ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]  (อ่าน 90082 ครั้ง)

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0




ผลงานที่ผ่านมา
SINGLE PAPA คุณพ่อยังโสด (จบแล้ว)
TIME TICKET อยากให้เรารักกันอีกครั้ง (จบแล้ว)
[เรื่องสั้น] ช่องว่างระหว่างชอบกับรัก (จบแล้ว)
[เรื่องสั้น] MIDSUMMER's ICE CREAM (จบแล้ว)
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-05-2018 20:38:52 โดย NINEWNN »

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
บทนำ



     วันนั้นผมกลับมาคอนโดที่แม่ซื้อให้หลังจากไปเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัวสี่วันสามคืน แต่พอเปิดประตูห้องไปกลับเห็นว่ามีอะไรเปลี่ยนไปหลายอย่าง

     เดิมทีห้องนั้นก็ถูกแบ่งเป็นสองส่วนด้วยเทปที่แปะไว้กลางห้องอยู่แล้ว แต่คราวนี้ เทปนั่นถูกดึงออก อีกครึ่งหนึ่งในห้องกลับไปสู่ช่วงเวลาที่ผมอาศัยอยู่คนเดียวหลังจากมีข้าวของระเกะระกะมาวางไว้ร่วมปี นอกจากนั้น เจ้าของพื้นที่ส่วนนั้นยังนั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ที่ผมให้มันใช้เป็นที่นอน

     ผมอาจจะพูดผิด...เขาไม่ได้นั่งบนโซฟาตัวใหญ่ เขานั่งบนตักของผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่บนโซฟานั่นต่างหาก
     
     เด็กนั่นหันหลังโชว์แผ่นหลังเปลือยเปล่าที่ผอมจนเห็นกระดูกสะบักหลังชัดเจน รวมไปจนถึงรอยสักรูปนกตัวเล็กๆ สองสามตัวบนแผ่นหลังแห้งๆ

     ผมคิดอะไรไม่ออก รู้แค่ว่าตัวเองปิดประตูห้องเสียงดังกว่าทุกครั้งแต่ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

     “...หืม กลับมาแล้วเหรอ” เจ้าเด็กนั่นหันมามองผมด้วยสายตาไม่รู้จักอายเลยแม้แต่น้อย ผู้ชายที่เป็นเบาะนั่งให้มันดูตระหนกกว่าเสียอีก “ว่าจะออกไปก่อนเฮียกลับสักหน่อย”
   
     “ไปไหน” ผมถามกลับเสียงเข้ม
   
     “ย้ายออก”

     มันลุกขึ้น หันมาประจันหน้ากันชัดๆ และนั่นทำให้ผมเห็นรอยสีสดบริเวณหน้าอกมัน สีสดเสียจนมั่นใจว่าไอ้คนทำรอยคือไอ้ผู้ชายที่ยังทำหน้าไม่ถูกนั่นแน่ๆ

     “ไปอยู่ไหน”

     “หอแฟน” อีกฝ่ายว่าแบบนั้น “ของอันอื่นเอาไปแล้ว แต่อันนี้มาเอาของชุดสุดท้าย” มันว่าพร้อมกับชี้ไปที่กระเป๋าเดินทางที่อยู่มุมห้อง ก่อนที่จะคว้าเสื้อบอลที่มันชอบใส่ออกมาจากใต้โซฟาและสวมทันที

     “น้ากานดารู้รึยัง”

     ผมถามเสียงเข้ม เดินเข้าประชิดตัวก่อนที่จะมองคนที่ยังนั่งนิ่งบนโซฟาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ดี มันรีบกุลีกุจอรูดซิปกางเกงและยืนขึ้นด้วยท่าทีนอบน้อม

     “เฮียก็อย่าให้แม่รู้สิ” มันตบไหล่ผมปุๆ

     คิ้วขมวดมุ่น มือผมคว้ามือมันมาดึงไว้เร็วกว่าความคิดเสียอีก “หนึ่ง”

     เจ้าของชื่อสะบัดมือออก หันหน้าไปพูดกับชายอีกคนในห้อง “ไปกันเถอะ”

     มันว่าแค่แบบนั้น เดินไปหยิบกระเป๋าเดินทางและถุงอีกสองสามใบเดินออกจากห้อง ปล่อยให้ผู้ชายที่มันนัวเนียด้วยตอนแรกทำหน้างุนงง ไม่นานนักไอ้นั่นก็ตั้งสติได้และเดินตามแฟนมันออกไปอย่างรวดเร็ว และห้องก็กลับมาเงียบอีกครั้งหนึ่ง

     ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาที่สองคนนั้นเกือบใช้เป็นสถานที่เมคเลิฟก่อนที่จะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

     วันนั้นเป็นวันที่ผมตอบข้อสงสัยของตนเองได้เสียที

     เจ้าเด็กเปรตที่อยู่ร่วมกันมาหนึ่งเทอม...เป็นเกย์






---------------------------------------
ไม่ได้เปิดเรื่องใหม่มานานแล้วค่ะ (ฮา)

ฝากเด็กแสบคนนี้ด้วยนะคะ
  :mew1:[\center]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2016 20:54:51 โดย NINEWNN »

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :o8: :o8: :o8:

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :กอด1:

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 1
‘เจ้าเด็กนั่น’




     “กูว่านะ... น้องหมิวต้องคบกับไอ้ต้นแน่ๆ แต่กูก็งงว่า เขาไม่ได้คุยกับไอ้คิวอยู่เหรอวะ”

     เสียงผู้คนพูดคุยกันในโรงอาหารดังเสมอ ไอ้กันต์เองก็เหมือนพูดแข่งกับคนพวกนั้น มีสองเวลาที่ทำให้มันเงียบได้ คือตอนที่มันกินข้าว กับตอนที่มันนอน แถมเรื่องที่ชอบก็มักจะเป็นเรื่องชาวบ้าน ผู้หญิงคนไหนบอกว่าผู้ชายไม่ขี้นินทาวะ มันนั่นแหละตัวอย่างข้อขัดแย้งของทฤษฎีนี้ มันรู้เรื่องของคนทั้งมหา’ ลัยประหนึ่งเป็นสำนักข่าวกรอง ขนาดคณะอื่นมันยังรู้ได้เลย คิดดู

     หลังจากได้ที่นั่งสบายๆ พร้อมกับเพื่อนคนอื่นในคณะที่ไม่ได้เรียนเซคเดียวกันแล้ว ผมจึงวางของทุกอย่างไว้บนโต๊ะและเดินออกมาซื้อข้าวด้วยความรู้สึกเบื่อๆ กินอาหารเดิมมาจะสี่ปีแล้ว ผมไม่ค่อยได้ไปโรงอาหารคณะอื่นนัก วันๆ ก็เอาแต่ฝากท้องไว้ที่โรงอาหารที่คณะสัตว์แพทย์ของผม กับคณะบริหารฯ ยิ่งขึ้นพอปีสามปีสี่ แค่มีเวลาปลีกตัวมากินข้าวก็ดีใจน้ำตาแทบไหลแล้ว

     ผมมาสั่งอาหารที่ร้านก๋วยเตี๋ยวด้วยเมนูโง่ๆ เดิมๆ ขณะที่รอคิวอยู่นั่นเอง สายตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นคนที่ไม่ได้เห็นหน้ามานาน

     หนึ่งเดินผ่านสายตาผมไปด้วยแก้วเก๊กฮวย ปกติผมไม่ค่อยเจอมันที่มหาวิทยาลัยนัก เนื่องจากวันๆ ผมวนเวียนแถวคณะตัวเอง ส่วนมันเรียนคณะสถาปัตยกรรม เป็นเฟรชชี่ในปีการศึกษานี้ วงจรชีวิตเราไม่ได้เฉียดเข้ามาหากันบ่อย นอกจากเจอกันที่คอนโด

     และเมื่อมันก็ย้ายออกไปเมื่อกลางเทอม เราก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันอีก

     “ได้แล้วค่ะน้อง”

     “ครับๆ” ผมหันกลับมายื่นเงินให้ป้าคนขายเมื่อโดนเรียกเสียงขุ่น

     พอได้รับเงินทอนแล้วผมจึงเดินกลับมาที่นั่ง ปรากฏว่าผมเดินสวนกับเจ้าเด็กนั่นอีกรอบ รอบนี้มันเองก็มองเห็นผมและเลิกคิ้วนิดหน่อยก่อนที่จะมองผ่านไป

     ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับการที่หนึ่งไร้มารยาท วันไหนมันมามีมารยาทกับผมสิผมคงคิดว่ามันป่วย ตอนเป็นรูมเมทมันพวกเราไม่ค่อยได้คุยอะไรกันเท่าไหร่ ช่วงแรกๆ มันก็เป็นเด็กดีอยู่บ้าง พอผ่านไปสักเดือนมันก็เริ่มไม่กลับห้อง ผ่านไปอีกสองเดือนก็เริ่มกลับห้องมาพร้อมสภาพเมาหัวราน้ำให้ผมเช็ดอ้วกให้จนต้องเอ่ยเด็ดขาดไปเลยว่าถ้ามันจะกลับมาแบบเมามายขนาดนั้น ให้ไปข้างหอเพื่อนเสียดีกว่า

     หนึ่งกับผมมีความสัมพันธ์กันหลายอย่าง เป็นลูกชายของลูกน้องแม่ เป็นรุ่นน้องสมัยเรียนมัธยม ตอนประถมเราก็เคยเจอหน้ากันบ้างแต่ไม่ได้บ่อยจนสนิทอะไรกัน มันเป็นบุคคลที่แม่ผมเอ็นดูเสียจนเสนอกับน้ากานดาเองตอนทราบข่าวว่ามันติดมหาวิทยาลัยเดียวกับผมว่าให้มาอยู่ด้วยกันที่คอนโด แถมยังกำชับให้ผมดูแลมันเสียด้วย

     แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ หนึ่งย้ายออกจากคอนโดผมเป็นเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าน้ากานดารู้หรือยังเรื่องที่มันเป็นเกย์...แถมยังย้ายไปอยู่กับแฟนมันอีกต่างหาก

     ผมปัดความสงสัยนั้นทิ้งเมื่อเดินมาถึงโต๊ะของตัวเอง สิ่งที่ผมทำมีเพียงหย่อนตูดนั่ง ลงมือกิน และได้ยินเสียงของไอ้กันต์กับไอ้ภีมนินทาคนที่ได้ตำแหน่งดาวเฟรชชี่ปีนี้เสียสนุกปาก

     พอก้มหน้ากินไปได้สักพัก จังหวะที่ผมเงยหน้าขึ้นจึงได้รู้ว่าหนึ่งนั่งถัดจากเราไปสองสามโต๊ะโดยหันหลังให้ผม ส่วนแฟนของมันก็นั่งตรงข้ามกัน ผมเลยนึกขึ้นได้ว่าแฟนของมันเรียนบริหารธุรกิจ

     ที่มากินโรงอาหารนี้เป็นเพราะมาหาแฟนนี่เอง

     ผมคิดแบบนั้น...กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็คือตอนที่กินอาหารในชามเสร็จโดยมองมันตลอดระยะเวลานั้น



     หลังจากเรียนคลาสบ่าย (ที่ทำแล็ปต่อจนถึงเย็น) เสร็จ ผมก็จัดการซื้อข้าวต้มแถวๆ หน้าคอนโดกลับขึ้นมาบนห้องพร้อมกับเอ็มร้อยห้าสิบอีกสองขวดไว้เป็นเสบียง เนื่องจากพรุ่งนี้มีสอบย่อยในตอนเช้า ไม่มั่นใจว่าคืนนี้จะต้องโต้รุ่งหรือเปล่าเสียด้วยสิ

     ผมขึ้นลิฟต์มาจนถึงชั้นที่มีห้องของผม ก่อนที่จะหรี่ตาลงเมื่อพบคนที่ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่นั่งยองๆ อยู่ที่หน้าประตูห้องของผม

     “มาทำอะไร” ผมถามเสียงห้วน

     “...แม่บอกจะมาหา”

     หนึ่งว่าพลางลุกขึ้น ปัดกางเกงที่เปื้อนฝุ่นไปมา มันยังอยู่ในชุดนักศึกษาอยู่เลย ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมารออยู่ที่นี่นานเท่าไหร่แล้ว
   
     ผมถอนหายใจ “ยังไม่ได้บอกน้ากานดาอีกเหรอว่าย้ายไปอยู่กับแฟน” อดไม่ได้ที่จะกัดมันเสียเล็กน้อยก่อนที่จะเดินไปหยิบคีย์การ์ดมาเปิดประตู
   
     “จะบอกได้ยังไงล่ะ” หนึ่งบ่นอุบ

     “บอกไปสิ ยังไงก็ไม่ท้องอยู่แล้วนี่”

     “เฮียเป็นผู้หญิงหรือไง ขี้แซะจริง!” อีกฝ่ายโวยเสียงดัง จนผมต้องหันไปเลิกคิ้วใส่ มันเงียบปากโดยฉับพลันแล้วจึงพ่นคำผรุสวาทออกมาเบาๆ

     “แล้วมันใช่เรื่องไหมที่กูต้องมาทำบาปโกหกน้ากานดาให้เนี่ย”

     “หนึ่งบอกให้เฮียโกหกหรือไง! อยากบอกก็บอกไปสิ!”

     “อ๋อ จะให้บอกอะไรล่ะ บอกว่าหนึ่งติดผัวมาจน...”

     “เฮียป้อง!”

     มันเรียกชื่อผมเสียงเขียว ใบหน้าขึ้นสีแดงแบบที่ผมไม่มั่นใจนักว่ามันโกรธหรือเขินอาย แต่คนอย่างมันจะอายอะไรกับคำเช่นนี้ มีแต่จะโกรธเสียมากกว่า

     ผมปล่อยให้เสียงของมันดังผ่านหู หนึ่งเริ่มโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เห็นได้จากการที่มันทิ้งตัวนั่งบนโซฟาแรงๆ คว้าหมอนอิงแถวนั้นมาเขวี้ยงใส่ผมแต่ผมหลบได้พอดี มันเลยยิ่งทำท่าหงุดหงิดกว่าเก่าเสียอีก

     “เงียบๆ ล่ะ” ผมเอ่ยเตือน วางกระเป๋าเป้ไว้บนเตียง “พรุ่งนี้มีสอบ”

     หนึ่งหันขวับ มองผมตาขวาง

     ผมไม่พูดกับมันให้ต่อความยาวสาวความยืด ตัดสินใจเดินเข้าไปหยิบชามที่มีเก็บไว้ไม่กี่ใบในห้องออกมากินข้าวต้มให้เสร็จสรรพ บอกมันว่าในตู้เย็นพอมีอะไรให้กินบ้าง หยิบกินได้ตามปกติแต่ก็โดนมันสะบัดหน้าใส่ลูกเดียว ทำตัวเป็นผู้หญิงไปได้...

     พอกินข้าวเย็นเสร็จผมก็เข้าไปอาบน้ำ ทำตัวให้สบายก่อนที่จะออกมานั่งที่โต๊ะทำงาน เหลือบสายตามองมันที่นั่งหยิบกระดาษทดเลขของผมมานั่งขีดๆ เขียนๆ ในหน้าหลังที่ว่างเปล่า ถึงได้สงบใจได้

     “เฮีย” ในที่สุดมันก็เอ่ยปากขึ้นมาหลังจากเราตกอยู่ในความเงียบร่วมชั่วโมงกว่า “ยืมมือถือหน่อยสิ”

     ผมหันไปมองมันด้วยความแปลกใจ “เอาไปทำไม?”

     “อยากดูหนัง” หนึ่งว่าเสียงอ่อนลง “ลืมเอามือถือมา”

     พอมันบอกมาแบบนั้นผมก็ไม่ได้ว่าอะไร หยิบโทรศัพท์ที่อยู่ข้างกายส่งยื่นให้ “หูฟังอยู่ที่...” คำพูดชะงักไปเมื่อคิดได้ว่ามันแปลกไป “มือถืออยู่ไหน”

     คนตรงหน้าผงะ หลบตา “อยู่...หอ”

     “แล้วน้ากานดาโทรมาบอกได้ยังไงว่าจะมา”

     พอผมเอ่ยเอื้อนคำถามไป มันก็เงียบ เหลือบตามองผมก่อนที่จะหลบตาไปใหม่ ผมคิดว่ามันน่าจะมีอะไรที่ดีกว่านี้หยิบยื่นให้ผม อย่างเช่น มันแวะไปที่หอแล้วหลังจากเรียนจบแล้วบังเอิญลืมไว้ แต่เปล่าเลย...หนึ่งให้กันเพียงความเงียบที่ดูออกว่ามีอะไรถูกปิดบังไว้เท่านั้น

     ผมถอนหายใจ “สรุปน้ากานดาจะมาไหม”

     ริมฝีปากของมันเม้มเข้าหากัน ท้ายที่สุดก็ปฏิเสธออกมาเสียงอ่อย “ไม่...”

     ผมวางดินสอ หันไปประชันหน้ากับมันตรงๆ ไม่ได้เอ่ยเอื้อนคำใดออกมา ใช้ความเงียบกดดันให้มันพูดอะไรออกมาสักอย่าง ผมรู้ดี ผมมันแค่ลูกชายเจ้านายของแม่มัน จะไปมีสิทธิ์ใดบอกมันว่าห้ามโกหก แต่ผมปรารถนาจะรู้ว่าทำไมหนึ่งถึงโกหกต่างหาก

     อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร สุดท้ายมันก็ทนไม่ไหว เดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาโดยไม่รับโทรศัพท์มือถือของผมไปทั้งที่เป็นคนเอ่ยปากขอเอง

     ผมผ่อนลมหายใจ เดินไปนั่งข้างๆ มัน “ทำไมถึงโกหก”

     “...” หนึ่งเบือนหน้าหนี

     “หนึ่ง” แม้ผมจะเรียกชื่อมันเสียงเข้ม แต่มันก็ยังทำเป็นไม่สนใจ “เออ ช่างแม่ง” ผมว่าอย่างหงุดหงิด วางโทรศัพท์มือถือลงตรงหน้ามันอย่างรุนแรง ย้ายตัวเองไปที่โต๊ะอ่านหนังสือเหมือนเดิม

     เพราะหันหลังให้มัน เลยไม่รู้ว่ามันทำอะไรบ้าง สุดท้ายแล้วก็ได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำเสียเสียงดัง

     ไอ้เด็กดื้อ...เพิ่งบอกไปไม่ใช่หรือว่าอย่าทำเสียงดัง

     ผมลบความคิดต่างๆ ออกจากหัว หนึ่งเป็นเด็กขี้โมโห โกรธง่ายหายเร็ว ดูอย่างตอนที่มันมาขอโทรศัพท์ผมก็เห็นได้ชัดดี อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ผมต้องเพ่งสมาธิทุกอย่างไว้ที่หนังสือตรงหน้านี้มากกว่า

     หลังจากอ่านกลับมาตั้งสติอ่านหนังสือไปได้สักพัก ไม่น่าจะเกิดยี่สิบนาที ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำเบาๆ จากด้านหลัง ตามด้วยเสียงของหนึ่งที่เรียกผม

     “เฮียป้อง”

     “...”
   
     “เฮียป้อง!” มันขึ้นเสียงอีกหน่อย

     ผมหันไป “อะไร”

     “ได้ยินก็สนใจหน่อยสิวะ” มันบ่นกระปอดกระแปด ชะโงกหัวออกมาจากบานประตู “เฮียหยิบชุดให้หน่อย”

     “เอาชุดมาด้วยเหรอ”

     “ไม่ ยืมเฮียดิวะ หยิบให้สักตัวดิ!”

     “เด็กเวร...”

     ผมอดที่จะพึมพำออกมาแบบนี้ไม่ได้ จะขอร้องให้คนอื่นช่วยกลับไม่รู้จักพูดกันดีๆ ถึงกระนั้นร่างของผมก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ หยิบเสื้อกล้ามเน่าๆ ของตัวเองกับกางเกงบอลที่ไม่ค่อยได้ใส่ไปให้มันตรงหน้าประตูห้องน้ำอยู่ดี

     มันรับไป สักพักก็ชะโงกหัวขึ้นมาใหม่ “ขอเสื้อมีแขน”

     “ทำไม”

     “ขอเสื้อมีแขนเหอะน่า”

     “เป็นบ้าอะไรวะ” ผมเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาบ้าง “ใส่ๆ ไปมันจะตายหรือยังไง”

     มันกัดริมฝีปากล่าง ปิดประตูห้องน้ำใส่หน้าผมจนผมต้องสบถออกมาอย่างหัวเสีย ไอ้เด็กเวร! ผมขบฟันกรอด เอื้อมมือไปปิดลูกบิดเร็วกว่าที่สมองสั่งให้ทำเสียอีก

     ดูเหมือนคนในนั้นก็ไม่คาดคิดว่าผมจะเปิดประตูเข้ามาแบบนี้ ทั้งที่ผมตั้งใจจะด่า แต่คำพูดต่างๆ ถูกกลืนลงคอทันทีเมื่อเห็นร่างกายเปลือยเปล่าที่แต่งแต้มด้วยรอยต่างๆ

     ผมคิดว่าคนมีแฟน...และน่าจะมีเซ็กส์กันด้วยไม่น่าจะแปลกหากมีรอยจูบพร้อยเต็มตัว แต่นี่มันใช่ที่ไหน
   
     “ใครทำ”

     มือผมคว้าหมับลงบนต้นแขนของมัน ลืมไปเลยว่ามันยังไม่แต่งตัว แต่ร่องรอยบนร่างมัน ทั้งหัวไหล่ ไหปลาร้า เรื่อยลงมาจนบริเวณซี่โครงที่คล้ำ แปลว่ามันไม่ได้เกิดจากช่วงระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงนี้แต่น่าจะผ่านมาสักวันหรือสองวัน

     “หนึ่ง” ผมเพิ่มแรงบีบลงบนแขนมันจนหน้ามันเหยเก “เฮียถาม...ใครทำ”

     “มัน...” หนึ่งหลบตา ขืนตัวจะสะบัดแขนออกแต่ทำไม่ได้

     “ไม่ได้ไปมีเรื่องมาใช่ไหม”

     ผมสูดลมหายใจลึก รอคำตอบมันทั้งที่รู้ดีว่าต่อให้หนึ่งสำมะเลเทเมาเพียงใด มันไม่เคยกลับมาเพราะร่องรอยชกต่อยเลยสักครั้ง แถมรอยเหล่านี้คล้ายจะจงใจให้ถูกปกปิดไว้ ตอนที่มันใส่ชุดนักศึกษาผมมองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย
   
     “หนึ่ง” ผมเรียกชื่อมันอีกครั้ง “แฟนมึงใช่ไหม”

     “...”
   
     “เฮียถามว่าใช่ไหม!”

     การที่มันไม่ตอบ เบือนหน้าหนี เม้มปากแน่น น่าจะเป็นคำตอบที่ดีกว่าอะไรทั้งหมด

     ผมพยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้บีบลงไปบนต้นแขนของมัน ไหล่มันเขียวช้ำเป็นจ้ำ ไม่รู้ว่าโดนมากี่วันแต่รู้ว่าน่าจะเร็วๆ นี้ เพราะกว่าแผลยังไม่กลายเป็นสีเขียว แต่ก็ไม่ใช่สีแดงเหมือนเพิ่งโดนกระทำมาใหม่ๆ

   “ไปแต่งตัว” ผมยื่นเสื้อให้มัน “แล้วเดี๋ยวออกมาคุยกับเฮีย”

   มันพูดอะไรไม่ออกและผมไม่รอ ผมเดินออกมาปิดประตูห้องน้ำอย่างนึกหงุดหงิดใจ ความขุ่นมัวข้างในทำให้ผมรู้สึกว่าทุกอย่างที่อ่านมาหายไปหมด แต่ว่า...

     ผมอดไม่ได้ที่จะหลับตาลง ภาพร่างกายของอีกฝ่ายกลับมาให้เห็นชัด ผิวของหนึ่งไม่ได้ขาวจัดแต่ก็ยังเห็นร่องรอยเช่นนั้นชัดเจน...เด่นชัดเสียจนผมโมโห ทุกอย่างมันลงตัวกันไปหมด สาเหตุว่าทำไมเจ้าเด็กนั่นถึงมารอผมอยู่หน้าห้องพร้อมกับโกหกคำโตของมัน สาเหตุว่าทำไมมันไม่ยอมกลับหอ

     ผมอดไม่ได้ที่จะคิดย้อนไปถึงวัยเด็ก ตอนที่เรายังเด็กมาก เด็กเสียจนไม่รู้ประสา ตอนที่ผมไปเที่ยวต่างจังหวัดกับแม่และเจอหนึ่งเป็นเพียงเด็กน้อย มีรอยยิ้มที่แตกต่างจากวันนี้ให้ผม

     “เฮียปกป้อง”

     ยามเด็กคนนั้นเรียกชื่อจริงๆ ของผมด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา เนื้อตัวมอมแมมเพราะเล่นสนุก

     ...เหมือนจะผ่านมาเนิ่นนานเหลือเกิน




------------------------------------
ขออภัยที่หายไปนานค่ะ  :hao5:
ถ้าหากอ่านแล้วชอบ รบกวนสกรีมในแท็ก
#ขอให้ไม่ใช่รัก ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ!

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ติดตามค่าา

น้องหนึ่งดื้อมาก เฮียรีบจัดการคนทำนะ  :katai1:

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 2
‘แผล’



     ห้านาทีผ่านไป สิบนาทีผ่านไป หนึ่งก็ยังไม่ยอมออกจากห้องน้ำ จนผมต้องไปเคาะประตูเรียกมันออกมาพร้อมกับกล่องยาปฐมพยาบาล

     “หนึ่ง ตายรึไง ไม่มีใครว่างรอมึงทั้งวันหรอกนะ” ผมว่าเสียงแข็ง แต่กลับปราศจากคำตอบใดจนผมต้องเคาะประตูอีกรอบให้เสียงดังขึ้น “ไอ้หนึ่ง!”

     ไม่นานประตูก็เปิดออก อีกฝ่ายสวมเสื้อกล้ามกับกางเกงบอลที่ผมให้ไป หน้ามุ่ย บอกบุญไม่รับ แต่คนที่ควรหงุดหงิดควรต้องเป็นผมเสียมากกว่า ผมชี้ไปที่เตียง พร้อมออกคำสั่งสั้นๆ

     “นั่ง”

     “หิว” มันว่าเสียงอ่อน หลบตา ชวนให้นึกถึงเด็กประถมพยายามเบี่ยงประเด็นหลบเลี่ยงความผิด

     “คุยก่อน เดี๋ยวค่อยกิน”

     “เฮียป้อง” เรียกกันดีๆ เฉพาะตอนนี้ชนักติดหลังเท่านั้นแหละ

     ผมหรี่ตา ก็รู้หรอกว่ามันยังไม่ได้กินข้าว แต่ตอนนี้นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญเสียหน่อย “ถอดเสื้อ แล้วก็หันหลังมา” มันทำอิดออดจนผมเรียกชื่อมันเสียงเข้มอีกที ท้ายที่สุดหนึ่งก็ยอมถอดเสื้อและหันหลังให้ตามที่ผมบอก

     หนึ่งเป็นคนผอม หมายถึงผอมจริงๆ ใครเห็นก็บ่น ไม่รู้เป็นเพราะว่าตอนเด็กได้รับสารอาหารไม่พอหรืออย่างไร ช่วงหลังๆ มันก็ดูมีเนื้อมีหนังขึ้น แต่บริเวณคอ ไหปลาร้า หน้าอก เรื่อยมาจนถึงแผ่นหลังก็ยังดูผอมบางกว่าผู้ชายปกติมากนัก

     หลังของมันไม่ขาวสะอาด เดิมทีมันก็มีแผลเป็นอยู่ตรงกลางหลังตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ไหนจะรอยสักเล็กๆ ตรงกึ่งกลางที่กระดูกสะบักอยู่แล้ว เป็นรูปนกสองสามตัวที่โผบิน บริเวณใกล้ๆ บั้นท้ายก็มีรอยสักเป็นตัวอักษรเขียนคำว่า 1st เอาไว้ ก็คงมาจากชื่อของมันนั่นแหละ ผมไม่เคยชอบใจรอยสักมันสักจุด รวมถึงรอยที่หัวไหล่ด้านซ้าย แม้จะไม่ใช่รอยที่ใหญ่อะไรแต่เห็นแล้วนึกขัดลูกตา  ถึงกระนั้น...นี่มันน่าหงุดหงิดกว่ารอยสักเสียอีก

     “ยังเจ็บอยู่ไหม” ผมถามพลางเปิดกล่องปฐมพยาบาล

     “ก็...นิดหน่อย” มันตอบอ้อมแอ้ม

     ยิ่งฟังยิ่งขัดใจ ผมค่อยๆ ทำแผลให้มัน บางจุดก็นึกหงุดหงิดใจจนเผลอกดแรงไปหน่อยให้หนึ่งมันร้องโอดโอยขึ้นมาอย่างแผ่วเบา

     พอทำทุกอย่างเสร็จผมจึงพูดขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความเงียบ “หันตัวมา”

     หนึ่งถอนหายใจแต่ก็ยอมทำตามที่สั่ง

     แผลบริเวณซี่โครงดูใหม่กว่าที่หลัง มันเกร็งหน้าท้องจนเห็นได้ชัดเมื่อผมโน้มตัวลงไปใช้สำลีสัมผัสผิวกายมัน “กี่วันแล้ว”

   “...เมื่อวาน”

     ผมเงยหน้า “มันทำแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว” คนอายุน้อยกว่าเบือนหน้าหนี “มึงก็รู้ว่ามึงปิดเฮียไม่ได้”

     “ปกติกริชมันก็รุนแรงอยู่แล้ว...” มันผลุบตาต่ำ ผมเพิ่งนึกออกว่าแฟนหนึ่งชื่อกริช บางทีมันอาจจะเคยบอกแล้วแต่ผมไม่ได้นึกใส่ใจอะไร “แต่ช่วงหลังๆ ก็มันก็แรงขึ้น แล้วก็ มีบ้างเวลาโมโห”

     “แล้วก่อนหน้านั้น?”

     “เฉพาะมีเซ็กส์” หนึ่งเม้มปากแน่น “มัน...ไม่ได้รุนแรงขนาดนั้นนะเฮีย มันแค่ เอ่อ... บ้าง เวลาที่มัน...” ใบหน้าของอีกฝ่ายเริ่มขึ้นสีจาง ผมคิดออกว่ามันคงไม่อยากจะพูดเรื่องบนเตียงของมันกับแฟนเท่าไหร่ โดยเฉพาะต่อหน้าของผมแบบนี้

     “มันซาดิสม์เหรอ แล้วเราเป็นมาโซคิสม์รึเปล่าล่ะ”

     “เราไม่ได้ถึงขั้นนั้นสักหน่อย”

     “หนึ่ง” ผมละสายตาจากรอยแผล มองลึกเข้าไปในตามัน “ที่เฮียถามคือ... มึงมีความสุขไหมเวลาที่มันทำรุนแรงกับมึงเวลามีเซ็กส์”

     คนตรงหน้าสบตาผมอยู่เพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่มันจะก้มหน้า ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน “แรกๆ มันก็ไม่ได้แย่แต่มัน...แรงขึ้นเรื่อยๆ”

     แปลว่าไม่ได้เต็มใจ

     ผมไม่ได้ตอบอะไร ก้มลงจัดการแผลให้จนทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หนึ่งเริ่มมีลมหายใจสม่ำเสมอมากขึ้นเมื่อผมผละกายออกแต่ก็ไม่ได้ขยับตัวไปไหน

     “เลิกกับมันซะ”

     “เฮียป้อง!” อีกฝ่ายแผดเสียงลั่น

     “ทำไม” ผมอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้ว “หรือไม่ยากเลิก? เมื่อกี้บอกว่ามันไม่ได้ทำแบบนี้แค่บนเตียงด้วยนะ...” ผมจำได้ที่มันบอกว่าแฟนของมันลงไม้ลงมือกับมันตอนโมโห เกิดขึ้นมากี่ครั้งก็ไม่รู้ แต่เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นสักครั้ง ไม่ว่าจะกับผู้หญิงหรือผู้ชาย

     “รู้แล้ว!” มันว่าเสียงแข็ง แล้วจึงค่อยๆ อ่อนลง “แต่...มันก็แค่ตอนทะเลาะ”

     “แฟนมึงชื่ออะไรนะ”

     “กริช”

     “เออ นั่นแหละ เลิกกับมันซะ” ผมย้ำคำเดิม “คบกันมานานเท่าไหร่นะ”

     “เจ็ดเดือน”

     ผมจิ๊ปาก ไม่รู้เลยว่ามันยาวนานขนาดนั้น “นั่นแหละ ผู้ชายที่คบกับมึงเจ็ดเดือนแต่ทำร้ายมึงแบบนี้ มันใช้ได้ที่ไหน... ต่อให้มึงคบกับมันเป็นสิบๆ ปี มันก็ไม่มีสิทธิทำแบบนี้กับมึง”

     หนึ่งอ้าปากเหมือนจะเถียงอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่มีคำใดหลุดออกมา

     “ถ้าพูดแล้วมันไม่ฟัง เดี๋ยวเฮียไปคุยกับมันเอง” ผมผ่อนลมหายใจ “หรืออยากให้บอกน้ากานดา?”
   
     พอหยิบยื่นคำนี้ให้แววตาของมันก็อ่อนลง แปรเปลี่ยนเป็นสั่นไหวแทน ผมรู้ดีว่าหนึ่งรักแม่มากแม้มันจะเป็นเด็กที่ดื้อและไม่ใช่นักศึกษาที่ประพฤติตัวดีนัก แต่มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ทุกอย่างที่มีแม่ของมันเข้ามาเกี่ยวข้องก็ทำให้มันอ่อนลงได้ง่ายๆ

     “...อย่าบอกแม่นะ”

     นั่นแปลว่าหนึ่งยินยอมกับสิ่งที่ผมสั่งโดยดี

     ผมเก็บกล่องปฐมพยายามให้เรียบร้อยก่อนที่จะหยิบชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้า “ไปเปลี่ยนชุด”

     มันขมวดคิ้ว

     “เอ้า หิวข้าวไม่ใช่รึยังไงกัน ก็จะลงไปข้างล่าง”

     แม้มันจะทำหน้ามุ่ย แต่ผมก็สังเกตได้ว่าปากมันพึมพำคำว่า ‘ขอบคุณ’ แบบไร้เสียง


   
     มันจัดการเปลี่ยนเป็นเสื้อมีแขนกับกางเกงสภาพดีหน่อยลงไปกินข้าวใต้คอนโด แถวนี้มีร้านอาหารเต็มไปหมด นักศึกษาพลุกล่าน

     “เฮีย” มันกระตุกชายเสื้อนักศึกษาของผม “ไม่ได้เอากระเป๋าตังค์มา”

     “รู้แล้ว”

     ขนาดมือถือมันยังไม่ได้เอามาเลยด้วยซ้ำไป กระเป๋าเป้อะไรก็ไม่มีติดตัวสักอย่าง เสื้อผ้าอะไรก็ไปอยู่กับทางนู้นจนหมดแล้ว จะว่าไปแล้ว ไอ้หนึ่งมันมาแต่ตัวจริงๆ เลยนี่หว่า

     หนึ่งไปกินอาหารตามสั่งร้านข้างทาง ไม่ลืมที่จะหันมาถามผมว่าผมจะเอาอะไรบ้างไหม แต่เพราะกินข้าวเย็นไปแล้วผมเลยสั่งมาแค่โค้กแก้วเดียว ขณะที่รออาหารก็มีความเงียบเข้าปกคลุม หนึ่งดูกังวลเหมือนกับกำลังกรุ่นคิดเรื่องอะไรสักอย่างอยู่ ซึ่งก็ควรจะเป็นอย่างนั้น...หากมันไม่คิดอะไรสักอย่างผมนี่แหละจะด่ามันเอง

     “เฮียป้อง” คนตรงหน้าเรียกชื่อผมเสียงแผ่ว “หนึ่งทำยังไงดี”

     ไม่ต้องถามเลยว่าเรื่องอะไร

     “เลิกกับมันไง”

     “หนึ่งเคยพูดเรื่องนี้กับกริชแล้ว”

     คำพูดนั้นทำให้ผมเลิกคิ้ว “ตอนไหน”

     “เมื่อวาน” คำตอบยิ่งทำให้ผมแปลกใจ นึกย้อนกลับไปตอนเที่ยง ยังเห็นหนึ่งมานั่งกินข้าวกับแฟนมันที่โรงอาหารอยู่เลย “...เลือกผัวผิดคิดจนตัวตายจริงๆ”

     คำสุดท้ายเหมือนมันบ่นกับตัวเอง อยากจะบอกกับมันจริงๆ ว่าวันหลังก็หัดคิดก่อนที่จะมีเสียบ้าง แต่รู้ดีว่าพูดไปตอนนี้มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ เรื่องเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือแก้ปัญหาเรื่องตรงหน้าเสียก่อน

     “ที่วันนี้มาหากูก็เพราะเรื่องนี้สินะ?”

     จริงๆ ก็ตั้งใจจะถามแบบปกติ แต่ดูเหมือนน้ำเสียงผมจะออกแนวประชดประชันไปเสียหน่อย คนตรงหน้าเลยหน้าตึงขึ้นมาโดยฉับพลัน หนึ่งกำลังจะขยับปากด่า แต่อาหารมาวางตรงหน้าเสียก่อน คำพูดเหล่านั้นเลยถูกมันกลืนลงคอไปแทน

     “กินเสร็จเดี๋ยวออกไปซื้อของก่อน”

     “เฮียไม่อ่านหนังสือแล้วเหรอ”

     “เคี้ยวให้เสร็จแล้วค่อยพูด” อดไม่ได้ที่จะตำหนิ เป็นเด็กทำตัวซกมกชิบหาย “เดี๋ยวค่อยกลับไปอ่าน”

     “เบื่อคนเก่งจริงๆ” เห็นมันบ่นด้วยสีหน้าปูเลี่ยนแล้วผมเลยเตะขามันใต้โต๊ะเบาๆ “แม่รักเฮียกว่าหนึ่งอีก”

     “แม่กูก็รักมึงมากกว่ากูเหมือนกัน”

     ผมว่าตามจริง แม่เอ็นดูหนึ่งมันจะตาย เจ้าเด็กนี่เข้าหาผู้ใหญ่เก่ง ไม่ใช่แค่แม่ของผม พ่อของผม รวมไปจนถึงพี่ลูกปลา พี่สาวคนเดียวของผมก็รักมันมากกว่าผมเสียอีก
   
     ผมรอจนมันกินอาหารอะไรทุกอย่างให้เสร็จก่อนที่จะเข้าไปที่มินิมาร์ทใกล้ๆ ซึ่งมีแต่เด็กมหาวิทยาลัยผมมาใช้บริการ ของที่ซื้อก็ของทั่วไปสำหรับการดำรงชีวิต กระดาษทิชชู่ที่จำได้ว่าหมดแล้ว อาหารกล่องและของสดอีกนิดหน่อยไว้ทำกินเอง

     “อยากได้อะไรก็หยิบแล้วกัน” ผมพูดกับคนข้างกาย

     “เฮียเลี้ยงเหรอ”

     “แล้วตอนนี้มึงมีเงินจ่ายรึยังไง”

     ได้รับคำอนุญาตแบบนี้แล้วมันก็เดินไปหยิบขนมกรุบกรอบที่มันชอบกินใส่ตะกร้าบ้าง แถมยังทำท่าจะเดินไปซื้อพวกเครื่องดื่มมึนเมาถ้าผมไม่เอ่ยปากห้ามไปก่อน มันอิดออด ทำท่าจะอ้อนแต่ทุกอย่างก็ไร้ผล ก็แหงล่ะ...เงินอยู่กับผม และผมถือคติว่าจะไม่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิดขึ้นไปอยู่บนหอ ทั้งๆ ที่ตอนอยู่ด้วยกันมันก็รู้กฎข้อนี้ดีแท้ๆ

     หลังจากซื้อของอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็แบ่งกันถือของเต็มสองมือ ตอนแรกตั้งใจจะเข้าไปซื้อของแค่นิดๆ หน่อยๆ กลายเป็นไอ้หนึ่งหยิบนู่นหยิบนี่เยอะไปเสียหมด แต่พอเดินมาจนถึงใต้คอนโดผมกลับต้องขมวดคิ้วเมื่อเจอคนที่ไม่คิดว่าจะเจอที่นี่

     “หนึ่ง!”

     ผู้ชายร่างสูงใหญ่คนนั้นเดินตรงมาที่หนึ่งซึ่งแทรกตัวเข้ามาข้างหลังผม ยังดีที่ผมตั้งสติดันมันถอยหลังไปก่อน พอเห็นแบบนี้แล้ว ผู้ชายที่ชื่อกริชก็หยุดชะงัก

     “มึงเกี่ยวอะไรด้วย” มันถามผมเสียงขุ่น

     ผมย่นคิ้ว ไร้มารยาทเสียจริง กริชรูปร่างสูงประมาณผม แต่ดูความหนาของตัวแล้วแตกต่างกันมากพอควร และผมขัดใจหูที่มันไประเบิดมาสุดๆ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นในตอนนี้เสียหน่อย

     “หนึ่ง!” มันตะโกนเรียกคนข้างหลังผมเสียงดัง ทำท่าจะเอื้อมมือมาแต่ผมเอี้ยวตัวไปบังไว้เสียก่อน “โอ๊ย! ยุ่งอะไรด้วยวะ”

     ผมถอนหายใจ “คืนนี้หนึ่งจะพักกับผม” พยายามพูดอย่างสุภาพที่สุด

     อีกฝ่ายแสดงอาการหงุดหงิดออกมาอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเป็นในการ์ตูนคงจะเห็นควันออกจากหูมันแล้ว “มันไม่มีสิทธิ์ หนึ่ง กลับไปกับกู”

     “หนึ่งมีสิทธิ์” ผมเอ่ยปากขัด ดึงมือหนึ่งให้ไปอยู่ข้างหลังมากกว่าเดิมเมื่อเห็นกริชกระชากแขนมัน พอเจอคนที่พูดไม่รู้เรื่องแบบนี้แล้วรู้สึกว่าตัวเองหงุดหงิดง่ายขึ้นหลายเท่า “และหนึ่งจะไม่ไปอยู่กับมึงอีกแล้ว”

     มันผรุสวาทเสียงดัง หลังจากนั้นผมก็รู้สึกว่ามีอะไรกระทบใบหน้าแรงพอดูที่จะทำให้ผมงุนงงไปชั่วขณะเลย ได้ยินเสียงหนึ่งตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดัง และผมรู้สึกว่าตัวเองก้นจ้ำเบาลงไปที่พื้น น่าสมเพชเสียไม่มี

     “กริช...กริช หยุด!” หนึ่งเดินเข้าไปคุยกับแฟนมันเสียงอ่อน ชวนหงุดหงิดจนผมต้องลุกขึ้นมาแล้วดึงข้อมือมันกลับมา

     “กูรู้เรื่องที่มึงทำหนึ่งแล้ว และกูจะไม่ปล่อยให้มึงทำอีก”

     ผมพูดคำนั้นให้ชัดถ้อยชัดคำที่สุด ไม่มีการตวาด เป็นการพูดด้วยสติ

     กริชทำท่าจะปรี่เข้ามาทำร้ายผมอีกรอบ แต่ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงตะโกนให้หยุดจากรปภ. มันเลยชะงักไป ทำท่าลังเลอยู่ชั่วครู่ ไม่ทันวิ่งหนีไปอีกทางรปภ. สองคนก็วิ่งมาประชิดตัวเสียแล้ว

     ผมใช้จังหวะนั้นกึ่งเดินกึ่งลากหนึ่งให้เข้ามาในคอนโด เดินตรงไปที่ลิฟต์ เดี๋ยวค่อยมาบอกรปภ. ว่าอย่าให้เจ้ากริชเข้ามาในคอนโดอีก

     “เฮียป้อง...เฮีย” มันเรียกตอนที่ประตูลิฟต์ปิดลง จับหน้าผมอย่างถือวิสาสะ “เจ็บไหมเฮีย”

     “เจ็บ” บอกไปตามตรง ไม่เจ็บได้ไงวะ ผัวมึงเล่นซะเต็มแรงเลยด้วยซ้ำ

     “เดี๋ยวขึ้นไปหนึ่งทำแผลให้”

     “ช่างมันเถอะ” ผมบอกปัด “เดี๋ยวหลังจากนี้มาอยู่นี่เลยแล้วกัน เลิกกับมันซะ นักเลงจะตาย ไปเอามันมาคบได้ยังไงกัน” อดไม่ได้ที่จะด่ามันด้วยความหงุดหงิดใจ

     “ของหนึ่งอยู่ที่นู่น...” มันว่าเสียงอ่อย

     “ก็เดี๋ยวไปเอามา ถ้าเอามาไม่ได้ก็ซื้อใหม่ให้หมดซะ” ผมประชดด้วยอารมณ์ “เดี๋ยวหลังจากนี้ตอนอยู่มหา’ ลัยก็เกาะเพื่อนไว้แน่นๆ แล้วกัน แล้วเดี๋ยวเอาตารางเรียนมึงมาด้วย”

     มันขมวดคิ้ว “เอาไปทำไม”

     “เดี๋ยวไปรับไปส่ง”

     หนึ่งทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ อันที่จริงก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าตัวเองต้องมาพูดแบบนี้กับผู้ชายนิสัยเสียอย่างไอ้เด็กเวรนี่ แต่สถานการณ์แบบนี้จะปล่อยมันไปไหนมาไหนคนเดียวไม่น่าจะดี ถ้าแฟนมันนักเลงถึงขนาดมาหาที่นี่ได้ก็ไม่น่าแฮปปี้เท่าไหร่แล้ว

     ลิฟต์เลื่อนมาถึงชั้นที่ผมอยู่ เราจึงเดินออกมา ระหว่างนั้นเองที่หนึ่งเอ่ยปากพูดเสียงเบา

     “เฮีย”

     “...อะไรอีก”

     “หนึ่งขอโทษ”

     ผมเลิกคิ้ว มองหน้าเด็กเปรตที่ทำหน้าเศร้าสร้อยแบบปิดบังไม่ได้แล้วถอนหายใจ “ช่างมัน” พูดไปยังรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณที่โดนต่อยอยู่เลย

     ...เพราะแบบนี้ไงถึงไม่ค่อยอยากยุ่งเรื่องผัวๆ เมียๆ


----------------------
แต่เฮียก็มายุ่งแล้วนะคะเฮีย...
ใครชอบเรื่องนี้ รบกวนสกรีมลงในแท็ก #ขอให้ไม่ใช่รัก ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ XD
ปล. เค้าปิดเทอมแล้วนะตัวเอง!

หนึ่งคอมเม้นเท่ากับหนึ่งกำลังใจ อย่าลืมให้กำลังนิวด้วยหนึ่งคอมเม้นนะคะ!

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
มาติดตามค่า

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
สำหรับเรานะ ป้องแมนมากๆเลย  ปกป้องน้องโดยที่ไม่ได้ลงมืออะไร 
ไม่ได้เสียการควบคุมตัวเอง  โดนต่อยไปทีดีกว่าไปลงมือกระทืบกริชเองเสียอีก
เป็นผู้ชายที่ทำอะไรด้วยสติ  น่าชื่นชมค่ะ   หายากทุกวันนี้ 
แต่เสียดายที่สำหรับหลายๆคนกลับกลายเป็นว่าคนแบบนี้น่าเบื่อ  ไม่กล้าสู้คน

หมัดที่รับจากกริชหมัดนั้นน่าจะเป็นตัวเตือนใจหนึ่งว่าป้องทำเพื่อหนึ่งแค่ไหน

ออฟไลน์ toncivil

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
เป็นความสัมพันธ์ที่ยังขมุกขมัว แต่เราติดใจแล้วค่า รออ่านนะคะ

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 3
‘ค่าโง่’


     ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้า และมันทำให้ผมได้รู้ว่าเผลอหลับไปตอนที่นั่งอ่านหนังสือสำหรับสอบวันนี้

     “วันนี้มีเรียนกี่โมง” ผมถามมันพลางหาววอดไปด้วย

     หนึ่งซึ่งเปลือยท่อนบนกำลังนำโจ๊กสำเร็จรูปไปอุ่นด้วยไมโครเวฟไม่ได้รู้ตัวเลยว่าผมเดินเข้าไปประชิด กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่มันหันมาแล้วชนกับผมเข้าอย่างจัง

     “เฮีย!”

     “อะไร”

     “มาไม่ให้สุ่มให้เสียง” หนึ่งว่าเสียงเขียว “ออกไปเลย”

     ผมถอนหายใจ เมื่อคืนยังทำตัวว่าง่ายอยู่แท้ๆ ไม่เคยจะทำตัวดีหรอกถ้าไม่มีความผิด “มีเรียนกี่โมง”

     “เก้าโมง บอกไปแล้วเมื่อคืน”

     ผมเหลือบตามองดูนาฬิกาบนฝาผนัง ตอนนี้เกือบแปดโมง มีเวลาอีกถมไปเพราะยังไงก็ไม่ได้ใช้เวลาเดินทางมากเท่าไหร่

     “แล้วเลิกกี่โมง”

     “สามโมงครึ่ง”
   
     “งั้นมารอที่คณะ เฮียเลิกสี่โมง น่าจะเลตอีกนิดหน่อย”

     หนึ่งทำหน้างุนงง จังหวะนั้นที่เสียงไมโครเวฟดังขึ้นบ่งบอกว่าโจ๊กพร้อมทานแล้วมันจึงจัดการหยิบออกมา วางไว้บนโต๊ะ แล้วถึงเงยหน้าขึ้นมาเค้นหาคำตอบจากผมอีกครั้ง

     “เอ้า มีชุดใส่เรียนเยอะเหรอ จะไปเอาของที่หอแฟนมึงไง”

     แววตาคนตรงหน้าสั่นไหวนิดหน่อย มันหันหลังไปหยิบช้อน “เฮียไม่ต้องลำบากขนาดนั้นสักหน่อย...”

     “จะเก็บของไว้ที่นู่นหรือไง ยังไงก็เลิก หรือจะกลับไปคืนดีกับมัน”

     “เฮียหงุดหงิดแล้วมาลงอะไรที่หนึ่งวะ”

     ผมรู้สึกเหนื่อยที่จะเถียงกับมันจึงพูดตัดบทเสีย “มารอเฮียแล้วกัน จำตารางเรียนมันได้ไหม ไปตอนที่มันไม่อยู่ก็ดี มีกุญแจเข้าห้องมันไหม”

     “มี” มันตอบหน้าบูด

     “งั้นเดี๋ยวรอไปด้วยกันแล้วกัน”

     ผมจัดการสรุปความพลางนั่งลงกินโจ๊กที่หนึ่งอุ่นเผื่อให้ไปด้วย มื้อเช้าของเราก็มีแต่ความเงียบ ในขณะที่กิน ผมก็เหลือบมองรอยช้ำบนตัวมันและนั่งคิดอะไรหลายต่อหลายอย่าง มีความคิดและความรู้สึกที่ผ่านมาและผ่านไประหว่างมื้ออาหาร แน่นอนว่าผมเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา



     หลังจากทานข้าวอาบน้ำเสร็จ (หนึ่งใส่ชุดนักศึกษาตัวเดิม) ผมก็จัดการไปส่งมันที่คณะ ถึงกับเลือกที่จะจอดมอเตอร์ไซค์และลงไปพร้อมกับมันเพื่อให้แน่ใจว่ามันมีเพื่อนอยู่จริงๆ และผัวเจ้าปัญหาของมันจะไม่มาดักรอที่นี่ โดยมีเสียงบ่นของหนึ่งดังตลอดทาง โดยมากก็มีแต่ประโยคเดิมๆ

     “หนึ่งไม่ใช่นักโทษนะเว้ย” บ้างล่ะ “หนึ่งโตแล้วนะ” บ้างล่ะ ซ้ำไปไม่รู้กี่ครั้งตั้งแต่ที่จอดมอเตอร์ไซค์มาจนถึงโต๊ะหินอ่อนแถวคณะมัน

     “ไอ้หนึ่ง”

     ทั้งผมทั้งเจ้าของชื่อหันขวับไปดูคนเรียก ผู้ชายที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาว่าเป็นคนแบกมันกลับมาห้องสมัยยังอยู่ด้วยกันยกมือขึ้นเล็กน้อย อีกฝ่ายชะงักไปเมื่อเห็นว่าเพื่อนตนไม่ได้มาคนเดียว นอกจากเจ้านั่น ที่โต๊ะยังมีผู้หญิงอีกสองคนนั่งอยู่อีกด้วย

     “ไง”

     หนึ่งทักทายเพื่อนตัวเองด้วยรอยยิ้ม เดินเข้าไปนั่งก่อนที่จะหันมามองทางผมราวกับจะพูดว่า ‘ยังอยู่ทำไม ออกไปสิ’ อย่างไรอย่างนั้น
   
     ผมพ่นหายใจกับท่าทางเช่นนั้น เดินตรงเข้าไปหาน้องผู้ชาย

     “น้อง” ไอ้หนุ่มนั่นเงยหน้าขึ้นมาทำหน้างุนงง “ขอเบอร์หน่อย”

     “เฮียยยยยยยย!”

     เสียงสูงเกินไปรึเปล่าไอ้หนึ่ง

     เพื่อนของหนึ่งทำหน้างุนงง มองผมสลับกับหนึ่งทีสองที ก่อนที่ไอ้เด็กซึ่งผมยื่นโทรศัพท์ให้จะรับมันไปกดเบอร์ตัวเองให้อย่างงุนงง มันจัดการเมมเบอร์ตนเองว่าชื่อโอ๊ต ผมใช้เวลาระหว่างนั้นหันไปหาน้องผู้หญิงอีกสองคน

     “พวกน้องชื่ออะไรนะ”

     พวกหล่อนแนะนำตัว คนหนึ่งชื่อแป้ง เป็นผู้หญิงใส่แว่นผมสั้น ท่าทางเรียบร้อย ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อแก้วตา เป็นคนที่ดูสวยจัด พอมองดีๆ แล้วคุ้นหน้า บางทีอาจจะเป็นหน้าเป็นตาให้คณะบ่อยก็ได้ ชื่อดูหวานแต่ท่าทางผิดกับแป้งลิบลับ ดูเป็นผู้หญิงเฉี่ยว เห็นได้จากการย้อมผมเป็นสีบลอนด์ทั้งหัว

     “ฝากไอ้หนึ่งมันด้วย ช่วยตามติดมันให้ตลอด อย่าให้มันอยู่คนเดียวล่ะ”

     “เฮียป้อง!” หนึ่งยังโวยวายไม่เลิก “เลิกทำเหมือนผมเป็นเด็กสักทีได้ไหม!”

     “ประโยชน์มึงทั้งนั้น...” ผมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

     เด็กดื้อถลึงตาใส่แต่ก็ไม่ยอมเถียง เรื่องนี้ยังไงๆ ก็เถียงไม่ได้หรอก ผมกำชับให้หนึ่งอยู่ติดกับเพื่อนไว้ แล้วจึงเดินออกมาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ของมันเสียที

     พอกลับมาที่จอดรถ ผมก็นึกขึ้นได้ว่าลืมกำชับมันอีกเรื่องจนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดไลน์ ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหาชื่อมันเจอเพราะไม่เคยได้คุยอะไรกันสักครั้ง แล้วจึงจัดการส่งข้อความหามันเสีย

     ‘อย่าลืมมาเจอที่คณะตอนสี่โมง’

     สักพักก็มีตัวอักษร Read ขึ้นให้เห็น แต่ไม่มีคำพูดใดตอบกลับมา เอาเถอะ... ถือว่ามันรับรู้แล้ว ถ้ามันไม่มาจะได้ด่าได้เต็มปากเต็มคำ

     ผมเก็บโทรศัพท์มือถือตน แล้วจึงเริ่มสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ ขับไปที่คณะสัตวแพทย์ของผมทันที



     “เป็นไงวะป้อง มึงทำได้ล่ะสิ” ผมเหลือบสายตามองไอ้กันต์ สีหน้าดูอิดโรย พูดใส่ผมด้วยน้ำเสียงเหมือนเจ็บแค้นเหลือคณานับ

     “ไม่”

     คู่สนทนาผงะ “อะไรนะ”

     “กูทำไม่ได้ ชัดไหม”

     “เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นวะ” พอได้ยินชัดถ้อยชัดคำไอ้กันต์ก็ตาเบิกกว้าง สีหน้าดูตื่นขึ้นมาในฉับพลัน “ปกติมึงไม่บอกว่าทำไม่ได้นี่ นี่มันวิชาถนัดมึงนะ”

     ผมไม่ตอบอะไร รู้สึกหัวเสียไม่น้อย ปกติแล้วผมไม่เคยที่จะรู้สึกว่าทำข้อสอบไม่ได้เท่าไหร่ ถ้าทำพอได้ก็บอกตรงๆ ว่าทำพอได้ คะแนนผมไม่เคยต่ำกว่ามีน ขนาดวิชาที่ผมรู้สึกว่ามันเฮงซวยมากยังเกินมีนเลย แต่ครั้งนี้ทำให้ผมไม่มั่นใจเท่าไหร่ นอนก็ไม่พอ หนังสือก็ไม่ค่อยได้อ่าน ยังต้องมานั่งพะวงเรื่องของไอ้เด็กเวรนั่นอีกต่างหาก และความน่าหงุดหงิดเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเพราะว่ามันเป็นวิชาที่ผมถนัดเนี่ยแหละ

     ยังดีที่ไอ้กันต์สงบปากสงบคำบ้าง พอมันเห็นว่าผมไม่สบอารมณ์มันก็ชวนเปลี่ยนเรื่องจนเราเดินลงมาใต้ตึกคณะ

     “ไปดูบอลกันไหมวะ” มันน่าจะพูดถึงกีฬาคณะ

     “ไม่ล่ะ” ผมปฏิเสธทันควัน สายตามองหาคนที่นัดไว้และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาในทันที

     “ใจร้ายว่ะ มีนัดเหรอ”

     “เออ”

     “ใครวะ”

     ผมหันไปกำลังจะด่าคำว่า ‘เสือก’ แต่ตาดันมองไปเห็นหนึ่งนั่งหน้าตาบึ้งตึงอยู่ที่มุมหนึ่ง ทำให้ผมกลืนคำด่าเพื่อนลงคอ เปลี่ยนมาเอ่ยคำลาในทันที

     “วันหลังแล้วกัน กูไปล่ะ”

     จังหวะที่ผมเดินเข้าไป หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมพอดี มันทำท่าฮึดฮัดนิดหน่อย หยิบแก้วใกล้ๆ ที่เหลือแต่น้ำแข็งเดินตรงมาหากัน

     “เดี๋ยวกลับบ้านก่อน”

     “เอ้า” มันทำหน้าหงุดหงิด “แล้วจะให้มาหาที่คณะ...”

     “เอามอเตอร์ไซค์ไปเก็บแล้วค่อยนั่งแท็กซี่ไปเอา” ผมเอ่ยแบบนั้น หยิบแก้วกาแฟในมือมันไปโยนทิ้งขยะ “หรือจะไปเอาเลย? ของมากไหมล่ะ”

     “ก็มากอยู่”

     “งั้นก็เดี๋ยวไปเรียกแท็กซี่เถอะ ไปๆ กลับๆ เจอหน้าผัวมึงแล้วรู้สึกป่วย”

     พอตกลงกันได้แล้วผมจึงรีบบิดมอเตอร์ไซค์กลับไปจอดที่คอนโด จัดการเอากระเป๋า หนังสือ กระดานที่มีกระดาษวาดเขียนของหนึ่งไปเก็บที่ห้อง แล้วค่อยลงมาเรียกแท็กซี่ไปบ้านมัน โดยไม่ลืมถามหนึ่ง

     “แน่ใจนะว่ามันไม่อยู่”

     “ไม่อยู่หรอก มันไปแข่งกีฬาคณะ”
   
     ผมร้องครางในลำคอ ตอนนี้อยู่ในช่วงการแข่งขันกีฬาคณะ สำหรับคณะผมนั้นไม่เคยได้จริงจังกับอะไรพวกนี้เท่าไหร่ มักจะส่งไปตามพิธีมากกว่า โดยมากก็แพ้กลับมา คณะที่แข่งกันบ่อยจริงๆ ก็หน้าเดิมๆ พวกคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ บัญชี-บริหาร พวกนี้ ผลัดๆ กันอยู่แค่นั้นแหละ

     พอรถมาจอดตรงหน้าหอก็ทำให้ผมเอ่ยปากถามถึงสิ่งที่สงสัย

     “ไอ้เวรนั่นรวยสินะ”

     ตอนแรกที่บอกว่าเป็นหอ ผมก็นึกว่าหอพักนักศึกษาทั่วไป แต่ที่นี่มันก็คอนโดเหมือนกัน นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่พักหรอก ส่วนมากเป็นครอบครัวกับคนทำงานแล้วทั้งนั้น

     “ลูกคุณหนู” มันบ่น “เหมือนเฮียแหละ...ใช้เงินไม่รู้จักคิด”

     ผมแกล้งปล่อยผ่านคำด่าจากปากไอ้เด็กเวรนี่ไป “ที่ไม่รู้จักคิดน่าจะไม่ใช่แค่เรื่องใช้เงินนะ... แล้วทำไมมันถึงเอามันมาทำเมียวะ”

     หนึ่งไม่ตอบอะไรแต่ผ่อนลมหายใจยาว เดินเข้าไป กดลิฟต์อะไรอย่างคุ้นชิน จนประตูลิฟต์เปิดออกมันจึงมองซ้ายมองขวา เดินนำผมไปที่ห้องที่มันเคยพักอยู่ แต่พอมันไขกุญแจกลับทำให้ผมเผลอสบถออกมาเบาๆ อย่างหัวเสีย

     สภาพห้องไม่น่าดูชม เจ้าของห้องน่าจะอาละวาดหนักทีเดียว ผมมองโต๊ะดราฟแบบของหนึ่งที่หักเป็นสองท่อนเป็นอย่างแรก หนึ่งเองก็ดูตกใจเหมือนกัน แต่มันก็มองสำรวจก่อนว่าเจ้าของห้องอยู่หรือเปล่า

     “เสื้อผ้าคงไม่เป็นไรหรอก” ผมบอกเมื่อเห็นชัดว่าเจ้าของห้องไม่อยู่ “รีบไปเก็บไป เดี๋ยวรอข้างหน้า”

     หนึ่งพยักหน้า เดินเข้าไปให้ห้องด้วยสีหน้าไม่ดีนัก

     ผมรออยู่หน้าห้องไม่นาน ราวๆ สิบห้านาทีเห็นจะได้ หนึ่งจัดการเก็บของเสร็จออกมาพร้อมกับกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่คุ้นตาผมอยู่บ้าง ดูน้อยกว่าที่ผมคิดไว้

     “เหลือแค่นั้นเหรอ”

     “พังไปเยอะแล้ว กริชมันคงหงุดหงิดมั้ง”

     “พวกมือถือกับกระเป๋าตังค์ล่ะอยู่ดีไหม”

     “ยังไม่พัง” หนึ่งชูโทรศัพท์ขึ้นมาให้ดู ถึงไม่พังหน้าจอก็แตกไปแล้ว แต่น่าจะยังใช้ได้อยู่ “ตอนนั้นจำไม่ได้ว่ามีเงินอยู่เท่าไหร่ แต่บัตรทุกอย่างอยู่ดี”

     ผมพยักหน้า หยิบกระเป๋าสัมภาระของมันมาถือ เบากว่าที่คิดไว้ ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างนี้ นั่งมอเตอร์ไซค์มายังได้เลย ตอนแรกก็นึกว่าพวกโต๊ะดราฟอะไรจะยังอยู่ พวกนั้นมันลำบากเวลาขนย้าย

     “คงต้องบอกน้ากานดาจริงๆ ล่ะมั้ง” ผมรำพัน

     หนึ่งหันขวับ “อย่าบอกแม่นะเฮีย”

     “หนึ่ง นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะ ของเสียหายไปเท่าไหร่ ไหนจะของจำเป็นมึงเวลาเรียนอีก”

     “ใช้กระดานไปก่อนก็ได้”

     “ถ้าแม่มึงมายังไงก็ต้องผิดสังเกต” ผมว่าพลางจิ้มหน้าผากมันอย่างเหลืออด “ที่ผ่านมาน้ากานดามาก็ชวนไปนู่นไปนี่ ไม่ได้ชวนขึ้นห้อง ถ้าวันไหนแม่ขึ้นห้องมาก็ต้องรู้ แล้วนี่อีก” ผมเลื่อนนิ้วไปหยุดที่รอยแผลของมันใต้ร่มผ้า “มันทำร้ายร่างกายมึงนะ”

     “ก็รู้แล้วไง! ที่หนึ่งเสียไปถือว่าเสียค่าโง่แล้วกัน!”

     “เสียไปแพงเลยนะ”

     ผมหันหน้าหนีมัน เดินออกมาจากคอนโดเพื่อออกไปต้นซอยจะได้เรียกแท็กซี่ได้ง่ายๆ

     พอได้แท็กซี่ บรรยายกาศระหว่างเราก็คุกกรุ่นขึ้นมาใหม่ มันมองหน้าผม ผมเองก็มองหน้ามัน อยากจะด่าให้หนักกว่านี้แต่ก็เกรงใจคนขับ ไม่อยากจะคิดจริงๆ ว่าถ้าเมื่อวานผมไม่บังเอิญไปเห็นแผลของมัน ไม่เค้นความจริงจากมัน หนึ่งจะปล่อยผ่านไปและกลับไปคบกับไอ้เวรนั่นอีกไหม นี่ขนาดผมมายุ่งเกี่ยวด้วย ผมยังรู้เลยว่านิสัยของเจ้านั่นไม่เลิกราง่ายๆ อย่างแน่นอน

     เมื่อเรากลับมาถึงห้องผมก็เลือกที่จะไปอาบน้ำเสียก่อน เดินออกมาก็เห็นหนึ่งกำลังนอนแผ่บนเตียง เอามือก่ายหน้าผาก สีหน้าไม่สู้ดีนัก

     “หนึ่ง” ผมเดินเข้าไปใกล้เตียงพลางเช็ดผมตัวเอง

     อีกฝ่ายลืมตาขึ้นมา “มันหยดนะ...” บ่นนิดหน่อยถึงหยาดน้ำที่หยดลงโดนใบหน้ามันเล็กน้อย

     “จะเอายังไง ให้เฮียบอกน้ากานดาเลยไหม”

     “ไม่” มันเปลี่ยนท่าเป็นนอนตะแคง “เดี๋ยวหนึ่งจัดการเอง”

     “แค่นี้ยังไม่รู้เหรอว่ามึงจัดการเรื่องนี้คนเดียวไม่ได้”

     ไม่รู้เหมือนกันว่าคำพูดผมแทงใจดำเด็กนั่นหรืออย่างไร หนึ่งลุกขึ้นมานั่ง มองผมด้วยทีท่าเหมือนจะขว้างค้อนวงโตแต่แววตากลับสั่นไหวเล็กน้อย

     มันเงียบ ผมก็เงียบ เหมือนเรากำลังทะเลาะกันโดยใช้ความเงียบเป็นสื่อกลาง

     สุดท้ายแล้วก็เป็นผมเองที่ทำลายความเงียบด้วยการถอนหายใจ
   
     “ยังไม่บอกน้ากานดาก็ได้ แต่ถ้าท่าไม่ดีจริงๆ เฮียไม่ถามมึงแล้วนะ” พอว่าเช่นนั้นเด็กเปรตนั่นก็ท่าทางอ่อนลงนิดหน่อย มันทำท่าจะล้มตัวลงนอนต่อแต่ผมสั่งขัดเสียงก่อน “ไปอาบน้ำ”

     “เดี๋ยวน่า...” หนึ่งพูดเสียงอู้อี้ ล้มตัวลงไปอย่างไม่ฟังคำสั่งกันเลย

     เด็กดื้อทำให้ผมต้องเดินเข้าไปประชิดตัวจับไหล่มันให้หันมานอนหงาย แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างผิดพลาดไปเสียหน่อยผมจึงหน้าใกล้กับมันมากจนเกินไป ตอนที่เราสบตากันและผมได้รับรู้ถึงความอุ่นจากลมหายใจของหนึ่ง คำพูดต่างๆ ก็เหมือนถูกกลืนลงคอ หนึ่งมองผมอย่างงุนงงเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยปากถามขึ้นมาเสียงสั่น

     “อะ...อะไรเล่า”

     ผมไล้ปลายนิ้วลงบนไหล่บางของมัน เรื่อยมาจนไหปลาร้า ก่อนที่จะผละหน้าออกเมื่อรู้สึกมวนท้องเล็กน้อย

     “ไปอาบน้ำ” ผมสั่ง “แล้วเดี๋ยวออกมาจะทายาให้” แล้วจึงเดินออกไปที่ห้องครัว

     รอบนี้ไม่มีเสียงทัดทานได้จากเด็กดื้อ ได้ยินเสียงเสียดสีของกายกับเตียงเล็กน้อยก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงปิดประตูห้องน้ำดังปังอย่างไม่เกรงใจคนข้างห้องเหมือนเคย




--------------------------------

เฮียป้องออกจะน่ารักนะคะ XD
#ขอให้ไม่ใช่รัก

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
ยังอึมครึมอยู่ แต่เหมือนปลายของบทนี้จะเห็นความรู้สึกของป้องชัดขึ้น (ใช่ไหมคะ?)

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
พี่ป้องงงงงงงงงงงงงงงงง

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
เฮียป้องนี่จะเป็นพระเอก หรือ พ่อ คะ
 :laugh:

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 4
‘ล้ำเส้น’


     “หนึ่ง”
   
     ผมมองคนตรงหน้าที่นอนบนเตียง กอดก่ายหมอนข้างที่มันแอบยึดไปจากผมเมื่อคืนก่อน หนึ่งนอนน้ำลายยืดอย่างน่าเกลียด พอผมเอื้อมมือไปเขย่าตัวมันก็สะบัดกายหนี เบียดตัวเข้าไปกับหมอนข้างมากกว่าเดิม

     “หนึ่ง!” ผมขึ้นเสียงอีกหน่อย กระชากหมอนข้างออกอย่างรวดเร็ว “ลุกได้แล้ว! กูมีเรียนเก้าโมง!”

     คนที่นอนสบายอุราบนเตียงค่อยๆ ลืมตาขึ้น “หนึ่งเรียนตั้งสิบครึ่ง”

     “กูรู้แล้ว” ลืมไปแล้วหรือว่าผมให้มันเอาตารางเรียนมาให้ผมเรียบร้อยแล้ว “แต่กูต้องไปส่งมึง”

     หนึ่งหลับตาลงไปอีกครั้ง คราวนี้เอาหมอนมาปิดหูเพิ่มความหงุดหงิดให้ผมมากกว่าเดิมเสียอีก ผมเหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้ผมอยู่ในชุดนักศึกษาแล้วแต่ยังไม่ได้กินข้าว และผมขาดเรียนไม่ได้

     “หนึ่ง!” ผมเรียกชื่อมันอีกครั้ง เสียงดังกว่าเก่า ดึงหมอนในมือ ผ้าห่ม เอาทุกอย่างที่มันจะไปกอดก่ายเพื่อหลบหนีผมออกและจับมือมันขึ้นมายืนขึ้น “ไปอาบน้ำ เดี๋ยวไปกินข้าว”

     มันขมวดคิ้ว สีหน้ายังครึ่งหลับครึ่งตื่น “หนึ่งจะไปรอแกร่วทำไม”

     “มึงไปไหนมาไหนเองได้ที่ไหน”

     “แต่ก็ไม่ต้องขนาดนี้ไหม” หนึ่งทำหน้าขัดใจ

     “ถ้ามันมาดักรอหน้าหอ เอามึงไปปล้ำจะทำยังไง”

     “คนบ้าอะไรมันจะทำขนาดนั้นวะ”

     “ผัวมึงก็ดูบ้าขนาดนั้นแหละ ไปเอามันทำ...”

     “หยุด!” มันเอานิ้วชี้ขึ้นมาราวกับจะสั่งเลยโดนผมโบกหัวไปทีข้อหาไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ยังจะมาขึ้นเสียงอีก “โอเค หยุดบ่นสักที” ว่าเช่นนั้นแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปในที่สุด

     หนึ่งใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่เราจะได้ออกจากห้องด้วยหน้าตาบู้บี้ของมัน ผมไปทานข้าวที่โรงอาหารคณะตัวเองและพยายามสอดส่องว่าไอ้กริช ตัวปัญหาจะโผล่หน้ามาอีกตอนไหน

     ผมคิดว่าช่วงเวลานี้แหละอันตรายที่สุด เล่นแอบไปเอาของหนึ่งจากห้องของมันเมื่อวาน แค่หนึ่งหายตัวไปมันก็อาละวาดจนห้องเละเทะขนาดนั้น ไอ้หมอนั่นเป็นคนอารมณ์ร้ายน่าดูเลยจริงๆ

     พอกินข้าวเสร็จผมก็จัดการเดินไปส่งมันที่คณะสถาปัตย์ แต่เพื่อนมันไม่โผล่หน้ามาสักทีจนผมเริ่มหงุดหงิด

     “เฮียไม่ไปเรียนเหรอ”

     “ไป” ผมว่า เหลือบมองนาฬิกาที่เลยเวลาเข้าเรียนมาสิบนาทีแล้ว “แต่มึงยังไม่เจอเพื่อน”

     “...” หนึ่งหน้าตาสลดไปนิดหน่อยและเปลี่ยนกลับมาอวดเก่งในเสี้ยววินาที “หนึ่งไม่ได้ลำบากขนาดนั้นปะวะ เฮียไปเรียนเถอะ”

     ผมกดริมฝีปากเข้าหากันอย่างชั่งใจ ที่แน่ๆ คือผมห้ามเข้าห้องสายเกินกว่ายี่สิบนาทีเพราะอาจารย์คนนี้เคี่ยวมากเสียด้วย แต่จะให้หนึ่งอยู่คนเดียวที่นี่ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องดี

     “เฮียป้อง เฮียไม่ใช่พ่อหนึ่งนะ” มันพล่ามต่อ “หนึ่งโตแล้วด้วย”

     “มึงเด็ก”

     “สิบเก้า!” มันกระแทกเสียง “ยังเด็กอยู่อีกเหรอ”

     “มึงเด็กตลอดในสายตากู”

     สิ้นคำพูดหนึ่งก็ผงะไปนิดหน่อย ผมแอบคิดในใจว่าพลาดเสียแล้ว แต่แกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างไรมันก็เป็นเรื่องจริง หนึ่งเด็ก เป็นเด็กนิสัยเสียเสียด้วย

     “เออ งั้นก็ไปเลยไป”

     “ไอ้นิสัยขี้ประชดนี่ก็เด็ก”

     หนึ่งแสดงอาการฟึดฟัด อารมณ์เสียอย่างปิดไม่มิด ผมมองนาฬิกาอีกทีก่อนที่จะตัดสินใจลุกขึ้น ยังไงๆ ก็ต้องไปเรียน กำชับให้มันนั่งตรงนี้เพราะอย่างน้อยก็ยังอยู่ในบริเวณที่มีผู้คน แล้วจึงเดินออกมาโดยที่ใช้มือขยี้ผมของมันเบาๆ ผมของหนึ่งหยิกเล็กน้อยและนุ่มเหมือนขนแมวเหมือนเคย

     สิ่งที่แปลกไปคือหนึ่งไม่ปัดมือผมออกเหมือนทุกครั้ง มันนั่งนิ่งๆ ให้ผมเล่นหัวมันอยู่นั่นแหละ

     “เฮียไปแล้ว เดี๋ยวคาบบ่ายมารอที่นี่นะ”

     “เออ”

     ผมส่ายหน้า อยากจะด่ามันอีกสักทีเรื่องไม่มีสัมมาคารวะแต่ก็ปล่อยผ่านไปเพราะต้องรีบวิ่งไปเข้าเรียนเสียที



     โชคดีที่ผมไปเข้าเรียนทันอย่างเฉียดฉิวแม้จะโดนอาจารย์กล่าวตักเตือน และพูดเรื่องการเข้าเรียนสายส่งผลเสียอย่างไรอีกราวๆ ครึ่งชั่วโมง เล่นเอารู้สึกผิดกับเพื่อนที่นั่งเรียนอยู่ในห้องและต้องทนฟังเรื่องเหล่านั้นไปเลย เอาวะ... ผมก็ได้ฟังมันบ่อยๆ ในคาบก่อนๆ เหมือนรีเพลย์ซ้ำๆ นั่นแหละ แต่ผมก็เข้าใจว่าเรื่องตรงต่อเวลาสำหรับคนเรียนสัตวแพทย์มันสำคัญมากจริงๆ

     คาบกลางวันผมก็มากินข้าวที่เดิม มีไอ้กันต์มาเป็นเพื่อนและพล่ามเรื่องนู่นเรื่องนี่อยู่คนเดียวเหมือนเดิม ไอ้กันต์นี่ก็เก่งเนอะ พูดคนเดียวได้เป็นวรรคเป็นเวร

     หลังจากจองที่และไปซื้อข้าวเสร็จแล้ว ผมก็มาหย่อนตูดนั่ง ไม่ทันจะกินข้าวก็รู้สึกเหมือนมีสายตาจ้องมอง แวบเดียวที่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคุณริว จิตสัมผัส และพอเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าจิตสัมผัสของตัวเองแม่นชิบหาย

     อย่างที่บอกไปแล้วว่าโรงอาหารของผมใช้ร่วมกับคณะบริหารและการบัญชี... ไอ้ตัวปัญหาของหนึ่งแม่งนั่งเลยผมไปสองสามโต๊ะ มันมองหน้าผมตาขวางแบบที่เล่นเอาผมงงไปเลยว่าผมไม่ใช่รุ่นพี่มันเหรอ

     ทำไมเด็กสมัยนี้นิสัยเสียกันจริง

     ผมรำพันในใจ และตระหนักได้ว่า ผมก็แก่กว่า ‘เด็กสมัยนี้’ ที่พูดถึงแค่สองปีเท่านั้น

     “ไม่กินล่ะวะ”

     ไอ้ภีมที่เดินถือจานข้าวขาหมูนั่งลงตรงข้ามผม ขอบคุณต้องขอบคุณที่มันเลือกนั่งตรงนี้ บังไอ้กริชนั่นมิดเลย ดีแล้ว ผมไม่อยากมีเรื่อง

     “ไม่มีอะไร” ผมบอกปัด ลงมือกินข้าวให้สบายใจได้สักที

     แต่ความสบายใจมันก็อยู่ชั่วครู่เท่านั้น

     กินข้าวหมดไปยังไม่ถึงครึ่งจาน ฟังไอ้กันต์กับไอ้ภีมพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ จู่ๆ ไอ้ตัวปัญหาก็มายืนค้ำหัวไอ้ภีมที่นั่งตรงข้ามกับผม มองหน้าผมอย่างหาเรื่อง

     ผมเลิกคิ้ว ไม่รู้ว่าหน้าตาเดิมของตัวเองมันกวนตีนหรือผมเผลอกวนตีนมันจริงๆ ไอ้กริชถึงได้ตะโกนออกมา

     “มึง!”

     เพื่อนผมสองคนเงยหน้ามองอย่างงุนงง คนที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยเองก็เงยหน้าขึ้น ไอ้กริชเดินมาหาผมซึ่งนั่งอยู่ริมโต๊ะ กระชากคอเสื้อให้ลุกขึ้นมาประจันหน้ากับมัน

     “ไอ้หนึ่งมันไปไหน!”

     ก็คิดอยู่แล้วว่ามันต้องมาแนวๆ นี้

     เพื่อนผมที่นั่งกินข้าวอยู่ลุกขึ้น กระชากมันออกไปแรงนิดหน่อย “เฮ้ย! เป็นไรวะ!”

     ผมเอาลิ้นดุนแก้ม เอามือดันไอ้ภีมที่เลือดขึ้นหน้าเร็วเกินเหตุออกไปเป็นเชิงว่าไม่มีปัญหาอะไร จับปกเสื้อสองสามทีก่อนที่จะเงยหน้ามองกริชที่ตอนนี้ดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด

     “หนึ่งอยู่ไหน!” มันย้ำคำถามเดิมอีกที “มันอยู่กับมึงใช่ไหม!”

     “มันไม่ใช่เรื่องของคุณ” ผมพยายามพูดอย่างใจเย็น แต่ดูเหมือนจะกลายเป็นการยั่วโมโหอีกฝ่าย

     “มันจะไม่ใช่เรื่องกูได้ยังไง ในเมื่อหนึ่งมันเมียกู!”

     ผมเลิกคิ้ว เคยเรียกไอ้คนตรงหน้าว่าผัวหนึ่งต่อหน้ามันอยู่บ้าง แค่นั้นมันก็ไม่แฮปปี้แล้ว ไอ้กริชเล่นบอกว่ามันเป็นเมียกลางโรงอาหาร ไม่อยากคิดเลยว่าถ้ามันอยู่ตรงนี้มันจะรู้สึกยังไง

     กริชขบฟันกรอดจนเห็นสันกรามอย่างชัดเจน ผู้คนในโรงอาหารเริ่มให้ความสนใจเมื่อเรายืนประจันหน้ากันและมันตะโกนเสียงดังลั่น ส่วนผมได้แต่ยืนเงียบๆ ไม่พูดอะไร รู้สึกว่าสองวันที่อยู่กับหนึ่งมามีนิสัยปากหมามากกว่าเดิม กลัวจะไปสะกิดต่อมบ้าของมันอีก

     “ถ้ามึงยังยุ่งอีก...”

     “ยังไงก็ต้องยุ่ง...ในเมื่อหนึ่งไม่อยากยุ่งกับคุณเอง”

     ผลัวะ!

     หน้าผมชาไปข้างหนึ่งอีกแล้ว ผมรู้สึกว่ามีร่างหนาเข้ามากระชากเสื้อผมอีกครั้ง ได้ยินเสียงเพื่อนไอ้กริชตะโกนบอกให้หยุดพอๆ กับเพื่อนผม ทีนี้ก็คลุกวงในกันสนุกเลย เพื่อนไอ้กริชพยายามรั้งมันไว้ ส่วนผมก็ต้องดึงไม่ให้ไอ้ภีมไปต่อยกับเขาแทน ได้ข่าวว่าคนโดนต่อยคือกูแท้ๆ

     “ปล่อย!” มันตวาดใส่เพื่อนมัน ก่อนที่จะตวาดใส่ผม “ไอ้เวรเอ้ย! มึงเสือกอะไรด้วยวะ”

     เพื่อนโดนด่า ไอ้ภีมก็แทบจะถลาเข้าไปต่อยไอ้กริชให้ผมเสร็จสรรพ นักเลงจริงไอ้นิ่ง พอรั้งไว้ได้สักพักไอ้กริชก็ชี้หน้าผมอย่างอาฆาต

     “กูจะเอามันคืน”

     “หนึ่งไม่ใช่สิ่งของ” ผมสวนกลับทันควัน ฟังแบบนี้แล้วเหมือนอารมณ์สูงขึ้นโดยฉับพลันอย่างไรอย่างนั้น

     กริชทำท่าจะถลาเข้ามาใหม่ แต่เพราะไทยมุงรอบๆ นี้ และสถานการณ์ตอนนี้ใครก็เห็นว่ามันเป็นฝ่ายเข้ามาทำร้ายผม (แม้มันจะทำเหมือนผมไปแย่งเมียมันมาก็เถอะ) และผมยังไม่ตอบโต้ใดๆ อีกด้วย มันสะบัดมือเพื่อนมันออก แล้วเดินออกไป
   
     พอมันเดินออกไปสักพักสถานการณ์ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ไอ้ภีมกับไอ้กันต์หันมามองผมอย่างตั้งคำถามแต่ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนั้น ตั้งใจจะกินข้าวต่อแต่พอช้อนกระทบปากนิดหน่อยก็รู้สึกเจ็บ

     ผมเอามือสัมผัสริมฝีปาก...ชัดเจนเลยว่าปากแตก

     เอาวะ อย่างน้อยฟันก็ไม่หลุด

     ผมพยายามมองโลกให้สวยงามกว่าปกติและกินข้าวต่อไปทั้งๆ ที่รู้สึกเจ็บปากอยู่หน่อย ไอ้กริชนี่แม่งเล่นซ้ำแผลเดิมเสียด้วยสิ



     “เฮียไปโดนอะไรมาเนี่ย!”

     ตัวต้นเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ผมเจ็บตัวทำหน้าตื่นเมื่อมันเดินลงมาจากตึกเรียนพร้อมๆ กับเพื่อนกลุ่มเดิมของมัน แต่พุ่งตัวมาหาผมอย่างรวดเร็ว แถมยังเอื้อมมือมาแตะปากของผมที่เพิ่งแตกไปเมื่อกลางวัน

     “เรื่องเล็กๆ” ผมว่า ไม่อยากอธิบายให้มากความ

     “ประสาทเหรอ หนึ่งไม่โง่นะ” มันทำท่าร้อนใจ “กริชใช่ไหม เฮียเคยมีเรื่องกับใครที่ไหน” มันว่าเช่นนั้น เอามือจับหน้าผมหันซ้ายขวาเหมือนกับสำรวจว่ามีตรงไหนบุบสลายอีกไหม
   
     ผมจับข้อมือเล็กนั่นก่อนที่มันจะจัดการสำรวจผมมากกว่านี้ มองเลยหนึ่งไปก็เห็นเพื่อนมันทำหน้างุนงงกันอยู่นิดหน่อย สบตากับผมแล้วหลบตากันหมดจนผมสงสัยว่าหน้าผมมันไม่สบอารมณ์มากเลยเหรอจึงต้องกลัวกันถึงเพียงนั้น

     “เฮีย...”

     ผมเลื่อนสายตากลับมามองคนตรงหน้า มันเรียกผมเสียงอ่อน พอคิดออกว่ามันจะพูดอะไรต่อเลยตัดบทด้วยการหยิบไม้กระดานของมันมาถือไว้

     “กลับกัน”

     หนึ่งชะงัก หันไปลาเพื่อนอย่างว่าง่ายก่อนที่จะเดินตามผมมาที่มอเตอร์ไซค์คันเดิม “เอามานี่ หนึ่งถือเองได้”

     “เดี๋ยวตอนกูขับมึงก็ถือ”

     มันบ่นต่อไม่ได้ ยอมเดินแบกกระเป๋าเงียบๆ แต่โดยดีจนมาถึงมอเตอร์ไซค์ หนึ่งจึงรับกระดานนั้นไปถือด้วยท่าทางทุลักทุเลเล็กน้อยตอนที่ผมจะออกตัว พอเห็นหนึ่งถือกระดานโดยไม่ได้ยึดเหนี่ยวอะไรไว้สักอย่างจึงเอื้อมมือไปจับมือของมันมาวางไว้ที่เอวของผมข้างหนึ่ง

     “เดี๋ยวมึงก็ตกหรอก”

     “อะ อื้อ...” มันว่าแบบนั้น ใช้มือวางวงแขนไว้ที่เอวผมหลวมๆ ส่วนมืออีกข้างใช้ประคองกระดานไม้เจ้าปัญหานั่นไว้

     พอกลับมาถึงคอนโด เปิดประตูห้องมาผมก็โยนข้าวของไว้แถวๆ โซฟา เดินไปหยิบน้ำมาดื่ม ส่วนหนึ่งเดินเข้าไปในบริเวณห้องนอน และกลับมาพร้อมกับกล่องยาสามัญประจำบ้านที่ดูเหมือนช่วงนี้ต้องใช้บ่อยเหลือเกิน

     “หนึ่งทำแผลให้”

     “มันไม่ได้มากมายขนาดนั้น”

     ผมบอกปัด แต่เด็กดื้อก็ยังเดินเข้ามาหาผมที่ยืนตรงหน้าตู้เย็น ลากผมไปนั่งที่โซฟาโดยไม่ได้สนใจเลยว่าผมไม่ได้ต้องการให้มันทำแผลเล็กๆ แค่นี้ให้เสียหน่อย

     หนึ่งมือหนักเหมือนเคย ตอนเล่นกันแต่เด็กก็เป็นคนที่เล่นอะไรรุนแรง โตขึ้นมาก็ยังมือหนักอยู่ สิ่งเดียวที่ดูมันทำได้อย่างละเอียดอ่อนก็น่าจะเป็นตอนที่มันวาดรูปต่างๆ นั่นแหละ มันเคยบอกว่าอยากเรียนศิลปกรรม แต่ว่าสอบได้สถาปัตยกรรมเสียก่อนเลยหันมาเรียนอันนี้แทน ได้ยินจากแม่ว่าน้ากานดาไม่อยากให้มันเรียนศิลปกรรมเสียด้วย แต่หนึ่งไม่เคยพูดเรื่องนี้กับผมหรอก

     “หนึ่งขอโทษนะเฮีย” มันเอ่ยปากเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ
   
     “ถ้าจะขอโทษก็ขอโทษเรื่องที่ไปคบกับมันเถอะ”

     “ก็รู้แล้วไง...” มันว่าเสียงอ่อน ก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิดแบบที่ไม่ได้เห็นบ่อยๆ

     ผมถอนหายใจ อยากจะด่าแต่ก็ด่าไม่ค่อยออกเวลาหนึ่งทำตัวแบบนี้ ถ้าหนึ่งดื้อเหมือนกับปกติผมจะด่าได้เต็มปากเต็มคำมากกว่า

     หนึ่งทำท่าจะลุกขึ้นแต่ผมจับข้อมือมันไว้ให้มันนั่งลงที่เดิม ค่อยๆ เอื้อมมือไปจับเสื้อนักศึกษามันและปลดกระดุมสองเม็ดด้านบน หนึ่งสะดุ้งอย่างตกใจแต่ไม่โวยวายอะไรสักคำ

     “แผลดีขึ้นแล้วเนอะ”

     “เออน่า เป็นหมอหมายังจะมาดูอะไรเยอะ”

     “กูนึกว่ามึงเป็นหมาซะอีก” พอมันปากเก่งผมเลยสวนกลับได้สนุกปากมากขึ้น

     หนึ่งส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอในขณะที่ผมสำรวจและเห็นว่ารอยมันจางไปมากกว่าเดิมแล้ว หวังว่าอีกไม่กี่วันจะหายดี ยามเห็นผิวของมันแต้มด้วยบาดแผล ริมฝีปากของผมก็บดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

     “เฮีย...” หนึ่งเอ่ยปากเรียกผมเสียงอ่อน “ฮะ เฮียป้อง!”

     ผมชะงัก ดึงมือของตัวเองกลับ เกือบไปสัมผัสกับมันอีกแล้ว ผมคิดในใจ สูดลมหายใจลึก

     “รับโทรศัพท์สิ!” มันแหว ชี้มาที่โทรศัพท์ที่ผมวางไว้ข้างๆ กายซึ่งกำลังสั่นอย่างกับเจ้าเข้า

     ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู เบอร์ที่โทรเข้ามาทำให้ผมกลืนน้ำลาย เหลือบตามองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าก่อนที่จะสูดเอาลมหายใจเข้าปอดและตัดสินใจกดรับโทรศัพท์

     “สวัสดีครับน้ากานดา”

     ...แม่ของหนึ่งโทรหาผมทำไม




--------------------------
นั่นสิคะ... เฮียป้องจะเป็นพระเอกรึเปล่าเนอะ
วางตัวเป็นพ่อขนาดนี้  :z2:

#ขอให้ไม่ใช่รัก

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
ยังอึดอัดอยู่ ที่ยังหาร่องรอยของความรักระหว่างสองคนนี้แบบชัดๆไม่เจอ คิดว่าเริ่มเห็นความเป็นห่วงที่หนึ่งมีให้ป้อง และตอนท้ายๆบทที่ป้องปลดกระดุมเสื้อหนึ่ง แล้วเผลอไผลไปนี่... มัน มัน แบบ อีกนิดนึง ชั้นก็จะแน่ใจแล้ว ฮื้อ  :ling1:

ชอบความอึดอัดนี้นะคะ ขอให้ ใช่ รัก ทีเถอะนะ ลุ้น


ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :mew2:

เฮียโครตแมนจริง

ปกป้องน้องไว้นะคะ  :t3:

ปอลอ หวังว่าม๊าป้องกะแม่กานดาจะไฟเขียวนะ  :call:

ปอลอลอ ขอเฮียเป็นพระเอกกกกกกก  :call: :call: :call:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2016 22:14:32 โดย BlueCherries »

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
น่าติดตาม

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
พรุ่งนี้ไปเที่ยวค่ะ กลับวันจันทร์เย็นๆ
คิดว่ากว่าจะได้อัพนิยายคงจะวันอังคาร

ช่วยรอกันด้วยนะคะ <3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 5
‘ฝากฝัง’


     “สวัสดีครับน้ากานดา”

     “สวัสดีจ้ะป้อง” ปลายสายว่ากลับมาเสียงนุ่มนวลเหมือนที่ได้ยินประจำ “วันนี้น้ากับแม่จะแวะไปหาเรานะ มาทำธุระแถวๆ นี้พอดีน่ะจ้ะ นี่แม่เราขับรถอยู่”

     พอได้ยินเช่นนั้นผมก็ครางอ๋อออกมาเบาๆ ในขณะเลื่อนสายตาไปมองหนึ่งที่ทำหน้าตาสู่รู้ตั้งแต่ผมเอ่ยปากเรียกน้ากานดาแล้วด้วยซ้ำ

     “หนึ่งอยู่กับเราไหมจ๊ะ”

     “อยู่ครับ” ผมตอบไปตามจริง “จะมาที่นี่หรือว่าจะให้ผมออกไปเจอ...”

     “อยู่นั่นแหละย่ะ!” ได้ยินเสียงแม่แว้ดออกมาจากปลายสายเหมือนที่ได้ยินประจำ ตามด้วยเสียง
หัวเราะของน้ากานดา ก่อนที่จะอธิบายอะไรให้เสร็จสรรพ “เกดเขาอยากเข้าห้องน้ำน่ะ เราอยู่ที่นั่นแล้วกันเนอะ แล้วเดี๋ยวค่อยมาหาอะไรกินกัน”

     ผมตอบรับ เอ่ยอีกสองสามคำก่อนที่สายจะถูกตัดไปด้วยนิ้วของผมเอง

     “แม่ว่ายังไงบ้าง” พอวางสายปุ๊บ เจ้าตัวแสบก็ยื่นหน้าขึ้นมาทันที

     “เดี๋ยวแม่กับน้ากานดามาที่นี่ แล้วไปหาอะไรกินกัน” ผมตอบไปตามจริง

     ทีนี้หนึ่งก็ทำตาตื่น “เฮ้ย แม่จะผิดสังเกตไหม” มันมองไปรอบๆ ห้อง แววตากังวลแบบปิดไม่มิด

     พอมันพูดแล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ ตั้งแต่หนึ่งย้ายออกไปอยู่กับไอ้กริชมัน น้ากานดากับแม่ของผมไม่มีโอกาสขึ้นมาที่ห้องเลย หนึ่งมันหาทางบ่ายเบี่ยง ชวนไปเจอกันที่ห้างแถวๆ นี้ หรือไม่ก็ร้านอาหาร แถมปกติพวกท่านจะมาในวันเสาร์ – อาทิตย์ การทำแบบนั้นเลยปกปิดสภาพห้องที่มีของน้อยเกินกว่าที่จะเป็นห้องของผู้ชายสองคน โดยเฉพาะคนหนึ่งเป็นเด็กสถาปัตย์ด้วยแล้ว มันก็น่าจะมีอุปกรณ์ต่างๆ มากกว่านี้จริงๆ

     “เดี๋ยวก็อ้างๆ ไปแล้วกัน” ผมว่าอย่างสิ้นหนทาง ตอนนี้ได้แค่หาทางกลบเกลื่อน “บอกว่ามึงไปนอนคณะ ไปนอนกับเพื่อน ไปช่วยงานพี่อะไรก็ได้”

     “ไปช่วยงานคนอื่นใครมันจะแบกโต๊ะดราฟออกไปวะ!” มันสวนกลับทันควัน

     “แล้วมีทางที่ดีกว่านี้หรือไง” หนึ่งไม่ตอบแต่บดริมฝีปากเข้าหากัน คิ้วขมวดจนจะผูกกันกลายเป็นเงื่อนพิรอดอยู่แล้ว พอมันเถียงไม่ออกผมเลยเอานิ้วจิ้มกลางหน้าผากมันด้วยความหมั่นไส้ “ก็เห็นไหม... แล้วจะคิดอะไรเยอะ กลบเกลื่อนไปก่อนแล้วกัน”
   
     มันทำหน้ายุ่ง บ่นพึมพำเสียงแผ่วเบาแต่ดังพอให้ผมได้ยินถึงความกังวลใจของมัน “ถ้าแม่ไม่รู้ก็ดีหรอก...”



     ประมาณสิบห้านาทีจากที่น้ากานดาโทรมาก็มีคนกดออด เปิดประตูปุ๊บ แม่ของผมก็รีบชิงเข้าห้องน้ำปั๊บ ไม่ทันที่ไอ้หนึ่งจะได้ยกมือไหว้ด้วยซ้ำ สร้างเสียงหัวเราะเล็กน้อยให้น้ากานดา ก่อนที่ท่านจะยกถุงใส่กับสองสามถุงให้ผม

     “น้าทำมาให้เก็บไว้จ้ะ เอาไว้กินกันเนอะ”

     “ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยปากขอบคุณอีกฝ่าย “หวานปากผมเลยทีนี้”

     “ตอแหลอ่ะ” หนึ่งพูดแทรกขึ้นมาอย่างฉับพลัน

     “เอ๊ะ หนึ่ง ตีปากเลยนะ ไปว่าพี่เขาอย่างงั้นได้ยังไง”

     ผมก็ปล่อยให้แม่ลูกเขาคุยกันโดยการปลีกตัวมาเก็บอาหารที่น้ากานดาให้ไว้ในตู้เย็น ถึงจะมีคำดุด่าว่ากล่าวแต่หนึ่งก็ยิ้มออกมาอย่างสบายใจเหมือนทุกครั้ง

     น้ากานดาเป็นผู้หญิงตัวเล็กและผอมมาก ไว้ผมยาวมัดเป็นมวยไว้ประจำ ผมเห็นน้ากานดาตั้งแต่อายุห้าหกขวบ แม่บอกว่าท่านเป็นรุ่นน้องตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย พอจบมาทำงานก็เลยให้ท่านช่วยดูแลรีสอร์ทในเครือของแม่แห่งหนึ่งที่ต่างจังหวัด เป็นสถานที่โปรดที่บ้านเรามักจะไปพักช่วงปิดเทอม แต่พอผมอายุสักสิบขวบ น้ากานดาก็ย้ายมาทำงานที่ครัวในสาขากรุงเทพฯ พร้อมกับลูกชายคนเดียว ตั้งแต่เด็กๆ ผมก็ได้กินอาหารฝีมือท่านบ่อย ล่าสุดก็เริ่มลงทุนเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเองแล้ว   

     “น้ากานดานั่งก่อนก็ได้นะครับ” ผมเอ่ยปากออกมาเมื่อเห็นท่านยืนอยู่พักใหญ่ “แม่ผมท่าจะท้องไส้ไม่ดีเสียล่ะมั้ง”

     หนึ่งหันมาพูดโดยไร้เสียงกับผมว่า ‘เอาหน้า’ พร้อมแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างยียวน แต่ก็เดินประคองน้ากานดาไปนั่งที่โซฟาตามที่แนะนำ ส่วนผมก็เดินไปนั่งคุยกับสองแม่ลูกด้วย

     ประเด็นส่วนใหญ่ของน้ากานดาก็คือถามผมเรื่องของหนึ่ง หนึ่งดื้อไหม หนึ่งกินเหล้าบ่อยไหม จนเจ้าตัวเหมือนกินปูนร้อนท้อง หน้าตาบึ้งตึง โอดครวญกับแม่ว่าตนไม่ได้ทำตัวเป็นปัญหาใดๆ สักหน่อย เล่นเอาผมเลิกคิ้วกับคำโกหกคำโตนั่นเชียว ถ้าบอกว่าหนึ่งทำอะไรไว้บ้าง และตอนนี้กำลังปัญหาเรื่องอะไรอยู่ กลัวว่าน้ากานดาจะเป็นลมล้มพับกันไปพอดี

     “แล้วนั่นป้องไปโดนอะไรมาจ๊ะ”

     ในที่สุดท่านก็เอ่ยถึงเรื่องแผลบนมุมปากผม เล่นเอาหนึ่งเกร็งตัวขึ้นมาฉับพลัน มองหน้าผมอย่างปิดความกังวลไม่มิด ถ้าความลับแตกก็เพราะมึงนั่นแหละ

     “อ๋อ...” ผมครางในลำคอ พยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “พอดีซุ่มซ่ามนิดหน่อยน่ะครับ”

     “ซุ่มซ่าม? อย่างป้องน่ะหรือ”

     “ครับ ตอนทำแลป”

     น้ากานดาทำสีหน้าเหลือเชื่อนิดหน่อยแต่ก็ยังพยักหน้า เอ่ยเตือนว่าให้ผมระวังบ้าง ก่อนที่บทสนทนาจะถูกเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น

     ไม่นานนักแม่ของผมก็ออกจากห้องน้ำ ท่านบ่นว่ากลางวันคงกินอะไรผิดสำแดงเข้าไป

     “แล้วป้าเกดจะไปทานอาหารได้หรือครับ”

     “โอ๊ย... ป้าน่ะตายยาก ไม่เป็นไรหรอก”

     ผมมองหนึ่งที่เอ่ยปากถามป้าเกด หรือแม่ของผมแล้วเค้นยิ้มออกมา ชอบบอกว่าผมประจบประแจงบ้างล่ะ เอาหน้าบ้างล่ะ แต่ตัวเองก็แสดงออกต่อหน้าแม่ผมไม่ต่างกันเท่าไหร่

     ก็มีแค่ตอนนี้แหละมั้ง...ที่เห็นว่าหนึ่งเป็น ‘เด็กดี’ อยู่บ้าง



     เราตกลงทานอาหารญี่ปุ่นกันเพราะไม่อยากให้แม่กินอาหารรสจัดมาก แต่สิ่งที่แปลกใจคือนั่งสั่งอาหารไปไม่ทันไร พี่ลูกปลา พี่สาวที่อายุมากกว่าผมร่วมสิบปีก็เดินเข้ามาในร้าน ในชุดสูทผู้หญิงดูทะมัดทะแมงตามประสาสาวโสดวัยสามสิบที่ไม่มีแฟนสักที

     “วันรวมญาติเหรอ” ผมอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างแปลกใจ พอขึ้นมหาวิทยาลัยผมก็ไม่ค่อยได้เจอพี่สาวตัวเองนัก เนื่องจากเธอกำลังจะเข้างานบริหารต่อจากแม่อย่างเต็มรูปแบบ “ถ้ามีพ่อมาอีกคนนี่ครบเลยนะ”

     “พ่อแกไม่ว่างย่ะ” แม่ว่างั้น

     หนึ่งที่นั่งข้างๆ ผมและตรงข้ามกับน้ากานดาก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกันแต่มันก็ยังคุยกับครอบครัวผมได้อย่างปกติดีไม่มีเขินอายอะไรทั้งนั้น เออ ดีเนอะ... อยู่กับไอ้หนึ่งทีไรผมก็กลายเป็นหมาหัวเน่าตลอด

     มื้ออาหารจบลงโดยที่ผมไม่ได้พูดอะไรมากเท่าไหร่ คนจ่ายเงินคือพี่ลูกปลาพร้อมกับทิ้งท้ายว่าไม่ได้มีโอกาสมาเจอพวกเราบ่อยนักเลยถือเป็นการไถ่โทษ ก็จริงอย่างที่หล่อนว่า ต่อให้ผมกลับไปที่บ้านยังเจอเธอน้อยเลย ผมเองก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร ดีเสียอีกที่สบายกระเป๋าไปอีกมื้อ

     “ป้องจ๊ะ”

     “ครับ” ผมขานรับเมื่อน้ากานดาเอ่ยปากเรียกเมื่อเรายืนรออีกสามคนเข้าห้องน้ำ

     “ช่วยดูแลหนึ่งให้น้าด้วยนะ” หญิงร่างเล็กระบายยิ้มหวานบนริมฝีปาก หากแต่แววตาคู่นั้นยังฉายแววเศร้าสร้อยนิดหน่อย “มันดื้อไปบ้างก็อย่าถือสามันเลยนะจ๊ะ”

     หนึ่งไม่ได้แค่ ‘ดื้อไปบ้าง’ เสียหน่อย ผมแอบเถียงน้าแกในใจ แต่ก็ไม่คิดขัดอะไร

     “ถ้าหนึ่งคบเพื่อนไม่ดี ทำอะไรไม่ดี ดุมันได้เลยนะจ๊ะ น้าไม่ว่า”

     “ครับ”

     “แล้วถ้า...” น้ากานดาเสียงเบาลง เว้นวรรคไปชั่วครู่ราวกับไม่อยากพูดมันออกมา “ถ้าหนึ่งเจออะไร...เหมือนกับ ‘ตอนนั้น’ น้าวาน...”

     “ผมจะดูแลให้เองครับ”

     ผมเอ่ยตัดบทก่อนที่น้ากานดาจะเอ่ยปากจบ เพราะผมรู้ดีว่าน้าแกจะพูดเรื่องอะไร เป็นเรื่องที่ฟังจนชินตั้งแต่ช่วงมัธยมปลายที่มีหนึ่งเป็นรุ่นน้องร่วมโรงเรียน จนหนึ่งขึ้นมหา’ ลัยมา พอมีจังหวะที่อยู่ด้วยกัน น้ากานดาก็จะฝากฝังเรื่องนี้กับผมทุกครั้ง

     น้ากานดาคลี่ยิ้ม “ขอบคุณมากนะจ๊ะ”

     ยิ่งเห็นคำขอบคุณเหล่านั้น ผมก็ได้แต่รู้สึกผิดในใจเมื่อคิดว่าหนึ่งมีเรื่องปิดบังผู้เป็นแม่มากขนาดไหน และผมมีส่วนร่วมในการรู้เห็นกับเรื่องเหล่านั้น

     “แม่” หนึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำและแตะแขนน้ากานดาทันที “คุยอะไรกับเฮียอ่ะ”

     “ยุ่ง” ผมเอ่ยปากขัด

     มันเงยหน้าขึ้นมาต่อปากต่อคำ “ถามแม่ไม่ได้ถามเฮีย”

     “เอ๊ะ เอาอีกแล้ว เดี๋ยวตีเลย พูดกับป้องเขาดีๆ สิ เขาโตกว่าเราตั้งกี่ปี”

     หนึ่งทำหน้างอเมื่อโดนแม่ดุ มองผมตาขวางเหมือนผมเป็นคนผิด หลังจากนั้นสองสาวก็เดินออกมาจากห้องน้ำบ้าง

     แม่กับน้ากานดายังอยากซื้อของเพิ่มอีกนิดหน่อย พี่ลูกปลาเลยอาสาไปส่งพวกผมที่คอนโด แล้วเดี๋ยวให้แม่ขับรถกลับบ้านได้เลย พวกเราเลยจัดการล่ำลากันตรงนั้น ผมกับแม่ไม่ค่อยได้พูดอะไรมาก ผิดกับน้ากานดาที่กำชับเรื่องนู้นเรื่องนี้กับหนึ่งจนคนเป็นลูกแซวว่าแม่เป็นห่วงมากเกินไปแล้ว

     “หนึ่งโตแล้วนะ”

     “ช่างเถอะ ดูแลตัวเองดีๆ ละกัน ฟังพี่เขาบ้าง”

     “โอ๊ย อีกนิดหนึ่งก็มีเมียเป็นเฮียมันแล้วเนี่ย ขี้บ่นจะตาย”

     “หนึ่ง!” น้ากานดาเอ็ดลูกสายเสียงดุ
   
     พอสองแม่ลูกคุยกันจนหนำใจ หนึ่งกับผมจึงไปนั่งรถที่พี่ลูกปลาขับกลับคอนโด ยังขับได้ฉวัดเฉวียนน่าเวียนหัวเหมือนเคย หล่อนชวนน้องรักที่ไม่ใช่น้องในไส้คุยตลอดทาง จนมาถึงหน้าปากซอยที่มีร้านอาหารเต็มข้างทางและรถเคลื่อนไปได้ไม่มากเท่าไหร่

     “หนึ่ง” ผมเรียกคนที่คุยกับพี่สาวตัวเองอย่างออกรส “ลงไปซื้อฝรั่งให้หน่อย”

     คนโดนสั่งหันมาขมวดคิ้วมุ่น “คนเยอะจะตาย แล้วทำไมหนึ่งต้องลงไปอ่ะ” มันว่างั้นพลางมองไปที่หน้าต่างเห็นร้านขายผลไม้มีคนมุงอยู่ห้าหกคน ไม่แปลกเพราะมันมีร้านขายอยู่ร้านเดียว

     “เฮียปวดขา”

     “แล้วมันเกี่ยวกับหนึ่ง...”

     “อยากกินมะม่วงเปรี้ยวด้วยอ่ะหนึ่ง” พี่ลูกปลาแทรกขึ้นมาระหว่างที่ผมกับมันเถียงกันอยู่ “ซื้อให้พี่ด้วยสิ”

     พอโดนคำสั่งจากเราสองพี่น้องหนึ่งก็เริ่มเถียงไม่ออก มันทำหน้างุนงงก่อนที่จะรับเงินที่ผมยื่นให้ไปอย่างเสียไม่ได้ มันเดินลงไปซื้อพร้อมกับบอกพี่สาวผมว่าถ้ามีอะไรให้รถเคลื่อนไปเลยก็ได้ กว่าจะถึงคอนโดก็อยู่ตั้งท้ายซอย ผมบ่นว่าปวดขาคงไม่ยอมเดินไปเอง

     “ข้ออ้างสั่วๆ” พอหนึ่งลงไปพี่สาวผมก็ว่าแบบนั้น หันมามองผมที่นั่งข้างคนขับทำหน้าปูเลี่ยน “โอ้โห น้องฉันตอแหลมาก ปวดขานี่มันควรเป็นฉันรึเปล่า”

     ผมไม่ตอบโต้อะไรในส่วนนั้น แต่เอ่ยปากถามสิ่งที่ตัวเองหาจังหวะมานาน “สรุปเรื่องเจ้าของชื่อนั้นว่ายังไงครับ”

     “กฤติเดช มหาฆนรุจ” เธอว่าเช่นนั้น หยิบแฟ้มกระดาษสีน้ำตาลมาจากคอนโซลหน้ารถยื่นมาให้ผม “ที่บ้านทำธุรกิจส่งออกอาหารแห้ง เป็นลูกชายคนรองจากเมียเก็บพ่อเลยไม่ค่อยออกหน้าออกตา... เล่นเอาตกใจเลย มาถามประวัติเขาทำไม จะมีเรื่องด้วยเหรอ”

     “ไม่แน่ครับ”

     หล่อนทำหน้าแปลกใจ “แกเนี่ยนะป้อง? ตลกแล้ว...”

     “ผมไม่ใช่คนมีเรื่องด้วยหรอก” ผมว่าตามจริง ถอนหายใจพลางมองไปที่คนถูกใช้ให้ไปซื้อผลไม้ รถไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเท่าไหร่

     พี่สาวมองตามสายตาผม เธอหรี่ตาลงและถามเสียงเรียบ

     “หนึ่งเหรอ?” ผมไม่ได้พูดอะไรแต่พยักหน้าให้ ทีนี้พี่ลูกปลาก็เลยเอื้อมมือมาหยิกแขนผมพร้อมแหวผมเสียงดังทันที “เรื่องใหญ่แค่ไหนเนี่ย! ทำไมไม่บอกก่อน!”

     “ยังไม่ใหญ่มากนะ” ผมตีมืออีกฝ่ายคืน ปกติก็แรงช้างอยู่แล้วมีเล็บด้วยนี่เจ็บชิบหาย “เดี๋ยวเรื่องใหญ่กว่านี้จะบอก พี่เล่าให้พ่อฟังยัง”

     “แค่บอกว่าแกทำท่าจะไปมีเรื่องกับใครเท่านั้นแหละ แม่ก็รู้แล้วเลยตั้งใจจะมาดูสภาพวันนี้สักหน่อย”

     ผมไม่แปลกใจหากพี่สาวตัวเองจะคิดแบบนั้น ในเมื่อหลังจากได้เบอร์ติดต่อเพื่อนของหนึ่งมาผมก็สอบถามให้ช่วยตามหาชื่อจริงของไอ้กริชมันสักหน่อย พอได้รู้นามสกุลเลยให้พี่สาวสอบถามพ่อที่เป็นพลตำรวจให้ เนื่องจากนามสกุลมันที่พอเป็นที่รู้จักในแวดวงธุรกิจ

     “ไม่เอาให้ถึงขั้นเจ็บตัวหรอก”

     “เออ ต่อยตีเป็นกับเขาที่ไหน” คนอายุมากกว่าว่าอย่างงั้น “เรื่องใหญ่มากไหม ให้ผู้ใหญ่คุยกันไม่ง่ายกว่าเหรอ”

     “มันไม่อยากให้น้ากานดารู้เสียหน่อย”

     พี่ลูกปลาทำท่าจะอ้าปากพูดอะไรออกมาสักอย่าง แต่ก็กลืนคำพูดเหล่านั้นไป และหันกลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อรถคันข้างหน้าเคลื่อนไปได้นิดหน่อยพร้อมๆ กับจังหวะที่หนึ่งเปิดประตูรถ

     “พี่ปลา” มันชะโงกหน้าเข้ามาพร้อมยื่นมะม่วงกับกระปุกน้ำปลาหวานให้พี่สาวผม “เดี๋ยวเลี้ยวออกจากซอยข้างหน้านี่ดีกว่า ติดยาวมาก ติดห่าอะไรไม่รู้”

     “โอ๊ะ ขอบใจจ้ะ”

     มันหันมาหาผม “เฮียปวดขาเป็นอะไรมากเปล่า เดินได้ไหม”

     ผมไม่ได้ตอบอะไร ลงไปจากรถและปิดประตูลง พร้อมกับแฟ้มกระดาษที่ได้มาจากพี่สาวตนเอง ไอ้หนึ่งที่ถือถุงฝรั่งก็ทำหน้างุนงง

     “อะไรน่ะ”

     “พี่อัดรูปที่ไปเที่ยวคราวก่อนมาให้”

     มันก็เออๆ ออๆ ไป ไม่ได้สงสัยอะไรอีก แต่ไม่วายหันมาขมวดคิ้วมุ่นใส่ยามเห็นผมเดินเหินได้ปกติดี พร้อมกับแย่งฝรั่งในมือของมันมากินหนึ่งชิ้นและบ่นเบาๆ

     “ทำไมรสฝาดๆ”

     “เหรอ หนึ่งว่าอร่อยนะ”

     “งั้นก็กินไปเลยล่ะกัน เฮียไม่กินแล้ว”

     “เอ้า!” มันร้องอย่างหงุดหงิด ก่อนที่จะก้มหน้ากินผลไม้ที่มันโปรดปรานเงียบๆ ระหว่างทางกลับบ้านโดยไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้ถามถึงอาการเจ็บขาปลอมๆ ที่ผมอ้างไว้ในตอนแรกด้วย

     ผมมองแฟ้มกระดาษในมือ เอาไว้กลับไปถึงห้องคงต้องรอจังหวะให้ไอ้หนึ่งหายหัวไปบ้างแล้วค่อยเปิดดูสินะ

     ไม่ใช่แค่ไอ้ผัวมากปัญหาของหนึ่งหรอกที่โมโหกับสิ่งที่ผมทำ ผมเองก็โมโหกับสิ่งที่ไอ้เวรนั่นทำเหมือนกัน

     แต่วิธีการจัดการปัญหามันต่างกัน





----------------------------------
เฮียเป็นคนใสใส

#ขอให้ไม่ใช่รัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-03-2016 16:18:24 โดย NINEWNN »

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
สนุกจังค่ะ รอรอ

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
หนึ่งกำลังได้รับการปกป้องสินะ ป้องดูรอบคอบ ครอบครัวป้องก็ดูเข้าใจโลกดี มีทิ้งปมไว้อีกแล้ว เรื่องในตอนนั้นที่น้ากานดาพูดถึงนี่คืออะไร

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ชอบเฮียยยยยยยย

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 6
‘เล่นไม่ซื่อ’



     ‘กฤติเดช มหาฆนรุจ’

     ลูกเมียเก็บของเจ้าของธุรกิจอาหารแห้ง ยังไม่ถือว่าเป็นรายใหญ่มากแต่ก็ถือว่าพอคุ้นหูกับนามสกุลนี้ ปัจจุบันลูกชายคนโต หรือพี่ชายของกริชกำลังเปิดไลน์เครื่องดื่มกระป๋องด้วยแต่ยังไม่ติดตลาดมากนัก กริชไม่ออกหน้าออกตา คาดว่าเป็นการซุกปัญหาไว้ใต้พรมเพราะมีปัญหาเยอะเลยทีเดียว เคยมีคดีเมาแล้วขับ จับได้ว่ามีสารเสพติดไว้ในครอบครองและต้องเข้ารับการบำบัด น่าจะเป็นเด็กมีปัญหาพอดู นอกจากนี้พี่ลูกปลายังอุตส่าห์เขียนเพิ่มเติมไว้ให้ด้วยว่ากำลังเป็นเป้าหมายของสังคมไฮโซเพราะข่าวลือเรื่องการหนีภาษี อีกอย่างคือแม่ของผมรู้จักกับพ่อเขาเสียด้วย... น่าจะจัดการได้ไม่ยาก

     “เฮีย” ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อหนึ่งเรียกชื่อผม รีบวางกระดาษเอสี่ที่ถืออยู่ให้ปะปนกับกองชีทที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ และทับด้วยชีทอีกชุดหนึ่ง “ไม่อาบน้ำเหรอ?”

     ผมไม่ได้ตอบอะไร เหลือบสายตามองแผลของหนึ่งที่อยู่บนแผ่นหลังและรอยสักรูปนกเล็กๆ เหล่านั้น หนึ่งสักจนผมเห็นแล้วเหนื่อยใจแทนน้ากานดา แม้ไม่ได้มีลายพร้อยเต็มตัวแต่ก็มีมากพอดี จนผมนึกสงสัยว่ารอยแผลเป็นจากวัยเด็กบนแผ่นหลังนั้นยังไม่มากพอที่ทำให้หลังดูไม่สะอาดอีกหรือ

     “อะไร?” คนถูกจ้องเลิกคิ้ว นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเอามือขึ้นปิดหน้าอก “มองนมหนึ่งทำไม!”

     ผมทำหน้าแหยงเมื่อมันจงใจทำให้ดูสะดีดสะดิ้ง มันเลยแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ผมและเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบกางเกงขาสั้นขึ้นมาใส่ และทิ้งตัวลงนอน

     “ใส่เสื้อด้วยสิ” ผมท้วง

     “ช่างมันเถอะน่า”

     มันยู่ปากพลางก้มลงกดโทรศัพท์มือถือที่จอแตกหลังจากเมื่อวานผมจัดการบล็อกเบอร์แฟนเก่ามันเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกตั้งใจจะเปลี่ยนซิมด้วย แต่กลัวว่าน้ากานดาจะผิดสังเกต
   
     ผมเดินไปหยิบเสื้อกล้ามตัวหนึ่งและปาใส่หน้ามันอย่างแรงจนหนึ่งลุกขึ้นมา

     “เฮียเลิกทำตัวเป็นพ่อสักที!” มันโวยวาย “แม่ก็เหมือนกัน... เอาแต่ฝากหนึ่งกับเฮียอยู่นั่นแหละ หนึ่งไม่ใช่เด็กๆ เสียหน่อย”

     ผมมองคนที่บอกว่าตัวเองไม่ใช่เด็กๆ ใช่สิ... ตอนมันเด็กเคยปากเก่งแบบนี้ที่ไหน สมัยก่อนเรียกผมว่า ‘เฮียปกป้องๆ’ แล้วก็เอาแต่เดินตามต้อยๆ ไม่มีปากเสียงใดๆ จะว่าไปแล้ว ตอนเด็กๆ ก็งงเหมือนกันว่าเหตุใดไอ้หนึ่งมันถึงเรียกผมว่าเฮียทั้งๆ ที่บ้านผมก็ไทยแท้ มีเชื้อจีนมาปนแค่นิดหน่อย เวลาผมเรียกพ่อแม่ก็เรียกว่าพ่อแม่ ไม่ใช่ป๊า – ม้า แบบที่คนจีนชอบเรียก

     ไอ้หนึ่งตอนนั้นที่น่าจะแค่ห้าหกขวบยิ้มร่า

     “หนึ่งว่ามันดูเท่!”

     …ไอ้เด็กน่ารักคนนั้นหายไปไหนแล้วหนอ

     ผมเหลือบสายตามองมัน แต่อีกคนกลับเลิกคิ้วทำหน้าหาเรื่อง “มองไร”

     “ให้มันน้อยๆ หน่อย” ผมเอานิ้วจิ้มหน้าผากมันด้วยความหงุดหงิด “ไปเที่ยวแล้วไปพูดแบบนี้กับชาวบ้านเขา มึงเนี่ยแหละจะโดนต่อยเอา”

     “ขี้บ่น” มันย่นจมูก เล่นเอาผมต้องบีบจมูกมันด้วยความหมั่นไส้อีกที

     “ก็หัดทำตัวดีๆ สักที”

     “สมัยก่อนเฮียไม่เห็นประคบประหงมหนึ่งเท่านี้เลย”

     “ก็ก่อนหน้านั้นมึงไม่ได้โดน...”

     ผมกลืนคำพูดที่จะพูดลงแทบจะไม่ทันจนต้องกัดลิ้นตัวเอง เกือบไปแล้ว... ถ้าเมื่อกี้ผมพูดมันออกมาต้องพังแน่ๆ

     หนึ่งมองหน้าผม แววตาสั่นไปเล็กน้อยทั้งๆ ที่ผมยังพูดมันไม่จบ ผมรู้ดี แม้ไม่จบประโยค... แต่มันเป็นการกวนตะกอนก้นแก้วให้ลอยขึ้นมาอีกครั้ง

     ความเงียบก่อตัวขึ้น แทรกซึมมาอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับความอึดอัด ผมคิดว่าตัวเองต้องพูดอะไรสักอย่าง แต่หนึ่งเป็นฝ่ายทำมันก่อน

     “ไปอาบน้ำไป๊” มันแกล้งไล่ผมด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

     ผมขยับปาก จะเอ่ยเอื้อนคำขอโทษแต่มันตัดบทเสียก่อน

     “ช่างเถอะ...ไม่ใช่ความผิดเฮียหรอก”

     พอเจอมันพูดอย่างนั้นผมจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่ยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ จนหนึ่งสวมเสื้อที่ผมโยนให้และย้ำว่าให้ผมรีบไปอาบน้ำเสียทีผมจึงพาร่างตัวเองเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างเสียไม่ได้

     เมื่อประตูปิดลงผมก็นึกอยากจะทำร้ายตัวเองสักที แต่จะทำให้หนึ่งได้ยินก็ไม่ได้ เลยได้แค่การกำมือจนข้อขาวเท่านั้นเอง ผมอยากจะสบถ อยากจะด่าตัวเอง อยากจะชกตัวเองสักร้อยครั้ง กับสิ่งที่ทำลงไป แม้จะรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่พอ...และไม่มีวันพอ ถ้าหากผมพูดมันออกมาจนจบ

     ...ยามนี้แหละ ที่รู้สึกเกลียดตัวเองเหลือเกิน


   
     ไอ้กริชสงบลงไปเยอะตลอดสัปดาห์นี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพี่ลูกปลาทำอะไรไปรึเปล่า แต่ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องไอ้หนึ่งกับเธอตรงๆ เพราะกลัวว่าจะถึงหูน้ากานดาเลยบอกไปว่ามีปัญหากัน และไอ้เด็กนั่นทำตัวนักเลงหัวไม้เป็นบ้า หล่อนเลยบอกว่าถ้ามีเรื่องอะไรให้รีบติดต่อทันที และย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยง

     ช่วงนี้ผมเริ่มเคยชินกับการที่ต้องไปส่งหนึ่ง หรือให้หนึ่งไปรอผมเข้าเรียน ขากลับก็ต้องไปรับมัน หรือมีมันมานั่งที่คณะ ผมคุ้นกับหน้าเพื่อนมันทุกคนแล้วและบางครั้งยังซื้อน้ำซื้ออะไรเลี้ยงด้วยซ้ำไป ตัวผมไม่ได้เล่าว่าเหตุใดจะต้องมาตามติดหนึ่งเป็นแฝดสยามเช่นนี้ แต่ดูเพื่อนๆ มันก็เข้าใจ ผมเลยคิดเอาเองว่าหนึ่งอาจจะบอกเพื่อนเรื่องแฟนมากปัญหาของมันไม่มากก็น้อย
           
     กลับกัน เพื่อนผมนี่แหละที่ทำตัวสู่รู้ไม่เลือกเวลา
   
     “มึงจะไม่เล่าจริงๆ ใช่ไหม”

     ผมขยับปากโดยไร้เสียง ด่ามันว่าเสือก แต่ดูมันจะไม่ยอมแพ้ในการเสนอหน้าเพื่อเค้นความลับ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ความลับ แต่ไม่อยากจะบอกเรื่องหนึ่งกับคนปากสว่างของมัน

     “มีคนพูดกันให้แซ่ด” ภีมเอ่ยปากบ้าง ไอ้นี่ก็ดูดีกว่าไอ้กันต์นิดหน่อยถ้าจะเล่าให้ฟัง...แต่ยังไงก็ไม่อยากเล่าอยู่ดี “ว่ามึงไปแย่งแฟน น้องหนึ่งมาจากไอ้กริชมัน ก็เพิ่งรู้นะป้อง ว่ามึงเป็นเกย์”

     “กูไม่ได้แย่ง” เพื่อนสองคนทำหน้าแปลกใจ ผมเลยพูดต่อ “แล้วกูก็ไม่ได้เป็นชอบผู้ชายด้วย”

     ไอ้กันต์ทำเสียงฟึดฟัด “แล้วมันจะมีข่าวแบบนี้ได้ยังไงวะ”

     ผมไม่ตอบ แกล้งทำเป็นให้ความสนใจกับอาจารย์ตรงหน้าและมองนาฬิกา เมื่อไหร่จะจบคาบเสียทีผมจะได้ออกห่างจากเจ้าพวกนี้

     “เดี๋ยวนี้ล่ะไม่อยู่กับเพื่อนกับฝูง” กันต์พูดต่อ คงสกิลความปากมอมได้อย่างคงเส้นคงวาจนนึกสงสัยว่าผมทนคบกับมันจนถึงปีสามได้อย่างไร “สนใจแต่อยู่กับน้องกับนุ่ง... เทียวส่งเช้าเย็น”

     “กูไม่ได้อยากไปส่งมันขนาดนั้นหรอกนะ” ผมหันไปพูดกับมันบ้าง

     “เอ้า แล้วจะไปส่งทำไม”

     “ไม่เกี่ยวกับมึง”

     “ช่างมันเถอะไอ้กันต์ ป้องมันไม่อยากเล่าก็ปล่อยมันไป”

     ขอบคุณมากที่ช่วยทำตัวเป็นผู้เป็นคน ผมอดไม่ได้ที่จะขอบคุณไอ้ภีมในใจ ก่อนที่จะก้มลงจดเลกเชอร์ต่อ

     ช่วงนี้เริ่มรู้สึกหัวตันๆ อยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีคนมาอยู่ร่วมกันในห้องอีกครั้ง และเป็นตัวปัญหาที่ต้องปิดไฟนอนจนมืดสนิทในขณะที่ผมต้องอ่านหนังสือในเวลาดึกด้วยหรือเปล่า ผมเลยจำต้องนอนเร็ว และตื่นมาสักตีสี่เพื่อมาอ่านหนังสือชดเชยแทน โดยที่ไอ้เด็กเจ้าปัญหานั้นไม่รู้ตัวแม้แต่นิดเดียว

     ประเด็นเรื่องนี้จบไปได้สักพัก จนจบคาบนั้น และพวกเราลงมากินข้าว โดยที่ผมสัมผัสได้ว่าผมเองก็เป็นเป้าสายตาเป็นพิเศษตลอดอาทิตย์นี้

     “เหมือนจู่ๆ ก็ได้เป็นคนดัง” ผมบ่นออกมานิดหน่อย

     “ใช่สิ ปกติมึงก็เบ้าหน้าไม่แย่ แต่ก็ดูจืด”

     ผมไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไร ใช่ว่าไม่เคยมีคนมาสนใจบ้าง แต่ตัวเองก็ไม่มีอะไรมากนอกจากมาเรียนที่มหาวิทยาลัยและกลับหอ ไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมอะไรเยอะ มันเลยดูจืดเช่นที่ไอ้ภีมว่า

     “แต่ตอนนี้มึงไม่ได้ดังเพราะหน้ามึงนะจ๊ะ” ไอ้กันต์สวนกลับ “นี่เพราะวันนั้นไอ้กริชมันมีปัญหากับมึงกลางโรงอาหารนั่นแหละ แถมคู่นั้น... ใครๆ ก็รู้กันอยู่”

     ผมปล่อยให้คำพูดของไอ้กันต์ที่เหมาะกับการเป็นสำนักกรองข่าวแห่งชาติมากกว่าเป็นสัตวแพทย์ไหลผ่านหูไปเรื่อยขณะที่สายตาสอดส่องหาที่นั่ง และสอดส่องให้มั่นใจว่าผัวเจ้าปัญหาของหนึ่งไม่ได้อยู่แถวนี้

     “ดังเหรอวะ”

     “ก็ระดับนึงนะ... แต่ไม่ใช่แง่ดีเท่าไหร่” ไอ้กันต์พล่ามต่อ “ไอ้กริชมันมากปัญหาจะตาย ส่วนหนึ่งก็มีแฟนคลับอยู่บ้าง หน้าตาดีนี่นา”

     “ดีตรงไหน” ผมสวนกลับด้วยความหงุดหงิดใจ “แล้วมึงจะกินไหมข้าวน่ะ เลิกไปยุ่งเรื่องชาวบ้านสักทีเว้ย หาที่ๆ”

     ผมเห็นเพื่อนสองคนมองกันด้วยความงุนงงที่อยู่ๆ ผมก็ระเบิดอารมณ์ออกมาแบบนี้ แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจ จังหวะนั้นเองที่มีกลุ่มหนึ่งลุกออกไป พวกผมเลยไปจับจองที่นั่งและเดินกันแยกย้ายออกไปหาอะไรกิน

     ดีที่พอกลับมานั่งกินข้าวด้วยกันมันเปลี่ยนประเด็นไปเป็นเรื่องแฟนของไอ้ภีมที่เป็นสาวรุ่นพี่โทรมากลางวงบอกว่าไอ้ภีมจำได้ไหมว่าวันนี้เป็นวันอะไร แล้วไอ้ภีมจำไม่ได้ เท่านั้นแหละ ได้ยินเสียงด่าดังออกมาจากโทรศัพท์ทั้งๆ ที่โรงอาหารเสียงดังขนาดนี้ แล้วไอ้ภีมก็ต้องมานั่งคิดอีกว่าวันนี้คือวันอะไรของแฟนมัน เห็นแล้วรู้สึกสงสารระคนละเหี่ยใจยังไงชอบกล

     จังหวะนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือผมสั่น จนผมต้องมองหน้าจอว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา

     ‘หนึ่ง’

     ผมกดรับสาย “ว่าไง”

     “วันนี้หนึ่งมีงานคณะอ่ะเฮีย ไม่ต้องมารับก็ได้นะ เดี๋ยวหนึ่งอยู่กับพวกโอ๊ตมัน”

     ผมผงะไปชั่วครู่ก่อนที่จะเอามือป้องโทรศัพท์เพื่อถามเพื่อนตรงหน้า “วันนี้เรามีแลปใช่หรือเปล่าวะ” และพวกมันพยักหน้าเป็นคำตอบ ผมเลยเอ่ยกับปลายสาย

     “รอตรงนั้นแหละ เดี๋ยวไปรับ”

     “หนึ่งกลัวงานไม่เสร็จแล้วเฮียต้องรอนะ”

     “เฮียมีแลป... ถ้าเสร็จก่อนก็กลับห้องไปเลยแล้วกัน แต่ให้ใครสักคนไปส่งด้วยล่ะ”

     “อ๋อ โอเคๆ”

     พอเห็นมันว่าง่ายแบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย
   
     จากนั้นเราก็วางสายโดยไม่มีการล่ำลา ส่วนเพื่อนสองคนที่นั่งตรงข้ามกันแทบจะชะโงกหน้ามาดูที่หน้าจอด้วยซ้ำ ไอ้กันต์ทำหน้าสนอกสนใจอย่างปิดไม่มิด

     “น้องหนึ่งเหรอวะ”

     ผมไม่อยากตอบ แต่ก็ต้องพยักหน้าอยู่ดี ที่มันพูดแบบนี้ก็คงเห็นชื่อที่เมมไว้ในมือถือแล้วด้วยซ้ำ

     “โอ้โห... มีเรียกฮงเรียกเฮีย” อยากจับหัวมันลงบนชามราดหน้าจริงๆ “สรุปนี่มันยังไง”

     “นั่นสิ มันถึงขนาดต้องไปรับไปส่งเลยเหรอวะ” ไอ้ภีมเองก็ดูสนอกสนใจเหมือนกัน “เพราะแบบนี้ไงถึงโดนคนคิดว่าไปแย่งเขามา”

     ผมไม่ตอบอะไร... ถ้ามันเป็นอย่างที่ไอ้กันต์บอกว่าหนึ่งกับกริชเป็นคู่ที่ใครหลายคนรู้จักก็คงไม่แปลก เพื่อนสนิทมันก็คงรู้ลึกตื้นหนาบางว่าผมไม่ได้ไปแย่งมาจากไอ้กริชแต่กำลังให้ความช่วยเหลือ แต่พวกผู้คนที่ขี้เสือกก็คงไม่ได้รู้อะไรหรอก ยิ่งผมคอยไปรอมันที่คณะ ไปส่งตอนเช้า ไปรับตอนเย็น มันก็คงน่าสงสัยเหมือนกับผมกำลังเทียวเลี้ยวเทียวจีบมันอยู่จริงๆ

     “ลูกคนรู้จักแม่” ผมหาคำอธิบาย และนั่นเป็นคำแรกที่ผุดขึ้นมา

     ไอ้กันต์ทำหน้าปูเลี่ยน “เฮ้ย ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผู้ชายนะเว้ย หนึ่งเป็นเกย์ด้วยนะ มันก็ไม่จำเป็น...”

     “ตอนนี้น่ะจำเป็น”

     ผมกล่าวเสียงเรียบ เหมือนเพื่อนจะจับสัมผัสได้ว่าผมไม่ต้องการพูดอะไรไปมากกว่านี้ ไอ้กันต์เลยหัวเราะแห้งๆ และมีไอ้ภีมช่วยบ่ายเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น เป็นอันจบประเด็นเรื่องนี้ไปอีกครั้ง



     แลปเลิกดึกกว่าที่คิด นักศึกษาบ่นเรื่องหิวกันระนาวเพราะตอนนี้ก็ล่อไปสองทุ่มแล้ว พอโทรไปหาหนึ่งมันก็ไม่รับ ผมจึงบอกลาเพื่อนและขับมอเตอร์ไซค์ไปที่คณะ ไม่เจอเด็กๆ ทำงานกันเท่าไหร่และไม่เห็นคนรู้จักของหนึ่ง เลยตัดสินใจโทรไปหาไอ้โอ๊ตแทน ไม่นานปลายสายก็กดรับ

     “โอ๊ต นี่พี่ป้องนะ”

     เหมือนปลายสายจะตกใจนิดหน่อย “ครับ มีอะไรเหรอ”

     “ทำงานกันอยู่ที่ไหนน่ะ โทรหาไอ้หนึ่งมันไม่รับ”

     “อ๋อ เสร็จตั้งแต่ชั่วโมงก่อนแล้วพี่” มันว่าแบบนั้น “ผมไปส่งมันที่คอนโดให้แล้ว ตอนนี้ผมอยู่บ้านแล้วอ่ะ”
   
     พอได้ยินเช่นนั้นผมก็รู้สึกวางใจขึ้นมา กล่าวขอบคุณโอ๊ตและวางสาย บิดมอเตอร์ไซค์ไปที่คอนโดโดยไม่ลืมที่จะซื้อน้ำเต้าหู้หน้าปากซอยกลับไปสองถุง ยังดีที่อาหารเย็นมีมาม่ากับไข่อยู่ในตู้เย็น... ถ้าไอ้หนึ่งไม่กินเข้าไปแล้วน่ะนะ

     แต่พอขึ้นมาถึงห้อง ผมกลับต้องแปลกใจเมื่อไม่เห็นใครอยู่ในห้องเลยแม้แต่คนเดียว

     “หนึ่ง!” ผมเดินไปเคาะห้องน้ำ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ พอเปิดไปก็พบว่าห้องน้ำยังไม่ได้ถูกใช้ด้วยซ้ำ

     ผิดปกติ นั่นเป็นคำแรกที่แวบเข้ามาในหัว ผมเดินย้อนกลับมาและสังเกตได้ว่าไม่มีแม้แต่กระเป๋าเป้หรือกระดานไม้ที่หนึ่งพกไปไหนมาไหนด้วย หรือนั่นอาจจะแปลว่า หนึ่งยังไม่ได้กลับมาที่ห้องด้วยซ้ำ

     ผมรีบหยิบโทรศัพท์มือถือ กุญแจรถ และกระเป๋าสตางค์ตัวเอง เดินลงไปข้างล่าง เอ่ยปากทักยามด้วยความร้อนรน

     “ลุงครับ เห็นน้องผมไหม ที่ไปมาด้วยกันบ่อยๆ”

     อีกฝ่ายนิ่งไปชั่วครู่ “วันนี้เหรอ?”

     “ครับ ที่เตี้ยกว่าผมหน่อยแล้วก็ผอมๆ” ผมพยายามบรรยายลักษณะของหนึ่งให้ได้มากที่สุด

     ลุงยามส่ายหน้า “ไม่นะ หลังจากออกไปกับน้องลุงก็ไม่เห็นแล้ว ยังไม่กลับมาเลยมั้ง”

     คำตอบนั้นทำเอาผมแทบจะสบถคำผรุสวาทออกมาต่อหน้า แต่สิ่งที่ทำได้มีเพียงการเอ่ยปากขอบคุณ โทรหาเบอร์ที่โทรครั้งล่าสุดอีกครั้ง

     “โอ๊ต เรามาส่งหนึ่งที่คอนโดเหรอ”

     “ก็ที่...” ปลายสายนิ่งไปชั่วครู่ “พะ พี่ป้อง... ผมไปถึงเซเว่นข้างหน้าแล้ว แล้วไอ้หนึ่งมันบอกให้กลับไปได้เลย...”

     ผมหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อไม่ให้ระเบิดออกมากับคำตอบนั้น ผมเข้าใจโอ๊ต มันก็คงคิดว่าหนึ่งเป็นผู้ชายและเซเว่นข้างหน้านี้เดินอีกสิบก้าวก็เป็นคอนโดผมแล้วด้วยซ้ำ ถ้าหนึ่งพูดแบบนั้นแล้วมันกลับก็ไม่แปลก แต่... ให้ตายเถอะ ผมกัดฟันแน่น เอ่ยปากเสียงต่ำแต่ให้ชัดเจนที่สุด

     “ถามเพื่อนคนอื่นดูว่าเห็นหนึ่งไหม แล้วก็ถามด้วย มีใครเห็นไอ้กริชบ้าง มันอยู่ไหน”

     ออกคำสั่งเสร็จผมรีบตัดสาย กดโทรหาเบอร์ที่เมมไว้แต่ไม่คิดจะโทรอย่างของไอ้กริชมัน แต่ก็เท่านั้น... โทรศัพท์มีเสียงสัญญาณให้รอสายอยู่ไม่กี่วินาทีก็ถูกตัด พอผมกดโทรไปอีกรอบ ก็พบว่ามันคงปิดสัญญาณไปแล้ว

     ผมสบถออกมา เปลี่ยนมาโทรหาเบอร์พี่สาวตัวเอง โชคดีเหลือเกินที่หล่อนรับสายอย่างรวดเร็ว

     “ว่าไงป้อง”

     “เตรียมจัดการเรื่องไอ้กริชได้เลยพี่” ผมได้ยินปลายสายอุทานอย่างร้อนรนว่าเกิดอะไรขึ้น “ทางที่ดี เรียกอะไรสักอย่างมาที่คอนโดมันด้วย ผมจะไปดูที่นั่นก่อน เดี๋ยวผมส่งที่อยู่ไปให้...”

     “เรียกอะไรเล่า!” หล่อนเอ่ยปากอย่างร้อนรน

     “ไม่รถตำรวจก็ รถพยาบาลแล้วกัน”

     “ป้อง! ใจเย็นๆ เกิดอะไรขึ้น”

     “หนึ่งหายตัวไป ถ้าป้องไปที่นั่นแล้วไม่เจอ... ให้พ่อช่วยจัดการตามหาให้หน่อย”





----------------------------
ชอบไม่ชอบบอกได้นะคะ  :z2:
เจอกันในแท็ก #ขอให้ไม่ใช่รัก ค่ะ


ปล. ขอบคุณ คุณ treenature มากที่บอกเรื่องคำผิดนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-03-2016 21:07:31 โดย NINEWNN »

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
กรี๊ดดดด ยังไงต่อ ยังไง ยังไง ลุ้น แล้วเรื่องฝังใจในอดีตคืออะไร  :katai1: ทิ้งสองปมเลยนะตอนนี้

เจอที่ผิดจ้า สิ่งเล่านั้น >> สิ่งเหล่านั้น  และก็ต้องแก้ ง่า >> ว่า

แต่ลืมไปแล้วว่าตรงไหน  :mew5:

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
หนึ่งอย่าเป็นอะไรนะ

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 7
‘ฮีโร่’




     ผมกระวนกระวาย เริ่มรู้สึกโทสะมาแทนที่สติมากเกินไปจนต้องสูดหายใจลึกๆ ขณะที่ขับมอเตอร์ไซค์ไปที่คอนโดที่เคยไปเอาของกับไอ้หนึ่งแต่มือก็ยังบิดคันเร่งจนน่าหวาดเสียว รู้ดีอยู่แก่ใจว่าการที่สรุปความเรื่องไอ้กริชเป็นคนเอาไปค่อนข้างจะมุทะลุ แต่หนึ่งไม่ได้มีปัญหากับใครที่ไหน

     ตอนนี้เป็นผมเองที่อยากให้มันเผยนิสัยดื้อ อาจจะไปกินเหล้าคนเดียว หรือไปหาเพื่อนที่ไม่ใช่เจ้าโอ๊ต อะไรก็ได้ ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับไอ้กริชมัน
   
     “ลุงๆ”

     ลุงยามที่ถูกเรียกเลิกคิ้ว เห็นผมท่าทีรีบร้อนเดินไปหา “ไอ้นี่มันกลับมารึยัง” เปิดรูปหนึ่งกับกริชในโทรศัพท์ที่ขอให้โอ๊ตส่งให้แกดู

     ลุงแกทำท่าทางอึกอัก “เพื่อนเหรอ”

     “ครับ”

     ผมอ้างเป็นเพื่อนมันไปก่อนเพื่อความสะดวก ลุงทำหน้าตาเหมือนแปลกใจนิดหน่อย อาจจะเป็นเพราะผมใจร้อนและดูลนลานผิดสังเกตจนผมต้องอ้างเพิ่มอย่างเสียไม่ได้

     “เนี่ย ผมมาทำงานที่นี่แล้วลืมกุญแจห้องไว้ ไม่รู้อยู่กับมันรึเปล่า ถ้าไม่อย่างงั้นผมจะได้ไปหาที่อื่นต่อ”

     พอผมพูดมากเข้าลุงแกก็พยักหน้าเออๆ ออๆ

     เหมือนคิดผิดนิดหน่อยที่เลือกจะถามลุงยาม และผมเพิ่งมาตระหนักได้ว่าทำไมไม่ถามวะว่ากลับมาด้วยกันหรือเปล่า ยังดีที่แถวๆ นี้ยังพอมีนักศึกษาเดินขึ้นลงอยู่บ้าง

     ผมนึกดีใจที่คอนโดแห่งนี้ไม่ได้มีคีย์การ์ดหลายๆ ชั้น ตอนที่ลิฟต์มาถึงชั้นที่หนึ่งเคยมาเอาห้องของไอ้กริช พี่ลูกปลาก็โทรมาอีกครั้ง

     “ครับ” ผมกดรับสาย เดินไปที่ห้องนั้นไปด้วย

     “เช็ก GPS ไม่ได้แฮะ ติดต่อพ่อของไอ้เด็กนั่นได้แล้วนะ เห็นบอกว่าจะรีบไป น่าจะไปถึงภายในสิบนาที” หล่อนว่าเช่นนั้น “พ่อก็ส่งตำรวจไปแล้วด้วยนะ... คงจะมาถึงอีกไม่นาน”

     “ตอนนี้ทางนั้นว่ายังไงครับ”

     “คงไม่เชื่อว่าลูกชายจะทำอะไรล่ะมั้ง” ปลายสายตอบมาเสียงเคร่งเครียด “อยู่ที่ไหนแล้ว”

     “คอนโดมัน กำลังจะเคาะประตู”

     “ถ่วงเวลาไว้ดีกว่า ตำรวจกำลังจะไป ให้ทางนั้นจัดการน่าจะดีกว่านะ”

     “ถ้าผมเจอหนึ่งในนั้น...”

     “ปกป้อง” น้อยครั้งนักที่จะได้ยินพี่สาวเรียกชื่อเต็มๆ ของผม “หนึ่งก็เป็นน้องเป็นนุ่ง ที่บ้านถือเป็นลูกหลาน ถ้าเกิดอะไรขึ้นทางเราก็เอาตาย แกมันเป็นแค่เด็ก”

     “ไม่!” ผมแทบตวาดใส่ปลายสาย แม้รู้ดีว่าการใช้อารมณ์นั่นแหละที่ทำให้ผมเป็นเด็ก

     สองครั้งสองครา...

     ตั้งสองครั้งสองคราที่ผมเป็นเด็ก ไม่รู้ถึงสัญญาณขอความช่วยเหลือที่หนึ่งให้มา เพราะไม่สังเกต ไม่สนใจ เพราะแบบนั้นมันถึง...
   
     ผมรู้ตัวว่าตัวเองกำลังโกรธจนตัวสั่น ห้ามไม่ให้ตัวเองโยนโทรศัพท์ในมือออกไปนอกหน้าต่าง ได้ยินเสียงพี่ลูกปลาถอนหายใจแผ่วเบาออกมาตามสาย

     “จะทำอะไร คิดถึงหน้าพ่อแม่ด้วย”

     “ครับ” ผมตอบรับและตัดสาย

     ผมมองป้ายเลขห้องที่หนึ่งเคยอาศัยอยู่กับไอ้เวรนั่น จัดการเคาะประตูอยู่พักหนึ่งแต่พบว่าข้างในกลับเงียบกริบ จนต้องลงแรงเพิ่มขึ้น

     “อะไรวะ!” มีเสียงสบถดังออกมาจากในห้อง ก่อนที่ประตูจะเปิดออก

     กริชอยู่ในสภาพกางเกงนักศึกษา ถอดเสื้อไว้ ดูมันตกใจนิดหน่อยที่เห็นผมแต่ก็ยังกอดอกพูดจายียวน

     “มีอะไร”

     “หนึ่งอยู่ไหน” ผมไม่รีรอที่จะเอ่ยปากถาม

     มันเลิกคิ้ว “ไม่รู้สิ”

     “ขอเข้าไปดูในห้องหน่อย”   

     “อย่าเสือก” อีกฝ่ายเอามือขวางไว้โดยการตบกำแพงอย่างแรง แค่มือมันคนเดียวก็เอาอยู่เพราะทางเข้าเป็นเพียงทางเล็กๆ เท่านั้น

     ผมหรี่ตา มองชั้นวางรองเท้ากับโต๊ะด้านหลังนั่น คราวก่อนที่มาเห็นสภาพดูไม่ได้ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ ไม่มีร่องรอยของการอาละวาด

     หรือหนึ่งจะไม่ได้มาที่นี่จริงๆ?

     นั่นเป็นความคิดแรก แต่วินาทีถัดมาผมก็รู้สึกว่าตนคิดตื้นเกิน บางทีหนึ่งอาจจะมา แต่มันเข้าห้องมาอย่างไม่ได้ขัดขืนก็เป็นได้ วันที่ผมรู้ว่าหนึ่ง... ถ้าหากผมไม่ไปรู้โดยบังเอิญ หนึ่งก็คงปล่อยผ่านและกลับมาอยู่กับมัน ถ้าหนึ่งทำแบบนั้นล่ะ... แม้ว่ามันจะไม่เต็มใจแต่ถ้าหากมันทำ...

     ผมสูดหายใจลึก ปัดความรู้สึกเหล่านั้นออกจากหัว ผมปล่อยผ่านไม่ได้...อย่างไรก็ไม่ได้

     “หนึ่งอยู่ไหน” ผมย้ำคำถามเดิมอีกที “มันอยู่กับมึงหรือเปล่า”

     “โอ๊ย เป็นบ้าอะไรนักหนา ก็บอกว่าไม่รู้!” มันเริ่มตวาดเสียงดัง

     ผมมองอีกฝ่าย พยายามจะฝ่าฝืนเข้าไปในห้องแต่เหมือนมันจะเหลืออด หลังของผมกระแทกกับกำแพง มือมันขยุ้มอยู่ที่คอเสื้อนักศึกษา มองผมอย่างโมโหร้าย

     “ถ้ามันอยู่กับกูมึงจะทำไม...”

     ผมเอื้อมมือไปกำมือมันกลับ “กูไม่ปล่อยมึงไว้แน่”

     สิ้นคำผมก็รู้สึกจุกที่ท้อง หมัดของกริชคราวนี้หนักกว่าตอนกระแทกหน้าผมสองครั้งที่ผ่านมาเสียอีก ตัวของผมกระแทกกับกำแพงเสียงดังพอดู ไอ้กริชตามมาคร่อมผม หมัดกระแทกหน้า ในขณะที่ผมเองก็พยายามต่อสู้กลับทั้งที่รู้ตัวดีว่าตัวเองไร้ทักษะการต่อสู้มากขนาดไหน เสียงของพวกเราดังครึกโครมอยู่พอควรเลยเป็นเหตุให้มีผู้คนมาเปิดประตูดู แต่แถวๆ นั้นมีแต่ผู้หญิงเลยไม่มีใครกล้าเข้ามา

     เพราะว่าทักษะและแรงกายของผมเสียเปรียบมันอยู่มากโข กลายเป็นไอ้กริชเป็นฝ่ายทำร้ายผมอยู่ฝ่ายเดียวจนผมรู้สึกว่าข้างในปากน่าจะมีเลือดออก

     จังหวะนั้นเองที่ผมเหลือบเห็นว่ามีตำรวจเดินขึ้นมาที่ชั้นนี้จากบันได
   
     “หยุด! หยุด!”

     กริชสบถ “ไอ้เวรเอ๊ย!” ต่อยหน้าผมอีกหมัดและรีบกลับเข้าไปในห้อง

     ผมค่อยๆ ดันกายขึ้น พลเมืองดีที่ก่อนหน้านี้อยู่ในไทยมุงเดินเข้ามาประคอง ถามว่าเป็นอะไรหรือไม่แต่ผมทำได้เพียงขอบคุณสั้นๆ และเดินไปหาตำรวจ ครั้งนี้ไม่ใช่คนคุ้นหน้าคุ้นตา แต่พ่อน่าจะเป็นคนช่วยให้เลยสามารถจัดการได้เร็วขนาดนี้

     “ได้รับแจ้งว่ามีการทะเลาะวิวาทครับ” ตำรวจสองนายมองหน้าผมขึงขัง “ไม่ทราบว่าคนรอบข้างนี้ได้ยินหรือไม่”

     ผมฟังตำรวจช่วยสอบถามจากคนใกล้ๆ นี้จนนึกร้อนใจ จะบุกเข้าไปก็โดนนายตำรวจรั้งไว้ ประตูก็ล็อก ไอ้กริชอารมณ์ร้ายขนาดนั้นจะทำอะไรบ้างก็ไม่รู้ แต่แล้วก็มีคนหนึ่งที่เป็นคนพักข้างๆ ห้องไอ้กริชเอ่ยขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ

     “ก่อนหน้านี้สักครึ่งชั่วโมง ห้องข้างๆ มีเสียงเหมือนมีการทะเลาะกันค่ะ” หญิงสาวน่าจะวัยยี่สิบต้นๆ พูดขึ้นเช่นนั้น “แต่สักพักก็เงียบไป ห้องนี้บางทีก็ได้ยินเสียงโวยวายอยู่แล้วเลยปล่อยไว้เฉยๆ”

     “ใครแจ้งความครับ”

     ไม่มีผู้ใดตอบรับ... แต่แหงล่ะ ก็คนแจ้งความไม่ได้อยู่แถวๆ นี้เสียหน่อย

     พอเป็นเช่นนี้นายตำรวจก็ตัดสินใจแจ้งไปข้างล่างเพื่อให้เอากุญแจขึ้นมาให้โดยด่วน แต่ผมก็ยังร้อนใจเมื่อจู่ๆ เกิดได้ยินเสียงราวกับขว้างปาข้าวของจากข้างใน

     พอเห็นท่าไม่ดี และเสียงเหล่านั้นดังไม่หยุดหย่อนก็เลยจัดการทุบจนกลอนประตูหลุดออก แล้วจึงบุกเข้าไป แม้จะโดนย้ำเตือนให้อยู่ข้างนอกแต่ผมก็เข้าไปด้วยความมุทะลุ ประตูห้องนอนยังถูกล็อกอีกชั้น แม้จะถูกตำรวจตะโกนว่าห้าม แต่ผมก็ยังไร้สติถึงขนาดที่ทุบกลอนประตูนั้นให้พังด้วยแจกันใกล้ๆ นั่น

     ภาพที่ผมเห็นทำให้ผมสติแตกยิ่งกว่าเดิม

     ผมคว้าโคมไฟแถวเตียงนอนฟาดไปบนศีรษะของไอ้กริชที่กำลังคร่อมอยู่บนหนึ่งที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าใด มันกลิ้งไปอีกทางจนตกเตียง

     แต่ผมไม่สนใจ เหมือนกับมีแรงจากไหนไม่รู้ให้ตะเกียกตะกายขึ้นไปคร่อมบนตัวมัน ผมเหมือนไร้สติโดยสิ้นเชิงจนมองเห็นว่ามันไม่มีแรงจะสู้ผมแล้ว ผมต่อยหน้ามันจนนายตำรวจมาดึงตัวผมออก กระนั้นผมก็ยังขืนตัวพยายามจะลงแรงกับมัน ผมอยากจะฆ่ามัน ทำให้มันทรมาน ทุรนทุราย แต่นายตำรวจและเสริมด้วยยามที่มาตอนไหนก็ไม่รู้มาแบกหามมันออกไปพร้อมทั้งใส่กุญแจมือ ก่อนที่ใครอีกคนจะหาผ้ามาคลุมกายให้หนึ่ง

     ผมยืนนิ่ง มองภาพคนแบกมันออกไป ก้มมองมือตัวเองที่มีเลือดไหลจากหลังมือ สลับกับมองหนึ่ง

     เพิ่งได้สังเกตตอนนี้เองว่าหนึ่งถูกมัดไว้กับเตียง เนื้อตัวช้ำเป็นจ้ำทั้งบนร่างกายและใบหน้า ผิวเนียนของมันกลับมีแผลจากการถูกทุบตี หนักกว่านั้นคือมันน่าจะถูกมัดปากไว้ด้วยเพราะรอยเป็นเส้นจากข้างปาก สิ่งที่ผมคิดมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตอนที่เห็นเศษผ้าในมือของยามคนหนึ่งที่กำลังช่วยหนึ่งอยู่

     “เฮียป้อง...”

     ผมมองหน้ามันที่เรียกผมเสียงแหบแห้ง มือยังถูกยามเอากรรไกรตัดเชือกที่มัดกับหัวเตียง ดวงตาแดงก่ำ หน้าเปรอะไปด้วยรอยน้ำตา

     ผมมาไม่ทันอีกแล้วใช่ไหม

     “เฮีย...” พอเชือกถูกตัดแล้วมันก็เดินมาหาผม “หนึ่งไม่เป็นไรนะ”

     ผมเม้มริมฝีปากแน่น มองเนื้อตัวมัน คำว่าไม่เป็นไรมันช่างห่างไกลเหลือเกิน

     หนึ่งค่อยๆ วาดวงแขนลงบนเอวผม กอดผมอย่างแผ่วเบาโดยมีเสียงสะอึกสะอื้นของอีกฝ่ายขณะที่มันกดศีรษะลงบนหัวไหล่ของผม แรงกอดค่อยๆ เพิ่มขึ้น

     ผมยกมือของตนเองที่เปื้อนเลือดขึ้น หมายจะโอบตัวมันไว้แต่สุดท้ายก็ลดมือลง ปล่อยให้หนึ่งกอดผมไว้อย่างนั้น สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจและผมทำได้เพียงแค่พูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา

     “...เฮียขอโทษ...”

     ขอโทษที่มาไม่ทัน

     ขอโทษที่ปกป้องไม่ได้

     ขอโทษที่ต้องทำให้เจ็บตัว

    แล้วแบบนี้... ผมจะมีหน้าไปกอดมันไว้ได้ยังไง



     หนึ่งถูกส่งโรงพยาบาลโดยมีผมไปด้วย สักพักพี่ลูกปลาก็ตามมาที่โรงพยาบาล บอกว่าพ่อกับแม่ไปที่โรงพักเพื่อคุยกับครอบครัวมหาฆนรุจของไอ้เวรนั่น

     คดีเก่าๆ ของไอ้กริชที่มี รวมถึงเรื่องครับครัวหนีภาษีก็มากพอที่จะให้พ่อผมเร่งเรื่องให้เดินเร็วขึ้นได้หลังจากหยุดมาร่วมสองปี จิตอาสาเจ้านั่นก็ไม่ได้ทำ โทษก็ยังไม่ได้รับ แต่ครั้งนี้หนึ่งตัดสินใจไม่ฟ้อง บอกว่าไม่อยากให้เรื่องถึงน้ากานดา เพราะฉะนั้นทางนี้เลยยื่นเงื่อนไขให้ว่าเจ้าเด็กนั่นต้องไม่มายุ่งกับหนึ่งอีก เพราะหลักฐานอะไรยังมีอยู่ชัดเจน ทั้งเรื่องทำร้ายร่างกายและการกระทำชำเรา

     นอกจากนี้ พ่อแจ้งว่าไอ้ชาติชั่วนั่นยังพยายามอัดคลิปไว้ด้วย คงเผื่อว่าจะแบล็กเมล์ แต่โชคดีที่มันถูกอัดไว้เฉพาะตอนหนึ่งยังหลับอยู่และไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น มองจากมุมกล้องน่าจะอยู่บริเวณปลายเตียง ฟังเช่นนั้นแล้วผมอยากจะบุกเอาเลือดในหัวของมันออกอีกสักรอบ

     หนึ่งหลับไปแล้ว เราลังเลเป็นอย่างมากว่าจะแจ้งน้ากานดาหรือไม่หลังจากที่เรื่องจบ

     “ฝั่งนั้นบอกว่าจะดรอปเรียนจากที่นี่ด้วย เพราะยังไงก็จะโดนรีไทร์อยู่แล้ว” แม่ของผมบอกแบบนั้น “โอ๊ย ตาย... ทำไมเด็กคนนี้ต้องมาเจอเรื่องพรรค์นี้ซ้ำๆ ด้วย”

     พ่อตีไหล่แม่ไปหนึ่งที คงกลัวว่าผมจะรู้สึกแย่ หรือหนึ่งจะตื่นขึ้นมาเพราะแม่ไม่ใช่คนพูดเสียงเบาเลย แต่พอมองคนบนเตียงที่นอนหลับหายใจอย่างสม่ำเสมอแล้ว ผมก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย...เพียงนิดเดียวเท่านั้น

     “ไม่เป็นไรหรอกป้อง” ผมได้ยินพี่ลูกปลาพูดคำนี้มาเป็นรอบที่ร้อยแล้วเห็นจะได้ “หนึ่งยังไม่ได้โดนทำอะไรมากกว่านี้เสียหน่อย”

     ริมฝีปากผมบดเข้าหากัน ก้มมองมือของตัวเองที่กำแน่นจนข้อขาว

     จริงอยู่หนึ่งไม่ได้โดนทำอะไรมากกว่านี้ มันยืนยันด้วยตัวเองว่ามีแค่การทำร้ายร่างกาย ไม่มีการบังคับให้ใช้ปากหรือว่าสอดใสเข้ามาในร่างกาย แต่หลังจากนั้นก็ไม่แน่ ถ้าหากผมไปช้ากว่านี้สักชั่วโมง ผมไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าเกิดอะไรขึ้น แค่ตอนที่บุกเข้าไปในห้องเห็นไอ้กริชคร่อมหนึ่งไว้ ก็ดูเหมือนมันคงพยายามขู่หนึ่งด้วยเรื่องคลิปอยู่

     ใบหน้าของหนึ่งไม่ได้บวมจัดแต่ปากก็แตกไปไม่ใช่น้อย แก้มมีรอยตบนิดหน่อย แต่ถ้าเทียบกับบริเวณลำตัวหรือช่วงขาก็ถือว่ายังน้อย

     “แล้วจะเอายังไง” พ่อของผมพูดขึ้นมาบ้าง เสียงยังน่าเกรงขามเหมาะสมกับตำแหน่งนายพลเหมือนเคย ท่านมองคนที่นอนบนเตียง “จะไม่บอกแม่เขาหรือ ยังไงก็ปิดได้ไม่ตลอดหรอก แม่เขามีสิทธิ์ได้รู้”

     ผมถอนหายใจ “รอหนึ่งตื่นมาแล้วค่อยถามได้ไหมครับ มันน่าจะมีทางที่ดีกว่านี้ หนึ่งคงไม่อยากให้น้ากานดารู้เรื่อง... คบผู้ชาย” คำสุดท้ายผมเอ่ยอย่างแผ่วเบา

     ทุกคนทำสีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย แม้กระทั่งคนที่รู้เรื่องแล้วอย่างพี่ลูกปลาก็ตามที วันนั้นหลังจากที่พี่แกมาส่งพวกผม ผมก็เล่าเรื่องไปไว้บ้าง ไม่ได้เจาะรายละเอียดอะไรแต่คิดว่าหล่อนคงพอจับใจความและเอามาปะติดปะต่อกันได้

     บ้านผมเห็นหนึ่งมาตั้งแต่ยังเด็ก มองเป็นลูกเป็นหลาน ให้การช่วยเหลือหนึ่งไว้มาก ช่วงที่ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ แรกๆ น้ากานดาก็มาอยู่ที่บ้านด้วยราวเดือน – สองเดือน ตอนนั้นหนึ่งเพิ่งจะป. สี่เองด้วยซ้ำ ถึงย้ายออกไปแล้วแต่แม่ก็ยังติดต่อกับน้ากานดาสม่ำเสมอ มัธยมมันก็อยู่โรงเรียนเดียวกัน ถึงผมจะห่างมันไปบ้าง แต่ที่บ้านก็สานสัมพันธ์กันเสมอมา เจอเรื่องแบบนี้ก็ถือเป็นเรื่องรุนแรง

     พอตกลงกันได้แล้ว พ่อ แม่และพี่สาวของผมตอนแรกก็บอกจะอยู่เฝ้าไข้ แต่สุดท้ายก็ยอมให้จ้างพยาบาลส่วนตัวเสียหน่อยเผื่อว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แล้วจึงกลับบ้าน

     “ป้องกลับไปนอนที่หอไม่ดีกว่าหรือ”

     ผมส่ายหน้า ได้ยินแม่บ่นว่าดื้อ “ดื้อเหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้อง”

     ในใจผมร้องค้านว่าหนึ่งไม่ใช่น้องเสียหน่อย อย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่เรื่องที่โดนด่าว่าดื้อนั้น... ผมรู้ตัวดีว่าใช่ ถึงผมจะชอบด่ามันว่าดื้อ แต่ผมก็รู้ดีว่าตัวเองก็ดื้อไปไม่น้อยกว่ามัน เพียงแต่สถานะผมมันไม่สามารถแสดงออกเป็นเด็กๆ ได้ก็เท่านั้น

     คืนนั้นผมนอนเฝ้าหนึ่งที่ข้างเตียง โชคดีที่เลือกห้องเดี่ยวเลยลุกนั้นสะดวก พอเกิดเรื่องกับหนึ่งทีไร ผมเองก็นึกขอบคุณที่ตัวเองเกิดมาในบ้านที่ทั้งมีเส้นสายและมีธุรกิจที่ช่วยให้มีหน้ามีตา ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

     ตอนเกือบรุ่งสาง หนึ่งสะดุ้งตื่นขึ้นมาร้องไห้จนตัวงอ ผมที่นอนอยู่ข้างๆ ยังนอนหลับไปไม่ทันไรก็ได้แต่ตื่นขึ้นมาลูบศีรษะของอีกฝ่ายจนสงบลงและหลับไปอีกครั้ง ในขณะที่ผมไม่สามารถข่มตาหลับได้ลงอีกแล้ว ผมได้แต่มองร่างของมัน บอบบางราวกับพร้อมจะแหลกสลายไปตรงหน้า

     ผมเอื้อมมือไปสัมผัสปลายนิ้วมันอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นยามที่ตระหนักได้ว่าตัวเองไม่สามารถปกป้องหนึ่งได้อีกแล้ว...เป็นครั้งที่สาม

     ผมได้ยินเสียงมันในวัยเด็ก

     “ป้าเกดตั้งชื่อเฮียดีจัง” ตอนนั้นมันน่าจะยังแค่หกขวบ หน้าตายังมอมแมมแต่ยิ้มให้ผมอย่างใสซื่อบริสุทธิ์

     “ทำไมหรือ”

     “เฮียปกป้อง... ปกป้องหนึ่งได้เหมือนฮีโร่เลยจริงๆ”

     “เฮียขอโทษ”

     …เหมือนฮีโร่อะไรกัน... ผมมันก็แค่ไอ้งั่งคนหนึ่งที่ปกป้องมันไม่ได้ด้วยซ้ำ...



--------------------------
ขอโทษที่มาช้าค่ะ ไปงานหนังสือมา
(แอบอู้ ฮาาาา)
คลายไปหนึ่งปมเนอะ #กอด

เจอกันที่แท็ก #ขอให้ไม่ใช่รัก ค่ะ ชอบไม่ชอบบอกได้นะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด