งใจพูดออกมาก็ได้
ดำดิ่งกับความคิดของตนเองเนิ่นนานเมื่อลมหนาวพัดมาอีกคราว ครั้งนี้เขาสะท้านจนความอบอุ่นจากฝ่ามือหนาที่เกาะกุมกันไว้หายไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาไม่รู้สึกตัวเลย
เขาหันไปถามคนที่นั่งเงียบราวกับจมอยู่ในความคิดของตนเองเช่นเดียวกัน
“กลับกันไหม”
“ไปสิ”
ชายหนุ่มรุ่นน้องสะดุ้ง ยกมือขึ้นลูบหน้าตาราวกับเพิ่งตื่น ลุกเดินนำไปยังลานจอดรถ ติดเครื่องรถยนต์จากนั้นจึงขับออกไปด้วยความนุ่มนวล บนรถไม่มีบทสนทนาใดนอกจากเสียงเพลงจากวิทยุที่เปิดคลอไว้ผ่อนคลายบรรยากาศที่เปลี่ยนจากสบายๆ เป็นน่าอึดอัด
รถยนต์เข้ามาจอดหน้าอาคารสูง เขาเปิดประตูลงจากรถอ้อมไปด้านฝั่งคนขับ ทำมือให้เลื่อนกระจกลง
“กลับบ้านดีๆ นะ” ใบหน้านิ่งเฉยดูผ่อนคลายลง
“อืม”
“อย่าขับเร็ว” ถ้าไม่เตือนคงจะขับรถเร็วอย่างเคย คนขับยกยิ้มพริบตาเดียวก็กลับมาตีหน้านิ่งพยักหน้า ก่อนจะพูดด้วยเสียงติดรำคาญ
“ขึ้นห้องได้แล้ว หนาวไม่ใช่หรือไง”
“ไปก่อนสิ” ยังไม่ยอมไปง่ายๆ เพราะจะยืนส่ง
ฝ่ามืออุ่นยื่นออกมานอกกระจก ไล้ปลายนิ้วสัมผัสแก้มแผ่วเบาเพียงเสี้ยววินาทีก็ผละไป โบกมือไปมาแล้วเร่งเครื่องออกส่งถนนสว่างโล่งยามค่ำคืน
สัมผัสอุ่นที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีกระจายความอบอุ่นไปทั้งร่างกาย
ช่างเป็นบุคคลที่อันตรายจริงๆ
.
.
.
เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ใกล้เข้ามา บรรดาห้างร้านไปจนถึงถนนหลายสายถูกประดับตกแต่งด้วยหลอดไฟน้อยใหญ่หลากสีสันแพรวพราว ผู้คนออกมาชื่นชมบรรยากาศอันอบอวลไปด้วยความสุขนี้ รอยยิ้มเผื่อแผ่แก่กันและกันส่งมอบความปรารถนาดีต้อนรับสิ่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
“ยิ้มอีกแล้ว” เสียงทุ้มห้าวกระซิบข้างหู เขาละสายตาจากแสงไฟวิบวับสีอ่อนตรงหน้าหันมาสบตากับคนข้างกาย
“สวย” ถนนสายหลักของกรุงเทพมหานครยามนี้ถูกประดับด้วยแสงไฟนับล้านดวงบนต้นไม้ใหญ่ทุกต้น เสาไฟทุกเสาไม้เว้นแม้กระทั่งกำแพงรั้วสูงของอาคารต่างๆ ตลอดสาย
“บอกว่าอย่ายิ้มเยอะไง” คำตอบที่ได้รับคงจะทำให้เจ้าของเสียงไม่พอใจ ส่งเสียงจิ๊จั๊กมุ่ยหน้า เขาจินตนาการว่าหากเจ้าตัวเป็นเด็กคงจะต้องลงไปกระทืบเท้าตึงตังเป็นแน่
“มีความสุขไม่ให้ยิ้มเหรอ”
“ยิ้มได้แต่อย่ายิ้มแบบนี้” มือที่แกว่งไกวถูกคว้าไปกุม ฝ่ามืออบอุ่นช่วยขับไล่ความเย็นไปจนหมด
“ยังไงล่ะ” เขาหัวเราะกับท่าทางเอาแต่ใจของคนตัวใหญ่ ถามจบก็เริ่มออกเดินนำอย่างไม่สนใจคำตอบ
กลายเป็นว่าตอนนี้เขาเดินจูงมือคนตัวสูงใหญ่ให้เดินตามต้อยๆ ในสายตาของคนนอกมันคงเป็นภาพที่แปลกน่าดู
“ไม่ชอบ” รอยยิ้มของเขามันมีปัญหาตรงไหนกันนะ
“หืม? จริงสิ”
ว่าแล้วก็ลองหันไปยิ้มให้กับคนที่เดินสวนมาสองสามคน ไม่เห็นมีใครไม่ชอบเสียหน่อย เขาได้รับยิ้มเขินอายกลับมาจากหญิงสาวและยิ้มที่มุมปากจากกชายหนุ่มซึ่งทำท่าจะเดินเข้ามาหาแล้วหากไม่เพราะถูกคนข้างๆ แยกเขี้ยวใส่ก่อนล่ะก็นะ
“ยิ้มแบบนี้คนมองขวัญเยอะ ไม่ชอบ” ได้ฟังเหตุผลก็หัวเราะออกมาอีกแล้ว นิสัยเด็กขี้หวงนี่ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ยังไม่เรียกพี่อีก”
นึกย้อนกลับไปสมัยเรียนมหาวิทยาลัย หนุ่มรุ่นน้องตัวสูงใหญ่คนนี้มีความเคารพนอบน้อมกับทุกคน เว้นแต่เขาที่เจ้าตัวนอกจากจะไม่เรียกพี่แล้วยังเอาแต่เรียกชื่อเล่นจนเบื่อจะท้วง ชื่อเล่นที่เขาไม่ชอบให้เรียกเลยเพราะมันฟังดูเป็นผู้หญิงเหลือเกิน
“ไม่ได้อยากให้เป็นพี่สักหน่อย”
“เอาแต่ใจอีกแล้ว”
ทั้งที่โดนเรียกด้วยชื่อเล่นที่ไม่ชอบ โดนลากไปทำกิจกรรมสารพัด เขากลับไม่ขัดขืนหรือต่อต้าน ปล่อยให้อีกคนเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตมากมาย จนวันหนึ่งเมื่อรู้ตัวอีกทีก็ยากที่จะขยับตัวหนีเสียแล้ว
แต่ด้วยความดื้อดึงส่วนตัว เขาต่อต้านในช่วงสุดท้ายของการเรียนในมหาวิทยาลัย ดื้ออย่างที่คนใกล้ตัวต่างพากันระอา ปีสี่ภาคเรียนสุดท้ายเขาเลือกที่จะเดินหนี ตัดการติดต่อทุกช่องทาง หากต้องเผชิญหน้าก็เพียงแต่ส่งยิ้มให้อย่างเคยแต่ก็รีบปลีกตัวออกมาให้เร็วที่สุด
หนุ่มรุ่นน้องเหมือนจะรู้ตัวจึงไม่พยายามติดต่อเขาเช่นกัน เหมือนรถยนต์สองคันที่วิ่งมาบนถนนเดียวกันใช้เวลาร่วมกันยามรถติดสัญญาณไฟสีแดง พอสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวรถคันหนึ่งเลี้ยวซ้ายอีกคันเลี้ยวขวาค่อยห่างกันไปเรื่อยๆ
ทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงราวกับไม่เคยได้รู้จักกันมาก่อน
ในวันที่กลับมาพบกันอีกครั้ง เขากลับจำรายละเอียดของรุ่นน้องคนนี้ได้มากมายจนตนเองยังแปลกใจ
“รอให้ขวัญใจอ่อนคงยาก”
“ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย” ทำไมใครๆ ถึงบอกว่าเขาใจแข็งทั้งที่ความจริงแล้วมันอ่อนเหลวเสียยิ่งกว่าอะไร
“เจอกันคราวนี้ไม่ปล่อยให้หนีแล้วนะ” คนพูดสาวเท้าเข้าใกล้ กระชับมือแน่นขึ้นราวกับจะให้ทั้งคำพูดและสัมผัสตอกลึกลงไปในใจคนฟัง
ได้เจอกันอีกครั้ง ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้สอนให้เขาเรียนรู้ ความกลัวเกรงเปลี่ยนมาเป็นการเผชิญหน้า การพุงเข้าชนอาจเป็นเรื่องโง่เขลาสำหรับใครหลายคน แต่กับตัวเขาเองในตอนนี้มันอาจช่วยกำจัดตะกอนในใจที่ติดค้างมาหลายปีให้จางหายไปก็ได้
เขาไม่ตอบคำถามแต่ส่งยิ้มกว้างจนตาเป็นขีดโค้ง กระชับมืออุ่นเข้าอย่างยินยอมต่อถ้อยคำ
เขาจะไม่หนีอีกแล้ว
.
.
.
ปีนี้ฤดูหนาวมาช้า ใกล้ปลายปีแล้วอากาศจึงเริ่มเย็นลง ซ้ำร้ายฝนที่ควรจะต้องหมดไปตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมยังคงโปรยปราย ไม่ต่างจากวันก่อนเม็ดฝนพร่ำเกิดเป็นหยดน้ำบนกระจกใส อากาศที่เย็นลงอย่างรวดเร็วทำให้เกิดฝ้าบางบนกระจกหน้าต่างไม้ในร้านเล็กแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้ระหว่างอาคารสำนักงานสูงหลายสิบชั้นใจกลางกรุง
กลิ่นกาแฟปนกลิ่นวานิลาอวลอบ ร้านกาแฟตกแต่งด้วยไม้ให้บรรยากาศอบอุ่น ด้านหนึ่งเป็นหน้าต่างบานใหญ่สไตล์ฝรั่งเศสซึ่งเป็นกระจกยาวตลอดผนัง เคาน์เตอร์ไม้สีเข้มวางยาวขนาดกับหน้าต่าง บนเคาน์เตอร์มีกระถางต้นไม้ใบเล็กวางเรียงเป็นระยะ ดอกไม้ช่อน้อยเบ่งบานอวดสีสวย
ตรงข้ามเป็นฝาไม้สีอ่อน ภาพภูเขาในมุมต่างๆ ถูกจัดไว้ในกรอบไม้สีขาว โต๊ะเก้าอี้เข้าชุดพร้อมหมอนอิงใบโตหลากสีสันตบจนฟูแล้วถูกจัดเข้าที่ ตู้ไม้ใหญ่ที่ตั้งอยู่ชิดผนังกลางร้านอัดแน่นไปด้วยหนังสือทั้งภาษาไทยและต่างประเทศ นิตยสารท่องเที่ยววางอยู่บนตู้เล็กข้างกัน
เสียงไฟสีส้มอ่อนภายในร้านค่อยดับลง เหลือเพียงดวงเดียวเหนือตู้กระจกใสว่างโล่งซึ่งยามเช้าเคยเต็มไปด้วยขนมชิ้นน้อยใหญ่และเค้กหลากหลายรูปแบบ ชายหนุ่มรูปร่างโปร่งคนหนึ่งกำลังทำความสะอาดเครื่องชงกาแฟ ไอร้อนทำให้แก้มเนียนใสมีเลือดฝาด
เสียงกระดิ่งที่แขวนเหนือประตูดังขึ้น คนที่ง่วนอยู่กับการจัดของบนเคาน์เตอร์ไม้ตรงข้ามประตูทางเข้าร้านเงยหน้าขึ้นมา กำลังจะเอ่ยปากบอกข้อความบางอย่างเช่นเดียวกันกับป้ายเล็กที่แขวนไว้หน้าร้านแล้วกลับเปลี่ยนใจเมื่อเห็นว่าใครเดินเข้ามา
“บ้านไม้หอมยินดีต้อนรับครับ”
ส่งยิ้มอย่างที่มีคนบอกว่าไม่ชอบไปให้ชายรูปร่างกำยำในชุดสูทราคาแพง
“หืม? พนักงานใหม่เหรอครับ ไม่เคยเจอมาก่อนเลย” ดวงตาสีเข้มพราวระยับ กวาดตามองสำรวจ กลับเป็นคนเอ่ยทักเองที่ประหม่ากับสายตานั่นจนต้องยึดแก้วกาแฟสีนวลไว้แน่น
“เพิ่งเข้ามาทำงานเมื่อวันก่อนครับ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าจะรับอะไรดีครับ”
“มารับ ‘ของขวัญ’ ครับ” คำว่าของขวัญถูกเน้นด้วยเสียงนุ่มนวล จนคนฟังหน้าซับสีอ่อน เขาเสมองนาฬิกาตั้งพื้นทรงโบราณสูงประมาณอกที่ตอนนี้บอกเวลาสามทุ่มกว่าแล้วก็เลิกคิ้ว
“มาช้าไปเกือบชั่วโมงอย่างนี้ คงหายไปแล้วล่ะครับ”
“งั้นขอรับเป็นพนักงานใหม่แทนละกันครับ” รู้ตัวอีกทีก็ลอยหวือ ขึ้นมานั่งบนเคาน์เตอร์ เอวถูกมือหนาจับไว้มั่นทั้งสองข้าง สบตากันแล้วเขาเห็นเปลวไฟกำลังมอดไหม้อยู่ในดวงตาสีเข้มที่แวววาวล้อแสงไฟ
“มาช้านิดเดียว อย่างอนสิ” เสียงทุ้มเข้ามากระซิบชิดหู ลมหายใจอุ่นร้อนทำเอาเขาสะบัดร้อนสะบัดหนาว ขยับตัวดิ้นลงก็โดนยึดไว้จนอดไม่ได้เอ็ดขึ้น
“จะกลับบ้านไหมเนี่ย”
“ขับรถฝ่ารถติดมาเหนื่อยๆ ขอพักก่อน”
พูดจบก็ฝั่งใบหน้าลงกับซอกคอ พอหยุกหยิกจะดันคนตัวโตกว่าออกก็โดนสองแขนรัดแน่นหนา ยิ่งไปกว่านั้นริมฝีปากอุ่นร้อนที่แนบเข้ากับผิวเนื้อเย็นเฉียบทำเขาหยุดดิ้นได้ชะงัด จนเมื่อเจ้าตัวพอใจแล้วนั่นแหละจึงปล่อย เร่งให้เก็บของแล้วถูกลากออกไปยังรถยนต์สีดำสนิทที่จอดอยู่หน้าร้าน
ทันทีที่ปิดประตูห้อง ไม่ทันได้เปิดไฟก็ถูกคว้าไปกอด ก่อนที่ริมฝีปากร้อนจัดจะเข้ามาช่วงชิงลมหายใจปลายลิ้นหนาไล้กลีบเนื้อเขาเปิดปากยอมกับการรุกไล่ ลิ้นไล้วนไปตามแนวกระพุ้งแก้ม พอปรับการหายใจได้ก็ส่งเนื้อนุ่มหยุ่นเข้าทักทาย กระแสไฟฟ้าแล่นปร๊าบตอนที่ปลายลิ้มสัมผัสกันและกัน แผ่วเบานุ่มนวลจากนั้นเปลี่ยนเป็นเร่งเร้าทว่าอ่อนหวานจนต้องตอบสนองกลับไปอย่างไม่แพ้กัน
ลำตัวร้อนวูบวาบเพราะถูกฝ่ามือหนานวดเฟ้น นิ้วเรียวกระตุกผ้ากันเปื้อนออกแล้วสะบัดทิ้งไปอย่างไม่ใยดี เศษเหรียญจากช่องกระเป๋ากระดอนกระทบพื้นเสียงขรม ฝ่ามืออุ่นจัดแตะต้องผิวเนื้อ เขาสะท้านตัว ยามอีกฝ่ายละริมฝีปากออกเขาสูดหายใจเข้าปอดลึก แล้วต้องร้องออกมาเสียงหลงเมื่อคนตรงหน้ามุดตัวเข้ามาในเสื้อ ลากริมฝีปากร้อนผ่าวไปตามเนื้ออ่อน
“ฮือ”
ส่งเสียงประท้วงได้ไม่ถึงครึ่งคำปลายนิ้วหนาก็เข้ามาแทนที่ขยับเย้าหยอกกับลิ้นเล็ก ยอดอกถูกขบเม้มจนต้องกัดนิ้วหนาระบายความกระสันที่ตีรวนขึ้นมา ลิ้นร้อนลากวนเวียนสลับดูดดันจนต้องแอ่นตัว รู้สึกถึงฝ่ามือร้อนอีกข้างนวดเฟ้นแผ่นหลัง ก่อนจะลากวนต่ำลงมายังเนิ่นเนื้อสะโพก
การถูกรุกรานอย่างหนักหน่วงนี้ทำเอาร่างกายทรงตัวแทบไม่อยู่ เอนตัวพิงประตูอย่างหมดแรง เขาปลดปล่อยออกมาทั้งที่ยังไม่ถูกแตะต้อง ทรุดตัวลงช้าๆ คนข้างในเสื้อเลิกเสื้อขึ้นก่อนจะถอดออก
“คิดถึงกันขนาดนี้ก็ไม่บอก”
เสียงทุ้มพร่ากระซิบข้างหู ถูกรวบตัวขึ้นสองขาเกี่ยวเอวคนตัวโตไว้เมื่อร่างกายก้าวเดิน สองมือหนาที่ประคองสะโพกฟอนเฟ้นจนต้องบิดตัว สองมือขาวค่อยปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตทำงานของอีกฝ่ายอย่างอ้อยอิ่ง ตาสบตา
“พรุ่งนี้วันหยุดใช่ไหมนะ”
คำถามนั้นดูไม่เข้ากับสถานการณ์เอาเสียเลย เสื้อแขนยาวปลดกระดุมออกหมด เขาลากปลายนิ้วเย็นเฉียบไปตามแผ่นอกแกร่ง แนบฝ่ามือลงไปยังอกข้างซ้าย หัวใจเต้นตุบตับใต้ฝ่ามือเขา
“อื้อ หยุดยาวจนถึงปีใหม่เลย”
แต่ก็ตอบออกไป เอียงหน้าซบอกหนา เสียงหัวใจเต้นของคนตรงหน้าเป็นจังหวะหนักแน่น ตึกตัก!
“หนาวไหม”
ทั้งที่เป็นคนทำให้ร่างกายเขาเปลือยเปล่า กลับถามคำถามอย่างนี้ออกมาเสียได้ นิสัยเสียจริงๆ
“ถ้าหนาวจะทำไง”
หยุดร่างกายหน้าประตูกระจกริมระเบียง พลันรู้สึกเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลังเพราะถูกดันติดกระจก ร่างกายผวาเฮือกเสียดสีหน้าท้องแบนราบ
“ว่าจะพาไปที่ระเบียง แต่ถ้าหนาวก็ข้างในละกัน”
หน้าอกชูชันถูกดูดดึงซ้ำๆ จนต้องร้องครางเสียงพร่า สองมือเกาะเกี่ยวลำคอหนาไม่ต่างจากสองขาที่เกาะเกี่ยวสะโพกแกร่ง ร่างกายขยับไปตามแรงกระตุ้นสิ่งแปลกปลอมขยับขยายช่องทางอ่อนไหว นาทีที่หลอมรวมร่างสูงใหญ่โน้มหน้าผากลงมาแตะกัน
“ขวัญ”
ตึกตัก! เรียกชื่อที่เขาแสนเกลียดด้วยน้ำเสียงและหน้าตาแบบนั้น
แสงสลัวจากด้านนอกทำให้เห็นโครงหน้าของอีกฝ่ายเลือนราง เขาไม่คิดแม้แต่จะกะพริบตาด้วยอยากจดจำใบหน้าของคนตรงหน้าไว้ทุกช่วงเวลา
“สอง”
ดวงตาสีเข้มจ้องเขม่ง ริมฝีปากที่เอื้อนเอ่ยถูกขบกัดย้ำ ไม่ต่างจากร่างกายที่ถูกบดเบียด เนิบนาบ “เรียกอีก” กระซิบเสียงต่ำพร่าไม่เว้นจังหวะให้หายใจ
“..สะ..สอง”
กดลึกและผละออก
บ้างช้าจนต้องเรียกร้อง บ้างรัวไหวจนสั่นคลอน
“อื้อ ไม่ไหว”
ส่งเสียงประท้วงที่ไม่เคยสำเร็จ แต่คราวนี้กลับได้ผล
ร่างกายหยุดเคลื่อนไหว ริมฝีปากถูกดูดกลืน
สองเท้าออกเดินอีกครั้งทั้งที่ร่างกายยังเชื่อมต่อ
เขาบิดตัวแต่ไม่อาจส่งเสียงร้องเพราะริมฝีปากยังคงติดพัน
ล้มลงบนเตียงนุ่ม ร่างของอีกคนใช้สองแขนค้ำตัวเองเอาไว้ไม่ให้ตกลงมา แสงไฟสีอ่อนเผยให้เห็นร่างกายของอีกฝ่ายชัดเจน รอยข่วนปรากฏเป็นทางบนผิวสีน้ำผึ้งทำเอาคนมองหน้าร้อน
“อายทำไม ทำเองแท้ๆ” คงเห็นสายตาของเขา เจ้าของร่างกายจึงเอ่ยกระเซ้า แล้วโลกก็ตีลังกากลับหัวกลับหาง เขาขึ้นมานั่งทับหน้าท้องแกร่งแทนที่อีกคนที่ลงไปนอนราบกับเตียงนอน
“อืม อย่างนี้วิวดีกว่าจริงๆ”
ย่นจมูกใส่คำพูดสองแง่สามง่าม แล้วต้องกลั้นเสียงเมื่อสะโพกถูกกดลงบดเบียดส่วนร้อนจัด ของเหลวถูกปาดลงช่องทางอุ่นร้อน เย็นวาบไปทั้งตัว
“เมื่อกี้บอกไม่ไหว ทำเองแบบนี้คงดีกว่าเนอะ”
ไม่รอให้เขาตอบรับสะโพกก็ถูกยกขึ้นด้วยแขนแกร่งเพียงข้างเดียว ส่วนอีกข้างใช้เบิกทางเพิ่งที่จะให้เขากลืนกินตัวตนของอีกฝ่ายให้ง่ายขึ้น
“ฮืม”
เสียงครางในลำคอหนาจากคนด้านล่าง ใบหน้ากึ่งทรมานกึ่งสมใจนั่นทำเอาใจหวิว อยากทำให้คนตรงหน้าแสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมา จึงเริ่มขยับ ความรู้สึกเสียวแปร๊บตอนทรุดตัวลงทำให้ร้องลั่น
หยดน้ำใสผุดขึ้น แผ่นอกชูชันยามปลายลิ้นร้อนไล้วน ทุกสัมผัสเหมือนไฟไล่เลีย เขาขยับตัวเร็วขึ้น กรีดร้องดังขึ้นเมื่อคนด้านล่างขยับกายสวน ผวาเฮือกใหญ่ยามส่วนอ่อนไหวถูกไถ่หน้าท้องที่เกรงจนขึ้นลอน
“ไม่ต้องเสร็จเองหรอกเนอะ ช่วยกันสองคนดีกว่า”
ถ้อยคำชวนบาดหูแต่การกระทำกลับตรงข้าม ร่างกายถูกพลิกกลับมาอีกครั้ง คราวนี้เขาจมลงไปกับเตียงเพราะคนด้านบนไม่ติดจะยั้งน้ำหนักตัว กดทับเข้ามาเต็มที่ซ้ำยังขยับสะโพกบดเบียนอย่างจงใจ
“อ่า..”
“ชอบแบบไหน ช้า..” สองแขนถูกกดแนบลำตัว สะโพกแกร่งบดเบียดลงมาทีละนิด ใจเต้นกระหน่ำยามแนบสนิท “หรือเร็ว” ว่าแล้วก็ขยับตัวเข้าออกร่างกายสั่นคลอนจนต้องกัดปากระบายความเสียวกระสัน
ลมหายใจอุ่นร้อนเป่าชิดใบหู “แบบไหนดี หนึ่งหรือสอง” ขบเม้มดึงดันติ่งหู เขาแหนงหน้าเพริด แอ่นอกให้ฝ่ามือหนาบีบเค้น ความละอายเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาแล้วหายไปราวกับโดนลมเป่า
“ไม่ตอบอีกแล้ว จะตามใจถูกไหมครับ...ขวัญ” ลากเสียงอ่อนตรงชื่อเล่น น้ำตาจนเจียนจะหยดยามมือใหญ่เคล้นคลึงไปตามร่างกายที่บิดพล่าน
“..ยังไงก็ได้ แค่สอง...แค่เป็นสอง..ก็พอละ--.. อื้อ”
จูบที่ไม่ได้เป็นจูบแรกกลับลึกซึ้งราวกลับจะพรากวิญญาณ สติสุดท้ายที่อยู่กับตัวก่อนที่จะถูกตัณหาเข้าครอบงำคือเสียงทุ้มพร่า
“งั้นก็เรียกให้ได้ตลอดนะ”
“..สอง..อ่า..”
อากาศเย็นจัดแต่เหงื่อกลับโทรมกาย เหงื่อหยดแล้วหยดเล่า ใบหน้าแหงนเงย ริมฝีปากเจ่อด้วยการตะบมจูบ ร่างกายที่ทุกตารางนิ้วถูกเฟ้นฟอน ร้องเรียกชื่อคนหนึ่งซ้ำๆ จนลำคอแห้งผาก ร่างกายประสานเป็นหนึ่งเดียวซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับคนหลงทางกลางทะเลทรายมาพบแหล่งน้ำ ตักตวงดื่มกินอย่างกระหาย
ในช่วงจังหวะเร่งรัว เขาขยับตัวสอดประสาน อารมณ์ทะยานขึ้นสูงก่อนระเบิดออกเป็นดวงนับร้อยพัน สมองว่างโล่งขาวโพล่น ดวงดาวค่อยร่วงหล่น เคลื่อนตัวตามประกบปากหนา ตวัดลิ้นไล้เลียกระซิบเสียงแหบ
“..สอง..”
“..ขวัญ..”
เป็นคนตรงหน้าที่ไม่พอกับร่ายกายของเขาหรือเป็นเขาเองที่ไม่พอกับร่างกายของคนตรงหน้า ทุกครั้งผละออกจากกันอากาศหนาวเหน็บก็เข้ามาแทนที่ทันที เขาตามไปไขว่คว้าเกาะเกี่ยวร่างกายอุ่นร้อน
“ไม่เอา...สอง..กอด” ไม่อยากให้จากไปไหน
“ถึงได้ถามว่าพรุ่งนี้หยุดหรือเปล่า”
บทรักเริ่มขึ้นอีกครั้งและอีกครั้ง
.
.
.
สะดุ้งตื่นขึ้นเพราะปลายจมูกเย็นเจี๊ยบ ร่างกายถูกห่อหุ้มด้วยผ้านวมผืนใหญ่ไม่ต่างจากคนที่นอนหลับสนิทข้างๆ เขาหันซ้ายขวาแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าตอนนี้ตนเองนอนอยู่ริมระเบียง ลมหนาวพัดโกรกจนต้องห่อตัวแม้ว่าร่างกายจะสวมเสื้อผ้าอุ่นหนาแล้วก็ตาม
เวลาดึกสงัดมองลงไปยังเบื้องล่าง แสงไฟยังคงพร่างพราวไม่ต่างจากช่วงหัวค่ำเพียงแต่บนถนนไม่มีรถติดยาวเป็นขบวน อากาศก็ดูจะปลอดโปร่ง ควันพิษคงจะจางไปบ้าง ลองหรี่ตามองแสงไฟจากมุมสูงความมืดทำให้อาคารบ้านเรือนกลมกลืนกันแสงไฟน้อยใหญ่เป็นดวงดาวส่องสว่างนับหมื่นนับแสนดวงคล้ายทะเลดาว
หันไปพิจารณาคนนอนคุดคู้ข้างกายแล้วอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปบีบสันจมูก ลูบปลายนิ้วบนริมฝีปากหนาที่บวมน้อยๆ แนบฝ่ามือลงบนแก้มลากเพราะไรหนวด
“คนขี้แกล้ง” ขยับเข้าไปกระซิบชิดใบหู แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อคนที่ติดว่านอนอยู่พลิกใบหน้าแนบปากลงกลางฝ่ามือ
“ดีกว่าคนปากไม่ตรงกับใจ” ริมฝีปากจูบไล่ที่ละนิ้ว ขยับออกไม่ได้เพราะถูกยึดไว้
“ไม่ไหวแล้ว” รีบบอกเสียงอ่อยยามปลายนิ้วเย็นถูกตวัดเลีย เม้มเป็นจังหวะ คนทำไม่สนใจคำขัดยกยิ้มมุมปากให้แล้วดูดกลืนต่อไป
“อื้อ”
ดวงตาหวานฉ่ำกับท่าทางดูดดันนิ้วมือทำให้คนมองข่มอารมณ์ไม่ไหว ส่งเสียงครางทั้งที่ลำคอแหบพร่า ชักมือออกจากการเกาะกุมแล้วก้มหน้าเข้าแทนที่ ขบริมฝีปากหนาเป็นจังหวะ เม้มปากแน่นไม่ยอมให้ลิ้นร้อนล้วงแล้วกดปากแนบแช่ไว้อย่างนั้น ไม่มีการล่วงล้ำ ไม่มีการไล้โลมนานจนลมหายใจของกันและกันเริ่มสงบ
“ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงนะ” ว่าคนเจ้าเล่ห์เข้าให้
“ต่ออีกรอบก็ยังไหว บอกแล้วให้ไปออกกำลังด้วยกัน”
“ไม่เอา” ปฏิเสธทุกครั้งแต่ก็ยังชวนเสมอ เสมองไปยังท้องฟ้ามืดแล้วก็ต้องอุทานออกมา “สวย”
ท้องฟ้ามืดสนิทค่อยเปลี่ยนสีที่ละน้อย ตรงเส้นขอบฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้มก่อนจะค่อยจางลงเป็นสีฟ้าใสพริบตาราวกับถูกวาด สีชมพูสดป้ายลงทับสีฟ้าอ่อนใสค่อยอ่อนลงพร้อมกับความมืดที่ล่าถอย สีชมพูเข้มจางลงแทนที่ด้วยแสงสีทองทอประกาย คราวนี้มาพร้อมกับพระอาทิตย์ดวงกลมโตสีแดงเข้ม จากเสี้ยวขยับขึ้นสูงยามเห็นตะวันเต็มดวง ท้องฟ้าก็กลายเป็นสีกุหลาบ
มืออุ่นเข้าโอบเอวแล้วถูกดึงไปชิดแผ่นอกกว้างที่สะท้อนขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ เสียงหัวใจเต้นแนบหูให้ความรู้สึกมั่นคง แผ่นฟ้าเปลี่ยนเป็นสีฟ้าทอง ดวงอาทิตย์ส่องแสงอ่อน ก้อนเมฆสีขาวกระจายอยู่ในอากาศก่อนจะปลิวหายไปตามแรงลม
สัมผัสเย็นเฉียบที่ปลายนิ้วทำให้เขาหันมอง แหวนสีเงินเกลี้ยงถูกสวมลงบนนิ้วเรียว มันเปล่งประกายสะท้อนแสงแดดอ่อนยามเช้า พลิกตัวกลับไปสองมือประคองใบหน้าคมเข้มที่ยามนี้ประด้วยรอยยิ้มอุ่น
ถ้อยคำอัดแน่นในดวงตา ตาสบตาสื่อสาร แล้วก็เป็นเจ้าของแหวนเองที่เอ่ยปาก
“ขอบคุณสำหรับของขวัญครับ”
Fin
-----------------------
[25.12. 58]
เป็นเรื่องสั้นช่วงปลายปี
เราตั้งธีมเป็น Warm Christmas
ไม่ทราบว่าคนอ่านจะรู้สึกได้ไหม
อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรรบกวนบอกด้วยนะคะ
จะนำไปปรับปรุงค่ะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
Lavender’s blue