เรื่องสั้น :: จงมีชีวิตอยู่ ::
เขียน ::
ผู้ซึ่งหลงรักหญิงสาวในภาพวาด ::
ท่านที่เคารพ
เขาเป็นเพียงมนุษย์ผู้หนึ่งที่เกิดมา ใช้ชีวิต แล้วจู่ๆก็ตายตามธรรมเนียม แม้ว่ามันจะรวดเร็วไปหน่อย แบบว่า ก็ยังไม่ได้เตรียมความพร้อมเก็บข้าวของแพ็กกระเป๋ารอมันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันขนาดนั้น
เอาเป็นว่าตอนนี้เขาตายแล้ว
เขาตายอย่างไรหรือ
โอ้
นั่นยากยิ่ง นานเสียจนลืมว่ามาเป็นอยู่อย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
เขาสันนิษฐานว่าตนเองอาจยังไม่ถึงคาด หรือไม่ก็ต้องรอบัตรคิวจากท่านทูต เขาหมายถึงท่านยมทูตมีงานมากนัก คงคล้ายๆไปหาหมอแล้วรอคิวอยู่หน้าห้องตรวจโดยมีป้าที่นั่งข้างๆไอโคลกๆให้ได้ยินเป็นองค์ประกอบ
ร่างเขาโปร่งใส ตามจินตนาการคงเป็นเช่นนั้น แม้จะเป็นการตายโดยคงรูปที่ดูดีไม่น้อย แต่มันก็ให้ความรู้สึกพิสดารอยู่วันยังค่ำ
ไม่มีใครเห็นนอกจากพวกเดียวกันเอง
โชคดีที่ก่อนหน้านั้นเขาไม่ใช่มนุษย์ขี้เหงา ตอนนี้จึงทำตัวได้กลมกลืนกับการเป็นผีอย่างสนุกสนาน และการถูกเมินใส่กับผีด้วยกันเองจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาว่าพวกนั้นคงต้องการเวลาครุ่นคิดมากกว่าการที่จะมีผีสักตัวเดินเข้าไปโบกมือทักทายด้วยความเป็นมิตร ถามสารทุกข์สุขดิบอย่างเช่น สวัสดี คุณตายได้อย่างไร
แม้จะสัมผัสไม่ได้ถึงลม อากาศ ไม่รู้สึกหนาว ร้อน ไม่ ไม่ ไม่รู้สึกถึงสัมผัสเช่นนั้นอีกแล้ว
เขากลายเป็นสิ่งเหล่านั้น
ลอยไปลอยมา ชีวิตมีอสิระเสรีมากกว่าตอนที่หายใจเสียอีก
แหม
ถ้ารู้อย่างนี้จะได้ชิ่งตายๆไปเสีย
ไม่รอมาจนป่านนี้หรอก
นอกเหนือจากเสรีภาพที่ท่านทูตยังไม่พรากมันไปเขามีเวลาเหลือเฟือที่จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์
เขาไม่หิว ไม่ได้รู้สึกหดหู่ เขาสดใสเสียยิ่งกว่าคนที่ยังมีลมหายใจ เขาลอยผ่านผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปอย่างมีมาด มุมมองของเขาเปลี่ยนไปแล้ว มนุษย์เอ๋ย ช่างน่าสงสารเสียจริงๆ
เขาจะไม่ใจดีชักชวนใครมาตายง่ายๆหรือในเร็ววันนี้เหตุเพราะว่าจะทำให้ประชากรผีสางเพิ่มมากขึ้นจนเกิดเป็นชุมชนแออัด
แค่นี้คนตายก็มีมากทุกวัน หากเขายิ่งไปช่วยเร่ง คงไม่เป็นการดีแน่
ท่านทูตจะยิ่งรัดคิวให้เขามากขึ้นเพื่อจำกัดประชากรเร่ร่อนไปเข้าบัญชี เขาขอเป็นผีเถื่อนๆไม่สุงสิงกับใครเช่นนี้เป็นการดีแล้ว
แน่นอนว่าความสงบสุขมักผ่านไปเร็ว มิเช่นนั้นเรื่องนี้จะดำเนินต่อไปได้ยาก
วันหนึ่ง
ระหว่างที่ผีอย่างเขากำลังลอยชายอย่างสุขใจ พลันสายตาก็ประสบกับบางสิ่ง
ไอ้หนุ่มนั่น เขาไม่อาจทราบได้ว่าทำไมมันถึงได้ไปยืนบนขอบสะพานขนาดนั้น แต่ดูจากร่างกายแล้วก็คงโตพอที่จะคิดได้ว่ามันอันตรายกับร่างเนื้อๆนั่นไม่น้อย
ไอ้โง่ เดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก
เขาด่ามันในใจ หรือแม้จะเอ่ยออกไปแต่มันก็คงไม่ได้ยินอยู่ดี เป็นความเคยชินอย่างหนึ่งที่ติดมานานนม
เขาลอยไปใกล้ๆ จึงได้เห็นหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ของมัน แว่นตาหนาๆส่งผลให้บุคลิกมันดูน่ากลั่นแกล้ง แต่ดีที่ตัวยังสูงไม่อย่างนั้นคงไม่ต่างจากม้าแคระตัวหนึ่ง แก้มมันอาบไปด้วยน้ำตา ดูท่าแล้ววัยกลัดมันเช่นนี้คงไม่พ้นเรื่องความรักเป็นแน่
“โฮฮฮ!”
จู่ๆมันก็แหกปากร้องลั่น ทำผีในละแวกสะดุ้งกันเป็นแถบๆ
เอ๊ะ ไอ้นี่ เสียใจยิ่งน่าเกลียด คนอะไรไร้การน่าปลอบใจไปหมด เห็นแล้วทุเรศลูกตาเสียจริงๆ โดดๆไปเถิด อยู่ไปก็รกโลกเปล่าๆ
เฮ้ย
ไม่ได้สิ
จะไปคิดเช่นนั้นไม่ได้
หากมันตายเสียตอนนี้ก็คงจะขัดกับหลักการที่เขามีไว้ไม่น้อย
ถ้ามันตายแล้วเกิดท่านยมผ่านมาเก็บเศษวิญญาณของมัน คงได้วิ่งวุ่น หาหลักแหล่งสถิตไปไกลโขเป็นแน่
แย่แล้ว แย่แน่ แย่แท้ๆ ผีหนอผี ทำไมถึงไปคิดอย่างนั้นได้ นี่มันกำลังจะมาแย่งช่องทางทำมาหาลอยไปวันๆของเขาอยู่ชัดๆ ไยจึงต้องไปยุยงส่งเสริมให้มันตายเร็วๆด้วยเล่า!
“เฮ้ย อย่าเพิ่งโดด”
คิดได้ดังนั้นก็ร้องห้ามมันอย่างลืมตัว แล้วยังคิดว่ามนุษย์หน้าโง่ๆจะได้ยินอีกหรือนี่ น่าตบกบาลเสียจริง
ทว่าราวกับปาฏิหาริย์
มันหันขวับ ดวงตาหลังแว่นนั่นเบิกกว้างยิ่งกว่าเห็นผี
แต่ก็เห็นผีอยู่จริงๆนี่หว่า
“…มีอะไรค่อยๆพูดค่อยๆจาสิไอ้หนุ่ม…”
เขาลอยไปข้างหน้ามัน ตรงพื้นที่ว่างเปล่า สูงจากพื้นหลายเมตร
และไม่แน่ใจด้วยว่าปรากฏกายไปในสภาพไหน อาจจะค่อนข้างน่าพรั่นพรึงสักประหน่อยสำหรับมนุษย์โดยเฉพาะไอ้หนุ่มหน้าโง่คนนี้
ในทีแรกมันทำหน้าโง่ๆ นิ่งเรียบเสียจนเขาแปลกใจ
ก่อนปากมันอ้าค้าง หยดน้ำจากดวงตาไหลแหมะๆ
“ผีหลอกกกกกกกกก”
อ้าว ไอ้ฉิบหาย
ผีอุตส่าห์ช่วย เสือกมาปรักปรำกันซะอย่างนั้น!
ไอ้หนุ่มนี่หลับไปนานจนผีชักเซ็งๆ
แถวนี้ไม่มีคนเลย ดีที่ไม่มีโจรด้วย หน็อยแหนะ ไอ้เด็กเวร แทนที่จะมากลัวผี กลัวคนด้วยกันเองไม่ดีกว่าหรือ ถึงแม้ดูจากสภาพมันคงไม่มีอะไรให้น่าปล้นจี้ อนาถาเสียเหลือเกิน
คนเอ๋ยคน
เป็นไปทำไม อยู่ไปก็เหนื่อย ชิ่งตายก็คงจะดีไม่หยอก
รอจนรากงอก จะมีขาโผล่มาแล้ว ตั้งแต่ตายมาก็เพิ่งมีไอ้หนุ่มนี่เป็นคนแรกที่เห็นเขาจะๆ สงสัยมันจะกำลังดวงขึ้น เจอผีไม่พอ ยังฆ่าตัวตายไม่สำเร็จอีก
เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ
ไอ้แว่นสะลึมสะลือ มันค่อยๆกระพริบตาปริบๆ มองรอบกาย ก่อนจะ
“ว้ากกกกกก”
แหกปากลั่น
ถึงจะเป็นแค่ผี แต่ก็ดันยังได้ยินชัดแจ๋ว หากเป็นคนอย่างเมื่อก่อน แก้วหูซ้ายอาจจะย่อยยับไปเป็นสิ่งแรก
หนวกหูจริงๆ ตื่นมาก็โวยวายแต่แรกเลยไอ้เด็กนี่
“…เอ้า เอ้า ตื่นแล้วก็ไปซะ กลับบ้านกลับช่องนะไอ้หนู” เขาพูดกับมันด้วยน้ำเสียงกังวาน พยายามจะไม่คานยางแบบผีตัวอื่นๆ เหตุเพราะมันจำเจเกินไป อยากเป็นผีพูดเร็วคงไม่ผิดมั้งนะ
ไอ้หนูที่ตัวไม่ค่อยจะหนู ไม่ได้มีความน่าเอ็นดงเอ็นดูอะไรทั้งสิ้น
มันอ้าปากพะงาบๆ สีหน้าปะปนด้วยความหวาดกลัว
“เป็นคนดีๆทำไมถึงได้อยากตายนักฮึ” เขามองมันด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ ทั้งดุด่าและสั่งสอนไปในตัว เป็นการแสดงอย่างหนึ่งเพื่อให้มันกลับตัวกลับใจไปใช้ความเป็นคนที่เหลือๆอยู่ให้คุ้มก่อนจะตายห่าด้วยเหตุใดก็ตามแต่
ทว่าการมาตายโดยตัดตอนชีวิตให้สั้นลงแบบนี้ รับไม่ได้ รับไม่ได้จริงๆ!
แค่นี้ผีไม่มีญาติก็เยอะพออยู่แล้ว เอ็งยังจะมาแย่งพื้นที่พวกข้าหายใจอีกเรอะ!
ไอ้มนุษย์หนุ่มทำหน้าราวกับว่ามันกำลังฝัน ยกมือตบแก้มตัวเองเสียงดังไปหลายที
ตบได้ตบไป แต่ถ้าตบให้ตายอย่าได้คิดเชียว
“…เห็นอีกแล้วเหรอวะ…” มันพึมพำอยู่คนเดียว สงสัยว่าจะเห็นผีเป็นกิจเป็นนิจ เช่นนั้นควรจะทำตัวให้ชินกว่านี้สิไอ้หนุ่มเอ๊ย ไม่ใช่เจอผีดีๆอย่างเขามันก็เหมารวมว่าผีขี้หลอกไปเสียหมด
ไอ้หนุ่มตัวเกร็งๆ มันขยับแว่นสองสามที กายค่อยๆลุกขึ้นโดยที่ไม่ยอมละสายตาจากผีตัวนี้
“อกหักเหรอเอ็งน่ะ”
มันชะงักเมื่อได้ยินคำถาม แววตาหวาดหวั่นหลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยก่อนจะถูกกลืนหายไปในดวงตาดำๆของมัน
อ้าว ทำหยิ่ง พูดด้วยไม่พูดด้วย มนุษย์สมัยนี้มารยาททรามแท้ ตอบแทนผีมีพระคุณเช่นนี้หรือไร
“…บ๊ะ ไอ้เด็กเวร มาช่วยแท้ๆ เสียแรงเปล่าจริงๆ แม้แต่คำขอบคุณยังไม่มี…” เขาทะลุผ่านพื้นดินแล้วลอยอยู่ข้างๆมัน แสร้งมองวิวทิวทัศน์แล้วกล่าวลอยๆแต่จงใจให้กระทบกันชัดๆ
มันกระแอมกระไอเบาๆเมื่อถูกผีด่า ก่อนจะเอ่ยตะกุกตะกัก “ขะ ขอบคุณครับ”
“…แล้วยังไง คิดยังไงถึงได้อยากตาย…” เขาถามมันอีกครั้ง อย่างน้อยๆก็ให้มันปรับทุกข์ให้เสร็จสมกันบนสะพานนี้ กลับบ้านไปจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน แต่มันอาจมาฟุ้งเรื่องเห็นผีในวันนี้แทน
มันดูไม่กลัวแล้วเหมือนตอนแรกแต่ก็ใช่ว่าจะขจัดหายไปเสียทีเดียว อาจเป็นเพราะรู้ว่ากำลังเจอกับผีนิสัยดี แววตาหม่นๆ น้ำตาปริ่มๆ คงไม่พ้นเรื่องผู้หญิงจริงๆสินะไอ้เสือ
ไอ้มนุษย์เงียบไม่เปิดปาก นั่งคลุกฝุ่นอยู่กับพื้นอย่างคนหมดแรง เขาเป็นผีต่อให้มุดไปถึงแกนโลกก็ไม่เป็นอะไรหรอกนอกจากจะไปเข้าเฝ้าท่านยมในนรกแทน
“เธอไปมีคนอื่น”
และแล้วผีต้องเลิกคิ้วนิดๆ เหมือนกับว่าในที่สุดมันก็ยอมเอ่ยปาก มันพูดได้เท่านั้น ราวกับเสียงตีบตันหายไปในลำคอ เค้นออกมาช่างยากเย็น ไอ้มนุษย์เริ่มสะอื้น ร้องไห้ไม่ต่างจากเด็ก
“ผมมันแย่ ผมมันจน ผมมันไม่มีรถขับ” มันสะอื้นไห้ ตัดพ้อต่อว่า มือทุบพื้นซีเมนต์ พอรู้ตัวว่ามันแข็ง ทำให้มือเจ็บก็ร้องไห้หนักกว่าเก่า จากที่ผีเห็นว่ามันเหมือนทารก ตอนนี้เริ่มเข้าใกล้คำว่าบ้า ไม่แปลกถ้าผู้หญิงเขาจะเลือกสิ่งดีๆ
“…เอ็งก็อย่าคิดมากสิวะ…”
ไม่ได้การ มันทำท่าจะเข้าสู่ภวังค์แห่งการหดหู่อีกครั้งเสียแล้ว พอมันเศร้า มันเครียด มันจะมองไม่เห็นทางสว่าง แล้วการฆ่าตัวตายก็คือหนทางออกอีกครั้งหนึ่ง แล้วมันก็จะมาแย่งพื้นที่เขาหายใจก่อนวัยอันควร!
ผีแสนดีรีบปลอบใจ พูดกับมันด้วยน้ำเสียงเย็นๆ แม้จะพยายามให้ดูอบอุ่นแค่ไหนก็ตาม ข้อเสียของการเป็นผีมานานและไม่ได้คุยกับมนุษย์โง่ๆบ่อยก็แบบนี้แหละนะ
“…ชีวิตยังมีหนทางอีกเยอะ…”
เขาพูดต่อ สารพันหาข้ออ้างในการมีชิวิตอยู่ แม้จะลืมเลือนไปนานแล้วก็ตามที
ให้ตายเถอะ
ยากแท้
คิดไม่ค่อยจะออกว่าตอนมีชีวิตมีอะไรดี
เหนื่อยก็เหนื่อย
ต้องพยุงร่างกายให้อยู่รอดไปวันๆ
แข่งขันกับพวกมนุษย์อื่น
แถมยังลอยไม่ได้อีก
น่าอยู่ตรงไหนกันวะ
แม้จิตสำนึกจะคัดค้าน เริ่มรำคาญและไม่เห็นด้วย ปากคันยุบยิบอยากจะบอกให้ไอ้มนุษย์โง่นี่ให้ได้เข้าใจแจ่มแจ้งว่าการตายนั้นหอมหวานและสุขสมแค่ไหน
ตายมาก็ตั้งนาน
เห็นมนุษย์มันทุกข์ทนมาก็มาก
อย่างไรก็ยืนยันคำเดิมว่าตายแล้วมีความสุขเสียจริงๆ
ไม่ทันไร ไอ้หนุ่มก็ร้องโฮอีกครั้ง มันลุกขึ้นกะทันหันโดยไม่ให้ผีตั้งตัว มันเข้าไปพิงขอบสะพาน ทำท่าจะโดดอีกครั้ง
คิดสั้นอีกแล้วเรอะ
อย่ามาอวดฉลาดแถวนี้นะเว้ยเฮ้ย!
คิดจะมาแย่งที่อยู่กัน ยังเร็วไป ค่อยตายตอนอายุแปดสิบโน่นสิโว้ย
“…คิดถึงพ่อแม่ไว้สิไอ้หนุ่ม…” มนุษย์ส่วนใหญ่มันมีความผูกพัน อย่างน้อยต้องย้ำเน้นให้มันห่วงหาความอาลัยอาวรณ์ต่อทุกสิ่งบนโลกนี้
“…ผู้หญิงคนเดียว เอ็งไม่คิดว่าจะเจอคนอื่นๆที่ดีกว่านี่หรือ…”
“คุณจะไปเข้าใจอะไร ฮือออ”
ร้องไห้ได้น่าเกลียดที่สุด
แต่เพื่อกรมประชากรวิญญาณเร่ร่อน เขาจะขอยืนหยัดสู้จนเส้นวิญญาณเส้นสุดท้ายจะหาไม่
“เอ็งคิดดูนะ ผู้หญิงเขาชอบนั่งรถ ทำไมไม่ขยันตั้งใจเรียน จบมาหางานดีๆที่เอ็งชอบสักงาน เออ แล้วก็พอเอ็งขยันสร้างเนื้อสร้างตัว เดี๋ยวที่นี้เนื้อก็หอมแล้วไอ้หนู…” ไอ้หนุ่มมองหน้า ผ่านกรอบแว่นที่เปรอะน้ำตา ปากมันเบะอย่างคนจะร้องไห้
แล้วยังไงต่อ การมีชีวิตมันมีอะไรต่อหนอ
“…ถึงอาหารที่เอ็งชอบกินตอนหิวๆสิ ตายไปตอนนี้ไม่ได้กิน ไม่นึกเสียดายรึ…” ขอเสียของการเป็นผีคือทำอาหารเองไม่ได้ ต้องคอยให้ไอ้พวกนี้มันเจียดๆเผื่อมาให้ ดีที่เขาไม่จำเป็นต้องกิน อาจเป็นเพราะสละทางรสได้แล้ว ถึงแม้แอบมีกลืนน้ำลายอยู่บ้างจากการได้เห็นหน้าตาของอาหารเหล่านั้นที่มนุษย์มันสรรหากันมา
“…ไหนจะตอนเอ็งได้อาบน้ำใหม่ๆ แล้วนอนกกผ้าห่มอุ่นๆในห้องกับเตียงนิ่มๆ…” เขายังคงกรอกหูมันไม่หยุด จะว่าไปแล้วการเป็นมนุษย์มันก็เริ่มจะดีไม่น้อย
“…เป็นผีแบบนี้ ไม่มีใครเห็น ทำอะไรก็ไม่ได้ หยิบจับอะไรไม่ได้ ไปหาคนที่รักเขาก็ไม่เห็น คิดดีแล้วหรือ…”
รู้สึกเหมือนเข็มประดังมาทิ่มแทงใจ
เหตุใดต้องรู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้
ไอ้หนุ่มมนุษย์จับราวสะพาน หยดน้ำตาเริ่มแห่งเหือด มันยืนฟังผีเงียบๆ
ไอ้นี่ถ้าไม่เศร้ามากก็คงมีอะไรสักอย่าง ผีนั่งคุยด้วยแต่ไม่ค่อยจะมีปฏิกิริยาเหมือนมนุษย์คนอื่น กลัวได้แค่เดี๋ยวเดียว ตอนนี้เขาเหมือนกลายเป็นหมาแมวร้องอยู่ข้างหูมันซะอย่างนั้น
ดูจากรูปทรง มันคงไม่คิดจะโดดแล้วล่ะ แต่ยังคงยืนเก๊กเป็นพระเอกไปอย่างนั้น เขาว่าการฆ่าตัวตายจะเกิดเพียงวูบ ถ้ามันไม่ได้ซึมเศร้ารุมเร้าก็คงไม่คิดจะโดดเร็วๆนี้อีก
คิดไม่ทันจบ ไอ้มนุษย์ตรงหน้าก็ทำท่ากำลังจะปีนขึ้นราวสะพาน
เฮ้ย
ไม่ได้ฟังที่พูดเลยเรอะ!
“…ไอ้หนู ไอ้หนู ใจเย็น ตกไปเละนะ ตายอืดเชียว ไม่สนุกหรอก…”
เขาเป็นผีรักสงบ
เหตุใดต้องมาเจอเหตุการณ์สะเทือนขวัญเช่นนี้
คู่แข่งเยอะเหลือเกิน อย่าเพิ่งตายเถิด ทนลำบากหายใจไปอีกสักร้อยปีก็ไม่มีใครว่าเลย
“ไม่มีใครสนใจผมหรอก แม้แต่พ่อกับแม่” มันสะอื้น
“มี” เขาตอบกลับทันควัน อย่างน้อยก็มีตัวหนึ่งที่กังวลกับการตายมันอยู่ แล้วยังจะมาพูดว่าไม่มีใครสนใจอีก “ผีนี่ไง”
มันทำหน้าซึ้ง น้ำตาปริ่มขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยเสียงร้องไห้ ทำท่าจะเข้ามากอด
แต่มันคงลืมว่าผีจับตัวไมได้นะโว้ย
ขนลุกขนชัน
ตายมาก็เพิ่งมีคนอยากจะเข้ามากอด
“…อย่าตายเลย มีชีวิตอยู่ต่อไป…”
ไอ้มนุษย์พยักหน้าฮึก มันยกแขนเสื้อปาดแก้มชื้น
“…ทุกวันนี้ตื่นมาแล้วยังกอดคนที่รักอยู่ได้มันดีแค่ไหนแล้ว คิดดู…” เขาทำสุขุม ประหนึ่งว่ากำลังมีอารมณ์ร่วมไปกับทุกประโยคที่เอ่ยออกมา
หลังจากที่มันนั่งสงบสติอารมณ์ไปพักใหญ่ พร้อมกับเขาที่ต้องกล่าวคำลวงๆเพื่อให้มันมีชิวิตอยู่ต่อนานนับชั่วโมงจนชักเมื่อยถึงจะสำเร็จผล
มันเล่าว่าที่มันเห็นผีได้ก็เพราะตอนเด็กๆเคยจมน้ำ แถมเรื่องแบบนี้แม้จะพบเห็นบ่อยทว่าก็ยังไม่เคยได้มาคุยตัวเป็นๆอย่างใกล้ชิดติดสนามเช่นตอนนี้
เป็นบุญของมันแล้วที่ได้เจอผีดีๆอย่างเขา
ในที่สุดเขาก็รักษาความสุขในโลกความตายได้ต่อไปอีกหนึ่งวัน
เขาหัวเราะในใจอย่างภาคภูมิ
ผีดีๆเช่นนี้ ไม่เคยหลอกใครหรอกมนุษย์ ที่พูดไปก็จริงทั้งนั้น เพียงแต่มันแค่ไม่รู้ว่าการตายนั้นมีความสุขกว่า
อย่างไรก็สุขกว่า
จนมันกลับบ้านกลับช่อง เขาไม่ได้ลอยตามไปดู ขี้เกียจไปเจอกับพวกผีบ้านผีเรือน ไอ้พวกนี้มันหวงบ้านยิ่งกว่าเจ้าของที่ดิน ชิชะ
เขาลอยลมไปเรื่อยเปื่อย เตร็ดเตร่อยู่แถวเดิมไม่ได้ไปไหน กระทั่งหลายวันถัดมา ความรู้สึกแปลกประหลาดก็เกิดขึ้นกับตัว
ร่างเขารู้สึกอิ่มเอม ผ่องใสอย่างไรชอบกล
ความรู้สึกที่ห่างหายไปนาน
จะว่าห่างก็ใช่เสียเต็มร้อย
เพราะทุกเมื่อเชื่อวันผีอย่างเขาสุขใจอิ่มใจอยู่แล้ว
และแล้วเขาก็เห็นไอ้มนุษย์แว่นหน้าโง่ที่คิดจะฆ่าตัวตายเมื่อไม่กี่วันก่อน มันวิ่งหอบๆมาตรงสะพาน มองรอบๆราวกับหาบางสิ่ง
สงสัยวันนี้มันจะไม่เห็นผี
พอคิดว่าโผล่ไปหามันสักหน่อย ไอ้หนุ่มชะงัก ปากอ้ำอึ้ง “อะ เอ่อ”
เขานิ่งเงียบรอฟังมัน
“ผม ผมทำบุญไปให้แล้ว แต่ แต่ลืมถามชื่อ แต่ก็ทำไปแล้ว ไม่รู้ว่าได้ผลมั้ย แต่น่าจะได้อยู่” มันมองหน้าเขาอย่างเกรงๆ หน้าดงหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย
เขาร้องอ๋อ
ในใจยิ่งอิ่มอุ่น
เพิ่งจะเคยเจอมนุษย์รู้คุณเช่นนี้เป็นครั้งแรกในรอบการตาย
ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาเอื้อนเอ่ย
ตัวเขาเรืองแสงขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกเบาอย่างที่ไม่เคยเป็น นี่อาจเป็นอีกข้อดีของการตายเสียล่ะมั้ง
ก่อนเวลาบางอย่างที่เหมือนจะรู้สึกได้ เขาก้มหน้าเข้าไปใกล้มัน ก่อนเอ่ยเบาๆ
ดวงตามันเบิกกว้าง ก่อนพยักรัว
เขายิ้ม
ก่อนจะค่อยๆจางหายไป
คืนนั้นไอ้มนุษย์คงจะไปซื้อล็อตเตอร์รี่ที่อุตส่าห์เหมาแผงมาเป็นฟ่อนๆกับความฝันที่อยากเป็นเศรษฐีทางลัดโดยไม่คิดจะทำการทำงาน
นี่เอ็งคิดจริงๆเรอะว่าผีจะใบ้เลขได้
พรุ่งนี้รางวัลออกแล้วมันจะพบว่า
“หวยแดก”
ผีหลอก!
END