ASTAROTH พันธนาการดวงดาว [จบแล้ว] - แจ้งข่าวรวมเล่ม
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว [จบแล้ว] - แจ้งข่าวรวมเล่ม  (อ่าน 43369 ครั้ง)

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

**************************************************


นิยายเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของ GREAT ARCHER series

สารบัญ
[เนื่องจากนิยาย 1 ตอนมีความยาวเกิน 20,000 ตัวอักษร (10 หน้า A4) จึงต้องแยกโพสต์ x.1+x.2]
ตอนที่ 1 [ 1.1 + 1.2 ]
ตอนที่ 2 [ 2.1 + 2.2 ]
ตอนที่ 3 [ 3.1 + 3.2 ]
ตอนที่ 4 [ 4.1 + 4.2 ]
ตอนที่ 5 [ 5.1 + 5.2 ]
ตอนที่ 6 [ 6.1 + 6.2 ]
ตอนที่ 7 [ 7.1 + 7.2 + 7.3 ]
ตอนที่ 8 [ 8.1 + 8.2 ]
ตอนที่ 9 [ 9.1 + 9.2 ]
ตอนที่ 10 [ 10.1 + 10.2 ]
ตอนที่ 11 [ 11.1 + 11.2 ]
ตอนที่ 12 [ 12.1 + 12.2 ]
ตอนที่ 13 [ 13.1 + 13.2 ]
ตอนที่ 14 [ 14.1 + 14.2 ]
ตอนที่ 15 [ 15.1 + 15.2 ]
ตอนที่ 16 [ 16.1 + 16.2 ]
ตอนที่ 17 [ 17.1 + 17.2 ]
ตอนที่ 18 [ 18.1 + 18.2 ]
ตอนที่ 19 [ 19.1 + 19.2 ]
ตอนที่ 20 [ 20.1 + 20.2 ]
ตอนที่ 21 [ 21.1 + 21.2 ]
ตอนที่ 22 [ 22.1 + 22.2 ]
ตอนที่ 23 [ 23.1 + 23.2 ]
ตอนที่ 24 [ 24.1 + 24.2 ]
ตอนที่ 25 [ 25.1 + 25.2 ]
ตอนที่ 26 [ 26.1 + 26.2 ]
ตอนที่ 27 [ 27.1 + 27.2 ]
ตอนที่ 28 [ 28.1 + 28.2 ]
ตอนที่ 29 [ 29.1 + 29.2 ]
ตอนที่ 30 [ 30.1 + 30.2 ]
บทส่งท้าย [ 1 + 2 + 3 ]

ตอนพิเศษ [ (1) + (2) + (3) ]
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2017 13:54:04 โดย khaosap »

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 1.1
«ตอบ #1 เมื่อ23-10-2016 19:53:36 »

แผนที่โลกประกอบการอ่าน

****************************************



ตอนที่ 1.1

มหาทวีปกอนด์วานาเป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด

แต่มันก็เป็นแผ่นดินที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายอย่างที่สุดเช่นกัน ด้วยเหตุผลของความหลากหลายทางเผ่าพันธุ์ซึ่งมีทั้งมนุษย์ ภูตไม้ นางพราย และเซนทอร์ ซึ่งแต่ละเผ่าพันธุ์ก็มีวิถีชีวิต และความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป เป็นต้นว่าเซนทอร์ไม่ชอบให้ใครขี่ม้าให้พวกเขาเห็น ในขณะเดียวกันพวกภูตไม้ก็ไม่ล่าสัตว์จำพวกนก หรือแม้กระทั่งเหล่านางพรายที่มักจะไม่พอใจเมื่อเห็นสตรีเดินทางโดยสารอยู่บนเรือ ดังนั้นการที่ทุกเผ่าจะอยู่ร่วมกันได้  พวกเขาจึงต้องเคารพ และยอมรับในวัฒนธรรมความแตกต่างของเผ่าอื่น

ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่ในตอนนี้มหาทวีปกอนด์วานาปราศจากปัญหาความขัดแย้งทางเผ่าพันธุ์

แต่สิ่งที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งนี้คือผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว

เมื่ออาณาจักรมนุษย์ที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจที่สุดอย่างธีสธรัลเกิดความผันผวนจากสงครามภายใน และผลัดบัลลังก์กษัตริย์ให้กับราชินีไวลด์ การค้าขายระหว่างอาณาจักรจึงเกิดความสั่นคลอน เนื่องด้วยองค์ราชินีผู้นี้ไม่เป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถือสักเท่าใดในสายตาของพ่อค้าชาวเอลฟ์แห่งแผ่นดินตะวันออก จึงเป็นงานท้าทายสำหรับราชินีองค์ใหม่ที่จะกอบกู้ความสัมพันธ์ และความน่าเชื่อถือจากชาวเอลฟ์เพื่อชักจูงให้พวกเขาไว้วางใจที่จะกลับมาค้าขายกับธีสธรัลอีกครั้งหนึ่ง

ทุกอย่างคงเป็นไปได้ด้วยดี หากธีสธรัลไม่ใช่อาณาจักรที่ตั้งอยู่บนเกาะ...

เมื่อมหาอำนาจเพลี่ยงพล้ำ อาณาจักรคัสนาห์-อาเดรียซึ่งตั้งอยู่บนแผ่นดินใหญ่และมีชื่อเสียงในด้านการเดินเรือจึงเกิดความคิดที่จะแข็งข้อต่อสู้ หลังจากตกเป็นเบี้ยล่างของมหาอำนาจมาหลายสิบปี โดยท่านหญิงซินญอร่าผู้ปกครองอาณาจักรคัสนาห์บังคับให้ท่านชายซินญอร์ผู้ปกครองอาณาจักรอาเดรียตัดสินใจตัดขาดการติดต่อค้าขายกับอาณาจักรธีสธรัล และปิดอ่าวอาเดรียเพื่อบีบบังคับให้ราชินีไวลด์ผู้ตกที่นั่งลำบากยอมเดินทางมาเจรจาที่แผ่นดินใหญ่ ด้วยความมั่นใจว่าราชินีผู้นี้ไม่สามารถรับมือสงครามทางเศรษฐกิจจากทั้งสองฝั่งได้พร้อมกัน

ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังไม่สามารถวางใจได้ว่าตนจะมีชัยในการเจรจา เพราะต่อให้คัสนาห์-อาเดรียจะได้รับสมญาว่าประตูสู่มหาทวีป แต่ก็ยังมีอีกอาณาจักรหนึ่งซึ่งมีความสามารถในการเดินเรือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อีกทั้งยังมีท่าเรือขนาดใหญ่นับร้อยเรียงรายอยู่ในอ่าวทางเหนือของอาเดรีย จึงนับเป็นคู่แข่งสำคัญที่ธีสธรัลอาจเบนเบี่ยงไปสมาคมด้วย

...นั่นคือ แอสทารอธ อาณาจักรแห่งดวงดาว

--------------------------------------------------

คลื่นลมในวันนี้เป็นใจให้นักล่า...

แสงอาทิตย์แรงกล้า และท้องฟ้าที่ปราศจากเมฆทำให้อากาศร้อนกว่าที่เคย แต่นั่นก็ทำให้เกิดกระแสลมแรงที่ใกล้พื้นแผ่นดินและผิวน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่เหล่านักเดินเรือพอใจอย่างที่สุด เพราะเป้าหมายของกลุ่มคนที่อยู่บนเรือเดินสมุทรซึ่งลอยลำกลางทะเลอยู่โดดเดี่ยวมาหลายวันนี้ คือปลาวาฬตัวเขื่องที่กำลังกระเสือกกระสนดิ้นรนหนีอย่างสุดกำลังโดยที่มีเชือกหลายเส้นพันธนาการอยู่รอบตัว

สำหรับกลุ่มคนที่มีเพียงธนูไม้ และหอกยาวเป็นอาวุธดูจะยากเกินไปสำหรับการล่าวาฬ แต่วาฬตัวนี้จะเป็นวัตถุดิบสำคัญในการปรุงอาหารเพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ซึ่งหมายถึงการเป็นหน้าตาของอาณาจักร

"แทงที่ด้านหน้า! ดึงหางมันขึ้นมา! อย่าให้มันลากเรือเราลงน้ำ!!"

กัปตันเรือร้องบอกกลุ่มคนที่เอนเอียงแออัดไปข้างหนึ่งของลำเรือ และพยายามจะใช้อาวุธทำให้สัตว์ใหญ่ศิโรราบ มันสะบัดหางมหึมาฟาดผิวน้ำอย่างรุนแรงด้วยความอึดอัดและเจ็บปวด เพราะบริเวณส่วนหัวนั้นมีหอกสองเล่มใหญ่ปักอยู่ น้ำทะเลถูกย้อมเป็นสีแดงจากเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผล แต่สัตว์ยักษ์ก็ยังไม่สิ้นแรง ดังนั้นนักล่าจึงยังไม่สามารถลากร่างมหึมานั้นขึ้นฝั่งได้

เดิมทีพวกเขาควรจะใช้เรือเล็กสำรองในการล่าวาฬ เพื่อป้องกันความเสียที่อาจเกิดขึ้นกับเรือใหญ่หากวาฬมีพละกำลังมากพอที่จะต่อสู้ แต่ภารกิจล่าวาฬครั้งนี้ต้องการความรวดเร็ว ดังนั้นกองทัพเรือจึงอนุญาตให้นำเรือเร็วติดฉมวกออกมาใช้งานได้ เรือล่าวาฬทั่วไปนั้นมีขนาดใหญ่กว่านี้มาก เนื่องจากพวกเขาต้องการพื้นที่ห้องเสบียงจำนวนมากในการเก็บสำรองน้ำและอาหารเพื่อยังชีพลูกเรือหลายคนเป็นเวลาหลายเดือน

แต่เรือเร็วนี้สามารถลอยลำอยู่กลางทะเลได้เพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น

"แบบนี้ข้าคงต้องรอไปอีกทั้งวันกว่ามันจะสิ้นลม"

ชายหนุ่มร่างโปร่งก้าวออกมาจากกลุ่มลูกเรือที่ส่งเสียงโหวกเหวก เขาพุ่งตรงไปหากัปตันเรือร่างสูง และเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาสีน้ำเงินทะเลลึกเป็นเชิงออกคำสั่ง "กดมันให้จมน้ำ... ไม่กี่อึดใจหรอก สัตว์พวกนี้ต้องการอากาศ กดให้มันจมน้ำตาย!" แม้น้ำเสียงของผู้พูดจะไม่ทรงพลังอย่างกัปตันเรือ แต่มันก็เด็ดขาดพอที่จะทำให้ลูกเรือทั้งหมดต้องเงียบเสียง และมองผู้นำของตนเป็นตาเดียว

ลูกเรือต้องฟังคำสั่งกัปตันเท่านั้น ...ดังนั้นกัปตันจึงต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร

แต่กัปตันเรือล่าวาฬธรรมดาหรือจะกล้าชัดคำสั่ง เลสธีราห์ ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพเรือ

"กดให้มันจมน้ำ... จะกดด้วยน้ำหนักตัวของพวกเจ้าหรืออะไรก็ได้ ทำให้มันจมน้ำ!!"  วาฬเป็นสัตว์ที่หายใจด้วยปอด พวกมันยังต้องการอากาศ และต้องหายใจเป็นระยะ ดังนั้นหากพวกเขากดหัวให้มันจมน้ำเสีย อย่างไรสัตว์ใหญ่ก็ต้องสิ้นใจอยู่ดี แม้ว่ามันจะกลั้นใจได้นานแค่ไหนก็ตาม

ชายฉกรรจ์หลายคนกระโดดลงไปในทะเลและใช้น้ำหนักตัวเองในการกดทับให้ 'จมูก' ของปลาวาฬซึ่งอยู่บนหลังของมันจมลงไปใต้น้ำเพื่อปิดกั้นไม่ให้มันมีโอกาสหายใจ แม้ว่ามันจะดิ้นรนต่อสู้ก็ตาม

เลสธีราห์ก้มมองสัตว์ใหญ่ที่หมดแรงไปทีละน้อยด้วยสีหน้าที่ระบุไม่ได้ว่าสงสารหรือสมเพช ชายหนุ่มวางมือลงบนกาบเรือก่อนจะหลับตาลงและถอนใจ "การฆ่าสัตว์ใหญ่แบบนี้เป็นเรื่องลำบากใจข้าที่สุด" เขาพูดกับกัปตันเรือที่ยืนอยู่ข้างกัน "แต่เรา..."

"ท่านเลสธีราห์..."

ยังไม่ทันพูดจบ กัปตันเรือก็อุทานขึ้นด้วยความตกใจ เช่นเดียวกับที่ลูกเรือคนอื่นที่ยังอยู่บนเรือพากันเงียบและมองไปยังเป้าหมายเดียวกัน ซึ่งนั่นก็คือเรืออีกลำหนึ่งซึ่งมีตราประจำเมืองปรากฎอยู่บนธงยอดเสา... อันเป็นสัญลักษณ์ว่าเรืออีกลำนี้ไม่ใช่พวกเดียวกับพวกเขา

"เตรียมอาวุธ... พร้อมรับการปะทะ!"

เป็นอีกครั้งที่เลสธีราห์ออกคำสั่ง และในครั้งนี้ลูกเรือไม่รอคำสั่งจากกัปตัน พวกเขาพุ่งกลับเข้าไปใต้ท้องเรืออย่างรู้งาน และลำเลียงอาวุธทุกชนิดที่มีอยู่ออกมา

ทว่าเรือที่ผ่านมากลับดูไม่สนใจพวกเขาเลย...

"ท่านเลสธีราห์ จะให้ข้าสั่งเปิดประตูปืนหรือไม่"

นัยน์ตาสีน้ำเงินของเลสธีราห์เหลือบมองท้องฟ้าสักครู่หนึ่งและยกมือขึ้นปรามทุกคนทั้งลำเรือ ชายหนุ่มเพ่งมองไปที่ธงยอดเสา และใบเรือทุกใบที่กางอยู่ ก่อนจะละกลับมามองปลาวาฬตัวเขื่องที่ยังดิ้นพราดๆ อยู่เคียงข้างลำเรือของตน "ถอนคำสั่ง..." ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ "พวกมันลักลอบเข้ามาในอาณาเขตของเราแปลว่าเส้นทางเดินเรือหลักไม่สามารถใช้งานได้"

เมื่อถอนคำสั่งแล้ว เลสธีราห์ก็ละความสนใจจากปลาวาฬ เขาเดินนำกัปตันเข้าไปในห้องพักที่มีแผนที่ทางทะเลกางอยู่บนโต๊ะกว้าง และลากนิ้วไปตามแนวอาณาเขตที่เป็นของพวกเขา "ธงนั่น... เป็นพวกอาเดรียไม่ผิดเพี้ยน แต่อาเดรียที่มีเส้นทางเดินเรือและอาณาเขตในทะเลมากกว่าเราจะลักลอบเข้ามาในเขตเราทำไมกัน" ร่างโปร่งชี้นิ้วไปที่แนวหินโสโครกในแผนที่อันเป็นเขตน้ำตื้นที่แบ่งคั่นอาณาเขต "พวกมันกำลังหนีอะไรอยู่

"ท่านเลสธีราห์..."

"กัปตัน..." เลสธีราห์กล่าวเด็ดขาด แม้เขาจะสูงเพียงแค่ระดับสายตาของกัปตันเรือ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความน่าเกรงขามดูน้อยลงไปเลย "เราต้องเร่งกลับแอสทารอธ!"

--------------------------------------------------

แอสทารอธ...

อาณาจักรแห่งเซนทอร์ซึ่งเป็นหนึ่งในสามมหาอำนาจทางทะเล ปกครองโดยเหนือหัวดาเรียสผู้แข็งแกร่ง มีอาณาเขตกว้างไกลครอบครองป่าเพลีเวธาร์ทางตอนใต้ทั้งหมด อีกทั้งอ่าวมารินาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลเทเทสอีกด้วย พื้นที่บริเวณกว้างเช่นนี้เองทำให้แอสทารอธมีอำนาจต่อรองมากกว่าเมืองอื่นๆหลายเท่าตัว และกลายเป็นศูนย์กลางการค้าไปโดยปริยาย

แต่อัธยาศัยของชาวแอสทารอธเทียบไม่ได้กับเมืองคู่แข่งอย่างอาเดรีย

อาเดรียเป็นอาณาจักรอยู่ทางตอนใต้ที่มีชายแดนติดกับแอสทารอธ และเป็นถิ่นอาศัยของมนุษย์ที่ได้ชื่อว่าช่างเจรจาที่สุดในบรรดามนุษย์ด้วยกัน อีกทั้งยังฉลาด หลักแหลม มีไหวพริบ และมีความสามารถในการค้าขายมากเสียจนแอสทารอธไม่สามารถเอาชนะได้

เซนทอร์เกิดมาเพื่อเป็นนักรบ ...หาใช่พ่อค้า

แต่ในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรเป็นเรื่องสำคัญ เซนทอร์ก็จำต้องปรับตัวเพื่อให้ตนเองอยู่รอดต่อไป ความคิดเช่นนี้เองจึงเป็นที่มาของประวัติศาสตร์ความสูญเสียครั้งใหญ่ของเมืองเซนทอร์นี้ ซึ่งมันอาจเป็นประวัติศาสตร์ที่ตอกย้ำให้คนครึ่งม้ายิ่งเพลี่ยงพล้ำในการทำการ ค้าขายเนื่องจากมันทำให้พวกเขาไม่ไว้ใจกลุ่มคนกลุ่มใดง่ายๆ อีกต่อไป

...หากไม่ใช่เพราะอดีตเจ็บปวดที่ฝังใจนี้ แอสทารอธก็คงจะเป็นเมืองท่าที่รุ่งเรืองที่สุด

เมื่อครั้งที่ครึ่งม้าไม่มีวิธีที่ใดที่จะเดินทางออกไปยังท้องทะเล พ่อค้าเอลฟ์จากแผ่นดินตะวันออกได้เดินทางเข้ามาขอซื้อไม้จากป่าของพวกเขาโดยใช้ความเจริญรุ่งเรืองมาเป็นตัวหลอกล่อ เซนทอร์ตกลงยินยอมในทันทีด้วยเกรงว่าเมืองอื่นจะฉกฉวยโอกาสนี้ไปต่อหน้าต่อตา โดยหารู้ไม่ว่าการเจรจาซื้อไม้เป็นเพียงเรื่องบังหน้า จุดประสงค์ที่แท้จริงของชาวเอลฟ์คือฝูงปลาในน่านน้ำของแอสทารอธที่มีมากมายมหาศาล พวกเขาจึงยอมซื้อไม้จากเซนทอร์ สอนพวกครึ่งม้าต่อเรือ และเคลื่อนขบวนเรือกลับแผ่นดินตะวันออกพร้อมกับปลาในทะเลที่ลักลอบจับขึ้นมา

...พวกครึ่งม้าที่ไม่รู้จักมหาสมุทรจะทำอะไรได้

นานนับสิบปีกว่าแอสทารอธจะได้สติ และพยายามขับไล่ชาวเอลฟ์ออกไปจากอาณาเขตของตนในทุกวิถีทาง แต่ก็เป็นผลยากเนื่องจากเอลฟ์เองก็เริ่มรู้จักน่านน้ำมากขึ้น และรู้จักหลบซ่อนต่อกรเก่งกาจขึ้น มหานครแอสทารอธจึงเพลี่ยงพล้ำ สิ้นหวัง และสูญเสีย... ราวกับพวกเขากำลังถูกปล้นโดยที่ตนไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเฝ้ามอง

ดังนั้นพวกเซนทอร์จึงไม่เคยไว้ใจใครอีกเลย...

--------------------------------------------------

...ฮูม!

แตรเมืองแห่งอาเดรียส่งเสียงอู้อี้ประกาศถึงการกลับมาของเจ้าเมืองหลังเดินทางไปเจริญความสัมพันธ์ทางการทูตที่ดูจะไม่สำเร็จ เนื่องจากสถานการณ์การเมืองภายในของคู่เจรจา แต่ก็อาจส่งผลดีอยู่บ้างเนื่องจากสงครามการเมืองที่ว่านี้ทำให้เกิดการล้มล้างราชบัลลังก์ และเปลี่ยนกษัตริย์ใหม่ คัสนาห์และอาเดรียจึงได้รับอิสรภาพหลังจากตกเป็นเมืองในอาณานิคมนับสิบปี

"ซินญอร์อยู่ที่ไหน..."

ท่านหญิงซินญอร่า ผู้นำอาณาจักรคัสนาห์ก้าวลงจากม้าขาวของนางในสภาพที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมม นางรีบบึ่งตรงมาที่มหาคฤหาสน์อันเป็นที่พักของผู้นำแทบจะในทันทีที่เรือลำใหญ่เทียบท่า เจ้าเมืองหญิงรวบผมยาวรุงรังที่เกราะกรังไปด้วยเศษฝุ่นขึ้นให้พ้นคอเพื่อระบายความร้อน และมองหาน้องชายซึ่งเป็นเจ้าเมือง "ไปตามเขามาพบข้า"

"ท่านพี่... เหตุใดจึงรีบเดินทางกลับ"

น้องชายฝาแฝดของท่านหญิงก้าวออกมาจากที่พัก ก่อนจะก้มหัวลงน้อยเพื่อแสดงความเคารพและต้อนรับญาติคนสนิท "ข้าได้รับแจ้งว่าท่านจะเดินทางกลับในอีกสามวัน" รูปหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกันขมวดมุ่นคิ้วด้วยความฉงน แต่ท่านชายซินญอร์ก็ดูจะได้คำตอบเมื่อเห็นพี่สาวของตนพยักหน้า "พวกธีสธรัลผลัดบัลลังก์แล้วสินะ"

ท่านหญิงถอนใจยาวหนึ่งครั้งและพยักหน้ารับก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านในคฤหาสน์ด้วยตนเอง "เรามีเรื่องจะต้องเร่งหารือกัน จริงอยู่ว่าการผลัดบัลลังก์ของธีสธรัลจะทำให้เราเป็นอิสระจากพวกมัน แต่จะมีใครรับรองได้ว่าผู้นำคนใหม่จะไม่ยกกองทัพกลับมาตีเมืองแห่งนี้อีกครั้ง คิดว่าธีสธรัลจะยอมเสียเมืองในอาณานิคมไปทั้งหมดหรือ"

ธีสธรัลเป็นชื่อเมืองซึ่งเคยเป็นเมืองที่ทั้งคัสนาห์และอาเดรียต้องยำเกรง

แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว...

"ซินญอร์ เราจะต้องลงมือก่อนที่ธีสธรัลจะไหวตัวทัน" ผู้เป็นพี่สาวกล่าวแน่วแน่ "เราจะต้องเป็นอิสระจากการครอบงำของพวกมัน และวิธีที่จะได้มาซึ่งอิสระนี้ เราจะต้องร่วมมือกับแอสทารอธ"

เมื่อครั้งที่ผู้นำทั้งสองยังเยาว์วัย ข้าศึกจากธีสธรัลได้บุกประชิดตัวเมืองและส่งคนเข้ามาลอบสังหารองค์กษัตริย์เป็นผลสำเร็จ แต่ด้วยความเมตตาที่หลงเหลืออยู่ในจิตใจ ทำให้ผู้ชนะยอมลดมือและไว้ชีวิตสองพี่น้องผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อผู้นำ ท่านหญิงซินญอร่าและท่านชายซินญอร์จึงมีชีวิตรอดและได้เป็นเจ้าเมืองสืบมาภายใต้ธงเครือจักรภพ

คัสนาห์เมืองพี่ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นเป็นที่ต้องการของข้าศึก

แต่เมืองน้องอาเดรียนั้นเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในมหาทวีป

หากเป็นอดีต ซินญอร่ายอมรับว่านางกลัวความตายหากคิดจะแข็งข้อ แต่ในตอนนี้นางคิดว่าตนพร้อมแล้วที่จะต่อสู้ เพื่อแย่งชิงสิ่งที่พวกเขาควรจะมีกลับมา ...คัสนาห์และอาเดรียคือเมืองท่าที่ควรจะแข็งแกร่งที่สุด และรุ่งเรืองที่สุดในมหาทวีป

และความแข็งแกร่งนั้นจะต้องเริ่มสร้างในตอนนี้...

"เราจะต้องปิดท่าเรืออาเดรีย... และเจรจาขอความร่วมมือจากพวกเซนทอร์!"

--------------------------------------------------

วาฬยักษ์สิ้นลมในระหว่างการเดินทางกลับที่ใช้เวลาเกือบครึ่งวันหลังจากถูกเรือใหญ่ลากมาด้วยทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหัววันทำให้ผู้บัญชาการกองทัพเรือไม่อาจนิ่งนอนใจรอต่อไปได้ เขาจะต้องรีบกลับมายังเมืองหลวงเพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นให้สภาขุนนางรับรู้ในการประชุมที่มีจะมีขึ้นในรุ่งเช้าของอีกวันหนึ่ง และด้วยความที่แอสทารอธเป็นอาณาจักรที่มีอาณาเขตกว้างไกลครอบคลุมทั้งป่า ภูเขา และทะเล ทำให้การเดินทางจากกลางทะเลกลับไปยังเมืองหลวงนั้นใช้เวลามากพอสมควร

เรือล่าวาฬแล่นกลับเข้ามาในเขตอ่าวมารินา และมุ่งเข้าสู่ท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของแอสทารอธ ลูกเรือที่เหนื่อยล้าจากการออกล่าสัตว์เริ่มขยับตัวยืดเส้นยืดสายอีกครั้งเพื่อทำงานใหญ่ชิ้นต่อไป ซึ่งนั่นก็คือการนำซากวาฬขึ้นฝั่ง อ่าวมารินามีท่าเรือเล็กๆ นับร้อยรอบอ่าว ซึ่งยังแบ่งออกเป็นหลายสัดส่วน ทั้งท่าเทียบเรือประมง ท่าเทียบเรือพาณิชย์ ท่าเทียบเรือรบ และท่าเทียบเรือที่ออกแบบมาเพื่อการนำซากวาฬขึ้นฝั่งโดยเฉพาะ โดยเรือล่าวาฬจะจอดเทียบท่าที่ยื่นออกไปนอกแผ่นดินมากเป็นพิเศษ ก่อนที่จะใช้กำลังคนลากซากสัตว์จากเรือไปที่ท่าที่อยู่ติดกันซึ่งมีลักษณะเป็นพื้นลาดเอียงลงไปในทะเล "เอ้า! อีกอึดใจเดียว... ตื่นตัวกันหน่อย" กัปตันเรือหัวเราะลงคอด้วยความขบขันเมื่อเห็นท่าทางอ่อนเปลี้ยของคนใต้บัญชา ชายฉกรรจ์ที่มีกำลังค่อยๆ เดินลงไปทีละคน ก่อนจะคืนร่างเป็นครึ่งม้า และออกแรงร่วมกันลากซากสัตว์ขึ้นฝั่ง

เลสธีราห์... ผู้บัญชาการสูงสุดกอดอกมองสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่พูดอะไร

เขากำลังมองขนาดของสัตว์ที่จับได้ และเริ่มคิดไปว่าจะสามารถเลี้ยงอาคันตุกะจากต่างแดนได้สักกี่มื้ออาหาร ตอนนี้แอสทารอธกำลังจะให้การต้อนรับคณะทูตจากดินแดนตะวันออกซึ่งมาเพื่อเจรจาการค้าในฤดูหนาวอันใกล้ อันเรียกได้ว่าอาจจะเป็นฤดูค้าขายที่สำคัญที่สุดของเซนทอร์ก็เป็นได้ เพราะชาวเอลฟ์ที่แผ่นดินตะวันออกกำลังจะประสบกับความหนาวเย็น ทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหาร และต้องสั่งซื้อวัตถุดิบจำนวนมากจากตะวันตกที่มีอากาศอบอุ่นกว่า และอยู่ในช่วงเพาะปลูก

เซนทอร์ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ ดังนั้นเนื้อสัตว์จึงเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของเมืองนี้ ซึ่งแม้จะฟังดูประหลาดไปสักหน่อย แต่อมนุษย์ครึ่งอาชาทุกคนเกิดมาเป็นนักรบ ดังนั้นจึงไม่ยากเลยที่พวกเขาจะมีความสามารถพิเศษในการล่าสัตว์

ทว่าด้วยนิสัยของม้าที่ยังหลงเหลืออยู่ทำให้อมนุษย์เผ่านี้เป็นมังสวิรัติ

พวกเซนทอร์ช่วยกันลากวาฬทั้งตัวขึ้นไปอยู่บนลานหินที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ชำแหละสัตว์ใหญ่ เลือดสีแดงฉานไหลออกมาจากบาดแผลบนตัวสัตว์จนเจิ่งนองไปทั่วบริเวณเช่นเดียวกับกลิ่นคาวที่เริ่มเหม็นคลุ้ง พวกเขาจะต้องรีบชำแหละซากสัตว์นี้ให้เร็วที่สุดก่อนที่ฟ้าจะมืด เพื่อให้มันคงความสดใหม่เอาไว้ดังเดิมเมื่อไปถึงห้องเตรียมอาหารในพระราชวัง

"ท่านเลสธีราห์ เราควรจะวู่วามแจ้งข่าวนี้กับเหนือหัวจริงหรือขอรับ"

เลสธีราห์ละสายตาจากภาพนั้นแล้วจึงหันไปหากัปตันเรือที่ยืนอยู่ใกล้ๆ อีกฝ่ายตั้งคำถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้ จริงอยู่ว่าเลสธีราห์เป็นถึงผู้บัญชาการสูงสุด และกัปตันเรือธรรมดาก็คงจะไม่มีสิทธิ์ไปเปลี่ยนความคิดหรือการตัดสินใจของผู้นำ แต่อย่างไรกัปตันหนุ่มก็คิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีเรือจากเมืองอืนสักลำแล่นล้ำเข้ามาในเขตของตน เพราะอย่างไรอาณาเขตทางทะเลก็แบ่งกั้นได้ยากอยู่แล้ว ดังนั้นการล่วงเข้ามาในเขตของกันและกันจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง

"ขออภัย... แต่ข้าไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น"

หากเป็นเซนทอร์ตนอื่น ความเข้มขวด และความเคารพอย่างแรงกล้าในตัวผู้นำคงจะทำให้กัปตันหนุ่มได้รับบทลงโทษบ้างที่กล้าถามเช่นนี้ แต่นั่นไม่ใช่อุปนิสัยของผู้บัญชาการอย่างเลสธีราห์ แม้ว่าใบหน้าอ่อนเยาว์ของชายหนุ่มจะไม่ปรากฎรอยยิ้ม แต่ทุกคนรู้ดีว่าเลสธีราห์เป็นคนที่มีจิตใจดี อ่อนโยน และมีเมตตาเสมอ

"ถ้าเป็นเรือประมงธรรมดาของพวกชาวบ้านอาเดรียที่ชอบลักลอบเข้ามาในน่านน้ำของเรา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรือข้าก็คงดูไม่ออกในครั้งแรกว่านั่นเป็นเรือของอาเดรีย แต่ในเมื่อเราเห็นธงอาณาจักรของพวกมันเด่นชัดปานนั้น จะเป็นใครอื่นใดอีกที่โดยสารมาในเรือ" ร่างโปร่งตอบเสียงเรียบ และนุ่มนวลใจเย็นเกินกว่าใครจะเชื่อว่านี่คือชายหนุ่มที่มีอายุเพียงยี่สิบสองปี

แต่มันเป็นสิ่งที่ทำให้เลสธีราห์ได้รับตำแหน่งนี้

...ความเยือกเย็นของเขา

"มหาอำนาจทางทะเลเทเทสมีสามอาณาจักรใหญ่คือแอสทารอธ อาเดรีย และธีสธรัล แต่อาเดรียถูกธีสธรัลครอบครองไปเป็นหนึ่งในเมืองอาณานิคม ทำให้ถูกถอดเขี้ยวเล็บไปสักระยะหนึ่ง แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่าอาเดรียจะทำใจยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่ได้" ร่างโปร่งหยุดพูดเพื่อสูดลมหายใจเข้าน้อยๆ "ข้าได้ยินว่าธีสธรัลเกิดการปฏิวัติจนถึงขั้นล้มกษัตริย์เดิม และผลัดบัลลังก์ใหม่ นี่เป็นช่วงเวลาประจวบเหมาะที่สุดที่อาเดรียจะเคลื่อนไหวเพื่ออิสรภาพของตัวเอง"

"เช่นนั้น... บนเรือนั่นคงเป็นท่านชายซินญอร์ ผู้นำของอาเดรีย"

"ข้าคิดว่าเป็นท่านหญิงซินญอร่า พี่สาวของเขามากกว่า" เลสธีราห์ว่า "อาเดรียเป็นเมืองท่าที่ร่ำรวย ไม่ว่าเมืองใดก็อยากได้เป็นอาณานิคมหรือพันธมิตรทั้งนั้น ดังนั้นต่อให้เป็นการเจรจาที่สำคัญแค่ไหน ข้าเชื่อว่าท่านชายซินญอร์ไม่กล้าทิ้งอาเดรียไปหรอก" ร่างโปร่งกอดอกเล็กน้อยขณะพยายามคิดต่อไป "แล้วอาเดรียจะทำอะไรธีสธรัลได้กันเล่า ขนาดกำแพงเมืองที่ว่าแข็งแกร่งที่สุดก็ยังเคยถูกตีแตกด้วยฝีมือของธีสธรัลมาแล้วเลยนี่"

"ข้าเห็นด้วยว่าเรื่องนี้คงต้องรายงานสภาขุนนางจริงๆ ขออภัยที่บังอาจตั้งคำถามเช่นนี้"

ถึงเลสธีราห์จะเป็นผู้นำที่ไม่ใคร่จะถือสา แต่เขาก็ไม่ได้ใจดีตอบรับคำขอโทษด้วยรอยยิ้ม ชายหนุ่มก้าวลงจากเรือ มุ่งหน้าไปยังทางเดินทางจะทอดยาวไปสู่เมืองหลวง และพระราชวังอันเป็นที่พักของเหนือหัวผู้นำ เขาจะต้องรีบรายงานสิ่งที่เห็นให้อีกฝ่ายทราบเพื่อหาทางรับมือต่อไป

"ส่งคนไปตามรีดาห์... บอกให้ไปสมทบกับข้าที่พระราชวัง"

--------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-11-2016 08:31:56 โดย khaosap »

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 1.2
«ตอบ #2 เมื่อ23-10-2016 19:54:08 »

ตอนที่ 1.2

เมืองหลวงของแอสทารอธคือ เลาน์เรน

เลาน์เรนอยู่ในป่าเพลีเวธาร์ทางตอนใต้และเป็นเมืองหลวงที่ดูจะเงียบเหงาที่สุดถ้าเทียบกับเมืองหลวงของอาณาจักรอื่นๆ เพราะคำว่าเมืองหลวงสำหรับเซนทอร์นั้นไม่ใช่เมืองที่ผู้คนอาศัยอยู่มากที่สุด แต่มันหมายถึงเมืองอันเป็นที่ตั้งของพระราชวังที่พำนักของเหนือหัว และเป็นสถานที่รับรองแขกบ้านแขกเมือง

และการเดินทางจากเมืองท่ามารินามาถึงเมืองหลวงเลาน์เรนก็ใช้เวลาประมาณครึ่งวันสำหรับการวิ่งเต็มแรงซึ่งนั่นเป็นการขนส่งที่พวกเซนทอร์นิยมมากที่สุด พวกเขาใช้ขาของตัวเองวิ่งไปทุกที่ และเทียมตัวเองกับรถเพื่อขนส่งทุกอย่าง ดังนั้นอาณาจักรแห่งนี้จึงไม่เลี้ยงม้า แต่หากเหนือหัวผู้ปกครองอาณาจักรต้องการจะไปที่ใด การวิ่งด้วยตนเองอาจจะเป็นภาพที่ไม่น่ามองสักเท่าไหร่ ดังนั้นเหล่าขุนนางแห่งสภาขุนนางทุกคนจึงได้อภิสิทธิ์ในการเดินทางที่สามารถด้วยรถลากที่ถูกเทียมด้วยกระทิงป่า

รวมทั้งผู้บัญชาการกองเรือรบอย่างเลสธีราห์ด้วยเช่นกัน...

แต่แน่นอนว่าขุนนางอายุน้อยย่อมต้องรู้จักสำรวม ดังนั้นเลสธีราห์จึงไม่เคยเรียกหารถลาก สำหรับเซนทอร์หนุ่มแล้ว การที่มีโอกาสได้นั่งตำแหน่งขุนนางในสภาขุนนางทั้งที่เพิ่งมีอายุได้แค่ยี่สิบสองนับเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แม้ว่าทั้งสภาขุนนางจะไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียวที่อ่อนวัยที่สุดก็ตาม

เลสธีราห์มาถึงพระราชวังอัสเธียร์ในตอนเช้าตรู่

สถานที่แห่งนี้เป็นที่พักขององค์เหนือหัวแห่งแอสทารอธ มันก่อสร้างด้วยหินทั้งหมด ค้ำยันด้วยเสาหินสูงชะลูดเกินยอดไม้ แม้เดิมทีเซนทอร์จะไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่ง แต่ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา การมาเยือนของชาวเอลฟ์จากแผ่นดินตะวันออกก็นำพาความเจริญมากมายมาสู่เมืองแห่งนี้ ภาพวาดบนฝาผนังที่แต่งแต้มด้วยสีสันจึงล้วนเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของชาวเอลฟ์กับเผ่าคนครึ่งม้า

ลมอ่อนๆ ยามเช้าพัดผ่านเข้ามาทางประตูบานใหญ่ที่เปิดกว้าง ขุนนางหลายฝ่ายเดินทางมาถึงพระราชวังและยืนพูดคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งของท้องพระโรงใหญ่เพื่อรอการปรากฎตัวขององค์เหนือหัวดาเรียส ผู้นำแห่งแอสทารอธ ฝีเท้าขององค์เหนือหัวเป็นที่จดจำของคนใต้ปกครอง เมื่อกีบเท้าก้าวขึ้นเหยียบขั้นบันไดผ่านรูปม้าสลักหินอ่อนขึ้นไปบนแท่นเบื้องหน้าท้องพระโรง เสียงเซ็งเซ่ทั้งหมดก็เงียบลง และสายตาทุกคนหันมามองผู้นำสูงสุด และราชเลขาคนสนิทที่ยืนเยื้องอยู่เบื้องหลังเพื่อคอยรับใช้และให้คำปรึกษา

ผมยาวของเซนทอร์หนุ่มเป็นสีดำสนิท เช่นเดียวกับดวงตาลุ่มลึกน่าเกรงขาม ลำตัวช่วงบนที่เป็นมนุษย์สวมเกราะหนังสีน้ำตาลเข้ม เช่นเดียวกับขาทั้งสี่ที่ตึงแน่นไปด้วยมัดกล้ามซึ่งปกคลุมด้วยขนสีดำ

บัลลังก์แห่งแอสทารอธเป็นเสมือนเบาะนอน แต่ก็เป็นแท่นหินอ่อนที่ดูสง่างาม ยิ่งเมื่อกายแกร่งค่อยๆ ทอดร่างอาชาลงทว่ายังยืดหยัดกายมนุษย์เบื้องบนเอาไว้ แม้จะไม่มีมงกุฎหรือสิ่งใดบ่งบอกถึงตำแหน่งสูงศักดิ์ แต่ก็ไม่มีเซนทอร์ตนใดจะสง่างามผ่าเผยเท่ากับผู้ที่อยู่บนบัลลังก์นี้อีกแล้ว

"วันนี้อาคันตุกะจากเธสซาลีย์จะเดินทางมาถึง เพื่อติดต่อเรื่องการค้าขายในช่วงฤดูหนาว"

เสียงของผู้นำกล่าวเรียบ ทว่าทรงพลังดังก้องไปทั่วทั้งโถงประชุม "ข้าได้ยินจากราชเลขาว่าปีนี้การค้าขายของเราเราค่อนข้างจะติดขัดในเรื่องการล่าสัตว์" สายตาดุดันเฉียบคมของเหนือหัวจับจ้องไปที่ขุนนางระดับสูงคนซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่องดังกล่าว "ภาวะสงครามของอาณาจักรอื่นทำให้พวกเขาเข้ามาล่าสัตว์ในป่าเพลีเวธาร์จนสังเกตเห็นได้ชัดว่าฝูงสัตว์อย่างน้อยหนึ่งฝูงใหญ่หายไป"

พวกขุนนางเซนทอร์ยืนประชุม ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่จะต้องพูด หนึ่งในนั้นจึงก้าวออกมาจากแถวโดยไม่มีทางอิดออดว่าจะถูกตำหนิหรือติเตียน "กวางป่าเป็นสัตว์ที่ล่าง่ายและมีจำนวนมาก ดังนั้นจึงตกเป็นเป้าหมายของพวกมนุษย์ และพวกภูตไม้ จากเดิมทีที่พวกเขาจะล่าเพียงเดือนละสี่ถึงห้าตัว แต่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ภาวะสงครามทำให้ต่างฝ่ายต่างสะสมเสบียง และฝูงสัตว์ที่เคลื่อนไหวตลอดเวลาอย่างกวางป่าก็ถูกไล่ล่าถึงเดือนละหลายสิบตัว" พวกเขาอยู่ในป่าเพลีเวธาร์ทางตอนใต้ ร่วมกับพวกภูตไม้ที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือ ดังนั้นเหนือหัวดาเรียสจึงไม่อาจตำหนิเรื่องเหล่านี้ได้ เพราะอย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจห้ามฝูงสัตว์อพยพได้อยู่ดี

"สิ่งที่เราพบเป็นปัญหาไม่ใช่ปริมาณของกวางที่ลดลงเพียงอย่างเดียว แต่เป็นปัญหาเรื่องลูกกวางจำนวนมากที่ยังไม่เติบโต ตัวหนึ่งก็เล็กจนเกินไปไม่สามารถนำมาทำประโยชน์ได้"

เหนือหัวผ่อนลมหายใจยาวอย่างครุ่นคิด เหตุผลหนึ่งที่เรื่องเหล่านี้เป็นปัญหาที่ยากจะคาดเดาวิธีแก้นั่นก็เพราะเซนทอร์ทุกตนล้วนเป็นมังสวิรัติ พวกเขาล่าสัตว์เพื่อการค้าเท่านั้น และเนื้อกวางก็เป็นเนื้อที่มีราคาดีและราคาสูงซึ่งคุ้มค่าต่อการล่าแต่ละครั้ง แต่ในเมื่อพวกเขาต้องพบเจอปัญหาเช่นนี้ เผ่าพันธุ์ที่ไม่เคยลิ้มรสชาติของเนื้อสัตว์เลยจึงไม่สามารถคิดวิธีแก้ปัญหาได้

"ท่านมาร์แซลจึงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสำหรับตลาดเนื้อสัตว์ในตอนนี้ด้วยการล่าวัวป่าค่ะ"

ราชเลขาคนสนิทเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนเป็นเอกลักษณ์ของนาง สตรีเซนทอร์ผู้นี้คือท่านหญิงลีอาห์ ผู้ได้ชื่อว่าอาจจะเป็นหญิงที่มีอำนาจมากที่สุดในแอสทารอธ "แต่วัวป่ามีขนาดใหญ่กว่ากวางมาก อีกทั้งยังเป็นอันตราย แม้ว่าเนื้อจะมากกว่าและในบางครั้งก็ราคาดีกว่า แต่นี่ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาระยะยาวเลย"

เมื่อขุนนางอยากออกความคิดเห็น พวกเขาจะใช้วิธีเคาะกีบเท้ากับพื้นเป็นเชิงขออนุญาต ก่อนจะก้าวออกมาจากแถว และเจ้าของเสียงเคาะฝีเท้าเมื่อครู่ก็ก้าวออกมายืนเบื้องหน้าเหนือหัว ร่างเพรียวของอาชาสีขาวสะอาดที่รับกับท่อนบนซึ่งดูบอบบางสมเป็นสตรี และผมยาวสีขาวโพลนที่ดูสวยสง่าเป็นเอกลักษณ์ของเซนทอร์หญิงอีกตนหนึ่งซึ่งมีนามว่า โมนา

"ท่านหญิงโมนามีความเห็นหรือ" ราชเลขาทอดยิ้มละมุน

ต่างจากเซนทอร์หญิงเบื้องบนซึ่งยืนอยู่เคียงข้างบัลลังก์ โมนานั้นเยาว์วัยกว่าทว่ากลับเปี่ยมไปด้วยความดุดันของนักรบ "ท่านมาร์แซลคอยควบคุมดูแลหน่วยล่าสัตว์และพวกพรานมาตลอดก็จริงอยู่ แต่พวกเราก็เคยออกล่าเพียงกวางเท่านั้น ข้าจึงเห็นกว่าการเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นพวกวัวป่าดูเป็นเรื่องไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ จริงอยู่ว่ากวางที่เราเคยล่าก็มีตั้งแต่ขนาดเล็ก ไปจนถึงขนาดมหึมา แต่ลักษณะนิสัยของกวางไม่ดุดันเท่าพวกวัว" วาจาของหญิงสาวฉะฉาน อีกทั้งท่าทางก็ยังดุดัน "ข้าควบคุมดูแลพวกทหารหน่วยลาดตระเวนและหน่วยจู่โจมมาตลอด มีหรือจะไม่เคยปะทะกับฝูงสัตว์อย่างพวกวัว"

เซนทอร์หญิงเคลื่อนสายตาไปมองขุนนางมาร์แซลที่บัดนี้รู้สึกขนลุกขึ้นมาดื้อๆ

ในแอสทารอธแห่งนี้ ไม่มีสตรีคนไหนอีกแล้วที่จะเด็ดขาดเท่าโมนา

...และนางก็ชื่อว่าเป็นขุนพลหญิงที่ดุร้ายป่าเถื่อนที่สุดในเผ่าพันธุ์เสียด้วย

"ข้ายังไม่อยากได้ยินข่าวคราวจากหน่วยล่าสัตว์ว่ามีพี่น้องของเราได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับวัวป่าโดยที่ข้ายังไม่ได้ลงมือทำอะไร ดังนั้นข้าจึงอยากอาสาผนวกกำลังกับหน่วยล่าสัตว์เพื่อแก้ไขปัญญาเฉพาะหน้าไปก่อน" แม้ว่าโมนาจะเป็นสตรีที่ดูน่ากลัวในสายตาของใครหลายคน แต่โดยจิตใจของความเป็นเซนทอร์แล้ว นางได้ชื่อว่าจงรักภักดีต่อเผ่าพันธุ์ของตัวเองไม่แพ้ใครเลย

"เรื่องชายแดนเรียบร้อยดีใช่หรือไม่ ท่านหญิงโมนา" เหนือหัวดาเรียสทอดเสียงถาม

"ชายแดนที่น่าเป็นห่วงของเราไม่ใช่ด้านที่อยู่ติดกับพวกภูตป่า แต่เป็นด้านที่ติดกับพวกมนุษย์จากอาเดรีย และข้าก็ได้ยินว่าเขตแดนทางทะเลก็มีปัญหาเช่นกัน" สายตาเฉียบคมของนางตวัดไปมองขุนนางอีกคนหนึ่งที่มีหน้าที่รับผิดชอบด้านนี้เพื่อส่งต่อบทสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะก้าวถอยกลับไปยืนในจุดที่นางยืนอยู่เมื่อครู่นี้

หากเสียงกีบเท้าของท่านหญิงโมนาดังก้องไปทั่วท้องพระโรง เสียงกีบเท้าที่ดังในครั้งนี้ก็อาจทำให้ทั้งพระราชวังรับรู้ เพราะท่อนขาทรงพลังที่มีขนาดใหญ่กว่าใครกระแทกเท้ากับพื้นสามครั้ง และร่างกายสูงใหญ่ก็ก้าวออกมาจากแถวเป็นสัญญาณขออนุญาตออกความเห็นจากขุนนางที่ดูแลความเรียบร้อยในทะเล "เหนือหัวดาเรียส..." ร่างสูงค้อมหัวลงแสดงความเคารพอย่างจริงใจ เขาเป็นเซนทอร์ที่มีขนสีด่างดำสลับขาว เช่นเดียวกับผมยาวที่มีสีขาวสลับดำ ดวงตาสีเข้มหนักแน่นและลุ่มลึกสะท้อนอุปนิสัยจริงจังและเข้มงวด เซนทอร์ตนนี้คือ ซาฮาล ผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์ 'กราเทียร์' แห่งแอสทารอธ

แม้เรื่องการรุกล้ำชายแดนทางทะเลจะไม่ใช่ความผิดชอบของซาฮาลโดยตรง แต่ในเมื่อผู้รับผิดชอบโดยตรงยังไม่ปรากฎตัว อย่างไรเขาก็คงจะต้องพูดออกไปก่อนเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน "เรื่องชายแดนทางทะเลเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เนื่องจากเขตแดนที่ไม่อาจระบุได้แน่ชัดว่าทะเลส่วนใดเป็นของฝ่ายใด  ดังนั้นจุดที่เป็นปัญหามากที่สุดจึงเป็นฝั่งรอยต่อของอ่าวมารินาและแหลม..."

ทว่าเหนือหัวดาเรียสกลับยกมือขึ้นปรามการพูดของซาฮาล

"เจ้ามีหน้าที่ดูแลการขนส่งสินค้าไปทางตะวันออก และข้าก็เชื่อว่าเจ้ามีรายงานเรื่องการขนส่งอยู่ในหัว เหตุใดจึงมาชี้แจงเรื่องเขตแดนระหว่างเรากับอาเดรียได้" นัยน์ตาสีดำของเหนือเหลือบไปมองราชเลขาข้างกาย "ท่านหญิงลีอาห์... เลสธีราห์ยังไม่มาหรือ" เมื่อเหนือหัวถามออกมาเช่นนั้น สภาขุนนางก็เริ่มพูดคุยและคาดเดาเหตุผลว่าเหตุใดขุนนางอายุน้อยผู้นั้นจึงกล้าขาดประชุมในสภาขุนนาง ทั้งที่นี่เป็นการประชุมสำคัญ

และเหตุผลที่เหนือหัวต้องถามราชเลขา...

นั่นก็เพราะขุนนางเลสธีราห์ ผู้บัญชาการกองเรือรบนั้นเป็นบุตรชายของนางนั่นเอง

"ข้าได้ยินว่าเขาออกทะเลไปล่าวาฬเมื่อสองอาทิตย์ก่อน" ซาฮาลกล่าว "การจะหาวาฬสักตัวในมหาสมุทรไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่เขาจะยังไม่กลับมา" เมื่อพูดถึงการล่าวาฬ สภาขุนนางก็เงียบเสียงลง ด้วยทุกคนรู้ดีว่านั่นเป็นภารกิจสำคัญ คณะทูตจากเธสซาลีย์เป็นชาวเอลฟ์ และชาวเอลฟ์ค่อนข้างจะโปรดปรานเนื้อวาฬ ดังนั้นการที่ผู้บัญชาการกองเรือรบต้องออกทะเลไปด้วยตนเองนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก

ในอาณาจักรแอสทารอธแห่งนี้ ไม่มีใครรู้จักท้องทะเลดีไปกว่าเลสธีราห์

"คณะทูตแจ้งข่าวการมาเยือนตั้งแต่สองเดือนที่แล้ว เหตุใดจึงเพิ่งออกล่าวาฬเมื่อไม่สองอาทิตย์ก่อน การประชุมเดือนที่แล้วก็ไม่มีภารกิจใดติดขัดขนาดทำให้เลสธีราห์ออกลทะเลไม่ได้ไม่ใช่รึ" เหนือหัวมุ่นคิ้ว "และต่อให้เขามีความเชี่ยวชาญในทะเลแค่ไหน แต่นี่ก็แสดงถึงความบกพร่องในการปฏิบัติภารกิจอยู่ดี" ท่านหญิงลีอาห์ไม่กล่าวแก้ตัวแทนบุตรชาย นางเพียงค้อมหัวลงยอมรับคำตำหนิของเหนือหัวเพื่อไปสั่งสอนต่อเมื่อเขามาถึง

ผู้นำแห่งแอสทารอธถอนใจยาวครั้งหนึ่งและเคลื่อนสายตากลับไปมองซาฮาลอีกครั้ง

"เช่นนั้นก็รายงานเรื่องของเจ้ามาจะดีกว่า เมื่อเลสธีราห์กลับมา ข้าจะให้เขารายงานด้วยตนเอง"

แม้จะตัดสินความได้ดังนั้น แต่ร่างเงาสูงโปร่งในร่างของมนุษย์ก็ปรากฎขึ้นที่ประตูทางเข้า ผมยาวสีอ่อนเปียกลู่บ่งบอกได้ว่าการเดินทางของอีกฝ่ายอาจจะฝ่าเม็ดฝนมา ร่างกายท่อนบนที่ปราศจากอาภรณ์ยังคงเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อและหยดน้ำ ชายชุดยาวที่ตัดเย็บจากเส้นหนังสีดำปลิวสะบัดตามแรงลมที่พุ่งเข้ามาปะทะร่างกาย รองเท้าเหล็กก้าวเดินเป็นจังหวะตรงเข้ามาในที่ประชุมทำให้เกิดเสียงก้องดังไปทั่ว เจ้าของร่างเงยมององค์เหนือหัวที่ค่อยๆ ทอดยิ้มมองเขาด้วยสายตาเอ็นดูก่อนจะค้อมหัวลงต่ำ

"เลสธีราห์... กลับมาแล้วขอรับ"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-10-2016 09:49:45 โดย khaosap »

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 2.1
«ตอบ #3 เมื่อ25-10-2016 09:30:28 »

ตอนที่ 2.1

การประชุมของสภาขุนนางในท้องพระโรงจะมีเหนือหัวดาเรียสนั่งอยู่บนบัลลังก์หินที่ประดับตกแต่งด้วยรูปปั้นม้า และเหล่าขุนนางจะยืนเรียงเป็นสองแถวหันหน้าเข้าหากันโดยเว้นพื้นที่ทางเดินตรงกลางเอาไว้เพื่อให้ขุนนางได้ก้าวออกมาชี้แจงเรื่องของตน

ซาฮาล... ผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์อยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ในจังหวะที่เลสธีราห์กลับมา

ร่างโปร่งที่สูงได้เพียงเอวของซาฮาลในร่างของเซนทอร์ก้าวเข้ามายืนเคียงข้างอีกฝ่ายเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้นำแห่งแอสทารอธ "ขออภัยในความบกพร่องทางวินัย ข้าขอรับบทลงโทษตามที่เหนือหัวเห็นสมควร" ท่านหญิงลีอาห์ที่ยืนอยู่เบื้องหลังส่งยิ้มให้บุตรชายอย่างพอใจครู่หนึ่งก่อนจะวางสีหน้านิ่งดังเดิม

"ได้ยินว่าเจ้าเพิ่งออกเรือไปเมื่อสองสัดาห์ก่อน แม้จะกลับมาทันการประชุมในสภาขุนนาง แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าตำหนิอยู่ดีที่เพิ่งมาคิดจะทำงาน" เลสธีราห์ไม่แก้ตัวใดๆ เขายังยืนอยู่ที่ด้านหน้าบัลลังก์ และเตรียมจะถอยกลับไปในจุดที่เขาควรจะยืน "แอบไปเตร็ดเตร่ท่องเที่ยวที่ไหนหรือไร พ่อหนุ่ม..."

ดาเรียสรักอีกฝ่ายเสมือนน้องชาย ...ดังนั้นการหยอกล้อกลางท้องพระโรงแบบนี้จึงเกิดขึ้นบ่อย

"ข้าอาจจะเตร็ดเตร่บ้างตามประสาคนหนุ่ม... แต่ก็ไม่ได้เสียการงานหรอก" ร่างโปร่งยิ้มตอบ ก่อนจะถอยกลับไปยืนในตำแหน่งของตน เซนทอร์ทุกคนมีความสูงมากกว่าม้า ดังนั้นเลสธีราห์ที่รักจะอยู่ในร่างมนุษย์ตลอดเวลาจึงดูหายตัวไปท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้น "ขอให้ท่านขุนนางซาฮาลได้กล่าวรายงานก่อนเถอะ"

ซาฮาลเหลือบมองคนที่ตัวเล็กกว่าตนมากด้วยสายตาเรียบเฉยครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดเรื่องของตน

"การขนส่งโดยภาพรวมยังราบรื่นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่สิ่งที่น่าห่วงในระยะยาวก็คือเทคโนโลยีของพวกมนุษย์บนเกาะธีสธรัลที่ดูจะก้าวหน้าไปมาก" ซาฮาลเริ่ม "พวกธีสธรัลสมาคมกับพวกอัสคาห์ซึ่งเป็นอริกับเรามาแต่เดิม ดังนั้นแอสทารอธกับธีสธรัลจึงไม่ได้ข้องแวะด้วยกันมากนัก แม้ว่าในช่วงสองสามปีมานี้ธีสธรัลจะส่งทูตมาเจริญความสัมพันธ์และติดต่อค้าขายกับเราบ่อยขึ้นก็ตาม"

ในประวัติศาสตร์ของแอสทารอธ อัสคาห์เป็นกลุ่มคนที่สอนพวกเขาต่อเรือ และเป็นเมืองเดียวกับที่ปล้นทรัพยากรทั้งทางบกและทางทะเลไปจากพวกเขาอย่างเห็นแก่ได้ ดังนั้นแอสาทารอธจึงไม่เคยนิยมชมชอบพวกอัสคาห์แม้แต่น้อย แต่ข้อดีอย่างหนึ่งของพวกอัสคาห์นั่นก็คือ พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่มีความคิดสร้างสรรค์อยู่เสมอ

"พวกมันสร้างเรือที่ใช้เทคโนโลยีที่เราเรียกว่า 'เรือจักรไอน้ำ' ขอรับ"

สภาพขุนนางเริ่มส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อซาฮาลเอ่ยชื่อสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของชาวเอลฟ์ขึ้นมา "มันเป็นการขับเคลื่อนเรือที่ให้ความเร็วมากกว่าเรือที่พวกเราใช้อยู่มาก อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่โตจนสามารถขนสินค้าทีละมากๆ ได้ในเรือลำเดียว ไม่จำเป็นต้องจ้างเรือขนส่งสองสามลำต่อการขนส่งสินค้าหนึ่งครั้งอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้"

แม้จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับขุนนางทุกคน แต่เหนือหัวดาเรียสก็ถอนใจอย่างไม่สบอารมณ์นัก "เหตุใดเราจะต้องก้าวตามอัสคาห์ด้วย... เจ้าก็รู้ว่าพวกมันทำอะไรกับแอสทารอธบ้างในอดีต" แม้แต่ตัวเหนือหัวเองก็ยังรู้สึกสนใจในสิ่งที่ซาลฮาลพูด แต่ด้วยความเป็นเซนทอร์แล้ว ไม่ว่าใครก็รู้สึกระอักกระอ่วนทั้งนั้นที่จะต้องยอมรับว่าพวกเขาล้าหลังกว่าชาวเอลฟ์พวกนั้น และอาจจะต้องหันกลับไปพึ่งพาพวกมันเพื่อยกระดับตัวเองให้สูงขึ้นตามการเปลี่ยนแปลง

"เหนือหัว... เรื่องของเรือจักรไอน้ำเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับการพาณิชย์ ถึงเราจะมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเธสซาลีย์ แต่ก็ยังมีชาวเอลฟ์อีกหลายเมืองที่เช่าเหมาลำเรือพาณิชย์ของเรา แต่ถ้าหากเรายังไม่ปรับปรุงตามเรือจักรไอน้ำพวกนั้น เราอาจสูญเสียช่องทางการค้าขายในอนาคตไปได้ อย่างไรการจ้างเรือจักรไอน้ำสักหนึ่งลำในราคาที่สูงกว่า ก็ดูจะมั่นใจและปลอดภัยกว่ากองเรือสามเสาสักสี่ห้าลำอยู่ดี"

นี่เป็นความคิดที่ยากจะยอมรับได้ในหมู่เซนทอร์ ความเกลียดชังที่พวกเขามีแต่อาณาจักรอัสคาห์ทำให้คนครึ่งม้ายอมล้าหลังไปหลายสิบปี แต่นั่นก็ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลยกับคุณภาพชีวิตที่พวกเขาควรจะมีในตอนนี้ ดังนั้นหลังจากสงครามขับไล่อาณาจักรอัสคาห์ออกไปจากทะเลอันเป็นน่านน้ำของแอสทารอธ เมืองเซนทอร์จึงเริ่มคิดจะปรับเปลี่ยน โดยเริ่มต้นด้วยการยอมติดต่อค้าขายกับเมืองเธสซาลีย์ ซึ่งเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองนักปราชญ์ที่มีคุณธรรมมากกว่า นำมาซึ่งวิชาความรู้ใหม่ๆมากมายที่คนครึ่งม้าไม่เคยรู้มาก่อน

เพื่อเรียนรู้ที่จะสร้างที่อยู่อาศัย เรียนรู้ที่จะสร้างอาวุธ และกองกำลัง

และการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนนี้ก็คือการมีตัวตนของเลสธีราห์

...การมีเซนทอร์ครึ่งเอลฟ์ตนแรกที่สามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้

แน่นอนว่าท่านหญิงลีอาห์ผู้เป็นมารดาควรจะถูกเรียกว่าเป็นเซนทอร์ตนแรกที่เรียนรู้การใช้พลังแปลงตนให้เป็นมนุษย์ แต่แน่นอนว่าสายเลือดครึ่งม้าที่เข้มข้นของนางก็ทำให้นางเลือกจะอยู่ในร่างของเซนทอร์มากกว่า และปล่อยให้บุตรชายเดินไปทั่วอาณาจักรในร่างมนุษย์แทน ...เว้นเสียแต่ต่อหน้าสามีของนางที่นานๆ จะมาเยือนสักครั้งหนึ่ง ท่านหญิงลีอาห์จึงจะยอมกลายเป็นหญิงคนหนึ่งที่ดูเหมือนมนุษย์โดยทั่วไป

...

เหนือหัวดาเรียสถอนใจอีกครั้งและยกมือขึ้นกุมขมับอย่างคิดไม่ตก

"เช่นนั้น ซาฮาล... เจ้าไปศึกษาเรื่องของ 'เรือจักรไอน้ำ' แล้วนำมารายงานข้า ว่าเราจะต้องปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง" ถึงจะออกคำสั่งไปแบบนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะปิดปัญหาของกองเรือพาณิชย์ได้ เพราะซาฮาลกล่าวต่ออย่างหนักแน่นอย่างผู้ที่ลงมือศึกษาข้อมูลแล้ว

"เทคโนโลยีที่ข้าว่านี้เพิ่งทดลองใช้ในอาณาจักรอัสคาห์เท่านั้น ข้าส่งหน่วยสอดแนมไปในน่านน้ำของธีสธรัล และพบว่าพวกธีสธรัลเองก็มีเพียงผังการสร้างเรือจักรไอน้ำ ทว่าไม่มีทรัพยากรพอที่จะทำได้"

ทว่าเหนือหัวดาเรียสมุ่นคิ้วเล็กน้อยกับประโยคนั้น "เราจะต้องต่อเรือใหม่อย่างนั้นรึ"

"ข้าเคยเห็นเรือจักรไอน้ำลำหนึ่งของอัสคาห์..." ซาฮาลว่า ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก "เป็นเรือที่สร้างจากเหล็กขอรับ" ดังมารยาทในที่ระชุมสภาขุนนาง หากใครต้องการจะพูดจะต้องเคาะกีบเท้ากับพื้นสามครั้งก่อนแล้วจึงก้าวออกมาได้ ทว่าเลสธีราห์ผู้ไม่ได้อยู่ในร่างเซนทอร์สามารถทำได้แค่กระแทกส้นเท้ากับพื้นเท่านั้น และก้าวออกมาจากกลุ่มขุนนางด้วยส่วนสูงที่ดูเตี้ยจนเหนือหัวดาเรียสยังเกือบจะมองข้ามไป

"เหนือหัว... ก่อนที่พวกเราจะสนใจเรื่องของเรือจักรไอน้ำ ข้าเชื่อว่าที่สิ่งข้าเพิ่งพบเจอมาก็เป็นเรื่องด่วนไม่แพ้กันอย่างแน่นอน" ร่างโปร่งเอ่ยขึ้นกลบเสียงพูดคุยเซ็งเซ่ของสภา "และสิ่งนี้อาจเกี่ยวข้องกับเรื่องของท่านซาฮาลด้วยก็เป็นได้" เซนทอร์ร่างสูงดูจะไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ แต่ในเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้นำอาณาจักร เขาก็ทำได้แค่เก็บซ่อนสีหน้าเอาไว้

"พวกภูตไอย์ชวลที่ป่าทางเหนือเพิ่งได้รับชัยชนะในสงคราม และสามารถดึงเอาธีสธรัลเข้ามาเป็นเมืองพี่เมืองน้องได้สำเร็จ" เลสธีราห์ว่า "สงครามที่ทำให้กวางในป่าเพลีเวธาร์ถูกฆ่าอย่างต่อเนื่องเพื่อไปสะสมเป็นสเบียงยามสงคราม และส่งผลกระทบทำให้หน่วยพรานของเราต้องล่าวัวป่าแทนซึ่งเสี่ยงอันตรายยิ่งกว่า"

...เหนือหัวดาเรียสดูแปลกใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายรู้เรื่องนี้ทั้งที่เขามาประชุมสาย

"ในเมื่อไอย์ชวลกับธีสธรัลเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เมืองแรกที่จะต้องตื่นตัวนั่นก็คืออาเดรียซึ่งมีชายแดนติดกับเรา เพราะอาเดรียเป็นเมืองที่ขวางอยู่ตรงหลางระหว่างธีสธรัลกับไอย์ชวล พวกเขาจะต้องเลือกว่าจะโอนอ่อนตามธีสธรัลหรือว่าขัดขวาง ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อแอสทารอธในทั้งสองทางเลือก หากพวกเรายังอยู่เฉย" นัยน์ตาสีฟ้าครามน้ำทะเลของเซนทอร์หนุ่มเคลื่อนขึ้นมองผู้นำของตน

"ปัญหาของเราในตอนนี้อาจไม่ใช่เรือจักรไอน้ำ... แต่อยู่ที่ว่าเราจะสามารถยืนอยู่ในจุดเดิมได้อย่างไรในเมื่อรอบข้างของพวกเรากำลังจะก้าวไปสู่สงครามรูปแบบใหม่ซึ่งถ้าพวกเราไม่เข้าร่วมก็จะกลายเป็นผู้ที่ล้าหลังในทันที" เลสธีราห์กล่าว "เมื่อวานนี้ข้าได้พบกับเรือลำหนึ่งซึ่งมีธงสัญลักษณ์ของอาเดรีย แล่นเข้ามาในน่านน้ำของเรา โดยไม่สนใจเรือรบของเราที่ลอยลำอยู่ไม่ห่างกัน"

ทุกคนดูจะตื่นตกใจกับข่าวนั้น เพราะโดยตำแหน่งแล้ว เลสธีราห์คือผู้นำกองเรือรบซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาอาณาเขตทางทะเล การมีเรือสักลำเคลื่อนเข้ามาในน่านน้ำจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตที่จะต้องนำมากล่าวรายงานต่อสภาขุนนาง เลสธีราห์สามารถออกคำสั่งลงมือได้ทันทีโดยไม่ต้องไตร่ตรอง

"ข้าคิดว่าน่าจะเป็นเรือของท่านหญิงซินญอร่า... จึงไม่ได้จัดการอย่างที่เคยทำ"

ท่านหญิงซินญอร่าคือผู้นำอาณาจักรคัสนาห์ซึ่งเป็นเมืองพี่ของอาณาจักรอาเดรีย การจะลงไม้ลงมือกับผู้นำนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และแอสทารอธเองก็ไม่ต้องการมีเรื่องบาดหมางกับอาณาจักรข้างเคียงเช่นกัน "พวกเขาดูรีบเร่ง และรีบร่อน และเรือลำนั้นก็เพิ่งเดินทางมาจากทิศตะวันออกซึ่งหมายถึงเกาะธีสธรัลที่ซึ่งพวกเราได้ข่าวว่าพวกเขาเพิ่งผลัดบัลลังก์และเปลี่ยนแปลงกษัตริย์ผู้นำเป็นราชินีไวลด์

ราชินีไวลด์เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งภูต... และเป็นลูกพี่ลูกน้องของกษัตริย์องค์ก่อน

นางเพิ่งได้รับชัยชนะหลังจากต่อสู้กับพี่ชายของตนเองเพื่อแย่งบัลลังก์มาเนิ่นนาน

"ข้าคิดว่านี่เป็นสัญญาณความเคลื่อนไหวของอาเดรียซึ่งเป็นเมืองท่าเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับสมญาว่าประตูสู่มหาทวีป" เลสธีราห์วิเคราะห์ "หากพวกเขาเข้าร่วมกับธีสธรัลและไอย์ชวล แอสทารอธจะเป็นเมืองที่ถูกทอดทิ้ง จริงอยู่ว่าพวกเรามีความชำนาญในการล่าสัตว์ แต่อย่าได้ลืมว่าพวกภูตเองก็ใช่จะน้อยหน้า เพียงแค่ที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยมีโอกาสได้ค้าขายกับตะวันออกก็เท่านั้น ส่วนธีสธรัลที่เป็นเมืองศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนอยู่แล้วก็ยังจะยิ่งเพิ่มอำนาจการต่อรองมากขึ้นหากสามารถเป็นพันธมิตรกับอาเดรียได้"

เหนือหัวดาเรียสเข้าใจในตอนนั้น และพยักหน้ารับช้าๆ "หากเราไม่เคลื่อนไหว แอสทารอธจะไม่มีอะไรเลย... และอาจจะไม่เหลืออะไรเลย" พวกเซนทอร์ยอมรับว่าเผ่าของตนไม่ใคร่จะมีมนุษยสัมพันธ์ แต่อย่างไรก็ยังไม่ยอมแพ้ในการติดต่อกับอาณาจักรอื่น แต่หากสามอาณาจักรดังกล่าวผนวกกำลังกันขึ้นมา อย่างไรแอสทารอธก็ต้องอับจนอยู่ดี

ทว่าซาลฮาลกลับไม่เห็นด้วยในแนวคิดนั้นสักเท่าไหร่

"แล้วเจ้าอยากให้เราทำอะไรเล่า เลสธีราห์... ปรี่เข้าไปหาพวกธีสธรัลหรือไม่ก็อาเดรียอย่างนั้นรึ พวกมนุษย์บนเกาะนั่นก็ไม่ต่างจากพวกเอลฟ์อัสคาห์ หากเห็นเราประนีประนอมด้วยสักหน่อยก็จะหาปัญหามาให้พวกเราในอนาคตอยู่ดี ข้ายอมรับในสายตาที่มองการณ์ไกลของเจ้าก็จริงอยู่ แต่ในเมื่อไม่มีความคิดที่เป็นรูปธรรม แล้วจะโน้มน้าวให้แซนทอร์ทั้งอาณาจักรยอมรับความคิดนี้ได้อย่างไร"

"ซาฮาล..." เหนือหัวดาเรียสปราม "พวกธีสธรัลใกล้ชิดอัสคาห์มากเกินไป แต่จะให้เราเข้าทางไอย์ชวลข้าก็ไม่สันทัดกับพวกภูตไม้เหล่านั้น" ผู้นำอาณาจักรเหลือบมองราชเลขาคนสนิท "ท่านหญิงลีอาห์... ท่านสามารถพูดคุยกับพวกภูตได้หรือไม่ ข้าคิดว่าอมนุษย์ด้วยกันคงจะสนทนากันเข้าใจมากกว่า"

เซนทอร์หญิงยิ้มจางและค้อมตัวลงรับคำสั่ง "ข้าจะต้องพบกับทูตของไอย์ชวลอยู่แล้ว จะถือโอกาสนั้นสอบถามความเห็นจากท่านทูตเสียเลยก็ย่อมได้ค่ะ" ใบหน้าสงบนิ่งภูมิฐาน และน้ำเสียงละมุนละไมอ่อนโยนของนางทำให้ปัญหาที่ดูจะใหญ่โตคลี่คลายลงในทางที่ดีไปครึ่งหนึ่ง

แต่ถึงกระนั้นเหนือหัวก็ยังมอบหมายภารกิจต่อไป

"เลสธีราห์... ถ้าข้ามอบหมายภารกิจสอดแนมให้เจ้าจะว่าอย่างไร ไปสืบมาสิว่าอาเดรียคิดจะแก้ปัญหานี้อย่างไร และเราควรแสดงออกในทิศทางไหนบ้าง" เหนือหัวออกคำสั่ง "ข้าอยากรู้ท่าทีของอาเดรีย แต่การเป็นฝ่ายสูงทูตไปก่อนดูจะไม่ใช่วิถีเราสักเท่าไหร่ และขุนนางระดับสูงก็ดูจะมีคนเดียวที่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ ดังนั้นข้าจะฝากเรื่องนี้ไว้ที่เจ้าก็แล้วกัน"

ทว่าซาฮาลกลับไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น "เหนือหัว ข้าต้องการ..."

"ซาฮาล" ผู้นำปรามอีกครั้ง และพยักหน้าให้เขาถอยกลับไปยืนในที่ของตนเอง "ข้ารู้ว่าเจ้าอยากช่วยเลสธีราห์ แต่ข้าไม่สามารถส่งผู้บัญชาการกองเรือออกไปทำภารกิจได้ทั้งสองคนพร้อมกัน เจ้าควรอยู่ดูแลที่มารินา นี่ก็ใกล้ฤดูหนาวของพวกเอลฟ์แล้ว การเดินเรือจะวุ่นวายและการค้าขายจะสะพัด เจ้าต้องดูแลให้ราบรื่น ในส่วนหน้าที่ของเลสธีราห์ เจ้าไปมอบหมายต่อให้คนที่เจ้าไว้ใจเองก็แล้วกัน"

--------------------------------------------------

การยืนประชุมตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับม้า แต่สำหรับคนที่อยู่ในร่างมนุษย์อย่างเลสธีราห์ก็ทำให้รู้สึกปวดเมื่อยเอาดื้อๆ ที่ต้องยืนนิ่งๆ นานถึงครึ่งค่อนวัน "อูย..." ร่างโปร่งทรุดตัวลงนั่งกับขั้นบันไดด้านหน้าพระราชวังและยืดขาเรียวให้ตึงเพื่อไล่ความเมื่อยขบ

"จะให้ข้าช่วยเหยียบดีหรือไม่ หากเมื่อยขนาดนั้น"

ฝีเท้าร่าเริงของเซนทอร์อีกตัววิ่งเข้ามาใกล้ และด้วยความที่เลสธีราห์ยังนั่งอยู่ที่พื้น ทำให้เขาต้องแหงนหน้าจนเกือบบจะขนานกับพื้นดินเพื่อมองสหายที่พุ่งเข้ามาทักทาย "ข้าเกรงว่าสันหลังของข้าอาจมีปัญหา หากให้เจ้าช่วยเหยียบ... อาจจะหักไปเลยก็เป็นได้" ร่างที่นั่งอยู่หัวเราะตอบ "ข้อดีในร่างม้าก็เป็นการที่ไม่เมื่อยนี่ล่ะกระมัง"

"ใครเขาห้ามเจ้าเป็นเซนทอร์เล่า" สหายหนุ่มบ่นอุบ "แต่ก็นั่นล่ะ... นี่หากไม่ใช่เลสธีราห์ การแปลงเป็นมนุษย์แล้วเดินไปเดินมาในเลาน์เรนเช่นนี้จะต้องถูกรังเกียจเป็นแน่" ชาวเอลฟ์กล่าวว่าเซนทอร์ทุกตนมีอำนาจซ่อนอยู่ พวกเขาสามารถแปลงตนเป็นมนุษย์ได้ หากเรียนรู้ที่จะควบคุมพลัง และหลังจากที่พวกเอลฟ์เข้ามาที่นี่ เซนทอร์หลายตนก็เริ่มเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในร่างมนุษย์

ท่านหญิงลีอาห์ซึ่งเป็นทูตในขณะนั้นสามารถทำได้เป็นตนแรก...

แม้ว่าในตอนนี้จะมีการสนับสนุนให้เซนทอร์เด็กเรียนรู้ที่จะใช้พลังเหล่านั้น แต่อย่างไรการอยู่ในร่างมนุษย์ตลอดเวลาก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับ ...พวกเขามีศักดิ์ศรี และศักดิ์ศรีของพวกเขาก็อยู่เหนือสัตว์สองขาอย่างมนุษย์ เลสธีราห์เป็นเซนทอร์คนเดียวที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในร่างสัตว์สองขาได้โดยไม่รู้สึกแปลก เพราะเขาเกิดมาด้วยร่างกายเช่นนั้น

ชายหนุ่มเกิดมาในร่างกายที่เหมือนมนุษย์ และเพิ่งเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนร่างตัวเองเมื่อไม่นานมานี้

ในเมืองหลวงเลาน์เรนแห่งนี้มีเพียงเลสธีราห์ที่กล้าใช้ร่างของมนุษย์เดินไปเดินมา แต่หากจะว่ากันถึงเมืองท่ามารินาแล้วละก็ เซนทอร์แทบทุกคนจะอยู่ในร่างมนุษย์ เนื่องจากการไปไหนมาไหนด้วยสองขาดูจะสะดวกมากกว่าสี่ขา

เพราะการลื่นล้มบนเรือไม้ดูจะไม่ใช่เรื่องตลกสำหรับอมนุษย์อย่างเซนทอร์

"เอาไว้ข้าวิ่ง... แล้วค่อยแปลงก็ได้ ข้ายังชอบใช้สองขาเดินอยู่" ผู้นำกองเรือตอบ "อีกอย่าง กองเรือของข้าก็ต้องการคนมีเท้ามากกว่าคนมีกีบ" ร่างโปร่งยืดตัวขึ้นยืนก่อนจะก้าวลงบันไดพระราชวังมุ่งตรงไปยังถนนดินที่จะพาเขาไปที่ลานฝึกซ้อมของพวกเซนทอร์ที่กำลังเรียนรู้

สหายสนิทวิ่งตามลงมาพร้อมกับเสียงกึกกักของกีบเท้าทั้งสี่

"โกรธอะไรอีกล่ะ หัวหน้า... เจ้ายืนจนเมื่อยนี่ไม่ใช่ความผิดข้าเลยนะ ข้าเพียงแค่แนะนำให้เจ้าใช้ร่างเซนทอร์ตอนประชุมบ้าง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องใช้ร่างนั้นเดินบนเรือนี่ ใครก็รู้ว่ากีบเท้าไม่เหมาะกับพื้นไม้ ลื่นล้มกันตั้งกี่คนแล้ว..." ขณะพูดมาก เซนทอร์ร่างสูงก็ค่อยๆเปลี่ยนร่างตนเองกลับมาเป็นมนุษย์และเดินพูดอยู่ข้างๆผู้นำกองเรือที่ในตอนนี้สูงกว่าคนพูดเสียอย่างนั้น

"ฟังข้าอยู่รึเปล่า เลสธีราห์..!"

"ข้าก็ไม่ได้โกรธอะไรเสียหน่อย" เจ้าของชื่อหยุดเดินพลางหันมากอดอก "ข้าจะไปดูลานฝึก เจ้ามีธุระอะไรก็ไปทำเสียสิ รองผู้บัญชาการ" การเกร็งแขนเพียงเล็กน้อยช่วยขับกล้ามเนื้อให้เห็นเป็นรูปร่างเด่นชัดขึ้น บ่งบอกคู่สนทนาได้ว่าหากพูดจาไม่รู้เรื่องขึ้นมา เอลฟ์ครึ่งเซนทอร์ผู้นี้ก็อาจจะอัดหมัดหนักๆใส่ได้ "เรือพาณิชย์ที่ไปรับจ้างกลับมาหมดแล้วหรือยัง ได้ตรวจสภาพเรือหรือไม่ ข้าไม่อยู่สามวันเจ้าอู้งานไปถึงไหนแล้ว รีดาห์!"

"นั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบข้าเสียหน่อย!" เจ้าของชื่อรีดาร์ปฏิเสธ "เรือพาณิชย์ก็ส่วนเรือพาณิชย์ ข้าเป็นรองผู้บัญชาการกองเรือรบ เหตุใดจะต้องไปตรวจเรือพาณิชย์ ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์สิ"

"เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องโครงสร้างเรือไม่ใช่รึ นี่คิดจะโยนความรับผิดชอบให้ซาฮาลอย่างนั้นรึ!"

ซาฮาลคือผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์...

กองเรือพาณิชย์ไม่มีกฎเข้มงวดมากเท่ากองเรือรบ เพราะเรือพาณิชย์นั้นเน้นที่ความเร็ว และความคล่องตัว โดยส่วนมากจะใช้ขนสินค้าจากแผ่นดินตะวันตกไปตะวันออก และจากแผ่นดินตะวันออกกลับมายังตะวันตก กองเรือพาณิชย์มีจำนวนลำเรือมากกว่ากองเรือรบถึงสี่เท่า แต่หากถูกโจรสลัดโจมตีก็ไม่สามารถป้องกันตนเองได้ มีแต่ต้องใช้ความเร็วอันเป็นเอกลักษณ์หนีเอาตัวรอดไปให้ถึงแผ่นดินใหญ่เท่านั้น ต่างจากเรือของกองเรือรบที่ทุกลำติดตั้งปืนใหญ่จำนวนมาก และหน้าที่ของกองเรือรบนี้ก็คือการลาดตระเวนในน่านน้ำของตนไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้ามาโดยพลการ

รีดาร์ยังคงปฏิเสธเป็นพัลวันและเริ่มพูดยาวไปถึงภาระหน้าที่ในขอบข่ายของตน

"อย่างกับว่ามีใครพูดถึงข้าอย่างนั้น"

ร่างเงาสูงใหญ่ขยับเข้ามาทาบทับคู่สนทนาทั้งสองที่คนหนึ่งยังคงเถียงข้างๆ คูๆ ไม่หยุดปาก "ซาฮาล..." นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบไปมองผู้มาใหม่ด้วยหางตาก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับผู้บัญชาการกองเรือกราเทียร์ หรือกองเรือพาณิชย์ที่ทุกคนรู้จักกัน "มีธุระอะไร"

"เลสธีราห์..." ร่างสูงยังอยู่ในร่างเซนทอร์โดยไม่มีความคิดจะเปลี่ยนมาเป็นมนุษย์เพื่อสนทนา

รีดาร์เห็นท่าทางไม่ดีจึงเปลี่ยนกลับเป็นม้าอีกครั้ง เขารู้ดีว่าซาฮาลไม่ชอบร่างมนุษย์ แม้เจ้าตัวจะสามารถเปลี่ยนได้ก็ตาม "อาจจะมาพูดคุยตามประสาคนร่วมงานกันก็เป็นได้" ชายหนุ่มมีผมสีดำคลับโดยที่ส่วนปลายของมันเป็นสีขาว เช่นเดียวกับร่างกายท่อนล่างที่ปกคลุมด้วยขนสลับสีแบบเดียวกัน ท่อนขาที่หนากว่าม้าทั่วไปบ่งบอกได้ว่าซาฮาลได้รับความแข็งแกร่งมาจากบรรพบุรุษ

ขนาดของกระดูกท่อนขาบ่งบอกได้ถึงชาติตระกูล องค์เหนือหัวดาเรียสเองก็มีท่อนขาแบบนี้

ในขณะที่เลสธีราห์และรีดาร์มีขาเล็กเรียวแบบม้าโดยทั่วไป

"กำลังจะไปลานฝึกหรือไง ไปดูพวกเด็กๆ ที่ถูกส่งมาเรียนแปลงเป็นร่างมนุษย์รึ" เลสธีราห์พยักหน้ารับ แต่เขาก็เปลี่ยนความคิดจะไปเยือนที่นั่นเมื่อครู่นี้เนื่องจากความไม่เป็นส่วนตัว "ไหนว่าเรื่องของอาเดรียนั้นเร่งหนักหนาเสียจนต้องพูดแทรกขึ้นมาในที่ประชุมเลยทีเดียว... นี่จะไปเที่ยวเตร่ตามประสาคนหนุ่มอีกหรือไร"

นั่นเป็นคำประชดของผู้บัญชาการกราเทียร์

...หากเลสธีราห์เป็นหนึ่งในขุนนางที่อายุน้อยที่สุดในสภา ซาฮาลก็คือขุนนางอีกคนหนึ่งที่มีอายุน้อยที่สุด ซึ่งนั่นก็คือยี่สิบสองเท่ากับเลสธีราห์ "ทำตัวอย่างกับเด็กเรียกร้องความสนใจ ทั้งที่ปัญหาของทั้งเจ้าและข้าต่างก็ใหญ่มากพอกัน"

"ซาฮาล" เลสธีราห์มุ่นคิ้ว "เจ้าน่าจะเข้าใจว่าเราไม่มีเวลาไปไล่ตามเรื่องเรือจักรไอน้ำ ตราบใดที่เมืองเพื่อนบ้านยังตีกันเป็นพัลวันเช่นนี้" คู่สนทนาผิวปากเบาเป็นเชิงล้อเลียนกึ่งเหยียดหยาม และเดินวนไปรอบคู่สนทนาทั้งสองอย่างไม่สนใจสิ่งที่เลสธีราห์พยายามจะพูด

"เจ้าจะว่าเจ้ามองการณ์ไกลกว่าข้าอย่างนั้นหรือ"

"เจ้าอย่าเอาอารมณ์หงุดหงิดมาโยนใส่ข้าหน่อยเลย"

"ข้าคงจะไม่หงุดหงิดเพียงนี้หากเจ้ารู้จักมีมารยาทเสียบ้าง" เซนทอร์ร่างสูงตอบเสียงเข้ม "ข้าคงต้องไปดูแลกองเรือกราเทียร์ ตามคำสั่งของเหนือหัว ส่วนเจ้าก็ไปสอดแนมพวกอาเดรียในฐานะเซนทอร์หนึ่งเดียวที่แนบเนียนกับมนุษย์ที่สุดก็แล้วกัน" ชายหนุ่มยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้ม "งานสอดแนมไม่ใช่งานคิดเองเออเองล่ะ ระวังตัวให้มากด้วย... ความใดที่เจ้าได้มาแล้วเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองก็ไม่ควรจะเก็บงำไว้เอาหน้าเพียงคนเดียว ถูกหรือไม่ เลสธีราห์ ปัญหาที่เจ้ามองอาจจะไม่ใช่ปัญหาที่ขุนนางผู้อื่นเห็นก็เป็นได้ เจ้าเป็นถึงผู้นำกองเรือรบเซเลสต์ อย่าคาดการณ์ผิดให้เสียชื่อแม่ทัพ"

"ชักจะมากไปแล้วนะ..." คิ้วเรียวกดมุ่นบ่งบอกถึงโทสะหลังจากคู่สนทนาสั่งสอนราวกับเป็นเด็ก

ซาฮาลยอมถอยเท้าออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่สบอารมณ์ "เช่นนั้นต้องขออภัยด้วย ข้าควรจะขอตัวกลับไปที่มารินาก่อน คณะทูตจากตะวันออกจะเดินทางมาถึงในเย็นวันนี้ และช่างโชคดีที่แม่ทัพเลสธีราห์สามารถหาเนื้อวาฬชั้นดีมาต้อนรับได้ไม่เสียชื่อแอสทารอธ..." ว่าแล้วร่างสูงก็หมุนตัวเดินกลับขึ้นไปที่พระราชวังหินอ่อน โดยมีสายตารำคาญของเลสธีราห์มองตามไป

รีดาร์จับบ่ากว้างของสหายแทนการเตือนสติ "ซาฮาลมีประสบการณ์มากกว่าเจ้า อย่าถือเลยน่า"

"อย่าทำเหมือนข้าได้รับภารกิจนี้เพราะเป็นลูกครึ่งเอลฟ์หน่อยเลย" ร่างโปร่งกัดฟันกรอด "การที่ข้ารู้เรื่องชายแดนทางทะเลมากกว่าก็เพราะข้าเป็นผู้นำของเซเลสต์ ข้าต้องคาดการณ์ได้กว้างกว่าผู้นำที่วันๆวุ่นวายแต่กับเรื่องขนส่ง และจัดระเบียบลำเรืออยู่แล้ว"

"ไม่เอาน่า..." รีดาร์พยายามปลอบ "ตกลงเจ้าเรียกข้าให้วิ่งตามมาจากมารินาทำไม"

...เมื่อถามอีกครั้ง เลสธีราห์ก็นึกขึ้นได้ว้าเขาบอกให้กัปตันเรือลำนั้นส่งคนไปตามรีดาห์ให้มาสมทบกับเขาที่เลาสน์เรน "ถ้าเจ้าเรียกมาแล้วไล่ข้ากลับไปตรวจสภาพเรือ... ข้าจะโกรธเจ้าจริงๆ และเจ้าจะต้องเลี้ยงเหล้าข้าสักถังหนึ่งแน่ๆ เลสธีราห์" รีดาห์เป็นฝ่ายกดเสียงเข้มและกอดอกบ้างอย่างเอาเรื่อง

"ข้าจะมอบหมายหน้าที่ของข้าให้เจ้าสักระยะ" เลสธีราห์ตอบ "เพราะข้าจะต้องไปสืบข่าวที่อาเดรีย"

"เรื่องแค่นี้ไม่ต้องให้ข้าวิ่งมาก็ได้กระมัง ผู้บัญชาการ!"

"เพราะข้าคงไม่กลับมารินาอีกหลายวันน่ะสิ" เลสธีราห์มุ่นคิ้ว "แล้วข้าก็ไม่มีเวลาหยุดเล่าเรื่องให้เจ้าฟังอีกด้วย ดังนั้นการเรียกให้เจ้ามาก็เป็นเรื่องถูกต้องแล้ว" ร่างโปร่งยืดอกอย่างคนที่ไม่ได้ทำผิด แม้ว่าเขาจะรู้สึกผิดจริงๆที่เรียกให้อีกฝ่ายตามมาพบที่นี่ทั้งที่ไม่ได้มีเรื่องด่วนขนาดนั้น

เขาเรียกอีกฝ่ายมาทั้งที่ไม่แน่ใจตั้งแต่แรกว่าตนจะได้ไปสืบข่าวที่อาเดรียด้วยตนเองหรือไม่

"ระวังตัวด้วยล่ะ... ประเดี๋ยวจะถูกซาฮาลหาเรื่องเอาได้อีก เจ้ารู้ไม่ใช่หรือไงว่าเจ้านั่นไม่ชอบมนุษย์ แล้วการที่เจ้าชอบอยู่ในร่างมนุษย์ก็ดูจะขัดหูขัดตาเหลือเกิน" เลสธีราห์พ่นลมหายใจแรงๆอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วจึงกดอกเพื่อเก็บกลั้นโทสะเอาไว้

ซาฮาลไม่ได้เกลียดมนุษย์... แต่ผู้นำกองเรือกราเทียร์ต้องการแสดงอำนาจเหนือกว่าเขาก็เท่านั้น

รู้ไหม... ว่าข้าออกหน้าแทนเจ้ากี่ครั้งแล้ว เลสธีราห์ ในเรื่องที่กระทั่งมารดาของเจ้าก็ไม่สามารถแก้แทนได้... หากไม่มีข้าแล้วเจ้าจะได้มายืนอยู่ที่นี่หรือ

...

ใครกันแน่ที่ปกป้องเจ้ามาตลอดน่ะ!

"แล้วกลับมานี่ได้อาบน้ำหรือยัง" เสียงของรีดาห์ดังขึ้นทำลายความคิดของเลสธีราห์

จริงอยู่ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมานั้นฝนตก และเซนทอร์หนุ่มก็วิ่งฝ่าฝนกลับมายังเมืองหลวง แต่แน่นอนว่าคนที่ออกเรือไปร่วมสองสัปดาห์นั้นย่อมไม่มีน้ำสะอาดให้อาบแน่นอน รีดาห์มองจ้องหน้าสหายของตนก่อนจะแกล้งทำจมูกย่นฟุดฟิด "ยังแน่ๆ!!"

"หุบปากน่า จะเสียงดังไปทำไมกันเล่า!" เลสธีราห์ไม่ปฏิเสธ แต่ก็อดหน้าง้ำไม่ได้เมื่อถูกแทงใจดำ

"เจ้าไปประชุมขุนนางในสภาพหัวฟูแบบนี้ก็แย่แล้ว ไปเลย! ไปกระโดดแม่น้ำ! ข้าจะไปขอสมุนไพรขัดผิวจากพวกนางวัง" นางวังในความหมายของรีดาห์ก็คือนางกำนัลผู้ทำงานในวังสำหรับอาณาจักรอื่นนั่นเอง "ใครยืนข้างเจ้าเมื่อครู่นี้ ซาฮาลหรือเปล่า หรือว่ารองผู้บัญชาการของซาฮาล เขาไม่บ่นบ้างหรือไร..."

"เงียบน่ะ" เลสธีราห์ถอนใจ แล้วจึงเปลี่ยนเป้าหมายจากลานฝึกเป็นเส้นทางสู่ประตูเมือง

"เลส เจ้าจะไปไหนน่ะ" รีดาร์ร้องเรียกผู้นำของตน "เจ้าเรียกให้ข้าวิ่งจากมารินามาถึงที่นี่ เพื่อจะบอกว่าเจ้ามอบหมายหน้าที่ให้ข้าดูแล แค่นี้น่ะหรือ แล้วรายละเอียดงานเล่า! เราจะต้องล่าวาฬอีกหรือเปล่า ลำพังข้าหาพวกมันไม่เจอในกลางทะเลหรอกนะ เจ้าเซนทอร์สองขา!" ร่างโปร่งชะงักไปเมื่อถูกเรียกเช่นนั้น เขาหันกลับไปมองผู้ใต้บัญชาก่อนให้คำตอบ

"ข้าจะไปอาเดรีย...!"

--------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-10-2016 11:49:16 โดย khaosap »

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 2.2
«ตอบ #4 เมื่อ25-10-2016 09:33:47 »

ตอนที่ 2.2

อาเดรียเป็นเพียงอาณาจักรเล็กๆ ที่ไม่มีเมืองหลวงหรือเมืองท่าให้วุ่นวายอย่างแอสทารอธ

ทุกสิ่งทุกอย่างของอาณาจักรที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองท่าที่รุ่งเรืองที่สุดในแผ่นดินอยู่ในปราการเมืองสามชั้นและท่าเรือที่กินพื้นที่กว้างใหญ่ทั่วทั้งอ่าว โดยปราการชั้นที่สามจะเป็นย่านที่พักอาศัยของประชาชนและเป็นปราการชั้นนอกสุดซึ่งโอบล้อมด้วยกำแพงเมืองสูงชะลูดเกินกว่าที่ข้าศึกจะปีนข้ามได้ ส่วนปราการชั้นที่สองจะเป็นย่านการค้าและมีส่วนประตูเมืองที่เชื่อมต่อกับท่าเรือนับร้อยของอาเดรียซึ่งอยู่โดยรอบอ่าวออโรรา และปราการชั้นที่หนึ่งจะเป็นที่ตั้งของมหาคฤหาสน์อันเป็นสถานที่พำนักของผู้นำแห่งอาเดรีย

...หรือท่านชายซินญอร์

"เราจะต้องขอความช่วยเหลือจากแอสทารอธ..." ผู้นำแห่งอาเดรียพึมพำกับตนเองขณะใช้ปลายนิ้วลูบไปบนใบสีเขียวของต้นไม้เล็กๆที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเขา "อย่างกับว่าเซนทอร์พวกนั้นญาติดีกับใครนอกเหนือจากเธสซาลีย์อย่างนั้น" ท่านชายซินญอร์ส่งเสียงขึ้นจมูกด้วยความรู้สึกสมเพชตนเองอยู่ลึกๆที่ไม่มีเหตุผลใดจะโต้แย้งพี่สาวของตนได้

เขาไม่คิดว่าสิ่งที่นางพูดจะเป็นเรื่องถูกต้อง

จริงอยู่ว่าอาเดรียไม่ต้องการอยู่ในการปกครองของธีสธรัลอีกต่อไปแล้ว แต่การปิดท่าเรือและตัดขาดการค้ากับธีสธรัลไปเสียเฉยๆก็ดูจะเป็นการหักหาญที่รุนแรงมากไปเสียหน่อยจนยากจะเจรจา หลังจากท่านหญิงซินญอร่าออกคำสั่งให้ปิดท่าเรือ เรือพาณิชย์ทุกลำที่เป็นของธีสธรัลก็ถูกขับไล่ออกไปจากอ่าวออโรรา จริงอยู่ว่าธีสธรัลเป็นเมืองเกาะที่ไม่น่าจะมีพิษภัยต่อเมืองที่เป็นถึง 'ประตูสู่มหาทวีป' อย่างอาเดรีย แต่สิ่งที่ทำให้ธีสธรัลมีชัยเหนือพวกเขามาโดยตลอด นั่นก็คือการขายตัวเองของพวกขุนนางที่เห็นแก่ได้ พวกขุนนางที่เห็นแก่เงินเล็กน้อยและความมั่งคั่งจอมปลอมที่ธีสธรัลเสนอให้เป็นค่าตอบแทนในการทรยศกษัตริย์แห่งอาเดรีย

แต่ตอนนี้ถึงจะกวาดล้างเหล่าขุนนางพวกนั้นออกไปแล้ว และขับไล่พลทหารของธีสธรัลกลับแผ่นดินเกิดแล้ว อีกทั้งยังตะเพิดพวกพ่อค้ากลับไปได้อีกด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอาเดรียได้รับชัยชนะในการประกาศตนเป็นอิสระจากธีสธรัล

ธีสธรัลในตอนนี้ไม่ได้เป็นแค่เมืองเกาะธรรมดา

...แต่พวกเขามีไอย์ชวลเป็นพันธมิตรด้วย

ไอย์ชวลคือเมืองของภูตป่า ผู้ครอบครองผืนป่าเพลีเวธาร์ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในมหาทวีป พวกภูตเหล่านี้มีความชำนาญในการสู้รบอย่างมาก ทั้งทางพื้นดินและทางอากาศ หากพวกเขายกกำลังพลเข้าบุกอาเดรียเมื่อใด ปราการในตำนานแห่งนี้ก็ยากที่จะทัดทานไหวเช่นกัน

แต่มันคือความขลาดเขลาที่ทำให้ท่านชายซินญอร์ไม่เคยลงมือทำอะไรเพื่อทำให้อาเดรียเป็นอิสระ

เขายอมอยู่ภายใต้การกดขี่ของธีสธรัลเพื่อให้ทุกคนมีชีวิตอยู่ มากกว่าจะแข็งข้อและสูญเสียเลือดเนื้อของประชาชนากมายแลกกับคำว่าอิสรภาพที่อาจไม่มีอยู่จริง นับตั้งแต่กษัตริย์คนสุดท้ายของอาเดรียถูกสังหาร เมืองท่าแห่งนี้ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งกองทัพ แม่ทัพและขุนพลมากฝีมือถูกสังหารและกวาดล้างศาสตร์การต่อสู้ทุกอย่างออกไปจากแผ่นดิน

อาเดรียจึงไม่มีอะไรที่จะเป็นอาวุธต่อสู้เอาชนะได้

ยกเว้นกองกำลังส่วนตัวที่เรียกว่าเป็น 'หน่วยอารักขา' ของผู้นำอาณาจักรเท่านั้น

"ท่านชายซินญอร์... ขออนุญาตค่ะ" นั่นเป็นเสียงของสาวใช้หน้าห้อง และเมื่อนางพูดจบ ประตูห้องก็เปิดดออกพร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างจะเคร่งเครียดหลังจากถูกตามตัวมาจากคฤหาสน์ที่พักของตน ผมสีเข้มที่ยาวประบ่าของอีกฝ่ายเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อทว่าเสื้อผ้ากลับดูสะอาดสะอ้านอย่างน่าประหลาด ผู้นำอาณาจักรจึงคิดว่าเขาอาจเรียกอีกฝ่ายออกมาในช่วงเวลาที่เขากำลังฝึกซ้อมร่างกายประจำวัน

นี่คือ เอเดรียน ผู้นำของหน่วยอารักขาที่ใกล้ชิดเขามากที่สุดตลอดเวลายี่สิบปีที่ผ่านมา

หรืออีกตำแหน่งหนึ่งจะเรียกว่าเป็น แม่ทัพแห่งอาเดรีย ก็ย่อมได้

แน่นอนว่าการลักลอบซ่องสุมกำลังพลจะเป็นความคิดของท่านหญิงซินญอร่า แต่ในเรื่องนี้ท่านชายซินญอร์ก็เห็นด้วยอยู่มาก เนื่องจากการกวาดล้างของธีสธรัลในอดีตนั้นทำให้อาเดรียไม่เหลือนักรบเลยสักคนเดียว จนทำให้เมืองขาดความมั่นคงและสั่นคลอนจนแทบล่มสลาย แต่พวกเขาก็ถูกสั่งห้ามก่อตั้งกองทัพอยู่ดี ดังนั้นการแต่งตั้งใครสักคนขึ้นเป็นแม่ทัพจะต้องกระทำขึ้นเป็นความลับ และจะต้องเป็นบุคคลที่สองพี่น้องไว้ใจเท่านั้น และเอเดรียนผู้นี้ก็คือบุคคลคนนั้น

"ข้าได้ยินว่าท่านหญิงซินญอร่าสั่งปิดท่าเรือออโรรา และขับไล่พวกพ่อค้าจากธีสธรัลออกไปจนหมดเมือง" คิ้วเรียวสีเข้มขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ "เหตุใดจึงออกคำสั่งใช้กองทัพที่ข้าดูแลอยู่โดยพลการเช่นนี้" แม้จะเป็นประโยคที่ไม่สมควรพูดกับผู้ที่เป็นเจ้านาย แต่ท่านชายซินญอร์ก็ยอมรับว่าตนเป็นฝ่ายผิดที่ออกคำสั่งแทนแม่ทัพโดยไม่ปรึกษาใคร

"การเดินทางจากธีสธรัลมาถึงที่นี่ใช้เวลาเพียงคืนเดียว หากพรุ่งนี้เช้า กองเรือของพวกมันเข้ามาในอ่าวออโรราแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า" แม่ทัพหนุ่มถอนใจ "ท่านชาย... เหตุใดจึงไม่ปรึกษาข้าบ้าง" ผู้นำสูงสุดของอาเดรียไม่ตอบคำ เขาค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้โซฟาตัวยาว ก่อนจะผายมือให้แม่ทัพคนสนิทนั่งที่เก้าอี้อีกตัวหนึ่ง

"ท่านหญิงซินญอร่าหลบหนีออกมาได้ในช่วงชุลมุนของการต่อสู้ภายในอาณาจักรธีสธรัล และผู้ชนะก็คือฝ่ายภูตไม้ นั่นแปลว่าธีสธรัลกำลังจะเปลี่ยนแปลงผู้นำ ดังนั้นพวกเขาไม่ผลีผลามส่งกองทัพเรือมาบุกเราในตอนนี้หรอก" สาวใช้เดินเข้ามาในห้องรับรองอีกครั้งพร้อมกับถ้วยชาและอาหารว่าง "แปลว่าตอนนี้ไอย์ชวลตอนนี้ได้ธีสธรัลเป็นพันธมิตรแล้ว แน่นอนว่าพวกมันย่อมได้เส้นทางเดินเรือในทะเลด้วย แต่หากเมืองท่าหนึ่งเดียวอย่างเราแข็งข้อ พวกมันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี"

"ท่านชาย แต่เหตุใดจะต้องวู่วามปิด... พวกพ่อค้าก็จะเดือดร้อนไม่ใช่หรือ"

ท่านชายซินญอร์เม้มปากกับคำถามที่คาดเอาไว้ว่าจะต้องตอบ "ไอย์ชวลยกทัพไปรบกับธีสธรัลทางอากาศ พวกเขาใช้ม้าศึกบินได้ทั้งหมดบินข้ามทะเลไป แต่หลังจากได้ชัยชนะแล้ว พวกม้าศึกก็อ่อนแรง กำลังพลก็อ่อนเปลี้ย ไม่อาจบินข้ามกลับมาได้ จะต้องใช้เรือเท่านั้น และแน่นอนว่าเมืองท่าบนแผ่นดินนี้ก็มีเพียงแค่สองเมือง นั่นคืออาเดรียกับแอสทารอธ พวกเซนทอร์เก็บค่าเรือแพงเกินตัวอยู่แล้ว ซึ่งข้าไม่คิดว่าพวกไอย์ชวลจะยอมจ่ายสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงแน่นอนว่าพวกนั้นจะต้องหันมาพึ่งพาเรา ดังนั้นเราจะต้องใช้วิกฤตนี้ให้เป็นโอกาส"

เอเดรียนคิดวิเคราะห์ที่เจ้าเมืองของตนพูด และยอมรับว่าเขามีเหตุผลอยู่มาก

"การปิดท่าเรือเป็นการแสดงออกถึงเจตนารมณ์ และถ้าผลการเจรจาไม่เป็นที่น่าพอใจ ท่าเรือก็จะไม่เปิด" แต่ต่อให้มันเป็นวิธีการที่ดีอย่างไร แต่เอเดรียนก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี เพราะอาเดรียเป็นเมืองที่ใช้ทะเลเป็นเส้นทางค้าขาย การสั่งปิดท่าเรือนี้จึงเป็นการสั่งห้ามชาวเมืองทำการค้าซึ่งนั่นกระทบต่อรายได้และปากท้องของพวกเขาอย่างแน่นอน

เว้นเสียแต่พวกที่ค้าขายกับชาวเอลฟ์ทางแผ่นดินตะวันออก

"แต่ทางธีสธรัลยังไม่ทราบเรื่องนี้ใช่ไหมขอรับ"

"เมื่อเรือพาณิชย์ของพวกมันที่เราขับไล่ออกไปกลับไปถึง พวกมันจะได้รู้เรื่องแน่... แต่ระหว่างนี้ ข้าต้องการให้เจ้าไปทำภารกิจสำคัญ เพราะถ้าเราต้องการเป็นมหาอำนาจทางทะเล เราไม่อาจทำเรื่องนี้ได้เพียงลำพัง"

"ท่านชาย..."

"ข้าจะส่งคณะทูตเดินทางไปยังแอสทารอธเพื่อยื่นข้อเสนอพันธมิตรแก่พวกเขา ขอให้เจ้าเดินทางร่วมไปด้วยเพื่อเจรจา จงจดจำเจตนารมณ์ของเราเอาไว้ เจรจาให้พวกนั้นเข้าร่วมกับเราให้ได้"

"ท่านชาย ข้าไม่ใช่ทูต อาจจะไม่ถนัด..."

"เจ้ารู้เรื่องราวตื้นลึกหนาบางมากมาย และข้าเชื่อว่าเจ้าอาจเป็นคนเดียวที่รักษาผลประโยชน์ของอาณาจักรเอาไว้ได้ดีที่สุด" ผู้นำตัดบท "หากเจรจาได้สำเร็จ ท่าเรือก็จะเปิดเร็วขึ้น เรื่องทุกอย่างก็จะเร็วขึ้น ตอนนี้เราจะต้องรีบลงมือ เราต้องเร็วกว่าพวกภูต เอเดรียน"

"แต่ว่า..."

"เรารออะไรไม่ได้อีกแล้ว" ผู้น้อยได้แต่ก้มหน้ารับคำสั่งอยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มถอนใจกับตัวเองเนือยๆและก้มหน้ารับคำสั่งอย่างไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร "อาเดรียไม่เคยส่งคณะทูตเข้าไปอย่างเป็นทางการมาก่อน ดังนั้นอาจจะใช้เวลาสามหรือสี่วันในการติดต่อ เจ้าถึงจะเดินทางเข้าไปที่แอสทารอธได้"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-10-2016 09:49:53 โดย khaosap »

ออฟไลน์ princeofdark

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากค่ะ เลสนี่จะใช่ตัวเอกของเรื่องมั้ยน้า บรรยายดี เห็นภาพเลยค่ะ สู้ๆนะคะ มาต่อไวๆน๊า

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 3.1
«ตอบ #6 เมื่อ25-10-2016 11:52:02 »

ตอนที่ 3.1

คฤหาสน์ราห์โมนา... ที่พักของแม่ทัพเอเดรียนแห่งอาเดรีย

เมื่อกลับมาจากมหาคฤหาสน์ที่ปราการชั้นที่หนึ่งแล้ว อาเดรียนก็กลับมายังที่พักของตนด้วยจิตใจที่ไม่สงบสักเท่าไหร่ เขารู้สึกอึดอัดกับภารกิจที่ได้รับ อีกทั้งยังรู้สึกเสมือนมีความคิดเห็นและคำแนะนำทว่าไม่ได้รับอนุญาตให้พูด อีกทั้งยังถูกบังคับให้ก้มหน้าทำในสิ่งที่ผิดต่อไปอีกด้วย

จริงอยู่ว่าท่านชายซินญอร์ไม่ใช่คนหนักแน่น แต่อย่างน้อยเขาก็น่าจะห้ามปรามพี่สาวของตัวเองบ้างก่อนที่จะลงมือกระทำการใหญ่โตเช่นนี้ การแข็งข้อกับธีสธรัลด้วยวิธีนี้ไม่ใช่หนทางที่ฉลาดที่สุด แต่เอเดรียนก็ยอมรับว่ามันได้ผลมากที่สุด แต่อีกฝ่ายควรจะไปเจรจากับแอสทารอธก่อนที่จะปิดท่าเรือไม่ใช่หรือ

...พวกเซนทอร์เหล่านั้นคุยง่ายเสียที่ไหน

"ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เอเดรียน" ชายร่างโปร่งที่มีเรือนผมสีแดงก้าวออกมาจากคฤหาสน์เพื่อรับผ้าคลุมสีเขียวเข้มที่แม่ทัพหนุ่มถอดออกพาดแขนตัวเองมาถือให้แทน เขาคือจาร์เร็ตต์ คนสนิทผู้เปรียบเสมือนมือซ้ายของเอเดรียน "ให้ข้าถือเถอะน่ะ..." ร่างโปร่งเอ็ด "ได้ยินว่าท่านหญิงซินญอร่ากลับมาแล้วรึ"

"ใช่ กลับมาพร้อมกับปัญหาเสียด้วย"

ร่างสูงถอนใจ และยอมให้อีกฝ่ายช่วยถือแต่โดยดี "ท่านหญิงสั่งปิดท่าเรือออโรรา ขับไล่พวกพ่อค้าที่มาจากธีสธรัลออกไปจนหมด จะเหลือก็แต่พวกพ่อค้าชาวเอลฟ์เท่านั้น" ผู้นำฝ่ายทหารเปิดประตูเข้าไปในห้องรับรองใหญ่และทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวยาวราวกับหมดเรี่ยวแรงจะทำอะไรต่อ "และท่านชายซินญอร์ก็ห้ามอะไรไม่ได้นอกจากทำตามคำสั่งพี่สาว ซ้ำยังมอบหมายภารกิจให้ข้าร่วมคณะเดินทางไปกับพวกทูตเพื่อเจรจากับแอสทารอธด้วย"

จริงอยู่ว่าผู้นำสูงสุดของอาเดรียคือท่านชายซินญอร์ แต่ด้วยความที่ของอีกฝ่ายค่อนข้างตามอกตามใจพี่สาว ทำให้เขาอาจไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะปกครองบ้านเมือง ดังนั้นเอเดรียนจึงอดกังวลไม่ได้ว่า หากเขาไม่อยู่เคียงข้างผู้นำ อีกฝ่ายจะปรึกษาหาคำแนะนำจากผู้ใด ท่านชายซินญอร์จะพึ่งพาใครหากไม่ใช่เขา...

"เจรจากับแอสทารอธรึ เรื่องนี้ต้องทำก่อนที่จะปิดท่าเรือไม่ใช่หรือไร"

"ในเมื่อก้าวพลาดไปแล้วจะทำอะไรได้เล่า" เอเดรียนว่า "ข้าเพิ่งกลับมาจากการนำคณะพรานไปล่าสัตว์ ส่วนเจ้ากับโจฮาลล์ก็ออกไปลาดตระเวนชายแดนทางเหนือ ท่านหญิงซินญอร่าจึงออกคำสั่งแทนข้าในฐานะพี่สาวของผู้นำและใช้กำลังขับไล่พวกธีสธรัลออกไป" แม้ว่ากำลังทหารของอาเดรียจะเป็นกองกำลังลับ แต่พวกเขาก็ได้รับการฝึกมาจากอย่างเข้มงวดจนเป็นยอดฝีมือ ดังนั้นจึงไม่ยากเลยที่จะปฏิบัติภารกิจดังกล่าวสำเร็จลุล่างในเวลาอันรวดเร็ว

แต่นั่นก็ทำให้แม่ทัพอย่างเอเดรียนไม่พอใจไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว

"ถ้าพวกพ่อค้ากลับไปถึงธีสธรัล กษัตริย์ของพวกมันก็จะรู้ว่าเราลักลอบจัดตั้งกองทัพขึ้นน่ะสิ"

เอเดรียนพยักหน้าเบาด้วยยอมรับว่าหวั่นเกรงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา นั่นก็คือธีสธรัลอาจจะหันเป้าหมายมาหาเขาซึ่งเป็นแม่ทัพโดยลับนั่นเอง แต่นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มสนใจสักเท่าไหร่ เพราะเหตุการณ์นี้เหมือนจะเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปีกลายที่ผ่านมา "นั่นไม่สำคัญหรอก จาเร็ตต์ ตอนนี้เราต้องคิดหาวิธีเจรจากับแอสทารอธมากกว่า"

ทว่าที่ปรึกษาคนสนิทกลับส่ายหัวอย่างไม่เห็นด้วย "เจ้าเห็นผลเจรจาอยู่แล้ว เหตุใด..."

"ข้ามีทางเลือกอื่นหรือ" เอเดรียนสวนขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ "จะให้ข้าปล่อยอาเดรียเป็นไปตามชะตากรรม ปล่อยให้พวกธีสธรัลกลับเข้ามามีอำนาจโดยไม่ทำอะไรหรือไร" แม่ทัพหนุ่มหลับตาลง "จะให้ข้าปล่อยพวกมันฆ่าผู้นำของเราอย่างนั้นหรือ เจ้าก็รู้... ว่าข้าเป็นคนหนึ่งที่ยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้"

ท่านชายซินญอร์มีบุญคุณกับเอเดรียน... หรืออาจะเรียกว่าหนี้ชีวิต

แม้ว่าเจ้าเมืองจะทำผิด แต่หากหักหาญต่อต้านไปก็มีแต่จะกลายเป็นคนเนรคุณ "เราไม่เคยลองติดต่อกับแอสทารอธ บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้เข้าถึงยากอย่างที่เราคิดก็เป็นได้" คนพูดพยายามปลอบตัวเอง แม้ว่ายิ่งคิด ชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกมืดบอด เซนทอร์เป็นอมนุษย์ และพวกเขาก็เป็นอมนุษย์ประเภทที่เข้าหาได้ยากที่สุด พวกครึ่งม้าแต่ละคนล้วนเกิดมาเป็นอัศวิน และด้วยรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันจนเกินไปทำให้เซนทอร์พร้อมที่จะหันดาบใส่ทุกคนที่ไม่ได้มีสี่ขา...

กระทั่งพวกภูตไม้ที่เป็นอมนุษย์เหมือนกันยังออกปากว่าเซนทอร์เข้าใจยาก

นับประสาอะไรกับมนุษย์ปุถุชนอย่างเขาเล่า

จาเร็ตต์พยักหน้ารับรู้และเข้าใจขณะนั่งลงที่เก้าอี้โซฟาอีกตัวใกล้ๆกัน "เช่นนั้นในฐานะผู้ติดตาม ข้าก็ควรจะสนับสนุนเจ้า ถูกหรือไม่เล่า" ร่างโปร่งว่า "ข้าเชื่อว่าลึกๆ แล้วเซนทอร์ก็อยากติดต่อกับอาณาจักรอื่นบ้างเช่นกัน แต่พวกเขาก็กลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย" คนสนิทออกความเห็น และพยายามจะหาวิธีช่วยผู้เป็นนาย "เจ้าคิดว่าทูตของฝ่ายนั้นจะประนีประนอมมากกว่าเซนทอร์ตนอื่นหรือเปล่า... ข้าเคยได้ยินแต่เรื่องของแม่ทัพหญิงโมนา"

จาเร็ตต์เงียบไปครู่หนึ่งเมื่อนึกถึงวีรกรรมที่ทุกคนเล่าขาน

"นางได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่โหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์นักรบ" แทนที่จะช่วยให้กำลังใจ แต่จาเร็ตต์คิดว่ามันดูเหมือนมันจะยิ่งเพิ่มความหดหู่ให้ความหวังอันริบหรี่ตรงหน้า "แต่เซนทอร์ก็ไม่เหมือนแม่ทัพหญิงเสียทุกคนหรอก จริงไหม" เมื่อมานั่งพูดคุยกันแบบนี้ จาเร็ตต์ก็เริ่มรู้สึกว่าพวกเขารู้เรื่องเกี่ยวกับแอสทารอธน้อยมาก แล้วท่านชายซินญอร์ยังดึงดันจะส่งพวกเขาไปเจรจาถึงถิ่นหรือ

เชื่อว่าหากกระทำอะไรผิดมารยาทแม้แต่นิดเดียว การเอาชีวิตรอดออกมาก็ดูจะเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกิน

"ข้าคิดว่าพวกพรานป่าที่ตระเวนแถบชายแดนน่าจะมีคนรู้เรื่องเซนทอร์บ้าง ได้ยินว่าพวกเขาพบเจอกับคนครึ่งม้าอยู่บ่อยๆ ทว่าไม่ได้มีใครเข้าไปคลุกคลีด้วย" จาเร็ตต์ว่า "เรายังพอมีเวลาใช่หรือเปล่า เราควรจะเริ่มจากการพูดคุยกับพวกพรานป่าแล้วก็..."

"ผู้นำฝ่ายทูตของแอสทารอธคือ ท่านหญิงลีอาห์ ราชเลขาแห่งแอสทารอธ" เอเดรียนตัดบทของคู่สนทนา เพื่อบอกอีกฝ่ายว่าเขาลงมือสืบเรื่องนี้ด้วยตนเองมาแล้ว "ได้ยินว่านางมีทักษะในการพูดและคารมคมคายแยบยลน่าฟัง แม้ไม่แน่ใจเรื่องอุปนิสัยส่วนตัวของนาง แต่นางเป็นทูตที่สามารถผูกการค้าของอาณาจักรเอลฟ์เธสซาลีย์เอาไว้ได้ถึงร้อยละเจ็ดสิบ นั่นคือเหตุผลที่เธสซาลีย์ไม่ใคร่จะติดต่อกับเรา"

หากตัดเรื่องค่าเช่าเรือที่แสนแพงและกฎระเบียบเคร่งครัดของพวกเซนทอร์ออกไปแล้ว การค้าขายกับพวกเขาก็ดูจะได้รับความนิยมอยู่มาก อมนุษย์เหล่านี้มีความเป็นอัศวินอยู่ในสายเลือด ดังนั้นกฎระเบียบจึงเคร่งครัด และไม่มีการผ่อนปรน แต่ความซื่อตรงซื่อสัตย์ปราศจากการฉ้อฉลเป็นจุดแข็งที่สุดที่ทำให้หลายเมืองยอมติดต่อค้าขายด้วย

รวมทั้งคู่ค้าคนสำคัญของอาเดรียอย่างเธสซาลีย์ ...มหาอาณาจักรของชาวเอลฟ์

จาเร็ตต์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความฉงน "เจ้าไปรู้มาจากไหนกันน่ะ"

"เจ้าอย่าเพิ่งตำหนิข้าก็แล้วกัน หากข้าพูดไป" เอเดรียนหัวเราะเบาๆ กับตัวเองก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง "ข้าไปได้ยินพวกชาวบ้านในตลาดกลางเล่าต่อกันว่ามีพรานหนุ่มมากฝีมือคนหนึ่งปรากฎตัวขึ้น และมักจะมากับเนื้อสัตว์ที่ล่าได้ยากอย่างเช่นวัวป่า หรือกระทิงป่า ด้วยความที่ข้าอยากได้ยอดฝีมือมาร่วมคณะอีกจึงได้ลองตามหาพรานหนุ่มผู้นั้นดู"

จาเร็ตต์มุ่นคิ้วทันทีที่ได้ยินดังนั้น "เจ้าก็รู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานะที่ไม่ควรออกไปตามหาใครแบบนั้น"

"จาเร็ตต์..." ร่างสูงเหลือบมองคนสนิทเล็กน้อยเหมือนต้องการเอ็ดว่าเขายังพูดไม่จบ "ข้าก็เลยไปดักรอเขาที่ร้านขายเนื้อตามที่พวกชาวบ้านบอก จนเจอเข้าในวันหนึ่ง" คนพูดนิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่งราวกับกำลังคิดว่าควรจะเล่าอย่างไรไม่ให้ตนเองถูกคนสนิทตำหนิอีก "ข้าสังเกตพฤติกรรมเขาอยู่นานจนมั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนที่มีพิษมีภัยแน่นอน"

"เหตุใดข้าจึงไม่รู้เรื่องนี้ เจ้าพบเขาเมื่อไหร่กัน" จาเร็ตต์เป็นคนสนิทของเอเดรียน ...อย่างน้องก็สนิทที่สุด เขาจึงแปลกใจที่ไม่เคยรู้ว่าก่อนว่าสหายหรือเจ้านายของตนดอดออกไปเพื่อทำเรื่องเช่นนี้ ทั้งที่มันมีความเสี่ยงอย่างมากที่สุดสำหรับอีกฝ่าย

"ประมาณสามหรือสี่เดือนที่แล้ว"

"แล้วอย่างไรต่อ... จู่ๆ เขาก็มาเล่าให้เจ้าฟังเรื่องเซนทอร์รึ"

แม่ทัพหนุ่มหัวเราะสั้นๆกับคำแดกดันของสหาย "ข้าลองเข้าไปทำความรู้จักกับเขา เพื่อจะถามว่าเขาเป็นใครมาจากไหน เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน... เขาจึงเสนอให้ข้าซื้อหนังเสือราคาแพง  แล้วเขาจึงจะบอกชื่อ" น้ำเสียงของคนพูดดูจะเอ็นดูปนชื่นชมอยู่มาก จนจาเร็ตต์นึกเป็นห่วง "เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก เขาไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร"

"แต่เจ้าก็น่าจะรู้ว่าสายลับทุกคนรู้ว่าเจ้าเป็นใครทว่าทำเหมือนไม่รู้... อย่างเวห์เซีย"

เมื่อพูดชื่อนี้ขึ้นมา เอเดรียนก็ขมวดคิ้วมุ่นและเพ่งสาตาไปที่คนพูดราวกับสั่งให้เงียบเสีย "ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกหรอก" มันเป็นความทรงจำที่ทั้งคับแค้นและเจ็บปวด เมื่อพูดถึงคนรักเก่าที่เขาทั้งรักและชิงชัง ผู้หญิงที่ธีสธรัลส่งมาค้นหาความลับของอาเดรียและเปิดโปงว่าเขาคือแม่ทัพที่ท่านชายซินญอร์ลักลอบแต่งตั้ง เอเดรียนเคยถูกจับไปที่ธีสธรัลและถูกทรมานจนปางตาย แต่ก็รอดชีวิตกลับมาได้เพราะท่านชายซินญอร์

"เอเดรียน..."

"ไม่ต้องพูดแล้ว" ร่างสูงลุกขึ้นนั่งในที่สุด และลุกขึ้นยืนอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะคว้าผ้าคลุมไหล่ของตนขึ้นมา "บอกพี่ชายของเจ้าให้เตรียมตัวเดินทางด้วย ในเวลาไม่เกินสามวัน เราคงจะต้องไปแอสทารอธกัน" เมื่อออกคำสั่งแล้ว คนพูดก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้อง โดยที่คนสนิทขมวดคิ้วมุ่นมองอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง

"เจ้าจะไปไหน"

"ไปพบพรานป่าผู้นั้น..."

แม่ทัพใหญ่เร่งฝีเท้าลงมาจากชั้นสอง และเข้าไปในโรงเก็บม้าเพื่อพาอาชาคู่ใจออกมาขึ้นขี่ ขณะที่คนสนิทรีบตามลงเพื่อห้ามปรามแม่ทัพใหญ่ที่พยายามจะดื้อใส่เขาเป็นเด็กๆ "เอเดรียน... อย่ารั้นน่า! เจ้ายังไม่รู้ว่าเขาเป็นใครเลยไม่ใช่รึ... แล้วนี่ถึงขั้นอยากได้มาร่วมคณะ มันไม่สะเพร่าไปหน่อยหรือ!"

"อย่างน้อยหากพามาที่นี่ เจ้าจะได้ช่วยข้าพิสูจน์อย่างไรเล่า!"

--------------------------------------------------

รีดาห์ยังรั้งรออยู่ที่เลาน์เรน เมืองหลวงแห่งแอสทารอธ เพื่อพักผ่อนอีกสักระยะก่อนจะบึ่งกลับไปที่มารินา หลังจากวิ่งกลับมาเต็มเหยียดเพียงเพื่อรับรู้คำสั่งสั้นๆของเลสธีราห์ว่า ‘ฝากดูแลทางนี้ด้วย’ เซนทอร์หนุ่มเดินไปยังด้านหลังของพระราชวังอัสเธียร์ซึ่งเป็นโรงเก็บเรือขนาดใหญ่ที่สุดของแอสทารอธ มันเชื่อมต่อกับแม่น้ำสายหนึ่งที่จะไหลสู่ตะวันออกสู่อ่าวมารินาในที่สุด

…โรงเก็บเรือรบเซเลสต์

เรือรบที่เก่าแก่ที่สุดของอาณาจักรเซนทอร์ และเป็นเรือรบในตำนานลำสุดท้ายที่เหลือจากสงครามของแอสทารอธกับอัสคาห์ "รีดาห์..." เสียงนุ่มละมุนดังขึ้นด้านหลัง ทำเอาเซนทอร์หนุ่มสะดุ้งจนเกือบลื่นพื้นหินอ่อนที่ทอดยาวเข้าไปในโรงเก็บเรือ เขาหันหน้าไปหาเซนทอร์หญิงที่เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะยิ้มรับและค้อมหัวต้อนรับอย่างนอบน้อม

"ท่านหญิงลีอาห์"

ท่านหญิงลีอาห์เป็นสตรีร่างเล็ก เรีกได้ว่าค่อนข้างเล็กหากเทียบกับเซนทอร์หญิงด้วยกัน นางมีผมสีน้ำตาลแดงสม่ำเสมอ ต่างจากรีดาห์ที่มีผมสีแดงสลับขาวเช่นเดียวลำตัวของเขาที่เป็นอาชาขนด่าง ราชเลขาแห่งแอสทารอธสวมกระโปรงยาวที่ถักทอจากผ้าหนัง ร่างกายท่อนบนปกปิดมิดชิดด้วยผ้าชนิดเดียวกัน "นานสักครั้งที่จะเห็นใครอื่นนอกจากเหนือหัวดาเรียสเข้ามาที่นี่" ท่านราชเลขาเดินไปตามทางหินอ่อนที่ทอดยาวไปถึงลำเรือเซเลสต์ กีบเท้าของนางกระทบพื้นเป็นจังหวะการก้าวช้าๆและสง่างาม

ท่านหญิงทอดยิ้มจางก่อนจะเป็นฝ่ายชวนรีดาห์พูดคุย “ช่วงนี้เจ้าอาจจะต้องเหนื่อยสักหน่อย มีหลายเรื่องประดังประเดเข้ามาพร้อมกันเช่นนี้ ไม่ได้มีแต่ฝ่ายทหารหรอกที่ปวดหัวไปตามๆกัน” รีดาห์ไม่ใช่ขุนนางระดับสูง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เข้าร่วมการประชุมในสภาขุนนาง แต่ก็พอจะรู้เรื่องจากผู้อื่นมาบ้างว่าในตอนี้แอสทารอธกำลังเผชิยหน้ากับปัญหาอะไรบ้าง

ทั้งฤดูค้าขายที่ใกล้เข้ามาทว่าสินค้าประเภทเนื้อสัตว์ก็ยิ่งหาได้ยากยิ่งขึ้น ทั้งเรื่องพิพากชายแดนทางทะเลระหว่างแอสทารอธกับอาเดรีย และเรื่องที่จู่ๆ อาเดรียก็สั่งปิดท่าเรือออโรราและจุดชนวนสงครามเย็นระหว่างสามอาณาจักรขึ้นมา และแน่นอนว่าแอสทารอธจะต้องเขาร่วมเป็นอาณาจักรที่สี่อย่างไม่ต้องสงสัย

แต่จะยื่นมือเข้าร่วมอย่างไรให้สวยงาม... นั่นคือหน้าที่ของเลสธีราห์

รีดาห์อ้าปากเหมือนพยายามจะคิดหาคำพูดมาสนทนาต่อ แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเรื่องกลางครัน

“นี่เรากำลังจะก้าวสู่สงครามรึเปล่าขอรับ ท่านหญิง"

"ไม่หรอก" ท่านหญิงตอบ "สงครามไม่เกิดง่ายขนาดนั้น ทั้งไอย์ชวลและธีสธรัลต่างก็เบื่อหน่ายสงคราม หากไม่ถึงที่สุดก็คงจะไม่เกิดศึกหรอก" ผู้นำทุกอาณาจักรที่เห็นแก่ประชาชนย่อมเห็นพ้องต้องกันว่าการศึกให้โทษมากกว่าประโยชน์ หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ย่อมไม่มีผู้นำที่ดีคนไหนอยากพาประชาชนของตนออกไปสังเวยชีวิตกลางสนามรบอย่างแน่นอน

"แต่ก็มีโอกาสใช่ไหมขอรับ"

"อืม มี..."

"แล้วถ้าอาเดรียไม่ยอมอ่อนข้อ เราจะร่วมไปกับพวกเขาไหม"

"เราต้องมองประโยชน์ของอาณาจักรเป็นใหญ่ หากอาเดรียคิดจะยื้อความขัดแย้งก็คงเป็นการยื้อที่พวกเขาได้ประโยชน์แน่ๆ แต่ถ้ามันเป็นโทษสำหรับเรา แอสทารอธก็คงจะไม่สอดมือเข้ายุ่งหรอก" ลีอาห์ตอบ "เราไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เพียงแต่องค์เหนือหัวดาเรียสต้องการจะขยับขยาย และหาความเจริญก้าวหน้าให้กับอาณาจักรเราเท่านั้น"

เซนทอร์ละทิ้งแผ่นดินใหญ่มานานเกินไป พวกเขาหันไปพึ่งพาชาวเอลฟ์และศรัทธาในดวงดาวมากเกินไป ในตอนนี้เผ่าคนครึ่งม้ากำลังจะถูกลบเลือนออกจากความทรงจำ แต่เดิมที่เรือของแอสทารอธนั้นเป็นหนึ่งในทะเลเทเทส ตอนนี้กลับเป็นเรือของธีสธรัลที่ต้านแรงลมได้ดีกว่า แต่เดิมที่สรรพาอาวุธของเซนทอร์เป็นที่โด่งดัง ตอนนี้กลับเป็นฟาวสต์ที่ครอบครองเหล็กกล้า แต่เดิมที่แอสทารอธเป็นเมืองของอัศวินครึ่งม้าชั้นสูง ตอนนี้เหลือเพียงสมญา 'อาชาโดดเดี่ยว' แทน...

และหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป องค์เหนือหัวดาเรียสเชื่อว่าแอสทารอธอาจจะเหลือเพียงชื่อ

...ในตอนนี้แอสทารอธจะต้องก้าวหน้า

พวกเขาหยุดก้าวมานานและภาคภูมิใจกับความสำเร็จในอดีตโดยไม่ได้เหลียวมองว่าอาณาจักรอื่นๆได้ก้าวขึ้นมาทัดเทียมกันแล้วเช่นกัน และกำลังจะนำหน้าในไม่ช้านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรีบออกเดินด้วยขาทั้งสี่ของเซนทอร์ พวกเขาจะต้องเรียนรู้ว่าพวกเขามีสิ่งใดที่เหนือกว่าเมืองอื่นๆในตอนนี้ และไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาจะต้องรีบขวนขวายค้นหา

นั่นคือภารกิจที่เลสธีราห์ได้รับมอบหมาย

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 3.2
«ตอบ #7 เมื่อ25-10-2016 11:52:45 »

ตอนที่ 3.2

ม้าศึกส่งเสียงครางในลำคอเมื่อพาเจ้านายของมันมาถึงจุดหมาย นั่นก็คือชายแดนทางตะวันตก ณ จุดที่ลำธารสองสายไหลมาบรรจบกันเป็นหนึ่งเดียวซึ่งจะกลายเป็นเส้นแบ่งกั้นดินแดนให้ฝั่งหนึ่งเป็นของอาเดรีย และอีกฝั่งหนึ่งเป็นของแอสทารอธ เอเดรียนกระโดดลงจากหลังม้าและจูงมันไปที่ริมตลิ่งเพื่อให้อาชาคู่ใจได้พักดื่มน้ำหลังจากวิ่งห้อมาเกือบครึ่งค่อนวัน

"หวังว่าวันนี้คงจะได้พบกันนะ"

อัลธอร์ก้มหน้าลงดื่มน้ำ รอบตัวรายล้อมไปด้วยต้นไม้สูงชะลูดและเสียงนกร้องเซ็งเซ่ซึ่งบอกถึงเวลาที่สรรพสัตว์เริ่มกลับรัง แต่ถึงกระนั้นแม่ทัพใหญ่ก็ไม่มีความคิดที่จะเดินทางกลับอยู่ดี เพราะที่แห่งนี้เปรียบเสมือนจุดนัดพบ แม้ไม่สามารถบอกได้ว่าผู้ที่เขากำลังรอคอยอยู่นั้นจะมาเมื่อไหร่ และจะเดินทางมาหรือไม่ก็ตาม

ริมน้ำแห่งนี้ก่อนดวงอาทิตย์ตก... มันคือจุดนัดพบอย่างไม่เป็นทางการที่พวกเขารู้แก่ใจ

"พรานป่า...รึ"

อาชาคู่ใจเงยหน้าขึ้นจากน้ำ และมองซ้ายขวาพร้อมกับขยับหูขึ้นฟังเสียงการเคลื่อนไหวรอบตัว มันสัมผัสได้ว่าบรรยากาศเริ่มไม่ชอบมาพากล ก่อนจะก้มลงใช้หัวดันเจ้านายที่ยืนอยู่ข้างๆพยายามบอกให้เขารีบหันหน้ากลับบ้าน "ข้ารู้แล้วน่า... เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก" ชายหนุ่มเสยผมสีเข้มชื้นเหงื่อให้พ้นหน้า โดยที่ไม่ขยับตัวเดินไปไหนอย่างที่ม้าคู่ใจอ้อนวอน

สายตาคู่หนึ่งจับจ้องทั้งสองจากพุ่มไม้ระวังระไว ดวงตาสีฟ้าเข้มเพ่งเล็งไปที่ร่างที่กำลังเคลื่อนไหว ประสาทหูเงี่ยฟังฝีเท้าของม้าศึกที่เริ่มย่ำวนลุกรนราวกับรู้ตัวว่าเป็นเป้า ขณะที่เอเดรียนเองก็จับด้ามมีดกระชับมั่นอย่างรู้ตัวเช่นกัน

สวบ!

ม้าศึกยกสองขาข้าขึ้นตะกุยอากาศตื่นตระหนก จังหวะเดียวกับที่แม่ทัพหนุ่มหมุนตัวหันปลายมีดยาวหวังจะต่อสู้กับผู้ประทุษร้าย

"...!..."

แต่แม่ทัพหนุ่มกลับสะดุ้งเมื่อพบว่าสิ่งที่เขาคิดไว้ต่างออกไปจากที่คาด เพราะตรงหน้านั้นไม่ใช่เสือ หรือว่าสัตว์ที่จ้องจับเขาเป็นอาหาร ทว่าเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งอีกคนหนึ่งที่ง้างศรจ่อหยุดตรงหน้าเขาพอดี "..." ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะด้วยอารามตกใจ แต่แล้วเอเดรียนก็ค่อยๆ เหยียดมุมปากขึ้นยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าคนที่ตนอุตส่าห์มารอถึงถิ่นที่ปรากฎตัวออกมาในที่สุด

"เลสธีราห์..."

ร่างโปร่งยิ้มตอบเล็กน้อยก่อนลดอาวุธในมือลง และตรงเข้าไปปลอบม้าที่ยังอยู่ในอาการตื่นตระหนก "เจ้าไม่ฟังความอัลธอร์เช่นนี้ ประเดี๋ยวมันก็ตกใจวิ่งหนีหายไปไหนเสียหรอก" มือเรียวยาวขาวซีดของผู้มาถึงลูบจากปลายจมูกขึ้นไปถึงหน้าผากของม้าศึกอย่างคุ้นเคยสนิทสนม และเหลือบมองเจ้าของม้าด้วยสายตากึ่งตำหนิกึ่งขบขัน "แล้วนั่นคือทักษะที่เจ้ามีทั้งหมดรึ... ขุนนาง เชื่องช้าขนาดนั้น หากเป็นเสือจริงก็คงจะถูกขย้ำตายไปแล้วแน่ๆ"

"ก็ใครกันที่บอกว่าถ้าอยากมาพบก็ให้มาที่นี่น่ะ"

พวกเขามาพบกันที่ริมน้ำแห่งนี้เกือบทุกวัน หากไม่นับวันที่พบกันครั้งแรกในตลาด เลสธีราห์เป็นผู้แนะนำสถานที่แห่งนี้ ชายหนุ่มกล่าวว่ามันเป็นสถานที่ที่เขาโปรดปราน แม้ว่าจะเป็นป่าชายแดนที่ดูน่ากลัว แต่ริมธารแห่งนี้กลับมีบรรยากาศที่สงบและธรรมชาติที่สวยงามชวนหลงใหลที่เขาจะต้องมาพักผ่อนที่นี่ในทุกวัน

ดังนั้นมันจึงกลายเป็นจุดนัดพบอย่างไม่เป็นทางการในทุกเย็น

"ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่แถวนี้"

เลสธีราห์มีผมสีอ่อนยาวปรกบ่า ดวงตาสีฟ้าสดที่โดดเด่นขึ้นมาด้วยแพขนตาสีน้ำตาลอ่อนที่ดูเหมือนจะยาวกว่าปกติ จมูกโด่งเป็นสันเห็นชัด ซึ่งรับกับริมฝีปากบางอย่างลงตัว "ข้าไม่ได้มาที่นี่ตั้งสองสัปดาห์ เหตุใดเจ้าคิดว่าข้าจะอยู่แถวนี้ได้" อีกฝ่ายหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินเอเดรียนว่าอย่างนั้น ก่อนจะปล่อยมือออกจากม้าตัวโตแล้วหันมาหาคู่สนทนา

แม่ทัพหนุ่มยิ้มขัน "ข้าเห็นรอยเท้าของเจ้า..."

เขามองต่ำลงไปที่ริมตลิ่ง ซึ่งเป็นดินเนื้ออ่อน และปรากฎรอยเท้าของของเลสธีราห์ที่ดูเหมือนจะเดินลงไปในลำธาร "ก็น่าแปลกดีที่พรานป่ามาอาบน้ำแถวนี้เสียได้ เหตุใดจึงไม่กลับบ้านช่องไปอาบน้ำให้สบายตัว" ร่างสูงเลิกคิ้ว "ถ้าไม่ใช่เจ้ามารอพบข้าแล้วจะเป็นใครไปอีกเล่า"

"อา... สำคัญตัวเองผิดหรือเปล่า ขุนนาง น้ำแถวนี้อาจจะแค่เย็นถูกใจข้าก็ได้นะ" ร่างโปร่งยิ้มเล่นหัว "ดูเหมือนว่าข้าคงจะต้องเปลี่ยนสถานที่พักผ่อนเสียแล้ว เพราะมีเจ้ามากวนใจได้ทุกวี่ทุกวันเลยเชียว" คนตรงหน้าสะพายกระบอกธนูไว้ที่บั้นเอว  และคันศรก็อยู่บนบ่าขาวเปล่าเปลือย แม้ว่าจะเป็นลักษณะของพรานป่า แต่เอเดรียนก็ไม่เคยเห็นพรานป่าชาวอาเดรียแต่งตัวแบบนี้มาก่อน

อันที่จริงลักษณะของอีกฝ่ายดูไม่ใช่ชาวบ้านชนชั้นธรรมดาเลยด้วยซ้ำ

เลสธีราห์ย่อตัวลงนั่งและใช้สองมือประคองน้ำขึ้นมาดื่มชิดริมฝีปาก เมื่อเห็นดังนั้น เอเดรียนจึงย่อตัวลงนั่งบ้างและดื่มน้ำตามที่อีกฝ่ายทำ ทว่าความที่เขาไม่ได้ทำแบบนี้เป็นกิจวัตร ทำให้สองมือไม่สามารถอุ้มน้ำขึ้นมาถึงริมฝีปากได้ และไหลลงไปตามแขนจนแขนเสื้อเปียกชุ่มไปหมด "พวกขุนนางเขาไม่เคยเรียนวิธีดื่มน้ำจากมือหรืออย่างไร" ร่างโปร่งหัวเราะเบา แต่ก็ไม่ได้อาสายื่นมือเข้าช่วยอีกฝ่ายแต่อย่างใด

"คราวหน้าเจ้าน่าจะนำแก้วมาด้วยนะ ได้ยินว่าของใช้ของพวกขุนนางสวยงามมีราคาทั้งนั้น"

เอเดรียนปาดหยดน้ำจากริมฝีปากของตัวเองขณะร่วมหัวเราะไปด้วย "ข้าบอกแล้วนี่... เหตุผลที่ข้าชอบมาที่นี่ เพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ขุนนางสักวันหนึ่ง" คนฟังยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้ม ก่อนจะยืดตัวขึ้นยืนพร้อมกับหญ้าอ่อนริมธารที่เพิ่งเด็ดออกมาเมื่อครู่นี้ และยื่นให้อัลธอร์กินเพื่อสร้างความคุ้นเคย

"แต่เจ้าก็ปลีกเวลามาเพียงแค่ตอนเย็น จะนับเป็นหนึ่งวันได้อย่างไร"

เอเดรียนยิ้มขำ "ต่อให้ข้ามาทั้งวัน ก็ได้พบเจ้าแค่ตอนเย็นไม่ใช่หรือไง"

"ในที่สุดก็สารภาพเองว่ามารอพบข้า... " เลสธีราห์หัวเราะ และเริ่มจูงม้าสีน้ำตาลเพื่อพาเดิน ซึ่งน่าแปลกที่มันยอมตามแต่โดยดี "วันนี้อาเดรียวุ่นวายมากเลยไม่ใช่หรือไร แล้วขุนนางอย่างเจ้ามีเวลาว่างมาเตร็ดเตร่ถึงที่นี่ด้วยหรือ" เมื่ออีกฝ่ายออกเดิน เอเดรียนก็เข้ามาจูงม้าของตนและเดินอยู่เคียงข้างกัน "หรือเป็นเจ้านี่เองที่ถ่วงความเจริญของอาณาจักรด้วยการหนีประชุมขุนนางน่ะ หืม" ร่างโปร่งหยอกเย้า แม้จะเป็นคำหยอกที่ฟังดูแรงไปเสียหน่อยก็ตาม

"เจ้าเด็กนี่... ไม่กลัวโดนข้าลากไปตัดลิ้นบ้างหรือไร"

เลสธีราห์หัวเราะอีกครั้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น "เจ้าน่ะหรือจะลากข้าไปตัดลิ้นได้ แค่หยิบมีดก็ช้าปานนั้นแล้ว" ทั้งคู่หัวเราะไปพร้อมๆกัน ก่อนที่เอเดรียนจะหันไปเปิดกระเป๋าหนังที่อยู่บนหลังม้าก่อนจะส่งห่อผ้าห่อหนึ่งให้เลสธีราห์

"นี่มันอะไรกัน..."

ในห่อผ้านั้นมีมีดอยู่เล่มหนึ่ง ซึ่งแม้จะไม่ใช่งานปราณีตที่ดูมีมูลค่ามากมาย แต่เลสธีราห์ก็บอกได้จากรูปร่างและความเงาของมัน ว่ามีดเล่มนี้มีความคมพิเศษเลยทีเดียว "ให้ข้ารึ ...มันไม่ได้มีค่าเกินกว่าที่พรานอย่างข้าจะครอบครองหรือไร" เมื่อไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ เลสธีราห์ก็เก็บมีดไว้ในห่อผ้าตามเดิม "แต่วันนี้ข้าไม่มีหนังสัตว์มาให้เจ้าหรอกนะ"

"คิดเสียว่าเป็นของขวัญ..." เอเดรียนยิ้มจางอย่างเอ็นดู "พรานป่าควรจะมีมีดดีๆ ไว้ใช้สักเล่มหนึ่ง"

"คราวที่แล้วเจ้าก็ให้ของข้า คราวหน้าจะให้อะไรล่ะ นี่เป็นวิธีที่จะล่อให้ข้ามาหาเจ้าทุกวันหรือไง"

"ก็ได้ผลไม่ใช่หรือไร" เอเดรียนไหวไหล่ "แต่เจ้าก็หายไปเสียนาน ปล่อยให้ข้ามารอเก้ออยู่ได้ตั้งหลายวัน" ร่างโปร่งชะงักไปครู่หนึ่งเพื่อหาเหตุผลดีๆ ที่ฟังดูเป็นมนุษย์ธรรมดามาอ้างให้น่าเชื่อถือ เพราะหากบอกไปว่าตนออกทะเลไปล่าวาฬคงได้เป็นเรื่องป็นราวขึ้นมาแน่นอน

พวกเขาต้องมาพบกันทุกวัน... แม้ว่าทั้งคู่จะไม่เคยนัดหมายกันจริงๆเลยก็ตาม

"ข้าออกไปล่าสัตว์ที่ทางเหนือ เผื่อจะเจอตัวอะไรที่ราคาดีกว่ากวางบ้าง"

"แล้วเจอหรือไม่"

เลสธีราห์ส่ายหัวเบา "อาชีพพรานป่านี่ข้นแค้นขึ้นทุกวันเลยเชียว" ชายหนุ่มมองคู่สนทนาซึ่งแต่งตัวภูมิฐานสมเป็นขุนนางในมหาคฤหาสน์ "งานของขุนนางมีอะไรบ้างล่ะ ข้าได้ยินว่ามีแต่เรื่องประชุม" การแกล้งทำเป็นไม่รู้ในบางครั้งก็ยากยิ่งกว่าการเป็นคนโง่ แต่เพื่อเข้าหามนุษย์ระดับสูงสักคนเพื่อจะสืบข่าวคราว เลสธีราห์จึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้

"ใช้สมองในการแก้ไขปัญหาน่ะสิ" ร่างสูงว่า "พักนี้ดูจะต้องใช้มากเป็นพิเศษเสียด้วย"

เลสธีราห์มุ่นคิ้วแสร้งทำเป็นไม่รู้และสงสัย แม้จะคาดเดาได้ว่าสิ่งที่ทำให้เหล่าขุนนางปวดหัวในตอนนี้คงไม่พ้นเรื่องของการปิดท่าเรือออโรรา แม้เอเดรียนจะไม่ใช่ขุนนางระดับสูงอย่างที่เลสธีราห์ต้องการสนิทสนม แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่มีพิษมีภัยมากเท่าไหร่ "เจ้าชอบพูดเป็นปริศนาทั้งที่รู้ว่าข้าไม่มีหัวด้านนี้" ร่างโปร่งบ่นอุบ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าปัญหาที่เอเดรียนพูดถึงคืออะไร แต่ถ้าเขาแสดงภูมิออกไป แน่นอนว่าอีกฝ่ายจะต้องสงสัยอย่างแน่นอน

"เจ้าอายุเท่าไหร่ ทำไมถึงฟังเรื่องพรรค์นี้ไม่รู้เรื่องเล่า"

"เปลี่ยนมาเป็นซักประวัติข้าแล้วหรือไร" คนถูกถามหัวเราะ "เอาเถอะนะ ข้าไม่แปลกใจ ขุนนางก็ต้องระวังระแวงตัวเองเป็นธรรมดา... ข้าอายุยี่สิบสอง" เซนทอร์หนุ่มไหวไหล่ "แล้วเจ้าล่ะ หืม..."

วาจาฉะฉานค่อนไปทางโอหังเลยทีเดียว... เจ้าเด็กนี่

เอเดรียนหัวเราะกับตัวเอง "สามสิบสี่"

"แต่ดูไม่แก่เลยนะ" จู่ๆ แม่ทัพหนุ่มก็ไม่รู้จะตอบอะไรขึ้นมาเสียอย่างนั้น เพราะเขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่คู่สนทนาพูดออกมานั่นเป็นคำชมหรือคำล้อเลียนกันแน่ "สำหรับ... คนในหมู่บ้านข้าน่ะ อายุสามสิบขึ้นไปก็เริ่มแก่แล้ว" ร่างโปร่งเกือบจะหลุดคำว่า เซนทอร์ ออกไป แต่ก็ยั้งเอาไว้ทัน เลสธีราห์ขบริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยด้วยความรู้สึกกดดัน หรือว่านิสัยพูดจาไปเรื่อยเปื่อยแบบนี้เองที่ทำให้คนมองว่าเขาเป็นเด็กยังไม่โต และไม่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้บัญชาการกองเรือเลยแม้แต่น้อย

แต่อย่างเอเดรียนเองก็ดูเชื่อคนง่ายไม่สมขุนนางเลยไม่ใช่หรือไร...

"เจ้านี่ก็แปลกนะ ปากก็ว่าไม่ชอบสมาคมผู้อื่นถึงได้ปลีกวิกเวกออกมาตามลำพังแบบนี้ แต่ก็ยังนึกถึงหมู่บ้านตัวเองอยู่เหมือนกัน" แม่ทัพหนุ่มว่าและมองอีกฝ่ายอย่างกลั่นแกล้งจับผิด "ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเด็กหนีออกจากบ้านหรืออย่างไร" คำพูดนั้นแทงใจเลสธีราห์อยู่บ้าง เพราะในความเป็นจริงแล้วพฤติกรรมของเขาเขาก็อาจจะคล้ายกับที่เอเดรียนว่า

เซนทอร์ครึ่งเอลฟ์ที่ไม่รู้จะยืนในจุดไหนของสังคมเซนทอร์จึงขอปลีกตัวออกมา...

...เพราะอย่างนี้ซาฮาลจึงได้เหน็บแนมค่อนแคะฐานะของเขานัก

"มีธุระอะไร" เมื่ออีกฝ่ายพูดจาไม่เข้าหู เลสธีราห์ก็เริ่มหมดอารมณ์จะหยอกล้อ คิ้วเรียวกดมุ่นลงมาเล็กน้อยทำให้สีหน้าเรียบเฉยดูดุดันขึ้นมา "ธุระอันใดที่ขุนนางผู้สูงศักดิ์มีกับพรานชาวบ้านธรรมดาคนนี้"

"จะธรรมดาหรือไม่ เอาไว้ข้าตัดสินเองจะดีกว่า..."

เลสธีราห์ลอบยิ้มที่มุมปาก "ช่างเล่นลิ้นนักนะ" คนพูดหยุดเดิน และเอเดรียนก็พบว่าอีกฝ่ายพาเขามาส่งที่ชายป่า โดยเบื้องหน้าคือเส้นทางที่จะพาเขากลับไปยังปราการแห่งอาเดรีย "น่าเสียดาย... ดูจะหมดเวลาคุยสำหรับวันนี้แล้วกระมัง เห็นทีว่าเจ้าจะต้องเดินทางกลับเสียแล้ว"

"เจ้าไม่อยากรู้ธุระของข้าแล้วรึ เลสธีราห์"

"เหตุใดข้าจะต้องเอาธุระของคนอื่นมาใส่หัวตัวเองด้วย แค่ล่ากวางไม่ได้ก็น่าอนาถใจพอแล้ว" แม้จะเป็นการตอบโต้ที่ฟังดูรุนแรง แต่ทั้งคู่ต่างรู้ดีว่ามันคือการหยอกเย้า และรู้สึกสนุกกับมันอย่างประหลาดเสียด้วย "กลับไปได้หรือยัง ไม่ใช่ขุนนางทุกคนหรอกนะ... ที่ข้าจะพามาส่งกลับบ้านแบบนี้ทุกวันน่ะ"

ทว่าเอเดรียนยังคงจับบังเหียนม้าอาไว้โดยยังไม่ขึ้นไปบนหลังของมัน "ข้าต้องการความช่วยเหลือ"

คนถูกเรียกกลับตบแผงคอม้าเบาๆ แทนคำปฏิเสธ "พรุ่งนี้ค่อยคุยกันน่า"

แม่ทัพใหญ่สูดลมหายใจช้าๆ แล้วค่อยผ่อนออกมาอย่างใจเย็น เพราะเรื่องนี้เขาคงรอพูดพรุ่งนี้อย่างที่เลสธีราห์บอกไม่ได้ "ข้าอยากให้เจ้ามาเป็นคนสนิทของข้า" นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบขึ้นมองคนพูดอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อหูตัวเองเท่าไหร่ เพราะคนที่เป็นขุนนางน่ะหรือจะชวนใครก็ไม่รู้ไปเป็นคนสนิทได้ แต่โอกาสนี้ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้หลุดมือไปได้เสียที่ไหน

"ไว้ใจข้าหรือไง" แต่ถึงกระนั้น เลสธีราห์คิดว่าตนควรจะสงวนท่าทีไว้บ้าง

"ยังไม่ไว้ใจหรอก แต่ฝีมือเช่นนี้จะปล่อยให้หลุดลอยไปก็น่าเสียดาย หากเป็นพรานชาวบ้านจริงยิ่งน่าเสียดาย" เอเดรียนตอบเรียบ "แต่หากไม่จริง... อีกไม่นานก็คงรู้กระมังว่าเป็นใคร" นัยน์ตาสีเข้มของอีกฝ่ายมองนิ่งเพื่อดูปฏิกิริยาตอบสนอง แต่คู่สนทนากลับไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจและดูไม่ร้อนใจเลยสักนิดที่ถูกระแวง

"ตกลง ยังไงช่วงนี้ข้าก็ล่ากวางไม่ได้อยู่แล้ว คิดเสียว่าฆ่าเวลา..."

"เช่นนั้น... ไปแอสทารอธกับข้า"

"อะไรนะ!" ทั้งที่เพิ่งตกลงไปเมื่อครู่นี้แท้ๆ เลสธีราห์คิดว่าเขาควรจะได้ติดตามเข้าไปทำรู้จักกับขุนนางคนอื่นในมหาคฤหาสน์แห่งอาเดรียก่อนเสียด้วยซ้ำ แต่คำสั่งแรกกลับเป็นการบอกให้เขาออกเดินทางไปเมืองอื่นด้วย ซึ่งเมืองอื่นที่ว่านั้นก็เป็นเมืองบ้านเกิดของเขาเอง ...และผู้คนที่เดินทางเข้าไปติดต่อเจรจากับเมืองเซนทอร์แห่งนี้จะต้องสนทนากับท่านราชเลขาลีอาห์เท่านั้น

จะให้เขาแสร้งปลอมตัวเป็นมนุษย์ไปเจรจากับแม่ตัวเองอย่างนั้นหรือ!?

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-10-2016 09:50:00 โดย khaosap »

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 4.1
«ตอบ #8 เมื่อ26-10-2016 09:43:52 »

ตอนที่ 4.1

เอเดรียนบอกได้ว่าพรานหนุ่มคนนี้ไม่เหมือนคนอื่น...

นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายในตลาด เขาก็จดจำใบหน้านั้นได้ขึ้นใจ ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลที่ลุ่มลึกเสมือนมีความลับบางอย่างแอบซ่อนอยู่ รับกับจมูกโด่งสวย และรูปหน้าเรียวคม พรานหนุ่มผู้นั้นนำหนังสือผืนใหญ่มาขายให้กับร้านค้าในตลาดกลาง และได้รับเงินถุงโตกลับมาเป็นค่าตอบแทน

"ถ้าเจ้าสามารถหางาช้างมาได้ล่ะก็ ข้ารับรองว่าความตอบแทนจะงดงามยิ่งกว่านี้เสียอีก"

เจ้าของร้านพยายามโน้มน้าวให้พรานหนุ่มตอบตกลงหรือสัญญาว่าจะพยายาม งาช้างเป็นสินค้าหายากและมีราคาแพง อันเนื่องจากความยากลำบากที่จะได้มันมา ทั้งช้างสี่งาและช้างแมมมอธก็ล้วนแต่มีขนาดใหญ่ ดุร้าย และกราดเกรี้ยวเกินกว่าที่พรานทั่วไปจะฆ่ามันได้

"ข้าออกล่าตามลำพัง... จะไปหางาช้างมาจากไหนได้เล่า"

ร่างโปร่งยิ้มขัน ก่อนจะพยักหน้าให้อีกฝ่ายแล้วจึงปลีกตัวเลี่ยงออกมาเพื่อเป็นการตัดบทสนทนา แต่เมื่อหันกลับมาก็พบว่าตนเผชิญหน้าอยู่กับคนแปลกหน้าอีกคนหนึ่ง เอเดรียนกำบังเหียนของอัลธอร์แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัวเมื่อดวงตาสีทะเลคู่นั้นช้อนขึ้นมองประสาน อีกฝ่ายสูงเพียงระดับสายตาของเขา กระบอกใส่ธนูสะพายอยู่ที่บั้นเอว และคันธนูก็พาดอยู่บนบ่าที่เปล่าเปลือย

"ที่ทางมีตั้งมาก เหตุใดจึงมายืนขวางข้าเล่า..."

เอเดรียนถอยออกมาก้าวหนึ่งเมื่อถูกตำหนิ "หากว่าข้ามีเรื่องจะสนทนากับเจ้า จะยืนขวางได้หรือยัง"

คนแปลกหน้าเหยียดยิ้ม แต่แทนที่จะตอบคำถาม เขากลับเดินตรงเข้าไปลูบหัวม้าสีน้ำตาลที่ยืนอยู่ข้างกันด้วยความหลงใหล "ม้าของเจ้ารึ... ช่างสง่างามไม่มีที่ติ" ตามปกติแล้ว อัลธอร์ไม่มีนิสัยต้อนรับแขกและเป็นมิตรกับคนทั่วไปสักเท่าไหร่ แต่เอเดรียนก็ต้องมุ่นคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อพบว่าอาชาคู่ใจยอมให้คนแปลกหน้าลูบหัวมันแต่โดยดี

"มันชื่อ อัลธอร์..." แทนที่จะแนะนำตัวเอง เอเดรียนคิดว่าเขาควรจะแนะนำให้อีกฝ่ายรู้จักกับม้าน่าจะเป็นการเริ่มต้นการสนทนาที่ดีกว่า "เป็นม้าที่เกิดจากพ่อพันธุ์ชั้นยอด มีพละกำลังและความอดทนเป็นเลิศ" เอเดรียนมองดูอีกฝ่ายลากมือไปตามสันกรามของสัตว์ใหญ่ ลูบวนขึ้นไปถึงลำคออันแข็งแกร่ง จนจบด้วยการลดมือลงช้าๆ

"พ่อพันธุ์หรือ" อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "เอาอะไรมาตัดสินว่าตัวใดคือพันธุ์เล่า" เมื่อพูดจบ พรานหนุ่มก็หมุนตัวไปทางประตูทางออกเมือง "ยืนพูดเฉยๆจะเกะกะทางเปล่า ดูเหมือนว่าการเดินไปคุยไปจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า" จากคำร่ำลือแล้ว เอเดรียนคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงชาวบ้านสามัญชนทั่วไป แต่เมื่อได้ลองสนทนาเพียงไม่กี่ประโยค เขากลับรู้สึกถึงชั้นเชิงในการพูดของอีกฝ่ายซึ่งต่างจากคำว่า 'พรานชาวบ้าน' ทั่วไปมากนัก และด้วยความอยากรู้อยากเห็น ร่างสูงจึงออกเดินตาม

"เจ้ามีชื่อว่าอะรึ พรานหนุ่ม... ข้าได้ยินชาวบ้านแถวนี้พูดถึงเจ้ามาสักพักใหญ่"

"แล้วเขาพูดถึงข้าว่าอย่างไรเล่า" อีกฝ่ายเล่นลิ้น "จะไม่รู้ชื่อข้าเชียว"

"เจ้าไม่เคยบอก กระทั่งพ่อค้าจอมเคี่ยวร้านนั้นก็ยังไม่รู้ชื่อของเจ้า" เอเดรียนว่า "แต่เขากล่าวว่าเจ้าเป็นพรานหนุ่มลึกลับฝีมือดีที่มักจะมีของหายากมาขายเสมอ" อัลธอร์ถือโอกาสเดินเคียงข้างคนแปลกหน้าแม้ว่ามันจะไม่เคยมีนิสัยสนิทกับใครง่ายแบบนี้มาก่อน ดังนั้นการพูดคุยของคนทั้งสองจึงต้องคุยกันลอดคางม้า "หรือกระทั่งชื่อเจ้าก็ยังมีมูลค่า จะต้องจ่ายเพื่อให้ได้มากันล่ะ"

ร่างโปร่งอ้าปากชะงักเมื่อจับได้ว่าอีกฝ่ายเหน็บแนม "ถึงข้าจะขายของ แต่ไม่ได้ขายตัวเองหรอกนะ"

"เช่นนั้นจะบอกตรงๆได้หรือเปล่า"

"อา... หากมันง่ายขนาดนั้น ทุกคนก็รู้หมดน่ะสิ" ดวงตาคู่สวยเลื่อนไปมองม้าใหญ่ข้างๆตนก่อนจะเลื่อนมองเหรียญตราสัญลักษณ์ของอาณาจักรอาเดรียซึ่งห้อยอยู่ที่อกของมัน "เจ้าเป็นขุนนางหรอกรึ" พรานหนุ่มเลิกคิ้ว "มองผ่านช่างเหมือนคุณชายลูกเศรษฐีที่ไหน ช่างเอาม้ามาเดินในตลาดกลางเสียได้"

"ข้าเชื่อว่าต่อให้ข้าเป็นขุนนาง ก็ไม่สามารถทำให้เจ้าบอกชื่อข้าได้อยู่ดี" เอเดรียนตอบ

"ข้าแค่อยากได้มารยาท" อีกฝ่ายกล่าวบ้าง "เหตุใดจึงไม่บอกชื่อตัวเองก่อนบ้าง"

"อ้อ..." ชายหนุ่มอ้าปากค้างไปเล็กน้อย แล้วจึงหัวเราะออกมาเบาๆ "ข้าชื่อเอเดรียน..." พวกเขาเดินออกจากตลาดกลางมาจนถึงประตูทางออกเมือง และเมื่อเอเดรียนพูดชื่อของตนจบ คู่สนทนาก็หยุดก้าวแล้วหันมาเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ

"ขอบคุณที่มาส่ง ข้าคงต้องกลับบ้านของตัวเองบ้างแล้ว" พรานหนุ่มยิ้มขัน "ข้าชื่อ เลสธีราห์"

เอเดรียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจหลังได้ยินชื่อ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งท่าจะจากไปจึงนึกได้ว่าเขาคงต้องการมากกว่าชื่อของอีกคน "หากข้าจะสนทนาเรื่องอื่นกับเจ้าบ้าง จะต้องไปรอพบที่ร้านนั้นหรืออย่างไร"

เลสธีราห์ยิ้มตอบ "เดินขึ้นไปยังต้นแม่น้ำ จนพบต้นไม้สูงใหญ่ต้นหนึ่งที่มีผลสีส้มอมแดงสะดุดตา ผลของมันมีรสชาติดีมาก ข้ามักจะไปรอให้มันออกผลอยู่ทุกวี่วัน หากเจ้าสนใจ... จะไปสนทนากับข้าที่นั่นก็ย่อมได้" พรานแปลกหน้ากล่าว "มันสงบกว่าที่นี่"


--------------------------------------------------

เรื่องน่าลำบากใจที่สุดของเซนทอร์นั่นคือการบังคับให้พวกเขาขี่ม้า... ซึ่งตอนนี้เลสธีราห์ก็กำลังพยายามเก็บซ่อนสีหน้ากังวลของตนเอาไว้ไม่ให้เอเดรียนสังเกตเห็น ไม่มีมนุษย์คนไหนที่สามารถเดินจากชายแดนกลับไปยังเมืองหลวงได้ด้วยสองเท้าภายในเวลาข้ามคืน ดังนั้นเอเดรียนจึงอนุญาตให้ร่างโปร่งขึ้นขี่ม้าตัวเดียวกับตนเพื่อกลับไปยังที่พักในฐานะคนสนิทคนใหม่

เลสธีราห์คิดวิธีรับมือกับการเดินทางกลับแอสทารอธในฐานะมนุษย์ได้แล้ว...

แต่ในตอนนี้เขาคิดไม่ออกว่าควรจะทำอย่างไรกับเรื่องขี่ม้า

อัลธอร์เหลือบดวงตากลมโตของตนขึ้นมองเซนทอร์ในร่างมนุษย์ราวกับต้องการสื่อสารอะไรบางอย่างที่เลสธีราห์ไม่เข้าใจ ต่อให้เขาเป็นเซนทอร์แต่ก็มีเลือดเซนทอร์เพียงครึ่งเดียว ดังนั้นจึงไม่อาจเข้าใจม้าได้หมดจด แต่แน่นอนว่าม้าทุกคนจะรู้ว่าใครบ้างที่เป็นเซนทอร์ ราวกับว่าสามารถสัมผัสได้จากจิตใต้สำนึก “กลัวมันแล้วหรือไง” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าซีด แม่ทัพใหญ่ก็ทอดยิ้มบางและเดินมาลูบแผงคออัลธอร์เพื่อทำให้ม้าคุ้นเคยยิ่งขึ้น "ทุกวันนี้ดูเจ้าสนิทกับอัลธอร์มากกว่าข้าอีกไม่ใช่รึ"

เลสธีราห์ลูบสันกรามม้าใหญ่ช้าๆขณะเถียงอยู่ในใจ... สนิทกว่าก็ไม่เกี่ยวกับว่าต้องขี่สักหน่อย

"ข้าไม่เคยขี่ม้า"

"นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอก" เอเดรียนโหนตัวขึ้นนั่งบนหลังอัลธอร์อย่างรวดเร็วและส่งมือให้ร่างโปร่ง "ข้าเตรียมม้าไว้ให้เจ้าอีกตัวแล้ว และปัญหาที่ว่านั่นก็คือ ลูเซียไม่ค่อยเชื่องสักเท่าไหร่" เลสธีราห์ยังไม่จับมือที่ยื่นมาของอีกฝ่าย เขาเงยหน้าขึ้นขมวดคิ้วใส่คนพูดด้วยความงงงวย

"เตรียมไว้รึ นี่เจ้าคิดว่าข้าจะตอบรับอยู่แล้วหรือไง"

"เจ้าไม่ใช่คนเดายากนี่ เลสธีราห์..." ร่างบนหลังม้าทอดยิ้ม "เหตุใดจะอ่านไม่ออกกัน" ร่างโปร่งกลั้นใจวูบเมื่ออีกฝ่ายพูดเช่นนั้น ความว้าวุ่นกังวลใจผุดขึ้นมารบกวนความคิดของชายหนุ่มในทันที และแน่นอนว่าเลสธีราห์ลืมไปจนหมดว่าต้องทำอะไรต่อไป ...เอเดรียนรู้หรือไม่ว่าเขาเป็นเซนทอร์

และฝ่ายนั้นรู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพเรือ

"เลสธีราห์... มาสิ ถ้ากลับไปช้า จาเร็ตต์จะต้องสวดเจ้าถึงเช้าแน่นอน" ที่อีกฝ่ายคะยั้นคะยอแบบนี้เพราะต้องการจะทดสอบว่าเขาเป็นเซนทอร์หรือเปล่า เพราะเอเดรียนก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเซนทอร์อ่อนไหวกับม้า เลสธีราห์มุ่นคิ้วด้วยความกังวลที่ก่อตัวเพิ่มมาขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เอเดรียนกลับโคลงหัวมองคู่สนทนาอย่างสงสัย

ร่างโปร่งมองสบตาม้าศึกอีกครั้งด้วยแววตาที่บอกไม่ได้ว่ากำลังเว้าวอน ขอโทษ หรือว่ารู้สึกผิด

...ข้าไม่มีทางเลือก

ปลายเท้าที่สวมรองเท้าเหล็กก้าวเหยียบบังโกลน และโดยที่ไม่จับมือของเอเดรียน เลสธีราห์ก็โหนตัวขึ้นนั่งม้าโดยซ้อนอยู่ด้านหลังอีกฝ่ายอย่างคล่องแคล่ว แม้จะไม่คุ้นเคยแต่อัลธอร์ก็ไม่ส่งเสียงร้องโวยวายออกมา มันแค่ผงกหัวสองสามครั้งและออกเดินช้าๆเมื่อเจ้านายบนหลังกระตุกบังเหียน

ท่ามกลางความเงียบ... เลสธีราห์พยายามคิดเรื่องคุย และพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกที่สุด เพราะเขาจะต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าอาเดรียกำลังจะทำอะไร และแอสทารอธควรจะรับมืออย่างไร นั่นคือภารกิจที่เหนือหัวดาเรียสมอบให้เขา...

"แล้วหมายความยังไงที่ข้าอ่านไม่ยาก"

เอเดรียนหลุดหัวเราะเบาๆเมื่อค้นพบจุดเด่นอีกหนึ่งประการของเลสธีราห์ นั่นคืออีกฝ่ายไม่เคยยอมแพ้ และไม่เคยปล่อยวางเรื่องที่ตัวเองยังคลางแคลงใจ... "เจ้ารู้เหตุผลแค่นั้นเถอะ หากพูดมากกว่านี้ประเดี๋ยวจะกระโดดลงจากหลังอัลธอร์แล้ววิ่งกลับบ้านเสียก่อน" ม้าศึกเริ่มวิ่งเหยาะและเพิ่มความเร็วขึ้น คนที่ไม่เคยนั่งม้ามาก่อนได้แต่จับอานคนข้างหน้าเอาไว้ซึ่งนั้นเรียกเสียงหัวเราะได้มากกว่าเดิม

"จับบ่าข้า ไม่ก็เอวก็ได้...อันที่จริงแล้วเจ้าควรมานั่งข้างหน้ามากกว่าข้างหลังนะ"

"ข้างหน้าได้อย่างไร ไม่ประหลาดรึ เหมือนเจ้ากำลังกอดข้าอยู่อย่างนั้น"

“ข้าไม่ได้คิดมากเช่นนั้นเสียหน่อยนะ”

เอเดรียนไหวไหล่กับคำพูดของอีกฝ่าย และดึงบังเหียนให้อัลธอร์ออกวิ่ง ทำให้ทั้งร่างขยับโยกมากยิ่งขึ้น สุดท้ายแล้วเลสธีราห์ก็ยอมจับบ่ากว้างเอาไว้แต่โดยดี ซึ่งโชคดีที่ร่างโปร่งนั่งอยู่ข้างหลัง ทำให้เอเดรียนไม่ทันสังเกตว่า เซนทอร์ในร่างมนุษย์ที่มาด้วยกันกำลังหลับตาแน่นด้วยความรู้สึกกลัวอย่างประหลาด

เลสธีราห์ไม่ชอบการขี่ม้าเลย... ให้เขาวิ่งเองยังจะดีกว่า

แต่หากทำเช่นนั้น ความลับที่สุดของอาณาจักรจะต้องถูกเปิดเผยเป็นแน่ และเขายังไม่อยากถูกเหนือหัวดาเรียสลงโทษทัณฑ์เอาเสียด้วย เซนทอร์หนุ่มลอบกลืนน้ำลาย กฎเกณฑ์ของเซนทอร์ถือว่าเป็นที่สุด พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องระเบียบวินัย ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดจะกระทำความผิด ก็จะต้องได้รับโทษ แต่โทษหนักหรือเบาก็ขึ้นกับสถานการณ์

ความลับของอาณาจักรนับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย และทุกคนก็ควรจะรักษาความลับนั้นไว้

...เลสธีราห์ไม่ควรแลกความลับของอาณาจักรกับความกลัวเพียงเล็กน้อยของตน

มือเรียวเผลอจิกบ่าคนตรงหน้าไม่รู้ตัว "ไม่ตกหรอกน่า จับไว้นั่นแหละ" แม่ทัพใหญ่สัมผัสได้ถึงอาการเกร็งของอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงพยายามจะรักษาความเร็วเอาไว้ ไม่ให้อัลธอร์วิ่งห้อจนเกินควร เพราะจะทำให้คนที่ไม่ได้นั่งบนอานกระเด็นตกลงมาได้ "ข้าจะผ่านหมู่บ้านของเจ้าหรือเปล่า เลสธีราห์" เมื่อสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายยิ่งเกร็งมากขึ้นไปอีก เอเดรียนก็พยายามจะชวนคุยเพื่อให้ร่างโปร่งลืมความรู้สึกกลัวไปชั่วคราว

"ไม่... หมู่บ้านข้าอยู่ทางเหนือของอาเดรีย"

ร่างสูงหัวเราะพรืดอย่างขบขัน "หนีออกจากบ้านจริงๆสินะ เจ้าน่ะ"

"ข้าเปล่า"

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหายเกร็ง เอเดรียนก็เลิกหยอกล้อและบังคับม้าให้วิ่งไปตามทางอย่างเดิม แม่ทัพใหญ่นึกขันอยู่ในใจที่จู่ๆก็นึกอยากชวนพรานชาวบ้านมาเป็นคนสนิทเสียอย่างนั้น แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเลสธีราห์มีบุคลิกไม่น่าไว้ใจ ทั้งการแต่งตัว รสนิยม และวิถีชีวิตก็ดูไม่เป็นมนุษย์สักอย่าง แต่วิธีการนี้เองที่จะทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นสายลับมาจากบ้านเมืองไหน หรือเป็นเพียงพรานชาวบ้านอย่างที่ปากว่า

หากเป็นพรานชาวบ้านจริงๆ ก็คงจะดีกระมัง...

เอเดรียนเองก็ไม่มีคนสนิทเป็นนักธนูแม้แต่คนเดียว แม้ว่าเขาจะมองหาบุคคลเช่นนั้นจากพลธนูหลวงที่ประจำการในมหาคฤหาสน์ แต่โดยมากก็มักเป็นพวกหวังผลตอบแทนใหญ่หลวง ชายหนุ่มยังไม่พบใครที่พร้อมจะร่วมรบไปกับเขาจริงๆเลยสักคนก็ว่าได้ ...หากเลสธีราห์เป็นสหายของเขาได้ก็คงดีกระมัง

แม้ว่าการพบกันครั้งแรกจะดูจงใจมากกว่าบังเอิญก็ตามที

แม้ว่าท่าทางของอีกฝ่ายจะเป็นลักษณะของคนมีความลับมากมายก็ตามที

...แต่อย่างน้อย เลสธีราห์ก็ต่างจากขุนนางในเมืองหลวง

...

อย่างน้อยก็ยังดูเป็นคนนอกที่ทำให้เขาสบายใจได้บ้างกระมัง

"เจ้าอย่าเหม่อสิ... อัลธอร์วิ่งเร็วไปแล้ว" น่าแปลกที่คนซึ่งกลัวการขี่ม้าขนาดนั้นจะสามารถขึ้นม้าได้อย่างคล่องแคล่ว และคนที่บอกว่าตัวเองไม่เคยมีม้าจะรู้จักนิสัยใจคอม้าได้ดีราวกับเป็นคนเลี้ยงเสียเอง และน่าแปลกยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเจ้าคนที่ว่านี้แตะมือกับสีข้างอัลธอร์ครั้งเดียวก็สามารถควบคุมจังหวะการวิ่งของมันได้

ช่างเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย... แต่เขาก็ยังปล่อยให้ฝ่ายนั้นนั่งม้าตัวเดียวกับตนไม่ใช่หรือ

--------------------------------------------------

เกือกเหล็กก้าวย่ำไปบนทางไม้ที่ทอดยาวตรงไปยังลำเรือ ซาฮาลปรายตามองเรือลำใหญ่สองลำที่เพิ่งเดินทางกลับมาด้วยสายตาเรียบเฉย และประเมินระยะเวลาที่ผู้เช่าเหมาลำเรือจะต้องใช้ในการนำข้าวของทั้งหมดออกจากคลังท้องเรือ ม้าศึกจำนวนมากค่อยๆก้าวลงมาตามแผ่นไม้ที่พาดเชื่อมระหว่างเรือกับท่าเรือ พวกมันมีท่าทางเหนื่อยอ่อน และเมาคลื่นอย่างเห็นได้ชัด

"ส่งคนไปตามรีดาห์... ข้าอยากจะตรวจสอบสภาพเรือทันทีหลังจากพวกภูตขนของเสร็จ"

ซาฮาลออกคำสั่งกับคนสนิท ก่อนจะเหลือบสายตามองผู้นำคณะเดินทางที่พยายามจะส่งยิ้มเป็นมิตรและเดินเข้ามาทักทายเขาตามมายาท "เจ้าคงเป็นซาฮาล... ผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์" เซนทอร์ไม่ยิ้มตอบ อีกทั้งไม่กล่าวตอบซึ่งเป็นการยอมรับตามมารยาทเผ่าครึ่งม้าว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรผิด "ถ้าไม่รังเกียจ ข้าจะขอมอบเหล้าที่หายากเหล่านี้เอาไว้ให้สักสิบถัง..."

"เซนทอร์ไม่รับสินบน... วิกโทเรียส ลอว์เรนโซ แม่ทัพแห่งไอย์ชวล"

เจ้าของนามวิกโทเรียสยกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี "ข้าเรียกสินน้ำใจ..."

"ไม่เอาก็ดีสิ แทนที่จะเหลือยี่สิบถังก็เหลือสามสิบถังอย่างไรเล่า คนเขาไม่เอาเจ้าจะยัดเยียดทำไมน่ะ" ซาฮาลเป็นเซนทอร์ที่ค่อนข้างสูง เขาคุ้นเคยกับการก้มมองมนุษย์มาโดยตลอด แต่เมื่อบุคคลที่สามเดินเข้ามา ซาฮาลก็พบว่าอีกฝ่ายสูงใหญ่พอที่ทำให้เขาไม่ต้องก้ม "เซนทอร์ไม่ดื่มเหล้าหรอก มันทำให้พวกเขาบกพร่องในระเบียบวินัย" อีกฝ่ายจงใจแดกดันด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และด้วยท่าทางการพูดเช่นนั้นทำให้ซาฮาลจำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือใคร...

และโดยไม่พูดอะไรต่อ ผู้เช่าเรือก็ขนของผ่านหน้าเขาโดยไม่เสนอ 'สินน้ำใจ' ให้อีกเป็นครั้งที่สอง

กฎเกณฑ์ของแอสทารอธเข้าใจง่าย โดยกฎข้อแรกนั้นคือการห้ามขี่ม้าและใช้งานม้าอย่างเด็ดขาดภายในอาณาจักร และเพื่อทำตามกฎนั้นไอย์ชวลจึงได้นำกระทิงตัวเขื่องลงเรือมาด้วยเพื่อใช้เทียมรถลากข้าวของทั้งหมดที่พวกเขาขนกลับมา

"ท่าเรือนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง จากครั้งสุดท้ายที่ข้าเคยมา"

ซาฮาลเหลือบมองคนพูดคนเดิมที่กำลังมองไปรอบตัว "ลูกพี่ลูกน้องข้ายังอยู่ดีไหม ซาฮาล"

"เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เอ่ยชื่อข้า คูแรนน์..." เซนทอร์ตอบเสียงเย็น กีบม้าข้างหนึ่งเคาะกับพื้นบ่งบอกถึงความไม่พอใจ "รีบขนของลงจากเรือแล้วกลับบ้านเมืองตัวเองไปเสีย" คนฟังแค่นหัวเราะขึ้นจมูก ก่อนจะยกแขนขึ้นกอดอกอย่างยียวน

"ถ้านี่ยังเป็นวิธีที่แอสทารอธใช้ต้อนรับผู้มาเยือน ข้าเกรงว่าพวกเจ้าคงติดต่อได้แค่พวกบลังค์เท่านั้น"

คูแรนน์แห่งทัพปราการไม่ใช่คนฉลาดพูด แต่ซาฮาลยอมรับว่าอีกฝ่ายแทงใจดำคนได้เจ็บนัก เซนทอร์หนุ่มไม่คิดเลยว่าเขาจะถูกภูตต้อนคำพูดให้จนเอาดื้อๆแบบนี้ แต่เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเชือดเฉือนต่อ ซาฮาลก็เลือกตอบคำถามง่ายๆนั่นจะดีกว่า "เลสธีราห์ออกไปทำภารกิจ ไม่ใช่เรื่องของเจ้าที่จะรู้ แต่แน่นอนว่ายังสบายดี"

บลังค์เป็นชื่อตระกูลของกลุ่มเอลฟ์ชั้นสูงที่มีความสามารถในการใช้เวทมนตร์ บุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าซาฮาลเองก็เป็นพวกบลังค์คนหนึ่ง โดยเขามีสายเลือดครึ่งหนึ่งเป็นภูต และครึ่งหนึ่งเป็นเอลฟ์ เช่นเดียวกับเลสธีราห์ที่มีครึ่งหนึ่งเป็นเซนทอร์ ส่วนอีกครึ่งเป็นเอลฟ์ โดยส่วนมากแล้วตระกูลบลังค์มักมีทายาทที่มีผมสีขาว และผิวสีอ่อน ดังนั้นต่อให้ท่านหญิงลีอาห์จะเป็นอาชาสีน้ำตาล แต่อย่างไรบุตรชายของนาง... เลสธีราห์ บลังค์ก็มีผมสีทองอ่อนและดวงตาสีฟ้าสดซึ่งได้มาจากบิดาอยู่ดี

"ข้าขอตัวก่อน" และป้องกันไม่ให้คูแรนน์ถามอะไรมาก เซนทอร์หนุ่มคิดว่าเขาควรจะหลีกทาง

"ยินดีต้อนรับสู่ แอสทารอธ..."

...และควรปรับปรุงมารยาทตามที่คูแรนน์ว่าด้วยกระมัง

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 4.2
«ตอบ #9 เมื่อ26-10-2016 09:44:51 »

ตอนที่ 4.2

เลสธีราห์แหงนมองประตูเมืองสูงใหญ่ขณะผ่านเข้าไปในปราการชั้นแรก และเอาไปเปรียบเทียบกับประตูเมืองแอสทารอธโดยไม่ได้ตั้งใจ กำแพงเมืองมนุษย์หนากว่ามาก อีกทั้งยังมิดชิดสมเป็นป้อมปราการด่านแรกที่ใช้ทัดทานศัตรู เอเดรียนแสดงป้ายผ่านทางด้วยการตบสีข้างอัลธอร์เพื่อให้ทหารยามสังเกตเห็นเหรียญตราสัญลักษณ์ของอาณาจักรบนอกของมัน ก่อนจะดึงม้าผ่านเข้าไปยังปราการชั้นที่สองซึ่งต้องขึ้นบันไดไปอีกหลายร้อยขั้น

“ไม่เคยเข้ามารึ...”

ร่างสูงรู้สึกได้ว่าคนที่มาด้วยลอบกลั้นใจด้วยความตื่นเต้น แต่เมื่อเขาออกปากถาม เลสธีราห์ก็รีบกลบเกลื่อนด้วยการแค่นเสียงประชดประชัน “ชาวบ้านธรรมดาจะไปมีป้ายผ่านทางเข้าปราการชั้นในได้อย่างไร” ร่างโปร่งปล่อยมือจากบ่ากว้าง เขารู้ว่าเอเดรียนได้ยินเสียงลมหายใจของเขา และรู้สึกถึงความตื่นเต้นของเขาผ่านจากจังหวะชีพจร เซนทอร์หนุ่มเริ่มคิดว่าตนควรจะระวังตัวมากกว่านี้จะดีกว่า เพราะดูเหมือนว่าเอเดรียนเองก็กำลังระแวงเขาอยู่เหมือนกัน

...การชักชวนให้มาเป็นคนสนิทอาจเป็นแผนหนึ่งที่จะสืบว่าเขาเป็นใครก็ได้

นี่เลสธีราห์กำลังเดินเข้าปากเสือหรือเปล่านะ

เอเดรียนสวมผ้าคลุมไหล่สีเขียวอ่อนรับกับชุดซึ่งเป็นสีเขียวน้ำทะเล ซึ่งไม่ได้ดูแปลกตาสำหรับชาวเมืองที่เดินขวักไขว่ อีกทั้งการขี่ม้าเข้ามาในปราการก็ดูจะไม่ใช่เรื่องแปลก ดังนั้นเหตุผลเดียวที่สายตาหลายคู่จ้องมองมาทางพวกเขานั้นคือลักษณะการแต่งตัวแปลกประหลาดของเลสธีราห์

“ทำไมเจ้าต้องใส่กระโปรงด้วย...” เอเดรียนเองก็รู้สึกถึงสายตาที่ว่า จึงได้หันมาถามคนข้างหลัง

“ไม่ใช่กระโปร่งสักหน่อย”

“แต่ก็ไม่ใช่กางเกงนี่”

“เรื่องของข้าน่า!” พวงแก้มขาวแอบขึ้นสีเรื่อเมื่อถูกซักไซ้ถึงเครื่องแต่งกาย เพราะไม่ว่าเซนทอร์หนุ่มจะแต่งอะไร กระทั่งคนเป็นแม่อย่างลีอาห์ก็ยังไม่เคยกล่าวตำหนิสักคำ “มันเป็นชุดชายยาว ทำให้ข้าสะดวกเวลาเคลื่อนไหว การล่าสัตว์ที่ไม่ใช้ม้า แค่เสียงเสื้อผ้าก็ทำให้เหยื่อรู้ตัวได้แล้ว” ร่างโปร่งอ้างกลับไปถึงอาชีพของตนซึ่งพอจะใช้เป็นเหตุผลได้ ตัวเขาเป็นพรานมาก่อน ดังนั้นจึงคลุกคลีและเข้าใจธรรมชาติมากกว่าขุนนางที่เอาแต่นั่งประชุมอยู่ในคฤหาสน์อย่างแน่นอน

เอเดรียนเองก็ไม่ตอบโต้เพื่อเอาชนะ แต่กลับหัวเราะเบาๆด้วยความเอ็นดูแทน

"อย่าทำเหมือนข้าเป็นเด็กนะ"

"แล้วใครว่าเจ้าอย่างนั้นเล่า" ร่างสูงมองข้ามไหล่ตนกลับมาที่คู่สนทนา แม้จะไม่ได้พูดออกไป แต่เอเดรียนคิดว่าเลสธีราห์ช่างเหมือนพวกลูกขุนนางที่พยายามจะเรียนรู้โลกเหลือเกิน อีกทั้งยังมีความอยากเอาชนะเป็นเด็กๆ อีกด้วย ตัวเขาเองก็เคยพบเจอกลุ่มคนแบบนี้มามากมายพอสมควร แต่โดยมากมักจะเป็นบุตรสาวสุดรักสุดหวงที่เหล่าขุนนางจะพามาเปิดตัวในงานเลี้ยงเพื่อเสี่ยงหาคู่ ชายหนุ่มเคยพบปะพูดคุยกับพวกนางบ้างแล้ว และไม่รู้สึกประทับใจเอาเสียเลย

...แต่น่าแปลกที่เลสธีราห์ไม่น่าเบื่ออย่างเด็กสาวพวกนั้นเลย

อาจจะเป็นเพราะใบหน้าเรียบเฉยของฝ่ายนั้นก็เป็นได้ที่ทำให้เลสธีราห์ดูเป็นเด็กที่พยายามจะโตจริงๆ ไม่ใช่เด็กที่แสร้งทำตนเป็นผู้ใหญ่ "เราไม่ได้พักที่มหาคฤหาสน์ของท่านชายซินญอร์ แต่บ้านพักพวกเราอยู่ในเขตปราการชั้นที่สองนี่ ข้าจะแนะนำคนอื่นๆให้เจ้าได้รู้จัก อย่าไปโวยวายใส่พวกเขาล่ะ"

"เจ้าเห็นข้าขี้โวยวายหรืออย่างไรกัน" เซนทอร์หนุ่มอ้าปากค้าง

เอเดรียนหัวเราะเบากับตัวเอง ขณะดึงม้าเดินเข้าไปในเขตที่พักส่วนตัว "เจ้าไม่ใช่คนเดายากนี่"

"ไม่ต้องมาเดาข้า เจ้าเดาไม่ออกหรอก!" เมื่ออัลธอร์หยุดเดิน เลสธีราห์ก็กระโดดลงจากหลังม้าศึกทันที แล้วจึงหันไปลูบหัวมันแทนคำขอบคุณและขอโทษไปพร้อมๆกันราวกับเพิ่งนึกได้ว่าตนนั่งบนหลังม้ามาตลอดการเดินทางซึ่งไม่ว่าเซนทอร์ตนไหนก็ไม่เคยทำ

"เข้ามาสิ... พรุ่งนี้ค่อยคุยกับอัลธอร์ก็ได้"

แม่ทัพใหญ่ลงจากม้าแล้ว และเด็กรับใช้ก็เดินเข้ามารับอัลธอร์เพื่อจะพากลับไปที่โรงม้า เซนทอร์หนุ่มจึงได้แต่มองตามไปสักพักด้วยความสงสัย "โรงม้าของข้ากว้างขวาง อัลธอร์ไม่ลำบากหรอกน่า" ร่างโปร่งรีบหันกลับมาและกลบเกลื่อนท่าทางของตัวเองในทันทีด้วยรู้สึกว่าเอเดรียนกำลังอ่านความคิดของเขาผ่านท่าทางการแสดงออก

เลสธีราห์ไม่ต้องการให้ใครอ่านเขาออก... โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับขุนนางผู้นี้

"ข้าแค่..." ร่างโปร่งเม้มปากเมื่อนึกหาคำโต้แย้งไม่ออก และนั่นก็ทำให้เอเดรียนยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูอีกครั้งก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายตามอัลธอร์ไปที่โรงม้า "ไหนว่าจะเข้าไปในคฤหาสน์ไง" เลสธีราห์ก้าวตามมาพร้อมกับเสียงทักท้วง แต่เมื่อเห็นว่าเอเดรียนตรงเข้าไปหาม้าศึกของตนและรับถังไม้ซึ่งบรรจุน้ำใสเอาไว้มาส่งให้สัตว์เลี้ยงคู่ใจด้วยตนเอง ร่างโปร่งก็คิดว่าเขาไม่ควรจะทักท้วงอะไรอีก

ม้าศึกมุดหัวลงไปในถังและตั้งหน้าตั้งตาดื่มน้ำเหมือนอดอยากมาหลายวัน และเมื่อมันดื่มน้ำเสร็จ เอเดรียนก็ลูบหัวมันเบาๆอย่างเอ็นดู ก่อนจะเดินไปจับแผงคอและสางเส้นขนที่ติดพันกันยุ่ง อัลธอร์เองก็ดูจะชอบที่เอเดรียนทำแบบนั้น มันจึงได้ยืนแกว่งหางเบาๆพร้อมกับส่ายหัวไปมาอย่างเพลิดเพลิน "อยากเล่นกับมันบ้างไหมล่ะ... เจ้าดูจะชอบม้าไม่ใช่รึไง" เอเดรียนเสนอ "ถ้าเจ้าปราบพยศลูเซียได้ ข้าก็ยกให้เจ้าเอาไว้ใช้งานจากแล้วกัน"

เลสธีราห์ไม่รู้จะตอบอย่างไรเมื่อได้ยินว่าตนจะได้มีม้าสักตัวไว้ 'ใช้งาน'

มนุษย์ธรรมดาก็ควรจะดีใจกระมัง... แต่สำหรับเซนทอร์อย่างเขา มันเสมือนถูกบังคับให้กินเนื้อเลยทีเดียว "อะ... อืม แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะปราบ... พยศมันได้หรือไง" เลสธีราห์ตะกุกตะกัก อันที่จริงเขาไม่รู้ว่าพวกมนุษย์ปราบพยศม้าอย่างไร และมีเหตุผลใดที่ม้าจะไม่เชื่องกับมนุษย์ เพราะหากเซนทอร์เจอม้าที่ค่อนข้างดุร้าย พวกเขาก็แค่พูดคุยด้วยดีๆเท่านั้นเอง

"ถึงเจ้าปราบไม่ได้ ข้าก็มีตัวอื่นให้เจ้า" เอเดรียนกล่าวไม่ไม่รู้ร้อน "ข้าแค่คิดว่าเจ้าเหมาะกับลูเซีย"

"ทำไมกัน"

"ลูเซียเป็นม้าสีขาว..." ขุนนางหนุ่มว่า "เหมือนกับเจ้าที่ดูบริสุทธิ์ไม่แพ้กัน" เมื่อพูดจบ เอเดรียนก็ผละออกมาจากการให้อาหารอัลธอร์ และเดินนำร่างโปร่งกลับไปที่ด้านหน้าคฤหาสน์ "มาเร็วเข้า... เจ้าพร้อมจะโดนจาเร็ตต์สวดแล้วหรือยัง" เลสธีราห์อ้าปากค้างเล็กน้อยและรู้สึกร้อนที่ใบหน้าอย่างพูดไม่ถูก เขาได้แต่มองแผ่นกว้างเดินนำเข้าไปในตัวคฤหาสน์พร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆเสมือนสามารถหยอกลูกแมวตัวหนึ่งได้สำเร็จ

"เอเดรียน ไม่ตลกนะ!" รองเท้าเหล็กก้าวตามร่างสูงเข้าไป เขาเดินไปบนพื้นหินอ่อนทำให้เกิดเสียงกระทบดังก้องไปทั่วห้องโถง "การที่จะเข้ากับม้าตัวใดได้ดี เจ้าต้องให้ม้าเป็นฝ่ายเลือก หรือทั้งคู่ใจตรงกันสิ และข้าอาจจะเหมาะกับม้าดำมากกว่าก็ได้! อย่มาตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกนะ"

"เบาหน่อย ฝีเท้าเจ้าจะทำให้คนในคฤหาสน์ตื่นกันหมด"

เอเดรียนว่า เขารู้สึกแปลกใจที่จังหวะการเดินของเลสธีราห์ไม่เหมือนจังหวะการก้าวเท้าของคนทั่วไป อีกฝ่ายก้าวสั้นและถี่มากกว่าปกติเพื่อจะเดินไล่หลังเขา ทั้งที่ปกติแล้ว การก้าวตามใครสักคนหนึ่ง คนที่ตามมักจะใช้วิธีก้าวยาวๆมากกว่าเดินเหยาะๆ แบบนี้

"การใส่รองเท้าเหล็กนี่ช่วยทำให้ปีนต้นไม้ได้ถนัดขึ้นหรือยังไง" แม่ทัพใหญ่เปลี่ยนเรื่องคุย เพราะคิดว่าตนเองอาจจะระแวงมากไป ไม่ว่าเลสธีราห์จะเป็นใคร เป็นภูตหรือเป็นมนุษย์ อย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่มีทางเป็นเซนทอร์ไปได้ พวกเซนทอร์ไม่สามารถเปลี่ยนร่างตนเองเป็นมนุษย์ได้ และหากดูจากความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของเผ่าตัวเองแล้ว คนครึ่งม้าเหล่านั้นก็คงจะไม่แปลงเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน

เขาอาจจะคิดมากไปเอง...

"เจ้าไม่คิดว่าข้าเป็นขโมยบ้างรึไง พรุ่งนี้เช้าเจ้าอาจจะไม่ 'คนสนิท' อยู่ที่ห้องพักแล้วก็ได้ ซ้ำแล้วม้าของเจ้าอาจจะหายไปด้วยก็ได้" เลสธีราห์ไม่ใช่คนที่ชอบพูดคุยสักเท่าไหร่แต่เขาควรจะสร้างความสนิทสนมในเร็ววันเพื่อล้วงความลับจากอาเดรีย ดังนั้นชายหนุ่มจึงพยายามฝืนตัวเองในการพูด และแน่นอนว่าประโยคเปิดบทสนทนาก็ทำให้เอเดรียนต้องหัวเราะออกมาอีกครา

"แล้วโจรปกติเขาจะบอกแผนการของตัวเองแบบนี้รึไง"

เซนทอร์หนุ่มไม่ชอบเลยที่อีกฝ่ายรู้ทันไปหมดทุกอย่าง "เก่งนัก ไหนบอกซิว่าเจ้ามองข้าว่าอะไร"

"เป็นเด็กหนีออกจากบ้านคนหนึ่งกระมัง" เอเดรียนเดินนำมาถึงห้องพักที่กว้างขวาง แม้ว่าองค์ประกอบของมันจะมีเพียงเตียงหนึ่งหลัง โต๊ะหนึ่งตัว และเก้าอี้อีกหนึ่งตัวเท่านั้นก็ตาม "เจ้ามีฝีมืออยู่พอตัว...  ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นพรานชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง"

"แต่เจ้าก็ยังเรียกให้ข้ามาเป็นคนสนิททั้งที่ไม่ไว้ใจกันแบบนี้น่ะรึ"

เมื่อเลสธีราห์ตอกกลับบ้าง แม่ทัพอาเดรียก็ถึงกับเงียบ เขาไม่เคยถูกย้อนแบบนี้มาก่อน... โดยเฉพาะกับคนที่สร้างภาพเอาไว้ว่าตนเป็นพรานชาวบ้านธรรมดา "หากไม่ไว้ใจ ข้าคงไม่ยอมพาเข้ามาในปราการชั้นในหรอกน่า" แม่ทัพหนุ่มแก้หน้า

"หึ..." คนฟังกอดอก และเดินเข้าไปในห้องพักของตนโดยไม่ตอบอะไร

ร่างโปร่งปลดสายสะพายกระบอกใส่ลูกดอกและคันธนูออกวางไว้ที่โต๊ะตัวใกล้ๆ  เลสธีราห์ในตอนนี้ช่างเหมือนเด็กที่ดูจะไม่พอใจกับห้องนอนใหม่ ทว่าลึกๆ แล้วก็ตื่นเต้นกับมันอยู่มากทีเดียว ซึ่งมันทำให้เอเดรียนหัวเราะเบาๆ ด้วยความขบขัน ก่อนจะเหลือบไปเห็นสหายของตนที่เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเอาเรื่อง

"ไม่เอาน่า จาเร็ตต์ เจ้าทำหน้าแบบนี้อีกแล้ว" เลสธีราห์หันไปมองตามเสียงเพื่อดูว่าเอเดรียนพูดคุยกับใคร ก่อนจะอ้าปากน้อยๆ เมื่อเห็นผู้มาเยือนเป็นชายหนุ่มร่างโปร่งที่มีผมยาวประบ่าสีแดงหยักศก และดวงตาที่ไม่ใคร่จะบอกความรู้สึกหรืออารมณ์สักเท่าไหร่

"นี่คือเลสธีราห์..." เอเดรียนแนะนำอย่างเสียไม่ได้ "เลสธีราห์ นี่คือจาเร็ตต์... เลขาของข้า"

"ยินดี" จาเร็ตต์ยิ้มรับตามมารยาทก่อนเหลือบสายตากลับไปมองเอเดรียนทางคำคาดคั้น "เป็นใครมาจากไหนกันล่ะ เจ้าถึงมั่นใจพาเข้ามาที่ราห์โมนาได้" เอเดรียนไม่เคยบอกมาก่อนว่าคฤหาสน์แห่งนี้ถูกเรียกว่าอะไร แต่ชายหนุ่มก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องได้ในใจว่ามันคือคฤหาสน์ราห์โมนา และคฤหาสน์แห่งนี้ก็น่าจะเป็นของขุนนางฝ่ายทหาร

เอเดรียนเป็นขุนนางฝ่ายทหารอย่างนั้นหรือ...

อีกฝ่ายไม่เคยพูดตรงๆ ว่าตนเองมีหน้าที่อะไรในสภาขุนนาง แต่จากการพูดคุยก็น่าจะเป็นฝ่ายเศรษฐกิจเสียมากกว่า อีกฝ่ายคอยเป็นห่วงเป็นใยเรื่องการค้า ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรมากกว่าการทหาร และดูจะไม่สนใจเรื่องชายแดนหรือการป้องกันอาณาจักรอีกด้วย ...แต่อาเดรียก็ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งกองทัพไม่ใช่หรือไร จึงไม่น่าแปลกที่ขุนนางฝ่ายทหารจะไม่มีความสำคัญ และเหมือนจะมีไว้เพื่อดูแลความปลอดภัยของผู้นำอาณาจักรเท่านั้น

แต่ถ้าเอเดรียนเป็นผู้นำสูงสุดของขุนนางฝ่ายทหาร... ก็แปลว่าเขามียศเทียบเท่าแม่ทัพเลยไม่ใช่หรือ

"บอกข้าสิ... เจ้าเป็นใครกัน" จาเร็ตต์ถามเสียงเรียบ ดวงตายังจับจ้องคู่สนทนาอย่างคาดคั้น

"ข้าเป็นนายพราน ล่ากวางและสัตว์ป่าหาเลี้ยงชีพไปวันๆ" คู่สนทนาไม่ได้มีท่าทางดุดัน แต่ด้วยความที่ถูกจ้องมอง เลสธีราห์จึงรู้สึกประหม่าอย่างช่วยไม่ได้ และในขณะที่ตอบคำถามนั้น ร่างโปร่งก็เริ่มสงสัยและอยากถามคำถามเดียวกันกับเอเดรียนขึ้นมาเสียอย่างนั้น "แล้ว... ตกลงวันว่าเจ้าเป็นใคร ขุนนาง" เขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นขุนนางธรรมดามาโดยตลอด และคิดว่าอีกฝ่ายก็ไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ทั่วไป แต่เมื่อไตรตรองดูให้ดีแล้ว...

เอเดรียนก็ดูไม่ใช่คนธรรมดาเลย

"ข้าคือเอเดรียน... ผู้นำของขุนนางฝ่ายทหาร และเป็นแม่ทัพแห่งอาเดรีย" ร่างสูงตอบทั้งที่ยังยิ้มจาง "เป็นสถานะที่บอกใครไม่ได้ยกเว้นคนที่ไว้ใจเท่านั้น" เลสธีราห์ตะลึงงันในประโยคแรก แต่ประโยคที่สองก็ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่า "ถ้าข้าต้องการความจริงใจจากใคร ข้าควรจะจริงใจกับผู้นั้นก่อน... ไม่ใช่หรือ เลสธีราห์"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-10-2016 09:50:07 โดย khaosap »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 4.2
« ตอบ #9 เมื่อ: 26-10-2016 09:44:51 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เอาล่ะสิ เอเดรียนหงายไพ่ให้ดูแล้วหนึ่งใบ เลสธีราจะทำยังไงนะทีนี้

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
นี่เข้ามาเพราะชื่อคนแต่งเลยค่ะ
ขอแปะไว้ก่อนเดี๋ยวกลับมาอ่านนะคะ
จำได้ว่าตอนอ่าน prussian blue ตอนเด็กๆนี่ติดมาก555
ยาวนานหลายปีบ่งบอกอายุ
ติดตามผลงานต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 5.1
«ตอบ #12 เมื่อ27-10-2016 09:12:53 »

ตอนที่ 5.1

เลสธีราห์เริ่มคิดว่าการฆ่าเวลาของตนมีประโยชน์เมื่อได้พบเอเดรียน...

การที่ไม่มีใครรู้ว่าเซนทอร์สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้อาจทำให้เขาได้เปรียบในการแฝงตัวอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่ง่ายเอาเสียเลย ในเมื่อผู้คนที่พยายามจะทำความรู้จักเลสธีราห์เป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดาที่มีทรัพย์สินเงินทอง และจ้องจะหาประโยชน์

เลสธีราห์ต้องการพบขุนนางสักคนหนึ่งของอาเดรีย

เนื่องจากเหนือหัวดาเรียสมีความคิดจะผูกมิตรกับอาณาจักรอื่นอยู่บ้างแล้ว แต่ยังไม่มีขุนนางใดเสนอแผนงานหรือแนวทางที่เป็นรูปร่าง ดังนั้นเลสธีราห์จึงคิดว่าเขาอาจจะช่วยเหลือในเรื่องนี้ได้บ้าง เนื่องจากเขาเป็นเซนทอร์ที่สามารถอยู่ในร่างมนุษย์ได้โดยไม่รู้สึกอะไร เพราะเซนทอร์ไม่ได้คิดจะผูกมิตรกับบ้านเมืองใกล้เคียงอย่างไอย์ชวลแต่พวกเขากำลังคิดจะสมาคมกับพวกมนุษย์ ซึ่งมีสองหนทางให้เลือก นั่นก็คือธีสธรัลและอาเดรีย

แม้ว่าทั้งสองตัวเลือกนี้จะไม่มีความแตกต่างกัน เนื่องจากอาเดรียเป็นเมืองในอาณานิคมของธีสธรัล

แต่เลสธีราห์เชื่อว่าลึกๆแล้ว ชาวอาเดรียยังต้องการเป็นอิสรภาพล ดังนั้นเขาจึงอยากรู้จักชาวอาเดรียเพื่อจะสืบความเคลื่อนไหวของพวกเขาไปเงียบๆ และคงเป็นการดีมากหากได้พบขุนนางสักคนหนึ่งที่พอจะรู้ความเคลื่อนไหวภายในบ้าง ที่ผ่านมาเลสธีราห์ทำความรู้จักกับมนุษย์ไม่มาก และไม่เคยบอกชื่อเสียงเรียงนามของตนเอง เนื่องจากเกิดความรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่คู่ควรจะรับรู้

ผู้หญิงที่เข้ามาทำความรู้จักเขาเลี้ยงเหล้าสักแก้วหนึ่ง และชักชวนให้ไปร่วมทุนค้าขายกับนาง แต่เมื่อลองพูดคุยแล้ว เลสธีราห์ก็พบว่านางต้องการผืนหนังราคาแพงจากเขาสักผืนโดยไม่จ่ายเงิน ในขณะที่อีกคนก็ต้องการเครื่องประดับเขี้ยวสัตว์หายากโดยแลกกับอัญมณีของนางที่แท้จริงแล้วเป็นเพียงกรวดหินไร้ราคา หรือกระทั่งบุรุษที่เข้ามาทำความรู้จักก็คิดหาแต่ประโยชน์ของตนโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด

แต่ขุนนางเอเดรียนผู้นั้นกลับแตกต่งออกไป... แม้ว่าเพิ่งเคยพูดคุยกันเป็นครั้งแรกก็ตาม

เอเดรียนใจเย็น ไม่รบเร้าเซ้าซี้ และไม่เอาแต่คิดเรื่องประโยชน์ส่วนตนดังเช่นคนอื่น และสิ่งที่ยืนยันความแตกต่างของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดีก็คืออัลธอร์ ม้าศึกสีน้ำตาลที่สง่างามสมบูรณ์แบบตัวนั้นสามารถบอกเล่านิสัยใจคอของเอเดรียนได้ผ่านสายตาของมัน แม้ว่าเซนทอร์จะไม่ชื่นชอบการเห็นม้าถูกพันธนาการ แต่อัลธอร์กลับบอกว่ามันเป็นอุปกรณ์ที่ไม่ทำให้มันกับเจ้าของพลัดจากกัน

บุคคลที่ทำให้ม้าศึกยอมเดินตามได้โดยไม่มีเงื่อนไขจะต้องมีความแตกต่างจากมนุษย์ผู้อื่นที่เลสธีราห์เคยพบเจอมาอย่างแน่นอน อีกทั้งอีกฝ่ายก็เป็นถึงขุนนางของอาเดรีย อย่างน้อยเขาก็อาจจะได้ข้อมูลอะไรดีๆที่เป็นประโยชน์ต่อแอสทารอธบ้าง

ดังนั้นเลสธีราห์จึงไม่ลังเลที่จะบอกชื่อ และทำความรู้จักขุนนางผู้นั้น


--------------------------------------------------

แอสทารอธได้รับการขนานนามว่าเป็นอาณาจักรแห่งดวงดาว จากพรสวรรค์ของเซนทอร์ในการอ่านอนาคต แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่มีชื่อเสียงในอดีต เพราะเซนทอร์ในปัจจุบันสูญเสียความรู้และความสามารถในการพยากรณ์ไปมาก อันเนื่องมาจากความพยายามที่จะปรับตัวให้เหมาะสมกับความเป็นไปของโลก ดังนั้นเซนทอร์จึงให้ความสำคัญในการพยากรณ์น้อยลง และหันไปจับต้องสิ่งที่เป็นรูปธรรมมากกว่า

แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่ได้สูญเสียมันไปทั้งหมดเสียทีเดียว...

ท่านหญิงลีอาห์ยืนอยู่ด้านหลังพระราชวังอัสเธียร์แหงนหน้าขึ้นอ่านดวงดาวบนท้องฟ้าด้วยสีหน้ากังวลใจ เพราะอนาคตที่นางกำลังจ้องมองอยู่คือการบอกลางอันไม่น่ายินดี เมื่อดวงดาวแห่งการเปลี่ยนแปลงโคจรเปลี่ยนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งอันหมายถึงการเปลี่ยนอิทธิพลของมัน และที่ที่มันโคจรไปนั้นสื่อถืออาณาจักรแอสทารอธเอง

ราชเลขาไม่ใช่หนึ่งในนักดูดาวที่เก่งที่สุดในแอสทารอธ  แต่ด้วยความไม่รู้นั่นเองที่ก่อกวนจิตใจของคนเป็นแม่ เพราะอนาคตที่แปรเปลี่ยนไปเบื้องหน้ากล่าวถึงบุคคลที่เข้าไปพัวพันกับการเปลี่ยนแปลง และอาจจะต้องจมหายไปในเงาของดวงดาวตลอดกาล

ซึ่งบุคคลที่ว่าในตอนนี้ก็เห็นทีจะเป็นเลสธีราห์ บุตรชายของนางเอง

"ท่านราชเลขา..."

เสียงทุ้มของซาฮาลดังขึ้นไม่ไกลทำให้ลีอาห์หยุดพิจารณาท้องฟ้าและหันมาหาต้นเสียง ดูเหมือนว่านางจะจดจ่อกับการทำนายมากเกินไปจนไม่ทันสังเกตว่าผู้นำกองเรือพาณิชย์ได้มายืนอยู่ตรงหน้าตนแล้ว  และร่างกายสูงใหญ่ของฝ่ายนั้นก็บดบังแสงจันทร์ไม่ให้ส่องผ่านมาถึงตัวนาง "พวกอาเดรียส่งสารอย่างเป็นทางการเพื่อขอเข้าพบเหนือหัวดาเรียส ...เราควรจะรับมืออย่างไรขอรับ"

"เหนือหัวไม่พบใครอยู่แล้ว ไม่ว่ามนุษย์หรือภูต"

ซาฮาลไม่พยักหน้ารับรู้ เขาได้แต่ทอดสายตามองราชเลขาแห่งแอสทารอธอย่างพิจารณา "พวกมันรุกเข้ามาทุกขณะในทุกวิถีทาง กองเรือเซเลสต์ต้องรับมือกับพวกลักลอบข้ามน่านน้ำอยู่วี่ทุกวัน ขณะที่ชายป่าก็ถูกรุกรานบ้างประปราย ข้าไม่คิดว่าเราควรจะเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียวนะขอรับ"

ลีอาห์หลับตาลงและหมุนตัวเดินหนีคู่สนทนา "เราอาจจะดูได้เปรียบ แต่แท้จริงแล้วเราเสียเปรียบอยู่มาก ซาฮาล และข้ายังไม่เห็นช่องทางที่เราจะเอาชนะการเจรจาได้ อาเดรียอาจจะชวนเราเข้าร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อแข็งข้อกับธีสธรัลและไอย์ชวล แม้ว่านั่นจะทำให้เรามีอำนาจเพิ่มมากขึ้น แต่เหนือหัวดาเรียสก็ยังไม่ต้องการสูญเสียพันธมิตรอีกสองเมืองไป และเช่นกัน... หากเราไม่ยื่นมือเข้าร่วม อาเดรียก็อาจจะเป็นฝ่ายถูกขยี้ ทั้งมนุษย์และภูตจะทำสงครามกันจนรู้ผลแพ้ชนะ และสุดท้ายแล้วเซนทอร์ที่เอาแต่ยืนมองก็คงจะไม่ได้อะไร ข้ารู้นิสัยพวกภูตดี ต่อให้อาเดรียใช้เรื่องท่าเรือมาอ้าง พวกนั้นก็คงไม่เบนหน้ามาหาเราหรอก"

ราชเลขายกแขนขึ้นกอดอก "เรารุกไม่ได้จนกว่าจะรู้ว่าพวกอาเดรียมันมีจุดอ่อนอะไร"

ซาฮาลอยากจะถามลีอาห์เหลือเกินว่าบุคคลที่แอสทารอธส่งไปล้วงความลับของอาเดรียจะทำงานสำเร็จหรือไม่ แต่ก็เป็นคำถามที่จุกอยู่ในคอของเขา เพราะบุคคลที่ว่าคือบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของราชเลขาเอง "เจ้าคงสงสัยว่าเลสธีราห์จะทำงานสำเร็จหรือไม่กระมัง" ท่านหญิงลีอาห์อ่านได้จากสายตาของอีกฝ่าย

"เจ้าเป็นผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดไปก่อนเถอะ"

"ข้าเห็นว่าเขาเป็นผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ แต่ต้องทิ้งกองเรือเอาไว้เพื่อไปทำภารกิจนี้ทั้งที่น่านน้ำเราก็ถูกรุกราน รีดาห์เพียงคนเดียวไม่สามารถรับมือไหว ข้าไม่เห็นด้วยแต่แรกแล้วที่ส่งเขาไปทำเรื่องที่เขาไม่ถนัดแบบนี้" ลีอาห์เหลือบมองคนพูดครู่หนึ่งแล้วจึงถอนใจเบา ซาฮาลเรียกได้ว่าเป็นคู่กัดของเลสธีราห์ เพราะทั้งสองอายุเท่ากัน อีกทั้งยังเป็นผู้บัญชาการกองเรือเหมือนกัน แต่ทั้งที่ซาฮาลดูแข็งแกร่งกว่า กลับได้รับตำแหน่งให้เป็นเพียงผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์ ในขณะที่เลสธีราห์ที่ดูอ้อนแอ้นเกินไปสำหรับเซนทอร์กลับได้เป็นถึงผู้บัญชาการกองเรือรบ คงช่วยไม่ได้ที่ซาฮาลจะรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง แต่ในความไม่ถูกกันของสองคนนี้ ลีอาห์ก็รู้สึกได้ว่าซาฮาลยังพอจะเป็นห่วงเพื่อนร่วมงานอยู่บ้าง

ในขณะที่เลสธีราห์ไม่เคยเป็นห่วงใคร...

นี่อาจเป็นความผิดพลาดของนางในการเลี้ยงดูบุตรชาย

"มันเป็นความผิดของข้าที่ทำให้เลสเอาแต่มองไปข้างหน้าจนไม่ประเมินกำลังตนเองแบบนั้น แต่สิ่งที้เหนือหัวพูดมันก็ถูกต้องไม่ใช่หรือ เขาอาจเป็นเซนทอร์เพียงตนเดียวที่สามารถทำตัวกลมกลืนกับมนุษย์ได้ ดังนั้นเขาจึงเหมาะสมกับภารกิจนี้ที่สุด ต่อให้ข้าเป็นมารดาของเขา สามารถแปลงตัวเองให้เป็นมนุษย์ได้ แต่ผู้หญิงในสังคมมนุษย์ไม่มีจุดยืนแบบเซนทอร์ หากข้าลงสืบข่าวด้วยตนเองคงจะไม่ได้ความ"

"แต่เขาก็ต้องทิ้งกองเรือของเขา... ทั้งที่เขาเป็นคนที่รู้จักทะเลมากที่สุดในอาณาจักรน่ะหรือขอรับ"

"เจ้าอยากจะพูดอะไร ซาฮาล" ลีอาห์มุ่นคิ้วใส่ชายร่างสูง "ตำหนิข้าหรือเหนือหัวดาเรียสที่ส่งเขาไปทำภารกิจ หรือว่าจะตำหนิที่กองเรือเซเลสต์ขาดผู้นำกันแน่ เจ้าต้องการตำแหน่งของเขาอย่างนั้นหรือไร" ซาฮาลชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อสายตาเย็นชาของราชเลขามองตรงมาที่เขา ชายหนุ่มเม้มปากแน่นก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

"ส่งข้าไปช่วยเลสสืบข่าว... เขาอาจจะเป็นคนเดียวที่กลมกลืน แต่ข้าอาจเป็นคนเดียวที่รู้เท่าทัน"

"กองเรือกราเทียร์ต้องการเจ้า นี่ก็ใกล้ฤดูค้าขายแล้ว หากไม่มีเจ้าคอยบริหารงานแล้วผู้ใดจะทำ"

"ดวงดาวกล่าวเตือนเรื่องบุคคลที่จะเข้าไปพัวพันกับการเปลี่ยนแปลง และเราอาจจะสูญเสียเขาไปตลอดกาล ท่านเองก็อ่านออกไม่ใช่หรือ นี่ไม่ใช่ลางดีในการส่งใครไปเพียงลำพัง อย่างน้อยหากข้ามีส่วนร่วมด้วย อาจจะดึงเขากลับมาได้ และแก้ไขคำเตือนของดวงดาวได้" คนเป็นแม่ถึงกับเงียบเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงคำเตือนของดวงดาว และนางเองก็อ่านคำพยากรณ์นั้นได้ใจความเดียวกัน แม้การถูกเงามืดครอบงำอาจไม่ได้หมายถึงการสูญเสียชีวิต แต่อาจเป็นความล้มเหลว หรือความผิดพลาด ซึ่งสิ่งที่ลีอาห์กลัวมากที่สุดในตอนนี้ก็คือความล้มเหลวของเลสธีราห์ ซึ่งนางรู้ดีว่าบุตรชายของตนมีความตั้งใจมากแค่ไหน และหากเขาทำไม่สำเร็จ ปมที่อยู่ในจิตใจฝ่ายนั้นอาจจะยิ่งฝังรากลึกลงกว่าเดิม

...ครึ่งเซนทอร์ตนนั้น ต้องการแค่การยอมรับจากเผ่าเซนทอร์ ว่าเขาก็เป็นปุถุชนคนหนึ่งที่มีความสามารถ และเขาใช้ความสามารถเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่ง หาใช่เส้นสายอย่างที่ถูกกล่าวหาทุกวันนี้

เซนทอร์อาจไม่รับสินบน... แต่บิดาของเลสธีราห์เป็นถึงทูตใหญ่จากเธสซาลีย์ ใครเล่าจะกล้าขัดคอ

"ข้าไม่มีอำนาจที่จะอนุญาตเจ้า เรื่องนี้เจ้าจะต้องพูดกับเหนือหัวดาเรียสเอง" ลีอาห์บอกปัด แม้ว่านางจะเป็นห่วงบุตรชาย แต่นางก็รู้ดีว่าเลสธีราห์ไม่ต้องการให้นางยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แน่นอนว่าหากนางอนุญาตให้ซาฮาลติดตามเลสธีราห์ไป บุตรชายของนางอาจจะรู้สึกแย่มากกว่าเดิมก็เป็นได้

แต่ราชเลขาก็ปฏิเสธไม่ออกว่านางเป็นห่วงลูกชายแค่ไหน

ซาฮาลมาด้วยเจตนาอันใดจึงเสนอตัวเข้าช่วยแบบนี้ ฝ่ายนั้นจะร้องขอตำแหน่งอย่างนั้นหรือ ต่อให้สมมติฐานนี่เป็นไปได้มากที่สุด และลีอาห์มั่นใจว่าชายหนุ่มไม่ได้มีนิสัยเช่นนั้น ต่อให้ตำแหน่งผู้นำกองเรือกราเทียร์จะดูด้อยกว่าผู้นำกองเรือเซเลสต์ แต่เรือในสังกัดกราเทียร์มีมากกว่าเซเลสต์หลายเท่า เพียงแต่กองเรือเซเลสต์จะต้องใช้ผู้นำที่มีความชำนาญและมีความสามารถเท่านั้นจึงจะควบคุมมันได้ เพราะเรือทุกลำในกองเรือนี้เป็นเรือที่ติดตั้งปืนใหญ่ อีกทั้งมีน้ำหนักมาก อีกทั้งควบคุมยากจนได้รับการกล่าวขานว่า บังคับเรือกราเทียร์สิบลำไม่ยากเท่าคุมเรือเซเลสต์ลำเดียว

และเลสธีราห์ก็ทำได้...

"เจ้าต้องการอะไรจากการทำแบบนี้ ซาฮาล" ลีอาห์ถามตรงพลางจ้องประสานกับคู่สนทนา

"นั่นเป็นเรื่องที่ข้าจะตกลงกับเลสธีราห์เองขอรับ"

และผู้ชายอย่างซาฮาลก็ไม่เคยพูดมากเกินความจำเป็น เจ้าตัวค้อมหัวลงอย่างนอบน้อมและย่อเข่าหน้าข้างหนึ่งลงหลังจากพูดธุระของตนเสร็จ "ข้าต้องขอตัวก่อน ท่านหญิงลีอาห์ ราตรีสวัสดิ์ขอรับ"

--------------------------------------------------

เลสธีราห์เองก็เห็นคำเตือนของดวงดาวเช่นกัน... และนี่เป็นลางไม่ดีสำหรับเซนทอร์หนุ่มอย่างที่สุด

ชายหนุ่มเดินวนอยู่ในห้องพักของตนขณะครุ่นคิดวนไปมาอย่างหาคำตอบไม่ได้ แม้เลสธีราห์จะรู้สึกถึงอันตรายรอบตัวอยู่บ้างแต่เขาก็ไม่คิดว่าดาวแห่งการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนที่เอาเสียดื้อๆ แบบนี้ ซึ่งนั่นหมายถึงผู้ที่กำลังกระทำการบางอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงแอสทารอธกำลังจะถูกกลืนกิน

ซึ่งผู้นั้นอาจหมายถึงตัวเขาเอง

ต่อให้ยังนึกไม่ออกว่าเอเดรียนจะสามารถทำอะไรเขาได้บ้างก็ตาม ฝ่ายนั้นรู้จักตัวตนของเขาหรือไม่ และถ้ารู้ว่าเขาเป็นเซนทอร์ซึ่งอาจเป็นศัตรู เหตุใดจึงกล้าพาเดินเข้ามาในปราการชั้นในซึ่งเป็นเขตหวงห้ามสำหรับคนนอกแบบนี้

อาเดรียต้องการผูกมิตรกับเซนทอร์... ดังนั้นอีกฝ่ายจึงพยายามเริ่มต้นที่เขาหรือเปล่า

ชื่อของเลสธีราห์ไม่ค่อยได้รับการเปิดเผยกับคนนอกนัก ผู้โด่งดังเป็นที่รู้จักของแอสทารอธก็เห็นจะมีแต่เหนือหัวดาเรียส ราชเลขาลีอาห์ หรือท่านหญิงโมนาบ้าเลือดเท่านั้น และเหตุผลที่ไอย์ชวลรู้จักเลสธีราห์ นั่นก็เพราะเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผู้นำทัพคนหนึ่งของไอย์ชวล

คูแรนน์ก็ดูไม่น่าพูดถึงเลสธีราห์บ่อยๆอยู่แล้ว... เช่นนั้นเอเดรียนจะสืบรู้มาได้อย่างไรว่าเขาเป็นใคร

และอีกเหตุผลหนึ่งที่เรื่องนี้สร้างความกังวลใจอย่างที่สุดในเลสธีราห์นั่นก็เพราะเขาเพิ่งรู้ว่า 'ขุนนางไม่เอาไหน' อย่างเอเดรียนนั้นเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งอาเดรีย เดิมทีเลสธีราห์คิดจะผูกมิตรกับขุนนางชั้นบริหาร เพราะพวกเขาอาจให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากกว่า และเขาก็คิดว่าตลอดว่าเอเดรียนเป็นขุนนางฝ่ายบริหารที่ว่า

ไม่น่าเชื่อเอาเสียเลยว่าสุดท้ายแล้วผู้ชายคนนั้นจะเป็นถึงแม่ทัพ

...ก๊อก! ก๊อก!

"ข้าเอง..." เสียงของเอเดรียนดังขึ้นหน้าประตู และโดยไม่รอให้เจ้าของห้องเดินไปต้อนรับ อีกฝ่ายก็เปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมกับเสื้อผ้าพับหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเสื้อคลุมที่พวกขุนนางอาเดรียสวมใส่ "เจ้าควรสวมเสื้อ ก่อนที่จะสวมผ้าคลุมนี่ ไม่มีติดมาสักตัวเลยรึไง" เซนทอร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความฉงน จริงอยู่ว่าเลสธีราห์ดูประหลาดสำหรับเซนทอร์ด้วยกันเพราะเขาสวมใส่เสื้อผ้า แต่สำหรับมนุษย์แล้ว เลสธีราห์ก็ยังดูแปลกอยู่ดีเนื่องจากเจ้าตัวสวมชุดคล้ายกระโปรงของผู้หญิง อีกทั้งยังไม่ใส่เสื้อด้วย

แต่นั่นคือชุดที่สะดวกที่สุดในการเปลี่ยนร่างจากมนุษย์เป็นเซนทอร์...

"อากาศมันร้อน ข้าก็ไม่สวมแต่ไหนแต่ไรแล้ว" ร่างโปร่งเลี่ยงตอบและเริ่มมองการแต่งตัวของคนตรงหน้าด้วยสายตาของคนที่ใส่เสื้อไม่เป็น และอีกอย่างก็คือเขาจะไปหาเสื้อที่ว่ามาจากไหน "แอสทารอธห้ามคนเปลือยอกเข้ารึยังไง" เมื่อนึกคำย้อนได้ ชายหนุ่มก็ว่าไปเช่นนั้น ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะเอ็นดูจากคู่สนทนาได้

"ไม่หรอก อาจจะดูกลมกลืนกับพวกเขาด้วยซ้ำ"

แต่เมื่อเอเดรียนตอบกลับ คนฟังก็เหลือบตาขึ้นมองด้วยความระแวง แต่เขาจะต้องเก็บซ่อนสีหน้าเหล่านั้นเอาไว้ ต่อให้เอเดรียนรู้ว่าเขาเป็นใคร เขาก็ไม่ควรจะตื่นตูมตอนนี้ ไม่คววรจะตื่นตกใจทั้งที่ยังอยู่ในปราการชั้นในของอาเดรียแบบนี้ "สีหน้าเจ้าไม่ค่อยดี ลงไปกินอาหารเช้าซะสิ จาเร็ตต์กับโจฮาลล์อยู่ที่โต๊ะแล้ว พวกเขาใช้ข้ามาตามเจ้านี่"

มีใครออกคำสั่งกับแม่ทัพใหญ่ได้ด้วยหรือไง... และนอกจากจาเร็ตต์ที่มองเขาด้วยสายตาเหมือนพยายามอ่านความลับแล้วยังมีใครอื่นอีกอย่างนั้นหรือ!!

"ข้าอยากคุยกับเจ้าสักพักได้ไหม" แม้จะไม่อยากพูดถึง แต่เลสธีราห์ก็ไม่อาจปัดเรื่องกวนใจนี้ออกไปได้อยู่ดี "ข้า... ยังตกใจเรื่องที่เจ้าบอกว่าตัวเองเป็นแม่ทัพ" นัยน์ตาสีน้ำเงินช้อนมองคู่สนทนาเล็กน้อยเพื่อดูท่าทีของอีกฝ่าย เอเดรียนดูไม่ใช่คนใจคอโหดร้ายเหมือนแม่ทัพหญิงโมนาแห่งแอสทารอธ ดังนั้นเลสธีราห์จึงโล่งใจไปบ้างเมื่อเห็นอีกฝ่ายทอดยิ้มจางอย่างอ่อนโยน

"อาเดรียถูกสั่งห้ามจัดตั้งกองทัพมาตั้งแต่ตกเป็นอาณานิคม... เจ้ารู้เรื่องนี้ใช่ไหม"

เซนทอร์หนุ่มพยักหน้าเบาและพยายามปะติดปะต่อเรื่องด้วยตนเอง

"ดังนั้นการที่ข้าเป็น 'แม่ทัพ' จึงเป็นเรื่องต้องห้ามที่สมควรปกปิดเอาไว้ เพราะอาเดรียไม่มีกองทัพ ไม่มีกองกำลังที่จะสามารถแข็งข้อได้ จึงไม่สามารถมีแม่ทัพได้" ร่างสูงอธิบายต่อไปอย่างใจเย็น น้ำเสียงและท่าทางของเขาดูสุขุมและเยือกเย็นยิ่งกว่าแม่ทัพคนใดที่เลสธีราห์เคยเจอ... อันที่เขาจริงเขาแค่นำอีกฝ่ายไปเปรียบกับแม่ทัพหญิงโมนาอยู่เท่านั้น

"แต่ถ้าข้าอยากให้เจ้ามาร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในฐานะคนสนิทด้วยแล้ว นี่เป็นเรื่องแรกที่เป็นความลับต่อกันไม่ได้ เข้าใจหรือยัง"

"ไม่กลัวข้าเป็นสายสืบหรืออย่างไร" ร่างโปร่งถามกลับ "จู่ๆ ก็ไว้ใจใครก็ไม่รู้ให้มาเป็นคนสนิท"

เอเดรียนเงียบไปครู่หนึ่งราวกับกำลังใคร่ครวญคำตอบที่ดีที่สุด "ข้าเคยถูกคนรักหักหลังอยู่เหมือนกัน... เพราะข้าเชื่อว่านางไม่มีความลับต่อข้า แต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็คือสายสืบจากธีสธรัลเพื่อมาสืบข่าวคราวเกี่ยวกับแม่ทัพอย่างข้า" อีกฝ่ายอธิบายอย่างใจเย็น แม้ว่าความทรงจำเหล่านั้นจะเจ็บปวดมากสำหรับเขาก็ตาม

แต่เอเดรียนคิดว่าเขาควรจะจริงใจต่อเลสธีราห์... หากคาดหวังให้เลสธีราห์จริงใจต่อเขาบ้าง

"เจ้าก็อาจไม่ต่างจากนางหรอก" อีกครั้งที่ประโยคธรรมดาของเอเดรียนทำให้คนฟังกลั้นใจโดยไม่รู้ตัว "แต่ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาให้สนใจเรื่องแบบนั้น" ชายหนุ่มว่า "เจ้ามีความรู้เรื่องเซนทอร์ ข้าอยากให้เจ้าบอกข้าเกี่ยวกับมัน ส่วนเรื่องที่เจ้าเป็นใคร ไว้ข้าจะใส่ใจทีหลัง"

"เอเดรียน..."

"ลงไปกินอาหารเช้าได้แล้ว" แม่ทัพหนุ่มส่งเสื้อคลุมให้คู่สนทนา "วันนี้เจ้าจะได้ทำความคุ้นเคยกับม้า และคฤหาสน์ราห์โมนาเสียก่อน" เลสธีราห์หยิบธนูคู่ใจขึ้นมาพร้อมกับกระบอกใส่ลูกดอกขึ้นมาคาดไว้ที่บั้นเอวตามความเคยชิน และฉวยเสื้อคลุมที่เอเดรียนยื่นให้มาถือไว้ "เดี๋ยว เลส... วันนี้ข้าไม่ได้ให้เจ้าไปฆ่าใครนะ"

"เอ๋..." ร่างโปร่งกระพริบตาปริบ และนึกได้ว่าเขามักจะพกอาวุธด้วยความเคยชิน

...แต่ชื่อเล่น 'เลส' นี้เขาอนุญาตให้เรียกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!!

เซนทอร์หนุ่มปลดสายสะพายที่เอวออกวางไว้ที่เดิมและคลุมผ้าบนไหล่ตามที่เอเดรียนทำ "แต่ข้าขอเอาคันธนูไปด้วยได้ไหม" คำถามของเลสธีราห์ทำให้เอเดรียนนึกถึงเด็กชายตัวเล็กๆที่หวงของเล่นของตัวเองจนอยากพกไปด้วยทุกที่ และหันมาขออนุญาตพ่อตัวเองเพื่อนำไปด้วยก็ไม่ปาน

"ได้สิ ถ้าเจ้าหวงมันมากขนาดนั้น"

ในการพบกันครั้งแรก เอเดรียนคิดว่าเลสธีราห์เป็นคนที่ค่อนข้างจะเคร่งขรึม และยิ่งยโส แต่เมื่อได้ลองพูดคุยด้วยหลายครั้งเข้า ร่างสูงก็คิดว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นเด็กหนีออกจากบ้านอยู่ดี แต่เด็กที่หนีออกจากบ้านทุกคนก็ล้วนแล้วมีปมอยู่ในจิตใจทั้งนั้น ดังนั้นเอเดรียนจึงเริ่มอยากรู้ว่าปมของอีกฝ่ายคืออะไร เพราะทั้งรูปร่างหน้าตาและลักษณะคำพูดจาแล้ว เลสธีราห์ไม่ใช่ลูกชาวบ้านธรรมดาสามัญชนอย่างแน่นอน ทั้งยังมีฝีมือฉกาจฉกรรจ์หาตัวจับยากอีกด้วย

หากเป็นชาวอาเดรียโดยพื้นเพ เหตุใดเขาจึงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของฝ่ายนั้น

และทั่วไปแล้วชาวอาเดรียจะไม่ตั้งชื่อคนว่า 'เลสธีราห์' อีกด้วย

คำนี้เป็นคำที่ดูเหมือนจะยืมมาจากภาษาเอลฟ์ ซึ่งโดยนิสัยของคนแผ่นดินใหญ่แล้ว พวกเขาจะไม่ยืมคำเอลฟ์มาง่ายๆ หากไม่มีความเกี่ยวดองด้วย อีกทั้งชาวเอลฟ์โดยแม้ก็มักมีร่างกายสูงใหญ่กว่าปกติไม่เว้นแม้แต่สตรี ดังนั้นเลสธีราห์คงจะไม่ใช่เอลฟ์แท้ๆอย่างแน่นอน

อย่างนั้นอีกฝ่ายเป็นครึ่งเอลฟ์หรือ...

เอเดรียนเดินนำทางมาเรื่อยและขบคิดวนไปมาด้วยความอึดอัดที่ไม่อาจออกปากถามได้ เขารู้ว่าต่อให้ถามไปตรงๆ เลสธีราห์ก็จะไม่ตอบคำถามของเขา ฝ่ายนั้นยังระวังระแวงเขาอยู่มาก แม้จะตอบรับคำชวนให้มาเป็นคนสนิทของเขาแล้วก็ตาม เอเดรียนอยากได้คนเก่งมาเป็นลูกมือของตน แต่หากลูกมือดื้อแพ่งและไว้ใจไม่ได้เช่นนี้ เขาควรจะจัดการอย่างไรต่อไปเล่า

"เฮ้ย! เอเดรียน เจ้าเดินเลยห้องอาหารแล้ว"

เสียงดังอารมณ์ดีของชายร่างใหญ่ตะโกนเรียกพร้อมกับยื่นใบหน้าที่ล้อมกรอบด้วยผมสีแดงหยิกฟูออกมาจากห้องที่คนอื่นนั่งอยู่ "เฮ้! แล้วเจ้าผอมบางนั่นน่ะ... คือเลสธีราห์ที่เจ้าพูดถึงใช่ไหม!" เซนทอร์หนุ่มหมุนตัวกลับด้วยความหงุดหงิดและตั้งใจจะมองหน้าคนที่บังอาจเรียกเขาว่า 'ผอมบาง' แต่เมื่อเห็นร่างกายสูงใหญ่ราวกับชาวเอลฟ์ เลสธีราห์ก็ยอมเป็น 'เจ้าผอมบาง' ที่ว่านั่นต่อไป

"นั่นโจฮาลล์... มือขวาของข้า" เอเดรียนบอกด้วยรอยยิ้ม "เจ้าอาจจะรำคาญเสียงของเขาหน่อย ปากเสียไปบ้าง แต่ก็นับเป็นสีสันอย่างหนึ่ง"

"มาๆ นั่งนี่เสีย เจ้าเด็กผอม"

มือใหญ่ตบเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งและเจ้าตัวก็ลงไปนั่งข้างๆ เสียเอง เอเดรียนเดินกลับไปนั่งที่ประจำของเขาที่หัวโต๊ะ อาหารตรงหน้าพวกเขาคือซุปข้นชามโตกับขนมปังหนึ่งก้อนใหญ่ "ข้าโจฮาลล์ มือขวาของเอเดรียน เป็นนักเดินป่า ขาดข้าไปแล้วระวังจะหลงทาง กลับออกมาไม่ได้ล่ะ ฉะนั้นจงจำข้าเอาไว้ให้ดีเลยพ่อหนุ่ม" คนฟังแอบห่อไหล่เล็กน้อยด้วยไม่รู้จะวางตัวอย่างไรให้เหมาะสม

"เขากลัวเจ้าแล้ว โจฮาลล์ อย่าเสียงดังให้มันมาก" จาเร็ตต์ที่นั่งตรงข้ามอยู่ปรามเสียงเรียบ

"ข้าไม่ได้กลัวสักหน่อย" ร่างโปร่งก็ไม่เคยยั้งปากเพื่อแก้หน้าให้ตัวเอง เขาน่ะหรือจะกลัวคนที่แค่พูดเสียงดังด้วยความสนุกปาก ดูท่าทางอีกฝ่ายแล้วไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรเลยสักนิด ...ถ้าเทียบกับคูแรนน์ ลูกพี่ลูกน้องตัวแสบของเขาแล้ว หมอนี่ยังนับว่าน้อยไปมากนัก

คนที่ถูกย้อนหัวเราะเบาๆ แล้วแนะนำตัวเองอีกครั้ง "โจฮาลล์เป็นพี่ชายข้า"

สองพี่น้องมีผมยาวสีแดงเพลิงทั้งคู่ โดยของโจฮาลล์จะค่อนข้างหยิกฟูและดูไม่เป็นระเบียบ ในขณะที่ผมของจาเร็ตต์หยักศกและถูกมัดรวบเอาไว้เรียบร้อย สมกับบุคลิกของเขาที่ดูเงียบขรึม มีมารยาท และดูเจ้าระเบียบอย่างที่สุด "เอเดรียนเล่าให้ข้าฟังเรื่องเจ้าบ้างแล้ว เจ้าดูมีความสามารถมากทีเดียว เลสธีราห์" หากเป็นยามปกติ ร่างโปร่งก็คงจะตอกกลับไปว่าอีกฝ่ายไม่ควรเรียกชื่อเขาถ้าไม่ได้รับอนุญาต เซนทอร์ไม่นิยมเรียกชื่อกันพร่ำเพรื่อ เพราะชื่อของพวกเขาทุกคนได้รับมาจากดวงดาวอันสูงส่ง

แต่ตอนนี้เลสธีราห์คิดว่าตนจะต้องผูกมิตรกับผู้อื่นและทำตัวเป็นปกติไว้จึงได้เงียบปาก

"เจ้าเป็นใครมาจากไหนกัน รูปร่างหน้าตาดูเป็นผู้ลากมากดีโดยแท้ อีกทั้งชื่อเสียงเรียงนามก็ช่างประดิษฐ์ประดอยเหลือเกิน แม่ตั้งให้หรือยังไง หรือว่าพ่อล่ะ ผมสีบลอนด์ขาวนี่ได้มาจากใคร หาได้น้อยนักในอาเดรียที่จะมีผมสีนี้!" คำถามทุกคำถามที่เอเดรียนไม่กล้าถาม โจฮาลล์เป็นคนพูดออกมาทั้งหมดในอึดใจเดียว และนั่นทำให้เลสธีราห์ต้องอ้าปากค้างน้อยๆด้วยความตกตะลึง

"ท่านพี่ ปล่อยให้เขาได้หายใจหายคอหน่อยเถอะ น้ำสักแก้วก็ยังไม่ได้ดื่มเลย"

จาเร็ตต์ห้ามปราม และเลื่อนแก้วน้ำไปให้เลสธีราห์ ร่างโปร่งรับมาถือไว้และเริ่มมองอาหารตรงหน้าด้วยความตื่นตูมลึกๆ ในใจ... เซนทอร์กินแต่ผักกับหญ้ามาตลอด จู่ๆ จะให้ตักของเหลวเหนียวๆ ข้นๆ นี่ใส่ปากเลยได้อย่างไรกัน "โอ้ จริงสินะ... เอ้อ ถ้าอย่างนั้นข้าขอดูธนูของเจ้าได้หรือเปล่า มันเป็นงานแกะสลักละเอียดที่หาดูได้ยากเชียว"

"ไม่..." คำแรกที่หลุดออกมาทำให้ทั้งโต๊ะเงียบไปกับเสียงเด็ดขาดของผู้มาใหม่

"เอ่อ... มันเป็นของต่างหน้าพ่อข้า" เซนทอร์หนุ่มรีบแก้ไขเมื่อรู้สึกตัว่าพูดแรงไป แต่เหตุผลหนึ่งที่เขาไม่ยอมให้ใครแตะต้องธนูของตนก็เนื่องมันยังเป็นธนูเอลฟ์ที่บิดามอบให้ ซึ่งสำหรับชาวเอลฟ์แล้ว การจับต้องอาวุธคู่กายของผู้อื่นนับเป็นเรื่องเสียมารยาทและไม่ควรทำอย่างยิ่งยวด อีกทั้งธนูคันนี้ยังมีชื่อของเขาสลักอยู่ด้วย

ชื่อเต็มของเขา... เลสธีราห์ บลังค์

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 5.2
«ตอบ #13 เมื่อ27-10-2016 09:13:31 »

ตอนที่ 5.2

เซนทอร์หนุ่มยอมสวมผ้าคลุมไหล่ของอาเดรียในที่สุดหลังจากทำใจอยู่สักระยะหนึ่ง และพยายามจะตีตัวออกห่างโจฮาลล์ผู้ซึ่งมีอัธยาศัยดีเกินควร แม้ว่าก่อนหน้านี้ทุกคนจะชะงักนิ่งไปสักพักหลังจากถูกผู้ร่วมทางคนใหม่ตวาดใส่ แต่เอเดรียนก็เป็นคนคลายความตึงเครียดนั่นด้วยการชวนพูดคุยเรื่องอื่นซึ่งผ่อนคลายกว่า และดูจะไม่เกี่ยวกับงานที่เอเดรียนขอให้เซนทอร์หนุ่มเข้ามาช่วยเหลือเลย

"เจ้าเป็นพรานป่า แต่ไม่ชอบเนื้อกวางหรอกเหรอ"

เลสธีราห์กระพริบตาถี่อย่างไม่รู้จะวางตัวอย่างไรเมื่อถูกซักไซ้เรื่องอาหารการกิน แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่น่าจะสร้างความสนิทสนมให้มากขึ้นได้ แต่สำหรับเซนทอร์ที่ทั้งชีวิตไม่เคยกินเนื้อสัตว์แต่ต้องเสแสร้งว่าตัวเองคุ้นเคยเป็นอย่างดี งานนี้จึงค่อนข้างยากไม่ใช่น้อย อีกทั้งยังมีเลขาคนสนิทของเอเดรียนที่นั่งมองเขาตาไม่กระพริบอีกด้วย หากความลับเรื่องที่เขาเป็นเซนทอร์จะถูกเปิดโปง ก็เกรงว่าจะเป็นจาเร็ตต์ผู้นี้เองที่น่าจะรู้เป็นคนแรก

"ข้าชอบเนื้อกระทิง..."

"เนื้อกระทิงออกจะเหนียว ยิ่งกว่าเนื้อกวางด้วยซ้ำ อีกทั้งล่าได้ยาก ต้องใช้คณะพรานยี่สิบคนขึ้นไปในการไล่ล่า อีกทั้งยังมีราคาแพง ข้าควรจะพูดว่าเจ้ารสนิยมสูงหรือกระไรดีล่ะนี่" เอเดรียนวิจารณ์ออกมาตรงๆ แม้ว่าจะแปลกใจอยู่มากที่เลสธีราห์เคยกินเนื้อกระทิงกับเขาด้วย

"เจ้าเคยล่ากระทิงด้วยหรือ ไปกับใคร พวกไหนมาเล่า..."

คนที่พยายามจะไขข้อข้องใจของทุกคนดูจะเป็นจาเร็ตต์ที่หันมาถามเสียงเรียบ ทำให้สายตาของทุกคนมองมาที่เลสธีราห์อย่างคาดคั้นหาคำตอบ "ข้าเป็นพรานป่า จะเคยรวมกลุ่มกับพรานป่าคนอื่นบ้างเพื่อล่าสัตว์ยากๆ อย่างกระทิงมันแปลกด้วยรึไง" เลสธีราห์มุ่นคิ้ว ก่อนจะหยิบผักแต่งจานตรงหน้ามาใส่ปากด้วยความเคยชิน "พวกเจ้าคิดว่าพวกพรานไม่มีสมาคมเลยหรือไง"

โจฮาลล์เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมาแล้วยื่นจานสลัดให้เลสธีราห์อย่างเป็นทางการ

"เจ้าชอบกินผักขนาดนั้น ข้ายกนี่ให้เจ้าเลยก็แล้วกัน"

จาเร็ตต์เหลือบสายตาเอ็ดพี่ชายเล็กน้อยแล้วจึงพูดจุดประสงค์ในการซักไซ้ของตนต่อ "ข้าไม่ได้ประกาศตนเป็นศัตรูหรือปฏิปักษ์ต่อเจ้าตั้งแต่แรกเริ่ม แต่เจ้าคงต้องเข้าใจว่าขุนนางของอาเดรียไม่ได้ชอบหน้ากันเสียทุกคน อีกทั้งเอเดรียนก็เป็นถึงขุนนางระดับสูงฝ่ายทหาร ดังนั้นข้าจึงมีหน้าที่ตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าไม่ใช่สายสืบของขุนนางคนไหนทั้งนั้น"

"จาเร็ตต์..."

เสียงเข้มดุดันของเอเดรียนทำให้บรรยากาศทั้งโต๊ะสะดุด และเลสธีราห์ก็แปลกใจที่เห็นแม่ทัพหนุ่มเอ็ดคนสนิทของตนด้วยสายตาที่ดุดันเสียจนรู้สึกเย็นสันหลัง "นั่นไม่ใช่เรื่องที่ข้าสนใจ และไม่ใช่ธุระของเจ้าที่จะมาเอาความกับเลสธีราห์ต่อหน้าข้าแบบนี้"

เอเดรียนหันไปมองเซนทอร์ร่างโปร่งก่อนจะยิ้มให้ "ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้สนใจส่วนนั้น"

"เอเดรียน ข้าเป็นเลขาของเจ้า มันเป็นหน้าที่ของข้าที่จะต้องรู้..."

แม่ทัพใหญ่ถอนใจก่อนจะยันตัวขึ้นลุกจากโต๊ะเป็นการตัดบทสนทนา "ต่อให้เลสธีราห์เป็นสายสืบมาจากธีสธรัลข้าก็ไม่เกี่ยง... ตอนนี้ข้าต้องการให้เขาเล่าเรื่องของเซนทอร์ให้ข้าฟังเท่านั้น หากไม่พึ่งเขาแล้ว เรายังจะไปพึ่งใครอีกในแผ่นดินนี้ อีกไม่นานเราก็ต้องเดินทางไปที่นั่นอยู่แล้ว"

"แต่ถ้าข้อมูลของเขาเป็นเท็จล่ะ... เอเดรียน!" จาเร็ตต์มุ่นคิ้วตอบ "เจ้าจะทำให้การเจรจาล้มเหลวนะ"

"เรากำลังจะล้มเหลวอยู่แล้ว ไม่เห็นหรือไร"

แม่ทัพใหญ่ปลีกตัวออกไปจากโต๊ะอาหารเพื่อเลี่ยงการมีปากเสียง แต่ก่อนที่เขาจะออกไปก็หันมาพูดกับเลสธีราห์อีกประโยคหนึ่ง "ถ้าเจ้าอิ่มแล้วก็ตามออกมาที่ลานด้านหลังคฤหาสน์ล่ะ ให้โจฮาลล์นำทางด้วย" ผู้นำสูงก้าวออกไปจากห้องพร้อมกับเลขาคนสนิทที่ยังคงตามถามเหตุผลที่ดูจะฟังไม่ขึ้นของแม่ทัพผู้นำ ทิ้งให้เซนทอร์ผู้มาใหม่นั่งหน้าเสียอยู่กับมือขวาของแม่ทัพแห่งอาเดรีย

"นี่เป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกน่ะนะ"

โจฮาลล์ตบมือบนพนักเก้าอี้ของเลสธีราห์แทนที่จะเป็นบ่าของอีกฝ่ายเนื่องจากกลัวจะถูกตวาดใส่อีกรอบหนึ่ง ร่างโปร่งพยักหน้ารับรู้เบาๆก่อนจะตักสลัดใส่ปากคำหนึ่ง และมุ่นคิ้วเพราะคิดว่ารสชาติมันช่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย "เอเดรียนมีศัตรูรอบตัว... ทั้งที่เป็นศัตรูภายนอก และภายใน"

เลสธีราห์หันไปมองคนพูดเล็กน้อยด้วยความอยากรู้ "ศัตรูภายในรึ"

"อา... ข้าก็ไม่แน่ใจว่าสมควรจะเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังไหมน่ะนะ" ชายผมแดงหัวเราะลงคอ "เจ้าสัญญาหรือสาบานได้หรือเปล่าเล่า... ว่าเจ้าไม่ใช่สายสืบของขุนนางคนไหนทั้งนั้น" โจฮาลล์มีวิธีการพูดที่เป็นมิตรกว่าจาเร็ตต์ผู้เป็นน้องชาย ซึ่งนั่นสร้างความประหลาดใจให้เลสธีราห์มากนัก เพราะคนที่น่าจะเป็นเลขา หรือเหมาะกับตำแหน่งเจรจาน่าจะเป็นคนอย่างโจฮาลล์มากกว่า เหตุใดจึงเป็นจาเร็ตต์ไปได้

...แต่จะว่าไปแล้ว ท่านหญิงลีอาห์ก็ใช่ว่าจะพูดจาไพเราะอ่อนโยนเสียเมื่อไหร่

"ข้าไม่มีอะไรจะเป็นหลักประกันได้หรอก"

เลสธีราห์เลี่ยงคำสัญญา... ตามนิสัยของพวกอมนุษย์ เพราะหากเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำได้ อมนุษย์จะไม่ลั่นวาจาพร่ำเพรื่อ ต่างจากมนุษย์ที่สัญญาไปเสียหมดทุกเรื่อง แล้วก็ผิดคำสัญญากันง่ายดายเหลือเกินเสมือนมันไม่ใช่คำมั่นที่วิเศษวิโสอะไร "ต่อให้ข้าพูดว่าข้าเป็นพรานป่าจริงๆ จาเร็ตต์ก็ไม่เชื่อข้าอยู่ดี"

"ถ้าเจ้ายังมีช่องว่างแบบนี้ ข้าก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรล่ะนะ" โจฮาลล์ยักไหล่ "ดูจากลักษณะเจ้าแล้วก็ใช่ว่าจะน่าไว้ใจ ลักษณะรูปร่าง หน้าตา ชื่อ การแต่งตัวดูพิลึกพิลั่นยิ่งกว่าพวกไหน น่าแปลกที่จู่ๆ เอเดรียนก็ชวนเจ้าเข้ามาร่วม ทั้งที่เขาเป็นคนเชื่อใจใครยากจะตายไป"

"..." เลสธีราห์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาบ้าง "ข้าก็ไม่คิดว่าเขาจะชวนข้าเข้ามาง่ายๆ แบบนี้"

"แล้วทำไมเจ้าถึงยอมมาเล่า"

เซนทอร์หนุ่มหันไปหยิบผักแต่งจานอีกใบมาถือเอาไว้ก่อนตอบ "ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน"

โจฮาลล์ไม่ใช่คนเซ้าซี้ เขาจึงนั่งรอจนเลสธีราห์กินอิ่มท้อง ซึ่งนั่นหมายถึงผักแต่งจานอาหารทุกจานหมดไปนั่นเอง แล้วจึงเดินนำอีกฝ่ายออกมาที่ด้านหลังคฤหาสน์ซึ่งเป็นลานทรายกว้างๆ และเอเดรียนก็ยืนอยู่ที่ลานทรายนั้นกับม้าตัวใหญ่ที่มีสีขาวค่อนไปทางเทา

"ลูเซียเหรอ" โจฮาลล์พึมพำ และปล่อยให้เลสธีราห์เดินเข้าไปหาแม่ทัพใหญ่เอง

"เจ้าเรียกข้าออกมาพบม้าอย่างนั้นรึ"

เอเดรียนลูบหัวม้าตัวนั้นเบาๆ โดยไม่กล่าวอะไรตอบ อีกทั้งม้าใหญ่ดูจะมีท่าทางตกใจกับการมาถึงของเลสธีราห์อีกด้วย เอเดรียนจึงต้องลูบปลอบอีกสักพักก่อนจะค่อยๆ หันมาหาคู่สนทนาที่ยังยืนรอคำตอบอย่างอดทน "ยื่นมือเจ้ามาหน่อยสิ" เซนทอร์หนุ่มเหลือบมองม้าขี้ตื่นอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ก็ยื่นมือให้เอเดรียนตามที่อีกฝ่ายบอก เพื่อจะวางลงบนสันจมูกหนาของอาชาสีขาว

ลูเซียพ่นลมหายใจพร้อมกับคำรามในลำคอเมื่อถูกคนแปลกหน้าแตะต้อง แต่มันก็รู้ในอึดใจนั้นเองว่าอีกฝ่ายเป็นเซนทอร์ที่เรียกได้ว่าเป็นเผ่าอาชาชั้นสูงที่มันควรให้ความเคารพ "ใจเย็น ลูเซีย ใจเย็น..." เอเดรียนปลอบเสียงนุ่ม และพยายามกระซิบข้างหูของมันพร้อมกับลูบแผงคอยาวสีขาวควันไปด้วย "ข้าจะปล่อยมือแล้วนะ" แม่ทัพหนุ่มถอยตัวออกห่างม้า ทว่ายังไม่ละมือจากมือของเซนทอร์หนุ่ม

เลสธีราห์เหลือบตาขึ้นมองสบกับม้าใหญ่ก่อนสูดลมหายใจเข้าด้วยความตื่นเต้นที่อธิบายไม่ถูก

"เจ้าเป็นตัวผู้หญิงเหรอ..." นัยน์ตาสีฟ้าเบิกขึ้นเล็กน้อยหลังจากมองสำรวจลูเซียได้สักพัก เลสธีราห์หันไปมองร่างสูงที่ยังอยู่ข้างๆ ตนพร้อมกับอ้าปากค้าง "ม... เจ้าใช้ม้าผู้หญิงทำงานด้วยเหรอ" แม้วิธีการเรียกของอีกฝ่ายจะดูแปลกไปสักพักหน่อย แต่เอเดรียนก็ขบขันกับสายตาของเลสธีราห์มากกว่าจะมาสนใจ

"เจ้ารู้ได้ยังไงว่าลูเซียเป็นตัวเมีย"

"ก็..." เซนทอร์หนุ่มชะงัก แล้วจึงหันกลับไปมองม้าตรงหน้าเพื่อหาข้อแก้ต่าง "ลูเซียเป็นชื่อผู้หญิง"

"อืม ใช่ ลูเซียเป็นตัวเมีย" เอเดรียนยิ้ม ก่อนจะลูบแผงคอม้าสาวด้วยความชื่นชม "เป็นม้าพันธุ์ดีที่สุดของอาเดรีย" เขาหันมายิ้มให้เลสธีราห์ และปล่อยมืออีกฝ่ายให้วางอยู่บนสันจมูกของม้าศึกแบบนั้น ก่อนถอยออกมาช้าๆ เพื่อดูปฏิกิริยาของทั้งคู่ "แต่ไม่เคยมีใครขึ้นขี่หลังลูเซียได้หรอกนะ"

"ล... แล้วเจ้าก็เอาม้าพยศมาให้ข้าน่ะเหรอ!"

เลสธีราห์เผลอเกร็งด้วยความที่วางตัวไม่ถูก จริงอยู่ว่าเขาไม่ควรจะกลัวม้า แต่สิ่งที่เซนทอร์หนุ่มกังวลนั่นก็คือ ลูเซียที่ว่าเป็นม้าพยศนี้อาจจะยอมเชื่องให้ขึ้นหลังได้โดยง่ายจนน่าสงสัย และนั่นจะทำให้เอเดรียนคลางแคลงใจในตัวเขาหรือเปล่า... แม้ว่าเซนทอร์ในหัวของมนุษย์จะไม่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ แต่พวกเขาก็คงไม่ปักใจเชื่อเช่นนั้นทั้งหมดเสียทีเดียวเป็นแน่

...พยศหน่อยสิ เอาหัวโขกข้าก็ได้!

เลสธีราห์พยายามสื่อสาร แต่ลูเซียก็ยังยืนนิ่งให้ร่างโปร่งจับอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อนอย่างที่ควรจะทำ "อ... เอเดรียน... แล้วยังไงต่อล่ะ" แม่ทัพหนุ่มอ้าปากค้างน้อยๆราวกับประหลาดใจที่ม้าพยศที่โด่งดังของอาเดรียกลับไม่ทำอันตรายต่อผู้มาใหม่เลยสักนิด หรืออาจเป็นเพราะเลสธีราห์ยังไม่ได้ขึ้นขี่หลังหรือเปล่าหนอ

โจฮาลล์ผิวปากเล็กน้อยขณะเดินตามมาสมทบกับเอเดรียน "เจ้าพรานนี่ชักจะไม่ธรรมดานะ"

"กับเรื่องล่าสัตว์ล่ะภูมิใจนักหนา แต่แค่ให้จับหัวม้ายังมือสั่น" เอเดรียนขำ "ไม่ว่ามองอย่างไรก็ช่างเหมือนเด็กเหลือเกิน" แม่ทัพใหญ่เดินกลับเข้าไปหาเลสธีราห์แล้วจึงดึงมือแข็งทื่อของอีกฝ่ายออก และปล่อยให้ลูเซียเดินออกไป "น่าแปลกใจเจ้าไม่ถูกมันคำรามใส่ มีไม่กี่คนในอาณาจักรนี้หรอกที่สามารถจับเจ้าหล่อนนั่นได้" ร่างสูงเพยิดหน้าไปทางม้าศึก "ลูเซียเป็น... ลูกแม่เดียวกับอัลธอร์ แต่เจ้าหล่อนมีพ่อพันธุ์ที่ดีกว่า ทว่าอัลธอร์เป็นลูกม้าพันธุ์ทาง"

เมื่อพูดถึงม้าคู่ใจ น่าแปลกที่เจ้าสัตว์สี่ขาจะรู้ประสา ม้าสีน้ำตาลจึงได้เดินปรี่เข้ามาหาเจ้านายและใช้หัวดุนดันไหล่กว้างอย่างออดอ้อนในทันที โดยใช้ร่างกายใหญ่โตของมันเบียดโจฮาลล์เซถลาออกไปให้พ้นทางเสียก่อนอีกด้วย "เจ้านี่ขี้ประจบกว่าพี่สาวเป็นกอง" เอเดรียนยิ้มแล้วลูบหัวม้าของตน

"เรื่องพันธุ์ม้าเป็นเรื่องที่กำหนดขึ้นมาเองชัดๆ" เลสธีราห์บ่นอุบ "มันก็เหมือนกัน..."

การแบ่งพันธุ์ม้านั้นเปรียบเสมือนการแบ่งชนชั้นให้พวกมัน แต่หากจะว่ามนุษย์พยายามขีดเส้นแบ่งชนชั้นเพียงฝ่ายเดียวก็คงไม่ถูกนัก เพราะในหมู่เซนทอร์เอง เลสธีราห์ยังรู้สึกได้ว่าซาฮาลซึ่งมาจากตระกูลที่แข็งแกร่งกว่า... จะได้รับคำสรรเสริญเยินยอมากกว่าเขาที่เป็นทั้งลูกครึ่งและมารดาไม่ได้มาจากตระกูลเก่าแก่

"สายพันธุ์ของม้ามีไว้เพื่อหาม้าศึกที่แข็งแกร่งไปร่วมรบในสงคราม" เอเดรียนยิ้มตอบ "ลูเซียมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าอัลธอร์ ถ้าเจ้าไม่ทันสังเกต ทั้งกล้ามเนื้อ รูปร่าง ความคล่องแคล่ว และขนาดตัว ไม่ได้เกิดจากการฝึกฝนอย่างเดียว ชาติพันธุ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่ง" การพูดอย่างนั้นอาจทำร้ายจิตใจอัลธอร์ได้ แต่เอเดรียนก็เลือกจะลูบแผงคอม้าคู่ใจเป็นการปลอบไปด้วย

"แต่ข้าเลือกม้าที่เข้ากับข้าได้ดีกว่า... หากจะต้องสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันจริงๆ"

นัยน์ตาสีน้ำตาลของอีกฝ่ายเหลือบมองเลสธีราห์บ้าง "เช่นกัน... เลสธีราห์ ถ้าเจ้าเข้ากับข้าได้ดีกว่า ข้าก็ไม่ต้องการพรานชั้นสูงที่มีชื่อเสียงหรือฝีมือจากไหน หากต้องสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันจริงๆ"

"ข้าไม่ใช่ม้าศึกเสียหน่อย เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเลือกข้าเล่า"

"เช่นนั้นเจ้าจะเป็นฝ่ายเลือกข้าไหม..."

เซนทอร์หนุ่มหลบสายตาอีกฝ่ายเล็กน้อยแล้วจึงยกแขนขึ้นกอดอก พร้อมกับรู้สึกถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าวขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ "มันยังเร็วเกินไปที่จะตัดสิน" เอเดรียนดูไม่ได้คาดหวังอะไรกับคำตอบมากนัก เขาจึงยิ้มตอบอย่างอ่อนโยนไม่ถือสา

"...แต่การเข้ากันได้มันก็คงจะดีกว่า"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


---------- WRITER's TALK ----------

เหมือนจะโผล่มาลงอย่างเดียวไม่พูดไม่จามา 4 ตอน ^^' สวัสดีค่า... เอ่อ... เรียกข้าวก็ได้ค่ะ
ปกติชอบเขียนแนวแฟนตาซีที่เหมือนจะไม่ใช่นิยายวาย (ถ้าเอาที่น่าจะมีคนรู้จักก็จักรวาล OCEAN GRACE สัญญาสาปสมุทร เรื่องแวมไพร์ x เงือก... ไม่รู้ตอนนั้นครึ้มอะไรจับคู่แบบนี้) (ยิ่งมาจักรวาล GREAT ARCHER อันนี้นี่ยิ่งดูแบบ... อ้าว... วายเหรอ เหมือนจะเน้นอย่างอื่นหมด ความรักเป็นรองมากกก) ...และในเรื่องของแอสทารอธนี้ก็ดูจะเป็นสารคดีม้านิดนึง-----

...แต่ไม่มีปีนหลังนะคะ ไม่เอา OTL (โดนล้อมาเยอะ พอบอกว่าจะเขียนเซนทอร์เนี่ย 555)

----- รูปตัวละครแหละ -----
วาดโดยคุณ Booririn เมื่อนานมากแล้ว


เอเดรียน > เลสธีราห์ > เอเรส > จาเร็ตต์ > รีดาห์ > ซาฮาล

เอเรสยังไม่มีบทเน้อะ... แต่นอกนั้นมีหมดแล้วแหละ
อ่า... มีคำแนะนำ-ติ-ชมอะไรก็บอกกันได้นะคะ ฉบับนี้เป็นฉบับรีไรท์ละด้วย... อยากได้คำแนะนำนิดนึง 555

ขอบคุณที่ติดตามค่า ^0^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-10-2016 17:23:00 โดย khaosap »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เจอคำผิดอยู่ประปรายค่ะ
ดูท่าเลสธีราห์จะอึดอัดกับการวางตัวมากกว่าเอเดรียนนะ ฝ่ายนั้นยังมีลูกน้องคู่ใจ เลสธีราห์มาคนเดียวแถมยังต้องคอยปิดบังตัวตน
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 6.1
«ตอบ #15 เมื่อ28-10-2016 07:22:12 »

ตอนที่ 6.1

"เจ้าช่างเป็นขุนนางที่แปลก... บอกให้ออกมาในที่ที่ห่างไกลเมืองขนาดนี้ก็ยังมา"

เลสธีราห์เงยหน้าขึ้นจากธารน้ำใส เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่เดินตรงเข้ามาหา และเมื่อพิจารณาให้ดีก็พบว่าเป็นขุนนางเอเดรียนผู้นั้น "ไม่กลัว่าข้าจะเป็นโจรป่าดักปล้นทรัพย์สินของเจ้าบ้างหรือไง" ร่างโปร่งยืนตัวขึ้นจากธารน้ำ หลังจากเติมน้ำใส่กระเป๋าหนังของตนจนเต็มแล้ว

"เจ้าบอกเองว่าไม่ชอบที่พลุกพล่าน" อีกฝ่ายไหวไหล่ และแน่นอนว่าข้างกายของเขาก็คือม้าศึกตัวเดิม "อีกอย่าง... ข้ามีม้า ส่วนเจ้าเดินด้วยเท้าเปล่า" เลสธีราห์ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินตรงเข้ามาทักทายอัลธอร์ด้วยการยื่นหญ้าอ่อนที่เขาเก็บจากริมธารเมื่อครู่นี้ให้อีกฝ่ายกิน

"เจ้าเป็นคนรักม้าสินะ"

"พวกมันสง่างาม ข้าจึงหลงใหล" ร่างโปร่งตอบ "เช่นเดียวกับที่ข้าหลงใหลเซนทอร์" ในวันนี้อัลธอร์ดูจะอารมณ์ดีมากกว่าปกติ อาจจะเป็นเพราะได้เดินออกมานอกเมือง และสูดกลิ่นธรรมชาติที่คุ้นเคยอีกครั้ง หลังจากใช้ชีวิตอยู่แต่ในคอกม้า และวิ่งเล่นอยู่บนพื้นหินแข็งๆแทนดินและหญ้าที่อ่อนนุ่มกว่า

"ข้าได้ยินมาบ้างว่า เจ้าชื่นชอบพวกเซนทอร์มาก... ถึงขนาดเก็บเกือกของพวกเขาเอาไว้เป็นที่ระลึก"

"เหตุใดจึงลือไปทางนั้นได้เล่า" ร่างโปร่งเลิกคิ้ว "จริงอยู่ที่ข้าชอบเซนทอร์ แต่ข้าไม่ได้มีเกือกของพวกเขาสะสมอยู่ที่บ้านหรอกนะ" ม้าศึกดูจะสนใจผลไม้ที่อยู่ในกระเป๋าหนังของเลสธีราห์ ดังนั้นเขาจึงหยิบมันออกมาเพื่อให้มันชิม "ลูกพลับน่ะ กำลังอร่อยเลยเชียว"

เอเดรียนยิ้มบางเมื่อเห็นอีกฝ่ายเล่นกับม้าของตนอย่างสนิทสนม "เช่นนั้นก็เล่าเรื่องจริงให้ข้าฟังสิ"

"เรื่องจริงอะไรหรือ" เซนทอร์หนุ่มสงสัย ในขณะที่อัลธอร์กินลูกพลับสีสดเข้าไปในคำเดียว

"เหตุใดชาวบ้านจึงเอาไปลือว่าเจ้าสะสมเกือกของเซนทอร์ได้เล่า" ร่างสูงยิ้มขัน "แปลว่าเจ้าจะต้องมีความรู้ในเรื่องใดสักเรื่องมากเป็นพิเศษ จนคนทั่วไปคิดว่าเจ้าสัมผัสคลุกคลีกับมันทุกวัน อันเป็นที่มาของข่าวลืออย่างไรเล่า"

"อ้อ..." เซนทอร์หนุ่มหยุดคิด และชั่งใจว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไปนี้เป็นสิงที่ควรบอกเล่าให้คนนอกได้รับรู้หรือไม่ ที่ผ่านมาเขาไม่ใคร่จะสนทนากับใครให้มากความ แต่ด้วยความที่มีความรู้เกี่ยวกับเซนทอรากกว่ามนุษย์คนอื่นๆ เลสธีราห์จึงคอยแก้ไขความเข้าใจผิดให้ผู้อื่น และคอยดูปฏิกิริยาของบุคคลผู้นั้นด้วยว่ามีความสนใจเรื่องของแอสทารอธมากน้อยเพียงใด

แต่สิ่งที่เขาได้มาก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือสายตาของชาวบ้าน

แอสทารอธยังเป็นอาณาจักรที่ยากจะเข้าถึง และมากพิธีรีตรองเสียจนมนุษย์ไม่อยากยุ่งย่าม

"ข้าอาจจะเคยพูดถึงเกือกม้าของเซนทอร์ให้พวกเขาฟัง พวกเขาจึงคิดว่าข้าสะสมกระมัง" ร่างโปร่งไหวไหล่ "คนครึ่งม้าพวกนั้นใส่เกือกเป็นรองเท้า แตกต่างจากเกือกม้าของมนุษย์ที่ตอกเข้าไปเลย" เขาอดรู้สึกเจ็บแทนไม่ได้จนสีหน้าบอกได้ชัดว่ารู้สึกขนลุกกับสิ่งที่จินตนาการ

"แค่เรื่องนั้นเองหรือ ที่ทำให้เขาลือกันไปเป็นเรื่องราว"

"ข้าเป็นเพียงพรานชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งที่หลงใหลเซนทอร์ แต่จะไปรู้เรื่องอะไรมากมายได้อย่างไร กระทั่งหนังสือข้าก็ยังอ่านไม่ออกด้วยซ้ำ" นี่อาจเป็นข้อแก้ตัวที่ดีที่สุดสำหรับเลสธีราห์ในตอนนี้ วิธีการพูดของเอเดรียนไม่ใช่การคะยั้นคะยอ รบเร้า เซ้าซี้อย่างที่เขาเกลียด แต่เป็นการพูดคุยไปเรื่อยๆและทำให้เขาต้องพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา อาจจะสมแล้วที่อีกฝ่ายเป็นถึงขุนนาง จึงได้แตกต่างจากชาวบ้านคนอื่นเช่นนี้

"แต่วิธีการพูดของเจ้าก็ใช่ว่าจะเหมือนสามัญชน" เอเดรียนหัวเราะ "แต่เอาเถิด เราเพิ่งพบกันครั้งสองครั้ง จะให้สนิทสนมราวกับรู้จักกันมาสักสิบปีก็คงจะไม่ได้" เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งและค่อยๆเคลื่อนสายตามามองประสานกับสายตาของเลสธีราห์ "ดวงตาของเจ้าช่างเหมือนมหาสมุทร ลุ่มลึกและเต็มไปด้วยความลับมากมาย... ข้าเชื่อว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่เจ้าแอบซ่อนเอาไว้"

ร่างสูงยิ้มจาง "แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่ได้คิดจะค้นหาความจริงอะไรจากเจ้าในตอนนี้"


--------------------------------------------------

"เจ้า... กลั่นแกล้งเขาหรือว่ากระไร"

จาเร็ตต์เอ่ยถามเอเดรียนด้วยท่าทางที่ดูอ่อนลงแตกต่างจากเมื่อเช้าที่ผ่านมาที่ทั้งคู่มีปากเสียงกันค่อนข้างจะรุนแรงจนเอเดรียนต้องปลีกตัวออกมาจากห้องอาหารเพื่อไม่ให้คนที่ตกเป็นประเด็นต้องรู้สึกแย่ไปด้วย และแน่นอนว่าเรื่องที่ทำให้ผู้นำและเลขาคนสนิทต้องบาดหมางกันย่อมเป็นเรื่องของเลสธีราห์

"ที่ยกลูเซียให้เขาน่ะรึ" เอเดรียนอ่านใจคนสนิทของตัวเองได้ดีพอๆ กับกับอ่านสายตาของศัตรู เขาจึงเข้าใจสิ่งที่จาเร็ตต์พูดเป็นอย่างดี ว่าหลังจากยืนมองเลสธีราห์ที่ยังอยู่ในลานฝึกกับม้าขาวตัวนั้นตั้งแต่เช้าจนบัดนี้ เลขาคนสนิทก็ยังไม่เข้าใจเจตนาของแม่ทัพใหญ่เลยแม้แต่น้อย

...การหลอกเลสธีราห์ว่าลูเซียเป็นม้าพยศ และยกให้อีกฝ่ายเป็นคนปราบ

ม้าสาวที่ได้ชื่อว่ามีพันธุ์ดีที่สุดในอาณาจักรนั้นดูจะเอาใจยากพอๆ กับมนุษย์ผู้หญิงก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่ม้าพยศที่ช่างดีดดิ้นอย่างที่เอเดรียนพยายามจะแต่งเรื่องราว ทว่าหลังจากเลสธีราห์ลูบหัวมันได้ไม่นาน ม้าศึกก็เริ่มสะบัดอีกฝ่ายออกและเดินกลับคอกด้วยท่าทางรำคาญใจ ทว่าผู้มาใหม่กลับไม่ยอมแพ้และไปดึงมันออกมาอีกครั้งราวกับยังแนะนำตัวเองไม่เสร็จ

"มันเป็นบททดสอบน่ะ"

"หืม..." จาเร็ตต์เลิกคิ้ว "หลอกให้ไปปราบพยศม้าที่เชื่องอยู่แล้วน่ะรึ"

เอเดรียนไหว่ไหล่เบาอย่างคนที่ไม่แน่ใจในความคิดของตนเองเช่นกัน "ข้าคิดว่าเขาไม่ใช่มนุษย์" นัยน์ตาสีเข้มมองไปร่างชายหนุ่มร่างโปร่งที่ดูจะเหน็ดเหนื่อยกับการพยายามเอาอกเอาใจม้า เขาวิ่งไปกับมัน เอาฟางให้มัน เอาน้ำให้มัน แต่ดูเหมือนว่าอย่างไรลูเซียก็เล่นตัวอยู่ดี "เจ้าก็รู้ว่าลูเซียไม่ได้มีนิสัยดุดันดุร้ายอย่างที่ข้าประโคมบอกเลสธีราห์"

เอเดรียนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ "แต่นี่เจ้าหล่อนดูหงุดหงิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน"

"เจ้าคิดว่าเขาคุยกับม้าได้หรือไร และบอกให้มันเล่นละครตามไปอย่างนั้นหรือ"

จาเร็ตต์ลองถาม และเอเดรียนก็ตอบรับด้วยการพยักหน้าก่อนอธิบายต่อ "ลูเซียอาจเอาใจยาก แต่มันไม่เคยกระฟัดกระเฟียดใส่ใคร หากไม่ใช่เพราะเจ้าหล่อนรำคาญเลสธีราห์จริงๆ ก็คงเป็นเพราะเจ้านั่นบอกให้ลูเซียแสร้งแสดงออกมา" นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงอย่างวิเคราะห์ ขณะมองดูชายหนุ่มในลานฝึกพยายามจะทำให้ม้าศึกสงบด้วยการลูบหลังปลอบ "พวกอมนุษย์มีความสามารถในการสื่อสารกับสัตว์ และพวกสัตว์เองก็รู้ว่าใครบ้างที่ไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งน่าแปลกที่พวกมันเชื่องกับคนพวกนั้นมากกว่าพวกเรา"

"เจ้าก็เลยคิดว่าเขาไม่ใช่มนุษย์อย่างนั้นรึ"

"ข้าประหลาดใจตั้งแต่เขาสามารถลูบหัวอัลธอร์ได้ทั้งที่ข้าไม่เคยแนะนำให้รู้จัก"

"รู้แบบนี้แล้วเจ้ายังจะให้เขาร่วมทางไปกับเราหรือ เอเดรียน" จาเร็ตต์กอดอก "เจ้าบอกว่าการที่เขาจะเป็นใครมันอาจไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่เจ้าต้องการจากเขาในตอนนี้คือความรู้ที่เขามี แต่ถ้าเขามาจากอาณาจักรที่เป็นศัตรูกับเราล่ะ ถ้าเขามาจากไอย์ชวลล่ะ แล้วชี้นำทางที่ผิดให้เรา... เจ้าจะฝากอนาคตของอาเดรียเอาไว้หรือ"

"พวกภูตมีอายุขัยเกินร้อยปี พวกเขามีเวลาสั่งสมประสบการณ์มาก อีกทั้งยังได้เปรียบที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ตลอดเวลาอีกด้วย  และข้าเชื่อว่าสายสืบของพวกภูตสามารถแฝงตัวเข้ามาได้แนบเนียนกว่านี้ พวกเขาไม่มีทางส่งสายสืบที่สะเพร่ามาหรอก กระทั่งการทดสอบง่ายๆก็ยังพลาดท่าไม่รู้ทันแบบนี้" เอเดรียนเม้มปากอย่างครุ่นคิด "อีกทั้งยังใช้ชื่อที่ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองอีกด้วย เพราะไม่ว่าใครฟังคำว่า 'เลสธีราห์' แล้วก็ล้วนคิดถึงเอลฟ์ทั้งนั้น หากเจ้าเป็นสายสืบจริงๆ เจ้าควรจะใช้ชื่ออื่นที่ดูแนบเนียนและดูเป็นมนุษย์มากกว่านี้ไม่ใช่หรือไร"

"เรื่องนั้นก็ข้าเห็นด้วยอยู่มาก" จาเร็ตต์พยักหน้า "...อย่างไรก็ไม่แนบเนียน"

"ข้าจึงคิดว่าเขาบริสุทธิ์ใจ" แม่ทัพหนุ่มว่า "เอาเถอะ ต่อให้เขาเป็นพวกธีสธรัล เขาก็ทำอะไรข้าไม่ได้อยู่ดี ในเมื่อท่านชายซินญอร์ประกาศแข็งข้อกับเมืองเกาะนั่นไปแล้ว คงไม่มีเรื่องบาดหมางอะไรที่แย่กว่านั้นหรอก" ร่างสูงยักไหล่  "ตอนที่เขาพบข้า พูดคุยกับข้า ทุกวันตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่ได้เสแสร้งเลย"

"เจ้าก็อย่าวางใจไปหน่อยเลย" เลขาหนุ่มปราม "ต่อให้เขาทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากไปกว่านี้ไม่ได้ แต่การที่เขามีความลับต่อเจ้าแบบนี้มันดีแล้วจริงๆ เหรอ เอเดรียน" เอเดรียนไม่ตอบคำเมื่ออีกฝ่ายถามแบบนั้น เจ้าตัวเลี่ยงบทสนทนาด้วยการเบือนหน้าหนีและเดินตรงไปที่ลานฝึกแทน

"เลสธีราห์..."

คนถูกเรียกกำลังลูบหัวม้าขาวด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนจากการพยายามทำความรู้จัก เนื้อตัวของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผ้าคลุมไหล่ที่เอเดรียนมอบให้เมื่อเช้านั้นพาดอยู่บนหลังม้าแทน ร่างโปร่งหันมาตามเสียงเรียกพร้อมกับโคลงหัวเป็นเชิงถาม "หมดเวลาฝึกของวันนี้แล้วหรือไง"

เอเดรียนจรดยิ้มที่มุมปาก แล้วจึงยกมือขึ้นลูบคอลูเซียช้าๆ "ใช่ แล้วเจ้าก็ควรไปอาบน้ำเสีย"

"ในที่สุด..." ร่างโปร่งยิ้มออกมาเล็กน้อย การพยายามใช้จิตบอกให้ม้าพยศทั้งที่มันไม่มีความกระด้างกระเดื่องเลยสักนิดทำให้เลสธีราห์รู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าการวิ่งไล่ฝูงกระทิงทั้งวันเสียอีก แต่มันก็คงจะดีกว่าการสยบม้าพยศเอาง่ายๆ จนพวกมนุษย์ทั้งหลายตะลึงมองกระมัง

"แล้วเราก็มีเรื่องที่ต้องคุยกันด้วย" เอเดรียนกล่าวเสียงเรียบ

--------------------------------------------------

"มีการปะทะอีกแล้วรึไง"

เสียงกีบเท้าหนักๆ ที่เดินตรงเข้ามาหาตนทำให้รีดาห์ไม่อยากจะเงยหน้าขึ้นสนทนาด้วยนักเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเจ้าของประโยคนั้นคือใคร "พวกมนุษย์ไม่เข็ดหลาบ เจ้าเคยพูดเองนี่ ซาฮาล" ร่างโปร่งยืดตัวขึ้นจากที่นั่งย่ออยู่กับพื้น และพบว่าตัวเองสูงเพียงเอวของคู่สนทนาเนื่องจากเขายังอยู่ในร่างของมนุษย์

การทำงานบนเรือจำเป็นต้องใช้ร่างมนุษย์มากกว่า เนื่องจากร่างกายของเซนทอร์ไม่สามารถเคลื่อนไหวบนเรือได้ดั่งใจนัก กีบเท้าของพวกเขาสวมเกือกซึ่งทำจากเหล็ก และเหล็กเหล่านั้นก็ไถลลื่นได้ง่ายบนพื้นไม้ที่ใช้ต่อเรือ อีกทั้งการปีนป่ายไปบนกราบเรือหรือขึ้นไปบนเสาเรือก็จำต้องใช้แขนขาในร่างมนุษย์ทั้งนั้น

"เสียหายมากขึ้นทุกที... พวกชาวประมงธรรมดาเริ่มพัฒนาวิธีต่อสู้กับกองเรือเซเลสต์แล้ว"

"เรือประมงมีความเร็วมากกว่าเรือรบ ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะโจมตีพวกเจ้าได้" ซาฮาลมองรอยถลอกขนาดใหญ่บนกราบเรือ ไม้ระเบียงแถบหนึ่งถูกไฟไหม้หายไปและยังมีร่องรอยเสียหายอีกหลายแห่งบนลำเรือนี้ "ระเบิดมือ..."

"ต่อให้เลสธีราห์อยู่ พวกมันก็ขว้างระเบิดมือใส่พวกเราอยู่ดี"

รีดาห์ตัดบท เขาเบื่อหน่ายที่จะฟังคู่สนทนาบ่น ซาฮาลคอยแต่จะหาเรื่องต่อว่าในช่วงพักหลังๆ มานี้ รีดาห์ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่ แต่นับตั้งแต่เลสธีราห์พยายามจะผลักดันตัวเองให้มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ซาฮาลก็ยิ่งพยายามจะผลักตนเองตามไปด้วย ความสัมพันธ์แบบนี้เรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งหรืออย่างไร

"แค่ธนูในมือเลสธีราห์ก็ทำให้พวกมนุษย์หวาดกลัวได้แล้ว" ร่างสูงตอบเสียงเรียบ "ไม่กล้าที่จะขว้างระเบิดมือใส่แบบนี้หรอก"

"เขาไปทำภารกิจตามคำสั่งของเหนือหัวดาเรียส เหตุใดเจ้าจึงขัดคอนัก หากคิดว่าตนทำได้ดีกว่า ใยจึงไม่ไปเรียนเหนือหัวเสียเองแล้วก็ออกไปเผชิญโลกของมนุษย์เลยเล่า" แววตาดุดันของซาฮาลตวัดกลับมามองคนพูดแทนคำสั่งให้อีกฝ่ายเงียบปาก ก่อนจะพูดตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

"ข้าเรียนท่านราชเลขาแล้ว เมื่อคืนนี้ดวงดาวมีการเคลื่อนไหว ข้าจึงไว้ใจไม่ได้"

รีดาห์ชะงักไปครู่หนึ่งที่ได้ยินดังนั้น "ดวงดาวรึ... ข้ามิทันได้สังเกต" ร่างโปร่งแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน และเริ่มมองหาดาวที่พวกเขารู้จักคุ้ยเคย "นี่ไม่ใช่ลางดีสำหรับคนเพียงคนเดียว" รีดาห์ไม่สันทัดในด้านการดูดาว แต่เขาก็พอจะแยกลางดีและลางร้ายออกจากกันได้ "หรือแม้แต่สองคนก็ยังเป็นอันตราย"

"ข้าจึงเสนอให้ความช่วยเหลือเลสธีราห์โดยเร็วที่สุด ก่อนที่เขาจะถูกกลืนไป"

ทว่ารีดาห์กลับส่ายหัว "เจ้าคิดว่าใครเหมาะสมกับหน้าที่นั้น ตัวเจ้าเองหรือ... เจ้าคิดว่าเลสธีราห์จะยินดีที่เจ้ายื่นมือเข้าช่วยหรือไร" ในฐานะสหาย รีดาห์รู้ดีว่าผู้บัญชาการของเขาไม่กินเส้นกับซาฮาลยิ่งกว่าใคร ต่อให้เป็นการยื่นมือเข้าช่วยด้วยความเป็นห่วงฐานะเพื่อนร่วมงาน แต่เขาก็คิดว่าซาฮาลไม่เหมาะกับบทบาทนั้นอยู่ดี

"เจ้ารู้ว่าเลสธีราห์เป็นคนอย่างไร เขายินดีที่จะล้มเพียงลำพังดีกว่าให้เจ้ายื่นมือเข้าช่วย"

"เพราะความกระด้างกระเดื่องแบบนี้ล่ะ ที่ทำให้ข้าอยากปราบนัก" ผู้ชายอย่างซาฮาลไม่ใช่คนอ้อมค้อม และไม่ใช่คนช่างเลือกสรรคำพูดนัก ดังนั้นสิ่งที่ออกมาจากปากของเขาย่อมเป็นความจริงและแปลตรงความหมายทุกคำ

"เลสธีราห์เป็นผู้บัญชาการเซเลสต์..." รีดาห์พูดบ้าง "พูดจาให้เกียรติเขาด้วย ซาฮาล"

"เฮอะ ผู้บัญชาการเซเลสต์รึ ถ้าเจ้านั่นไม่มีราชเลขาคอยหนุนจะมีอันทำอะไรได้ ถ้าเจ้านั่นไม่ใช่บุตรชายของราชทูตแห่งเธสซาลีย์จะสามารถหลักลอยไปมา ทำงานไม่สำเร็จสักประการอย่างที่ทำทุกวันนี้ได้รึ" ซาฮาลหัวเราะขึ้นจมูก และมองตอบคู่สนทนาอย่างดูแคลน "ที่สามารถเชิดหน้าชูคอได้ทุกวันนี้มันเป็นเพราะความสามารถจริงๆหรือ รีดาห์"

คนที่ตัวเล็กกว่ามุ่นคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อสหายของตนถูกต่อว่า

"ในการแข่งขัน... เลสธีราห์เอาชนะทุกคนได้โดยไม่มีข้อกังขา เจ้าเองก็เป็นคนหนึ่งที่แพ้เขา!"

ในการแข่งขันเพื่อค้นหาผู้บัญชาการกองเรือรบเซเลสต์ ผู้ที่เสนอตนเข้าร่วมจะต้องผ่านการทดสอบความสามารถ ซึ่งการทดสอบที่ยากที่สุดในครั้งนั้นคือการออกล่าวาฬ ผู้ที่สามารถล่าวาฬได้ในระยะเวลาที่รวดเร็วที่สุดจะเป็นผู้ชนะ ซึ่งเลสธีราห์สามารถเอาชนะผู้อื่นได้ด้วยสถิติการออกเรือเพียงสองสัปดาห์ ในขณะที่ซาฮาลซึ่งได้อันดับรองลงมาใช้เวลาถึงหกสัปดาห์

 ซาฮาลไม่เถียงว่าหรือแก้ตัว ด้วยยอมรับว่าตนแพ้ความสามารถในด้านนี้ของเลสธีราห์จริงๆ

เพราะการล่าวาฬหมายถึงความสามารถในการเดินเรือ การอ่านทิศทางของน้ำและลม ความชำนาญในแผนที่ทางทะเล และการเข้าใจถึงธรรมชาติ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความสามารถที่จำเป็นของผู้บัญชาการเรือรบที่อาจจะต้องประคองชีวิตลูกเรือจำนวนมากเอาไว้เมื่ออยู่กลางทะเล แต่นี่ก็อาจเป็นเหตุผลหลักที่ซาฮาลไม่ใคร่จะพอใจ เนื่องจากบิดาของเลสธีราห์นั้นได้ชื่อว่าเป็นกัปตันเรือที่มีความชำนาญพิเศษในด้านนี้ อีกทั้งยังมีงานอดิเรกเป็นการสำรวจทะเลอีกด้วย เลสธีราห์จึงได้พรสวรรค์การเดินเรือมาจากบิดาทั้งหมดก็ว่าได้ แม้ว่าพ่อลูกคู่นี้จะไม่ได้พบหน้ากันมาร่วมยี่สิบปีแล้วก็ตาม

"เจ้ายังจะบอกว่าเขาไม่มีความสามารถอีกรึ" รีดาห์เป็นฝ่ายรุกบ้าง หลังจากทนฟังคู่สนทนามานาน

ซาฮาลสูดหายใจเข้าครั้งหนึ่งเหมือนต้องการปรามให้ตนเองอารมณ์เย็นลง "หน้าที่ของผู้บัญชาการเซเลสต์คือการปกป้องน่านน้ำไม่ให้ถูกรุกราน เลสธีราห์ผ่านการทดสอบโดยเอาชนะข้าซึ่งปรารถนาในตำแหน่งนี้มาตลอด แต่กลับละเลยหน้าที่ ออกไปวิ่งเล่นทำทุกอย่างตามใจตนเองแบบนี้ เจ้าคิดว่าข้าควรจะยินดีหรืออย่างไร!"

"แท้จริงแล้วเจ้าก็ต้องการตำแหน่งของเขา..."

"ข้าเคยต้องการครอบครองตำแหน่งของเขา" ซาฮาลเหยียดยิ้มก่อนจะยอมรับ "แต่ตอนนี้ข้าอยากมีอำนาจเหนือเขาเสียมากกว่า" ร่างสูงตัดสินใจจบบทสนทนาด้วยการหันหลังกลับและเดินหนี เพราะเกรงว่าหากมีปากเสียงมากกว่านี้ เขากับรีดาห์อาจมีกรณีลงไม้ลงมือบ้างเป็นแน่

...ต่อให้อีกฝ่ายจะรู้ตัวว่าอย่างไรก็แพ้ก็ตาม

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 6.2
«ตอบ #16 เมื่อ28-10-2016 07:23:02 »

ตอนที่ 6.2

เลสธีราห์กลับมาที่ห้องพักกลับมาหลังจากลงไปอาบน้ำที่ห้องด้านล่าง และเนื่องจากเสื้อผ้าเพียงชิ้นเดียวที่เขามีก็คือกระโปรงหนังสีดำ เซนทอร์หนุ่มก็จำต้องยอมสวมชุดคลุมนอนสีขาวที่หญิงรับใช้นำมาให้แต่โดยดีหลังจากถอดชุดเดิมออกเพื่ออาบน้ำชำระล้างคราบเหงื่อไคล และด้วยความที่แทบจะไม่เคยใส่เสื้อแบบนี้มาก่อนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายตัวเองเสียเลย

"ใส่ชุดแบบนั้นแล้วเจ้าดูแปลกจริงๆด้วย"

เอเดรียนนั่งรอสนทนาอยู่ที่โซฟาหน้าโต๊ะน้ำชาในห้องพักของเขา โดยมีห่ออะไรบางอย่างห่อหนึ่งวางอยู่บนหน้าตัก แม่ทัพแห่งอาเดรียรินน้ำชาให้ก่อนจะผายมือไปยังเก้าอี้ตรงข้ามที่ซึ่งเลสธีราห์วางคันธนูและกระบอกใส่ลูกดอกเอาไว้

เลสธีราห์ลอบกลั้นใจเมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองสะเพร่าเกินไปที่วางอาวุธคู่ใจเอาไว้แบบนั้น

แต่เขาก็จำได้ว่ามันยังอยู่ที่เดิม ซึ่งแปลว่าเอเดรียนไม่ได้แตะต้องมันแม้แต่น้อย "ข้าคิดว่าเจ้าจะให้ไปพบที่ห้องเจ้าเสียอีก" เซนทอร์หนุ่มนั่งลงตรงข้ามอีกฝ่าย และวางคันธนูไว้บนหน้าตัก "มีเรื่องอะไรล่ะ ท่านขุนนาง... มาอธิบายส่วนงานหน้าที่ของข้าเหรอ" เลสธีราห์พยายามพูดติดตลก เพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ และรักษาภาพลักษณ์เด็กหนุ่มไม่รู้กาละเทศะเอาไว้ โดยเขาคิดว่ามันเป็นรูปลักษณ์ที่ทำให้เอเดรียนรู้สึกวางใจ และสบายใจที่สุด

...แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาคิดเอาเองทั้งนั้น

เอเดรียนเหลือบมองคันธนูที่ทำจากไม้เนื้อดีของอีกฝ่าย มันเป็นงานศิลปะแกะสลักที่สวยงามหาได้ยาก และโดยไม่ต้องหยิบขึ้นมาพิจารณา เขาก็รู้ว่านั่นเป็นธนูที่ทำขึ้นโดยช่างฝีมือชาวเอลฟ์ แม่ทัพหนุ่มลอบถอนใจกับตัวเองเบาๆด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ว่าเวทนาหรือขบขันกับคนตรงหน้าที่ดูพยายามปกปิดตัวตนทว่าไม่มีสิ่งใดแนบเนียนเอาเสียเลย

"ข้าพูดไว้แล้วว่าข้าไม่ได้สนใจว่าเจ้าจะเป็นมิตรหรือศัตรูที่แฝงตัวมา..."

แม้เอเดรียนจะยิ้มจาง และเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนมากสำหรับแม่ทัพคนหนึ่ง แต่ใครบ้างเล่าจะรู้สึกผ่อนคลายกับประโยคเปิดบทสนทนาแบบนั้น เลสธีราห์เกร็งขึ้นมาในทันทีและเหมือนว่าเขาจะลืมวิธีหายใจไปแล้วด้วยซ้ำหลังจากได้ยินคำนั้น "ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์ เลสธีราห์... แต่ช่วยตอบข้าทีว่าเจ้าเป็นใคร"

คนฟังได้แต่นิ่งตะลึง กิริยานั้นเองที่ยิ่งย้ำให้เอเดรียนมั่นใจว่าเขาพูดถูก...

"ข้า..."

"ชื่อของเจ้าเป็นภาษาเอลฟ์ ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะใช้ชื่อเอลฟ์ ถ้าไม่มีความเกี่ยวข้องกันจริงๆ กระทั่งภูตที่มีเชื้อสายเอลฟ์ชั้นสูงอย่างแม่ทัพของไอย์ชวลก็ยังชื่อ 'วิกโทเรียส' ข้าจึงไม่คิดว่าเจ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา" เอเดรียนมุ่นคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ "และอีกประการหนึ่ง..."

"...ลูเซียไม่ใช่ม้าพยศ เลสธีราห์"

นัยน์ตาสีฟ้าครามเบิกขึ้นเมื่อได้ยินดังนั้น และโดยที่ลืมวิธีการวางตัวไปจนหมดสิ้น เลสธีราห์ก็ได้แต่อ้าปากค้างอย่างเถียงไม่ขึ้น เอเดรียนแค่ให้เขาทำความรู้จักม้า และยืนมองอยู่ห่างๆเท่านั้น เพียงแค่นั้นอีกฝ่ายก็สามารถบอกได้แล้วว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ทั่วไป "จริงอยู่ว่าลูเซียเป็นม้าที่เอาใจยาก แต่ก็ไม่ได้ยากไปกว่าอัลธอร์... แต่เพราะเจ้าสื่อสารกับมันได้ จึงบอกให้มันแสดงท่าทางหงุดหงิดแบบนั้น เพื่อไม่ให้ข้าสงสัยใช่ไหม"

"ข้า..."

หัวใจของคนฟังแทบจะตกลงไปที่ข้อเท้า มือเรียวที่กำรอบคันธนูอยู่ขยับกำแน่นเข้าด้วยความตึงเครียด ถ้าหากเอเดรียนรู้ว่าเขาเป็นใครขึ้นมา หากรู้แอสทารอธรู้ว่าเขาพลาดท่าเพราะความอ่อนหัดแบบนี้ ไม่ยิ่งขายหน้าไปกันใหญ่หรือไร

แล้วเขาควรจะทำอย่างไรเพื่อปกปิดความลับนั้นเอาไว้เล่า...

"ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้สนใจว่าเจ้าจะเป็นศัตรูหรือไม่" เอเดรียนย้ำเสียงเรียบ "แค่บอกข้ามาตรงๆ ว่าเจ้าเป็นใคร" ดวงตาของฝ่ายนั้นจับจ้องคู่สนทนา แม้จะไม่ได้คาดคั้น แต่ก็ไม่ได้ผ่อนปรน "ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าเรื่องเซนทอร์ แล้วเจ้าต้องการอะไรถึงได้พยายามเข้าใกล้ข้าล่ะ เลสธีราห์"

คนฟังสัมผัสได้ถึงนัยยะบางอย่างที่อยู่ในการกระทำของเอเดรียน และเมื่ออีกฝ่ายพูดเช่นนั้น เซนทอร์หนุ่มก็พบคำตอบ "เจ้าไปรอข้าทุกวันที่สระน้ำนั่น แต่เจ้าก็ไม่ได้ไว้ใจข้า ไม่เคยคิดว่าข้าเป็นคนธรรมดาเลยสักครั้ง" คิ้วเรียวขมวดเข้าเล็กน้อยก่อนที่สายตาจะเคลื่อนขึ้นมองแม่ทัพใหญ่แห่งอาเดรีย "แต่ที่เจ้าชวนข้าเข้ามาที่ราห์โมนาก็เพื่อจะให้ข้าอยู่ในสายตา ถ้าเป็นสายสืบขึ้นมาก็ไม่สามารถกลับอาณาจักรไปรายงานใครต่อใครได้อย่างนั้นรึ"

เอเดรียนไม่ให้คำตอบ เขาแค่ยกถ้วยช้าขึ้นจิบช้าๆราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น "เลสธีราห์..."

เป็นครั้งแรกที่เซนทอร์หนุ่มคิดว่าผู้ชายตรงหน้าช่างมีความคิดที่แยบยล และในความฉลาดของอีกฝ่าย ชายหนุ่มกำลังท้าทายให้เขาเปิดเผยความจริง "เจ้าพูดว่าต้องการความช่วยเหลือ... และข้าอาจเป็นคนเดียวที่ช่วยเจ้าได้" นัยน์ตาสีฟ้าเคลื่อนขึ้นมองคู่สนทนา และมองนิ่งอยู่เช่นนั้นสักพักใหญ่ ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงที่เบาลงเรื่อยๆ "ไม่เคยมีใครอ้อนวอนข้าแบบนั้นมาก่อน"

เอเดรียนมุ่นคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนอิริยาบถเป็นการเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ

เซนทอร์หนุ่มกลั้นใจ ต่อให้อีกฝ่ายจะใช้วิธีแบบไหนในการกดดันเขา แต่เอเดรียนจะต้องไม่รู้ว่าเขาคือใคร เขาจะต้องเก็บรักษาความลับของเซนทอร์เอาไว้ให้ได้นานที่สุด "ข้าเป็นชนชั้นสอง... เอเดรียน" ร่างโปร่งพูดต่อ และนั่นคือความจริงเขาที่เขาไม่ได้บิดเบือน "ข้าไม่ใช่มนุษย์ก็จริง แต่ก็ไม่ถูกนับเป็นอมนุษย์ ข้าไม่เคยมีที่ยืนในสังคมของข้า" เลสธีราห์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดประโยคต่อไป "การที่จู่ๆ มีขุนนางคนหนึ่งมาพูดแบบนี้ด้วย เจ้าคิดว่าตัวเองจะปฏิเสธได้รึ"

แม้ว่านั่นจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาเมื่อครู่นี้ แต่เลสธีราห์ก็คิดว่าเขาอาจจะรู้สึกแบบนั้นอยู่บ้างก็เป็นได้ เพราะในตอนที่เลสธีราห์ตอบตกลง เขารู้เพียงแค่ว่าเอเดรียนเป็นขุนนาง และเขาก็คิดว่าอีกฝ่ายเป็นขุนนางธรรมดาเท่านั้น ไม่เคยคิดว่าจะเอเดรียนผู้นั้นจะเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของอาเดรีย

หากเขาเป็นคนธรรมดาจริงๆ... การถูกขุนนางชักชวนแบบนั้นย่อมไม่มีใครปฏิเสธได้อยู่แล้ว

"ถ้าเป็นอย่างนั้น... ข้าคิดว่าข้าคงจะเข้าใจเจ้าบ้างแล้วกระมัง" เอเดรียนยิ้มอีกครั้ง "หากมันเป็นอดีตที่ไม่น่าจดจำ ข้าก็จะไม่เซ้าซี้ก็แล้วกัน เลสธีราห์" อีกฝ่ายถอนใจออกมาเบาๆ และนั่นก็ทำให้คู่สนทนาผ่อนคลายลงไปด้วย "แล้วเจ้าสัญญาลูกผู้ชายได้รึเปล่า ว่าที่พูดมานั่นเป็นความจริง"

 เซนทอร์หนุ่มกระพริบตาถี่ก่อนจะอ้าปากค้าง เนื่องด้วยไม่เข้าใจคำว่า 'สัญญาลูกผู้ชาย'

...ในหมู่เซนทอร์ไม่มีคำนี้

เอเดรียนยื่นกำปั้นมาหาร่างโปร่ง "สัญญาที่ห้ามกลับคำน่ะ"

"..." ร่างโปร่งมองหมัดของคู่สนทนาครู่หนึ่งก่อนจะกำมือและยื่นไปชนด้วย "ด้วยเกียรติของอัศวิน"

แม่ทัพหัวเราะชอบใจกับวลีนั้น ก่อนจะพูดต่อบ้าง "เอาเถอะ ข้าคงทำให้เจ้าตกใจ และบังอาจหักหาญน้ำใจของเจ้าด้วย ข้าต้องขอโทษด้วยเกียรติของข้า" ร่างสูงลุกขึ้นยืนก่อนจะก้มหัวช้าๆด้วยท่าทางที่ไม่ได้เสแสร้งจนเลสธีราห์ต้องลุกขึ้นเพื่อค้อมหัวลงด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน

"จ... เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก..."

เอเดรียนนั่งลงตามเดิมและผายมือให้คู่สนทนานั่งลงด้วย "แต่เจ้าก็มีไหวพริบพอตัว" ร่างสูงว่า "ที่รู้ว่าข้าพาเจ้ามาที่นี่ เพื่อหากว่าเจ้าเป็นสายสืบจากบ้านเมืองไหน เจ้าก็จะกลับไปรายงานความคืบหน้าไม่ได้ และจะอยู่ในสายตาของข้าตลอดเวลา" นัยน์ตาสีเข้มของอีกฝ่ายมองคู่สนทนาอีกครั้ง "ข้าต้องการแค่ข้อมูลที่เจ้ามีเกี่ยวกับพวกเซนทอร์ หากเจ้าเป็นศัตรูขึ้นมาจริงๆ ข้าก็อาจจะปล่อยเจ้าไปหลังจากนี้ และคงไม่ข้องแวะด้วยอีก"

เลสธีราห์เผลอกลั้นใจอีกครั้ง และพยายามหลบสายตาเรียบเฉยของอีกฝ่าย

"แต่ในเมื่อเจ้าไม่ใช่... ข้าก็ขอโทษที่บังอาจสงสัยในตัวเจ้า" เอเดรียนหันไปสนใจห่อผ้าที่อยู่บนหน้าตักของตัวเองครู่นหึ่งก่อนจะพูดต่อ "อมนุษย์ไม่เคยโกหก ดังนั้นข้าจะเชื่อเจ้า เลสธีราห์..." ทั้งที่มันไม่ใช่คำพูดที่มีความหมายอะไร ทว่าเซนทอร์หนุ่มกลับรู้สึกจุกขึ้นมาราวกับถูกทุบเข้าที่กลางอก สิ่งที่เอเดรียนพูดนั้นคือความจริงที่ว่า อมนุษย์ไม่เคยโกหก ไม่เหมือนพวกมนุษย์ที่ปลิ้นปล้อนกลับคำได้เสมอ

แล้วเขาได้โกหกเอเดรียนหรือเปล่า เขาประพฤติตนสมเป็นอมนุษย์ที่ควรได้รับเกียรติหรือเปล่า

"ข้าเป็นเอลฟ์แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น" ร่างโปร่งพึมพำ เบือนหน้าหนีเพื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง

"หากเจ้าไม่เคยได้รับการยอมรับในฐานะอมนุษย์คนหนึ่ง เช่นนั้นข้าจะเป็นคนหนึ่งที่ยอมรับเจ้าดีหรือไม่" เอเดรียนว่า "หากมันทำให้เจ้ารู้สึกดีได้..." คนฟังรู้สึกร้อนใบหน้าขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ เพราะคำพูดของเอเดรียนทำให้เขารู้สึกตื้นตันและรู้สึกผิดไปพร้อมๆกัน ไม่เคยมีใครพูดกับเขาเช่นนี้มาก่อน เลสธีราห์เป็นครึ่งเอลฟ์ และเซนทอร์บางกลุ่มก็ไม่ยอมรับเขาในฐานะอัศวินเซนทอร์ แต่กระทั่งมารดาของเขาก็ไม่เคยปลอบโยนด้วยคำพูดแบบนี้ พวกคนครึ่งม้ามีหัวใจแข็งแกร่งเกินกว่าจะหวั่นไหวกับเรื่องเล็ก ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เวลาคิดหาวิธีพิสูจน์ความสามารถของตนเองเสียมากกว่าจะมานั่งปลอบใจซึ่งกันและกัน แต่เลสธีราห์ก็ยอมรับว่าการมีใครสักคนพูดเช่นนี้ด้วยทำให้เขารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช่เซนทอร์ก็ตาม

เอเดรียนมองสีหน้าที่ดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัดของอีกฝ่าย และโดยไม่เซ้าซี้ต่อ แม่ทัพหนุ่มก็เปิดห่อผ้าที่อยู่บนตักออก เพื่อให้คู่สนทนาเห็นห่อลูกดอกจำนวนมากซึ่งมีขนาดความยาวพอเหมาะกับคันธนูของเจ้าตัวพอดิบพอดี "ข้าเห็นว่าลูกธนูของเจ้าเหลือไม่มาก ก็เลยนำมาให้..."

"ไม่ต้องเป็นห่วงข้า" ...ขนาดนั้น

ทั้งที่ประโยคเมื่อครู่นี้ยังติดหู เจ้ามนุษย์ตรงหน้านี้ก็ทำให้เขารู้สึกตื้นตันขึ้นมาอีกแล้ว

"ข้าเรียกว่าน้ำใจต่างหาก"

เลสธีราห์ย่นจมูกเล็กน้อยก่อนจะหมุนกระบอกใส่ลูกดอกของตนแล้วหยิบเอามีดพกที่เหน็บอยู่ขึ้นมาส่งให้เอเดรียน "เช่นนั้นข้าก็ให้เจ้า ข้าก็เห็นว่าเจ้าไม่มีมีดยาวเกินศอกเลยสักเล่ม" ความเงียบเกิดขึ้นสักพักระหว่างการแลกเปลี่ยนที่ไม่ได้คาดฝัน เลสธีราห์รับห่อลูกดอกเหล่านั้นมาจากเอเดรียน ในขณะที่เอเดรียนก็รับมีดยาวที่อีกฝ่ายส่งให้มาพิจารณา

"นี่เจ้าเป็นห่วงข้ารึ..."

"ข้าเรียกว่าน้ำใจ!" เซนทอร์ไม่มีวันรับสินบน ...อย่าหวังว่าจะซื้อใจข้าหน่อยเลย มนุษย์!

--------------------------------------------------

ดูเหมือนว่าเอเดรียนจะพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับจาเร็ตต์ในเรื่องของเลสธีราห์แล้ว ในวันต่อมา เซนทอร์หนุ่มจึงไม่เห็นท่าทางแข็งกร้าวของจาเร็ตต์อีก แต่เขารู้ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็คงจะไม่ไว้ใจเขาง่ายๆเป็นแน่ กระทั่งตัวเดรียนเอง เลสธีราห์ก็ไม่มั่นใจเช่นกันว่าอีกฝ่ายไว้ใจเขามากแค่ไหน เพราะจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ เซนทอร์หนุ่มก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายแทบจะไม่เชื่อในตัวเขาเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมา

...ทำไมการอ่านใจผู้อื่นจึงได้ยากเย็นนักหนอ

เสื้อผ้าของมนุษย์ทำให้เขารู้สึกระคายเคืองอกอยู่บ้าง เนื่องจากเลสธีราห์แทบจะไม่เคยสวมเสื้อเลย แต่เนื้อผ้านิ่มๆที่สัมผัสท่อนขาก็ให้ความรู้สึกดีกว่าชุดหนังอย่างประหลาด แต่ก็มันก็เบาสบายเสียจนทำให้ร่างโปร่งรู้สึกเหมือนไม่ได้สวมอะไรมากกว่า เขาจึงเดินไปมาด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ

"เซนทอร์มีการแบ่งระดับชั้นของอาคันตุกะจากอาหารที่จัดเลี้ยงในงานต้อนรับ ซึ่งเป็นวิธีที่ถูกเรียกว่า การเจรจาไร้เสียง" เซนทอร์หนุ่มอธิบาย แล้วจะตักซุปผักรวมใส่ปากตัวเองคำหนึ่ง แม้ว่ามันจะรสชาติไม่ได้เรื่องเอาเสียเลยก็ตาม แต่หากเขายังสนใจผักแต่งจานอยู่เช่นเมื่อวาน เอเดรียนอาจจะสงสัยบางอย่างในตัวเขาขึ้นมาอีกก็เป็นได้ "แน่นอนว่าอาคันตุกะที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดคือผู้มาเยือนจากแผ่นดินตะวันออกอย่างเธสซาลีย์ แอสทารอธจะออกเรือล่าวาฬและนำเนื้อวาฬซึ่งเป็นสิ่งหายากมาปรุงเป็นอาหารจัดเลี้ยงแก่คณะทูตจากเธสซาลีย์"

"เช่นนั้นการจัดอาหารเลี้ยงก็เหมือนเป็นการบอกสถานะของอาคันตุกะว่าแอสทารอธมีท่าทีกับการเจรจาอย่างไรสินะ" เอเดรียนพึมพำ "แล้วปกติแอสทารอธใช้อาหารแบบไหนจัดเลี้ยงบ้าง ข้าได้ยินว่าพวกเขาติดต่อกับเมืองอื่นบ้างประปราย"

"เซนทอร์เป็นมังสวิรัติ... อย่างแย่ที่สุด เมืองที่พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญก็คงจะเลี้ยงเพียงแค่พวกพืชผัก แต่อาหารสำหรับเมืองอื่นเป็นเช่นไร ข้อนี้ข้าไม่รู้" ร่างโปร่งตอบเสียงเรียบ แม้ว่าเอเดรียนจะอยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเซนทอร์ ทว่าเลสธีราห์ก็คงจะเผยทั้งหมดไปไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเขาจะกลายเป็นคนน่าสงสัยที่สุดแน่นอน

แอสทารอธนับว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างเก็บตัวและลึกลับ...

ดังนั้น 'คนนอก' อย่างเขาจึงไม่ควรรู้มากเกินไป

"เรื่องที่น่าห่วงที่สุดในตอนนี้อาจไม่ใช่เรื่องอาหารบนโต๊ะก็ได้ เอเดรียน" โจฮาลล์ว่า "เราไม่เคยติดต่อกับแอสทารอธมาก่อน อย่าไปคาดหวังว่าเขาจะต้อนรับเราอย่างดีเลย ข้าคิดว่าเราควรเตรียมข้อเสนอดีๆไปยื่นให้พวกเขาจะดีกว่า" อาเดรียต้องการความร่วมมือจากแอสทารอธ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องนำข้อเสนอไปยื่นเจรจา และข้อเสนอนี้เองที่จะตัดสินว่าพวกเขาจะได้รับผลอย่างไรในการเจรจาไร้เสียงของแอสทารอธ

"ข้าพอจะมีประเด็นอยู่บ้างแล้ว และมอบหมายให้จาเร็ตต์หาข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาสนับสนุน"

เลสธีราห์รู้ดีว่าเขาไม่ควรถามเอเดรียนว่าอีกฝ่ายมีความคิดอะไร ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุดก็ตาม ดังนั้นร่างโปร่งจึงได้แต่ฟังเงียบๆและทำทีเป็นไม่สนใจเรื่องของอาเดรีย "ถ้าเจ้าจะไปเยือนแอสทารอธ... กฎข้อแรกก็คือพวกเจ้าห้ามขี่ม้าเข้าไปในเมือง" เลสธีราห์เอ่ยขึ้น "พวกเซนทอร์นับตัวเองเป็นม้าชั้นสูง แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นพวกม้าถูกปฏิบัติด้วยอย่างทารุณ เช่นการขึ้นขี่หลังของพวกมัน หรือใช้พวกมันเทียมรถลาก"

"หา..." โจฮาลล์อ้าปากค้าง เช่นเดียวกับเอเดรียนี่เลิกคิ้วขึ้นสูง

"พวกเจ้าไม่รู้รึ..." ร่างโปร่งกระพริบตางุนงง "นั่นจะทำให้พวกเขาโกรธมากเลยนะ"

"ข้ารู้ว่าพวกเซนทอร์ไม่ชอบที่พวกเราขี่ม้า แต่ไม่ว่าเผ่าใดก็ทำแบบนั้นทั้งนั้น ม้าแข็งแกร่งกว่าวัว และไม่เลี้ยงยุ่งยากเท่าพวกช้าง แล้วพวกเซนทอร์ลากรถเลื่อนกันอย่างไรโดยไม่ใช่ม้า พวกเขาคงไม่เทียมตัวเองเข้าไปลากหรอกกระมัง"

"ใช้..." เซนทอร์หนุ่มหยุดตัวเองเอาไว้ก่อนจะหลุดปาก พวกเซนทอร์ที่มีสิทธิ์นั่งรถลากนั้นต้องเป็นเซนทอร์ระดับสูง และรถลากที่ว่าก็เทียมด้วยกระทิงป่า ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่แอสทารอธภาคภูมิใจเป็นพิเศษว่าพวกเขาสามารถฝึกกระทิงป่าที่ดุร้ายให้เชื่องได้ "ข้าไม่เคยเห็นรถลากของพวกเขา"

"แค่นี้เจ้าก็ดูจะเชี่ยวชาญเกินกว่าจะเป็นพรานป่าธรรมดาแล้ว เลสธีราห์"

โจฮาลล์หัวเราะร่วน โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดนั้นทำให้คนฟังต้องเหลือบตาไปมองเอเดรียนอย่างไม่แน่ใจ แต่แม่ทัพใหญ่ก็ทำเพียงแค่ส่งยิ้มจางให้เท่านั้น รอยยิ้มของอีกฝ่ายนี่เองที่ทำให้เลสธีราห์ไม่เข้าใจว่าตกลงแล้วเอเดรียนคิดอย่างไรกับเขา อีกฝ่ายไว้ใจเพราะคำพูดของเขาแค่นั้นจริงๆหรือ รึว่าอีกฝ่ายยังมีแผนการจะพิสูจน์ตัวตนของเขาอีกกันหนอ

"แล้ววันนี้ข้าต้องไปฝึกกับลูเซียอีกหรือเปล่า" เลสธีราห์ถาม

เอเดรียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัว "วันนี้พวกเราคงได้แต่นั่งหารือ เพราะคนงานกำลังเตรียมตัวทั้งข้าวของและเสบียงอาหารจนวุ่นวายไปหมดทั้งลานฝึก ...และเราจะไปแอสทารอธในวันพรุ่งนี้" คราวนี้เลสธีราห์เป็นฝ่ายอ้าปากค้างบ้าง และหันไปมองสองพี่น้องผมแดงที่นั่งตรงข้ามเขาราวกับต้องการคนร่วมตกใจด้วย แต่ก็ดูเหมือนว่าทั้งสองจะตกใจมาก่อนหน้านี้แล้ว พวกเขาจึงพยักหน้าและอยู่ในอาการสงบนิ่ง

"หลังจากนี้..." เอเดรียนหยิบองุ่นลูกหนึ่งเข้าปาก "ข้าคงต้องฝากคณะเดินทางของข้าไว้กับเจ้าแล้ว"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------

ออฟไลน์ igaga

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 241
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
เอาอีกๆๆๆๆๆ
เรื่องนี้สนุกอะ

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 7.1
«ตอบ #18 เมื่อ29-10-2016 08:08:39 »

ตอนที่ 7.1

"หากข้ามธารน้ำนี้ไปทางเหนือก็จะเป็นดินแดนของเซนทอร์"

เลสธีราห์หยิบกิ่งไม้เล็กๆที่ร่วงอยู่ใกล้มือขึ้นมาเขียนเป็นแผนที่คร่าวๆให้คู่สนทนาดู "เราอยู่ที่ริมธารน้ำที่ไหลแยกออกมาจากแม่น้ำไอเรนา และจะไหลไปรวมกับธารน้ำสายอื่นๆที่ไหลลงมาจากภูเขาจนกลายเป็นแม่น้ำธีนาที่แบ่งกั้นเขตแดนของแอสทารอธและอาเดรียอย่างชัดเจน และไหลลงสู่ทะเลในที่สุด" เอเดรียนพยักหน้าเบาๆอย่างเห็นด้วย ขณะพยายามนึกภาพตามที่อีกฝ่ายบอก นี่เป็นสัปดาห์ที่สามแล้ว ที่เอเดรียนปลีกตัวออกมาจากอาณาจักรในทุกวันเพื่อมาสนทนากับพรานหนุ่มแปลกหน้า หลังจากพบว่าพวกเขาทั้งคู่มีความสนใจคล้ายคลึงกันจนเรียกได้ว่าคุยกันถูกคอ

เอเดรียนหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาอีกอันหนึ่งก่อนจะวาดเพิ่มลงบนดินทรายตรงหน้าบ้าง "ข้ารู้มาว่ามีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ใกล้กับเทือกเขาตะวันตกนี่ อยู่ระหว่างเมืองเลาน์เรนกับเมืองท่ามารินาของแอสทารอธ พวกพรานป่าลือกันว่าเป็นที่หากินของฝูงกวางฝูงใหญ่หลายฝูง" ชายหนุ่มว่า "เจ้าเคยเข้าไปล่าสัตว์ที่นั่นหรือไม่"

เลสธีราห์รู้จักทุ่งหญ้าแห่งนั้นดี แต่เขาคิดว่าตนไม่ควรจะรู้อะไรมากไปจนน่าสงสัยจะดีกว่า

"ข้าอาจจะอยากรู้อยากเห็น แต่ข้าก็ไม่อยากไปโผล่ในคุกของพวกเซนทอร์หรอกนะ"

ขุนนางหนุ่มหัวเราะร่วนก่อนจะออกปากชวน "หากไม่เข้าไปใกล้เมืองหลวงมากจนเกินควร ข้าคิดว่ามันคงไม่เสียหายอะไร เอาไว้เมื่อข้าออกไปล่าสัตว์ที่นั่น จะพาเจ้าไปด้วยก็แล้วกัน" แม้จะเพิ่งพบกันได้ไม่นาน แต่เอเดรียนกลับรู้สึกถูกชะตาอีกฝ่ายอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเป็นเพราะคนอื่นรอบตัวเอเดรียนไม่มีใครมีชีวิตอิสระแบบเลสธีราห์เลยก็เป็นได้

เขาจึงรู้สึกอิจฉาชีวิตของพรานหนุ่มผู้นี้... และอยากใช้ชีวิตแบบนั้นบ้างสักครั้งหนึ่ง

"จะพาข้าไปติดคุกเซนทอร์กับเจ้าหรือไร" เลสธีราห์หัวเราะ "ได้ยินมาว่าพวกครึ่งม้านั่นเข้มงวดอยู่ในระเบียบยิ่งกว่าอะไร หากมีเรื่องกับพวกเขา ข้าไม่คิดว่ามันจะจบง่ายๆ หรอกนะ" ร่างโปร่งยิ้มเล่นหัว "แล้ววันๆ เจ้าเอาแต่ล่าสัตว์หรือไร งานการไม่ต้องทำรึ"

เอเดรียนยิ้มตอบ แม้ว่าการพูดคุยกับเลสธีราห์จะทำให้เขาสบายใจและลืมเรื่องวุ่นวายทั้งหมดทั้งปวงได้ แต่อย่างไรเอเดรียนก็คิดว่าเขาควรจะระวังตัวไว้ก่อน ชายหนุ่มจึงเลือกให้คำตอบทางอ้อม "ข้าอาจจะเป็นขุนนางที่ดูแลเรื่องการล่าสัตว์ก็ได้" ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบมองม้าคู่ใจของตนที่ตั้งท่าจะย่ำลงไปในธารน้ำ ก่อนจะกลับมามองคู่สนทนา

"ตกลงจะไปล่าสัตว์กับข้าหรือไม่"

เลสธีราห์ยิ้มตอบ ก่อนจะส่ายหัวเบาๆเมื่อพบว่าตัวเองไม่สามารถปฏิเสธได้ "นัดวันมาได้เลย"

เขาไม่ขัดข้องกับการมีสหายเป็นมนุษย์ อาจจะเพราะด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าพวกมนุษย์มีเคล็ดลับอะไรในการล่าสัตว์บ้างซึ่งมันคงจะมีประโยชน์กับเซนทอร์ผู้ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ไม่มากก็น้อย แม้ว่าเลสธีราห์จะรู้ดีว่าในตอนนี้ กวางฝูงใหญ่ที่เอเดรียนพูดถึงนั้นแทบจะไม่เหลือแล้วก็ตาม

"อา... นี่ก็เย็นมากแล้ว ข้าควรจะกลับเข้าตัวเมืองสักที"

คนตรงหน้าค่อยๆลุกขึ้นยืน แล้วจึงเดินลุยลงไปในธารน้ำเพื่อดึงม้าคู่ใจของตนขึ้นมา เลสธีราห์มองการปฎิบัตินั้นด้วยความคลางแคลงสงสัย เพราะแม้อัลธอร์จะไม่ขัดขืน แต่เขาก็อ่านใจม้าสีน้ำตาลตัวนั้นออกว่ามันยังไม่อยากกลับ "เจ้าควรจะปล่อยอัลธอร์ไปเล่นแม่น้ำบ้าง มันชอบน้ำเย็นๆ"

เอเดรียนเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วจึงตบแผงคอของมันเบาๆ "ครั้งหน้า ข้าจะปลดอานออกแล้วก็แล้วกัน" ม้าศึกขยับหูตั้งขึ้นเล็กน้อยด้วยความยินดี แล้วจึงใช้สันจมูกหนาๆของตัวเองดุนดันเจ้านายแทนคำขอบคุณ "อา ไม่ต้องอ้อนแล้ว รีบกลับเถอะ" เอเดรียนยิ้ม "พรุ่งนี้พบกันใหม่แล้วกันนะ เลส"

"เจ้าสนิทสนมกับข้าตั้งแต่เมื่อไหร่จึงเรียกชื่อข้าสั้นๆแบบนั้น!"

 เอเดรียนยิ้มขัน "...หากไม่สนิทก็สนิทเสียสิ"


--------------------------------------------------

จนถึงวันนี้ เลสธีราห์ก็ไม่ได้ออกไปล่าสัตว์กับเอเดรียนในทุ่งหญ้าที่อีกฝ่ายพูดถึงเลย นั่นเป็นเพราะว่าวันที่เอเดรียนมาชักชวนเขา เลสธีราห์ได้ออกเรือไปล่าวาฬที่กลางทะเลแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสร่วมทางไปด้วย แต่เซนทอร์หนุ่มก็ไม่เคยคิดเลยว่า ตัวเองจะต้องร่วมทางกับอีกฝ่ายในการกลับมายังเมืองหลวงเลาน์เรนแห่งอาณาจักรแอสทารอธนี้

เมืองหลวงที่เรียกได้ว่าเงียบเหงาที่สุดที่พวกเขาเคยพบ

คณะเดินทางก้าวลงจากหลังม้าและปลดเครื่องพันธนาการออกเกือบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นโกลน เหล็กปาก สนับขา เหลือไว้เพียงผ้ารองอาน กระเป๋าหนังข้างตัว และเชือกจูงที่ดึงพวกมันไว้ไม่ให้หนีเตลิดหากเกิดอะไรขึ้น เพราะแม้ว่าเซนทอร์จะไม่พอใจที่เห็นม้าถูกใช้งาน แต่พวกเขาก็พยายามทำความเข้าใจว่าไม่มีอาณาจักรใดนำกระทิงมาฝึกจนเชื่องได้อย่างที่เซนทอร์ทำ ดังนั้นจึงต้องนำม้ามาใช้งาน

เนื่องจากแอสทารอธตอบตกลงเจรจากับอาเดรีย พวกเขาจึงส่งเฟลิเซีย เซนทอร์หญิงคนสนิทของราชเลขาลีอาห์มาต้อนรับคณะเดินทาง และด้วยความที่นางเป็นถึงคนสนิทของมารดา จึงเป็นไปไม่ได้ที่เลสธีราห์จะไม่รู้จัก "ข้ามีนามว่า เฟลิเซีย จะเป็นผู้ดูแลเรื่องอาหารการกินและที่พักให้กับท่านคณะทูต" หญิงสาวถอยเท้าไปด้านหลังเพื่อย่อตัวลงพอประมาณตามมารยาทการทักทายของเซนทอร์ โดยไม่ก้มหัวให้คู่สนทนา ดวงตาสุกใสกลมโตของนางตวัดขึ้นมองสบกับดวงตาของเลสธีราห์ และนางก็รู้ในทันทีดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการสบตาหรือแสดงท่าทีว่ารู้จักมักคุ้นกัน

"ท่านราชเลขารอพวกท่านอยู่"

แม้ว่าเฟลิเซียจะเป็นเซนทอร์หญิงร่างบาง แต่อย่างไรเซนทอร์ก็สูงมากกว่ามนุษย์อยู่มาก ทุกคนจึงเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่ยืนต้อนรับอยู่ด้านหน้าด้วยความแปลกใจปนตกตะลึง "ข้าจะนำทางพวกท่านไปถึงโถงกลาง ส่วนม้าและสัมภาระทั้งหมดจะถูกส่งไปยังที่พัก" นางผายมือไปยังเซนทอร์หนุ่มอีกสองตนที่ตรงเข้ามาช่วยเหลือ พวกเขาทักทายและทำความรู้จักกับม้าด้วยการสบตาเพียงครั้งเดียว ก่อนจะลูบหัวพวกมันและพาออกไป

ด้วยความที่เหล่าเซนทอร์สูงกว่า คณะเดินทางจึงไม่กล้าพูดอะไร แม้ว่าเอเดรียนจะรู้สึกห่วงข้าวของของตนอยู่บ้างก็ตาม แต่แค่มองกีบเท้าทั้งสี่ของเซนทอร์หญิงตรงหน้า เขาก็คิดว่าตัวเองอาจช้ำในตายได้จากการถูกดีดเพียงครั้งเดียว

--------------------------------------------------

หากถามว่ากองเรือที่ล้ำสมัยที่สุดในโลกตะวันตกเป็นของอาณาจักรใด ไม่ว่าใครก็ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคือกองเรือของอาณาจักรธีสธรัล... แต่ตำแหน่งกองทัพเรือที่น่าเกรงขามที่สุดกลับเป็นของกองเรือเซเลสต์แห่งแอสทารอธ ด้วยจำนวนเรือรบนับร้อยลำที่ติดตั้งปืนใหญ่และอาวุธครบมือ อีกทั้งอุปนิสัยและระเบียบวินัยที่เคร่งครัดของเซนทอร์ ทำให้พวกเขากลายเป็นจ้าวมหาสมุทรได้ง่ายๆ ดังนั้นต่อให้เรือของธีสธรัลจะมีน้ำหนักเบากว่า มีความเร็วมากกว่า หรือกระทั่งมีขนาดใหญ่กว่า ก็ไม่อาจสู้ความแข็งแกร่งของแอสทารอธได้

แต่ด้วยความก้าวหน้าของธีสธรัลทำให้เซนทอร์นึกลำบากใจจะประกาศตนเป็นศัตรู

และทำให้การเจรจาของอาเดรียยากยิ่งขึ้น...

"ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องร่วมมือกับอาเดรียเพื่อปิดท่าเรือในฤดูการค้าขายไม่ใช่รึ" น้ำเสียงของท่านหญิงลีอาห์แข็งกร้าวเด็ดเดี่ยว วาจาของนางดังลั่นไปทั่วห้องโถง สร้างความกดดันให้กับคณะทูตที่มาเยือน

เหนือหัวดาเรียสไม่เคยออกพบอาคันตุกะจากต่างแดน เขามักจะส่งราชเลขามาเจรจาแทนเสมอ

คณะเดินทางประหลาดใจเล็กน้อยที่พวกเขาต้องยืนสนทนา เนื่องด้วยไม่เคยรู้มาก่อนว่าเซนทอร์มีธรรมเนียมในการยืนประชุม และเลสธีราห์เองก็ไม่กล้าเตือนเอเดรียนก่อนหน้านี้เนื่องด้วยจะเป็นการรู้มากจนเกินควรสำหรับพรานชาวบ้านธรรมดาอย่างเขา และแน่นอนว่าตอนนี้ทุกคนในคณะเดินทางต่างรู้สึกปวดเมื่อยกันเหลือเกิน

ราชเลขาหญิงพอจะคาดเดาสถานการณ์ได้จึงไม่มีท่าทีประหลาดใจเมื่อเห็นบุตรชาย

ขณะที่เอเดรียนนั้นเหลือบมองไปรอบตัวด้วยความสนอกสนใจที่ซ่อนอยู่ใต้ใบหน้าเรียบเฉย ชายหนุ่มพบว่าสิ่งก่อสร้างของเมืองนี้ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับม้า ชาวแอสทารอธนิยมสวมเกือกเหล็กที่ไม่ได้ตอกยึดถาวร มันสร้างความเจ็บปวดน้อยกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็เลื่อนหลุดได้ง่ายกว่า อีกทั้งยังเป็นอุปสรรคในการเคลื่อนไหว ดังนั้นพื้นของพระราชวังอัสเธียร์จึงเป็นหินอ่อนที่มีความขรุขระกว่าหินอ่อนปกติเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาลื่นล้ม

ท้องพระโรงกว้างปกคลุมด้วยความเงียบ อัศวินองครักษ์ประจำการอารักขาโดยปกติ แต่กลับไม่มีแม้แต่เงาของผู้เป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักร มีเพียงเซนทอร์หญิงตนหนึ่งยืนอยู่เบื้องขวาของแท่นบัลลังก์หินสีขาวขนาดใหญ่เท่านั้น เอเดรียนยกหน้าที่เจรจาให้กับคณะทูตที่มาจากมหาคฤหาสน์ แต่ก็เป็นที่แน่ชัดว่าการเจรจานี้อาจไม่ประสบผลสำเร็จ

อาเดรียไม่เคยส่งทูตเข้ามาเจริญความสัมพันธ์กับแอสทารอธมาก่อน หากด้วยเหตุผลสิบปีที่ผ่านมาก็คงจะเป็นข้อห้ามที่ธีสธรัลสั่งเอาไว้ไม่ให้อาเดรียคบค้าสมาคมกับดินแดนอื่นใดที่ไม่ใช่พันธมิตรของธีสธรัล แต่ถ้าพูดถึงยี่สิบปีก่อนหน้านี้ซึ่งเป็นช่วงหลังจากแอสทารอธปิดฉากสงครามกับพวกเอลฟ์อัสคาห์ เหตุผลที่มนุษย์ไม่ยอมผูกมิตรกับเซนทอร์อาจเป็นเพราะความแตกต่างทางเผ่าพันธุ์

ในเมื่อต่างฝ่ายต่างดูแคลนซึ่งกันและกัน พวกเขาจึงไม่เคยเดินหน้าเข้าหากันด้วยดีเลยสักครั้ง

การที่พวกเขาเข้ามายืนในพระราชวังอัสเธียร์ ที่พักของเหนือหัวแห่งแอสทารอธได้นี้นับเป็นความก้าวหน้าที่แทบจะต้องจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว แม้ว่ามันอาจจะเป็นประวัติศาสตร์ที่อาจจะไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่ก็ตาม

"ตอนนี้พวกภูตยึดครองน่านน้ำในส่วนที่เป็นของธีสธรัลได้แล้ว อีกไม่นานพวกเขาก็จะแผ่ขยายอำนาจมาจนถึงที่นี่ หากเราไม่ร่วมมือกันในตอนนี้ เกรงว่าในอนาคตจะต้องเกิดสงครามเป็นแน่"

"ข้าคิดว่าการร่วมมือกับอาเดรียต่างหากที่ผลักดันให้เกิดสงครามเร็วขึ้น" ลีอาห์ตอบ

จริงอยู่ว่าแอสทารอธสนใจจะมีส่วนร่วมในความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในอนาคต แต่ว่าการเปิดเผยเจตนารมณ์แต่เนิ่นๆก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะทำในการเจรจา ราชเลขาเองยังมีความสงสัยอยู่ว่าอาเดรียมีสิ่งใดมาแลกเปลี่ยน หากต้องการจะให้แอสทารอธร่วมเป็นพันธมิตร

"ธีสธรัลเป็นมหาอำนาจทางทะเล และพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับชาวเอลฟ์อัสคาห์ ซึ่งสำหรับแผ่นดินตะวันออกแล้ว พวกอัสคาห์มีความเชี่ยวชาญทางเรือที่สุด และหากอาเดรียต้องต่อสู้เพียงลำพังต่อไป ทั้งศึกจากธีสธรัลทางตะวันออก และไอย์ชวลทางตะวันตก พวกเราก็อาจจะเพลี่ยงพล้ำและถูกครอบงำอีกครั้งหนึ่ง และไม่นานพวกอัสคาห์ก็จะกลับมาที่แผ่นดินตะวันตกเป็นแน่"

ลีอาห์นิ่งสงบฟังคำพูดของทูตจากอาเดรีย ขณะที่ในใจของนางเริ่มลังเล

พวกเอลฟ์อัสคาห์ในความทรงจำของเซนทอร์นั้นยังเด่นชัด พวกเขาเคยเดินทางมายังมหาทวีปครั้งหนึ่ง และปอกลอกเอาทรัพยากรจำนวนมาไปจากแอสทารอธ ดังนั้นเมื่อได้ยินชื่อเมืองที่มิอาจเป็นพันธมิตรด้วยได้ ราชเลขาก็เริ่มหวั่นใจ นางรู้เรื่องความสัมพันธ์ของธีสธรัลกับอัสคาห์ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าพวกอัสคาห์จะเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องวุ่นวายครั้งนี้ แต่หากพูดถึงอุปนิสัยเอาแต่ได้ของพวกเขาแล้ว ลีอาห์ไม่ตะขิดตะขวงใจเลยสักนิดหากชาวเอลฟ์เหล่านั้นจะเข้ามาหาผลประโยชน์

ในครั้งนั้น... กว่าแอสทารอธจะขับไล่พวกอัสคาห์ออกไปจากน่านน้ำได้ก็ใช้เวลาร่วมสิบปี

อีกทั้งยังต้องใช้ความร่วมมือจากเธสซาลีย์อีกด้วย

"ธีสธรัลไม่ใช่เมืองที่มีทรัพยากรมากมายนัก แต่มีท่าเรือขนาดใหญ่มาก ดังนั้นจึงเป็นเมืองท่าที่ดีเมืองหนึ่ง พวกอัสคาห์จึงได้สอนวิชาความรู้แก่พวกเขาเพื่อสร้างความสัมพันธ์บังหน้า แท้จริงแล้วก็แค่หยุดพักที่ธีสธรัลเท่านั้น เป้าหมายที่แท้จริงของพวกนั้นคือการเข้ามาที่มหาทวีปตะวันตกนี้ ท่านราชเลขาเองก็ทราบไม่ใช่หรือว่าพวกมันเคยทำอะไรเอาไว้บ้าง"

"อย่ามายอกย้อนข้า ท่านทูตอาเดรีย"

ลีอาห์ตัดบทเสียงแข็ง "เรื่องที่ข้ารู้อะไรหรือไม่รู้อะไรนั่นเป็นเรื่องของข้า อย่าใช้มันมาเปลี่ยนประเด็นเพื่อโน้มน้าวจะดีกว่า" หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนกล่าวต่อไป "สิ่งที่เจ้าพูดมานั่นคือเจ้าไม่อยากเป็นฝ่ายถูกขยี้จากสองเมืองพร้อมกัน จึงได้หุนหันปิดท่าเรือและสร้างความตึงเครียดให้กับทุกฝ่าย เท่านี้ก็เป็นที่ประจักษ์ว่าเจ้าเดินพลาดตั้งแต่ต้นแล้ว อาเดรีย มาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะคิดได้หรืออย่างไรว่าไม่น่าทำแบบนั้นแต่แรก" ท่านหญิงว่า "แล้วจะให้ข้าตอบอย่างไร มนุษย์มาขอความช่วยเหลือจากเซนทอร์ เพื่อให้ร่วมมือต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกัน แล้วยังจะสู้กับพวกภูตอีกด้วย เพื่อฝากความหวังไว้กับความแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ลมๆแล้งๆ พวกอัสคาห์แข็งแกร่งมากแค่ไหนเจ้าเมืองอาเดรียน่าจะรู้ดี และหากพวกเขาต้องการจะรุกรานมหาทวีปจริงๆ เราก็ไม่อาจทัดทานได้ด้วยกำลังของสองเมืองอยู่แล้ว"

"แอสทารอธมีกองเรือเซเลสต์!"

เมื่อคำพูดนั้นหลุดออกมาจากปากท่านทูต ลีอาห์ก็เข้าใจเจตนารมณ์ของอาเดรีย "กองเรือรบเซเลสต์ที่ได้ชื่อว่าเป็นกองเรือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของมหาทวีป ทั้งยังธนูแอควาเรียร์อีกด้วย มันจะเป็นไปไม่ได้หรือที่พวกเราจะชนะ มีสิ่งใดที่แอสทารอธจะร้องขอจากอาเดรียเล่า ท่านหญิงเชิญเสนอได้เลย" เลสธีราห์ชักสีหน้าเล็กน้อยเมื่อกองเรือใต้บัญชาของตนถูกพูดถึง อีกทั้งยังเรื่องของธนูในตำนานชาวเอลฟ์อีกด้วย เขาพอจะรู้ว่าชาวประมงอาเดรียนำเรื่องของเขาไปเล่าต่อกันหนาหู แต่ก็ไม่คิดว่าพวกนั้นจะสามารถสืบสาวราวเรื่องจนกระทั้งรู้จักชื่อของแอควาเรียร์ได้

"นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ข้าจะส่งเซเลสต์ออกไปต้านทานกองเรือของธีสธรัล..." ลีอาห์ตอบเรียบ

เลสธีราห์หันไปมองเอเดรียนที่อยู่ข้างตนซึ่งกำลังมุ่นคิ้วด้วยความกดดัน "หากเราไม่เปิดไพ่ก่อน แอสทารอธก็ไม่ยอมเราง่ายหรอก" ร่างสูงกว่า แม้ว่าเขาจะอยากเป็นผู้สังเกตการณ์เพียงอย่างเดียว แต่ดูเหมือนว่าเอเดรียนจะหมดความอดทนกับบรรยากาศกดดันนี้เสียแล้ว

ธรรมเนียมการยืนประชุมของเซนทอร์ทำให้อาคันตุกะหลายคนขาแข็ง แต่เอเดรียนก็เลือกที่จะก้าวออกไปเบื้องหน้าเป็นเชิงขออนุญาตพูดเจรจาบ้าง "ถ้าท่านยังไม่มีเหตุผลจะต้องประจันหน้ากับธีสธรัล... ข้าจะเสนอเรื่องของ 'เรือจักรไอน้ำ' ได้หรือไม่"

ทั้งที่ประชุมเงียบลงหลังประโยคนั้น ด้วยทูตจากมหาคฤหาสน์รู้ดีว่านั่นเป็นรางวัลที่หาค่าไม่ได้ และฝ่ายเซนทอร์เองก็รู้ดีว่านั่นคือสิ่งที่พวกเขากำลังสนใจในตอนนี้ "ธีสธรัลเคยพยายามจะติดต่อขอซื้อแร่เหล็กจำนวนมากจากฟาวสต์เพื่อใช้ทดสอบเทคโนโลยีนี้ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีสักเท่าไหร่ ซึ่งหากเทียบความสัมพันธ์แล้ว แอสทารอธดูจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฟาวสต์มากกว่า ขอเพียงแค่มีศาสตร์ความรู้ที่ว่านี้ แอสทารอธก็สามารถทำได้อย่างแน่นอน" นัยน์ตาสีดำของเอเดรียนสบประสานกับสายตาของราชเลขา และนางก็ตีค่าบุคคลตรงหน้าว่าเป็นผู้มีวาจาคมคายผู้หนึ่ง

เรื่องของเรือจักรไอน้ำที่ซาฮาลกล่าวถึงเมื่อวันก่อนกลายมาเป็นประเด็นสนทนาทันที

"แล้วอาเดรีย... มีศาสตร์ความรู้ที่ว่านั่นเก็บเอาไว้ในตัวเมืองหรืออย่างไร"

เอเดรียนยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มตอบราชเลขาที่หยั่งเชิงถาม "ข้าคงไม่อาจกล่าวได้ว่ามันเก็บเอาไว้ที่ใด ท่านหญิง... ข้าต้องขออภัยด้วย" ร่างสูงค้มหัวลงแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม โดยที่สามารถปกปิดความลับของอาณาจักรเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน "อาเดรียเป็นเพียงเมืองท่า แต่เราก็ไม่ได้ต้องการตกอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ใด สิบปีที่ผ่านมาใต้เงาของธีสธรัล ประชาชนเรายากจนข้นแค้นมามากพอแล้ว หากธีสธรัลครอบงำเราอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้อาจพ่วงด้วยการกลับมาของพวกอัสคาห์ อาเดรียก็คงจะไม่เหลืออะไรอีก ท่านราชเลขา... ได้โปรดรับเรื่องนี้ไว้พิจารณาด้วย"

ลีอาห์ถอนใจกับคำโน้มน้าวของอีกฝ่ายแล้วจึงหลับตาลงอย่างอ่อนใจ

"ข้าจะเรียนเหนือหัวดาเรียสให้ทราบ การเจรจาคงไม่อาจตัดสินได้ในเร็ววัน"

จริงอยู่ว่าแอสทารอธเองก็ไม่อยากเจ็บตัวมากจากการเข้าร่วมสงครามเย็นนี้ แต่อย่างไรพวกเขาก็ต้องการความก้าวหน้า ซึ่งชายตรงหน้าเธอเองก็กล่าวได้ดี ศาสตร์การต่อเรืออย่างหนึ่งที่แอสทารอธให้ความสนใจในตอนนี้คือศาสตร์ของเรือจักรไอน้ำ ที่ผ่านมาพวกเขาเดินเรืออยู่กับธรรมชาติ หากมีพายุหรือฝนฟ้าคะนองขึ้นมา การเดินเรือก็จะล้มเหลวโดยง่าย ดังนั้นจึงไม่แปลกพวกเขาจะต้องสนใจศาสตร์ที่ว่านี้

"ข้ามีความรู้ในเรื่องนี้อยู่บ้าง ระหว่างพำนักที่นี่ข้ายินดีสนทนากับท่านราชเลขาทุกเมื่อ"

"เจ้าคงไม่ต้องเสียเวลาที่นี่นานหรอก มนุษย์..."

ลีอาห์หัวเราะร่วนในความหลักแหลมของอีกฝ่าย อันที่จริงนางคิดจะส่งคณะทูตกลับเสียตั้งแต่วันนี้ด้วยซ้ำ แต่วาจาของคนตรงหน้ากลายเป็นคำพูดกึ่งบังคับให้แอสทารอธต้องจัดการรับรองหาที่พักให้ และแน่นอนว่าเป็นคำท้าทายต่อ 'การเจรจาไร้เสียง' ของแอสทารอธด้วย "ให้ข้าทราบชื่อของเจ้าซิ ท่านทูตจากอาเดรีย"

"ข้ามีนามว่า... เอเดรียน"

ดวงตาเรียวของท่านหญิงหรี่ลงเล็กน้อยแล้วริมฝีปากบางจึงทอดยิ้ม "ข้าจะจำไว้ เอเดรียน"

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 7.2
«ตอบ #19 เมื่อ29-10-2016 08:10:25 »

ตอนที่ 7.2

ท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของแอสทารอธมีหอคอยคู่ซึ่งเปรียบได้ดั่งประภาคารเฝ้าระวัง นั่นคือหอคอยเหนือของผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ และหอคอยใต้ของผู้บัญชาการกองเรือกราเทียร์ แม้จะถูกเรียกว่าหอคอย แต่สิ่งก่อสร้างทั้งสองก็ใหญ่โตแข็งแรงเหมือนเป็นบ้านอาคารหลังหนึ่งที่มีความสูงมากกว่าปกติเท่านั้น และมันถูกออกแบบมาให้สามารถต้านทานคลื่นลมและน้ำทะเลกัดเซาะได้อย่างดี

ห้องทำงานของเซนทอร์ระดับขุนนางนั้นกว้างขวาง โดยตรงกลางของห้องเป็นแท่นหินที่ถูกยกขึ้นสูงจากพื้น และมีโต๊ะทำงานที่เตี้ยกว่าปกติวางอยู่ด้านบน เคียงด้วยเบาะนุ่มกว้างซึ่งมีเอาไว้สำหรับรองรับร่างกายท่อนม้าที่ใหญ่โตให้เอนลงนั่งได้สบายๆ แต่ก็ไม่เตี้ยจนทำให้ถูกก้มมอง

แม้ซาฮาลจะอยู่ในท่าเอนกึ่งนอนขณะทำงาน แต่ก็ใช่ว่ารีดาห์จะก้มมองเขาเมื่อเข้ามาถึงห้อง

"เลสธีราห์น่ะหรือ..."

เซนทอร์หนุ่มเลิกคิ้วขึ้นหลังฟังความจากผู้มาเยือนที่บังเอิญอยู่ร่วมฟังการเจรจาที่เลาน์เรนพอดี "ถ้าแฝงตัวมากับคณะทูตได้ แปลว่าเขาเข้าใกล้พวกชนชั้นสูงของอาเดรียได้แล้ว" เซนทอร์หนุ่มยังตรวจสอบการเบิกค่าใช้จ่ายของกองเรืออยู่ที่ห้องพัก แม้ว่านี่จะเป็นเวลาดึกมากแล้วก็ตาม "เจ้าจึงได้วิ่งรี่จากเลาน์เรนกลับมาที่มารินาเพื่อบอกข้าเรื่องนี้เชียว อยากจะอวดความสามารถของเจ้านายตัวเองหรือไร"

รีดาห์มุ่นคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยพอใจที่อีกฝ่ายรู้ทัน เพราะเจตนาของเขาจริงๆก็คือการโอ้อวดว่าเลสธีราห์สามารถบรรลุภารกิจไปครึ่งหนึ่งแล้วนั่นเอง แต่ปฏิกิริยาของซาฮาลกลับไม่เป็นที่น่าพอใจสักเท่าไหร่ "เจ้านี่มันหัวรั้นชะมัด ไม่คิดจะชื่นชมเลสธีราห์เลยใช่ไหม"

"ข้ายังไม่เห็นผลงาน... การเข้าร่วมคณะทูตได้ก็เท่านั้น เขาไม่ได้มีบทบาทในการเจรจา"

"เฮอะ ข้ากำลังบอกให้เจ้าเลิกเสนอตัวเองไปขัดคอต่างหาก"

ซาฮาลจรดปลายปากกากับน้ำหมึกแล้วจึงเขียนสรุปตัวเลขค่าใช้จ่ายคร่าวๆ "หวงเจ้านายเหลือเกินนะ" นัยน์ตาสีเข้มมองคู่สนทนา "ข้าก็ภาวนาให้เจ้านั่นทำงานสำเร็จหรอก เพื่อผลประโยชน์ของอาณาจักรด้วย แต่ในเมื่ออาเดรียกล่าวออกมาตรงๆแล้วว่าต้องการยืมกำลังพลของเซเลสต์ ถ้าฝ่ายนั้นรู้ขึ้นมาว่าแม่ทัพของเซเลสต์ตัวจริงอยู่ในคณะของตนตั้งนานแล้วจะไม่เป็นการทำลายความเชื่อถือหรือไง"

"ขวางโลกชะมัด" รีดาห์สวนกลับไม่ยอมแพ้ "แล้วเจ้าทำได้รึไง ทำให้พวกอาเดรียมันเปิดปากได้ตั้งแต่วันแรกแบบนี้"

"ข้าคิดว่านั่นเป็นความสมัครใจของทูตอาเดรียเสียมากกว่า ไม่ใช่ผลงานของเลสธีราห์... เจ้านั่นแค่เลือกประกบถูกคนก็เลยเหมือนกับว่าสามารถโน้มน้าวให้อาเดรียคายความลับได้ เรื่องเรือจักรไอน้ำนั่นก็น่าสนใจมาก และเป็นเรื่องที่ทุกอาณาจักรจับตามองอยู่แล้ว ดังนั้นการที่พวกมันเสนอขึ้นมาจึงไม่ได้น่าแปลกใจ แต่งานต่อไปของเลสธีราห์คือการทำให้แน่ใจว่าเราจะได้มาซึ่งสิ่งนั้นจริงๆ"

รีดาห์กอดอกมองคนพูดแล้วจึงกลอกตาล้อเลียน "หึ ขวางโลก..."

"ข้าได้ยินนะ รีดาห์"

"อยู่กันแค่สองคน ถ้าไม่ได้ยินก็หูตึงแล้วน่า!" เซนทอร์หนุ่มคำรามตอบพร้อมกับเคาะกีบเท้าลงพื้นแรงๆทีหนึ่ง "ข้ามาบอกแค่นี้ล่ะ... เจ้าก็ทำผลงานของตัวเองไปเถอะ ฤดูค้าขายแบบนี้ อย่าให้เรือมันพังมากนัก ถ้าข้าไม่อนุมัติซ่อมล่ะเจ้าจะมีปัญหา" เรื่องเดียวที่รีดาห์พอจะขู่ซาฮาลให้ได้... นั่นคือการขู่ไม่ซ่อมเรือให้ เพราะเรื่องโครงสร้างเรือทุกลำในสังกัดกองทัพเรือของแอสทารอธ รีดาห์คือผู้รู้ดีที่สุด

นอกเหนือจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองเรือรบเซเลสต์แล้ว รีดาห์ยังเป็นหัวหน้าหน่วยซ่อมบำรุงอีกด้วย "ถ้าเจ้าไม่มีปัญญาซ่อม ข้าจะรายงานเหนือหัวให้ปลดเจ้าจากหน่วยซ่อมบำรุงดีหรือไม่ ยังมีเซนทอร์ตนอื่นอีกมากที่มีความสามารถด้านนี้และพร้อมจะทำงานนะ"

แต่ต่อให้รีดาห์คิดว่าตัวเองได้เปรียบแค่ไหน ซาฮาลก็เป็นจอมข่มขู่อยู่ดี

"ข... ข้าไม่ได้ไม่มีปัญญาทำงาน!"

"เช่นนั้นก็ซ่อมไปสิ เมื่อวานเรือเราเพิ่งเสียหายจากพายุทะเลกลับมาสี่ลำ ข้าส่งใบแจ้งให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว ได้กลับไปตรวจที่โต๊ะทำงานบ้างหรือยัง หืม หรือว่ามัวแต่วิ่งเล่นไปมาระหว่างเลาน์เรนกับมารินาเอาเยี่ยงอย่างเจ้านายของเจ้าล่ะ" เมื่อถูกค่อนแคะเอามาก คนที่ไม่ค่อยรู้จักการระงับความโกรธก็ก้าวเข้าไปหาคนพูดก่อนจะยกขาหน้าทั้งสองขึ้นวางบนแท่นหิน และเท้ามือลงบนโต๊ะทำงานของอีกฝ่ายพอดิบพอดี

"อย่าปัดงานให้พ้นตัวแล้วกล่าวหาว่าคนอื่นไม่ทำงานหน่อยเลย ซาฮาล!"

ดวงตาสีเข้มของซาฮาลมองประสานกับนัยน์ตาสีน้ำตาลแดงของคนพูด และเมื่อเห็นลางการทะเลาะวิวาท ซาฮาลที่ค่อนข้างจะเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงได้บอกปัดบทสนทนาเพื่อให้เวลาอีกฝ่ายระงับโทสะ "เลสธีราห์มอบหมายงานให้เจ้ารักษาการผู้บัญชาการ ดังนั้นเจ้าก็ควรจะแบ่งเบาภาระของตัวเองไปให้มาร์เรียสบ้าง"

ซาฮาลพูดถึงมาร์เรียส... รองผู้บัญชาการกองเรือกราเทียร์ หรือว่ามือขวาของตนเอง

แม้ว่าเซนทอร์หนุ่มจะมีรองผู้บัญชาการกับเขาบ้างเหมือนกัน แต่หากพูดถึงหน่วยซ่อมบำรุงแล้ว รีดาห์กลับมีความสามารถ และความเชี่ยวชาญเหนือกว่ามาร์เรียสอย่างไม่น่าเชื่อ "แล้วก็อย่ายกเท้าขึ้นพาดแท่นหิน มันลื่น... หากตกลงมาแล้วขาแพลงใครจะแบกเจ้าไปเรือนพยาบาล" ร่างโปร่งเบ้หน้าล้อเลียนคำพูดราบเรียบของซาฮาล ก่อนจะยกขาลงตามที่อีกฝ่ายแนะนำ แต่แล้วเกือกเหล็กมันวาวนั่นก็สะดุดกับขาโต๊ะทำงานเข้า และร่างโปร่งก็เสียหลักเอียงล้มลงไปกับพื้นก่อนจะใช้ศอกยันตัวเอาไว้เพื่อลดแรงกระแทก

โครม!

"โอ๊ย..."

ซาฮาลไม่มีท่าทีตกใจกับอุบัตินั่น แต่เขาก็ไม่ได้ใจจืดใจดำขนาดไม่ชะโงกหน้าไปดูความเสียหาย เซนทอร์ถือว่าตนเองเป็นอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุด เพราะพวกเขาเป็นทั้งอาชาและมนุษย์ แต่ข้อเสียใหญ่ๆของอัศวินนักสู้เหล่านั้นก็คือพวกเขาไม่เคยใช้ชีวิตแบบมนุษย์ปกติได้ กระทั่งเวลาล้ม เซนทอร์เชื่อว่าพวกตนล้มได้เจ็บกว่ามนุษย์สักสองหรือสามเท่า

ร่างโปร่งยันตัวขึ้นจากพื้น และใช้ขาทั้งสี่ประคองตัวยืดขึ้นมายืนได้ดังเดิม แม้จะเป็นการล้มบนพื้นไม้ แต่ด้วยความที่เท้าของม้าไม่มีกีบ หรือนิ้ว ทำให้พวกเขาเกาะยึดอะไรไม่ได้ จึงต้องเผชิญกับแรงกระแทกจากน้ำหนักตนเองโดยตรง "ขาไม่แพลง!" รีดาห์พูดใส่หน้าคู่สนทนาที่ยื่นหน้ามามอง "ผิดหวังล่ะสิ!"

ซาฮาลถอนใจเบาๆกับตัวเอง "ไม่หรอก... ข้าก็เคยล้มแบบนั้นมาแล้ว"

ประโยคนั้นเรียกความสนใจจากรีดาห์ได้บ้าง แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บที่อุ้งมือ และข้อศอกเหมือนจะมีรอยถลอก แต่ร่างโปร่งกลับยังไม่รีบออกไปทำแผลอย่างที่ควรจะทำ "เจ้าเคยยกเท้าขึ้นพาดแท่นหินรึ... ซาฮาลผู้เคร่งขรึมและมีมาดคนนี้น่ะนะ!"

"ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ไปหายาใส่แผลถลอกได้แล้ว"

ร่างสูงวางปากกาของตนลงบนแท่น และขยับร่างกายท่อนม้าที่ใหญ่โตของตนเพื่อก้าวลงมายืนบนพื้น และนั่นก็ทำให้เจ้าตัวดูสูงขึ้นจนรีดาห์มองเห็นแค่คางของอีกฝ่ายเท่านั้น "อันที่จริงเจ้าควรจะกลับไปเลาน์เรน แล้วดูว่าเลสธีราห์แฝงตัวได้แนบเนียนอย่างที่เจ้าชื่นชมหรือไม่ แล้วไม่คิดจะอยู่ดูการเจรจาไร้เสียงหน่อยหรือ ท่านหญิงเลือกอาหารแบบไหนไปต้อนรับพวกอาเดรียล่ะ"

"ข้าดูมาหมดแล้วน่า" รีดาห์เริ่มถูกศอกของตนเบาๆด้วยความรู้สึกกึ่งคันกึ่งแสบ "เนื้อกวางหางขาว"

ผู้บัญชาการกราเทียร์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะผิวปากออกมาด้วยประหลาดใจ "ต้อนรับดีผิดคาดสำหรับเมืองที่มีชายแดนติดกัน แต่เพิ่งคิดจะโผล่มาคุยกัน" ร่างสูงเดินไปที่ชั้นวางของในห้องของตนแล้วหยิบกล่องไม้กล่องหนึ่งออกมา มันคือกล่องเก็บอุปกรณ์พยาบาล

"ทำเองก็แล้วกัน ดวงจันทร์ลอยข้ามฟ้ามาแบบนี้ข้าคิดว่าพวกนางพยาบาลคงนอนไปหมดแล้ว"

รีดาห์มุ่นคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่พอใจเสียทีเดียว เขารู้ว่าคนอย่างซาฮาลไม่ได้ใจร้าย แต่ก็ไม่ได้ใจดี "ถ้าเป็นเลสธีราห์... เจ้าจะทำแผลให้ไหม" แม้ในสายตาคนนอก ซาฮาลดูจะไม่ชอบหน้าเลสธีราห์เอามากๆ แต่รีดาห์กลับรู้ว่าแท้จริงแล้วซาฮาลไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย "ข้าหมายถึงว่า ถ้าเจ้านั่นยอม"

ซาฮาลแค่นหัวเราะเบาๆเมื่อพูดถึงอีกคน "เจ้านั่นไม่ทำอะไรโง่ๆแบบนี้หรอก"

"นี่เจ้าว่าข้ารึ!!"

"รู้ตัวก็ดีนี่..."

"ซาฮาล!"

"หุบปากแล้วรีบทำแผลซะ จะได้กลับไปพักผ่อน ถ้าพรุ่งนี้เช้าตื่นไม่ทันไปฟังการเจรจาของอาเดรียจะมาโทษข้าไม่ได้หรอกนะ" ร่างสูงเดินกลับไปเอนกายลงนั่งที่ตำแหน่งเดิมหน้าโต๊ะทำงาน และปล่อยให้ทั้งห้องอยู่ในความเงียบระหว่างที่รีดาห์ทำแผลให้ตัวเองโดยไม่อิดออด "อย่าเพิ่งวาดฝันว่าเราจะได้ผลประโยชน์ที่เท่าเทียม พวกเผ่าพันธุ์อื่นมันไว้ใจไม่ได้หรอก โดยเฉพาะมนุษย์น่ะ"

"อาเดรียร้องขอกองกำลังทางทะเลเพื่อจะไปสู้กับเรือที่มีความทันสมัยมากกว่าเรา ข้าก็ไม่คิดว่าเหนือหัวดาเรียสจะยอมยกให้ง่ายหรอกน่า" รีดาห์โต้ "แต่อย่างน้อยก็วางใจได้ว่ามีเลสธีราห์คอยสอดส่องความเคลื่อนไหวของอาเดรียอยู่... เราอาจจะได้เปรียบ"

"เลสธีราห์เป็นนักเดินเรือ ไม่ใช่สายลับ เขาจะทำอะไรได้สักแค่ไหนเชียว"

ผู้บัญชาการกราเทียร์วางปากกาและปิดฝากขวดน้ำหมึก " เรื่องนี้เราควรรอฟังความจากเหนือหัวดาเรียสหรือท่านหญิงลีอาห์จะดีกว่า เจ้าก็อย่าเพิ่งแพร่งพรายเรื่องเรือจักรไอน้ำมากนัก ประเดี๋ยวจะเป็นเรื่องครึกโครม"

"นี่เจ้าเห็นข้าเป็นเด็กหรืออย่างไร ซาฮาล!!"

"เด็กทั้งคู่นั่นล่ะ ทั้งเจ้า ทั้งเลสธีราห์..."

--------------------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 7.2
« ตอบ #19 เมื่อ: 29-10-2016 08:10:25 »





ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 7.3
«ตอบ #20 เมื่อ29-10-2016 08:12:47 »

ตอนที่ 7.3

หลังจากการเสร็จสิ้นการเจรจาวันแรกแล้ว เฟลิเซียก็นำผู้มาเยือนไปยังที่พักที่อยู่ห่างจากพระราชวังอัสเธียร์ไปไม่ไกล ม้าของพวกถูกปล่อยให้เดินอย่างอิสระโดยรอบที่พัก และอุปกรณ์ต่างๆเกี่ยวกับม้าก็ถูกถอดออกวางอยู่รวมกันอย่างเป็นระเบียบ เตียงนอนของพวกเซนทอร์ไม่มีหัวเตียงเพราะพวกเขาเป็นม้าที่มีขนาดร่างกายใหญ่โตกว่ามนุษย์ธรรมดา ดังนั้นเตียงที่พักจึงเป็นฟูกทรงวงกลมที่มีหมอนอิงสองสามใบเท่านั้น และห้องพักห้องหนึ่งก็มีขนาดใหญ่พอจะรวมคนสี่คนเข้ามาอยู่ด้วยกันได้ แต่ถึงอย่างนั้น พวกเซนทอร์ก็มีห้องพักเพียงพอสำหรับอาคันตุกะผู้มาเยือน

"สงครามที่ผ่านมาเป็นสงครามของไอย์ชวลกับธีสธรัล โดยคัสนาห์กับอาเดรียซึ่งเป็นหนึ่งในอาณานิคมของธีสธรัลมีหน้าที่สนับสนุนธีสธรัลด้วยกำลังพลและเสบียง แต่ก็ถูกพวกภูตปล้นชิงเสบียงไปทั้งหมดระหว่างการทาง การถูกโจมตีอย่างง่ายดายทำให้กษัตริย์ธีสธรัลไม่พอใจเป็นอย่างมาก ท่านหญิงซินญอร่าผู้เป็นเจ้าเมืองคัสนาห์ เมืองพี่ของอาเดรียจึงต้องออกหน้าแสดงความบริสุทธิ์ใจและเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการเดินทางข้ามทะเลไปเจริญความสัมพันธ์ที่เกาะธีสธรัลอันเป็นที่ตั้งของเมืองหลวง"

จาเร็ตต์พยายามอธิบายให้เลสธีราห์ฟังตั้งแต่ต้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทางงุนงนกับการเจรจา

"แต่จู่ๆพวกภูตก็บุกโจมตีเมืองหลวงของธีสธรัลอีก และครั้งนี้ก็ได้รับชัยชนะ ผลัดบัลลังก์ได้สำเร็จ ทั้งคัสนาห์และอาเดรียจึงได้รับอิสรภาพ ท่านหญิงซินญอร่าจึงรีบเดินทางกลับมายังอาเดรียและสั่งปิดท่าเรือเพื่อกีดกันการขนส่งของพวกบนเกาะนั่นเพื่อสร้างวความได้เปรียบให้กับเราในการเจรจา"

"ข้า... ข้ารู้เรื่องสงคราม" เลสธีราห์ตัดประโยค "แต่ข้าไม่เข้าใจเรื่อง... ทำไมต้องใช้กองเรือเซเลสต์"

เลสธีราห์พอจะรู้ว่าเหตุใดมารดาของเขาจึงบอกปัดการเจรจาไปก่อน เพราะนางจะต้องหารือกับเหนือหัวดาเรียสให้ถี่ถ้วน อีกทั้งการเจรจานี้คือการขอกำลังจากกองเรือเซเลสต์ซึ่งมีเขาเป็นผู้บัญชาการอีกด้วย ถ้าท่านหญิงลีอาห์อนุญาตโดยง่ายก็เป็นการส่งลูกชายออกไปรบ และแน่นอนว่าจะเกิดช่องว่างที่ทำให้คลางแคลงใจอย่างแน่นอน เพราะเลสธีราห์คือผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ซึ่งแฝงตัวเข้ามาในคณะทูตนี้

"สิ่งที่เราต้องการจากแอสทารอธไม่ใช่ให้พวกเขาปิดท่าเรือ... แต่คือการยืมกำลังพลของเซเลสต์"

เลสธีราห์เลิกคิ้วข้างหนึ่ง "ทูตจากมหาคฤหาสน์ไม่เห็นจะว่าอย่างนั้นเลย"

"ถ้าเจ้าเป็นเจ้าเมืองแล้วใครส่งคนส่งทูตมายืมกองทัพเจ้า เจ้าจะยอมหรือไร" เอเดรียนถามกลับ "เราไม่ได้มาเพื่อหาพวกไปเจรจา เลสธีราห์ เรามาเพื่อหากำลังพลสนับสนุน... ในเมื่อท่านหญิงซินญอร่าทำให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว จะไปก้มหัวให้ใครง่ายๆก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ"

คนฟังมุ่นคิ้วและหันไปมองจาเร็ตต์ราวกับต้องการยืนยันคำตอบ

ในหัวของเขาตอนนี้สับสนอย่างบอกไม่ถูก... ดูเหมือนว่าการคาดการณ์ของเหล่าเซนทอร์จะคลาดเคลื่อนเจตนารมณ์ของอาเดรียไปมาก พวกเขาเพียงแค่ลังเลว่าควรจะให้การสนับสนุนหรือเอนเอียงเข้าฝ่ายใด แต่ก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าการตัดสินใจเจรจาในครั้งนี้คือการเลือกว่าจะเข้าร่วมสงครามที่ใช้ความรุนแรงหรือไม่

หากพวกเขาปฏิเสธ ไอย์ชวล อาเดรีย และธีสธรัลอาจรบรากันจนต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสูญเสีย

...และพวกเขาก็ทำได้แค่เฝ้ามอง

แต่หากพวกเขาตอบตกลง แอสทารอธอาจต้องเป็นฝ่ายสูญเสีย เพราะกำลังพลที่อาเดรียร้อนขอก็คือกำลังทหารแนวหน้าในท้องทะเลอันได้แก่กองเรือเซเลสต์ โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าผลตอบแทนที่ควรจะได้รับนั้นคุ้มค่ากับสิ่งที่ต้องเสียไปหรือไม่

 "แต่ดูเหมือนว่าการพูดอ้อมๆจะไม่ทำให้เซนทอร์คล้อยตามสักเท่าไหร่ ข้าคุยกับพวกทูตเอาไว้ว่าหากเซนทอร์สนใจจะร่วมมือค่อยพูดเรื่องกองเรือจะดีกว่า ท่านราชเลขาก็ดูเป็นคนเถรตรงเสียจนใช้วาจาด้วยไม่สำเร็จ มีแต่จะต้องพูดกันตรงๆแบบนี้ นางคงจะพอใจกว่า"

...นี่เจ้าว่าแม่ข้ารึ เอเดรียน

จาเร็ตต์เอนหลังพิงหมอนใบหนึ่งบนแท่นนอนใหญ่ ที่นอนของพวกเซนทอร์ใหญ่พอที่คนสองคนจะลงไปนอนด้วยกันได้ แต่แน่นอนว่าพวกเขาคงไม่ทำเช่นนั้น แอสทารอธจัดที่พักเอาไว้อาคันตุกะคนละห้องนอน ดังนั้นพวกเขาจึงยืดเส้นยืดสายกันเต็มที่ "เห็นได้ชัดว่าเซนทอร์ดูสนใจเรือจักรไอน้ำมาก แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าถ้าเรื่องนี้สำเร็จ เราจะได้ศาสตร์การต่อเรือไอน้ำมาให้พวกเขาจริงๆ"

เอเดรียนอ่านแผนที่ไปพลางขณะตอบคำถาม "หากแอสทารอธยอมร่วมมือ เราก็คงต้องหามาให้"

เลสธีราห์ถามกลับบ้างเมื่อสบโอกาส "หมายความว่าอย่างไร... ศาสตร์ของ... เรือจักรไอน้ำอะไรนั่นไม่ได้อยู่ที่อาเดรียหรอกรึ" เซนทอร์หนุ่มรู้สึกยินดีอยู่ในใจลึกๆว่าในที่สุดพวกเขาก็พูดคุยถึงเรื่องที่เป็นประโยชน์ของแอสทารอธเสียที หลังจากพูดเรื่องประโยชน์ของอาเดรียมาเนิ่นนาน

"เปล่าหรอก... เท่าที่ข้ารู้ในตอนนี้ มีเพียงธีสธรัลเท่านั้นที่มีความรู้"

"แล้วเจ้าจะไปหามาอย่างไรเล่า อาเดรียก็เพิ่งปิดประตูใส่หน้าธีสธรัลไปนี่" การปิดท่าเรือของอาเดรียไม่ต่างอะไรจากการปิดประตูใส่หน้าแขกผู้มาเยือน ดังนั้นจึงตัดหนทางเจรจาออกไปได้เลย "ถ้าหาไม่ได้ขึ้นมา... แอสทารอธเอาเรื่องเจ้าแน่ๆ"

แม่ทัพใหญ่หัวเราะร่วนกับคำขู่ "เจ้านี่รู้จักเซนทอร์ดีนัก... แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาตอนนี้หรอก"

"แล้วปัญหาคืออะไร"

โจฮาลล์หันมาตอบคำถามของเลสธีราห์บ้างหลังจากเงียบไปพักใหญ่ "ปัญหาก็คือ... เราจะได้กองเรือทั้งหมดของพวกเขามาได้ยังไง" ชายหนุ่มลูบเคราดกหนาของตน "กองเรือเซเลสต์ จำนวนเรือสามร้อยลำ กับมหาปืนใหญ่ ทั้งยังแม่ทัพเรือที่ว่ากันว่า... ถือธนูแอควาเรียร์ของชาวเอลฟ์ด้วย"

นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองธนูคู่ใจของตนที่วางห่างออกไปด้วยความระแวง

เลสธีราห์พยายามตีซื่อ "อะไรคือแอควาเรียร์" ในตอนนี้เขาควรจะแกล้งไม่รู้ให้สมเป็นชาวบ้านจะดีกว่า อีกประการหนึ่งก็คือชายหนุ่มอยากจะรู้ด้วยว่าพวกมนุษย์รู้จักธนูของเขาดีแค่ไหน และรู้ได้อย่างไร มีมนุษย์คนไหนรู้จักหน้าค่าตาของเขาด้วยหรือเปล่า "ธนูของเอลฟ์รึ"

"ก็เอลฟ์น่ะซี" โจฮาลล์หัวเราะตอบ "เอเดรียนบอกว่าเจ้าเป็นครึ่งเอลฟ์ เหตุใดจึงไม่รู้จักเสียได้"

"ข... ข้าไม่ใช่พวกชนชั้นสูงของชาวเอลฟ์ จะรู้อะไรมากมาย!"

เอเดรียนยกมือขึ้นปรามบทสนทนานั้น ก่อนจะวางมือลงบนบ่าของเลสธีราห์

"โจฮาลล์ ข้าบอกเจ้าว่าอย่างไร... เรื่องอดีตของเลสธีราห์ ถ้าเขาไม่ต้องการจดจำ เจ้าก็อย่าเป็นฝ่ายถามขึ้นมาเสียเองแบบนี้" เซนทอร์หนุ่มกลั้นใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินอย่างนั้น นี่เป็นเหตุผลที่ทั้งโจฮาลล์และจาเร็ตต์ดูจะหมดปัญหากับเขาเสียดื้อๆอย่างนั้นหรือ เพราะอีกฝ่ายไปห้ามเอาไว้ว่าเลสธีราห์มีอดีตที่ไม่อยากพูดถึงอยู่

...ทำไมถึงไม่มีเซนทอร์คนไหนเห็นใจเขาแบบนี้บ้างหนอ

"ว่ากันถึงธนูแหวกสมุทร..." เอเดรียนกล่าวต่อ "เป็นธนูธาตุน้ำที่อยู่ในตระกูลเดียวกับธนูสี่ธาตุของชาวเอลฟ์ ข้าเคยเห็นอำนาจของมันเพียงหนึ่งเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นธนูอัลซาโตเกียร์ที่สามารถจับลมมาขึ้นสายเป็นลูกดอกได้" แม่ทัพหนุ่มอธิบายอย่างใจเย็น "ในขณะที่ธนูน้ำ ซึ่งข้าก็ฟังพวกชาวบ้านเล่าต่อกันมา พวกเขาบอกว่า เพียงแค่ขึ้นสายก็ดึงคลื่นลมในทะเลมาอยู่ในมือได้แล้ว"

โจฮาลล์ทำท่าง้างคันธนูตามคำบรรยายในท่าทางกึ่งล้อเลียน

"ข้อด้อยแอควาเรียร์ที่ทำให้มันต่างจากอัลซาโตเกียร์ก็คือมันไม่สามารถแสดงอำนาจใดๆได้ หากในบริเวณนั้นไม่น้ำสักหยด" เอเดรียนมุ่นคิ้วใส่สหายร่างยักษ์ของตนอย่างอ่อนใจ ทำให้โจฮาลล์หันไปหัวเราะกับจาเร็ตต์อีกครั้ง และหันกลับมาเสริมความรู้ต่อ

"แอควาเรียร์จึงเป็นอาวุธที่น่ากลัวที่สุดของแม่ทัพเรือ... ลูกดอกเพียงดอกเดียวไม่สามารถล้มเรือได้ทั้งลำ แต่สำหรับแอควาเรียร์แล้ว ความน่ากลัวของมันอยู่ที่คลื่นที่ตามมา" เลสธีราห์คิดว่าใจของเขาหยุดเต้นไปสักพักหนึ่งเมื่อฟังเรื่องทั้งหมดจบ... เพราะสิ่งที่คนตรงหน้าพูดมานั้นถูกต้องทุกประการ

"น่าแปลกนะ คนที่ชอบแอสทารอธมากมายนักหนาเช่นเจ้า กลับไม่รู้จักแอควาเรียร์" เอเดรียนตั้งข้อสังเกต เมื่อถูกจับพิรุธ เซนทอร์หนุ่มก็หันไปมุ่นคิ้วใส่คนพูดเป็นการกลบเกลื่อน ...ไม่รู้ว่าทำไมเอเดรียนจึงได้ทำเหมือนรู้นักว่าเขาคือเซนทอร์ และเหมือนจะรู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์

"ข้าชอบพวกเซนทอร์! แต่ไม่ได้ชอบพวกเอลฟ์สักหน่อย ยิ่งพวกอัสคาห์นี่นะ..."

"แต่ธนูเอลฟ์นี่มาจากพวกเธสซาลีย์ไม่ใช่รึ พวกเอลฟ์ที่มีเวทมนตร์ทั้งหลายน่ะ" ความเกลียดชังต่ออัสคาห์มีอยู่ในสายเลือดของเซนทอร์ทำให้เลสธีราห์หลุดปากผิดเรื่อง แทนที่เขาจะพูดว่าตนเกลียดเธสซาลีย์จึงได้ไม่รู้เรื่องธนูเอลฟ์ แต่กลับพูดตามนิสัยเซนทอร์ว่าเกลียดอัสคาห์แทน

"จริงสิ... เจ้าพอจะรู้จักหน้าค่าตาผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ไหมเหล่า"

...เมื่อไหร่จะเลิกสนทนาเรื่องที่เกี่ยวกับข้าสักที

ร่างโปร่งลอบถอนใจเร็วๆเฮือกหนึ่ง "ข้าเป็นพรานป่านะ ถ้าพูดถึงเรื่องบนดินก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก แต่หากลงน้ำแบบนี้ข้าไม่รู้ด้วยแล้ว" เขาตัดบทและทิ้งวงสนทนาให้อยู่ในความเงียบอีกพักใหญ่ "แล้วตกลงเจ้าจะไปหาศาสตร์เรือไอน้ำมาจากไหนกันน่ะ!" อย่างไรเซนทอร์หนุ่มก็คงจะไม่เลิกถามเรื่องนี้ เพราะมันเป็นผลประโยชน์ของแอสทารอธ หากเขารู้แต่เนิ่นว่าเอเดรียนไม่สามารถหาศาสตร์เรือไอน้ำมาให้ได้ เขาก็จะสามารถเตือนพรรคพวกตนเองได้ว่าไม่ควรไปร่วมมือ

แม่ทัพหนุ่มยิ้มใจเย็น "เจ้าก็ช่วยข้าเจรจาสิ หากทำให้แอสทารอธร่วมมือได้ ข้าจึงจะบอก..."

"เฮอะ นี่ข้าช่วยเจ้าคิดอยู่นะ เกิดพรุ่งนี้ท่านหญิงลีอาห์ถามเจ้าขึ้นมาจะไปตอบเช่นนี้ได้เสียที่ไหน"

สามคนที่เหลือหันมามองคนพูดเป็นตาเดียวด้วยความทึ่งเล็กๆที่อีกฝ่ายกล้าเรียกชื่อราชเลขาของแอสทารอธแบบนั้น "เลสธีราห์ อย่าให้พวกเซนทอร์ได้ยินเชียวนะ" โจฮาลล์ปราม "พวกนั้นไม่ชอบให้เรียกชื่อ"

...หนอย ทีกับข้าล่ะเรียกห้วนๆนัก ทีกับแม่ข้าล่ะทำเป็นเกรงใจรึ

"เอาเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว รีบพักผ่อนเสีย พรุ่งนี้เราอาจจะเจอคำถามหนักกว่าวันนี้ ราชเลขาตอนนี้ก็คงจะไปพูดคุยกันเหนือหัวอยู่แน่" ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย และจาเร็ตต์ก็ลุกขึ้นยืนเป็นคนแรกพร้อมกับสะกิดพี่ชายให้กลับห้องพร้อมตน แต่เลสธีราห์ยังข้องใจกับคำถามก่อนหน้าจึงได้รั้งรออยู่ก่อน

"มีอะไรรึเปล่า... เลสธีราห์"

"เจ้าจะไม่ตอบคำถามข้าจริงๆรึ เรื่องเรือจักรไอน้ำนั่น" ร่างโปร่งเซ้าซี้ "ที่ข้าถามเพราะถ้าเจ้าไม่มีปัญญาหามันมาให้พวกเซนทอร์ได้ พวกนั้นเอาเจ้าถึงตายแน่ๆ" แม่ทัพใหญ่จรดยิ้มบางที่มุมปากแล้วจึงพยักหน้ารับด้วยใบหน้าเศร้าๆ

"ใช่ ข้ายังไม่มีแผนว่าจะเอามันมาได้อย่างไร"

"แล้วเจ้าไปเสนอเขาแบบนั้นได้ยังไงกัน!" ร่างโปร่งว่า ในขณะที่ในหัวของเขาเริ่มคิดหาวิธีปลีกตัวออกจากที่พักและไปเตือนเรื่องนี้กับมารดาของตนแล้ว "เซนทอร์ขึ้นชื่อว่าเถรตรงและรักษาคำพูดอย่างที่สุด เจ้าทำเช่นนี้เท่ากับประกาศสงครามกับแอสทารอธชัดๆ"

"ข้าจะไปหามาเองน่า" เอเดรียนตอบ "ต่อให้มันต้องแลกด้วยชีวิตข้า ข้าก็จะไปหามา"

"พูดไม่คิดนัก"

ร่างโปร่งกอดอกและตั้งท่าจะลุกออกไปจากห้องด้วยความหงุดหงิด "มีใครรักอาเดรียเท่าข้าบ้าง เจ้าเห็นหรือไม่ เลสธีราห์..." นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบคนมองคนพูดพร้อมกับมุมคิ้วไม่เข้าใจ แม่ทัพใหญ่ถอนใจและเอนลงพิงหมอนใหญ่ข้างๆตัว "อ้อมค้อมเจรจาไปแบบนี้มีแต่จะสร้างความรำคาญให้ราชเลขา นางต้องการความตรงไปตรงมา แต่ทูตจากมหาคฤหาสน์ก็สนใจแต่จะยื้อผลประโยชน์ไว้ไม่ยอมเสียสักอย่าง แล้วคิดว่าแอสทารอธจะยื่นมือเข้าช่วยหรือไง"

"แต่เจ้าก็เสนอความเท็จให้แอสทารอธนี่..."

"ข้ารู้ว่ามันมีอยู่จริง เรือจักรไอน้ำนั่น... และถ้าแอสทารอธตกลงจะช่วย ข้าจะเดินทางไปธีสธรัลเพื่อไปเอามันมาให้ได้" เอเดรียนว่า "หากไม่เสนอสิ่งนี้ คิดว่าแอสทารอธจะยอมช่วยหรือ แล้วถ้าอาเดรียตกเป็นอาณานิคมอีกครั้ง เจ้าไม่คิดว่ามันเจ็บปวดหรือ ที่ข้าต้องทำแบบนี้ เพราะข้ารักอาเดรีย"

เซนทอร์หนุ่มพ่นลมอย่างอ่อนใจและนั่งบนฟูกข้างๆแม่ทัพใหญ่ที่ดูอ่อนเพลียจากการเจรจา

"พูดอย่างกับว่าจะเข้าไปได้ง่ายๆ ถ้าเจ้าเอามันมาไม่ได้หรือตายไประหว่างทาง คนที่รับศึกหนักย่อมเป็นอาเดรีย ชักศึกเข้าบ้านตนแบบนี้ไม่รู้สึกผิดหรือไร" เลสธีราห์กอดอก แม้เขาจะไม่พอใจการกระทำของเอเดรียน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งเดียวที่แอสทารอธสนใจในตอนนี้คือเรือจักรไอน้ำอย่างที่อีกฝ่ายคาดเดา

มันสมเหตุสมผลหรือไม่... ที่แอสทารอธจะยอมส่งกองเรือเซเลสต์ออกรบ

...และอาเดรียจะเสี่ยงชีวิตแม่ทัพคนหนึ่งเข้าไปขโมยศาสตร์เรือจักรไอน้ำออกมา

แอสทารอธอาจเสี่ยงชีวิตคนทั้งกองทัพ แต่อาเดรียกลับเสี่ยงชีวิตแม่ทัพเพียงคนเดียว "แม่ทัพเพียงคนเดียวที่รักอาณาจักรอย่างนั้นรึ" นัยน์ตาสีฟ้าปรายมองคนที่ลงไปนอนบนฟูกแล้ว "ไม่แบ่งเบาภาระบนบ่าเจ้าไปให้คนนสนิทบ้าง เอเดรียน ...ใครก็ได้ที่เจ้าไว้ใจ แม่ทัพไม่ควรคิดจะเสี่ยงเข้าไปตายในเมืองศัตรูแบบนั้น"

หากแอสทารอธตกลง... ชะตาของแม่ทัพอาเดรียคงไม่พ้นเป็นขโมยและอาจต้องตายในเมืองศัตรู

"ข้าไม่มีคนที่ไว้ใจ... เลสธีราห์"

ร่างสูงตอบเสียงเรียบ "จะมีก็แต่โจฮาลล์กับจาเร็ตต์ แต่พวกเขาก็สำคัญเกินกว่าที่ข้าจะยอมให้ไปตายบนเกาะนั่น" นัยน์ตาสีเข้มเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ "อาจจะมีเจ้าอีกคนที่เป็นกำลังให้ข้าได้" อีกฝ่ายหลับตาลงหลังพูดจบ "ถ้าข้าไว้ใจเจ้าได้จริงๆ..." จู่ๆเลสธีราห์ก็รู้สึกถึงความอ้างว้างแปลกๆของคู่สนทนา เขาคิดมาตลอดว่าการเป็นใหญ่เป็นโตถึงระดับแม่ทัพจะต้องมีมิตรสหายมากมายและมีคนรอรับใช้หลายคน แต่เอเดรียนกลับไม่มีใครสักคนข้างกาย เขามีเพียงเพื่อนไม่กี่คน และเป็นเพื่อนที่เขาจะไม่ส่งไปตายที่ไหนอีกด้วย ...ช่างเป็นแม่ทัพที่โดดเดี่ยว

"ข้าเป็นพรานชาวบ้านธรรมดา" เซนทอร์หนุ่มสวมบทบาทต่อไป "จะช่วยอะไรเจ้าได้"

"เป็นแค่คนที่ข้าไว้ใจได้ก็พอแล้ว"

แม่ทัพใหญ่ยิ้มจาง "ข้าไม่กลัว... หากจะต้องตายที่ธีสธรัล ข้าไม่กลัวหากจะต้องตายเพราะทำภารกิจให้อาณาจักร ขอแค่ความตายนั้นไม่ได้มาจากคนที่ข้าไว้ใจก็พอ" ความเหงาหงอยที่เขาสัมผัสได้ในน้ำเสียงทำให้เลสธีราห์ถอนใจและกำหมัดหลวมๆทุบไหล่คนพูดเบาๆเป็นเชิงปลอบ

"ข้าจะไปกับเจ้าก็ได้..." ร่างโปร่งรีบกอดอกและเบือนหน้าหนี "จะไปสู้หลังชนกับเจ้าก็ได้"

"แน่ใจรึ" เอเดรียนถามย้ำ "อันตรายนะ"

"เออ... ก็แค่อันตรายน่า" เลสธีราห์หันกลับมาจ้องคู่สนทนา "หายเหงารึยังล่ะ เจ้าแม่ทัพ!"

เอเดรียนหัวเราะเสียงต่ำในลำคอและเอื้อมมือมาลูบหัวคู่สนทนาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน "ข้าไม่ควรจะไว้ใจคนที่เพิ่งเจอกันไม่นานด้วยซ้ำ" คนที่ถูกขยี้ผมปัดมือใหญ่ออกและพยายามจะจัดทรงให้เรียบร้อยตามเดิมพร้อมเสียงประท้วง

"อย่าทำเหมือนข้าเป็นเด็กนะ!"

แม่ทัพอาเดรียทอดยิ้มจาง "เจ้าเป็นเด็ก... เด็กหนีออกจากบ้าน"

"ข้าไม่ได้หนีออกจากบ้าน!!" เมื่อเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง เลสธีราห์ก็ลุกขึ้นยืนและเดินจ้ำไปที่ประตูเพื่อตัดบท แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาชี้นิ้วใส่มนุษย์โอหังที่กล้าลูบหัวเขา "ข้าอุตส่าห์อยู่เป็นเพื่อนเจ้าแท้ๆ นอกจากไม่สำนึกบุญคุณแล้วยังมากวนประสาทข้าอีก"

"อืม ขอบคุณสำหรับเรื่องนั้นก็แล้วกัน... เลสธีราห์"

ร่างโปร่งชะงักไปก่อนจะกลับห้องตัวเองโดยไม่ต่อปากต่อคำ

...

ทำไมเขาจะต้องรู้สึกร้อนหน้ากับเสียงนุ่มๆของเอเดรียนด้วย

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เขียนดีจังค่ะ ชอบสำนวน  :katai2-1:
รอติดตามนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 8.1
«ตอบ #22 เมื่อ30-10-2016 08:24:21 »

ตอนที่ 8.1

"ข้าได้ยินว่าเจ้าเคยนำเขี้ยวของเสือมาขายให้กับพ่อค้าที่ตลาดกลาง" เอเดรียนเอ่ยขึ้นเป็นเชิงถาม "เขี้ยวพวกนี้มีมูลค่ามากเมื่อนำไปทำเป็นเครื่องประดับ พวกนักเดินทางที่กระเป๋าหนักชื่นชอบมันมาก" นี่ก็เป็นอีกวันที่ทั้งคู่จำไม่ได้ว่าวันที่เท่าไหร่ที่พวกเขาออกมาพบกันที่ริมธารใต้ต้นพลับแห่งนี้ แต่มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่จะต้องมาทุกวัน

"ได้ยินแบบนี้ ข้านึกอยากจะไปขายด้วยตัวเองท่าจะได้เงินหนักกว่าไปส่งให้พ่อค้าคนกลาง"

เอเดรียนหัวเราะเบาๆ "อิทธิพลในเมืองท่ามันเยอะ เจ้าไม่ควรเสี่ยง เลสธีราห์"

"อะไรกัน เจ้าเองเป็นคนพูดขึ้นมายั่วข้าตั้งแต่แรกไม่ใช่รึ" ร่างโปร่งหัวเราะบ้าง "ข้าเองก็คิดว่ากว่าจะหาเขี้ยวสัตว์ได้สักคู่มันช่างเปลืองพลังงานเหลือเกิน ควรจะได้ค่าตอบแทนมากกว่านี้ด้วยซ้ำ" ในความเป็นจริงแล้ว เลสธีราห์พบซากเสือตัวนั้นในป่า และเขาคิดว่าเขี้ยวของมันอาจจะมีมูลค่า ดังนั้นจึงลองนำไปขายในตลาดกลางดูก็เท่านั้น "มีอะไรอีกบ้างที่ขายได้ราคาล่ะ"

"เจ้าเป็นพราน เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้าไม่ใช่รึ" เอเดรียนเลิกคิ้ว "ข้าเห็นพวกเอลฟ์ชอบเครื่องเทศนะ"

"อ้อ..." เลสธีราห์เลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ เนื่องจากเซนทอร์ไม่ปรุงอาหาร ดังนั้นการคุยเรื่องเครื่องเทศอาจไม่ใช่เรื่องที่เขาถนัดสักเท่าไหร่ "ข้าทำอาหารไม่เป็นหรอก" ชายหนุ่มไหวไหล่ "ปกติก็หากินในตัวเมือง หรือไม่ก็... พวกเนื้อเค็มที่พกพาง่ายสักหน่อย ไม่มีเวลาทำอาหารในป่าหรอก"

"จริงสิ ข้าได้ยินว่ามีร้านหนึ่งที่ท่าเรือทำเนื้อเค็มรสชาติดีมาก เอาไว้จะนำมาฝากเจ้าก็แล้วกัน"

เลสธีราห์อ้าปากค้างราวกับต้องการตอบโต้อะไรบางอย่างแต่ก็เงียบลงตามเดิม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกรีดร้องอยู่ในใจว่า เอเดรียนไม่ควรซื้อเนื้อเค็มมาฝากเซนทอร์ "เจ้ากินบ่อยรึ ของชาวบ้านแบบนั้น ข้าคิดว่าพวกขุนนางจะคุ้นเคยกับอาหารดีๆมากกว่า"

"บอกแล้วไง ข้าเองก็ต้องออกไปล่าสัตว์กับคณะพรานเหมือนกัน" เอเดรียนหัวเราะ

"เช่นนั้นเจ้าควรเก็บไว้กินเองจะดีกว่า ฟังดูราคาแพงน่าดู"

"ไม่แพงเท่าอาหารที่อ้างว่าใช้สูตรของชาวเอลฟ์หรอก" ชายหนุ่มว่า "ในเมืองมีตั้งมากมายที่อ้างว่า อาหารในร้านนั้นใช้สูตรการทำอาหารของชาวเอลฟ์ หากสูตรการทำอาหารของพวกเอลฟ์ดีจริง เหตุใดพวกเขาจึงต้องมาซื้อเครื่องเทศ เครื่องปรุงจากตะวันตกเล่า นั่นไม่ได้หมายความว่าของประเภทนี้ของอาณาจักรเราดีกว่าหรอกหรือ"

เลสธีราห์โคลงหัวเล็กน้อยและพยายามหาความเชื่องโยงในอาณาจักรตนเพื่อมาต่อบทสนทนา

"ข้าเองก็ได้ยินว่าพวกเอลฟ์สอนเซนทอร์ทำอาหารด้วย" เมื่อเอ่ยถึงเซนทอร์ ท่าทางของเอเดรียนที่ดูเรียบเฉยก็แปรเปลี่ยนเป็นความสนใจราวกับเด็กฟังนิทาน "พวกเซนทอร์เป็นมังสวิรัติ เจ้ารู้ไม่ใช่หรือ แต่พวกเขาก็ต้องต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองจากดินแดนตะวันออกเหมือนกัน หากเสิร์ฟแต่ผักอย่างที่พวกตัวเองก็ดูจะเป็นการเสียมารยาทไปสักหน่อย ดังนั้นพวกเขาจงต้องเรียนรู้การปรุงรสชาติเนื้อด้วย แม้ว่าตัวเองจะไม่กินเนื้อก็ตาม"

"ข้ารู้ว่าพวกเขาเป็นมังสวิรัติ แต่เรื่องการปรุงอาหารนี่ข้าก็เพิ่งเคยได้ยิน"

เลสธีราห์เริ่มรู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไปจึงพยายามเลี่ยงการให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่ดูรู้ลึกมากจนเกินไป "ข้าได้ยินมาจากคนอื่นอีกที แต่ก็เชื่อได้ว่าเป็นเรื่องจริง แม้ว่าจะยังไม่เคยไปแอสทารอธเพื่อพิสูจน์เองเลยก็ตาม


--------------------------------------------------

เลสธีราห์กลับมายังห้องพักของตนที่อยู่ด้านนอกสุดของเขตที่พักรับรอง องครักษ์ร่างสูงที่เฝ้าเวรยามอยู่ด้านหน้าหันกลับมามองร่างโปร่งเล็กน้อยและลอบส่งยิ้มให้เป็นการทักทาย ผู้บัญชาการเซเลสต์หัวเราะสั้นๆกับกิริยานั้นและรีบเปิดประตูเข้าไปในห้องของตน

"ท่านแม่ ถ้าพวกนั้นมาประชุมที่ห้องข้าจะเป็นอย่างไรกัน"

หญิงเซนทอร์ในร่างมนุษย์ก้าวออกมาจากเงามืดพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ไม่ได้ดังไปกว่าเสียงลมหายใจ "เจ้าคิดว่าข้าคาดการณ์ไม่ได้หรือไง เลสธีราห์..." ลีอาห์อยู่ในชุดผ้าโปร่งบางเบาสบายที่ดูคล้ายจะเป็นชุดนอนของมนุษย์ ราชเลขาแห่งแอสทารอธตรงไปนั่งที่เตียงกว้างทรงกลม ก่อนจะกวักมือเรียกบุตรชายให้เข้าไปหาตน "ระวังตัวให้มาก รู้หรือไม่"

"ข้ารู้แล้วน่า" เด็กดื้อหลบสายตามารดาแต่ก็ยอมเดินไปหาแต่โดยดี "ข้าสบายดี"

"เลส..." เมื่อชายหนุ่มนั่งลงข้างๆ คนเป็นแม่ก็เอื้อมมือไปลูบผมยาวสีอ่อนของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู "เจ้าต้องหาทางออกให้ตัวเองด้วย ใช่ว่าข้าอยากจะส่งลูกตัวเองไปสงคราม แต่ถ้าการเจรจามันต้องลงเอยเช่นนั้น เจ้าก็ต้องไป..." ลีอาห์พูดเสียงเรียบ "เรื่องเรือจักรไอน้ำทำให้เหนือหัวดาเรียสสนใจได้จริง แต่ข้าก็ไม่คิดว่าเราจะได้มาโดยง่ายนัก เจ้าจะต้องดูแลผลประโยชน์ของอาณาจักรเราในส่วนนี้ด้วย"

"ข้าทราบแล้ว"

เลสธีราห์คิดว่าเขาควรจะเก็บเรื่องนี้ไปใคร่ครวญคิดดูอีกครั้งหนึ่งก่อน จริงอยู่ว่าอาเดรียคิดไม่ซื่อด้วยการเสนอสิ่งที่ตนไม่มีให้กับแอสทารอธ แต่ในเมื่อเอเดรียนเป็นฝ่ายออกปากเองว่าอย่างไรก็ต้องหามาให้ได้ในภายหลัง ดังนั้นเขาจึงควรรอดูท่าทีไปก่อน

เพราะมองในมุมเอเดรียนแล้ว อาเดรียก็ช่างเป็นเมืองท่าที่มีชะตากรรมอันน่าสงสาร

"แล้วก็..." ท่านหญิงเว้นจังหวะหายใจ "ใครคือหัวหน้าของเจ้าในตอนนี้ ใช่เอเดรียนผู้นั้นรึเปล่า"

"...ใช่ครับ"

ลีอาห์ยกมือขึ้นกุมหน้าทันทีที่ได้ยิน "ช่างเป็นเรื่องยุ่งยากจริง" เธอหันกลับไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของบุตรชายและพยายามอธิบาย "ระวังเขาให้มาก... ต่อให้เขาดูเป็นคนนุ่มนวล ประนีประนอมแค่ไหน เขาอาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่าที่เรามองเห็น ในการเจรจาวันนี้ จากการที่เขาตอบโต้ฉะฉานและยื่นข้อเสนออย่างกล้าได้กล้าเสีย ข้าไม่คิดว่าเขาจะเป็นขุนนางธรรมดาคนหนึ่ง"

"ท่านแม่ เขาเป็นแม่ทัพของอาเดรีย" เลสธีราห์เฉลยปริศนาในใจของมารดา และเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าตื่นตกใจของราชเลขาราวกับต้องการขอคำแนะนำ "ข้าพบเขาเมื่อเดือนที่แล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะมาดักรอที่แม่น้ำซึ่งข้าต้องไปดื่มน้ำทุกวัน แล้วเราก็พูดคุยกันบ้างจนค่อนข้างถูกคอ กระทั่งเขาชวนข้ามาร่วมกลุ่ม..."

ลีอาห์เป็นฝ่ายนิ่งฟังเพื่อรอให้บุตรชายเล่าให้จบ

"เขาชวนข้าไปพักที่คฤหาสน์ในเมืองอาเดรียเพราะกลัว่าข้าจะเป็นสายสืบของที่ไหนสักที่... มันเป็นอุบายที่จะไม่ให้ข้าไปไกลจากสายตาของเขา" เซนทอร์หนุ่มกลั้นใจก่อนจะพูดต่อแม้รู้ตัวว่าจะต้องถูกตำหนิ "และเขารู้ว่าข้าเป็นอมนุษย์ ...เพียงวันเดียวที่ข้าเข้าไปที่คฤหาสน์นั่น"

ราชาเลขาหญิงมุ่นคิ้วพร้อมกับพยักหน้า "สมกับเป็นผู้นำทัพที่สามารถประคองกองกำลังลับๆของอาเดรียให้อยู่รอดมาได้ตลอดสิบปีที่ผ่านมา" นางเปรย "แล้วเขารู้หรือเปล่าว่าเจ้าเป็นเซนทอร์ เป็นคนของแอสทารอธ" ท่านหญิงคาดหวังคำตอบที่พอจะทำให้นางสบายใจได้บ้าง และนางก็โล่งอกเมื่อเห็นบุตรชายส่ายหัว

"ข้าบอกเขาว่าข้าเป็นครึ่งเอลฟ์... เพียงเท่านั้น และเขาก็ไม่เซ้าซี้อะไรต่อ"

"เขาคงวางแผนแค่จะใช้ประโยชน์จากเจ้า" ท่านหญิงว่า "ระวังตัวให้มาก ยิ่งเมื่อรู้ว่าเขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ยิ่งต้องระวังให้มาก" เมื่อมารดาหันมาสบตา เลสธีราห์ก็พยายามใจแข็งมองตอบ "อย่าให้เขาใช้ประโยชน์จากเจ้าในฐานะเซนทอร์"

เลสธีราห์พยักหน้ารับเซื่องๆ "แต่เขาเป็นแม่ทัพที่ดูโดดเดี่ยว..."

เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาอย่างนั้น ลีอาห์ก็พบว่านั่นคือความอ่อนแอของบุตรชาย "เลสธีราห์... เจ้าเข้าไปในอาเดรียในฐานะสายลับที่สักวันก็จะต้องปลีกตัวออกมาหลังเสร็จสิ้นภารกิจ อย่าให้ความรู้สึกมีอำนาจเหนือเหตุผลเหล่านี้" ท่านหญิงทอดถอนใจ "เจ้ารู้ว่าหากภารกิจนี้สำเร็จ เจ้าจะได้ในสิ่งที่เจ้าตามหามาตลอดชีวิตไม่ใช่หรือ"

"ข้ารู้" เลสธีราห์ตอบ "ท่านแม่ไม่ต้องห่วง... ข้ายังจำเป้าหมายได้ดี"

"หากมีสักวันที่เจ้าจะต้องประกาศตัวว่าเจ้าคือผู้นำของเซเลสต์ สายใยบางอย่างอาจจะขาดจากกันและนำพาสถานการณ์ไปสู่ความเลวร้ายได้" มือเรียวยกขึ้นประคองใบหน้าคมของบุตรชาย "ระวังตัวให้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่คนข้างกายของเจ้าคือแม่ทัพเอเดรียน"

แต่เอเดรียนดูไม่มีพิษภัยเลยสักนิด... กับคำพูดเหงาๆเมื่อสักครู่

เลสธีราห์เม้มปากแล้วจึงพยักหน้ารับขณะครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง... เขาไม่คิดว่าเอเดรียนจะเป็นอันตราย ตัวเขาเองต่างหากที่รู้สึกผิดด้วยซ้ำที่พยายามใช้คำพูดกับจุดอ่อนของฝ่ายนั้น "ท่านแม่คิดว่าแม่ทัพใหญ่จะยอมเชื่อใจคนที่เพิ่งเจอกันได้เดือนกว่าๆหรือไม่"

"เป็นแม่... ก็ไม่เชื่อหรอก"

...นั่นสินะ

นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เลสธีราห์เคยคิดว่าเขาเริ่มสนิทสนมกับเอเดรียนขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เมื่อได้ฟังลีอาห์พูดเช่นนี้ เซนทอร์หนุ่มก็ตระหนักว่าความคิดของเขามันช่างตื้นเขิน ในความเป็นจริงแล้ว... ไม่มีใครที่อาจเชื่อใจกันได้ในช่วงเวลาสั้นๆไม่ใช่หรือ ต่อให้เป็นเด็กก็ยังต้องพูดคุยกันเนิ่นนานกว่าจะเป็นเพื่อนกันได้ แต่เอเดรียนเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แม่ทัพที่ต้องประคับประคองกองกำลังที่จัดตั้งขึ้นลับๆภายใต้คำสั่งห้ามของธีสธรัล และเขาก็สามารถดูแลมันได้อย่างดีมาตลอด คนที่มีชั้นเชิงและมีความสามารถขนาดนั้นจะเชื่อใจใครง่ายๆได้อย่างไร

...เอเดรียนอาจจะพยายามจะซื้อใจเขา เพื่อให้เขาทำประโยชน์ให้

แต่ก็คงไม่มีวันเชื่อใจเขาเป็นแน่

...

อย่างไรเขาก็ไม่ต้องการความเชื่อใจอยู่แล้วไม่ใช่หรือ

--------------------------------------------------

แม่ทัพอาเดรียออกมาจากห้องพักก่อนเวลาพระอาทิตย์ขึ้น แต่ก็ไม่ได้ไปไหนไกลนักเนื่องจากเขาไม่ได้มีเจตนาจะแอบไปที่ใด เพียงแต่ชายหนุ่มนอนไม่หลับเท่านั้น เมืองที่พวกเขามาพักนี้คือเลาน์เรน เมืองหลวงแห่งแอสทารอธ แต่ก็เป็นเมืองหลวงที่ค่อนข้างจะเงียบเหงา นั่นก็เพราะเลาน์เรนได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่มีไว้ต้อนรับแขกและเป็นที่พักของกษัตริย์เท่านั้น

เมืองที่คึกคักที่สุดของแอสทารอธเห็นจะเป็นมารินา...

โดยระหว่างเลาน์เรนและมารินานั้นมีเทือกเขาหนึ่งกั้นอยู่ ทำให้ผู้มาเยือนไม่สามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของท่าเรือมารินาได้เลยแม้ไม่ว่าจะมองจากส่วนไหนของเลาน์เรนก็ตาม เอเดรียนยังอยู่ในชุดนอน และเขาก็อยากออกไปเดินรับลมยามเช้ามากกว่าจะนั่งเฉยๆอยู่ในที่พัก แต่เขาคงต้องรออีกสักพักใหญ่กว่าผู้ร่วมคณะเดินทางจะตื่นเต็มตา

ทว่าท่ามกลางความสงบของยามเช้านั่นเอง ร่างเงาบางอย่างก็เคลื่อนไหวให้เห็นที่หางตา

"...อะ!"

และเมื่อหันไปพิจารณาให้ชัดเจน เอเดรียนก็ต้องสะดุ้งเมื่อเลสธีราห์ก้าวเข้ามาประชิดตัวเขา "ตื่นเช้านี่ ท่านแม่ทัพ" ร่างโปร่งทักทาย ก่อนจะยื่นมือส่งอะไรบางอย่างให้อีกฝ่าย "หิวแล้วหรือไง" เอเดรียนชะงักเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นผลไม้สุก เขาถอยเท้ามาก้าวหนึ่งเพื่อพิจารณาสิ่งที่เลสธีราห์ถือให้แน่ใจ และพบว่ามันคือผลไม้สีม่วงลูกกลมที่เขาไม่รู้จัก

"เจ้าเองก็ตื่นเช้า... อย่าดอดไปไหนไกลนัก ประเดี๋ยวพวกเซนทอร์จะไม่พอใจเอาได้"

แม่ทัพหนุ่มรับผลไม้นั้นมาถือไว้ เขารู้สึกได้ถึงน้ำหนักของมันที่บ่งบอกถึงลักษณะผลไม้ฉ่ำน้ำ "แล้วนี่ไปได้มาจากไหนกัน อย่าบอกเชียวว่าไปแอบเก็บมา" เลสธีราห์สวมชุดตัวเก่งของเขาเรียบร้อยแล้ว และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะกลับมาจากการเดินสำรวจคร่าวๆรอบที่พัก "เจ้านี่ซุกซนกว่าที่ข้าคิดเอาไว้นะ"

"ข้าไม่ได้แอบเก็บมาสักหน่อย เดินไปขอเขาตรงๆเลยต่างหาก"

เอเดรียนยิ้มอ่อนใจ แล้วจึงหยิบเศษใบไม้ที่ติดผมคู่สนทนาออก "แน่ใจรึ ในเมื่อเจ้านี่มันฟ้องแบบนี้" เขาหมายถึงใบไม้แห้งนั่น แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้คิดจะเอาถือสาเอาความ เขารู้ว่าเลสธีราห์เป็นพรานที่มีความสามารถและเอาตัวรอดได้ แม้จะไม่เห็นด้วยที่อีกฝ่ายแอบออกไปสำรวจข้างนอกมาก็ตาม "เอาเถอะ จะทำอะไรก็ระวังตัวด้วย ข้าตามไปปกป้องเจ้าไม่ได้ทุกครั้งหรอกนะ"

เซนทอร์หนุ่มเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง "ทำไมเจ้าต้องปกป้องข้าด้วย"

"เพราะเจ้าเป็นคนของข้าไง ถ้าลูกน้องทำผิด คนเป็นหัวหน้าเช่นข้าก็ควรจะออกหน้ารับแทน"

"ข้าไม่เคยพูดสักคำว่าเป็นลูกน้องเจ้า" เลสธีราห์มุ่นคิ้ว "แล้วข้าก็ไม่ต้องการให้ใครปกป้องด้วย" ร่างโปร่งหยิบมีดพกออกมา ก่อนจะคว้าเอาผลไม้ในมือเอเดรียนมาตัดแบ่งครึ่ง โดยตนเองคาบเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วส่งครึ่งที่เหลือใส่ปากเอเดรียนเป็นการบอกให้อีกฝ่ายเลิกพูดมาก

"ถึงจะว่าอย่างนั้น มันก็เป็นหน้าที่ข้าที่จะต้องปกป้องเจ้าอยู่ดีล่ะนะ"

เอเดรียนถือไม้ผลไม้ครึ่งที่เหลือเอาไว้ โดยที่รสชาติหวานอมเปรี้ยวยังติดที่ปลายลิ้น เขามองดูคนตรงหน้ากัดกินผลไม้อย่างเอร็ดอร่อยด้วยท่าทางของคนที่โปรดปรานมันอย่างที่สุด ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ และหยิบมีดของตนขึ้นมาบ้างเพื่อผ่าชิ้นที่เหลือในมือของเขาออกเป็นสองส่วน "กินอีกสักครึ่งของข้าก็ได้นะ ถ้าเจ้าชอบขนาดนั้น"

"มันเป็นของหายากในแดนตะวันออก... เจ้าควรจะรู้คุณค่าของมันบ้าง"

"แต่เจ้าดูจะเห็นค่ามันได้มากกว่า ข้าถึงให้เจ้าไง" เอเดรียนกินชิ้นที่เหลือในมือของตน และยื่นอีกชิ้นไปใกล้ปากคู่สนทนา "เวลาที่เจ้าดูมีความสุข มันทำให้ข้าลืมเรื่องอื่นๆไปเสียหมดเลยเชียว" ร่างโปร่งไม่กัดผลไม้ที่อยู่ในมือของแม่ทัพ เขารับมือมันถือไว้สักครู่หนึ่งแล้วจึงเริ่มกินด้วยตัวเอง

"เจ้าก็หัดมีความสุขเสียบ้างสิ"

"ในภาวะเช่นนี้รึ ยากจริง" ร่างสูงแค่นหัวเราะ "มีความสุขแทนข้าทีสิ เลสธีราห์"

"หืม..." คนถูกเรียกเลิกคิ้ว "จะไปแทนกันได้ยังไง เจ้าก็พิลึกคนนัก" เมื่อกินผลไม้จนหมดแล้ว เลสธีราห์ก็เลื่อนสายตาไปมองชุดคลุมตัวยาวที่เอเดรียนใส่นอน "เจ้าควรไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว ถ้าพวกเซนทอร์มาตามไปกินอาหารเช้าแล้วมัวแต่ยืดยาด เดี๋ยวก็โดนดัดหลังเข้าให้หรอก"

เซนทอร์ไม่ชอบนิสัยผิดเวลา... ไม่ว่าใครก็รู้ดี

"ข้าจะไปปลุกโจฮาลล์กับจาเร็ตต์" ร่างโปร่งผละตัวออกมาจากบทสนทนาที่ค้างคา และโดยไม่ต่อปากต่อคำ เซนทอร์หนุ่มก็ตรงไปที่ห้องพักของสองพี่น้องผมแดง เขาไม่ต้องการจะสนทนาเรื่องนี้ในเวลานี้ แม้ว่ามันจะเป็นการพูดคุยเล่นๆก็ตาม แต่เมื่อได้ฟังน้ำเสียง และมองเห็นสีหน้าของเอเดรียน เลสธีราห์ก็รู้สึกว่าเขากำลังหวั่นไหว

หวั่นไหวต่ออะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ในเวลานี้

แต่ก่อนที่เลสธีราห์จะเคาะประตูห้องพักของจาเร็ตต์ เจ้าตัวก็เปิดออกมาก่อนด้วยใบหน้าเรียบเฉยที่บ่งบอกได้ว่าไม่ได้เพิ่งตื่น และอาจจะแอบฟังการสนทนาของพวกเขาอยู่สักพักหนึ่งแล้ว "ใครจะไปนอนหลับในสถานการณ์แบบนี้เล่า" ชายผมแดงว่า "ต่อให้ 'การเจรจาไร้เสียง' ของพวกเซนทอร์จะให้ผลดีต่อพวกเราก็เถอะ แต่การต้อนรับดีก็ไม่ได้บอกเป็นนัยว่าอีกฝ่ายจะตอบรับข้อเสนอนี่"

"เจ้าตื่นเช้ามาด้วยเรื่องเครียดเชียว จาเร็ตต์"

เอเดรียนพยายามหัวเราะ เพียงเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศยามเช้า แต่มีหรือที่คนสนิทจะไม่ทันสังเกต "เจ้าเองก็นอนไม่หลับเหมือนกันไม่ใช่รึไง" ร่างโปร่งเดินเลี่ยงไปห้องข้างๆตนก่อนจะเคาะประตู "โจฮาลล์ ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นแล้ว ออกมาได้แล้ว" มือขวาของแม่ทัพหันกลับมาและมองเลสธีราห์อยู่สักพักแล้วจึงพูดต่อ

"ชีวิตของเจ้าดูมีอิสระเสียจนน่าอิจฉา เลสธีราห์"

"..." คนฟังชะงักเล็กน้อยแล้วจึงถามกลับ "ข้าต้องตอบว่าอะไรรึเปล่า"

จาเร็ตต์หัวเราะร่วนกับประโยคนั้น "ไม่หรอก มันเป็นประโยคบอกเล่าน่ะ"

"ฟังอย่างไรก็ค่อนแคะกันชัดๆ" เอเดรียนแกล้งแหย่ "แต่ก็ถูกของจาเร็ตต์ ตอนนี้ข้าคิดว่าอยากเกิดเป็นพรานป่าเสียมากกว่าแม่ทัพอย่างไรอย่างนั้น" คนที่ไม่รู้ว่าควรจะทำหน้าอย่างไรได้แต่มองคนพูด ก่อนจะก้มลงเก็บมีดพกเล่มยาวใส่ฝักตามเดิมแก้เก้อ "แต่ทุกคนก็ล้วนแล้วไม่พอใจในชีวิตของตัวเอง ดังนั้นก็เลยคิดว่าเป็นเช่นนี้คงจะดีแล้ว"

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 8.2
«ตอบ #23 เมื่อ30-10-2016 08:25:27 »

ตอนที่ 8.2

การเจรจาไร้เสียงของแอสทารอธในวันนี้เปิดฉากด้วยรายการอาหารที่มีผักเป็นส่วนประกอบโดยส่วนใหญ่ ส่วนเนื้อสัตว์ที่ปรากฎอยู่บนโต๊ะดูจะมีเพียงแฮมเนื้อหมูเท่านั้น และนอกเหนือจากนั้นก็เป็นไข่ และขนมปัง ซึ่งมันสร้างความกดดันอย่างประหลาดให้กับผู้มาเยือน

"เมื่อคืนนี้มีใครไปเมาเละเทะหัวราน้ำอยู่แถวไหนหรือเปล่า"

โจฮาลล์เอียงไปถามเอเดรียนที่พยายามประกอบอาหารเป็นแซนวิซแฮม จาเร็ตต์ที่นั่งอยู่ข้างกันก็ตักแฮมมาไว้ที่จานตัวเองถึงสามชิ้นและขนมปังอีกสองแผ่น ประกอบกับไข่ทอดชิ้นหนึ่งตามประสาคนไม่กินผัก ต่างจากเลสธีราห์ที่นั่งอยู่อีกข้างของเอเดรียนที่ดูจะมีความสุขเหลือเกินกับผักมากมายหลายชนิดตรงหน้า

"นี่ไม่ใช่การประชดประชันของแอสทารอธใช่ไหม"

พวกเขารู้ดีว่าเซนทอร์เป็นมังสวิรัติ แต่ก็ได้ยินมาว่าพวกครึ่งม้าจะแบ่งชั้นอาคันตุกะด้วยชนิดของเนื้อสัตว์ที่ใช้เลี้ยงระหว่างที่พวกเขาพำนักอยู่ โดยพวกเอลฟ์จะได้รับประทานเนื้อวาฬอย่างดี พวกภูตมักจะได้เนื้อกวาง และมนุษย์พวกแรกในรอบยี่สิบปีที่เข้ามาเหยียบแอสทารอธก็ได้รับเนื้อกวางเช่นกัน

ทว่าเช้านี้กลับเป็นผักเสียส่วนใหญ่...

"การเจรจาไร้เสียงจะเกิดขึ้นกับมื้ออาหารเย็นของคืนวันแรกเท่านั้น แล้วมื้อเช้าพวกเจ้าก็ไม่ควรกินเนื้อสัตว์หนักๆอย่างเนื้อกวาง เนื้อกระทิงไม่ใช่รึ ที่คฤหาสน์ราห์โมนายังเลี้ยงด้วยขนมปังปิ้งกับน้ำซุปเลย" เลสธีราห์คว้าผักใบใหญ่มาใส่ปาก เสียงของความกรอบอร่อยดังไปทั่วโต๊ะอาหารที่ยังคงงุนงงและเงียบกริบ

โจฮาลล์ย่นจมูก "ข้าว่าซุปผักยังให้ความรู้สึกดีกว่าผักทั้งต้นแบบนี้..."

"กินไปเถอะน่า" เอเดรียนเอ็ดคนสนิท "เซนทอร์อาจจะต้มซุปข้นไม่เป็นก็ได้ พวกเขาเป็นมังสวิรัตินี่ เจ้านึกถึงม้าเข้าไว้สิ" เลสธีราห์เหลือบมองคนพูดเล็กน้อยและพยายามจะพยักหน้าเห็นด้วย อันที่จริงแล้วเหตุผลที่เซนทอร์ไม่ทำซุปผักนั่นก็เพราะพวกเขาจะไม่นำผักไปต้มน้ำให้เสียรสชาติ เลสธีราห์ที่เคยลิ้มรสซุปผักมาครั้งหนึ่งก็ยังคิดอยู่ว่าฝีมือการทำอาหารของพวกมนุษย์นั้นไม่ได้เรื่องเอาเสียเลยด้วยซ้ำ

"ถ้าพูดถึงม้า... เซนทอร์จะกินฟางแห้งด้วยไหม"

"เจ้าอย่าได้ล้อเลียนในเขตแดนของพวกเขาเชียวนะ!" จาเร็ตต์เอ็ดพี่ชายบ้าง เขาประกบขนมปังสองแผ่นกับแฮมทั้งหมดและไข่ทอดเป็นแซนวิซที่ไม่มีผัก ก่อนจะกัดคำหนึ่งเพื่อพบว่าแฮมของพวกเซนทอร์มีรสชาติที่ดีผิดคาด "ขนาดคนทำเป็นมังสวิรัตินะนี่"

"หนอย จาเร็ตต์! เจ้าเอาแฮมไปมากเท่านั้นแล้วจะพูดอะไรก็ได้นี่"

"ก็เจ้าตักช้า จะมาว่าอะไรข้าล่ะ"

"เป็นสูตรของพวกเอลฟ์น่ะ อาหารที่ทำจากเนื้อพวกนี้" เอเดรียนว่า "พวกเอลฟ์เป็นคนสอน... และอาหารที่ทำจากเนื้อก็จะทำกันเฉพาะในครัวของพระราชวังอัสเธียร์เท่านั้น โดยพ่อครัวและแม่ครัวที่ชำนาญการพิเศษที่ร่ำเรียนวิชามาจากชาวเอลฟ์ซึ่งสืบทอดกันมาหลายรุ่น" ทั้งโต๊ะหันไปมองคนพูด ก่อนจะพยักน้ารับรู้เบาๆ

"เจ้าไปรู้มาจากไหนน่ะเอเดรียน" โจฮาลล์เลิกคิ้ว

เลสธีราห์หัวเราะแล้วจึงถองศอกใส่คนข้างตัวเบาๆ "จำได้ขนาดนี้แล้วจะชวนข้ามาทำไมกัน" แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ เอเดรียนจำมาจากเลสธีราห์ พวกเขาเคยพูดคุยกันหลายต่อหลายเรื่อง และเอเดรียนก็ดูจะสนใจเรื่องของแอสทารอธเป็นพิเศษ และตั้งอกตั้งใจฟังราวกับเด็กรอฟังนิทานเลยทีเดียว

"หรือเจ้าไม่เชื่อสิ่งที่ข้าพูดก็เลยพาข้ามาเพื่อให้แน่ใจ"

"ข้าบอกเจ้าแล้ว เลสธีราห์... ข้าถูกชะตากับเจ้า"

การพูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมากลางโต๊ะอาหารทำให้คนฟังรู้สึกร้อนหน้าขึ้นมาทันทีอย่างช่วยไม่ได้ และถองศอกใส่อีกฝ่ายอีกครั้งหนึ่ง "จ... เจ้าไม่เคยบอกข้าแบบนั้น!" ว่าแล้วร่างโปร่งก็หยิบผักใส่ปากตัวเองและเคี้ยวอย่างเอาเป็นเอาตาย "เจ้าบอกว่าข้าช่วยเหลือเจ้าได้"

"แล้วเจ้าช่วยได้จริงหรือไม่เล่า"

"เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว!"

ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่อาหารประเภทผัก ผลไม้ และแป้งก็ยังเป็นศัตรูตัวฉกาจของคนที่ไม่ชอบผักอย่างโจฮาลล์อยู่ดี "เอเดรียน... เจ้ามีเนื้อเค็มติดมาบ้างไหม" ชายผมแดงกระซิบถาม และคำตอบที่ได้ก็คือการส่ายหัวของแม่ทัพอาเดรีย

"ข้าจะไปพกของแบบนั้นติดตัวมาได้ยังไง"

เลสธีราห์เอื้อมมือไปเลื่อนกระปุกแยมไปหาเอเดรียน เพื่อให้อีกฝ่ายส่งต่อไปให้โจฮาลล์ที่พยายามจะมองข้ามผักชามโตตรงหน้า "ถ้าเจ้ากินขนมปังได้" คนพูดหยิบผักใบเขียวขึ้นมากัดอีกคำหนึ่งและเคี้ยวกินเป็นปกติต่างจากโจฮาลล์ที่พยายามไม่แสดงสีหน้าด้วยความเกรงใจ

"ถูกปากหรือไร ผักสดน่ะหืม..." เอเดรียนถาม "เห็นเจ้าหยิบเอาไม่ขาดมือ ต่างจากโจฮาลล์ที่ลังเลเสียเหลือเกินกว่าควรจะหยิบอะไร" เซนทอร์หนุ่มชะงักไปสักพักแล้วจึงจัดการก้านผักในมือจนหมด ผู้นำทางคณะเองก็พยายามจะเลียนแบบบ้างด้วยการหยิบผักชนิดเดียวกันมากัดคำหนึ่ง

"นั่นสิ ทำไมเจ้าถึงกินได้อร่อยแบบนั้น นี่มันขมจะตายไป"

"ข้าถึงได้บอกให้เจ้ากินแยมอย่างไรเล่า" เลสธีราห์ตัดบท และหันไปหาแม่ทัพที่ดูจ้องจับผิดเขาเหลือเกิน "เจ้าเองไม่กินหรือไร ผักสดไม่อยู่ท้อง ยิ่งไม่กินจะยิ่งหิว เจรจาไม่รู้เรื่องด้วยนะ" ว่าแล้วเขาก็ยัดตะกร้าผักเขียวใส่มือเอเดรียนที่เริ่มหัวเราะ "อย่าหัวเราะแบบนั้นได้ไหม ข้าไม่ชอบ"

"อืม...ถึงขั้นออกคำสั่งให้ข้าเปลี่ยนเสียงหัวเราะเชียวรึ"

ร่างโปร่งมุ่นคิ้วกับประโยคล้อเลียน "เจ้าทำเหมือนข้าเป็นเด็ก"

"ถ้าไม่คิดว่าตัวเองเป็นเด็ก เจ้าก็ไม่เด็กหรอก" แม่ทัพหนุ่มพยายามจะปลอบ "ข้าไม่ชวนเด็กมาร่วมคณะด้วยหรอกน่า" เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพยายามปากหวาน เซนทอร์ก็ไหวไหล่เป็นเชิงให้อภัย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ยอมพูดกับเอเดรียนอยู่ดี

"นี่ เจ้าเด็กผอม... ข้าว่าเจ้าจะเหมือนเด็กก็เพราะคุณพ่อยอมขอโทษแล้วยังหน้างอนี่ล่ะ"

คนถูกเรียกอ้าปากค้างและหันไปแย้งคนข้างตัวทันที "ข้าไม่ได้หน้างอสักหน่อย!"

ขุนนางคนอื่นที่ร่วมทางมาด้วยไม่มีปฏิกิริยาอะไรเมื่อกลุ่มผู้ติดตามของแม่ทัพเอเดรียนดูจะหยอกล้อเล่นกันเป็นครั้งที่สองในโต๊ะอาหาร บรรยากาศยามเช้าของแอสทารอธนี้เงียบสงบ และผ่อนคลายกว่าที่อาเดรียมาก ทั้งเสียงนกที่เริ่มออกหากิน เสียงลมไหวหวิวเมื่อเสียดสีกับต้นไม้ จะมีแต่เสียงฝีเท้าของเจ้าบ้านเท่านั้นที่ดังกวนใจ

เพราะเซนทอร์ตนหนึ่งมีสี่เท้า และเป็นสี่เท้าที่ก้าวไม่พร้อมกันเสียด้วย

ในระหว่างที่พวกเขากำลังถกเถียงกันนั่นเอง เสียงกีบเท้าหนักๆก็ดังขึ้นมา ซึ่งเลสธีราห์จำจังหวะการเดินแบบนั้นได้ดี เซนทอร์หนุ่มจึงก้มหน้าลงและเงี่ยหูรอฟังการมาถึงของอีกฝ่าย และน้ำเสียงดุดันหนักแน่นอันเป็นเอกลักษณ์ "ท่านราชเลขาส่งข้ามาต้อนรับเจ้าในวันนี้" เมื่อฝ่ายนั้นมาถึง คณะทูตก็รีบลุกขึ้นยืนต้อนรับในทันทีด้วยเกรงว่าจะเสียมารยาท แต่ด้วยส่วนสูงของมนุษย์แล้วก็ไม่อาจทำให้เซนทอร์ผู้มาเยือนรู้สึกว่ากำลังพูดคุยอยู่ในระดับเดียวกันสักเท่าไหร่

อย่าว่าแต่เพียงพวกมนุษย์ แต่ในแอสทารอธนี้ ซาฮาลอาจเป็นเซนทอร์ที่สูง และสง่าที่สุด

"ใครเป็นคนเสนอตัวจะร่วมงานกับข้า"

เลสธีราห์ชำเลืองมองต้นเสียง และพบว่าสายตาของซาฮาลมองมาที่แผ่นหลังของเขาอย่างเจาะจง "การพูดคุยกับคณะทูตที่ไม่เปิดปากย่อมไม่มีความหมาย สู้คุยกับคนที่รู้เรื่องดีที่สุดเพียงคนเดียวจะดีกว่า" สำเนียงการพูดของอีกฝ่ายเข้มงวดและเด็ดเดี่ยวจนคณะทูตจากมหาคฤหาสน์เองยังไม่กล้าอาสา ดังนั้นจึงเป็นแม่ทัพเอเดรียนที่ยืดอกเจรจาตอบโต้

"ข้าเอง..." เอเดรียนสูงแค่อกของซาฮาล แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาสูญเสียความสุขุมไป

"เช่นนั้นเราต้องหารือกัน" ซาฮาลหมุนตัวเดินนำออกไปจากโต๊ะอาหารพร้อมกับแนะนำตัวโดยไม่หันกลับมามอง "ข้าคือ ซาฮาล... ผู้บัญชาการกองเรือแห่งแอสทารอธ" เอเดรียนได้รับสัญญาณจากอีกฝ่ายให้เขาตามไป ชายหนุ่มจับดาบที่เอวเพื่อความมั่นใจครั้งหนึ่งแล้วจึงเลี่ยงออกไปจากโต๊ะอาหาร

"ข้าจะไปด้วย!"

ด้วยความที่อยากรู้ว่าซาฮาลจะพูดอะไร และอยากรู้ว่าเอเดรียนจะตอบโต้อย่างไร เลสธีราห์จึงเสนอตัวขึ้นมาพร้อมกับคว้าธนูข้างกายก้าวออกไปกับเอเดรียนด้วย "นี่เป็นการหารือระดับสูง" น่าแปลกที่เซนทอร์ร่างสูงจะยอมเหลือบสายตากลับมามองตามเสียงของเลสธีราห์ และต่อให้เขาวางท่าดุดันแค่ไหน ผู้บัญชาการเซเลสต์ก็ลอบถลึงตากลับไม่ยอมแพ้เช่นกัน

"เลสธีราห์..." เอเดรียนกระซิบปราม

แต่ร่างโปร่งข้างกายก็แยกเขี้ยวใส่เซนทอร์อย่างไม่กลัวเกรงอยู่ดี "ข้ามีหน้าที่ต้องดูแลผู้นำของข้า"

ซาฮาลพ่นลมหายใจไม่สบอารมณ์ครั้งหนึ่งแล้วจึงเดินนำไปโดยไม่สนใจจะพูดซ้ำ เซนทอร์หนุ่มเดินนำทั้งคู่ออกมาด้านนอกพระราชวังโดยไม่กล่าวอะไร และมุ่งตรงออกไปทางตะวันออกซึ่งเป็นถนนทางยาวที่มุ่งสู่เมืองท่ามารินาแห่งแอสทารอธ "เจ้าไม่ควรวู่วาม จะเสียเรื่องเปล่า" เอเดรียนเอ็ดเบา "การเจรจานี้ไม่ใช่เพียงข้าที่ต้องรับผิดชอบ และทุกคนในคณะล้วนต้องรับผิดชอบร่วมกัน"

"เซนทอร์เคารพในคำว่าหน้าที่... ดังนั้นถ้าข้าพูดว่ามันเป็นหน้าที่ มันก็เป็นหน้าที่ของข้า"

เมื่อร่างโปร่งเสียงแข็งอย่างที่ไม่เคยเป็น เอเดรียนก็เป็นฝ่ายเงียบเสียเอง นี่ไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่เขาจะสั่งสอนลูกน้อง แต่แม่ทัพใหญ่ก็เริ่มคิดว่าวันนี้เขาคงมีเรื่องต้องพูดกับเลสธีราห์อีกมากเลยทีเดียว เพราะในยามเช้านี้ เจ้าตัวก็เกือบจะทำเสียเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ

--------------------------------------------------

ซาฮาลก้าวเดินในจังหวะเชื่องช้าสม่ำเสมอ แม้จะเดินมาในเส้นทางทิศตะวันออก แต่ชายหนุ่มกลับไม่มีความคิดจะให้อาคันตุกะจากต่างแดนเข้าไปในเมืองท่า ซาฮาลไม่ได้ตั้งใจจะพาเอเดรียนมาดูเรือรบ เพียงแค่เดินนำพวกเขาออกมาห่างจากพระราชวังอัสเธียร์เท่านั้น "ราชเลขาให้ข้ามีส่วนในการตัดสินใจเรื่องนี้"

"ในฐานะของผู้บัญชาการ และในฐานะของเซนทอร์"

จริงอยู่ว่าฝ่ายนั้นเป็นแค่ผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์ ซึ่งนั่นก็แปลว่าซาฮาลแทบจะไม่เคยต่อสู้ด้วยเรือรบเลยสักครั้ง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถใช้คำว่าแม่ทัพกับตำแหน่งตนได้ เพราะเขาเป็นเพียงแค่ผู้ดูแลความเรียบร้อยของเรือขนส่งขนส่ง ต่างจากเลสธีราห์ที่มีหน้าที่ป้องกันอาณาเขตทางทะเลที่ถูกรุกรานอยู่บ่อยๆ ดังนั้นคนที่เหมาะสมกับคำว่า 'แม่ทัพเรือ' น่าจะเป็นเลสธีราห์เสียมากกว่า

แต่เลสธีราห์ก็พอจะเข้าใจแม่ของตนที่ดันซาฮาลออกมารับหน้าแทนในวันนี้...

เพราะถ้าตัวตนของผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ยังเป็นปริศนาจะสร้างความสงสัยขึ้นมาได้ง่ายๆ ดังนั้นซาฮาลซึ่งเป็นคนที่มีตำแหน่งเกือบจะเท่าเทียมกับเขาจึงต้องรับบทบาทนี้ไปก่อน แต่สิ่งที่เลสธีราห์กังวลจนต้องตามทั้งคู่ออกมาแบบนี้ไม่ใช่เรื่องตัวตนของเขาที่แอสทารอธพยายามจะปกปิดเอาไว้ แต่เป็นเรื่องการเจรจาที่เขาอยากจะรู้ผลเหลือเกินว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

หากเขาจะต้องไปรบร่วมกับเอเดรียนจริงๆในฐานะของแม่ทัพเรือ เขาควรจะทำอะไรต่อไป...

เพราะเขาเพิ่งจะพยายามสร้างความเชื่อใจให้ฝ่ายนั้นในฐานะของพรานชาวบ้านธรรมดาๆ

"เจ้าคิดว่ากองเรือเซเลสต์ยิ่งใหญ่อย่างนั้นรึ"

เสียงต่ำๆของซาฮาลลอยมาเข้าหู เจ้าตัวเดินมาตามถนนที่เงียบสงบที่ทอดยาวขึ้นไปบนเนินเขา และก้าวไปยืนบนจุดสูงสุดของเมืองหลวงเลาน์เรน เพื่อมองเมืองท่ามารินาซึ่งอยู่ไกลออกไป และเฝ้ามองสีหน้าประหลาดใจของเอเดรียนในยามที่เขาได้ทอดมองเมืองอันเจริญรุ่งเรืองและวุ่นวายของแอสทารอธเป็นครั้งแรก

อ่าวมารินาไม่โค้งเป็นวงกลมเหมือนอ่าวอาเดรีย แต่ตรงกันข้าม น้ำทะเลจากทะเลเดียวกันกัดเซาะแผ่นดินเข้ามาอย่างไร้รูปแบบจนเกิดแหลมมากมาย แบ่งท่าเรือออกเป็นหลายแห่ง เรือพาณิชย์ขนาดเล็กหลายลำจอดเทียบท่าอยู่ไกลๆ โดยมีเซนทอร์ผู้ดูแลตรวจสภาพความเรียบร้อยอยู่ใกล้ๆ "เคยเห็นมันสักกี่ครั้งเชียว มนุษย์..." นี่เป็นการเปิดสนทนาตามนิสัยของซาฮาล แต่เลสธีราห์ก็อดติติงในใจไม่ได้ว่านั่นเป็นลักษณะการพูดที่ไม่ได้ชวนฟังเลยสักนิด

"ข้าไม่สันทัดการสู้รบทางทะเล" เอเดรียนยืดอกยอมรับ "อีกทั้งอาเดรียก็ไม่มีกองทัพเรือ"

"อย่างนั้นเจ้าก็จะฝากความหวังเอาไว้กับความยิ่งใหญ่ที่มาจากลมปากของชาวประมงหรือยังไง"

"แล้วข้าจะต้องเคยประมือกับกองเรือเซเลสต์อย่างนั้นหรือ ถึงจะสามารถขอความช่วยเหลือได้"  เลสธีราห์คิดว่าซาฮาลจงใจยั่วโมโหเอเดรียนเพื่อหาเรื่องปฏิเสธความช่วยเหลือ และดูเหมือนว่าแม่ทัพอาเดรียก็ใช่ว่าจะเป็นทูตที่สุภาพนัก "ข้ามิได้ฝากความหวังเอาไว้กับลมปากของชาวประมง แต่ในสถานการณ์นี้ คงมีแต่แอสทารอธเท่านั้นที่อาเดรียจะหันไปพึ่งพาได้ ข้ากล่าวไม่ถูกหรืออย่างไรที่จุดเด่นของเผ่าเซนทอร์คือกองเรือรบที่น่าเกรงขามที่สุดในแผ่นดินใหญ่"

นับว่าเอเดรียนผู้นี้มีวาทศิลป์อยู่บ้าง แต่สำหรับซาฮาลผู้ไม่เคยโอนอ่อนแล้วมันไม่ได้ผลเท่าไหร่

"คำเยินยอเหล่านั้นไม่สามารถแลกชีวิตของทหารเรือได้หรอกนะ ท่านแม่ทัพ"

เอเดรียนยักมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างใจเย็น "ข้าก็ได้เสนอเรื่องของเรือจักรไอน้ำไปแล้ว เซนทอร์ไม่สนใจสิ่งนั้นจริงๆหรือ" ร่างสูงก้าวไปยืนข้างเซนทอร์ร่างสูง แม้จะเว้นระยะห่างสักหนึ่งช่วงตัวก็ตาม "ทั้งเรือพาณิชย์ที่ต้องการความรวดเร็วในการขนส่ง ทั้งเรือรบที่ต้องการความแข็งแกร่งในการต่อสู้ มีเหตุผลใดที่แอสทารอธจะปฏิเสธกัน"

ซาฮาลพิจารณาคนพูดด้วยการเหลือบมองทางหางตา

...เอเดรียนผู้นี้อาจมีความสามารถในการเจรจาบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะเก่งกาจ

"ข้าไม่ได้ปฏิเสธเรือไอน้ำ... แต่ข้าปฏิเสธในความไม่แน่นอน" เซนทอร์หนุ่มยกแขนขึ้นกอดอก "จักต้องได้รับชัยชนะเท่านั้นจึงจะบรรลุสัญญา และถ้าหากไม่ชนะขึ้นมาเล่า เซนทอร์ก็จะไม่ได้สิ่งใดเลยอย่างนั้นรึ" นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อยขณะพูด "เหตุใดเผ่าของเราจะต้องกระโดดเข้าไปร่วมสงครามทั้งที่ไม่มีความแน่นอนในผลตอบแทนเล่า"

"ทุกอย่างย่อมมีการเสี่ยงไม่ใช่รึ" เลสธีราห์เอ่ยขึ้นอย่างอดทนต่อไปไม่ได้ "ที่พูดมานั่น อย่างกับทำนายว่า... กองเรือเซเลสต์จะไม่ชนะ เจ้าเป็นแม่ทัพประเภทใดจึงได้ดูแคลนกำลังพลของตนเองแบบนี้" เมื่อแม่ทัพตัวจริงออกมา ซาฮาลก็หันกลับไปมองและเบิกตาใส่คนพูดเป็นการปรามครั้งหนึ่ง แต่ร่างโปร่งกลับยิ่งก้าวเข้ามาหาอย่างไม่กลัวเกรง

"จะไม่ยอมเสี่ยงอะไรเลย แต่ก็อยากได้ผลประโยชน์... นี่เป็นวิธีการคิดของเซนทอร์หรืออย่างไร"

"เลสธีราห์!"

เอเดรียนตรงเข้ามาปราม แต่คนใต้บัญชากลับไม่ฟังเสียง "กองเรือเซเลสต์รับได้การขนานนามว่าเป็นจ้าวมหาสมุทรแห่งตะวันตก มีเรือรบอยู่ในสังกัดหลายร้อยลำ แต่สิ่งที่ข้าได้ยินจากแม่ทัพกองเรือที่ยิ่งใหญ่นั้นกลับเป็นความไม่มั่นใจว่าตัวเองจะได้ชัยชนะรึ"

ซาฮาลมุ่นคิ้วกดลงต่ำจนน่ากลัวและก้าวเท้ามาหาคนที่ตัวเล็กกว่าอย่างเอาเรื่อง

"แล้วเจ้าจะส่งคนของตัวเองไปตายเพื่อความหวังล้มๆแล้งๆจากมนุษย์ที่แม้แต่จะหาความมั่นคงให้ตัวเองก็ทำไม่ได้อย่างนั้นรึ" สำหรับซาฮาลแล้ว อาเดรียเป็นเมืองที่ไม่มีจุดยืนและไม่มีความมั่นคง มันเป็นเมืองท่าที่เต็มไปด้วยพ่อค้าเห็นแก่ตน หากใครให้ประโยชน์มากกว่าก็จะเข้าข้างฝ่ายนั้น และในครั้งนี้ก็เช่นกัน หากแอสทารอธยื่นมือเข้าช่วย พวกพ่อค้าก็จะแสวงหากำไรและตักตวงผลประโยชน์จากพวกเขาให้ได้มากที่สุด หากเซเลสต์ชนะศึกก็คงเป็นผลดี แต่หากพ่ายแพ้ขึ้นมาก็คงไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือโดยอ้างว่าตนเป็นเพียงเมืองเล็กๆที่ไม่สามารถทำอะไรได้

เลสธีราห์เพียงแค่ไม่พอใจที่เขาดูแคลนกองทัพของตนเท่านั้น

...บุตรชายของท่านหญิงลีอาห์ไม่ได้คิดระวังนิสัยใจคอของมนุษย์เลยสักนิด

"เช่นนั้นแล้วแอสทารอธจะเปิดโอกาสเพื่ออะไร" ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนาไม่ยอมแพ้ "จะให้โอกาสทูตจากเมืองอื่นเข้ามาเพื่ออะไร หากพวกเจ้าไม่พร้อมที่จะเจรจาอะไรทั้งนั้นแบบนี้!" มือใหญ่วางกดลงบนบ่าของเลสธีราห์หลังจากเขาพูดจบ เอเดรียนดันร่างโปร่งออกไปให้พ้นทางและหันมองด้วยสีหน้าดุดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

"เจ้ามีหน้าที่แค่มากับข้า... ไม่ใช่การเจรจา" นัยน์ตาสีเข้มเขม้นมองคนที่ตั้งท่าจะเถียง "เงียบซะ"

ร่างโปร่งพ่นลมหายใจไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยอมถอยไปแต่โดยดี แม่ทัพแห่งอาเดรียพยายามจะยิ้มให้เซนทอร์ร่างสูงอีกครั้ง แต่หลังจากถูกตอกจนหน้าชาไม่แพ้กัน ซาฮาลก็ไม่นึกอยากพูดคุยอะไรอีก "หน้าที่ของเจ้าในวันนี้คงจบแค่นี้ก่อน" เซนทอร์หนุ่มถอยเท้า "ถ้าราชเลขายังให้ที่พักต่อ พรุ่งนี้พวกเจ้าอาจจะหาคนที่ปากดีกว่านี้มาเจรจากับข้าได้กระมัง"

แล้วคนพูดก็กระแทกเท้าเดินผ่านเลสธีราห์ไปด้วยความหงุดหงิด

ความเงียบเกิดขึ้นเนิ่นนานหลังจากนั้น

เอเดรียนไม่พูดอะไรเลยสักพักใหญ่ อีกทั้งยังกำหมัดทั้งสองมือราวกับกำลังควบคุมอารมณ์และครุ่นคิดหาทางออกที่เหมาะสม เขาเดาความคิดของแม่ทัพเซนทอร์ไม่ออกว่าเหตุใดจึงเปิดประเด็นสนทนาแบบนั้น ฝ่ายนั้นตั้งใจจะหารือเรื่องใดกับเขากันแน่ และแอสทารอธจะยอมร่วมมือกับอาเดรียหรือไม่

...คำถามเหล่านี้คงมีคำตอบหากเลสธีราห์ไม่ขัดจังหวะเสียก่อน

เอเดรียนยอมรับว่าอีกฝ่ายมีนิสัยปากไวมากจนเขาเองก็ห้ามปรามไม่ทัน และด้วยความปากไวนั้นเองที่ทำให้การเจรจาในวันนี้ให้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีเอาเลยเสีย ร่างสูงเหลือบมองคู่สนทนาซึ่งยังแสดงสีหน้าไม่พอใจที่ถูกเขาขัดคอโดยไม่มีความรู้สึกผิดใดๆสักนิด "เซนทอร์แก้ปัญหากันแบบนี้หรือไง"

"จากนี้ไปไม่ต้องพูดอะไรอีก เข้าใจไหม"

เลสธีราห์มุ่นคิ้วมองเอเดรียนก่อนอ้าปากประท้วง "เป็นความผิดของข้ารึไง..."

...เพี๊ยะ!!

หลังมือของคู่สนทนาเหวี่ยงฟาดใส่ซีกหน้าข้างหนึ่งของเขาหลังจบจากประโยคนั้น "อ่ะ..!" ความรู้สึกแล่นจนหูอื้อทำให้ชายหนุ่มไม่กล้าหันไปสบตาแม่ทัพอาเดรีย เลสธีราห์ยกมือขึ้นแตะมุมปากของตนและมองหยดเลือดติดปลายนิ้วอย่างไม่เข้าใจ

"เราไม่จำเป็นต้องเอาชนะเขาในวันนี้... ถ้ามันทำให้เราต้องเดือดร้อนในวันพรุ่งนี้ เข้าใจไหม"

"..."

เลสธีราห์มองคู่สนทนาด้วยความตกตะลึง ด้วยความที่คิดไม่ถึงว่าจะถูกลงโทษด้วยวิธีแบบนี้ แน่นอนว่าเขาไม่เคยถูกใครเหวี่ยงหลังมือฟาดเช่นนี้มาก่อน ถึงแม้พวกเซนทอร์จะได้ชื่อว่าเป็นเผ่าที่ชอบใช้กำลังมากกว่าเผ่าอื่น แต่พวกเขาก็มักจะเอาชนะกันด้วยเกียรติมากกว่า และการต่อสู้อย่างสมเกียรติก็นับเป็นวิถีของอัศวินโดยแท้

"การเจรจานี้ไม่ได้มีผลแค่ตัวข้า หรือว่าเจ้า... แต่มันหมายถึงทั้งอาณาจักรอาเดรีย"

"แล้วสิ่งที่ข้าพูดมันไม่จริงหรืออย่างไร เจ้ายังยืนยันจะขอความเหลือจากแม่ทัพที่ไม่มั่นใจในกำลังพลของตนอย่างนั้นรึ... เจ้ายังยืนยันจะขอความช่วยเหลือจากข้า เพราะเจ้าคิดว่าข้าช่วยเจ้าได้ไม่ใช่รึไง" ไม่รู้ว่าบทสนทนาดำเนินมาถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร เอเดรียนถอนใจด้วยความหนักอกและลดมือลงอย่างไม่อยากต่อกร

"ข้ากับเจ้ามันคือความเชื่อมั่น แต่การเจรจาระหว่างอาณาจักรมันไม่มีความเชื่อมั่นหรอก"

"ทำไมจะเชื่อมั่นไม่ได้เล่า..."

"มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ เลสธีราห์" เอเดรียนตอบใจเย็น เขาเดินเข้าไปจับบ่าลูกน้องของตนที่เริ่มส่งเสียงดังจนเกินควร "เราควรกลับไปคุยในที่พัก ...พอเถอะ ขอบใจที่พยายามจะช่วยข้า" แม้อีกฝ่ายจะมีฝีมือการยิงธนูที่เหนือชั้น แต่นิสัยที่ยังคงความเป็นเด็กอยู่มากของเลสธีราห์ทำให้เอเดรียนรู้สึกเวียนหัว

แต่นั่นก็คือความพยายามของอีกฝ่ายที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่แล้ว

"พวกเซนทอร์ก็เรียกร้องประโยชน์จากเจ้าชัดเจนอยู่แล้ว เหตุใดจะต้องเล่นแง่กันอีก"

แม่ทัพใหญ่โอบไหล่คู่สนทนาและพาเดินกลับที่พักพร้อมกับให้คำตอบ "เพราะต่อให้มีสัญญา ก็ไม่อาจเชื่อใจกันได้อยู่ดี"

--------------------------------------------------

หลังจากถูกเลสธีราห์ยอกย้อนเสียยกใหญ่ ซาฮาลก็กระฟัดกระเฟียดกลับมายังที่พักของตนซึ่งอยู่ที่ท่าเรือมารินา "เลสธีราห์ช่างทำเสียเรื่องนัก!" ร่างสูงจงใจพูดให้ท่านหญิงลีอาห์ที่ยืนอยู่ใกล้ประตูทางเข้าของท่าเรือได้ยิน ราชเลขาหันกลับมามองคนอารมณ์เสียครู่หนึ่งก่อนจะเบือนหน้ากลับไปมองเรือพาณิชย์สองลำที่กำลังจะเข้าเทียบท่า เซนทอร์ในร่างมนุษย์สองคนกระโดดลงมาจากเรือและแปลงกายกลับร่างเดิมแล้วจึงดึงเชือกยื้อเรือเอาไว้กับท่า

"ท่านหญิงรู้อยู่แล้วรึไง"

กิริยาที่ดูจะนิ่งเกินไปของราชเลขาทำให้ซาฮาลคิดอย่างนั้น และแทนที่เขาจะกลับห้องพักอย่างที่ตั้งใจไว้ ผู้บัญชาการกราเทียร์ก็เดินเข้ามาสนทนากับเซนทอร์หญิงแทน "ข้ารู้..." ลีอาห์ยอมรับ "มีหรือข้าจะไม่รู้ว่าเลสธีราห์จะทำเสียเรื่องถ้าเจอเจ้า"

"เช่นนั้นแล้ว เซนทอร์เราจะเปิดโอกาสให้เขามาเจรจาทำไม ในเมื่อไม่ตั้งใจจะยื่นมือเข้าช่วย"

ซาฮาลย้อนด้วยคำถามเดิมของเลสธีราห์ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ท่านหญิงลีอาห์สะทกสะท้านสักเท่าไหร่ "ข้าส่งเจ้าไปพบหน้าเอเดรียนอย่างที่เจ้าอยากพบแล้วนี่" หญิงสาวว่า "เจ้ารู้ทันมนุษย์ยิ่งกว่าเลสธีราห์ และเจ้าก็รู้ว่าพวกอาเดรียไม่มีศาสตร์การสร้างเรือจักรไอน้ำอย่างที่พยายามจะแอบอ้าง ที่จงใจยื่นข้อเสนอนั้นมาก็เพื่อดึงความสนใจเท่านั้น เจ้าเองก็รู้... เซนทอร์เราจึงไม่อยากยื่นมือเข้าช่วยเหลือไม่ใช่หรือไร"

"แล้วทำไมท่านหญิงจึงไม่ปฏิเสธไปเสียแต่เนิ่นเล่า"

"ข้าอยากจะรู้ว่าเลสธีราห์จะสามารถหาผลประโยชน์ประการอื่นให้เราได้หรือไม่ อาเดรียคงไม่ได้มีดีแค่นั้นหรอกไม่ใช่หรือ เพียงแค่เขาไม่ยอมเปิดเผยให้เรารู้เท่านั้น" อาเดรียคงไม่ได้มีดีแค่เป็นเมืองท่าหรือทางผ่าน พวกเขาอาจจะครอบครองอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ยอมบอกใครเนื่องจาความหวาดกลัวจะถูกช่วงชิงไป และนั่นเป็นหน้าที่ของเลสธีราห์ที่จะต้องหาว่าความลับที่ว่านั้นคืออะไร

"เขาเป็นบุตรชายของท่าน เหตุใดจึงต้องใช้วิธีแบบนี้"

"เอเดรียนผู้นั้นเป็นแม่ทัพใหญ่ของอาเดรียที่หลบซ่อนตัวและคอยประคับประคองกองกำลังต้องห้ามของอาเดรียมาโดยตลอด และก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เขาเรียกเลสธีราห์เข้าไปพักในคฤหาสน์ด้วย ทำทีราวกับจะชักจูงให้มาเป็นคนสนิท แต่แม้จริงแล้วก็คือการคอยสอดส่องดูพฤติกรรมของเลสธีราห์ และป้องกันไม่ให้เขาเดินทางกลับแอสทารอธ"

ท่านหญิงลีอาห์หรี่ตาลงเล็กน้อย "นี่เป็นหนทางที่แนบเนียนที่สุดที่จะพูดคุยกับเลสธีราห์"

"แต่ในเมื่อเขาทำเสียเรื่องแบบนี้ไม่คิดว่าแม่ทัพจะไล่เขาออกจากคณะรึ"

ลีอาห์กลับตาลงครุ่นคิดสักพักก่อนให้คำตอบ "คนที่จะตัดสินว่าเสียเรื่องหรือไม่... คือข้าไม่ใช่หรืออย่างไร" มุมปากบางของคนพูดเหยียดยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่มีเลศนัยอย่างที่สุด "อย่างน้อยนี่ก็เป็นการยืดเวลาตัดสินใจของเราออกไปได้มากแล้ว อาเดรียเพิ่งปิดท่ามาได้เจ็ดวัน เรายังอ่านความเคลื่อนไหวของเมืองอื่นไม่ได้หรอก แอสทารอธจะตัดสินใจได้ก็ต่อเมื่อเห็นท่าทีของไอย์ชวลกับธีสธรัลนั่นแหละ"

นอกจากจะต้องมองผลประโยชน์ของอาณาจักรแล้ว เหนือหัวดาเรียสก็กำชับมานักหนาว่าควรมองการตอบโต้ของอาณาจักรอื่นด้วย เพราะต่อให้ไม่มีใครคิดจะยุ่งกับพวกเซนทอร์ แต่ก็ไม่ได้แปลว่ากำลังพลของเซนทอร์จะเอาสามารถเอาชนะข้าศึกจากเมืองอื่นได้ หากเขาต้องรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเมืองใดสักเมือง เมืองนั้นควรจะเป็นเมืองใด

แอสทารอธเรียกตัวเองว่าเผ่านักรบโดยกำเนิด แต่ก็ยังมีฟาวสต์ที่เรียกตัวเองจักรวรรดิแห่งขุนศึก

และฟาวสต์กับแอสทารอธก็ไม่เคยประมือกันสักครั้ง

"ท่านหญิงส่งข้าไปให้แม่ทัพเอเดรียนจดจำใบหน้า... เพื่อไม่ให้ข้าเข้าไปยุ่งกับภารกิจของเลสธีราห์ในคราบมนุษย์ใช่หรือไม่" ในเมื่อลีอาห์ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าควรจะตอบโต้อะไร อีกทั้งยังมีแนวทางในการแก้ปัญหาอีกด้วย เหตุใดนางจึงหันมาไหว้วานให้เขาไป 'สนทนากับผู้นำคณะทูต' อีกครั้งกันเล่า หากไม่ใช่ด้วยเหตุผลนี้ "ท่านเองก็หาเหตุผลมาห้ามข้าไม่ได้เหมือนกัน"

"อืม... คงเป็นเช่นนั้น" คนเป็นแม่ยกมุมปากขึ้นยิ้ม "เจ้าไปเถอะ ซาฮาล ข้าจะรับมือต่อเอง"

"แล้วท่านหญิงจะตอบโต้อย่างไร"

ลีอาห์ที่ตั้งใจจะเลี่ยงออกมาหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนตอบคำถาม "ถ้าเขาหาศาสตร์เรือจักรไอน้ำหรือสิ่งที่มีมูลค่าเพียงมายื่นให้เราได้เห็นเมื่อไหร่ เหนือหัวก็พร้อมจะส่งกองเรือเซเลสต์ออกศึก"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
แอบไปอ่านที่อีกเว็ปมา...
เลยว่ารอถึงตอนหลังจากนั้นจะเข้ามาอ่านนะคะ (ระหว่างนี้จะเข้ามาบวกเป็ดให้ค่ะ)

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 9.1
«ตอบ #25 เมื่อ31-10-2016 08:49:29 »

ตอนที่ 9.1

"ป่าเวทมนตร์หรือ"

เอเดรียนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเมื่อได้ยินชื่อนั้นจากปากของพรานแปลกหน้า "จริงอยู่ว่าป่าเวทมนตร์เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรคัสนาห์..." ร่างสูงว่า แต่ก็หยุดชะงักไปก่อนจะเปลี่ยนวิธีการใช้คำใหม่ "อาณาจักรคัสนาห์ตั้งอยู่ใกล้กับป่าเวทมนตร์มากกว่า แต่ถึงอย่างนั้น พวกเราก็นิยมล่าสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้ามากกว่าป่าทึบที่เต็มไปด้วยเรื่องลึกลับ"

เลสธีราห์มุ่นคิ้วงุนงงเมื่อสิ่งที่เอเดรียนพูดนั้นผิดจากที่ตนรู้มา "เหตุใดจึงมีคำกล่าวว่าชาวคัสนาห์สามารถใช้ประโยชน์จากป่าเวทมนตร์ได้เล่า ยารักษาโรคเอย ยาบำรุงอะไรพวกนั้นน่ะ พวกพ่อค้าต่างลือกันหนาหูว่าพวกคัสนาห์มีความรู้และตำราที่สืบทอดกันมา"

"คงเป็นเรื่องในอดีตเสียมากกว่า" เอเดรียนตอบ "ก่อนที่ธีสธรัลจะยึดอำนาจกษัตริย์ของเรา"

"แล้วพ่อค้านั่นก็ให้ข้าไปหารากไม้ในป่าเวทมนตร์" ร่างโปร่งกอดอกอย่างไม่สบอารมณ์ "บรรยากาศลึกลับน่ากลัวแบบนั้น เพียงแค่เดินไปที่ชายป่าก็รู้สึกขนลุกแล้ว" คู่สนทนาหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นท่าทางนั้น ก่อนจะก้มหน้าลงวาดแผนที่คร่าวๆของคัสนาห์และเส้นทางหลักที่ทั้งสองเมืองใช้เดินทางไปมาหาสู่กัน

"ข้าได้ยินว่าในอดีตมีตระกูลปราชญ์อยู่หลายตระกูล พวกเขามีความรู้ ความชำนาญเกี่ยวกับยารักษาโรคที่หาจากที่อื่นใดไม่ได้นอกจากคัสนาห์ และยังมีตำราลับๆที่บันทึกเรื่องราวพวกนี้ส่งต่อถึงกันจากรุ่นสู่รุ่นอีกด้วย" เอเดรียนเล่า เขาหันไปมองอัลธอร์ที่ในวันนี้สามารถเดินลงไปเล่นน้ำในลำธารได้ และมันก็เดินไปเดินมาอย่างมีความสุขเหลือเกิน "แต่เมื่อธีสธรัลเข้ายึดอำนาจ พวกเขาก็เผาทำลายบ้านเมืองจนวอดวายไปหมด และความรู้เหล่านี้ก็หายไปด้วย จนในปัจจุบัน ข้าคิดว่าคงเป็นการยากที่จะหาตัวผู้ที่มีความรู้เรื่องสมุนไพรและยารักษาโรคที่เจ้าว่า"

"แล้วเรื่อง... ยูนิคอร์นล่ะ"

แม้วาภายนอก เลสธีราห์ดูจะสนใจสิ่งที่สามารถนำมาขายหารายได้ แต่จุดประสงค์ในการพูดคุยเรื่องนี้ของเซนทอร์หนุ่มคือการรับรู้ถึงความสนใจของพวกมนุษย์ที่มีต่อป่าเวทมนตร์ จริงอยู่ว่าในอดีต พวกมนุษย์ในอาณาจักรคัสนาห์นั้นหวงแหนป่าเวทมนตร์ยิ่งกว่าอะไร อันเนื่องจากต้นไม้และสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในป่านั้นสามารถนำรายได้มหาศาลมาสู่อาณาจักร แต่หลังจากที่ธีสธรัลเข้ายึครองอำนาจ การค้าขายสมุนไพร และยารักษาโรคของคัสนาห์ก็มีอันต้องหยุดชะงัก อันเนื่องมาจากการบุกทำลายของธีสธรัล

แม้จะมีป่าเวทมนตร์อยู่ใกล้ แต่ในเมื่อไม่มีความรู้เกี่ยวกับมัน พวกมนุษย์จึงหาประโยชน์จากมันไม่ได้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่แอสทารอธให้ความสนใจ เพราะป่าเวทมนตร์แห่งนี้เป็นแหล่งอาศัยของยูนิคอร์น อันเป็นสัตว์วิเศษที่มีบรรดาศักดิ์สูงที่สุดสำหรับพวกเขา

แม้ว่าเซนทอร์จะยกตนว่าอยู่เหนือมนุษย์ แต่พวกเขายอมรับว่าตนนั้นอยู่ต่ำกว่ายูนิคอร์น

ดังนั้นพวกเขาจึงเชิดชูบูชายูนิคอร์น และต้องการจะพบพวกมันสักครั้งหนึ่งในชีวิต

เอเดรียนไหวไหล่น้อยๆก่อนให้คำตอบ "จากที่ข้าจำความได้ ไม่เคยได้ยินว่ามีใครพบยูนิคอร์นในป่าเวทมนตร์เลย" เขายิ้มน้อยๆเมื่อพูดจบ "แต่หากยูนิคอร์นมีอยู่จริง ข้าก็ไม่อยากให้ใครได้พบพวกมันเหมือนกัน เกรงว่าจิตใจของพวกมนุษย์จะทำให้มันแปดเปื้อน" น้ำเสียงของร่างสูงอ่อนโยนกว่าปกติเมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมา "ข้าได้ยินว่าแม่ทัพหญิงของพวกภูต... ฟาวสต์น่ะนะ นางขี่ม้าตัวหนึ่งที่เคยเป็นยูนิคอร์น ทว่าถูกตัดเขาไป"

หากพูดถึงแม่ทัพหญิงของฟาวสต์ แน่นอนว่าทุกคนย่อมรู้จัก... ท่านหญิงฟอลลีน

"อ้อ ข้าเองก็เคยได้ยิน นางภูตที่มีผมสีขาวเงิน...ที่ช่วยยูนิคอร์นเขาหักจากความตาย จนมันยอมรับใช้นางเพียงคนเดียว" ร่างโปร่งเท้าคาง "คงเป็นเรื่องเดียวที่ข้าจะอิจฉาสตรี เพราะยูนิคอร์นไม่ชอบบุรุษ" เลสธีราห์ถอนใจ "แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็อยากพบยูนิคอร์นสักครั้งเหมือนกัน"

เอเดรียนหัวเราะร่วนก่อนส่ายหัว "ข้าคิดว่าให้พวกมันไม่ปรากฎตัวแบบนี้ต่อไปก็ดีเหมือนกัน"


--------------------------------------------------

"เจ้ายื่นข้อเสนอเรื่องป่าเวทมนตร์ไปอย่างนั้นรึ!!"

เสียงแหลมของท่านหญิงซินญอร่าแห่งคัสนาห์ดังขึ้นลั่นห้องนั่งเล่นในมหาคฤหาสน์แห่งอาเดรีย จนท่านชายซินญอร์ผู้เป็นน้องต้องยกมือขึ้นปรามและถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายอย่างรู้ชะตากรรมว่าจะต้องถูกตำหนิ "ข้าแค่ขอให้มันเป็นตัวเลือกสุดท้าย หากจะต้องทำ"

"จริงอยู่ว่าพวกเซนทอร์ไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอเรื่องป่าเวทมนตร์ พวกเขาอยากเข้าไปในนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ถ้ายอมให้พวกมันได้ก้าวเข้าไป มันก็ไม่ต่างจากการยกคัสนาห์ให้แอสทารอธ เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพของอาเดรีย เจ้าคิดเรื่องนี้บ้างหรือไม่ ซินญอร์!"

"แล้วท่านพี่ได้คิดบ้างแล้วหรือ ก่อนที่จะปิดท่าเรืออาเดรีย จนวุ่นวายถึงเพียงนี้..."

เมื่อถูกผู้เป็นน้องชายยอกย้อน พี่สาวก็สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อพยายามจะควบคุมโทสะ "เพราะมันเป็นโอกาสที่เราจะต้องรีบคว้า เจ้าจะรอให้ไวลด์ขึ้นเป็นราชินีอย่างถูกต้องสมบูรณ์และยกกำลังพลสักพันคนบุกมายึดท่าเรือของเราก่อนหรือไรถึงจะประกาศตัวว่าเราไม่ต้องการเป็นอาณานิคมของมันอีกต่อไป"

"แต่การทำแบบนี้ก็อาจทำให้นางยกทัพสักสามพันมาบุกอ่าวอาเดรีย และดีไม่ดี พวกภูตอาจส่งทัพมาช่วยอีกห้าพัน จนรวมเป็นแปดพันก็ย่อมได้" ซินญอร์กลอกตาใส่พี่สาว "ข้าไม่ได้รอให้ศัตรูแข็งแกร่ง ท่านพี่... แต่ข้ารอให้พันธมิตรของเราแข็งแกร่ง ซึ่งท่านพี่รอไม่ได้ มันจึงกลายเป็นสถานการณ์ที่เราประกาศสงครามทั้งที่เราไม่มีอะไรอยู่ในมือเลย"

"ซินญอร์!!"

"ข้าส่งเอเดรียนไปกับพวกทูตเพื่อเจรจากับแอสทารอธ ท่านพี่น่าจะรู้ว่าพวกขุนนางระดับสูงเอาใจออกห่างเราไปนานแล้ว และพวกเขาทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองอยู่รอด หากฝากฝังเรื่องป่าเวทมนตร์ไปกับพวกเขา แน่นอนว่าเราต้องเสียดินแดนให้แอสทารอธอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าเอเดรียนนั้นไม่ใช่... เขาจะไม่พูดเรื่องนี้จนกว่าเราจะจนตรอก"

"แต่เจ้าก็ไม่ควร..." ผู้เป็นพี่สาวกัดฟัน แต่นางก็เห็นด้วยว่าขุนนางและข้าราชบริพารที่รายล้อมพวกเขาอยู่ไหนไม่มีใครเชื่อใจได้ พวกเขาทั้งคู่ถูกใช้เป็นหุ่นเชิดมาตั้งแต่ยังเล็ก แต่คนที่ควบคุมการปกครองของคัสนาห์ และอาเดรียแท้จริงแล้วคือธีสธรัล และพวกเขาก็เป็นตุ๊กตาหินที่วางไว้เพื่อไม่ให้ประชาชนบูชาสักการะเท่านั้น

"ข้าเป็นเจ้าเมืองอาเดรีย ข้าจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้อาเดรียอยู่รอด..."

"ด้วยการยกคัสนาห์ให้เซนทอร์น่ะรึ!"

"อย่างน้อยอาเดรียก็เป็นเมืองที่ร่ำรวยและเจริญรุ่งเรือง เราอพยพประชาชนมาที่นี่ก็ย่อมได้ไม่ใช่รึ"

พวกเขากำลังพูดถึงป่าเวทมนตร์ซึ่งเป็นป่าที่อยู่ในอาณาเขตของคัสนาห์ และมันเป็นป่าที่ว่ากันว่าเป็นแหล่งอาศัยของพวกยูนิคอร์น ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับสัตว์ตระกูลม้าแล้ว ยูนิคอร์นนับเป็นอาชาที่สง่างามและสูงส่งที่สุด แต่เนื่องจากป่าเวทมนตร์เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรมนุษย์ เหล่าเซนทอร์ผู้เป็นเผ่าอาชาชั้นสูงจึงไม่ได้พบยูนิคอร์นซึ่งเป็นเชื้อสายห่างๆของตนเลย และแน่นอนว่าเซนทอร์ไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอนี้ได้อย่างแน่นอน

ข้อเสนอที่จะยกป่าเวทมนตร์ให้กับพวกเขา หากยอมร่วมมือช่วยเหลือ...

แต่นั่นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่ท่านชายอยากจะเสนอ มันเปรียบเสมือนเป็นการยกคัสนาห์ให้กับแอสทารอธเพื่อแลกกับอิสรภาพของอาเดรีย แต่ในมุมมองของผู้นำหนุ่มแล้ว เมืองคัสนาห์นั้นเป็นเพียงเมืองเก่าแก่ที่คงไว้เพื่อให้ลูกหลานได้ดูต่างหน้าว่ามนุษย์ในอดีตเคยยิ่งใหญ่เพียงใด ทว่าในตอนนี้คัสนาห์กลับเป็นเมืองที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ไม่มีความเจริญ และแทบจะไม่มีอะไรก้าวหน้า ทั้งการเกษตรและค้าขายก็เงียบเหงาซบเซา เพราะคนจำนวนมากต่างพากันย้ายเข้ามาพำนักที่อาเดรีย

แต่ถึงอย่างนั้นท่ายชายซินญอร์ก็ยังไม่อยากแลกอาณาเขตของตนตั้งแต่เนิ่น

ดังนั้นเขาจึงส่งเอเดรียนไปเพื่อเจรจาจนถึงที่สุด

เขารู้ดีว่าเอเดรียนจะรักษาผลประโยชน์ของอาเดรีย และจะรักษาคัสนาห์เอาไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย "เอเดรียนไม่ยอมแลกเมืองเก่าโดยง่ายหรอก หากเขาไม่อันจนซึ่งหนทาง" ท่ายชายยืดอกว่า "ท่านพี่อย่าเพิ่งออกคำสั่งอะไรจะดีกว่า ท่านถามว่าข้าได้ไตรตรองอะไรบ้างในการทำแบบนี้ แล้วตัวท่านพี่เองได้คิดบ้างหรือเปล่าว่าสิ่งที่ทำลงไปทำให้ผู้คนเดือดร้อนเพียงใด และมันอาจทำให้ศัตรูของเราเพิ่มจำนวนมากขึ้นก็เป็นได้ หากพวกพ่อค้าที่เดือดร้อนถูกซื้อด้วยเงินธีสธรัลขึ้นมา ท่านคิดเหรือว่าแค่คำว่า 'สายเลือดบรรพกษัตริย์' จะทำให้เรามีชีวิตรอดอย่างครั้งที่แล้ว"

เมื่อครั้งที่คัสนาห์และอาเดรียถูกรุกรานโดยธีสธรัล กษัตริย์แอชรอนได้ไว้ชีวิตสองพี่น้องที่ยังเล็กเอาไว้ ด้วยเหตุผลว่าทั้งคู่เป็นสายเลือดบรรพกษัตริย์ ที่ซึ่งประชาชนเชื่อถือว่าเป็นสิ่งที่ค้ำจุนอาณาจักรของพวกเขา หากสองพี่น้องถูกสังหาร บ้านเมืองจะเกิดความโกลาหล

เพื่อเคารพในความเชื่อนั้น ทั้งสองจึงมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้

...แต่ซินญอร์ไม่คิดว่าเหตุผลเดิมจะสามารถใช้ได้อีกครั้ง

"ตอนนี้เราต้องเดิมพันทุกสิ่งที่เรามี ท่านพี่... แม้ว่ามันจะเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของเราก็ตาม!"

--------------------------------------------------

ราชเลขาแห่งแอสทารอธไม่เรียกอาคันตุกะเข้าพบอีกเลยตลอดวัน และนั่นก็ยิ่งสร้างความตึงเครียดให้กับคณะเดินทางที่ไม่รู้อนาคตของตนเองว่าควรจะวางตัวอย่างไร เซนทอร์หญิงผู้นั้นก็คงจะอยู่ในพระราชวังอัสเธียร์ แต่ถึงจะรู้อย่างนั้นก็ไม่มีใครในคณะเดินทางกล้าบากหน้าไปขอเข้าพบอยู่ดี และคนที่ดูเคร่งเครียดที่สุดก็เห็นจะเป็นแม่ทัพแห่งอาเดรีย ผู้รู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องทุกอย่างเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร

...แต่เขาก็ไม่อยากจะนำความผิดพลาดไประบายลงที่เลสธีราห์

เขาเป็นเจ้านาย อีกฝ่ายเป็นลูกน้อง เจ้านายที่ดีจะต้องปกป้องลูกน้อง ดังนั้นเอเดรียนจึงไม่เอ่ยออกมาสักคำว่าใครเป็นคนที่ทำให้การสนทนาล่มไม่เป็นท่าตั้งแต่เช้า และเมื่อเห็นว่าการพูดคุยของซาฮาลกับเอเดรียนไม่เกิดผลเป็นที่น่าพอใจ คณะทูตจากมหาคฤหาสน์จึงได้เรียกประชุมคณะเดินทางทั้งขณะเป็นการด่วนและเริ่มถกเถียงปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยจุดยืนเดิมๆของตนที่เอเดรียนไม่ชอบใจ

พวกขุนนางเห็นแก่ตัวจากมหาคฤหาสน์นี้สนใจแต่เรื่องส่วนตนมากกว่าส่วนรวม

ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าอาเดรียเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการเจรจาครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีใครยอมลดราวาศอก

...ด้วยเกรงว่าการยอมอ่อนข้อนั้นจะทำให้พวกตนต้องเสียประโยชน์

"เจ้ากล่าวว่ากระไร เหตุใดทูตแอสทารอธจึงได้บอกปัดการเจรจาเสียดื้อๆแบบนั้น นี่ไม่ใช่นิสัยของเซนทอร์ไม่ใช่รึ!" เอเดรียนเพียงแค่แจ้งผลการเจรจา แต่เจ้าตัวก็ไม่ปริปากถึงเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้ทูตแอสทารอธเดินหนีเอาดื้อๆ ว่ามาจากความปากไวของเลสธีราห์ "เอเดรียน การที่เจ้าเสนอเรื่องของเรือจักรไอน้ำเป็นการเสี่ยงมากพอสมควรแล้ว หากแอสทารอธเรียกร้องมากกว่านั้นแล้วเราจะไปหามาหยิบยื่นให้พวกเขาได้หรืออย่างไร"

"แล้วศาสตร์เรือไอน้ำนั่นก็มีมูลค่ามากเกินไปที่จะเสนอด้วยซ้ำ เจ้าคิดจะเข้าไปช่วงชิงของพรรค์นั้นจากธีสธรัลหรือ ถ้าได้มันมาจริงๆเราควรจะเก็บไว้เองมากกว่า จะนำมาให้พวกเซนทอร์ทำไมกัน ของมีค่าขนาดนั้นจะเป็นประโยชน์กับบ้านเมืองเรามหาศาลเลยเชียว"

"แต่ตอนนี้เรากำลังตกที่นั่งลำบาก เราต้องขอความช่วยเหลือจากแอสทารอธ หากไม่ยื่นข้อเสนอที่พวกเขาสนใจ คิดหรือว่าเซนทอร์จะยอมร่วมมือ เผ่าพันธุ์นี้ก็ไม่ใคร่จะเป็นมิตรกับผู้ใดมาแสนนานแล้ว นี่ดีเท่าไหร่ที่พวกเขายอมให้พวกเราเข้ามา" เอเดรียนสวนกลับด้วยความโมโห "ไม่ใช่แค่ศึกจากธีสธรัลที่เราต้องระวัง แต่พันธมิตรของธีสธรัลอย่างไอย์ชวลก็คงจะร่วมบีบคั้นเราด้วย  เราต้องการกำลังพล และถ้าเราได้กำลังพลของแอสทารอธมาจริงๆ ทั้งสองเมืองนั่นก็คงจะมีความเกรงอกเกรงใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย"

"แต่ถ้าอย่างนั้นก็เสนอเรื่องอื่นไปก็ได้ เงินทอง... อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ศาสตร์ความรู้เรื่องเรือไอน้ำ ใช่ว่าบ้านเราไม่ต้องการนะ หากเราสามารถต่อเรือไอน้ำได้ เราก็จะมีความเจริญมากกว่านี้หลายเท่าตัวนัก" ขุนนางอีกคนว่า และเมื่อเอเดรียนหันไปสบตาคนพูด เขาก็นึกได้ว่าอีกฝ่ายเองมีความเกี่ยวข้องกับการค้าทางเรือ ซึ่งเรื่องของเรือจักรไอน้ำนี้ก็เป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างที่สุด

แม่ทัพหนุ่มยืดตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะกล่าวโต้อย่างดุดัน

"แล้วพวกท่านซึ่งมีตำแหน่งเป็นทูตแท้ๆทำอะไรบ้างในการเจรจาครั้งนี้ เขาก็เห็นก้มเงียบไม่หือไม่อือราวกับว่าปัญหาของอาเดรียไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โต หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากแอสทารอธเราก็จะยังสามารถอยู่รอดได้สบายๆอย่างนั้น" เมื่อแม่ทัพหนุ่มพูดเต็มเสียง ทุกคนในที่ประชุมก็ก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกหวั่นเกรง เอเดรียนเป็นคนสนิทของท่านชายซินญอร์ และเป็นขุนนางฝ่ายความมั่นคงที่พวกเขาควรยำเกรง

"เราไม่มีอะไรที่จะมอบให้แอสทารอธเป็นการตอบแทนการยืมกองทัพของพวกเขา!"

"แล้วท่านได้ลองยื่นข้อเสนอไปแล้วหรือยังเล่า!" แม่ทัพหนุ่มตะคอกกลับ "เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เห็นและไม่คิดจะทำอะไรสักเพียงอย่าง!" ร่างสูงเริ่มออกเดิน และก้าวผ่านขุนนางทูตหลายคนที่นั่งอยู่ในห้อง "ประชากรของอาเดรียเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน แต่เราก็ยังมุ่งไปที่การค้าขายเหมือนเดิม ทำให้ผู้ค้าขายมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทว่ากลับยิ่งทำให้สินค้าราคาตกต่ำลง เพราะทุกคนคิดจะแย่งกันขาย ในขณะที่แอสทารอธมีโอกาสในการผลิตสินค้าได้หลากหลายอาเดรียหลายเท่าตัว ทว่าขาดแคลนแรงงาน พวกเขาเป็นครึ่งม้า ท่านทูต... ม้าทำทุกอย่างไม่ได้เหมือนมนุษย์ ทำไมเราจึงไม่ลองเสนอเรื่องฝีมือแรงงานบ้าง"

เลสธีราห์ที่ยืนอยู่ข้างเอเดรียนโดยตลอดเหลือบมองผู้พูดเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ หลังจากพบว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นเป็นความจริงทุกประการ แม้เซนทอร์รุ่นหลังๆจะเริ่มเรียนรู้ที่จะแปลงกายเป็นมนุษย์แล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่ต้องพึ่งเมืองอื่นในเรื่องของแรงงาน อัตราการเกิดของเซนทอร์มีน้อยมากเมื่อเทียบกับอมนุษย์ด้วยกัน อันเนื่องมาจากลักษณะนิสัยของพวกเขาที่ค่อนข้างจะ 'บ้างาน' กระทั่งเหนือหัวดาเรียสเองยังไม่แต่งงานมีชายาเลยด้วยซ้ำ

และเลสธีราห์ห์ก็เข้าใจดีว่าการใช้กีบเท้าม้าเดินบนแผ่นไม้กระดานนั้นเป็นเรื่องน่าขันมากแค่ไหน

อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดในเมืองท่ามารินาอันน่าภาคภูมิใจคืออาการ 'ล้มหัวฟาดพื้น'

"แต่เรื่องแรงงานก็ไม่จูงใจแอสทารอธได้มากพอหรอก" เอเดรียนถอนใจ "ข้าไม่ได้มีความชำนาญเรื่องจำนวนประชากรที่แน่นอนของอาเดรีย จึงไม่สามารถเจรจาฉะฉานกับท่านราชเลขาได้ ไม่วายจะต้องอ้ำอึ้งจนนางเกิดความรู้สึกรำคาญ พวกท่านเองก็น่าจะรู้ว่านางไม่ใช่คนอ้อมค้อมและกระมิดกระเมี้ยนในการเจรจาอย่างที่พวกท่านทำกับเมื่อวานนี้ หากไม่พูดตรงๆกับนาง มีแต่จะสร้างความหงุดหงิดเปล่าๆ อย่างไรพวกเขาก็เป็นอมนุษย์ที่ขี้โมโหเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว"

...แล้วเหตุใดเอเดรียนจะต้องกล่าวว่าเซนทอร์ขี้โมโหด้วยเล่า!!

"เรื่องของเรือจักรไอน้ำเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยง เพราะแม้ว่าพวกเราจะรู้จักสิ่งนี้แต่ก็ไม่เคยสร้างมันขึ้นมาได้อย่างพวกเอลฟ์ แต่นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แอสทารอธไม่มี และหากเราทำให้มันแน่นอนขึ้นมาได้ ข้าเชื่อแอสทารอธจะต้องสนใจข้อเสนอนี้" เอเดรียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ "การเจรจานี้มีผลถึงอาเดรียทั้งอาณาจักร แต่พวกท่านกลับมากล่าวว่ามันเป็นความรับผิดชอบของข้า แล้วเช่นนี้เมื่อไหร่พวกเราจะรอดพ้นวิกฤติ... สู้เอาเวลามาคิดหาสิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ดีกว่ารึไง"

...

เมื่อชายหนุ่มพูดอย่างนั้น เหล่าขุนนางทูตก็ไม่มีความเห็นหรือคำตำหนิใดๆเพิ่มเติม มีเพียงเลสธีราห์เท่านั้นที่อยากจะถามออกมาเหลือเกินว่าเหตุใดเอเดรียนจึงไม่กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้การเจรจาล้มเหลว ทั้งที่มันเป็นความผิดของเขาทั้งหมดแท้ๆ "ข้าไม่คิดว่าแอสทารอธจะให้ที่พักเราต่อ... ท่านราชเลขาต้องการความแน่นอน ดังนั้นเมื่อกลับไปถึงอาเดรียเราจะต้องหาความแน่นอนให้นาง"

"เอเดรียน..." เซนทอร์หนุ่มเรียกเสียงเบา

"เลสธีราห์ กลับมากับข้า เรามีเรื่องต้องหารือกัน"

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 9.2
«ตอบ #26 เมื่อ31-10-2016 08:50:29 »

ตอนที่ 9.2

การปิดท่าเรือของอาเดรียไม่กี่วันกระทบการใช้ชีวิตของคนจำนวนมากในทุกสาขาอาชีพของธีสธรัล ท่าเรือเงียบเหงา ไม่มีเรือลำใดแล่นออกจากแผ่นดิน คนค้าขายไม่มีของไปวางแผง เสบียงอาหารที่มีอยู่จำกัดของทุกครอบครัวก็หดหายไปทุกวันเช่นกัน การล้มราชบัลลังก์เมื่อเดือนที่ผ่านมาส่งผลให้การบริหารงานทุกอย่างติดขัดไม่ลงตัว และไวลด์ ราชินีองค์ใหม่ของธีสธรัลเองก็ไม่มีความชำนาญพอที่จะจัดการเรื่องทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียวในระยะเวลาอันสั้นเท่านี้

...นี่เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับผู้นำใหม่

ไอย์ชวลผู้เป็นเมืองพันธมิตรส่งกองกำลังพิเศษส่วนพระองค์ของราชามาช่วยดูแลความเรียบร้อยเพื่อป้องกันการเปลี่ยนขั้วทางการปกครอง แต่สิ่งที่ราชินีแห่งธีสธรัลต้องการมากที่สุดในตอนนี้กลับเป็นที่ปรึกษาที่สามารถช่วยนางหาทางออกให้ปัญหานี้ได้

ซึ่งเพื่อนในวัยเด็กคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาร่วมทางเดินกับนาง

"เรือพาณิชย์ที่ออกไปเมื่อสองวันก่อนยังไม่เดินทางกลับมาจากตะวันออก การเจรจากับชาวเอลฟ์คงไม่ราบรื่นนัก แม้ว่าเราจะติดต่อขอซื้อเพียงแค่เนื้อสัตว์ไม่กี่ชนิดก็ตาม... พวกแอสทารอธก็ไม่ตกลงกับราคาค่าผ่านทางในระบบเหมาจ่ายที่เราเสนอไป ตอนนี้ประชาชนเริ่มร้องเรียนเรื่องปัญหาการขนส่งแล้ว การซื้อขายเนื้อสัตว์และพืชผักจากอาเดรียหยุดชะงัก หากไม่เร่งแก้ปัญหาในเร็ววัน ผู้คนจะเดือดร้อนและอาจลุกฮือขึ้นต่อต้านเราก็เป็นได้" ราชินีแห่งธีสธรัลเอ่ยกับคนสนิท พระนางกำลังมุ่งหน้าจากหอหนังสือกลางไปยังท้องพระโรงหลวงว่าการเพื่อร่วมประชุมกับเหล่าขุนนาง

"ข้าส่งข่าวให้ท่านพี่ฟลอฮาวนท์ช่วยเหลือกดดันอาเดรียอีกแรง เพราะฝ่ายนั้นเองก็ต้องติดต่อซื้อขายกับเมืองอื่นๆหลายเมืองเหมือนกันรวมทั้งไอย์ชวลด้วย แต่ฝ่ายทหารของไอย์ชวลก็ยืนยันว่าจะไม่ทำอะไรเกินตัว พวกเขาคงแค่เข้มงวดด้านชายแดนมากขึ้น เพราะการตัดความสัมพันธ์ทางการค้าดูจะเป็นเรื่องที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนมากเกินไป"

คนสนิทของราชินีนิ่งฟังเงียบๆขณะคิดตามสิ่งที่นางพูด ก่อนจะเสนอความเห็นบ้าง

"การปิดท่าเรือแบบนี้คือการประกาศศึกกับเราซึ่งหน้า หากไม่เกิดสงครามแตกหักก็คงจะต้องมีการเจรจาบีบคั้นเกิดขึ้น ธีสธรัลเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่มาก แต่ในเรื่องกำลังพลและความก้าวหน้าทางการทหารแล้วก็พอจะได้เปรียบอยู่บ้าง พระนาง... ข้าได้ยินว่าพวกนั้นส่งทูตไปติดต่อกับแอสทารอธด้วย เมืองเซนทอร์ไม่เคยแสดงจุดยืนว่าจะเข้าข้างใครมาก่อน แต่ถ้าพวกเขาเอียงเข้าอาเดรียขึ้นมา... เราก็คงจะลำบากไม่น้อย"

ไวลด์หรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น "กองเรือเซเลสต์... มหาอำนาจของทะเลเทเทส"

ไม่มีใครรู้เรื่องราวภายในของแอสทารอธมากนัก แต่สำหรับคนที่รู้จักทะเลเทเทสแล้ว ไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อของกองเรือเซเลสต์แน่นอน "อาเดรียจะต้องมีข้อเสนอที่ดีพอ... แอสทารอธจึงจะยอมตกลง" องค์ราชินีว่า "ครึ่งม้าพวกนั้นไม่สุงสิงกับผู้ใดด้วยความฝังใจในอดีต หากครั้งนี้พวกเขาจะเลือกข้าง ข้าคิดว่าอาเดรียจะต้องมีสิ่งตอบแทนที่ดีงามมากพอ" ดวงตาเรียวหรี่ลงอย่างครุ่นคิด

"แต่อาเดรียน่ะหรือ... จะมีสิ่งใดมีค่าพอจะเสนอ"

"ตอนนี้ไอย์ชวลก็คงจะตรึงกำลังที่ชายแดนรัดกุมขึ้น คงทำให้พวกอาเดรียเข้าไปล่าสัตว์ในป่าของไอย์ชวลยากขึ้น ประชาชนของพวกเขาก็คงจะเดือดร้อนไม่แพ้กัน ถ้าสามารถตรึงสถานการณ์นี้ไปได้สักพัก อาเดรียก็คงจะลดเงื่อนไขเจรจาลงมา... ในตอนนี้เราคงต้องพึ่งการซื้อของจากตะวันออกไปก่อน ทรัพย์สินในพระคลังหลวงก็ยังมีอยู่มากพอจะซื้อเวลาได้"

หญิงสาวหลับตาลงเมื่อพูดจบ "บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเรื่องหลัก ผลประโยชน์ของเมืองเป็นเรื่องรอง การเป็นผู้นำนี่ไม่ง่ายเอาเสียเลยหนา"

คนสนิทในวัยเยาว์ทอดยิ้มออกมาเล็กน้อยและก้มสายตาลงมองพื้นดังเดิมอย่างที่ผู้ใต้บัญชาควรทำ "ไม่รู้ว่าการเสนอตัวเข้าช่วยนายหญิงในครั้งนี้จะเพียงพอหรือไม่ ข้าจะได้รับความวางใจหรือเปล่า แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ขุนนางที่ดีควรกระทำ คือการได้ใช้ความรู้ความสามารถของตนให้เป็นประโยชน์กับบ้านเมืองอันเป็นที่รักของตน ...ข้าอยากเป็นเท่านั้นก็เพียงพอน่ะขอรับ"

"ถ้าข้าใช้งานเจ้าได้จริงๆ มันก็คงจะดีมากเลย ฟลินกอร์น" ไวลด์ยิ้มบาง

เจ้าของชื่อฟลินกอร์นค้อมหัวรับ "ข้าจะช่วยเหลือนายหญิงอย่างสุดความสามารถขอรับ"

ไวลด์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วยกมุมปากขึ้นยิ้ม "ข้ามีงานอย่างหนึ่งให้เจ้าทำ" หญิงสาวหยุดที่หน้าต่างบานหนึ่งของปราสาท และทอดมองออกไปยังท่าเรือที่มีเรือหลายสิบลำจอดเรียงราย "ให้เจ้าไปติดต่อแอสทารอธ... หากอาเดรียคิดจะรวบแอสทารอธไปเป็นพวกตน เราก็คงจะอยู่เฉยไม่ได้" นางมองไกลออกไปยังอู่ต่อเรือที่เห็นเป็นเพียงภาพเลือนราง

เจ้าของชื่อฟลินกอร์นพยักหน้ารับคำ "ให้แน่ใจว่าอาเดรียจะไม่ได้กองเรือเซเลสต์ไปสินะขอรับ"

"แน่นอน... และเราต้องมีสิ่งตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อพอ"

"นายหญิง..."

ไวลด์สูดลมหายใจเข้าราวกับรวบรวมความกล้า และหันไปสั่งเสียงเรียบกับคนสนิท "เรือจักรไอน้ำ"

--------------------------------------------------

เซนทอร์หนุ่มจำได้ว่าเขาไม่เคยโดนใครตบจนปากแตกแบบนี้มาก่อน ดังนั้นเจ้าตัวจึงค่อนข้างตกใจและไม่พูดไม่จาไปสักพักใหญ่ แต่เลสธีราห์ก็ไม่ได้รู้สึกแย่ที่ทำให้เจรจาล้มเหลว ...เขาแค่ไม่คุ้นเคยกับการถูกลงโทษแบบนี้

หรือว่านี่คือสิ่งที่ทำให้ซาฮาลดูแคลนเขามาตลอด เลสธีราห์ถูกเลี้ยงดูมาอย่างถะนุถนอมเหลือเกิน

หลังจากเหวี่ยงหลังมือฟาดจนปากแตกแล้ว นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เอเดรียนแตะตัวเลสธีราห์ ทว่าเป็นการลูบหัวปลอบโยน "เจ้าฟังความผิดไปบ้าง คิดว่าแอสทารอธไม่มั่นใจในกำลังของตัวเองอย่างที่เคยเป็น จึงได้สวนกลับไปแบบนั้น... แต่เปล่าเลย เขาถามเราต่างหากว่าเรารู้จักพวกเขาดีแค่ไหนจึงได้กล้าเสนอหน้ามาขอความช่วยเหลือแบบนี้"

เมื่อได้ฟังเอเดรียนพูดแล้ว เลสธีราห์ก็คิดว่าตนคิดเร็วเกินไปจริงๆ

...หรือเพราะเขารู้จักกำลังพลของเซเลสต์ดีอยู่แล้ว จึงได้หงุดหงิดที่เหมือนถูกดูแคลนแบบนั้น

"เขาไม่ได้หยั่งเชิงเรา แต่เขาถามหาความมั่นใจจากเรา ว่าเราพร้อมจะเสี่ยงไปกับพวกเขาจริงหรือไม่ ทั้งที่ไม่เคยรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของเซเลสต์ด้วยตาตัวเองเลย แล้วถ้าเซเลสต์พ่ายแพ้ขึ้นมา อาเดรียจะยังยืนอยู่ข้างแอสทารอทอีกหรือไม่" อาเดรียนลูบผมสีอ่อน "โชคยังเข้าข้างที่แอสทารอธไม่ถีบเราส่งหลังจากนั้น ท่านราชเลขาเพิ่งส่งเฟลิเซียกลับมาแจ้งข่าวว่านางมีเรื่องจะพูดด้วย และมันเป็นเรื่องที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธได้ตัดสินใจแล้ว"

เซนทอร์หนุ่มลอบยิ้มมุมปากเล็กน้อย... แม่ข้าจะปล่อยให้ข้าทำเสียเรื่องทั้งหมดอย่างไรเล่า

"อุ...!"

เนื่องจากการยกมุมปากขึ้นยิ้มนั้นทำให้แผลปากแตกตึงขึ้นมา ร่างโปร่งยกมือขึ้นแตะเบาๆเพื่อบรรเทาความเจ็บ แต่ก่อนที่เขาจะได้สำรวจว่าเจ็บตรงไหนบ้าง นิ้วของเอเดรียนก็สัมผัสกับริมฝีปากของชายหนุ่มเสียก่อน "ข้าขอโทษด้วยที่ตบเจ้าแบบนั้น" สัมผัสของเจ้าตัวแผ่วเบาและอ่อนโยน แตกต่างจากตอนที่ออกแรงลงไม้ลงมืออย่างสิ้นเชิง "ช้ำเลยเชียว"

ร่างสูงหันไปหากล่องพยาบาลที่เขาพกติดมาด้วย และรื้อหาตัวยาบางอย่างที่พอจะใช้ได้

"...แก้ปวดน่ะ" ร่างสูงหยิบตลับยาเล็กๆขึ้นมา ภายในบรรจุครีมสีขุ่นที่มีกลิ่นจางๆของสมุนไพร "ประเดี๋ยวจะมีปัญหาตอนกินอาหาร" เซนทอร์หนุ่มเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมให้เอเดรียนทายาให้แต่โดยดี

"ความจริงก็ไม่จำเป็นหรอกน่า" ร่างโปร่งว่า "แค่เจ้าไม่เอาความกับข้า... ก็ดีมากแล้ว"

"ตอนพูดไม่คิดเสียบ้างเล่า" เอเดรียนหัวเราะ "เอาเถิด ข้ายอมรับในความบกพร่องของข้อเสนอ แม้จะมีข้อเสนอที่ดีกว่านี้ก็ตาม แต่ข้ายังบอกพวกเขาในตอนนี้ไม่ได้" แม่ทัพใหญ่ว่า "เรื่องที่ข้าพูดกับพวกขุนนางวันนี้เป็นเรื่องที่ข้าอยากจะพูดมานานแล้ว"

"พวกนั้นจะยิ่งไม่ชอบเจ้าไม่ใช่รึไง"

"พวกเขาไม่ชอบที่ข้าเป็นคนสนิทของท่านชายซินญอร์มาแต่ไหนแต่ไร เหตุใดจะต้องไปสนใจด้วย ข้าแค่ไม่อยากให้เขาพุ่งเป้ามาเล่นงานเจ้าที่ไม่รู้เรื่องเพื่อปัดความรับผิดชอบของตัวเอง" เอเดรียนปาดยาลงบนรอยช้ำเบาๆ และเพิ่งรู้สึกตัวว่าก้มเข้ามาใกล้อีกฝ่ายมากกว่าปกติ จนลมหายใจอุ่นๆของอีกฝ่ายเป่ารดผิวแก้มของเขาจนรู้สึกได้ กลิ่นไอจางๆจากตัวอีกคนที่ดูต่างจากคนอื่นทำให้แม่ทัพหนุ่มมุ่นคิ้ว

เลสธีราห์ไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะแตกต่าง

"ใกล้ไปรึเปล่า" คู่สนทนาถามด้วยน้ำเสียงติดขัด แผ่นหลังโปร่งเอนหนีเล็กน้อยเมื่อคนตรงหน้าก้มลงมาใกล้ลำคอของเขาจนมากเกินควร แต่ก็ช่างน่าแปลกที่เลสธีราห์ไม่รู้สึกขยะแขยงอย่างที่เขาเคยรู้สึกยามถูกมองด้วยสายตาแปลกๆจากคนอื่น แม้ในยามที่สัมผัสได้ถึงปลายจมูกที่จรดลงบนผิวเนื้อเย็นเปล่าเปลือย

กลิ่นกายของอมนุษย์... แตกต่างมากขนาดนี้เชียวหรือ

เขารู้สึกได้ถึงชีพจรของอีกฝ่าย เส้นเลือดจำนวนมากที่สูดฉีดอยู่ใต้ผิวหนังขาวเนียน และจังหวะหัวใจที่เต้นแรงขึ้นโดยไร้สาเหตุ อีกฝ่ายดูตื่นเต้นและประหม่า ดังนั้นเขาจึงแนบริมฝีปากจูบไปบนผิวเนื้อเพื่อปลอบโยนอย่างนุ่มนวล แต่ไหล่กว้างก็ห่อเข้าด้วยความไม่คุ้นเคย และสองมือของอีกฝ่ายก็ยกขึ้นวางบนไหล่หนา ก่อนจะออกแรงผลักเบาๆเพื่อให้อีกฝ่ายได้สติ

"เอเดรียน...!"

"...!" ความรู้สึกแรกนั้นราวกับถูกน้ำเย็นจัดสาดให้ตื่นจากภวังค์ แม่ทัพหนุ่มสะดุ้งและถอยตัวกลับ พร้อมกับกลั้นหายใจ และหันไปเก็บกระปุกยาไว้ในกล่องพยาบาลตามเดิม "ข้าขอโทษ..." ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกและค่อยๆผ่อนออกมาในความพยายามจะควบคุมสติ "เจ้ากลับห้องไปพักผ่อนเถอะ"

คนที่ดูตกใจไม่แพ้กันก็คือเลสธีราห์ซึ่งยกมือขึ้นจับลำคอของตนอย่างไม่เข้าใจ

ความเงียบเกิดขึ้นเนิ่นนานหลังจากนั้น เอเดรียนพยายามเลี่ยงตัวเองออกไปทำอย่างอื่นเช่นการจัดข้าวของที่ไม่ได้รกมากมายขนาดนั้น หรือการพยายามทำให้เตียงที่พักเรียบตึงทั้งๆที่มันไม่ได้ยับย่นแต่ประการใด เพียงเพื่อให้เลสธีราห์ออกไปจากห้อง แต่ดูเหมือนว่าเซนทอร์หนุ่มจะไม่ทำตาม

"นี่เจ้ายังไม่ตอบเลย... ทำไมจะต้องออกหน้าแทนข้าด้วย"

ร่างโปร่งว่า "ทำไมเจ้าจึงไม่พูดไปตรงๆว่าข้าทำให้... เซนทอร์ตนนั้นไม่พอใจจนกระแทกเท้าหนีไป" เขาก้มลงมองผ้าปูเตียงสีอ่อนที่ตนนั่งทับอยู่และไล่นิ้วไปบนลายปักของมันเสมือนไม่เคยพบเห็นมาก่อน "เจ้าไม่ควรทะเลาะกับขุนนางอื่นแบบนั้นไม่ใช่รึไง"

แม่ทัพใหญ่ถอนใจ "เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม... ว่าพวกขุนนางจากมหาคฤหาสน์นี้ไว้ใจได้สักกี่คน เพียงแค่เรื่องผลประโยชน์ก็ยังคิดจะเอาเปรียบกันได้" ร่างสูงหันมามองเลสธีราห์ "เจ้ารู้ไหมว่าข้าเกลียดการแลกเปลี่ยนบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่โดยการใช้เงินอย่างที่สุด มันไม่ให้เกียรติกันเลยสักนิดเดียว"

คนฟังชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น และเริ่มคิดต่อว่า... เช่นนั้นแล้วควรใช้อะไร

"นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าเอานั่นเอานี่มาให้ข้าแทนค่าตอบแทนหรือเปล่า ทั้งอาวุธ ที่พัก เสื้อผ้า และการเอาใจใส่แบบนี้" ร่างโปร่งถามกลับในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกัน "เจ้าไม่เคยพูดเรื่องเงินค่าจ้างกับข้าเลยนะ" เลสธีราห์สงสัยว่าการที่เขาพูดแบบนี้เท่ากับเป็นการทวงหรือไม่ เพราะเอเดรียนเองก็ไม่เคยพูดถึงค่าจ้างตอบแทนเลย ทว่าคำถามนี้ก็ผุดขึ้นมาในใจเสียดื้อๆ

"ของบางอย่างมันซื้อไม่ได้ด้วยเงินน่ะ เลสธีราห์"

"แล้วถ้าข้าอยากได้เงินล่ะ..." ร่างโปร่งโคลงหัวถาม "มันเป็นความไม่ภักดีในสายตาเจ้าหรือเปล่า"

เอเดรียนยิ้มบางตอบ "ถ้าหากเจ้าต้องการเงิน ข้าก็มีให้" ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบหัวคู่สนทนาด้วยความเอ็นดู "ถ้าเงินมันซื้อใจเจ้าได้ ข้าก็ยินดีจ่าย" เลสธีราห์เสตาหลบเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายพูดอย่างนั้น ก่อนจะค่อยๆหลับลงเมื่อรู้สึกว่าปลายนิ้วของอีกฝ่ายกำลังไล้ลงมาตามเสี้ยวหน้าตนเอง

"เจ้าเป็นอมนุษย์ที่สง่างามนัก..."

เอเดรียนเพิ่งสังเกตว่าใบหูของอีกฝ่ายค่อนข้างแหลมเหมือนชาวเอลฟ์ และโครงหน้าก็เรียวกว่าผู้ชายโดยทั่วไป แม้จมูกของอีกฝ่ายจะโด่งเป็นสันมากกว่าปกติ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เครื่องหน้าที่สวยงามดูหม่นหมอง และเมื่ออยู่ใกล้อีกครั้ง เอเดรียนก็พบว่าตนเองต้องคอยสะกดลมหายใจอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เหมือนความรู้สึกที่เขาเคยละทิ้งและคิดว่าลืมมันไปจนหมดสิ้นค่อยๆหวนกลับมาอีกครั้ง

อีกฝ่ายสง่างาม... จนเขาต้องการจะครอบครองเอาไว้เป็นของตนเพียงคนเดียว

ร่างสูงถอนหายใจยาวกับความคิดนั้น และดึงมือของตนกลับแล้วจึงลุกไปที่ประตูห้องพลางสูดลมหายใจช้าๆราวกับตั้งสติ "เลสธีราห์ กลับห้องไปก่อนเถอะ..." เจ้าตัวเปิดประตูและผายมือให้อีกฝ่าย "ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ประเดี๋ยวเจ้าจะติดหวัด"

แต่เลสธีราห์กลับลุกขึ้นมาและผลักประตูปิดลงตามเดิม "อมนุษย์ไม่เป็นไข้ของมนุษย์หรอก"

ร่างโปร่งแตะหลังมือกับหน้าผากอีกคนและพบว่ามันปกติเสียจนรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังโกหก "เจ้าไม่ได้ป่วย" มือเรียวค่อยๆแตะอังไปตามโครงหน้า ทั้งพวงแก้ม ลำคอ และจบลงที่จุดชีพจร แต่ทุกอย่างก็ดูเป็นปกติ จะมีก็เพียงเสียงหัวใจของอีกฝ่ายเท่านั้นที่ระรัวอย่างประหลาด "ทำไม..."

"เลสธีราห์" เอเดรียนจับมือเรียวของอีกฝ่ายและกอบกุมมันเอาไว้เพื่อไม่ให้ร่างโปร่งสัมผัสตนอีก

"กลับห้องตัวเองไป..."

แม้ว่าคนพูดจะกล่าวเช่นนั้น แต่มันกลับเป็นตัวเขาเองที่ยกมือเรียวขึ้นแนบริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะบรรจงจูบลงบนฝ่ามือหยาบของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ เจ้าของฝ่ามือสะดุ้งเบาแต่ก็ไม่ได้ปัดป้องหรือถอยหนี ยิ่งทำให้ฝ่ายรุกรานได้ใจและดันร่างโปร่งถอยไปชิดกับประตูห้อง

เอเดรียนเท้าแขนข้างหนึ่งเหนือหัวเลสธีราห์ ขณะขบริมฝีปากตัวเองห้ามใจ

"ทำไมถึงไม่ผลักหรือต่อต้านเสียบ้างเล่า" เขาเชยคางขึ้นอีกฝ่ายขึ้นมองสบตาอย่างไม่เข้าใจ

เลสธีราห์สูดลมหายใจเข้าลึก โดยไม่ผลักอีกฝ่ายออกอย่างที่ควรจะเป็น "ถ้ามันรู้สึกดี ข้าจะปฏิเสธทำไม" เขาไม่รู้ว่าเหตุใดเอเดรียนจึงทำเช่นนั้น แต่ไม่มีเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่รู้สึกรังเกียจ ดังนั้นร่างโปร่งจึงไม่มีเหตุให้ต่อต้านการกระทำของอีกฝ่าย เอเดรียนประคองใบหน้าของคู่สนทนาเอาไว้ และก้มลงแนบหน้าผากของตนเข้าหา ราวกับกำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่างในจิตใจของตัวเอง

...

ก๊อก! ก๊อก!

ใครสักคนเคาะประตูห้องพักซึ่งเป็นแผ่นไม้ที่เลสธีราห์เอนหลังพิงอยู่ ทำให้ทั้งคู่สะดุ้งสุดตัวและก้าวถอยออกจากกันตามสัญชาติญาณ "ค... ใคร มีอะไรรึเปล่า" เอเดรียนผู้เป็นเจ้าของห้องเอ่ยถาม ขณะที่เลสธีราห์ขยับห่างออกไปเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต ประตูไม้เปิดออก และปรากฎร่างเซนทอร์หญิงผู้ดูแลต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง

"ท่านราชเลขามีความประสงค์จะพบท่านทูตเอเดรียน"

ครึ่งม้าค้อมหัวลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพตามธรรมเนียม และก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเลสธีราห์อยู่ในห้องพักด้วย "หากคนสนิทต้องการจะติดตามไปก็ย่อมได้..." เอเดรียนหันไปพยักหน้าให้เลสธีราห์ครั้งหนึ่ง แล้วจึงคว้าผ้าคลุมไหล่ของตนขึ้นสวมเพื่อเตรียมพร้อม

"เชิญนำทางได้เลย"

เฟลิเซียพยายามไม่แสดงอาการพิรุธ แต่หญิงสาวก็ไม่อยากเชื่อว่าเลสธีราห์จะสามารถสนิทกับใครได้จนถึงขนาดไปนั่งเล่นในห้องพักของอีกฝ่ายได้ เซนทอร์หญิงหัวเราะคิกคักกับตนเองด้วยความสาแก่ใจลึกๆ เพราะหากซาฮาลรู้เรื่องนี้เข้า เจ้าตัวจะต้องกระฟัดกระเฟียดเป็นม้าพยศไปอีกหลายวันอย่างแน่นอน

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 10.1
«ตอบ #28 เมื่อ01-11-2016 07:29:56 »

ตอนที่ 10.1

การล่าวาฬเรียกได้ว่าเป็นวิถีชีวิตอย่างหนึ่งของเมืองที่มีเขตติดทะเล อันเนื่องมาจากความต้องการน้ำมันวาฬเพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง การล่าวาฬครั้งหนึ่งอาจได้น้ำมันวาฬในปริมาณมากพอที่จะนำมาใช้ได้นานแรมปี และเนื้อจำนวนมากที่สามารถเลี้ยงผู้คนได้ทั้งเมือง

แต่สำหรับแอสทารอธ เมืองแห่งเซนทอร์ผู้เป็นมังสวิรัติแล้ว... การล่าวาฬเป็นเรื่องของความท้าทาย

ในการคัดเลือกครั้งสุดท้ายเพื่อค้นหาผู้ที่เหมาะสมจะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ การล่าวาฬถูกเลือกให้เป็นภารกิจสำคัญที่จะตัดสินผล เรือรบทั้งสี่ลำอันหมายถึงผู้ที่มีสิทธิ์สี่คนจะต้องออกเรือไปในทะเลพร้อมกับลูกเรือลำละยี่สิบคน เพื่อล่าวาฬให้ได้น้ำมันในปริมาณที่กำหนดในเวลารวดเร็วที่สุด บุคคลแรกที่กลับมาจะเป็นฝ่ายชนะ และได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดของกองเรือรบเซเลสต์ กองเรือในตำนานแห่งแอสทารอธ

ตัวเต็งของการแข่งขันไม่ใช่เลสธีราห์ แต่เป็นซาฮาล เซนทอร์หนุ่มผู้มาจากตระกูลอัศวินชั้นสูงที่เก่าแก่ ซาฮาลมีขนาดและพละกำลังที่ได้เปรียบผู้ร่วมแข่งขันทุกคน และเขาสามารถทำคะแนนได้ดีมาตลอดในภารกิจที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน การแก้ปัญหา และนี่คือภารกิจสุดท้ายที่เป็นด่านสำคัญที่สุด และมีน้ำหนักคะแนนมากที่สุด นั่นคือความสามารถเชิงปฏิบัติในการควบคุมเรือ และอ่านทิศทางในทะเล

ผู้นำที่มีความรู้ทว่าไม่มีความสามารถนั้นไม่มีประโยชน์สำหรับกองทัพเรือ

ดังนั้นภารกิจล่าวาฬจึงท้าทายความสามารถที่สุด...

ซาฮาลมั่นใจว่าตนอ่านทิศทางจากดวงดาวได้จึงไม่รู้สึกหวั่นเกรงที่จะหลงทาง แต่แท้จริงแล้วความน่ากลัวของการเดินเรือไม่ใช่การคลาดจากชายฝั่งแต่เป็นความอ้างว้างของท้องทะเล เซนทอร์หนุ่มออกเรือไปจากแอสทารอธเป็นแรมเดือน ไกลเสียจนมองไม่เห็นคู่แข่งของตนอยู่บนเส้นขอบฟ้าอีกต่อไป และเช่นเดียวกันที่มองไม่เห็นหรือได้ยินเสียง 'ลมหายใจ' ของวาฬสักตัว แม้ซาลฮาลพูดคุยกับชาวประมงมามาก และรวบรวมความรู้เกี่ยวกับพวกมัน ทั้งอุปนิสัย พฤติกรรมที่แสดงออก และสถานที่ที่เคยพบมาอย่างดีแล้วก็ตาม

แต่สิ่งที่เลสธีราห์มีเหนือซาฮาลคือประสบการณ์

เขามีความทรงจำเกี่ยวกับบิดาไม่มาก แต่สิ่งที่ท่านทูตธีโอแดร์ทิ้งเอาไว้ให้คือความรู้ที่นำเขาไปสู่ความจริง เลสธีราห์อ่านหนังสือที่เขียนขึ้นโดยชาวเอลฟ์ผู้ได้รับสมญาว่าเป็นนักเดินเรือที่มีความสามารถมากที่สุดคนหนึ่งแห่งเธซาลีย์ และก่อนที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกผู้บัญชาการนี้ เลสธีราห์ก็เป็นกัปตันเรือของหน่วยลาดตระเวนที่มีอายุน้อยที่สุด ในขณะที่ซาฮาลเป็นขุนนางที่อายุน้อยที่สุดที่มีสิทธิ์เข้าประชุมในสภาสูง

เซนทอร์ให้ความเคารพผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ผู้มีอายุน้อยจะเป็นใหญ่ได้

"แต่เดิมการสังเกตวาฬคือการมองหา 'ลมหายใจ' ของมัน" เลสธีราห์ในวัยสิบหกกล่าวกับลูกเรือที่ล้วนแล้วมีอายุมากกว่า และมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าเขา "ซึ่งในบางครั้งทัศนวิสัยก็ทำให้เราไ่ม่สามารถมองเห็น" จริงอยู่ว่าเลสธีราห์เป็นกัปตันเรือลาดตระเวน แต่วาฬเป็นสัตว์ที่เคลื่อนที่ตลอดเวลาและไม่อาศัยอยู่ที่ใดเป็นหลักแหล่งทำให้ยากแก่การตามหา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องพึ่งพาโชคชะตาเพียงอย่างเดียว "ดังนั้นข้าจึงไม่เคยมองหาวาฬ..."

เลสธีราห์ก้าวลงไปในทะเล และ 'ฟัง' เสียงปลา...

ในความสงบและความเงียบของผืนน้ำ เสียงของวาฬดังก้องกังวานเสมอ บทเพลงของพวกมันเนิบช้าและชวนหลงใหล วาฬหลังค่อมร้องเรียกหาคู่ในระยะทางไกล ขานตอบซึ่งกันและกันอยู่เป็นระยะ แต่เสียงที่เลสธีราห์รอคอยนั้นเป็นเพียงเสียง 'คลิก' ที่ระรัว ส่งข่าวเรื่องอาหารและร้องเตือนให้ทั้งฝูงเกาะกลุ่มกันเอาไว้ เซนทอร์หนุ่มสั่งออกเรือในทันทีที่ได้ยินสัญญาณนั้น และเร่งตามฝูงวาฬหัวทุยจนกระทั่งเจอพวกมันทั้งหมดในที่สุด

เลสธีราห์กลับมายังแอสทารอธพร้อมกับน้ำมันวาฬตามที่กำหนดภายในหนึ่งเดือน


--------------------------------------------------

ราชเลขาแห่งแอสทารอธเลือกจะพบอาคันตุกะของนางอีกครั้งในช่วงบ่าย ทว่าครั้งนี้ไม่ใช่การสนทนาเป็นทางการ ทำให้สถานที่นัดพบเป็นด้านหลังพระราชวังอัสเธียร์แทนที่จะเป็นโถงประชุมกลาง โดยเฟลิเซียเป็นฝ่ายเดินนำไปบนทางเดินภายในพระราชวังอัสเธียร์ที่ทอดยาวไปสู่ด้านหลังซึ่งติดกับแม่น้ำสายหลักของแอสทารอธ และในไม่กี่อึดใจ พวกเขาก็ไปถึงส่วนของคลังหลวงที่ใหญ่ที่สุดของพระราชวังซึ่งเป็นที่เก็บเรือรบในตำนานของแอสทารอธ

เรือเซเลสต์...

เลสธีราห์จำได้ว่าเขาเคยบังคับเรือลำนี้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นในสงครามย่อยที่เขาไม่ได้จดจำ เซเลสต์เป็นเรือรบขนาดใหญ่ที่มีดาดฟ้าเรือสองชั้น และเสาเรือใหญ่สามต้น ซึ่งต้องใช้ลูกเรือนับร้อยคนในการทำงานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อน ทั้งปืนใหญ่ร่วมเจ็ดสิบกระบอกที่รายเรียงตลอดความยาวเรือ ทำให้มันเป็นเรือที่บังคับยากเป็นลำดับต้นๆของกองทัพ

ความสามารถของผู้บัญชาการกองทัพเรือควรเป็นความสามารถในการอ่านทิศทางลมและดวงดาว เพื่อการบังคับเรือขนาดใหญ่ที่ต้องอาศัยพลังของธรรมชาติช่วย แต่เลสธีราห์เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในการฟังเสียงปลาซึ่งเป็นความสามารถที่หาได้ยากยิ่งกว่า ดังนั้นการต่อสู้ของเขาและซาฮาลเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเมื่อสองปีที่แล้วจึงมีผลแพ้ชนะเป็นเอกฉันท์

แม้ว่าซาฮาลจะเป็นเซนทอร์ที่เพียบพร้อมทั้งความสามารถและชาติตระกูล อีกทั้งยังมีนิสัยเข้มงวดและมีระเบียบที่น่ายกย่องเป็นเซนทอร์ตัวอย่าง แต่ความสามารถของเขาก็ไม่อาจเทียบได้กับพรสวรรค์ของเลสธีราห์ คนที่มีระเบียบวินัยที่สุดจึงต้องประจำการอยู่ในฐานะผู้นำกองเรือพาณิชย์ที่ต้องการระเบียบ และผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่าจึงได้รับตำแหน่งผู้นำเซเลสต์ในที่สุด แม้ว่าในสายตาของซาฮาลแล้วนี่ไม่ใช่การตัดสินที่ยุติธรรมเลยก็ตาม

เพราะเขาคิดว่าเลสธีราห์ยังมีความเป็นเด็กมากเกินไปที่จะเป็นถึงผู้บัญชาการกองเรือรบ

เอเดรียนหยุดก้าวกะทันหันทำให้เลสธีราห์ต้องพลอยหยุดไปด้วย เช่นเดียวกับเฟลิเซียที่หันมามองด้วยความสงสัยหลังจากพาพวกเขามาถึงที่หมาย แม่ทัพอาเดรียกลั้นใจเมื่อเขาได้เห็นเรือรบของแอสทารอธเป็นครั้งแรก และเผลอเคลื่อนมือเย็นเฉียบของตนมาคว้าแขนของเลสธีราห์เอาไว้ด้วยความตื่นเต้น เฟลิเซียที่เห็นการกระทำนั้นหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปหาท่านหญิงลีอาห์ซึ่งยืนอยู่ที่ทางเดินหินอ่อน

"ท่านราชเลขา..."

เสียงฝีเท้าของเฟลิเซียเป็นสัญญาณการมาถึง และคำเรียกนั้นก็เทียบได้กับการรายงานตัว ราชเลขาแห่งแอสทารอธค่อยๆหันมาหาอาคันตุกะของนางด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ก่อนจะพยักหน้าให้เซนทอร์หญิงถอยออกไป เช่นเดียวกับเอเดรียนที่ค่อยๆปล่อยมือจากคนข้างกาย เซนทอร์หญิงก้าวตรงเข้ามาหาคู่สนทนาที่นางเรียกมาพบ "ข้าจำได้ว่าขอพบเพียงท่านทูตเอเดรียน... เหตุใดจึงมีผู้ติดตามมาด้วย" นัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตของนางคาดคั้น

"หากข้าเดาไม่ผิดแล้ว... นั่นคือผู้ติดตามคนเดียวกันกับที่ทำให้ซาฮาลหัวเสียกลับมาไม่ใช่หรือ"

เอเดรียนเหลือบมองคนข้างตัวก่อนจะยกมือขึ้นบังร่างโปร่งเอาไว้ และค้อมหัวลงด้วยท่าทางนอบน้อม "ข้าต้องขออภัยแทนคนของข้าด้วย ท่านหญิงได้โปรดเมตตา" แม่ทัพใหญ่ไม่แก้ต่าง แต่ก็พยายามก้าวเข้ามาขวางระหว่างเซนทอร์หญิงกับเลสธีราห์ให้มากที่สุด

"เจ้าไม่ควรเลี้ยงคนเช่นนี้ไว้... อาเดรียจะเสียประโยชน์เพราะเขา"

"..." เลสธีราห์เบิกตาขึ้นเมื่อได้ยินแบบนั้น การเจรจาเมื่อเช้าที่ผ่านมาอาจเป็นเพราะพวกเขาพูดคุยกับซาฮาล ซึ่งเป็นคนที่เลสธีราห์ไม่ชอบหน้าเป็นทุนเดิม ดังนั้นเจ้าตัวจึงพลั้งเผลอต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายและทำให้เอเดรียนเสียโอกาสในการเจรจา ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เลสธีราห์คิดว่าเอเดรียนควรจะลงโทษเขาให้หนักกว่าการตบปากเพียงครั้งเดียวด้วยซ้ำ

แต่จู่ๆคนพูดเรื่องนี้ขึ้นมากลับเป็นมารดาของตนเอง ทำให้เซนทอร์หนุ่มอดกลั้นใจไม่ได้

"ได้โปรด... ท่านหญิง" เอเดรียนค้อมหัวอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมาหาผู้ติดตาม "เลสธีราห์ เจ้าถอยไปก่อน" แม้ว่าอยากจะแย้งสักแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะต้องปฏิบัติตนเป็น 'ลูกน้อง' ที่ดีบ้าง ดังนั้นเลสธีราห์จึงยอมก้มหัว และถอยเท้าออกไปจากบริเวณนั้นในที่สุด

"ข้าขออภัยอีกครั้ง ท่านราชเลขา" เอเดรียนว่า "ข้าขอน้อมรับคำตำหนิเอาไว้เพียงผู้เดียว"

"เอาเถิด อย่างไรนั่นก็เป็นการบริหารของเจ้า" ราชเลขากล่าว แล้วจึงหันไปมองเรือรบขนาดใหญ่ที่จอดลอยลำอยู่ "ข้าเรียกให้เจ้ามาพบที่คลังหลวงเก็บเรือเซเลสต์... เรือรบในตำนานของแอสทารอธ"

"เป็นเกียรติสำหรับข้าอย่างยิ่งแล้วที่มีโอกาสได้เห็น"

"ท่านทูต... เหตุผลที่ข้าเรียกเจ้ามาพบตามลำพังเพราะเจ้าไม่ใช่คนที่มีคารมเยินยอน่ารำคาญอย่างทูตคนอื่น" ท่านหญิงว่า "ได้โปรดอย่าทำให้ข้าผิดหวังในความประทับใจนั่น" เซนทอร์ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นเผ่าที่เถรตรงมากที่สุด ไม่เว้นกระทั่งฝ่ายทูตที่ควรจะประนีประนอม แต่นี่ก็อาจจะเถรตรงมากไปสักหน่อยจนเอเดรียนเริ่มสงสัยว่าครึ่งม้าเหล่านี้สามารถผูกมิตรกับชาวเอลฟ์ที่เอาใจยากได้อย่างไร

สำหรับเขาแล้ว พวกเซนทอร์เอาใจยากกว่าพวกเอลฟ์ด้วยซ้ำ

"เมื่อวานนี้ข้าได้รับสารจากธีสธรัล ราชินีของพวกเขาจะขอส่งคนเข้ามาพบข้าเพื่อเจรจาชักชวนให้แอสทารอธร่วมมือในการไล่ต้อนอาเดรีย" นัยน์ตาสีน้ำตาลของนางมองสบกับชายหนุ่มที่เบิกตาขึ้นด้วยความตระหนกเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้จะสงสัยใคร่รู้ แต่เอเดรียนมีมารยาทพอจะไม่ถามถึงคำตอบ

"ข้ายังมิได้ตอบรับว่าจะยินยอมให้พวกเขาเข้ามาหรือไม่ จักต้องหารือกับเหนือหัวเสียก่อน"

เอเดรียนพอจะคาดเดาได้ว่าแอสทารอธอาจไม่ต้องลงทุนลงแรงอะเลยด้วยซ้ำในการเข้าร่วมกับธีสธรัล อาณาจักรมนุษย์แห่งนั้นมีกองเรือรบที่สามารถถล่มอ่าวอาเดรียให้ราบเป็นหน้ากลองได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว แต่เหตุผลที่ราชินีไวลด์ต้องการให้แอสทารอธร่วมมือ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เมืองเซนทอร์ไปเข้าร่วมกับอาเดรียเท่านั้น "ธีสธรัลเองก็มีข้อเสนอในเรื่องของเรือจักรไอน้ำเช่นกัน" นัยน์ตาสีน้ำตาลของนางหรี่ลงอย่างมีเลศนัยเพื่อสังเกตอาการของคู่สนทนาว่าจะมีท่าทางอย่างไร แน่นอนว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายชะงักและกระอักกระอ่วน ราชเลขาแอสทารอธก็ยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มอย่างพึงใจ

"ข้ามีคำถามหนึ่งแทน... ท่านทูตเอเดรียน"

"ท่านหญิงประสงค์จะถามสิ่งใด"

ลีอาห์ก็ไม่คิดว่าพวกเขาควรจะยืนพูดคุยอยู่ทื่อๆที่เดิม ดังนั้นหญิงสาวจึงเริ่มออกเดิน โดยยั้งฝีเท้าไม่ให้เร็วจนเกินไปจนมนุษย์ธรรมดาอย่างเอเดรียนก้าวตามไม่ทัน "ในฐานะนักปกครอง พวกเรารู้ดีว่าสงครามควรเป็นตัวเลือกสุดท้าย แต่อาเดรียกลับหยิบมันขึ้นมาเป็นตัวเลือกแรกทั้งที่ตนเองไม่มีความพร้อมในการทำศึก เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นได้"

เอเดรียนรู้ว่าเหตุใดผู้นำทั้งสองของคัสนาห์และอาเดรียจึงไม่ใช่วิธีทางการทูตแต่แรก

...ทว่านั่นก็เป็นปัญหาภายในของเขา

"จากสงครามที่ผ่านมาของมนุษย์และภูตทำให้ธีสธรัลบอบช้ำไปมาก ทั้งกำลังพลและกองทัพ สินค้าราคาแพงขึ้นและหาได้ยากยิ่งขึ้น ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูบ้านเมืองและเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงกษัตริย์ที่นำพาความไม่แน่นอนและความไม่มั่นใจมาให้ประชาชน หากต้องการเป็นผู้ได้เปรียบทางการต่อรองอาเดรียจะต้องใช้วิธีที่แข็งกร้าวที่สุด เพื่อทำให้ประชาชนของธีสธรัลเกิดความเดือดร้อนโดยทั่วถึงกัน และหากราชินีแห่งธีสธรัลไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ ประชาชนก็จะตัดสินว่านางเป็นผู้นำที่ไร้ความสามารถ ดังนั้นนี่จึงเป็นการบีบให้ธีสธรัลตกเป็นเบี้ยรองในการเจรจากับอาเดรีย"

เซนทอร์หญิงทอดยิ้มเย็นโดยไม่กล่าวอะไรตอบ และดูเหมือนว่านางจะพอใจกับคำตอบที่ได้

"แล้วประชาชนอาเดรียไม่เดือดร้อนหรืออย่างไรในการตัดสินใจเช่นนี้ ได้ยินมาว่าประชาชนส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่ประกอบการค้า นี่ไม่ใช่การบีบคั้นเพียงแค่คนอื่นแต่ก็เป็นการฆ่าตัวเองไปด้วยช้าๆหรอกหรือ" ลีอาห์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง "แล้วหากอาเดรียมีความคิดที่จะบีบคั้นธีสธรัลจริงๆ เหตุใดจึงต้องขอยืมคำกำลังพลจากแอสทารอธเล่า ในเมื่อท่านทูตมั่นใจนักหนาว่าธีสธรัลจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มสงคราม"

เอเดรียนหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะค้อมหัวลงเป็นเชิงขออนุญาตให้คำตอบ

"เพราะสิ่งที่ข้าเสนอต่อท่านหญิงนั้นมีค่ามากเทียบเท่ากับกองทัพเรือเซเลสต์แห่งแอสทารอธ" แม่ทัพหนุ่มยังคงค้อมหัวอยู่เช่นนั้นด้วยความนอบน้อม และด้วยความไม่มั่นใจว่าคำตอบของตนจะทำให้ราชเลขาเกิดความไม่พอใจหรือไม่ "หากจะเรียกร้องสิ่งอื่นใดก็เกรงว่าจะไม่สมน้ำสมเนื้อกัน" แต่แน่นอนว่าผู้เป็นถึงทูตใหญ่ของอาณาจักรย่อมสามารถควบคุมอารมณ์และสีหน้าได้ดีกว่าผู้อื่น เอเดรียนค่อยๆยืดตัวขึ้นอีกครั้ง แต่เขากลับไม่สามารถอ่านอารมณ์ของคู่สนทนาได้เลย

"ช่างเป็นข้อเสนอที่สูงค่า" ราชเลขากล่าวเสียงเรียบ "เรือย่อมแลกด้วยเรือ จึงมีค่าเท่าเทียมกัน"

เอเดรียนลอบกลั้นหายใจเมื่อพบว่าเซนทอร์หญิงยื่นข้อแลกเปลี่ยน

"ในเมื่อท่านทูตเสนอศาสตร์ของเรือจักรไอน้ำให้แอสทารอธ แอสทารอธก็จะเสนอเรือรบในกองเรือเซเลสต์ให้เป็นข้อแลกเปลี่ยน" นางหยุดไปครู่หนึ่งเพื่อสังเกตสีหน้าของคู่สนทนา และพบว่าอีกฝ่ายเพียงนิ่งฟังอย่างสงบ "แต่อาเดรียจักต้องใช้กำลังทหารของตนเองในการต่อสู้ ไม่ใช่ของแอสทารอธ"

ท่านหญิงลีอาห์เหยียดมุมปากขึ้นยิ้มอย่างรู้ทัน "หากท่านทูตต้องการกำลังคนก็จักต้องแลกด้วยกำลังคน"

แม่ทัพหนุ่มมุ่นคิ้วเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยต่อเป็นเชิงถามเจตนารมณ์ของนาง "แรงงานคน..."

เซนทอร์ขึ้นชื่อว่าเป็นเผ่าที่มีประชากรน้อยมากเมื่อเทียบกับเผ่าอื่น อันเนื่องจากอุปนิสัยที่รักอิสระ ดุดันแข็งกร้าว และ 'บ้างาน' ทำให้เซนทอร์ไม่ใคร่จะมีคู่ แต่งงานมีลูกกันมากนัก แม้กระทั่งเหนือหัวดาเรียสแห่งแอสทารอธก็ยังไม่มีเวลาว่างมากพอจะเลือกชายา ทำให้เมืองเซนทอร์แห่งนี้ขาดแคลนกำลังคน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงาน เมื่อคนครึ่งม้าล้วนแล้วแต่มีความต้องการเป็นนักรบ ทำให้พวกเขาต้องพึ่งพาการจ้างแรงงานจากเผ่าพันธุ์อื่น

แต่ก็ด้วยกฎระเบียบที่เคร่งครัด แม้จะจ่ายค่าจ้างได้สูงเพียงใดก็ไม่ใคร่จะมีใครอยากทำงานด้วยนัก

"เช่นนั้นข้าจะขอเวลาหนึ่งเดือน เพื่อนำศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำของชาวเอลฟ์มาให้แอสทารอธดังที่เสนอ" คู่สนทนาค้อมหัวลงอย่างนอบน้อมต่ออีกฝ่าย "ส่วนในเรื่องของแรงงานคน อาเดรียจะต้องหารือกับขุนนางหลายฝ่าย ภายในเวลาหนึ่งเดือน เราจะกลับมาพร้อมกับคำตอบ"

"ได้... เราจะให้เวลาพวกเจ้าเดือนหนึ่ง หากอาเดรียสามารถอดทนต่อวิกฤติทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการสร้างกำแพงขึ้นด้วยตนเองได้ เราก็ยินดีจะรอ" ราชเลขาเคาะกีบเท้ากับพื้นสามครั้งเป็นการให้สัญญาณเรียกรีดาห์ที่รออยู่ด้านนอกห้องให้เข้ามา "ในระหว่างนี้ แอสทารอธไม่เลือกข้าง ไม่เข้าร่วมกับอาณาจักรใดสักระยะหนึ่งเพื่อรอคำตอบนั้น"

"เป็นความเมตตาของท่านหญิงแล้ว"

"นำศาสตร์การต่อเรือมา" ลีอาห์ยิ้ม "แล้วเหนือหัวแห่งแอสทารอธจะยินดีส่งเรือรบออกศึก!"

--------------------------------------------------

คณะทูตจากอาเดรียตัดสินใจเดินทางกลับหลังจากการพบปะเสร็จสิ้น

อัลธอร์ดูลิงโลดเมื่อได้กลับมารับใช้เจ้านาย แม้ว่ามันจะทำปากขมุบขมิบเสมือนไม่เคยชินกับการใส่เหล็กปากก็ตาม พวกเซนทอร์ไม่ใส่เครื่องพันธนาการให้ม้า อีกทั้งยังเลี้ยงดูด้วยหญ้าอ่อนอย่างดีและให้ที่พักจนม้าบางตัวลืมความลำบากไปชั่วขณะ ซึ่งอัลธอร์อาจเป็นหนึ่งในนั้น แต่มันก็ยังดูอุ่นใจกว่าเมื่อเอเดรียนอยู่บนหลังของมัน สังเกตได้จากแววตาเป็นประกายยามที่ได้อยู่ใกล้ชิดเจ้านาย

...ลูเซียของเลสธีราห์ที่มีอายุมากกว่าดูจะมีความสุขุมกว่า

อีกทั้งคนที่อยู่บนหลังของมันก็หาใช่เจ้านายธรรมดา แต่เป็นเผ่าอาชาชั้นสูง ม้าที่สงบเสงี่ยมเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงได้เรียบร้อยมากขึ้นจนสังเกตได้ "คิ้วเจ้าจะชนกันอยู่แล้ว..." เลสธีราห์พยายามจะชวนแม่ทัพคุย "อะไรกัน แอสทารอธก็ไม่ได้ปฏิเสธเจ้าสักหน่อย" นัยน์ตาสีเข้มของเอเดรียนเหลือบมองเขาครู่หนึ่งก่อนจะเบือนกลับไปมองเส้นทางตรงหน้าตามเดิม

"ปล่อยให้ข้าเครียดเถอะ เลส..." อีกฝ่ายว่า "แม้ว่าผลการเจรจาจะน่าพอใจ แต่ก็ใช่ว่ามันสำเร็จลุล่วง"

เมื่อได้ยินอย่างนั้น เลสธีราห์ก็ไม่รู้จะกล่าวอย่างไรต่อ จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนกับผลการเจรจา เนื่องด้วยเขาไม่ใช่ชาวอาเดรีย และไม่เคยรับรู้ความลำบากของผู้คนที่ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เขาพยายามจะเข้าใจความรู้สึกของแม่ทัพใหญ่ในวันนี้ อีกฝ่ายจำเป็นต้องช่วยคลายความเดือดร้อนให้ผู้คนเหล่านั้น จึงต้องยื่นข้อเสนอที่มีราคาแพงให้กับแอสทารอธ

แม้ว่าเลสธีราห์อยากจะเปิดโปงทุกอย่างใจแทบขาด แต่เมื่อเขาเห็นสีหน้าของเอเดรียนแล้ว

...เซนทอร์หนุ่มก็คิดว่าเขาควรให้เวลาอีกฝ่าย

เอเดรียนมีความจำเป็นจะต้องทำแบบนี้ และเขาก็มีความมุ่งมั่นที่จะหาสิ่งตอบแทนมาให้แอสทารอธตามที่ลั่นวาจา และเหตุผลที่อีกฝ่ายมีสีหน้าบึ้งตึงตลอดเวลาเช่นนี้ ก็คงเป็นเพราะกำลังคิดหาวิธีที่จะเดินทางไปยังธีสธรัลเพื่อนำศาสตร์แห่งเรือจักรไอน้ำกลับมาให้แอสทารอธนั่นเอง "ก็ใช่ว่าเจ้าคิดออกตอนนี้ แล้วจะไปเสียตอนนี้ได้" ร่างโปร่งพยายามพูด "ไหนจะต้องกลับไปรายงานผลการเจรจาอีก"

เอเดรียนพยักหน้าเบาเป็นเชิงเห็นด้วยกับสิ่งที่เลสธีราห์พูด แต่เขาก็ยังไม่สามารถยิ้มออกได้ทันทีอยู่ดี "หลายครั้งที่เจ้าพูดจาตรงไปตรงมาไม่น่าฟังเอาเสียเลย แต่มันก็คือความจริงที่เจ้ามอง" เซนทอร์หนุ่มมุ่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจว่าประโยคของเอเดรียนนั้นเป็นคำติหรือว่าคำชม

"ข้าชอบที่เจ้าเป็นแบบนี้" เขาจรดยิ้มที่มุมปากด้วยความรู้สึกที่ไม่แน่ใจว่าเป็นความเอ็นดูหรืออื่นใด

"อย่างกับว่าเจ้าพูดความจริงกับข้า" ร่างโปร่งอดไม่ได้ที่จะสวนกลับบ้าน "เจ้าเองก็หลอกข้าว่าเป็นขุนนางธรรมดา แต่จู่ๆก็มาบอกว่าเป็นแบบนี้" เขาหันไปมองคนแม่ทัพใหญ่ที่ถอยม้าออกห่างไป และพยายามจะรั้งเขาเอาไว้ที่ท้ายขบวน และลดเสียงลงเล็กน้อยเพื่อให้การพูดคุยมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น

"ข้าไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นขุนนางฝ่ายใด หากเจ้าทบทวนดีๆแล้ว"

"อย่ามาเล่นคำกับข้านะ" แม้ว่าจะอยากตะโกนใส่อีกฝ่ายสักแค่ไหน แต่ด้วยความที่รอบตัวพวกเขามีเพียงป่าที่อาจมีเสือหรือผู้สอดแนมอื่นใดแอบเฝ้ามองอยู่ และทั้งคู่ก็อยู่ในคณะเดินทางซึ่งไม่มีความเป็นส่วนตัวมากพอที่จะมาหยอกล้อกันตอนนี้ ทำให้เซนทอร์หนุ่มต้องยอมเงียบไปเองด้วยรู้ดีว่าหากตนเสียงดังไปจะมีแต่ผลเสียตามมา

เอเดรียยิ้มจางกับกิริยานั้น "ข้าจะไม่โกหกเจ้า... หากเจ้าสัญญาว่าจะทำแบบนั้นเช่นกัน"

"นี่ใช่เวลามาถามหาเรื่องนั้นจากข้าที่ไหน" เซนทอร์บ่นอุบ "หากเลิกคิดเรื่องธีสธรัลได้ เจ้าควรจะคิดหาคำพูดดีๆไปอธิบายให้เจ้าเมืองอาเดรียฟังมากกว่า" เอเดรียนกลับไปมุ่นคิ้วดังเดิมเมื่อได้ยินดังนั้น จึงทำให้เลสธีราห์กระอักกระอ่วนขึ้นมาในทันทีด้วยคิดว่าเป็นเพราะตนที่ทำให้แม่ทัพใหญ่ลำบาก "ข้าหมายถึง... เหตุใดเจ้าเมืองจึงส่งเจ้าไปเจรจาทั้งที่อาเดรียไม่มีสิ่งใดไปแลกเปลี่ยนเลย จนเจ้าต้องหา... เรือจักรไอน้ำอะไรนั่นไปเสนอแทน ซึ่งมันเป็นข้อเสนอที่รัดคอตัวเองชัดๆ"

"เลสธีราห์..." เอเดรียนปรามให้อีกฝ่ายลดเสียงลง

"แล้วพวกเจ้าไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะเอาไปต่อรองได้เลยหรือไง" ร่างโปร่งเบาเสียงลงตามที่อีกฝ่ายเอ็ด แต่ก็ยังไม่เลิกราการตั้งคำถาม เพราะมันเป็นเรื่องที่เขาต้องการรู้มากที่สุดก็เป็นได้ ว่านอกจากเรือจักรไอน้ำซึ่งเป็นของธีสธรัลแล้ว ตัวเมืองอาเดรียเองไม่มีสิ่งใดที่เป็นของตัวเอง และเป็นประโยชน์กับแอสทารอธเลยจริงๆหรือ

เอเดรียนถอนใจเบาแล้วจึงดึงบังเหียนรั้งให้อัลธอร์ชะลอฝีเท้าลง เช่นเดียวกับลูเซียที่หันหัวกลับมา "พวกเจ้าล่วงหน้าไปก่อน" ร่างสูงพยักหน้าบอกคนของตน แล้วจึงหันกลับมาหาคู่สนทนา "เลสธีราห์... ข้าบอกเจ้าตอนนี้ไม่ได้"

เซนทอร์หนุ่มมุ่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจ "เหตุใดจึงบอกไม่ได้ เพราะข้าเป็นคนนอกที่เพิ่งเข้ามาร่วมกลุ่มกับเจ้าหรือ เจ้าบอกว่าข้ามีประโยชน์กับเจ้าจึงได้ชวนมา แต่ข้าก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์เลยสักนิด" นัยน์ตาสีฟ้าทะเลของเจ้าตัวช้อนมองแม่ทัพใหญ่ "ท่านหญิงเองยังแนะนำให้เจ้าขับไล่ข้าออกไป"

"นี่เป็นวิธีการบริหารของข้า เจ้าอย่าได้ใส่ใจคำแนะนำของท่านหญิงเลย"

"แต่นางก็เป็นถึงราชเลขาแห่งแอสทารอธ..." ร่างโปร่งมุ่นคิ้ว "เจ้าปกป้องข้าไว้ทำไม เอเดรียน เจ้าให้ข้าอยู่ที่นี่ทำไม ในเมื่อเจ้าไม่คิดจะบอกอะไรหรือใช้ประโยชน์อะไรจากข้าเลย" เลสธีราห์กำมือแน่นพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น "ทำไมเจ้าถึงบอกข้าว่าเจ้าเป็นใคร แต่กลับไม่บอกว่าเจ้ากำลังจะทำอะไร"

เอเดรียนถอนใจเมื่อเห็นดังนั้น เขาค่อยๆดึงม้าเข้าไปใกล้ลูเซียแล้วจึงยกมือขึ้นลูบหัวคู่สนทนาเบาๆอย่างอ่อนโยน "เหตุผลที่ข้าอยากให้เจ้าอยู่ใกล้ๆ ไม่ใช่เพราะเจ้ามีประโยชน์กับข้าในเรื่องการเมืองพวกนี้" ร่างโปร่งค่อยๆเหลือบขึ้นมองคนพูดด้วยความไม่แน่ใจ และกลั้นใจโดยไม่รู้ตัว "แต่เจ้าทำให้ข้าสบายใจ และอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก นั่นคือเหตุผลที่ข้าปกป้องเจ้า และยังรั้งเจ้าเอาไว้ เลสธีราห์..."

เอเดรียนค่อยๆลดมือลง และกอบกุมบังเหียนของตนดังเดิม

"กลับอาเดรียกันเถอะ..."

เซนทอร์หนุ่มที่รู้สึกร้อนใบหน้าขึ้นมาดื้อๆค่อยๆดึงม้าเดินตามไป และพยายามจะรวบรวมสมาธิที่ค่อนข้างจะกระจัดกระจายไปแล้วกลับมา "ประหลาดคน... อยากให้อยู่ข้างๆแต่ก็ไม่เคยไว้ใจ" เขาบ่นอุบ "ถ้าข้าเป็นศัตรูขึ้นมา ป่านนี้เจ้าคงตายไปแล้ว!"

เอเดรียนหัวเราะร่วน และดึงม้าเดินนำหน้าตามขบวนไป "ข้าถึงเชื่อว่าเจ้าไม่ใช่คนร้าย..."

"อย่าทำเป็นรู้ทันข้าหน่อยเลย เอเดรียน" ร่างโปร่งเอ็ด

"ข้ารู้ทันเจ้า... จริงๆ" แม่ทัพยิ้มอ่อนใจกับนิสัยเอาชนะของอีกฝ่าย "แต่คงต้องขอเวลาสักพักกว่าจะเชื่อเจ้าได้สนิทใจ" เอเดรียนหันกลับมาพูดอีกครั้ง ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนทั้งที่มันไม่ได้เข้ากับรูปแบบคำตอบเชิงปฏิเสธของเขาเลย "เจ้ารอได้ไหม อมนุษย์..."

"...แต่ข้าให้เวลาหนึ่งเดือนเท่ากับท่านราชเลขานะ!"

"แล้วถ้าเกินหนึ่งเดือนเล่า"

"ข้าจะลาออกแล้วกลับไปล่ากวางขายเหมือนเดิมน่ะสิ"

แม่ทัพใหญ่หัวเราะเบาอย่างเอ็นดู "เช่นนั้น... ข้าจะไปรอเจ้าที่เดิมทุกวันก็แล้วกัน"

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 10.2
«ตอบ #29 เมื่อ01-11-2016 07:30:48 »

ตอนที่ 10.2

ท่านหญิงลีอาห์ค้อมหัวลงนิ่งหลังจากรายงานผลการเจรจาให้เหนือหัวแห่งแอสทารอธรับรู้

"เพราะสิ่งที่เสนอมามันมีค่าเทียบเท่ากองเรือเซเลสต์รึ" ดาเรียสหัวเราะร่วนในลำคอ "ช่างเข้าใจพูดนัก ทูตอาเดรียผู้นี้" แม้ว่าอาเดรียจะร้องขอสิ่งที่มีมูลค่ามากอยู่สักหน่อย แต่ในเมื่อผู้เจรจาด้วยคือท่านหญิงลีอาห์ แน่นอนว่าแอสทารอธจะไม่ต้องสูญเสียอะไรไปมากมายเลย "ท่านเองก็มีความหลักแหลมที่ต่อรองกลับไปเช่นนั้น อย่างไรทั้งอาเดรียทั้งธีสธรัลก็ต้องหันหน้ามาหาเรา ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกฝ่ายใดก็เท่านั้น"

"เช่นนั้นแล้ว เหนือหัว... จะอนุญาตให้ทูตจากธีสธรัลเข้าพบหรือไม่"

ดาเรียสเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "ข้าคิดว่าท่านหญิงให้คำสัตย์กับอาเดรียไปแล้วว่าจะไม่เอนเอียงเข้าข้างผู้ใดเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน" ผู้นำอาณาจักรเอนกายพิงหมอนอิงข้างตัวเล็กน้อย "หรือท่านหญิงจะกล่าวว่า การไม่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายจะ ก็ใช่ว่าจะรับฟังข้อเสนอจากเมืองอื่นไม่ได้"

ลีอาห์ยิ้มรับเมื่ออีกฝ่ายอ่านใจเธอได้ "ใครว่าเหนือหัวดาเรียสไม่มีความสามารถในการเจรจาหนอ"

"ทั้งหมดนี้ ข้าก็เรียนรู้มาจากท่านนี่ล่ะ ท่านหญิงลีอาห์"

"เช่นนั้นข้าจะตอบรับการมาเยือนของทูตแห่งธีสธรัล แต่จะปฏิเสธของกำนัลและบรรณาการทั้งปวงเพื่อยืนยันคำสัตย์ที่เรามีต่ออาเดรีย" แม้ว่าธีสธรัลจะมีอำนาจการต่อรองมากกว่า และครอบครองสิ่งที่แอสทารอธต้องการนั่นคือเรื่องจักรไอน้ำ แต่ราชเลขาแห่งแอสทารอธกลับมั่นใจว่าบุตรชายของนางที่แฝงตัวอยู่ในอาเดรียจะสามารถทำให้แอสทารอธได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง

"แม้ว่าข้าจะอยากเอนเอียงเข้าธีสธรัลมากกว่า แต่ในเมื่อเขาเป็นพันธมิตรที่ดีของพวกอัสคาห์..."

"จริงอยู่ว่าธีสธรัลพยายามส่งทูตมาเจรจา แต่หากเปรียบกันแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ต้องการอะไรจากแอสทารอธเลย อาจจะต้องการเพียงแค่ไม่ให้เราไปเข้ากับอาเดรียก็เท่านั้น หากเลือกธีสธรัลไป ข้าเองไม่เห็นผลประโยชน์ระยะยาว" ท่านหญิงว่า "ในขณะที่อาเดรียต้องพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อไม่ให้เราไปเข้ากับธีสธรัล พวกเขาจึงยอมทุ่มเทแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่มีค่า นั่นก็คือศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำที่ยังไม่มีเมืองใดในแผ่นดินตะวันตกนี้มีโอกาสเรียนรู้อาเดรียครอบครองศาสตร์นั้นอยู่ก็จริง แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจของบ้านเมืองแล้วไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะต่อเรือจักรไอน้ำ โดยเฉพาะภาวะหลังสงครามที่ทุกอาณาจักรที่ต้องการเวลาเพื่อฟื้นฟูตัวเอง"

โดยไม่นำเรื่องบาดหมางในอดีตมาพูดต่อ ท่านหญิงลีอาห์อธิบายที่มาของผลการเจรจาให้เหนือหัวฟังโดยละเอียด "แต่ถึงอย่างนั้น ข้าเองก็ยังอยากได้ยินข้อเสนอของธีสธรัลว่าพวกเขาต้องการอะไร และแลกเปลี่ยนกับอะไร" แม้ว่าในตอนนี้แอสทารอธจะเป็นอาณาจักรที่ 'เนื้อหอม' ที่ทั้งอาเดรียและธีสธรัลต้องการจะเข้าหา และดึงเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตร แต่แอสทารอธเองก็ต้องตัดสินใจให้ดีว่าต้องการจะร่วมมือกับฝ่ายใดเพื่อให้เกิดผลประโยชน์มากที่สุดในระยะยาว แม้ว่าการเข้าร่วมกับธีสธรัลจะเป็นตัวเลือกที่ฟังดูดีกว่า เนื่องจากสถานภาพบ้านเมืองที่มั่นคงและแข็งแกร่ง อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรกับไอย์ชวลซึ่งเป็นเมืองภูตขนาดใหญ่ทางเหนือของแอสทารอธอีกด้วย แต่ด้วยความที่มั่นคงมากเกินไปนั้นเองที่ทำให้ราชเลขาแห่งแอสทารอธไม่มั่นใจว่าเซนทอร์จะได้รับผลตอบแทนที่แท้จริงในระยะยาวหรือไม่

แต่หากเข้าร่วมกับอาเดรียที่เป็นเมืองเล็กๆ เซนทอร์อาจมีอำนาจต่อรองในเรื่องอื่นๆเพิ่มเติมได้บ้าง

"เหนือหัวยังสนใจ... ป่าเวทมนตร์อยู่หรือไม่คะ"

เมื่อคนสนิทถาม ผู้นำแห่งแอสทารอธก็สูดหายใจเข้าลึกๆครั้งหนึ่งระหว่างใคร่ครวญคำตอบ "เราอาจต้องการความก้าวหน้ามากกว่าถอยหลังกลับไปหาป่าเวทมนตร์อันเป็นอดีตที่พึงระลึกถึง แต่ว่า... การที่จะให้เซนทอร์ลืมเผ่าอาชาชั้นสูงอย่างยูนิคอร์นนั้นเป็นเรื่องยากเหลือเกิน"

ป่าเวทมนตร์เป็นดินแดนที่อยู่ในเขตของอาณาจักรคัสนาห์ และถูกโอบล้อมด้วยหมู่บ้านและเมืองเล็กเมืองน้อยของพวกมนุษย์ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นสมบัติของมนุษย์ไปโดยปริยาย ป่าเวทมนตร์นั้นเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่มีความพิเศษ เช่นต้นไม้ที่มีเปลือกซึ่งสามารถนำไปทำยารักษาโรคได้อย่างดี หรือยางไม้ที่สามารถสมานบาดแผลได้ มนุษย์ในอดีตนั้นเรียนรู้ที่จะใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ แต่หลังจากที่คัสนาห์ถูกยึดอำนาจ มนุษย์ผู้มีความสามารถเหล่านั้นก็ถูกกำจัดไป และทิ้งให้ป่าเวทมนตร์เป็นเพียงป่ารกที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปเท่านั้น

แต่เซนทอร์ยังมีความต้องการจะเดินทางเข้าไปสักครั้ง โดยหวังว่าจะได้พบกับเผ่าอาชาชั้นสูงอย่างยูนิคอร์น

พวกเขาอาจไม่มีความคิดที่จะฆ่ายูนิคอร์นเพื่อเขาวิเศษ หรือเลือดเนื้อที่เต็มไปด้วยพลัง แต่การได้พบยูนิคอร์นสักครั้งก็เรียกได้ว่าคุ้มค่าที่ได้เกิดมาเป็นเซนทอร์ "อีกทั้งสิ่งที่อยู่ในป่าเวทมนตร์นั้นก็มีมูลค่ามหาศาล หากต้องการจะเข้าไปในป่าเวทมนตร์ เราคงต้องได้ครอบครองคัสนาห์" เหนือหัวถอนใจ "ซึ่งนั่นเป็นเรื่องยาก และสูญเปล่า ท่านหญิง... ข้าอยากให้ท่านสนใจวิทยาการใหม่ๆเสียมากกว่า"

"เช่นนั้นข้าจะไม่พูดถึงมันอีก" ราชเลขาค้อมหัวลง "ข้าเข้ามารบกวนเวลาพักผ่อนของเหนือหัวมากแล้ว ต้องขอตัว"

--------------------------------------------------

เอเดรียนเฝ้ามองมหาคฤหาสน์จากต่างห้องพักของตนในคฤหาสน์ราห์โมนา และพยายามบอกตัวเองให้รักษาความสุขุมเอาไว้ให้สมกับที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นผู้นำสูงสุดของกองทัพอาเดรียก็เกิดความรู้สึกหวั่นเกรงได้เหมือนกันเมื่อคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น ท่านชายซินญอร์คงจะโมโหมาก หากรู้ว่าเขายื่นข้อเสนอแบบนี้ให้แอสทารอธ แม้ว่าอีกฝ่ายจะตัดใจยกป่าเวทมนตร์ให้เซนทอร์แล้วก็ตาม แต่เอเดรียนคิดว่ามันอาจไม่มีค่ามากพอที่จะทำให้คนครึ่งม้าสนใจ

"ป่านนี้แล้วยังไม่พักผ่อนอีก..."

แม่ทัพหนุ่มสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงนั้น เรียกเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอของผู้มาเยือนได้ เลสธีราห์ปิดประตูช้าๆแล้วเดินมานั่งเก้าอี้ข้างๆอีกฝ่าย "คิดเรื่องของพรุ่งนี้อยู่หรือไร" ร่างโปร่งเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดเครื่องแบบทหารที่เอเดรียนมอบให้เป็นชุดที่เขาชอบใส่เป็นประจำ นั่นก็คือกระโปรงหนังวาฬตัวยาว

"ข้าเชื่อว่าเจ้ามีคำตอบอยู่ในใจแล้ว เหตุใดจะต้องใคร่ครวญให้มากความ"

เอเดรียนถอนใจยาวแล้วจึงหันไปหยิบขวดแก้วข้างตัวเพื่อรินเครื่องดื่มที่มีกลิ่นแรงใส่แก้วของตนและเลสธีราห์

"ข้าไม่ดื่มเหล้า" เซนทอร์หนุ่มรีบปฏิเสธเมื่ออีกฝ่ายส่งแก้วให้ แต่ก็ยอมรับมาถือไว้และมองคู่สนทนาที่ดื่มหมดทั้งแก้ว "มันอร่อยหรืออย่างไร เหตุใดจึงชอบดื่มกันนัก" เซนทอร์หนุ่มย่นจมูกครั้งหนึ่งแล้วจึงวางแก้วไว้บนโต๊ะเล็กตรงหน้าตามเดิม เขาพอจะรู้ฤทธิ์และรสชาติของมัน เซนทอร์หนุ่มจึงตัดสินว่ามันเป็นเครื่องดื่มรสชาติแย่ และไม่ให้ประโยชน์ใดๆ

"เอเดรียน..."

คนถูกเรียกวางแก้วเปล่าลงก่อนจะหลับตาด้วยความรู้สึกมึนงงจากฤทธิ์สุรา "ถึงเจ้าจะพูดอย่างนั้น แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือความไม่แน่นอน แม้ว่าแอสทารอธจะตอบรับข้อเสนอของเรา แต่ผลตอบแทนที่ข้าเสนอไปคือสิ่งที่อาเดรียไม่มี แต่ข้าจะต้องเป็นคนไปหามันมา" อีกฝ่ายลืมตาขึ้นอีกครั้งก่อนจะมองกลับมาที่คนฟังที่นั่งอยู่ข้างตัว "มันคือการแบกอาณาจักรเอาไว้บนบ่า เจ้าคิดว่าข้าจะสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจหรือ"

เลสธีราห์ถอนใจเบา ก่อนจะยกมือขึ้นปิดตาอีกฝ่าย "อย่างไรเจ้าก็ต้องไปธีสธรัล นั่นคือความจริง"

เขารู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เจือกลิ่นเหล้า และความว้าวุ่นในจิตใจของคู่สนทนา เลสธีราห์เชื่อว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลว่าทำไมจึงหยิบยื่นข้อเสนอแบบนั้น แต่เอเดรียนก็เป็นคนพูดเองว่าเขายังเป็นนอกมากเกินไปที่จะบอกความลับภายในของอาเดรีย ดังนั้นเซนทอร์หนุ่มจึงยอมเลิกราไม่รบเร้าคำตอบ "เจ้าสนใจเพียงความจริงข้อนั้นก็เพียงพอ แล้วจงรอดกลับมาเพื่ออาณาจักรของเจ้าให้ได้ คิดแบบนี้ไม่สบายใจกว่าหรือไร"

เอเดรียนดึงมือเรียวออกจากตนแล้วถอนใจยาวอีกครั้ง "แต่ว่า..."

"หากคิดวนเวียนไปมาเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากการพายเรือวนอยู่ในสระแคบๆแทนที่จะล่องไปตามแม่น้ำแล้วพบทะเลที่แท้จริง" คนพูดกลืนน้ำลายเล็กน้อยแล้วสูดหายใจเข้าลึก "ในเมื่อเจ้าต้องไปธีสธรัล ข้าก็จะไปกับเจ้าด้วย" เพื่อศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำให้แอสทารอธ เลสธีราห์คิดว่าการที่เขาเดินทางไปด้วยคงไม่เป็นการเสียแรงเปล่า "เจ้าเสียดายชีวิตคนของเจ้า ทั้งโจฮาลล์ ทั้งจาเร็ตต์ แต่อย่าเสียดายชีวิตข้า..."

"เจ้าไม่รู้ว่าธีสธรัลเป็นอย่างไรด้วยซ้ำ" อีกฝ่ายคงเริ่มมึนพอสมควร สังเกตได้จากน้ำเสียงต่ำกว่าทุกที

"แต่ถ้าเจ้าไปเพียงลำพัง เจ้าจะไม่มีทางได้กลับมา" ดวงตาสีฟ้าจ้องมองคู่สนทนาเป็นเชิงบังคับขู่เข็ญ "เจ้าแบกอาเดรียทั้งอาณาจักรเอาไว้ไม่ได้หรอก" ในฐานะแม่ทัพที่ต้องรับผิดชอบหลายเรื่องวุ่นวายภายในอาณาจักร เลสธีราห์คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะรู้สึกประหลาดอยู่บ้างที่คนนอกเช่นเขานึกอยากเสี่ยงชีวิตเข้าไปในธีสธรัล ทั้งที่อุปนิสัยที่แสดงออกดูเป็นคนที่ไม่ชอบความวุ่นวายของเบื้องบน "เจ้าชวนข้ามาร่วมคณะเพราะคิดว่าข้าช่วยเจ้าได้ แต่จนตอนนี้ข้ายังไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าด้วยซ้ำ..."

"ให้ข้าทำประโยชน์บ้างเถอะ... เจ้าเป็นคนเดียวที่เห็นคุณค่าของมัน"

แม้มันจะเป็นคำพูดที่จงใจโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเชื่อ แต่เลสธีราห์กลับจุกในอกที่พูดแบบนั้น ราวกับว่าเขากำลังหลอกให้อีกฝ่ายเชื่อ เพื่อตักตวงผลประโยชน์ และสุดท้ายก็จะตีห่างจากไปเมื่อได้รับผลตอบแทน แม้ว่ามันเป็นสิ่งที่เขาควรจะทำ ควรจะตายจากเอเดรียนไปเมื่อตนได้รับประโยชน์ แต่นั่นก็เป็นการกระทำที่แสนโหดร้าย และหากวันใดที่เขาต้องพบกับเอเดรียนอีกครั้ง เลสธีราห์คิดว่าความรู้สึกดีๆในตอนนี้มันอาจไม่เหมือนเดิม

เขาใจอ่อนอย่างนั้นหรือ... เขาไม่ควรรู้สึกแบบนี้ไม่ใช่รึไร

"เลสธีราห์" เอเดรียนเอ่ยเรียกเสียงแหบ "ข้า... เชื่อเจ้าได้ใช่ไหม เลสธีราห์"

ร่างโปร่งจนด้วยคำพูดไปชั่วขณะ ไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งได้กลิ่นสุราจากลมหายใจของีกฝ่ายที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ เอเดรียนอิงแนบหน้าผากของตนกับร่างโปร่งก่อนจะหลับตาลงคล้ายกับกำลังพยายามปลอบตัวเองให้รู้สึกสงบ เซนทอร์หนุ่มไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้กับคนสนิททุกคนหรือไม่ แต่เขาก็ไม่เคยเห็นเอเดรียนอยู่ใกล้ใครมากเกินควรกระทั่งกับจาเร็ตต์ที่เป็นถึงเลขาส่วนตัว นี่อาจเป็นสัญญาณที่ดีที่บอกว่าเขาสามารถเข้าใกล้และสนิทสนมกับเอเดรียนได้มากกว่าเดิม

แต่ว่า...

"ไม่... เจ้าเชื่อไม่ได้หรอก"

เลสธีราห์เม้มปากอย่างอับจนและยอมรับว่าเขากำลังใจอ่อน "แต่เจ้าไม่สามารถไปธีสธรัลเพียงลำพังได้" อย่างไรเขาก็ต้องไปกับอีกฝ่ายเพื่อผลประโยชน์ของอาณาจักร แต่จะให้เขาหลอกเอเดรียนไปมากกว่านี้นั้นช่างเป็นเรื่องยากยิ่งกว่า "คิดเสียว่าข้าเป็นทหารเลวคนหนึ่งที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร อย่าเสียดายชีวิตข้า..."

"รับปากได้รึเปล่า..." จู่ๆคนเมาก็พูดขึ้น เซนทอร์หนุ่มจึงหยุดฟัง "ว่าจะไม่ทรยศข้า"

"ไม่... ข้ารับปากไม่ได้" คิ้วเรียวขมวดมุ่น เปลือกตาบางปิดลง และพึมพำเบาๆเหมือนพูดกับตัวเอง "แต่ข้าก็ไม่อยากจะทำร้ายเจ้า... " เขาอยากได้แค่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายใคร ไม่ได้มีเจตนาจะหักหาญจิตใจใคร แม้ว่ามันเป็นสิ่งที่เขาจะต้องทำในอนาคตก็ตาม "เจ้าคิดอย่างไรจึงอนุญาตให้ข้าเข้าหาแบบนี้" แต่แค่คิดว่าจะต้องไปจากอีกฝ่ายเมื่อตนได้รับประโยชน์ เลสธีราห์ก็ไม่ต้องการให้เอเดรียนมีเยื่อใยต่อตนมากไปกว่านี้

"ทำไมถึงสะเพร่าแบบนี้"

ร่างโปร่งรู้สึกได้ว่าปลายจมูกของอีกฝ่ายแตะสัมผัสกับตนลมหายใจอุ่นร้อนเจือไปด้วยกลิ่นของสุราเป่ารดรวยรินเนิบช้า ก่อนที่ริมฝีปากจะเคลื่อนเข้ามาแนบจูบ "...!..." นัยน์ตาสีฟ้าเบิกโพลง และทั้งร่างเกร็งเขม็งขึ้นมาอย่างไม่คุ้นเคย เซนทอร์ส่งเสียงท้วงในลำคอ จุมพิตของร่างสูงไม่อาจเรียกได้ว่าไร้สติ เพราะมันอ่อนโยนนุ่มนวลเสมอเหมือนทุกสัมผัสของเจ้าตัวที่มีต่อเขา มือหยาบกร้านค่อยๆขยับรั้งท้ายทอย และเคลื่อนไปบนแผ่นหลังเปลือย ก่อนจะโอบเอวคอดและกอดเข้ามาแนบกาย "อ... เอเดรียน...!" กลิ่นสุราจากลมหายใจของอีกฝ่ายทำให้เซนทอร์หนุ่มรู้สึกเวียนหัว เขาผละตัวออกเล็กน้อยเพื่อสูดอากาศ แต่กลับถูกแขนแกร่งกอดรั้งเอาไว้

"เจ้าเอง... ก็ไม่ได้ระวังตัวเลย" น้ำเสียงของเอเดรียนต่ำกว่าปกติมาก บ่งบอกได้ถึงสติสัมปชัญญะที่ใกล้จะเลือนหาย

...แต่คำพูดนั้นกลับทำให้เลสธีราห์ต้องขนลุกไปทั้งร่าง

นัยน์ตาสีครามสบกับดวงตาคมเข้ม ในขณะที่ในหัวคิดหาคำพูดเพื่อปฏิเสธอีกฝ่าย แม้ว่ามันจะน่าแปลกที่เขาไม่นึกรังเกียจสัมผัสนั้น อีกฝ่ายแนบจูบอีกครั้ง และผลักร่างโปร่งให้นอนลงกับโซฟา ก่อนจะขยับตัวขึ้นมาอยู่เหนือร่างตนได้โดยสมบูรณ์

ใบหน้าของเอเดรียนถูกปิดบังด้วยผมสีเข้ม ขณะที่ก้มลงแนบจูบซ้ำ น้ำหนักของอีกฝ่ายกดแนบลงมาบนร่าง มือหยาบกร้านค่อยๆเคลื่อนเข้ามากอบกุมมือของร่างเบื้องใต้ แล้วจึงกดวางลงบนเบาะเหนือร่าง พันธนาการเอาไว้ด้วยสัมผัสอุ่นร้อนที่แนบจรดริมฝีปาก

"อะ...!!"

ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเขา... เลสธีราห์หลับตาแน่นด้วยความสับสน แม้จะล่วงรู้ถึงความคิดของคนตรงหน้า แต่กลับแปลกใจตัวเองมากกว่าที่ไม่คิดจะผลักไส สัมผัสของเนื้อผ้าที่เสียดสีกับผิวเปล่านำความรู้สึกประหลาดที่ทำให้ร่างโปร่งขยับตอบสนอง มือใหญ่ค่อยๆคลายแรงและปล่อยร่างเบื้องใต้ให้เป็นอิสระ แล้วจึงเคลื่อนลงมาตามสรีระร่างช่วงบนอันไร้สิ่งปกปิดใดๆ โอบรอบเอวคอดและดันร่างของตนแนบชิดจนไม่มีที่ว่างห่างจากกัน

สันจมูกโด่งกดแนบกับลำคอ สัมผัสกลิ่นอายที่ไม่ใช่ของมนุษย์ ฟันคมขับเม้มเนินเนื้อขาวหมั่นเขี้ยวเรียกเสียงอุทานจากเจ้าของร่าง "อื้อ...!" เลสธีราห์รู้สึกได้ว่าใบหน้าของตนแดงซ่านไปถึงใบหู ในใจยังเต็มไปด้วยความสับสน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

...เขาไม่ใช่สตรี และเขาก็เชื่อว่าเอเดรียนไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนั้น

"...อือ!!" ฝ่ามืออุ่นเคลื่อนไปสัมผัสอย่างอ่อนโยนแผ่วเบาทว่ารุกล้ำ นำความรู้สึกแปลกที่ไม่เคยได้รับรู้ไปยังร่างเบื้องใต้ ดวงตาสีน้ำเบิกขึ้นพร้อมกับใบหน้าเรียวหงายแหงนอย่างตระหนก เลสธีราห์คว้ามือของคนตรงหน้าเอาไว้ด้วยความไม่แน่ใจ และพยายามปฏิเสธร่างที่กดกอดเขาอยู่เบื้องบน "อ... เอเดรียน..."

มันไม่มากไปหรือ...

ชายหนุ่มไม่ได้ถามมันออกไป แต่คำตอบที่ได้รับคือริมฝีปากที่แนบจูบอย่างมัวเมา และกำลังแรงที่ดันขาของเขายกขึ้นช้าๆ "ถึงเจ้า... จะพูดอย่างนั้น..." ลมหายใจหอบถี่กระซิบตอบขาดห้วงแนบริมฝีปาก "แต่ข้า... ก็ยังอยากครอบครองเจ้าไว้เพียงคนเดียว... อยู่ดี"

"เป็นของข้าไม่ได้เหรอ เลสธีราห์"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด