#บทนางเอก ❤ บทที่ยี่สิบ..เปิดม่านการแสดง [The End] : อัพเดท : 12/05/2016
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #บทนางเอก ❤ บทที่ยี่สิบ..เปิดม่านการแสดง [The End] : อัพเดท : 12/05/2016  (อ่าน 16906 ครั้ง)

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



นิยายที่ผ่านมา

เรื่องแรก... พ่อมดเหล้า [The End]

เรื่องสั้นที่ผ่านมา

เรื่องสั้นเรื่องแรก... Drunk อย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา [The End]


#บทนางเอก


หมายเหตุ
นิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายรักวัยมัธยมใสๆ ติดจะโลกสวย
อาจไม่เหมาะสำหรับคนที่มองหาแนวเข้มข้นบีบคั้นอารมณ์ครับ

11/30/2016


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-12-2016 18:23:32 โดย Hamzholic »

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-12-2016 18:34:00 โดย Hamzholic »

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
ก่อนเปิดม่านครั้งที่หนึ่ง
ผมชื่อฟาง ผมอยากเป็นพระเอก!!



กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว... มีช่างตัดไผ่ นามว่า 'ตะเกะโตริ โนะ โอะกินะ' บังเอิญไปเจอเข้ากับปล้องไผ่ที่ส่องแสงออกมา ด้วยความสงสัย ตะเกะโตริ โนะ โอะกินะจึงตัดปล้องไผ่นั้นออกดู ปรากฏพบเป็นเด็กสาวขนาดเท่าหัวแม่มือ ชายตัดไผ่จึงนำมาให้ภรรยาเลี้ยง โดยตั้งชื่อให้ว่า 'คางุยะ-ฮิเมะ'
   
และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่ตัดไผ่ ตะเกะโตริ โนะ โอะกินะก็จะพบก้อนทองเล็กๆ อยู่ในปล้องไผ่ที่ตัด จนในที่สุดก็มีฐานะร่ำรวย โดยที่คางุยะ-ฮิเมะเองก็เติบโตขึ้นมาเป็นสตรีที่มีขนาดปกติ และมีความความงามเป็นอันมาก
   
ตะเกะโตริ โนะ โอะกินะพยายามกันไม่ให้ลูกสาวพบกับคนแปลกหน้า แต่สุดท้ายความงามของคางุยะ-ฮิเมะก็เลื่องลือไปไกล จนกระทั่งไปเข้าหูเจ้าชายห้าพระองค์เข้า
   
เมื่อทราบว่ามีผู้มาหมายปอง คะงุยะ-ฮิเมะจึงวางแผนกันตนเอง โดยตั้งข้อทดสอบต่างๆ ที่ยากเกินกว่าที่จะทำให้สำเร็จได้ให้เจ้าชายแต่ละองค์ไปทำ คะงุยะ-ฮิเมะประกาศว่าจะยอมแต่งงานกับเจ้าชายองค์ใดที่สามารถนำสิ่งที่ตนขอมากลับมาได้ ... แต่สุดท้ายก็ไม่มีเจ้าชายองค์ใดทำสำเร็จ
   
หลังจากนั้น ‘จักรพรรดิมิคาโดะ’ จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นก็เสด็จมาทอดพระเนตรสตรีผู้มีข่าวร่ำลือกันกันนักหนาว่ามีความสวยงามเป็นอย่างยิ่ง เมื่อทรงได้เห็นพระองค์ก็ทรงตกหลุมรักคางุยะ ฮิเมะ และทรงขอเธอแต่งงาน แม้ว่าจะไม่ต้องทรงผ่านการทดสอบเช่นเดียวกับเจ้าชายห้าองค์ก่อนหน้านั้น แต่คางุยะ ฮิเมะก็ยังคงปฏิเสธ โดยทูลว่านางนั้นเป็นสตรีผู้มาจากแดนไกลที่ทำให้ไม่สามารถที่จะเข้าไปในพระราชฐานของพระองค์ได้ แต่คางุยะ ฮิเมะก็ยังคงดำเนินการติดต่อกับมิคาโดะตลอดมา และก็ยังคงปฏิเสธคำขอของพระองค์ทุกครั้งไป
   
ระหว่างฤดูร้อนปีนั้น เมื่อใดที่เห็นพระจันทร์เต็มดวง ตาของคางุยะ ฮิเมะก็จะคลอไปด้วยน้ำตา ทั้งตะเกะโตริ โนะ โอะกินะและภรรยาก็พยายามถามถึงสาเหตุ แต่คางุยะ ฮิเมะก็ไม่สามารถจะบอกได้ว่ามีอะไรผิดปกติ พฤติกรรมของคางุยะ ฮิเมะยิ่งแปลกขึ้นจนกระทั่งในที่สุดก็ยอมเปิดเผยว่านางนั้นมิได้มาจากโลกนี้ และถึงเวลาแล้วที่จะต้องเดินทางกลับไปยังบ้านเมืองที่อยู่บน ‘จันทรประเทศ’ (บางตำนานก็กล่าวว่าคางุยะ-ฮิเมะถูกส่งมายังมนุษยโลกชั่วคราวเพื่อเป็นการลงโทษเพราะไปทำความผิดเข้า แต่บางตำนานก็ว่าถูกส่งตัวมาซ่อนไว้ในโลกเพื่อความปลอดภัยระหว่างสงครามที่เกิดขึ้นบนสรวงสวรรค์)
   
เมื่อวันที่จะต้องกลับใกล้เข้ามา จักรพรรดิมิคาโดะก็ทรงส่งทหารมาล้อมบ้านเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวจันทรประเทศมาเอาตัวคางุยะ ฮิเมะไปได้ แต่เมื่อทูตจากสรวงสวรรค์มาถึงประตูบ้านของตะเกะโตริ โนะ โอะกินะ ทหารที่มารักษายามต่างก็ตาบอดกันไปตามๆ กันเพราะความแรงของแสงที่เรืองออกมา คางุยะ ฮิเมะประกาศว่าแม้ตนเองจะมีความรักเพื่อนหลายคนบนมนุษยโลกมากเพียงใด แต่ก็จำต้องเดินทางกลับไปยังจันทรประเทศซึ่งเป็นบ้านเมืองที่แท้จริงของตนเองอยู่ดี จากนั้นคางุยะ ฮิเมะก็ได้เขียนจดหมายร่ำลาขออภัยต่อตะเกะโตริ โนะ โอะกินะและภรรยา รวมถึงต่อจักรพรรดิมิคาโดะด้วย พร้อมกับมอบเสื้อคลุมให้บิดามารดาเลี้ยงไว้เป็นที่ระลึก จากนั้นก็เอา ‘ผอบยาอายุวัฒนะ’ แนบไปกับจดหมายให้แก่ทหารยามไปถวายจักรพรรดิมิคาโดะ เมื่อยื่นจดหมายให้แล้วและเอาเสื้อคลุมขนนกพาดไหล่เสร็จ คางุยะ ฮิเมะก็ลืมความคิดถึงและทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษยโลกจนหมดสิ้น ขบวนชาวทูตสวรรค์ก็นำคางุยะ ฮิเมะกลับไปยังจันทรประเทศ ทิ้งตะเกะโตริ โนะ โอะกินะและภรรยาไว้กับความโศกเศร้าจนในที่สุดก็ล้มเจ็บ
   
ฝ่ายทหารยามเมื่อได้รับจดหมายและยาอายุวัฒนะแล้ว ก็นำกลับไปถวายและทูลรายงานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อพระจักรพรรดิ เมื่อพระองค์ได้ทรงอ่านจดหมายแล้ว ก็ทรงเต็มตื้นไปด้วยความโทมนัส และตรัสถามข้าราชบริพารว่า “ภูเขาลูกใดที่สูงที่สุดที่ใกล้สรวงสวรรค์ที่สุด?” ซึ่งข้าราชบริพารก็ทูลว่าเป็นมหาภูเขาแห่งจังหวัดซุรุกะ เมื่อได้ทรงทราบดังนั้น พระองค์จึงมีพระบรมราชโองการให้นำจดหมายของคางุยะ ฮิเมะไปยังยอดเขาและเผาทิ้ง ด้วยความหวังว่าความคิดคำนึงถึงนางของพระองค์จะล่องลอยตามสายควันขึ้นไปถึงคางุยะ ฮิเมะได้ นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีพระบรมราชโองการให้เผาผอบยาอายุวัฒนะที่ถ้าผู้ใดได้กินผู้นั้นก็จะเป็นอมตะตามไปด้วย เพราะไม่มีพระราชประสงค์ที่จะดำรงชีวิตไปตลอดกาลโดยปราศจากคางุยะ ฮิเมะ
   
ตำนานกล่าวต่อไปว่าคำว่า… 不死 ฟูชิ หรือ ฟูจิ หมายถึง ‘อมตะ’ ดังนั้น ‘ฟูจิ’ จึงกลายมาเป็นชื่อของภูเขาอันโด่งดัง และคำในอักษรคันจิสำหรับภูเขาคือ 富士山 ซึ่งแปลตรงตัวว่า ‘ภูเขาที่เต็มไปด้วยนักรบ’ ที่มาจากเมื่อกองทัพของพระจักรพรรดิเดินขึ้นไปบนภูเขาเพื่อที่จะไปปฏิบัติตามพระบรมราชโองการ และกล่าวกันว่าควันจากการเผาจดหมายและยาอายุวัฒนะยังคงลอยละล่องขึ้นไปบนสรวงสวรรค์มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ (ในอดีตภูเขาฟูจิเป็นภูเขาที่คุกรุ่นมากกว่าในปัจจุบัน)**
 
   

   
ทันทีที่อ่านจบ... ผมกอดบทละครเวทีเรื่อง 'Kaguya-Hime' ไว้แน่น ก่อนจะเผลอกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงเหมือนเด็กๆ ด้วยความสุขใจ ไม่น่าเชื่อเลยนะว่ากะอีแค่บทละครเวทีที่เขียนขึ้นโดยนักเรียนมัธยมปลายคนนึงจะทำให้ผมรู้สึกหัวใจพองโตได้มากขนาดนี้ >O<
   
จริงๆ ต้องขอบอกก่อนเลยว่าบทละครเวทีเรื่องนี้ไม่ใช่ของผมหรอกนะ แหะๆ ผมยืมมันมาจาก 'ไอ้กบ' (เพื่อนสนิท) อีกทีนึง ด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่ว่า... ผมโคตรรักละครเวที ❤ ละครเวทีคือศาสตร์การแสดงที่ผมหลงใหลมากที่สุด!! (ทำเสียงจริงจัง) ซึ่งไอ้กบมันก็ยอมให้ผมยืมแต่โดยดีน่ะนะ เพราะนอกจากมันจะรู้ซึ้งถึงความรักที่ผมมีต่อการแสดงละครเวทีแล้ว มันยังจำบทพูดของตัวเองได้หมดแล้วด้วย!
   
ก็แหงล่ะ ในเมื่อมันมีบทพูดอยู่แค่ประโยคเดียวนี่ แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ยังอิจฉามันนะ! อิจฉาที่มันได้ร่วมแสดงในละครเวทีเรื่องนี้ ขณะที่ผมเองยังไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้อยู่ในชมรมการแสดงเลยด้วยซ้ำ!! คืองี้... เอาจริงๆ มันก็เป็นความผิดของผมเองนั่นแหละ ด้วยความที่พี่ชายของผมย้ายที่ทำงานแบบกะทันหัน ทำให้เราสองพี่น้องต้องหาที่อยู่อาศัยใหม่ และแน่นอนว่าโรงเรียนเก่าก็ไกลเกินไปจากที่อยู่ใหม่ของเราด้วย ผมก็เลยต้องย้ายมาเรียน ม.3 อีกโรงเรียนนึง แล้วไอ้โรงเรียนใหม่นี้ก็มีเงื่อนไขอยู่ว่าจะต้องสมัครเข้าชมรมภายในวันและเวลาที่กำหนด เพียงวันเดียวเท่านั้นที่นักเรียนทุกคนจะเปิดศึกชิงชมรมกัน!
   
แล้วลองทายซิว่ามันเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น?
   
ติ๊กต็อก... ติ๊กต็อก...
   
โอเคๆ  เฉลยก็ได้ ผมป่วยครับ! (อย่าหัวเราะเยาะผม ผมขอร้อง) ป่วยแบบไม่มีที่มาที่ไป (ก็บอกว่าอย่าหัวเราะเยาะผมไง!) อยู่ๆ ก็ป่วยขึ้นมาซะอย่างงั้น!! ทำให้ไม่สามารถไปโรงเรียนในวันนั้นได้ และชมรมยอดฮิตอย่างชมรมการแสดงก็เต็มไปตามระเบียบ จนสุดท้ายผมต้องมาสมัครเข้าชมรมรักการอ่านที่ยังว่างอยู่ โดยได้แต่เฝ้ารอคอยให้ตัวเองขึ้น ม.4 เร็วๆ จะได้ย้ายชมรมเสียที!
   
แต่ถึงผมจะไม่ได้อยู่ชมรมการแสดง ก็ไม่อาจที่จะหยุดยั้งความหลงใหลที่ผมมีต่อการแสดงละครเวทีไปได้หรอกนะ ผมเป็นพวกประเภทที่ว่า 'ถึงไม่ได้เป็นส่วนหนึ่ง ก็ขอให้ได้ใกล้ชิดมากที่สุด' และการเอาบทละครเวทีเรื่องล่าสุดของชมรมการแสดงมาอ่านก็เป็นความใกล้ชิดในอีกรูปแบบนึงที่ผมพอจะทำได้ ผมมีความสุขนะเวลาที่ได้อ่านอะไรแบบนี้ ยิ่งเป็นบทละครเวทีที่ดัดแปลงมาจากตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่นที่ผมชอบแล้วด้วย ยิ่งทำให้ผมสุขใจเข้าไปใหญ่
   
Kaguya-Hime เป็นบทละครเวทีที่ดัดแปลงมาจาก 'ตำนานคนตัดไผ่' หรือ 'ตำนานเจ้าหญิงคางุยะ' โดยเป็นหนึ่งในสองของละครเวทีใหม่ล่าสุดที่ทางชมรมการแสดงจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ซึ่งถือว่าต้องยกความดีความชอบให้กับคนเขียนบทเลยนะที่สามารถเขียนออกมาได้ดีขนาดนี้ นอกจากจะอิงตำนานแล้ว ยังมีการสอดแทรกมุขตลกเข้าไปด้วย และที่สำคัญที่สุดคือเป็นบทละครที่หวานมาก! เรียกได้ว่าเป็นการตีความใหม่ที่ใช้ความรักเป็นโจทย์ได้อย่างดีจริงๆ เล่นเอาผมขัดอารมณ์ทุกครั้งที่คิดถึงหน้าของ 'คนเขียนบท' ซึ่งควบตำแหน่ง 'ผู้กำกับ' เข้าไปด้วย เพราะดูจากภายนอกแล้ว... รุ่นพี่คนนั้นไม่น่าจะเขียนอะไรหวานๆ แบบนี้ได้เลยเหอะ
   
แม้ว่าจะไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวก็ตาม แต่ผู้ชายหน้าโหดที่ออกตัวแรงว่าเป็น 'เมะ' อย่าง 'พี่กัปตัน' น่ะ ดูยังไง๊ยังไงก็ไม่น่าจะเขียนอะไรแบบนี้ได้ ถ้าบอกว่าเขาเขียนบทละครเวทีแนวนักเลงยกพวกตีกัน หรือไม่ก็พวกสงครามกลางเมือง ผมยังเชื่อได้สนิทใจมากกว่าอีก
   
แต่ก็เอาเถอะ ใครจะเขียนก็ช่าง ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์มานั่งขัดอกขัดใจกับคาแรกเตอร์ของบทกับคนเขียนที่สวนทางกันหรอกนะ เพราะตอนนี้มันมีบางอย่างที่กำลังรบกวนจิตใจผมอยู่...
   
...ผมตัดสินใจเปิดบทละครอ่านอีกครั้ง แต่คราวนี้เลือกโฟกัสไปที่บทพูดของ 'จักรพรรดิมิคาโดะ' ซึ่งถ้าพูดกันง่ายๆ ก็ถือว่าเป็น 'พระเอก' ของละครเวทีเรื่องนี้น่ะนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงได้ติดใจตัวละครตัวนี้นัก ติดใจมาตั้งแต่ตอนแรกที่ได้อ่านแล้ว แต่ก็พยายามคิดว่าผมคงเพ้อเจ้อไปเอง แล้วปล่อยให้มันผ่านไปซะ ซึ่งพอเลือกที่จะปล่อยผ่าน กลับกลายเป็นว่ามีบางอย่างเข้ามารบกวนจิตใจผมซะงั้น! และนั่นทำให้ผมเผลอกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงอีกหลายๆ ที ทว่าคราวนี้กลับกลิ้งไปกลิ้งมาด้วยความกระวนกระวายใจแทน!?!
   
เป็นอะไรไปวะ 'ฟาง' !? ตอนแรกก็ยังมีความสุขอยู่ดีๆ ไหงมากระวนกระวายใจซะได้ หรือว่า...
   
ตึกตัก... ตึกตัก...
   
…ผมเผลอกำบทละครในมือแน่นด้วยความตื่นเต้น! เมื่อจู่ๆ สิ่งที่คิดขึ้นมาดันทำเอาหัวใจเต้นแรงผิดจังหวะไปเลย
   
นี่… ผมอยากแสดงบทจักรพรรดิมิคาโดะหรอเนี่ย!? … โอ้พระเจ้า! งานช้างเลยนะไอ้ฟาง!! ถึงแม้ว่าทางชมรมการแสดงจะเปิดโอกาสให้คนนอกชมรมเข้าแคสติ้งบทด้วยก็เถอะ แต่กับบทสำคัญๆ อย่างจักรพรรดิมิคาโดะเนี่ย ยังไงก็ต้องมีการวางตัวนักแสดงเอาไว้อยู่แล้วแน่ๆ ไม่มีทางที่คนนอกจะแย่งบทจากคนในชมรมไปได้หรอก เผลอๆ อาจจะเปิดแคสติ้งเรียกกระแสเฉยๆ ก็เป็นได้
   
แต่พอคิดว่าถ้าได้เล่น…
   
ตึกตัก... ตึกตัก...
   
หัวใจของผมมันก็เต้นผิดจังหวะขึ้นมาอีกแล้ว! หรือว่านี่… จะเป็นสัญญาณกันนะ!? ตั้งแต่ที่บทละครดัดแปลงมาจากตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่นที่ผมชอบแล้ว ไหนจะเรื่องที่ผมเกิดติดใจกับบทจักรพรรดิมิคาโดะที่มีใจรักมั่นในเจ้าหญิงคางุยะอีก บางที… มันอาจจะเป็นสัญญาณบางอย่างที่บอกให้ผม…ลองดูสักตั้ง!
   
คิดได้ดังนั้น ผมรีบลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับจังหวะหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะวิ่งไปที่กระจกบานใหญ่ในห้องนอนเพื่อสำรวจตัวเอง จริงอยู่… ถึงแม้ว่าผมอาจจะไม่เหมาะสมกับบทของจักรพรรดิมิคาโดะ แต่ผมคิดว่ามันไม่น่าจะมีอะไรเสียหายนะ ถ้าผมจะลองไปแคสติ้งบทนี้ดู ขอเพียงแค่ทำให้เต็มที่ ผลจะออกมาเป็นยังไงก็ช่างมันแล้วแหละ ดีกว่าไม่ลงมือทำแล้วมาเสียดายที่หลังน่ะจริงมั้ย?
   
โอเค ผมตัดสินใจละ!
   
พรุ่งนี้ผมจะไปแคสติ้ง แล้วคว้าบทจักรพรรดิมิคาโดะมาให้ได้!!

* * * * * * *
   
วันต่อมา
   
“เป็นอะไรของมึงวะไอ้ฟาง ทำไมดูตื่นๆ ชอบกล กะอีแค่ไปชมรมกู มึงต้องตื่นเต้นขนาดนั้นเลยหรอวะ?”
   
ผมรีบเก็บอาการในทันทีที่ถูกไอ้กบเอ่ยทักถึงอาการที่ผิดปกติไป ทั้งๆ ที่ในใจอยากจะร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น เพราะตอนนี้ทั้งผมและไอ้กบกำลังเดินไปยังตึกชมรมการแสดงพร้อมกัน! เนื่องจากผมดันออกอุบายว่าอยากจะขอไปดูการแคสติ้งนักแสดงของทางชมรมด้วย ในขณะที่ความจริงคือผมต้องการจะไปแคสติ้งซะเอง!!
   
“เปล่าซะหน่อย”
   
ผมพยายามควบคุมน้ำเสียงในการตอบให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ … รู้สึกโล่งใจเหมือนกันที่ไม่ได้เผลอปฏิเสธเสียงสูงประมาณว่า ‘เปล๊า!’ ออกมา แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่ออีก ได้แต่เดินตามไอ้กบไปเงียบๆ แม้ว่าจะรับรู้ได้ถึงสายตาที่กำลังมองจับผิดมาของมันก็ตาม
   
อันที่จริงผมไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังไอ้กบหรอกนะ ตรงกันข้าม อยากจะบอกมันให้หมดๆ ซะเลยด้วยซ้ำ แต่พอลองคิดอย่างถี่ถ้วนดูแล้ว… อย่าดีกว่า ขืนผมบอกไปว่าจะมาแคสติ้งบทจักรพรรดิมิคาโดะ มีหวังมันได้ค้านผมหัวชนฝาแน่ ซึ่ง ณ เวลานี้ ผมต้องการกำลังใจอันเปี่ยมล้นมากกว่าเสียงคัดค้านใดๆ ดังนั้น เอาไว้ถึงเวลาเดี๋ยวไอ้กบมันก็ได้รู้เองนั่นแหละ
   
แต่ถึงแม้ว่าผมจะเตรียมตัวเตรียมใจมามากมายขนาดไหน… ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับพังทลายลงในทันทีที่ผมเห็นตึกชมรมการแสดงดูตรงหน้า! ไอ้กบทำท่าจะถามผมอีกครั้ง แต่ผมยกมือขึ้นห้าม! เพราะอาการมวนๆ ในท้องที่เกิดจากความตื่นเต้นกำลังก่อตัวอย่างรวดเร็วและรุนแรง ขืนพูดอะไรมากกว่านี้มีหวังหลุดพรวดออกมาเป็นอ้วกแน่ ผมเลยทำได้เพียงแค่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินต่อไปเท่านั้น
   
ห้องที่ไอ้กบเดินนำผมมาเป็นห้องซ้อมหมายเลขหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับห้องซ้อมหมายเลขสองบนชั้นสี่ของตัวอาคาร ประตูห้องเป็นแบบบานเลื่อนสีดำสนิทที่คนด้านในสามารถมองเห็นด้านนอกได้เพียงแค่ฝ่ายเดียวเท่านั้น … กบทำท่าจะเปิดเข้าไป แต่ก็เป็นอันต้องชะงัก เพราะตัดสินใจหันกลับมาดูอาการของผมอีกครั้ง พอเห็นว่าผมดูจะอาการดีขึ้นแล้ว มันก็เลื่อนประตูเปิดเข้าไปในทันที ซึ่ง…
   
…ไม่มีใครหันมาสนใจเราสองคนเลย
   
เพราะว่าตอนนี้มีสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าอยู่กลางห้องซ้อมน่ะสิ...!
   
"ว่าอะไรนะ ไหนนายพูดใหม่อีกทีซิ!?"
   
เสียงแปดหลอดของ 'พี่แบมแบม' ดังขึ้นราวกับฟ้าผ่าลงกลางห้อง เล่นเอาทุกคนโดยรอบรวมทั้งผมพากันสะดุ้งเป็นการใหญ่! ในขณะที่ 'คนโดนวีน' กลับนั่งนิ่ง ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรทั้งสิ้น
   
"อย่าให้ฉันพูดซ้ำเลยแบมแบม เดี๋ยวจะทำร้ายจิตใจเธอซะเปล่าๆ" ...และนอกจากจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวแล้ว ยังตอบกลับหน้าตาเฉยซะด้วย!
   
คือ... อันที่จริงผมก็ไม่ได้รู้จักพี่แบมแบมเป็นการส่วนตัวหรอกนะ แต่ด้วยความที่พี่เขาเป็นคนสวยมาก แถมยังอยู่ชมรมการแสดงด้วย ก็เลยค่อนข้างจะมีชื่อเสียงในโรงเรียนไม่น้อย ซึ่งนอกจากพี่เขาจะมีความสวยอันลือเลื่องแล้ว ความขี้วีนของพี่เขาก็เป็นสิ่งที่เลื่องลือไม่แพ้กัน แต่ก็นะ ต่อให้เป็นคนขี้วีนมากแค่ไหน ถ้าไม่มีใครหรืออะไรมาทำให้ไม่พอใจแล้วล่ะก็ พี่แบมแบมคงไม่ระเบิดลงถึงขนาดนี้แน่ และ 'ตัวต้นเหตุ' ก็คงจะหนีไม่พ้น... รุ่นพี่อีกคนที่กำลังส่งกระแสจิตฟาดฟันกันอยู่ในตอนนี้!
   
เขาเป็นรุ่นพี่ผู้ชายที่ทุกคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เริ่มจากผมยาวๆ ตัดหน้าม้าสั้นไล่ระดับให้รองรับกับใบหน้าเรียวยาวได้รูป ตาสองข้างเรียวเล็ก ทว่านัยน์ตากลับกลมโตดูโดดเด่นมีเสน่ห์ซึ่งเข้ากันได้ดีกับคิ้วหนาเข้มแฝงความดุดันและจมูกโด่งๆ เป็นสันราวกับปั้นแต่ง ไหนจะริมฝีปากหยักยิ้มดูเจ้าเล่ห์นั่นอีก ถ้าแบบนี้ล่ะก็มีอยู่คนเดียวไม่ผิดแน่...พี่กัปตัน!!
   
“แล้วนายคิดว่าสิ่งที่นายทำมันยังไม่ทำร้ายจิตใจฉันงั้นหรอ!?”
   
ปัง!!
   
คราวนี้ไม่ใช่แค่วีนอย่างเดียวนะ แต่พี่แบมแบมเล่นตบลงไปบนโต๊ะตัวยาวซึ่งกั้นระหว่างพี่เขากับสมาชิกชมรมอีกสามคนที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะเสียงดังปัง! ดูๆ แล้วน่าจะเป็นกรรมการในการแคสติ้งนักแสดงของละครเวทีเรื่อง Kaguya-Hime โดยคนที่นั่งตรงกลางก็คือพี่กัปตัน (พี่แบมแบมจงใจตบโต๊ะตรงหน้าพี่กัปตันเลย) ส่วนอีกสองคนที่ขนาบข้างนั้นเป็นรุ่นพี่ที่ผมเคยเห็นหน้าแต่ไม่รู้จักชื่อ
   
 ตอนแรกผมคิดว่าพี่กัปตันจะลุกขึ้นยืนปะทะกับพี่แบมแบมซะแล้ว แต่ผิดคาด! พี่เขากลับกอดอกแล้วนั่งเอนตัวไปข้างหลังแบบชิลๆ แทน ทว่าสายตาที่จ้องกลับไปดูจะ…อำมหิตยิ่งกว่าเดิม!
   
“ก็ได้แบมแบม ถ้าเธออยากฟังอีกสักรอบ ฉันก็จะช่วยสงเคราะห์ให้ ดูปากฉันให้ดีๆ นะ…” พี่กัปตันยกมือข้างนึงขึ้นชี้ที่ปากตัวเอง “ฉันขอถอดเธอออกจากบทเจ้าหญิงคางุยะ จบนะ!”
   
หา!?
   
เดี๋ยวนะ… เมื่อกี้นี้ผมไม่ได้ฟังอะไรผิดไปใช่มั้ย!? พี่กัปตันถอดพี่แบมแบมออกจากบทเจ้าหญิงคางุงั้นหรอ!? จะเป็นไปได้ยังไงกัน ในเมื่อพี่แบมแบมถือเป็นหนึ่งในดาวเด่นของชมรมการแสดงเลยนะ!?!
   
“ใครมันจะไปจบง่ายๆ กันกัปตัน!” จริงด้วย เป็นผมก็ไม่ยอมจบง่ายๆ หรอก “ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้นายเป็นคนเลือกให้ฉันรับบทนี้เอง แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้มาขอถอดตัวกันดื้อๆ แบบนี้ ฉันไม่ยอมหรอกนะ!!”
   
“ก็พอฉันจะบอกเหตุผลให้เธอฟัง เธอก็มาวีนๆ ใส่ฉัน แล้ววันนี้มันจะรู้เรื่องกันมั้ยล่ะ!”
   
“ถ้างั้นก็รีบๆ พูดมาสิ!!”
   
ทันทีที่สิ้นเสียงแปดหลอดของพี่แบมแบม พี่กัปตันลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ทำเอาพี่แบมแบมถึงกับถอนหลังหนีไปครึ่งก้าว ทั้งๆ ที่พี่กัปตันดูเหมือนจะแค่ยืนขึ้นเฉยๆ เท่านั้น แต่ก็นะ ถ้าเป็นผม ผมถอยมากกว่าพี่แบมแบมอีก
   
“ฟังฉันให้ดีนะแบมแบม ฉันยอมรับว่าเธอเป็นหนึ่งในตัวท็อปของชมรมการแสดงของเรา เพราะเธอทั้งสวย ทั้งมั่นใจ ทั้งมีฝีมือทางการแสดงเป็นเลิศ และยังสามารถเป็นดาวเด่นได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่นั่นมันยังไม่พอหรอกนะ เพราะว่าเธอได้ขาดส่วนที่สำคัญที่สุดไป ซึ่งนั่นก็คือ… เธอไม่มีความเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าหญิงคางุยะเลยแม้แต่น้อย!!” คราวนี้พี่แบมแบมถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เพราะนอกจากพี่กัปตันจะใช้น้ำเสียงจริงจังแล้ว รอยยิ้มเย็นๆ นั้นก็ดูจะเอาเรื่องมากทีเดียว! “ตั้งแต่ตอนที่เริ่มเขียนบทละครเวทีเรื่องนี้ขึ้นมา ฉันไม่ได้คิดถึงเธอในหัวเลยด้วยซ้ำ เพราะจริงๆ แล้วคนที่ฉันอยากให้มารับบทเจ้าหญิงคางุยะมากที่สุดก็คือ ‘เหมย’ แต่ยัยนั่นกลับไปแคสติ้งบท ‘เจ้าหญิงแอเรียล’ ของ ‘ไอ้ปิง’ ซะก่อน เธอถึงได้กลายมาเป็นตัวเลือกของฉันแทน ซึ่งบอกตรงๆ ว่าฉันคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเธอจะต้องเล่นบทนี้ไม่ได้แน่ แต่เพราะเธอทำให้ฉันเห็นถึงความตั้งใจที่อยากจะรับบทเจ้าหญิงคางุยะ ฉันก็เลยยอมให้โอกาสเธอ แล้วสุดท้ายเป็นไง เธอก็ทำมันไม่ได้อยู่ดี!”
   
“ตะ…แต่ว่าฉันก็พยายามเต็มที่แล้วนะ ฉันเล่นสุดความสามารถของฉันแล้วจริงๆ!”
   
“ใช่ ฉันเชื่อว่าเธอเล่นสุดความสามารถของเธอแล้ว แต่เธอก็ยังเป็นนักแสดงที่แย่อยู่ดี เพราะเธอไม่เคยฟังที่ฉันพูดเลยแม้แต่ครั้งเดียว! รู้อะไรมั้ย นักแสดงที่ดีน่ะ ต้องฟังในสิ่งที่ผู้กำกับบอก และฉันพยายามบอกเธอหลายครั้งแล้วว่าเธอยังอ่อนหวานไม่พอ แต่แล้วยังไง เธอยังคงเป็นเจ้าหญิงคางุยะในแบบของเธอ เจ้าหญิงคางุยะที่ดูแรง ดูมั่นใจ เผลอๆ จะออกแนวเหวี่ยงวีนซะด้วยซ้ำ พอฉันบอกให้เธอเสียงอ่อนเสียงหวานลงหน่อย เธอก็บอกว่า… ‘แต่ฉันคิดว่าเสียงแบบนี้มันเซ็กซี่กว่านี่’ หึ! เซ็กซี่งั้นหรอ ในบทมันมีเขียนบอกตรงไหนกันว่าเจ้าหญิงคางุยะเป็นคนเซ็กซี่น่ะ!!”
   
“…”
   
“แล้วอย่าคิดว่าฉันไม่ให้โอกาสเธอนะแบมแบม ฉันให้โอกาสเธอหลายครั้งจนเกินพอแล้ว ต่อจากนี้ขอให้เธอเป็นฝ่ายให้โอกาสฉันได้ใช้เวลาเฟ้นหาเจ้าหญิงคางุยะคนใหม่บ้างแล้วกัน” พี่กัปตันนั่งลงตามเดิม เหมือนเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าจบเรื่องแล้ว แต่ก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้… “อ้อ! แล้วถ้าเธอยังพอที่จะฟังคำแนะนำของฉันอยู่บ้างนะ ฉันคิดว่าเธอค่อนข้างเหมาะกับบท ‘เออซูล่า’ ในเรื่อง ‘The Little Mermaid’ ของไอ้ปิง เห็นว่ามันจะตีความให้เออซูล่าออกมาสวยเซ็กซี่ซะด้วย”
   
“แต่ว่า…”
   
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้นแบมแบม เชิญออกจากตรงนี้ด้วย ฉันจะทำการแคสติ้งบทเจ้าหญิงคางุยะต่อแล้ว”
   
“ไม่นะกัปตัน ครั้งนี้นายต้องฟังฉันนะ” น้ำเสียงของพี่แบมแบมเริ่มอ่อนลงจากตอนแรก เหมือนกับว่าพี่เขาจะเปลี่ยนเป็นฝ่ายขอร้องพี่กัปตันแทน “นี่เป็นปีสุดท้ายของฉันแล้ว นายเองก็คงเข้าใจดีว่าละครเวทีในปีนี้มันสำคัญกับพวกเรามากแค่ไหน เพราะทั้งฉันและนายต่างก็ต้องการมีผลงานไว้ใช้ยื่นสอบตรงตอนเข้ามหา’ลัยด้วยกันทั้งนั้น และฉันต้องการบทที่โดดเด่น นายเข้าใจฉันมั้ย!?”
   
“เข้าใจสิ ฉันถึงได้บอกให้เธอ…!”
   
ปัง!
   
พี่กัปตันเป็นอันต้องหยุดชะงัก! รวมถึงคนอื่นๆ ในห้องซ้อมแห่งนี้ด้วย เมื่อจู่ๆ ไอ้กบก็ดันเลื่อนประตูห้องปิดจนเกิดเสียงดังปัง! ทำให้ตอนนี้จุดรวมสายตาตกมาอยู่ที่ผมกับไอ้กบแทน!!
   
“เอ่อ… ขอโทษทีครับ ไม่คิดว่าเสียงมันจะดัง” ไอ้กบเป็นคนแรกที่กล่าวขอโทษ ในขณะที่ผมยืนตัวแข็งทื่อ เพราะสายตาของพี่แบมแบมกับพี่กัปตันที่มองมา อยากจะก้าวหลบออกจากฉากก็ทำไม่ได้… รู้สึกว่าขามันแข็งจนก้าวไม่ออกเลยอะ
   
แต่โชคดีที่พอได้รับคำขอโทษจากไอ้กบแล้ว ทุกคนก็พากันหันไปสนใจพี่แบมแบมกับพี่กัปตันต่อ ซึ่งพี่แบมแบมเองก็เริ่มหันกลับไปคาดคั้นเอาคำตอบจากพี่กัปตัน…
   
“ว่าไงกัปตัน เมื่อกี้นายจะพูดอะไรกันแน่?”
   
“…”
   
“นี่นายฟังฉันอยู่หรือเปล่าเนี่ย!”
   
“…”
   
…แต่พี่กัปตันกลับไม่หันไปสนใจพี่แบมแบมที่อยู่ใกล้ๆ เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าตอนนี้พี่เขายังคง… จ้องมองมาที่ผมอยู่!
   
ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่ดูเหมือนว่าตัวผมจะยิ่งแข็งทื่อขึ้นกว่าเดิม แถมยังมีอาการขากสั่นๆ เพิ่มเข้าไปด้วย เพราะพี่กัปตันเล่นมองผมซะหน้านิ่งเลย แล้วคือพี่เขาเป็นคนหน้าดุอยู่แล้วด้วยไง ไม่แปลกหรอกที่ผมจะกลัวพี่เขาน่ะ!!
   
“กัปตัน!”
   
“ใครวะ? น่ารักจังเลยว่ะ”
   
“หา!? อะไรนะ!?”
   
“ชู่วววว~ เงียบก่อนได้มั้ยแบมแบม! … นี่ๆ น้องคนนั้นน่ะ… เออ น้องนั่นแหละ หน้าตาน่ารักจังเลยนะเรา มีแฟนยังครับ?”
   
ผมอึ้ง!! ไม่นึกเลยว่าอยู่ดีๆ พี่กัปตันจะหันไปเบรกพี่แบมแบม ก่อนจะหันมาคุยกับผม แถมสิ่งที่พูดออกมาก็เป็นอะไรที่…โคตรน่าขนลุก!!
   
“เอ่อ…” ผมอยากจะพูดอะไรออกไปสักอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ได้แต่มองคนถามที่เริ่มจะมีรอยยิ้มแต่งแต้มขึ้นมาบนใบหน้าบ้างแล้วด้วยความรู้สึกที่…ไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่นัก
   
“ว่าไงครับ พี่รอคำตอบอยู่นะ : )”
   
(มีต่อด้านล่าง)

----------------------------------------------------------------------
**แหล่งที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/ตำนานคนตัดไผ่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-11-2016 15:02:53 โดย Hamzholic »

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกนะที่พี่กัปตันจะสนใจในตัวเด็กผู้ชายอย่างผม เพราะอย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วว่าพี่เขาประกาศตนว่าเป็น ‘เมะ’ อย่างออกนอกหน้า ไม่รู้ว่าไปเอาความกล้าแบบนั้นมาจากไหน ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ปัญหาหรอกนะที่พี่เขามาทำเจ้าชู้ใส่แบบนี้ (ไม่กล้ามีปัญหาด้วย) แต่มีอยู่เรื่องนึงที่ยอมไม่ได้จริงๆ คือ…
   
…พี่เขาชมผมว่าน่ารัก!!
   
ให้ตายเถอะ!! รู้เอาไว้เลยนะว่าคำว่า ‘น่ารัก’ ถือเป็นคำต้องห้ามที่ผมไม่อยากจะได้รับการชมมากที่สุด! ถึงแม้ว่ามันจะเป็นคำที่คนอื่นชอบใช้ชมผมมากที่สุดก็ตามที แต่คำว่าน่ารักน่ะ มันไม่เหมาะกับลูกผู้ชายเลยนะ!!
   
“เอ่อ คือว่า…!” พอเห็นว่าผมไม่ยอมพูดอะไร ในขณะที่พี่กัปตันก็รอคำตอบอยู่ ไอ้กบก็เลยตัดสินใจที่จะตอบคำถามแทน แต่กลับถูกผมยกมือห้ามเอาไว้ซะก่อน เพราะอารมณ์หงุดหงิดช่วยเสริมความกล้าในตัวผมได้อย่างดีทีเดียว!
   
“ผมชื่อฟางครับ” ผมแนะนำตัวเสียงดังฟังชัด ก่อนจะตัดสินใจบอกถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงที่มาในวันนี้ “จะมาแคสติ้งบทในเรื่องเจ้าหญิงคางุยะ”
   
ทันทีที่พูดความจริงออกไป ไอ้กบเป็นคนแรกที่หันมามองผม มันคงตกใจมากสินะที่จู่ๆ ผมก็พูดออกไปแบบนั้น แต่ก็ถึงเวลาที่มันควรจะรู้ความจริงสักที นี่ต้องขอบคุณคำชมอันไม่พึงประสงค์ของพี่กัปตันสินะที่ทำให้ผมมีความกล้าที่จะพูดความจริงออกไป
   
“น้องตอบไม่ตรงคำถามนะ แต่ก็เอาเถอะ ถ้าจะมาแคสติ้ง ก็มายืนตรงนี้สิ”
   
พี่กัปตันชี้นิ้วให้ผมไปยืนตรงจุดที่พี่แบมแบมกำลังยืนอยู่ ทำเอาพี่แบมแบม และคนอื่นๆ ที่น่าจะรอต่อคิวแคสติ้งกันอยู่ถึงกับตาโต ในขณะที่บางคนเริ่มซุบซิบนินทากันยกใหญ่
   
“เอ่อ… เดี๋ยวผมไปรอต่อคิวดีกว่าครับ ไม่อยากแซงคนอื่น”
   
“พี่บอกให้มาก็มาสิ”
   
“…”
   
นี่ผมพยายามที่จะเลี่ยงการถูกนินทาแล้วนะ แต่ดูเหมือนว่าคำสั่งของพี่กัปตันดูจะมีผลสูงสุดในห้องซ้อมแห่งนี้ ผมจึงต้องเดินไปยังตำแหน่งที่พี่เขาชี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
   
“นี่เดี๋ยวก่อนนะ นายยังคุยกับฉันไม่จบเลยกัปตัน!”
   
“แต่ฉันคุยจบแล้ว เธอก็ช่วยหลบไปด้วย ฉันจะทำการแคสติ้งน้องเขา”
   
“แต่ว่า…!”
   
“บอกให้หลบไปไง!”
   
“…”
   
เป็นอีกครั้งที่พี่กัปตันพูดกับพี่แบมแบมด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาคนขี้วีนเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปยื่นกับกลุ่มนักแสดงคนอื่นๆ อย่างไม่มีข้อต่อรอง ผมก็เลยสะดวกใจมากขึ้นที่จะเดินเข้าไปยืนนอยู่ในจุดที่พี่แบมแบมเคยยืนอยู่ ซึ่งจากมุมนี้ก็ทำให้สามารถมองเห็นสายตาของคนทั้งห้องที่จับจ้องมาได้อย่างชัดเจน ชักจะเริ่ม… หวั่นๆ ขึ้นมาซะแล้วสิ
   
“เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่านะ”
   
“ครับ”
   
“นี่น้องฟางเป็นเพื่อนกับไอ้เจ้ากบใช่มั้ย?”
   
“ครับ”
   
“งั้นก็แสดงว่าอยู่มอสามแล้วสินะ?”
   
“ครับ”
   
“ตอบเป็นแค่ครับหรอครับ?”
   
“ครับ”
   
เอ่อ… ให้ตายเถอะ ผมอยากจะตบหน้าผากตัวเองแรงๆ สักทีที่เผลอให้พี่กัปตันมาแกล้งแหย่ซะได้ คนอื่นๆ ที่ฟังอยู่เลยพากันขำใหญ่เลย น่าอายชะมัด!
   
“ฮ่าๆๆๆ~ โอเค ว่าแต่ว่าน้องฟางอยากจะมาแคสบทอะไรหรอครับ?”
   
เอาล่ะ… มาถึงคำถามสำคัญแล้วสินะไอ้ฟาง โอเค สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วตอบไปเลยแบบเสียงดังฟังชัด!
   
“บทจักรพรรดิมิคาโดะครับ!”
   
เงียบ…
   
…ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบทันทีที่ผมพูดชื่อตัวละครที่ต้องการจะแคสออกไป ทุกคนยืนนิ่งกันอยู่ประมาณห้าวินาทีเห็นจะได้ ก่อนที่จะ… หัวเราะกันใหญ่!
   
ผมตกใจมากที่คนทั้งห้องพากันหัวเราะออกมาราวกับว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปมันเป็นเรื่องที่น่าขำขันที่สุดเท่าที่คนพวกนี้เคยได้ยินมา ไม่เว้นแม้แต่กรรมการสองคนที่นั่งขนาบข้างพี่กัปตันก็ยังหัวเราะไปกับคนอื่นๆ ด้วย แล้วแบบนี้ผมจะยังมีโอกาสอยู่มั้ยเนี่ย!?
   
คนที่เห็นจะไม่หัวเราะมีอยู่เพียงแค่สองคนเท่านั้น คือพี่กัปตัน แล้วก็ไอ้กบ แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย เพราะพอได้ยินในสิ่งที่ผมพูด พี่กัปตันก็ถึงกับทำหน้าเรียบนิ่งไปเลย ในขณะที่ไอ้กบก็ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา!
   
“หน้าตาหวานๆ แบบนี้ พี่ว่าอย่าเป็นเลยจักรพรรดิมิคาโดะน่ะ ใส่วิกแล้วไปเล่นเป็นเจ้าหญิงคางุยะเลยจะดีกว่านะ ฮ่าๆๆๆ~” รุ่นพี่ผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมือของพี่กัปตันเป็นฝ่ายแสดงความคิดเห็นขึ้นมาคนแรก ซึ่งบอกตรงๆ ว่าผมไม่พอใจเลยจริงๆ! แบบนี้มันหยามกันชัดๆ!!
   
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้โต้ตอบอะไรกลับไป พี่กัปตันก็พูดขึ้นมาซะก่อน…
   
“ฟางครับ ฟางฟังพี่นะ พี่ยินดีจริงๆ ที่ฟางอยากจะแคสบทจักรพรรดิมิคาโดะ แต่พี่คิดว่า… ฟางอาจจะไม่เหมาะกับบทนี้”
   
เหมือนถูกมีดปักลงกลางอก…! คำพูดของพี่กัปตันเหมือนจะเป็นเชิงบอกให้รู้ว่า ‘คุณไม่ผ่านการทดสอบ’ อะไรแบบนั้น ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้เริ่มแสดงบทของจักรพรรดิมิคาโดะให้ทุกคนได้ดูเลยด้วยซ้ำ และเหตุที่เป็นแบบนั้นก็คงจะเป็นเพราะ… รูปร่างหน้าตาของผมสินะ!
   
โอเค ผมรู้ดีตั้งแต่ก่อนจะมาแคสติ้งแล้ว ว่าผมไม่มีอะไรที่เหมาะสมสำหรับบทจักรพรรดิมิคาโดะเลย ผมไม่ใช่ผู้ชายตัวใหญ่ ออกจะเอวบางร่างน้อยซะด้วยซ้ำ เรียกว่าไม่มีความแมนเลยสักนิดเดียว! ก็ใช่สิ คนเรามันเลือกเกิดไม่ได้นี่หว่า! ถ้าหากว่าเลือกเกิดได้นะ ผมก็ไม่อยากอยากจะเกิดมาเป็นผู้ชายผิวขาวๆ ตัวเล็กๆ หน้าตา ‘น่ารัก’ เพราะว่าดันมีตาเหมือนลูกแมวเหมียวหรอก!!
   
แต่ไม่ได้สิ… จะมายอมแพ้แบบนี้ไม่ได้นะไอ้ฟาง! แกเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรอว่า…ขอเพียงแค่ทำให้เต็มที่ ผลจะออกมาเป็นยังไงก็ช่าง ดีกว่าไม่ลงมือทำแล้วมาเสียดายที่หลังน่ะ เพราะฉะนั้น ยังไงก็จะยอมแพ้แค่นี้ไม่ได้เด็ดขาด!
   
“แต่พี่ครับ อย่างน้อยๆ ก็ขอให้ผมได้แสดงบทจักรพรรดิมิคาโดะก่อนเถอะนะครับ จริงอยู่ที่ผมไม่มีอะไรเหมาะสมกับบทนี้เลย แต่ผมก็อยากจะทำมันให้เต็มที่ที่สุด เพื่อที่ว่าผมจะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง เพราะว่าบทละครเวทีเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากตำนานพื้นบ้านญี่ปุ่นที่ผมชอบมาก ผมหลงรักมันตั้งแต่ครั้งแรกที่อ่าน แล้วก็หลงรักตัวละครทุกตัวที่อยู่ในเรื่อง ถึงขนาดว่าจำบทพูดได้หมดทุกตัวเลย นะครับ ขอโอกาสให้ผมด้วย”
   
ผมอ้อนวอน พยายามพูดทุกสิ่งทุกอย่างออกมาจากหัวใจ แม้แต่เรื่องที่ว่าผมสามารถจำบทพูดได้หมดทุกตัวละครนี่ก็ด้วย ผมไม่ได้โกหกนะ ผมจำได้หมดจริงๆ เพราะว่าผมเป็นพวกประเภทความจำดีอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่รักที่ชอบจะยิ่งจำได้ดีมากขึ้นไปอีก
   
“จริงหรอที่ว่าจำบทพูดได้หมดทุกตัวละครเลยน่ะ?” พี่กัปตันเป็นคนแรกที่ถามขึ้นหลังจากที่กรรมการทั้งสามคนเงียบไปสักพัก คนอื่นๆ ในห้องเองก็คงจะรอฟังอยู่เหมือนกันว่ากรรมการจะเอาไงต่อ หลังจากที่ผมได้พูดจากอ้อนวอนซะยืดยาวแบบนั้น
   
“จริงครับ”
   
“ดี” พี่กัปตันเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนจะเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจที่สุดออกมา รอยยิ้มแบบนั้น…มันเรียกว่าร้อยยิ้มเจ้าเล่ห์หรือเปล่านะ? “งั้น น้องฟางช่วยแสดงให้พี่ดูหน่อยได้มั้ย : )”
   
น่ะ…นี่พี่กัปตันยอมให้เราแสดงบทจักรพรรดิมิคาโดะแล้วหรอเนี่ย!? ไชโย!!
   
“ได้ครับพี่ ผมทำได้” ผมรีบตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
   
แต่ทว่า…
   
“แต่ไม่ใช่บทจักรพรรดิมิคาโดะนะ พี่อยากให้ช่วยแสดงบทเจ้าหญิงคางุยะให้พี่ดูที : )”
   
“หะ…หา!?”

จบบทที่ 1

แฮมสเตอร์ : ขอบคุณที่อ่านนะครับ ถ้าหากชอบ หรืออยากพูดคุยถึงเรื่องนี้ในทวิตเตอร์
ฝากรบกวน #บทนางเอก ด้วยนะครับ

จริงๆ นิยายเรื่องนี้ แฮมสเตอร์เขียนไว้ก่อนหน้า #พ่อมดเหล้า อีกครับ
พอดีไปเปิดเจอ คิดถึง เลยเอามาลงให้อ่านกัน
เป็นนิยายที่ไม่มีอะไรมาก เน้นอ่านเพลินๆ คลายเครียดครับ



ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เหมือนจะเคยอ่านเรื่องนี้มาก่อน (น่าจะนานแล้ว)
คนเขียนเอามารีไรท์เหรอคะ

ออฟไลน์ lalitalx

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-3
แปะค่า มาลงชื่อติดตาม  :katai2-1:

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2

ก่อนเปิดม่านครั้งที่สอง
ต้นเหตุของความวุ่นวาย!!


จากจุดที่ผมยืนอยู่ในตอนนี้... สามารถมองเห็นอาการตกใจบนใบหน้าของทุกๆ คนได้อย่างชัดเจน แต่ผมค่อนข้างมั่นใจมากๆ ว่า... ไม่มีใครตกใจเกินผมอีกแล้ว!!
   
"พะ...พี่ว่าอะไรนะครับ!?" ผมพยายามรวบรวมสติเพื่อถามพี่กัปตันให้แน่ใจอีกครั้ง ... ตอนนี้ห้องทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงซุบซิบนินทาหนาหูมาก ซึ่งน่าจะมีผมกับพี่กัปตันเป็นหัวข้อหลักในการนินทาแน่ๆ
   
"พี่บอกว่า อยากให้น้องฟางช่วยแสดงบทเจ้าหญิงคางุยะให้พี่ดูที : )"
   
"ตะ...แต่ว่าผมเป็นผู้ชายนะครับพี่! ถึงแม้ว่าผมจะไม่เหมาะสมกับบทจักรพรรดิมิคาโดะ ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องแสดงบทผู้หญิงนะ!!"
   
"นั่นสิกัปตัน นี่มันชักจะบ้าไปกันใหญ่แล้วนะ!"
   
ผมแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน ถามว่ากลัวพี่กัปตันมั้ย? บอกเลยว่าโคตรกลัว! แต่ผมไม่คิดว่าพี่เขาจะกล้าหยามผมถึงขนาดให้เล่นบทผู้หญิงซะเลย แบบนี้ผมว่ามันเกินไปหน่อย!! ซึ่งคนที่มาช่วยสมทบอีกเสียงนึงก็คือพี่แบมแบมที่เงียบไปนาน แต่...
   
"ฟังก่อนสิ" ...แค่ประโยคเรียบง่ายสามพยางค์ทว่าหนักแน่นที่หลุดออกมาจากปากของพี่กัปตัน ก็ทำเอาทั้งผมและพี่แบมแบมไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก "งานแสดงละครเวทีประจำปีน่ะถือเป็นงานที่สำคัญมาก และบทจักรพรรดิมิคาโดะก็ไม่ใช่บทเล็กๆ ที่จะเอาใครมาแสดงก็ได้ ต้องใช้คนที่มีความสามารถทางการแสดงขั้นสูงเท่านั้น ถ้าจะให้พูดกันตามตรง นักแสดงชายในชมรมที่ฝีมือขั้นเทพนี่ก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย ซึ่งถ้าน้องฟางอยากแสดงให้พี่เห็นถึงความตั้งใจที่อยากจะแสดงบทนี้จริงๆ ก็จะต้องดึงความสามารถทางการแสดงออกมาให้เต็มที่ จนพี่มองข้ามนักแสดงชายทั้งหมดในชมรมนี้ไปเลย" มะ...มันต้องขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย!? "คำถามคือ... แล้วน้องฟางจะทำยังไงที่จะทำให้พี่มองข้ามคนอื่นๆ ไปได้?"
   
"เอ่อ..."
   
"ไม่รู้นะ แต่ในความคิดพี่ พี่ว่าอะไรที่มันแตกต่าง น่าจะดีกว่าอะไรที่มันซ้ำซากจำเจ อีกอย่างนึง ถ้าน้องฟางแสดงบทเจ้าหญิงคางุยะให้พี่ดูได้ พี่จะถือว่าเป็นการโชว์สปิริททางการแสดงด้วย : )"
   
สปิริททางการแสดงงั้นหรอ? ให้ตายเถอะ นี่ผมพูดอะไรไม่ออกเลยนะ... ไม่คิดว่าการแข่งขันมันจะสูงถึงขนาดนี้ ... โลกของการแสดงสำหรับผมคือสมัยประถมที่พ่อกับแม่สนับสนุนให้ผมไปเรียนการแสดง เพราะต้องการฝึกให้ผมมีสมาธิ และความกล้าแสดงออก ตอนนั้น... ทุกอย่างมันสนุกสนาน และสวยงามไปหมด ผมรู้ตัวเลยว่าผมหลงรักการแสดงมาก ยิ่งได้ลองเพิ่มคลาสไปเรียนการแสดงแบบละครเวที ผมยิ่งรักมันมากขึ้นไปอีก และนั่นทำให้ผมวาดฝันว่าสักวันจะต้องได้รับบทนำในละครเวทีสักเรื่อง แต่ตอนนี้... เหมือนความฝันของผมจะไม่ได้สวยงามเท่าที่ควร เพราะเมื่อเราโตขึ้น การแข่งขันในชีวิตเราก็จะยิ่งสูงขึ้นตามมา ถ้าผมอยากจะได้บทจักรพรรดิมิคาโดะจริง ผมก็ต้องยอมทุ่มสุดตัวเพื่อมัน...
   
...ถ้าความจำเจที่ว่าคือการที่ทุกคนแคสติ้งบทจักรพรรดิมิคาโดะโดยใช้บทของจักรพรรดิมิคาโดะ งั้นผมขอสร้างความแตกต่างโดยการใช้บทเจ้าหญิงคางุยะเพื่อแคสติ้งบทจักรพรรดิมิคาโดะก็แล้วกัน!!
   
"ก็ได้ครับ ผมจะแสดงบทเจ้าหญิงคางุยะให้พี่ดู แต่ให้ถือว่าเป็นการแคสติ้งบทจักรพรรดิมิคาโดะก็แล้วกันนะครับ"
   
"โอเค ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มได้เลยครับ : )"
   
สิ้นเสียงคำพูดของพี่กัปตัน ทุกคนในห้องซ้อมหมายเลขหนึ่งพากันเงียบเสียงและจับจ้องมาที่ผม จริงๆ มันควรจะสร้างความตื่นเต้นมากมายให้กับผมนะ แต่ไม่เลย เพราะตอนนี้ผมจดจ่อสมาธิอยู่กับตัวเอง เพื่อเป็นใครอีกคนนึงที่ไม่ใช่ตัวของผมจริงๆ...
   
...ผมมีเรื่องราวและบทพูดของ 'เธอ' อยู่ในหัวทั้งหมดแล้ว และตัดสินใจได้แล้วด้วยว่าจะเลือกหยิบยกฉากไหนขึ้นมาแสดง... เอาล่ะนะ ตั้งสมาธิให้มั่น แล้วบอกกับตัวเองว่า...
   
...ผมคือเจ้าหญิงคางุยะ
   
...ผมคือเจ้าหญิงคางุยะ
   
...ผมคือเจ้าหญิงคางุยะ
   
...ผมคือเจ้าหญิงคางุยะ
   
...ผมคือเจ้าหญิงคางุยะ
   
และใช่... ฉันคือเจ้าหญิงคางุยะ!
   
...ฉันค่อยๆ ก้าวเดินไปทางด้านขวามือของกรรมการเพื่อที่จะได้เหม่อมองขึ้นไปยังเพดานด้านบน ที่ตอนนี้... ฉันได้ทำการแต่งแต้มจินตนาการว่าคือพระจันทร์เต็มดวงที่ส่องแสงงดงามอยู่บนฝากฟ้ายามราตรี... ความรู้สึกเศร้าหมองก่อตัวในจิตใจอย่างรวดเร็ว เพราะบนนั้น... คือสถานที่แสนไกลที่ฉันจากมา... ทั้งคิดถึง ทั้งโหยหา ทว่า... แผ่นดินที่ฉันยืนอยู่นี้ก็สำคัญกับฉันไม่แพ้กัน ยิ่งคิด... ฉันก็ยิ่งเศร้าโศกเสียใจ แม้อยากจะเก็บงำความรู้สึกนี้ไว้ แต่สุดท้ายน้ำตาก็ไหลออกมาอยู่ดี ทำไมนะ ทำไมฉันถึงได้อ่อนแอขนาดนี้ ยิ่งใกล้วันที่ฉันจะต้องกลับไปยังที่ที่ฉันจากมา ฉันก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น จนเผลอสะอึกสะอื้นเสียงดังเหมือนเด็กๆ
   
'คางุยะ ร้องไห้ทำไมลูก'
   
ฉันสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ เสียงของท่านพ่อบุญธรรมก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของฉัน มันเป็นเสียงที่ฉันจินตนาการขึ้นมาว่ามี ทั้งๆ ที่พอหันไป ทุกอย่างก็ว่างเปล่า แต่ฉันต้องจินตนาการว่าตรงหน้ามีชายหญิงคู่นึงยืนรอคำตอบจากฉันด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างสุดซึ้ง
   
จริงๆ ฉันควรจะปฏิเสธเหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา... แต่ครั้งนี้ฉันรู้ดีว่าไม่อาจจะปิดบังต่อไปได้อีก... ฉันตัดสินใจกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปล้มตัวลงนั่งต่อหน้าท่านทั้งสอง...
   
"ท่านพ่อท่านแม่คะ ลูกมีความจริงบางอย่างที่จะต้องบอก... เหตุที่ลูกเศร้าโศกเสียใจทุกครั้งในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง เป็นเพราะ..." ฉันเว้นจังหวะเล็กน้อย เพราะตอนนี้เสียงสั่นเครือจนเริ่มจะฟังความไม่รู้เรื่อง "เป็นเพราะว่าลูกรู้ดีว่าลูกคงจะอยู่กับท่านพ่อและท่านแม่ได้อีกไม่นาน"
   
'ทำไมล่ะคางุยะ ทำไมถึงพูดแบบนั้น!?' คราวนี้เป็นฝ่ายท่านแม่ที่ถามขึ้นมาบ้าง น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของท่านแม่บุญธรรมยิ่งทำให้ตัวของฉันร้องไห้หนักขึ้น จนต้องเอื้อมไปกุมมือของท่านทั้งสองไว้เพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจที่แสนเศร้าของตัวเอง...
   
"เพราะว่าความจริงแล้ว ลูกไม่ใช่คนของโลกใบนี้ หากแต่บ้านเมืองของลูกอยู่บนจันทรประเทศ และนี่ก็ใกล้จะถึงเวลาที่ลูกจะต้องกลับไป"
   
เมื่อคิดถึงการจากลา... ฉันทิ้งตัวลงนอนฟุบหน้ากับพื้นเพื่อร้องไห้ ได้แต่ปล่อยให้ท่านพ่อและท่านแม่นั่งลงข้างๆ เพื่อปลอบโยนฉัน จนกระทั่ง...
   
...จบฉาก!
   
ผมลุกกลับขึ้นมายืนต่อหน้าทุกๆ คนอีกครั้งหลังจากแสดงฉากที่เลือกมาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะรีบปาดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนไปทั่วใบหน้าออกซะ แล้วปรับอารมณ์ของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติตามเดิม
   
จะว่าไป... เมื่อกี้นี้ผมอินมากเลยนะ! ถึงขนาดเปลี่ยนคำสรรพนามเรียกแทนตัวเองจาก 'ผม' เป็น 'ฉัน' ไปเลย ไหนจะตอนที่เอื้อมไปกุมมือท่านพ่อกับท่านแม่บุญธรรมในจินตนาการนั่นอีก นี่ไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ แต่ผมเล่นเหมือนว่ามีคนมายืนอยู่ต่อหน้าของผมจริงๆ เลย ทั้งๆ ที่ห่างหายจากการแสดงมาหลายปี ไม่คิดว่าจะยังใช้ได้ดีทีเดียว
   
แต่เดี๋ยวนะ...! แล้วทำไมทุกคนในห้องถึงได้ยืนค้างกันไปแบบนั่นล่ะ!!? นี่หรือว่าการแสดงของผมมันไม่ได้ดีอย่างที่ผมคิด เผลอๆ อาจจะแย่จนคนอื่นๆ รับไม่ได้ ขนาดกรรมการยังนิ่งเลยอะ มันยังไงกัน...
   
แปะๆๆ~ แปะๆๆ~
   
ความคิดของผมหยุดชะงัก เมื่อพี่กัปตันเป็นคนแรกที่ลุกขึ้น และ...ปรบมือ! พี่เขาปรบมือให้ผมอย่างจริงจัง จนคนอื่นๆ ในห้องเริ่มปรบมือตาม และไม่นานนักเสียงปรบมือก็ดังสนั่นไปทั่วทั้งห้อง!!
   
นี่พวกเขากำลังชื่นชมผมอยู่หรอเนี่ย!?
   
"เยี่ยมไปเลยน้องฟาง แสดงออกมาได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ : )"
   
"เอ่อ... ขอบคุณมากครับพี่กัปตัน" รู้สึกวางตัวไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ที่พี่กัปตันชมผมซะจริงจังขนาดนี้ แต่ก็นับเป็นคำชมอันพึงประสงค์น่ะนะ ฮะฮ่า!
   
"เอาล่ะๆ ทุกคนน่าจะเห็นกันแล้วนะว่าน้องคนนี้มีความสามารถทางการแสดงมากแค่ไหน เมื่อกี้นี้ถือเป็นการสวมบทบาทเจ้าหญิงคางุยะที่ยอดเยี่ยมจริงๆ จนฉันลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าน้องเขาเป็นผู้ชาย" พี่กัปตันหันไปพูดกับคนอื่นๆ ที่ยืนดูการแสดงของผมมาตั้งแต่ต้น และเกือบ 99.99% พยักหน้าเห็นด้วย ทำเอาใจผมมันพองโตขึ้นมาเลย! ว่าแต่... ที่บอกว่าผมเล่นจนลืมไปเลยว่าผมเป็นผู้ชายนี่... ชมเปล่าวะ!? "เพราะฉะนั้น ในฐานะผู้กำกับละครเวทีเรื่อง Kaguya-Hime ขอประกาศอย่างเป็นทางการว่า... บทเจ้าหญิงคางุยะ ตกเป็นของน้องฟางแต่เพียงผู้เดียว : )"
   
"วะ...ว่าไงนะพี่!!"
   
ผมช็อกสุดๆ ไปเลยกับคำประกาศของพี่กัปตัน! น่ะ...นี่พี่เขาเล่นตลกอะไรกับผมเนี่ย!!!? ผมมาแคสติ้งบทจักรพรรดิมิคาโดะนะ!!?
   
ทุกคนในห้องพากันวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความตกใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เมื่อจู่ๆ บทสำคัญอย่างเจ้าหญิงคางุยะก็ตกมาเป็นของเด็กม.ต้นคนนึง ที่คุณสมบัติไม่ผ่านตั้งแต่เรื่องเพศ!!
   
"นายบ้าไปแล้วหรอกัปตัน!!" พี่แบมแบมเริ่มโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ดูพี่เขาจะไม่สนใจอีกแล้วว่าพี่กัปตันจะทำหน้าไม่พอใจอะไรยังไง คงพร้อมปะทะเต็มที่
   
ในขณะที่...
   
"แต่น้องเขาเป็นผู้ชายนะกัปตัน จะให้มาแสดงเป็นนางเอกได้ยังไงกัน!?"
   
"นั่นสิกัปตัน นายจะมาตัดสินใจเองแบบนี้ไม่ได้นะ เราตกลงกันแล้วนี่ว่าผลการพิจารณาจะต้องได้รับความเห็นชอบจากพวกเราทั้งสามคนน่ะ!"
   
...กรรมการอีกสองคนก็โวยวายเช่นกัน
   
เอาง่ายๆ นะ ตอนนี้เรียกได้ว่าห้องทั้งห้องตกอยู่ในความวุ่นวายขนาดใหญ่เลยทีเดียว ทั้งเสียงโวยวาย ทั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ มันตีกันลั่นไปหมด! เพียงเพราะการตัดสินใจผิดๆ ของพี่กัปตันเพียงคนเดียว!!
   
ผมเองก็อยากจะโวยวายเหมือนกัน แต่ก็อย่างที่บอก ตอนนี้เสียงมันตีกันไปหมดแล้ว ต่อให้ผมโวยวายไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก มีแต่จะช่วยเพิ่มความหงุดหงิดให้กับพี่กัปตันมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเมื่อดูจากหน้าตาไม่สบอารมณ์ของพี่เขาแล้ว ผมคิดว่า...
   
"เงียบ!!!!"
   
...นั่นไง พี่กัปตันระเบิดอย่างที่ผมคิดจริงๆ ด้วย!
   
คำสั่งของพี่กัปตันราวกับคำสั่งสูงสุดจากสรวงสวรรค์ เพราะในทันทีที่มันหลุดออกมาจากปากของพี่เขา ทุกคนก็ปฏิบัติตามในทันที!
   
"นี่ไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องการความคิดเห็นจากใคร จะว่าเผด็จการก็ได้นะ ฉันไม่ว่า!"
   
เอ่อ... บอกไม่ว่า แต่เสียงดุขนาดนั้น แล้วใครมันจะกล้าว่าล่ะครับ
   
หลังจากพูดชัดเจนแล้ว พี่กัปตันก็เดินอ้อมโต๊ะมาหาผมที่ยื่นก้มหน้าอยู่ บอกตรงๆ ว่าผมพยายามอย่างมากที่จะไม่ทำตัวสั่นต่อหน้าพี่เขา แต่ยิ่งพี่เขาเดินเข้ามาใกล้ผมมากเท่าไหร่ ใจผมก็ยิ่งเต้นแรงด้วยความกลัวเท่านั้น แล้วมีหรอที่จะห้ามร่างกายไม่ให้สั่นได้น่ะ!
   
พี่กัปตันหยุดยืนตรงหน้าผมนิ่งๆ ประมาณสามวินาที ก่อนจะล้วงไอโฟนในกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นมันมาให้ผม
"อะ...อะไรครับ?" ผมรีบเงยหน้าขึ้นถามด้วยความสงสัย ... รู้สึกแปลกใจเหมือนกันที่พี่กัปตันไม่ได้กำลังทำหน้าดุอย่างที่ผมคิด แต่พอมายืนใกล้ๆ กันแบบนี้แล้ว ผมดูเตี้ยสุดๆ ไปเลย!
   
"กดเบอร์ให้พี่ที เพราะว่าต่อจากนี้ฟางจะต้องมาเล่นละครเวทีให้พี่ ต้องมีเบอร์กันไว้ จะได้ติดต่อเราได้สะดวก"
   
"ตะ...แต่ว่าผมเป็นผู้ชายนะพี่ ผมไม่เล่นบทผู้หญิงหรอกครับ ผมว่าพี่กัปตันไปหานักแสดงหญิงที่เหมาะสมมาเล่นจะดีกว่า"
   
"ฟางนี่ไงมาเหมาสมที่สุดแล้ว"
   
"ไม่จริงหรอกพี่ แค่ผมเป็นผู้ชายก็ไม่เหมาะแล้ว ขืนเอาผมไปเล่นจริงๆ คงประหลดน่าดู หาคนใหม่เถอะนะครับ ผมต้องขอปฏิเสธจริงๆ"
   
"แต่พี่คิดว่าฝีมือระดับฟางไม่น่าจะออกมาประหลาดนะ แล้วอีกอย่างพี่ก็อยากให้ฟางเล่นด้วย ทำไมพี่ยังจะต้องไปหาใครที่ไหนมาอีกล่ะ"
   
"ต้องหาสิพี่ ผมเล่นเป็นนางเอกไม่ได้หรอกนะ"
   
"ทำไมจะไม่ได้ น้องฟางน่ารักจะตาย เป็นนางเอกได้สบายอยู่แล้ว : )"
   
"ก็เพราะว่าผมไม่อยากเล่นไงพี่!!"
   
จบกัน... ผมระเบิดใส่พี่กัปตันจนได้! แม้รู้ว่าตัวเองจะต้องไม่ปลอดภัยแน่ แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่สามารถควบคุมความหงุดหงิดของตัวเองได้แล้วจริงๆ เพราะพี่กัปตันดันหลุดคำชมอันไม่พึงประสงค์ออกมาอีกครั้ง แถมยังพูดเหมือนกันว่าผมไม่ใช่ผู้ชายอย่างงั้นแหละ!!
   
แต่ก็ดูเหมือนว่าพี่กัปตันจะไม่ได้โกรธอะไรนะ เพียงแค่ไม่ยิ้มอีกต่อไปแล้วก็เท่านั้นเอง...
   
"..."
   
"เอ่อ... ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ผมขอลาล่ะนะครับ"
   
ผมตัดสินใจบอกลาพี่กัปตันซะเลย เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่ในห้องนี้ต่อไปอีกทำไม ... ถือซะว่าเรื่องนี้ผมเป็นฝ่ายบ้าไปเองที่คิดว่าอาจจะสามารถคว้าบทจักรพรรดิมิคาโดะมาได้ จนต้องมาเจอกับเรื่องที่บ้ากว่าอย่างการได้รับบทเจ้าหญิงคางุยะแทน เพราะฉะนั้นผมจะเดินออกไปจากที่นี่ซะ แล้วทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ทว่า...!
   
"เดี๋ยวก่อน" ...พี่กัปตันคว้าแขนผมเอาไว้ เล่นเอาผมเสียวสันหลังวาบ! "ต้องให้พี่พูดซ้ำมั้ย ว่าพี่ไม่ต้องการความคิดเห็นจากใครในเรื่องนี้น่ะ เพราะฉะนั้น ยังไงฟางก็ต้องเล่นให้พี่ ถ้าไม่อย่างงั้น..." ยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหู "อย่าหาว่าพี่ไม่เตือน!"
   
"..."
   
เดี๋ยวนะ...!?
   
นี่... นี่ผมกำลังโดนข่มขู่อยู่ใช่มั้ยเนี่ย!!!?

* * * * * * *

"ฮ่าๆๆๆ~!!"
   
"ขำอะไรนักหนาวะไอ้กบ!?"
   
"ก็ขำมึงน่ะสิฟาง อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องใส่ตัวชัดๆ ฮ่าๆๆๆ~"
   
"ไอ้...!"

(มีต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
ผมล่ะอยากจะด่าไอ้กบมันจริงๆ ที่กล้ามาหัวเราะเยาะเรื่องที่ผมถูกไอ้พี่กัปตันจอมโหดข่มขู่ให้รับบทเจ้าหญิงคางุยะซะได้! แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว... ผมก็อยากจะหัวเราะตัวเองอยู่เหมือนกัน ที่อยู่ดีไม่ว่าดี ดันหาเรื่องใส่ตัวอย่างที่ไอ้กบมันว่า กระซิกๆ~
   
ก็ใครมันจะไปคิดกันเล่า! ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น มาได้ ไปแคสติ้งบทนึงแต่ดันได้เล่นอีกบทนึง แถมยังเป็นบทที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยด้วย! สรุปก็คือไอ้พี่กัปตันมันหลอกให้ผมแคสติ้งบทเจ้าหญิงคางุยะชัดๆ!! นี่ก็ต้องให้เบอร์ไปตามที่พี่แกขอด้วยนะ เพราะกลัวว่าไอ้พี่กัปตันมันจะไม่ได้แค่ขู่อย่างเดียวน่ะสิ : (
   
"เอาน่าๆ อย่าเพิ่งอารมณ์เสียดิ กูว่ามึงก็แสดงบทเจ้าหญิงคางุยะได้ดีอยู่นะเว้ย ขนาดกูเป็นเพื่อนยังขนลุกเลย ไม่คิดว่ามึงจะแสดงออกมาได้ดีขนาดนั้น ทั้งสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เหมือนกับว่ามึงกลายเป็นเจ้าหญิงคางุไปจริงๆ"
   
"ก็กูบอกมึงแล้วว่ากูเคยเรียนการแสดงมา กูก็ต้องทำได้อยู่แล้วเปล่าวะ -^- แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นหรอก ประเด็นคือกูเป็นผู้ชายนะเว้ยกบ จะให้มาเล่นบทผู้หญิงได้ยังไงกัน น่าอายจะตายไป แค่นี้คนเขาก็คิดว่ากูเป็นตุ๊ดกันเกือบหมดทั้งโรงเรียนแล้ว ยังจะต้องให้ไปเล่นบทนางเอกเพื่อตอกย้ำสิ่งที่คนอื่นเขาคิดกันอีกหรือไงวะ"
   
"แต่มึงเคยบอกกับกูเอง ว่าความฝันของมึงคือการได้รับบทนำในละครเวทีสักเรื่อง นี่ไง โอกาสมาถึงแล้ว แถมยังเป็นโอกาสที่มึงน่าจะทำได้ดีมากซะด้วย คว้ามันไว้ดีกว่านะกูว่า"
   
"มันก็จริงอยู่ แต่กูอยากเล่นบทจักรพรรดิมิคาโดะมากว่านี่หว่า..." จู่ๆ ผมก็เสียงอ่อนลงไปเฉยเลย... เมื่อความ 'ผิดหวัง' ดันวิ่งเข้ามาในจิตใจซะได้... แต่ก็นะ มนุษย์เราจะให้มาสมหวังไปซะทุกอย่างก็คงไม่ได้หรอก จริงมั้ย?
   
"เอาล่ะ ถึงทางไปของกูละ มึงก็อย่าคิดมากนะเว้ย ไว้คุยกัน"
   
"เออๆ ไว้คุยกัน"
   
ไอ้กบบอกลาเมื่อเราทั้งคู่เดินมาถึงทางแยกที่ไอ้กบต้องใช้กลับบ้าน ขออธิบายนิดนึงนะ... เส้นทางจากหน้าโรงเรียนจนถึงถนนใหญ่นั้น ถือเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างไกลอยู่เหมือนกัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับนักเรียนโรงเรียนผม เพราะตลอดสองข้างทางจะเป็นร้านค้าต่างๆ ตั้งอยู่เรียงราย แถมยังมีตรอกซอกซอยให้ทะลุไปยังเส้นทางต่างๆ ด้วย เรียกได้ว่าตรงนี้ก็เลยกลายเป็นเหมือนแหล่งท่องเที่ยวหลังเลิกเรียนที่สำคัญของเด็กโรงเรียนผมไปเลย
   
หลังจากที่แยกกับไอ้กบแล้ว ผมก็เดินต่อไปเพียงลำพัง เพราะทางกลับบ้านของผมคือต้องออกไปจนสุดถนนใหญ่ แล้วนั่งแท็กซี่กลับเลย ซึ่งก็ยังอีกไกลน่ะนะ แต่พอเดินคิดอะไรเพลินๆ มันก็จะช่วยให้ลืมเรื่องระยะทางไปได้ ยิ่งตอนนี้ผมมีเรื่องหนักๆ ให้คิดซะด้วย คงลืมซะยิ่งกว่าลืมเลยล่ะ
   
ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามปกติ จนกระทั่ง...
   
ฟึ่บ!!
   
...ร่างของผมถูกใครบางคนกระชากเข้าไปในซอยแคบๆ ที่ปราศจากผู้คน! ผมตกใจมาก เพราะคิดว่าเป็นพวกจี้ปล้นอะไรแบบนั้น แต่กลับตกใจยิ่งกว่าเมื่อคนคนนั้นคือ...
   
"พี่ทีม พี่แบมแบม!"
   
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของผมในตอนนี้คือพี่แบมแบม และแฟนของพี่เขา (พี่ทีม) ที่น่าจะเป็นคนกระชากผมเข้ามา ผมรู้สึกงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนกระทั่งพี่แบมแบมเริ่มเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน
   
"ว่าไงเด็กใหม่ มาถึงก็มาแย่งบทนางเอกไปจากฉันเลยนะ"
   
"เดี๋ยว นี่มันเรื่องอะไรครับพี่?"
   
"ยังจะมาแกล้งโง่อีกหรอ! ยอมรับมาซะดีๆ ว่าน้องร่วมมือกับกัปตันเพื่อให้พี่แคสไม่ผ่านน่ะ!!"
   
ร่วมมือกับพี่กัปตัน? เดี๋ยวนะ ผมว่าพี่แบมแบมกำลังเข้าใจผมผิดอย่างแรงเลย!
   
"ไม่ใช่นะครับพี่ ผมว่าพี่แบมแบมเข้าใจผิดแล้ว เพราะว่าผมไม่ได้ร่วมมืออะไรกับใครทั้งนั้น"
   
"ยังจะมาโกหกอีก ถ้าน้องไม่ได้ร่วมมือกับกัปตัน แล้วทำไมจู่ๆ มันถึงได้ยกบทนางเอกให้ ทั้งๆ ที่น้องไม่ใช่ผู้หญิงด้วยซ้ำ เอ๊าะ หรือว่าที่จริงแล้วน้องเป็นคู่ขาของกัปตัน มันเลยยอมถวายบทให้ง่ายๆ น่ะ!"
   
ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะคุยกันดีๆ นะ เพราะผมถือคติว่าเป็นผู้ชายต้องไม่ด่าเพศแม่อยู่แล้ว แต่ถึงขนาดมากล่าวหาว่าผมเป็นคู่ขาของไอ้พี่กัปตัน แบบนี้มันมากไปหน่อย!
   
"พี่หยุดคิดเองเออเองเถอะครับ ผมก็แค่..."
   
พลั่ก!!
   
"ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบตามที่ตั้งใจเอาไว้เลยด้วยซ้ำ จู่ๆ พี่ทีมที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ พี่แบมแบมก็เดินเข้ามาชกหน้าผมซะอย่างงั้น! ส่งผลให้ผมเซถอยหลังมาเลย นี่... นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะเว้ย!!
   
"นี่ถึงกับต่อยกันเลยหรอพี่!"
   
"เออสิวะ! ก็มึงกล้าดียังไงมาว่าแฟนกูคิดเองเออเอง ตอนนี้ใครๆ เขาก็พูดกันทั้งนั้นว่ามึงเอาตัวเข้าแลกบทน่ะ ถ้าไม่มีมูลหมามันไม่ขี้หรอกนะ แล้วพอดีว่าแฟนกูไม่ใช่พวกผิดเพศเหมือนมึงกับไอ้กับตันไง เลยแคสไม่ผ่านแบบนี้!"
   
ได้ฟังแบบนั้น... ผมก็เลือดขึ้นหน้าด้วยอารมณ์โกรธถึงขีดสุด!! โดนต่อยน่ะเรื่องเล็ก แต่มันกล้าดียังไงมาบอกว่าผมเอาตัวเข้าแลกบท ทั้งๆ ที่ก็เห็นกันอยู่ว่าผมแสดงได้ดีน่ะ!!
   
ด้วยความขาดสติ ผมพุ่งตัวเข้าไปหาไอ้พี่ทีม ตั้งใจจะชกหน้าแม่งสักที!! แต่ด้วยความที่มันเป็นคนตัวสูงใหญ่พอๆ กับพี่กัปตัน เลยกลายเป็นว่าแค่มันยกเท้ายันผมไว้ ผมก็ไปต่อไม่ได้แล้ว!!
   
"อย่าพยายามดีกว่าเด็กน้อย กูกับมึงยังห่างชั้นกันอีกเยอะ"
   
แล้วสุดท้ายผมก็โดนถีบกระเด็นออกมาจนได้ เจ็บใจนัก!! และแทนที่พี่แบมแบมจะเอ่ยปากห้าม กลับยืนหัวเราะด้วยความสะใจซะงั้น พวกพี่นี่แม่ง... เลวสมกันจริงๆ!!
   
จริงๆ ผมอยากจะพุ่งเข้าไปต่อยไอ้พี่ทีมมันอีกสักทีนะ แต่จากที่ประเมินแล้ว ผมก็คงโดนถีบออกมาเหมือนเดิมนั่นแหละ คิดแล้วก็ได้แต่เจ็บใจตัวเอง ทำไมไม่เกิดมาตัวสูงใหญ่บ้างวะ จะได้งัดกล้ามมาชกกับแม่งซะเลย!!!
   
"นี่พี่จะเตือนน้องด้วยความหวังดีนะ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวไปมากกว่านี้ ก็รีบถอนตัวไปซะ ไม่อย่างงั้น อย่าหาว่าพี่ไม่เตือน!"
   
จบคำขู่ของพี่แบมแบม คู่รักคู่เลวก็พากันโอบเอวเดินจากไปอย่างมีความสุข ทิ้งให้ผมที่ไม่มีปัญญาแม้แต่จะโต้ตอบยืนกำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ! ก่อนจะพาลคิดไปถึงใครอีกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องบ้าๆ ที่เกิดขึ้นนี้...
   
...ไอ้พี่กัปตัน! พี่มันเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายในชีวิตผมจริงๆ!!!

จบบทที่ 2

แฮมสเตอร์ : ขอบคุณที่อ่านนะครับ ถ้าหากชอบ หรืออยากพูดคุยถึงเรื่องนี้ในทวิตเตอร์
ฝากรบกวน #บทนางเอก ด้วยนะครับ

ขออนุญาตตอบคำถามของคุณ sirin_chadada นะครับ : ใช่แล้วครับ เรื่องนี้ผมเอามาปัดฝุ่นใหม่ อารมณ์เหมือนเรื่องเก่าเล่าซ้ำอะไรแบบนั้น แต่มาในรูปแบบที่คลีนขึ้น พอดีกลับไปย้อนอ่านงานตัวเอง แล้วมันหวนให้คิดถึง ก็เลยอยากจะเอามาอัพให้ได้อ่านกัน ในระหว่างที่ผมกำลังปั่นเรื่องใหม่น่ะครับ ว่าแต่ว่า รู้สึกดีใจนะครับ ที่เคยอ่านเรื่องนี้ ยังไงถ้ารู้ตอนจบแล้ว ก็อย่าเพิ่งบอกใครน้าาา อิอิ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-12-2016 16:29:15 โดย Hamzholic »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
สนุกมากกกกกก ตลกด้วย พี่กัปตันอย่างฮาาาา

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
พาลอย่างนี้ไม่ดีเลยนะแบมแบม

ปล. จำเรื่องได้เฉพาะช่วงแรก ๆ น่ะค่ะ (ไม่สปอยล์แน่นอน)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Natsuki-ChaN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เกลียดดดด บังอาจทำร้ายน้องฟางง :z6:

ออฟไลน์ เด็กเลี้ยงแมว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เห็นมีประโยคว่าโดนปลดกลางอากาศ รู้สึกว่ามันแหม่งๆยังไงไม่รู้สิ โดนปลดกลางอากาศคือโดนปลดระหว่างที่กำลังดำเนินการ... อะไรก็ว่าไป แบมๆนี่แคสติ้ง(ไม่ดีเลยไม่ผ่าน)ไม่ใช่หรอ ยังไม่ได้แสดงเลย ไม่ใช่ปลดกลางอากาศ(ปลดกระทันหัน)นะ

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2

ก่อนเปิดม่านครั้งที่สาม
หิวหรอ? อยากกินเนื้อแมวน้อยสินะ?


ผมกลับมาถึงบ้านด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านสุดๆ! รู้สึกเจ็บแค้น และหงุดหงิดทุกสรรพสิ่งที่มองเห็น นี่ถ้าผมทะเลาะกันประตูได้นี่ผมทำไมแล้วนะ ทำไมมันถึงได้เป็นสีน้ำตาลน่าหงุดหงิดจัง!!
   
"เป็นอะไรไปฟาง ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเลยนะ" แต่ก่อนที่ผมจะบ้าไปมากกว่านี้ เสียงของสมาชิกอีกหนึ่งคนในบ้านที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตรงโซฟาหน้าทีวีก็เอ่ยทักขึ้นมาซะก่อน อ๊ะ! นี่ผมมัวแต่แค้นไอ้พี่ทีมกับพี่แบมแบมจนลืมไปเลยสินะว่า 'พี่ฟิล์ม' อยู่บ้านวันนี้น่ะ "แล้วนั่นมันรอยชกนี่! บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะว่าใครทำ พี่จะไปจัดการมันเดี๋ยวนี้ล่ะ!!" ...แถมผมยังลืมซ่อนรอยโดยชกบนหน้าด้วย!
   
"เอ่อ..."
   
"ไหนมานั่งนี่สิ มาให้พี่ดูใกล้ๆ"
   
คนตัดสกินเฮดรีบวางหนังสือพิมพ์ลง ก่อนจะสั่งให้ผมไปนั่งใกล้ๆ นี่ดูเหมือนว่าพี่ฟิล์มจะเป็นเดือดเป็นร้อนมากกว่าผมอีกนะเนี่ย (_ _#)
   
แต่ก็นะ ธรรมดาตามประสาพี่ชายวัย 27 นั่นแหละ มีน้องชายที่อายุห่างกันมาก ก็ย่อมจะต้องห่วงเป็นธรรมดา ยิ่งพ่อแม่ไม่อยู่กับพวกเราแล้ว... พี่ฟิล์มก็เลยเหมือนกลายเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ไปด้วย...
   
"โอ้ยพี่ฟิล์ม! จับเบาๆ ดิ"
   
ผมร้องลั่น เมื่อทันที่ที่ผมเข้าไปนั่งใกล้ๆ พี่ฟิล์ม แกก็กดลงมาที่โหนกแก้มบริเวณที่โดนไอ้พี่ทีมต่อยซะแรงเลย!
   
"เออ โทษที พี่เผลอมือหนักไปหน่อย" พี่ฟิล์มรีบดึงมืออกอย่างไว เมื่อกี้คงไม่ได้ตั้งใจทำให้ผมเจ็บจริงๆ นั่นแหละ "แล้วสรุปว่าไปโดนใครชกมา ต้องให้พี่ไปจัดการมั้ย หรือยังไง?"
   
คำถามของพี่ฟิล์มทำให้ผมคิดถึงหน้าตาแสนสุขของไอ้คู่รักคู่แล้วขึ้นมา ยิ่งคิดถึงตอนที่มันกล่าวว่าหาว่าผมเอาตัวเข้าแลกบท ผมยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่! อยากจะให้พี่ฟิล์มไปชกหน้าไอ้พี่ทีมสักยี่สอบที ให้มันสาสมกับที่ผมเจ็บแค้น!! เพราะลำพังอดีตนักมวยเหรียญทองทีมชาติที่ผันตัวมาเปิดโรงเรียนศิลปะป้องกันตัวครบวงจรแบบพี่ฟิล์มคงจะจัดการแค่นักเลงปลายแถมอย่างไอ้พี่ทีมได้ไม่ยาก แต่...
   
"ช่างมันเถอะพี่ ก็แค่หมาบ้าตัวนึง ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก เอาไว้ถ้ามากกว่านี้ ฟางค่อยให้พี่ไปจัดการก็แล้วกัน"
   
"เอางั้นหรอ?"
   
"ครับ"
   
"โอเค งั้นก็ตามใจ"
   
...สุดท้ายผมก็ยอมทุกทีสินะ เห้อออออ~ ด้านร้ายมันก็อยากให้พี่ฟิล์มไปจัดการน่ะนะ แต่ด้านดีมันบอกว่าอย่าเลยดีกว่า ถ้ามัวแต่ชกกันไปชกกันมา มันก็ไม่จบไม่สิ้นสักที เผลอๆ จากเรื่องเล็กๆ ของเด็กมัธยม จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ซะเปล่าๆ -__-#
   
ผมทิ้งตัวลงพิงโซฟาด้วยความเหนื่อยอ่อน... รู้สึกเหมือนจู่ๆ ชีวิตที่แสนเรียบง่ายก็เกิดวุ่นวายขึ้นมาภายในวันเดียว เพียงเพราะว่าผมอยากเล่นละครเวทีเนี่ยนะ!?
   
"แล้วเป็นอะไรไป เห็นถอนหายใจหลายรอบแล้วนะ ก็บอกแล้วไงว่าถอนหายใจมากๆ มันไม่ดีนะ" พี่ฟิล์มยื่นมือมายีหัวผมซะยุ่ง จนผมที่ทิ้งตัวไปแล้ว ต้องกลับมานั่งหลังตรงอีกครั้ง เพราะอยากจะปรึกษาพี่ฟิล์มถึงเรื่องที่กำลังกลุ้มอกกลุ้มใจอยู่
   
"ฟางรู้ว่าถอนหายใจมากๆ แล้วมันไม่ดี แต่คนมันกำลังกลุ้มนี่ จะให้ทำไงได้เล่า"
   
"แล้วกลุ้มเรื่องอะไรล่ะ?"
   
"เห้อออออ~ คืองี้พี่..." ผมตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่ฟิล์มฟัง ตั้งแต่ตอนที่ผมตัดสินใจไปแคสติ้งบทจักรพรรดิมิคาโดะ จนกระทั่งถึงตอนที่ถูกโดนคู่รักคู่เลวข่มขู่ เพียงเพราะบทเจ้าหญิงคางุยะที่ผมไม่สมควรได้รับเลยสักนิด! โดยหวังว่าพี่ฟิล์มจะเป็นคนนึงที่เห็นด้วยว่าผมไม่ควรรับเล่นบทนี้ แต่กลับกลายเป็นว่า...
   
"ถ้างั้นก็รับเล่นไปเลย น้องพี่ทำได้อยู่แล้ว"
   
"อ้าว!? นี่พี่ฟิล์มก็เห็นด้วยหรอเนี่ย!"
   
"แล้วทำไมจะไม่เห็นด้วยล่ะ ก็ในเมื่อฟางเคยบอกพี่เองว่าสักวันจะต้องเป็นนักแสดงนำในละครเวทีสักเรื่องให้ได้ นี่โอกาสก็มาถึงที่แล้ว แถมบทเจ้าหญิงคางุยะก็เด่นกว่าบทจักรพรรดิมิคาโดะซะด้วย แล้วจะให้พี่บอกว่าฟางไม่ควรเล่นอย่างงั้นหรอ?"
   
เอ่อ... ทำไมพี่ฟิล์มพูดเหมือนกบเลยอะ!?
   
"แต่ว่าบทนั้นมันเป็นบทผู้หญิงนะพี่ ฟางจะเล่นได้ยังไงกัน!"
   
"ทำไมจะเล่นไม่ได้ ก็ฟางเพิ่งเล่าให้พี่ฟังเองไม่ใช่หรอว่าตอนแคสติ้งฟางแสดงได้ดีมาก ขนาดที่ว่าคนทั้งห้องพร้อมใจกันปรบมือขนาดนั้น"
   
"มันก็จริง แต่ว่า..."
   
"ฟังนะฟาง การแสดงก็คือการแสดง ถ้าฟางรักที่จะเป็นนักแสดง ฟางจะต้องเล่นได้ทุกบทบาทตามที่ผู้กำกับมอบหมาย ดูอย่างในละครสิ นักแสดงชายบางคนไม่ใช่เกย์ แต่เมื่อบทบอกว่าเขาเป็นเกย์ เขาก็พร้อมที่จะตกหลุมรักผู้ชายผ่านกล้องได้ในทันที ในขณะที่นักแสดงหญิงบางคนก็เรียบร้อยเข้าวัดเข้าวา แต่พอบทบอกให้เขาร้าย เขาก็ตบนางเอกผ่านกล้องแบบชนิดที่ไม่แคร์พระเอกเลย นั่นแหละ เขาเรียกว่านักแสดงมืออาชีพ"
   
"ก็นะ ที่พี่ฟิล์มพูดมามันก็มีเหตุผลอยู่ แต่ฟางไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นต้องจริงจังอะไรขนาดนั้น คิดคิดว่า... ถ้าไม่ได้บทจักรพรรดิมิคาโดะ ก็ไม่เล่น เท่านั้นเอง"
   
"อย่างงั้นหรอ งั้นฟางจำที่พ่อเคยสอนได้มั้ย? พ่อพูดเสมอว่า 'ทำอะไรต้องทำให้เต็มที่ ถ้าไม่เต็มที่ อย่าทำ' จำได้มั้ย?" จำได้สิ... ทำไมจะจำไม่ได้ ทุกคำสอนของพ่อกับแม่ยังวนเวียนอยู่ในหัวผมเสมอ... "ถ้าจำได้ ก็จงเต็มที่กับบทเจ้าหญิงคางุยะซะ ถือว่าเป็นการท้าทายความสามารถทางการที่สูอุตส่าห์เรียนมาตั้งหลายปีก็แล้วกัน อ้อ แล้วอีกอย่างนะ พี่คิดว่านี่น่าจะเป็นการแก้แค้นคนที่ทำร้ายฟางได้อย่างเจ็บแสบเลยทีเดียว"
   
"แก้แค้น? ยังไงหรอพี่ฟิล์ม?"
   
"ก็บทที่ฟางอยากเล่น เป็นบทที่มันอยากเล่นมากที่สุด ถ้าต้องมาทนเห็นคนที่มันเกลียดประสบความสำเร็จในบทเจ้าหญิงคางุยะ รับรองว่ามันต้องเจ็บใจจนกระอักเลือกแน่ : )"
   
นั่นสินะ ทุกอย่างที่พี่ฟิล์มพูดมามันดูมีเหตุผลไปซะหมดเลย จนผมเริ่มที่จะคล้อยตามไปกับพี่ชายตัวเองแล้ว ถ้าไม่ติดว่า...
   
...หน้าของไอ้พี่กัปตันมันแวบเข้ามาในหัวซะก่อน!!
   
ถ้าผมยอมเล่นแต่โดยดี ตัวต้นเหตุของความวุ่นวายในชีวิตผมอย่างไอ้พี่กัปตันจะต้องเริงร่าแน่ๆ แค่คิดผมก็ไม่อยากให้มันเป็นจริงแล้ว! แต่ว่า...
   
"ขอบคุณมากนะพี่ฟิล์ม ไว้ฟางจะลองคิดดูอีกที"
   
...ยังไงก็คงต้องลองคิดดูอีกทีน่ะนะ -..-#

* * * * * * *

วันต่อมา
   
การมาโรงเรียนในวันนี้ของผมแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนหลายคนจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อวานนี้กันหมดแล้ว ถึงขนาดว่ามีการลือกันอย่างจริงจังว่าผมเป็นคู่ขาของไอ้พี่กัปตันจริงๆ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้คนเรามโนกันไปได้ก้าวไกลถึงขนาดนั้น ทั้งที่ในความเป็นจริง พี่กัปตันเพิ่งจะรับรู้การมีตัวตนอยู่ของผมเมื่อวานนี้เอง แล้วจะเอาเวลาไหนไปเป็นคู่ขากันได้? นี่ถ้าเกิดว่าเด็กโรงเรียนผมเอาความมโนไปใช้ในทางที่ถูกที่ควรนะ ประเทศของเราคงจะพัฒนาไปไกลกว่านี้แน่ แบบ... เอาความมโนอันแรงกล้าไปเขียนนิยายให้เก่งๆ จนดังระดับโลกไปเลย ดีมะ =__=!?
   
แล้วก็ไม่ใช่แค่ถูกคนพากันนินทาเท่านั้นนะ พวกรุ่นพี่ผู้ชายที่ปกติก็คิดว่าผม 'ไม่แมน' อยู่แล้ว ต่างก็มากันแวะเวียนมาแซวผมกันอย่างสนุกปาก แถมยังมีอีกหลายคนเข้ามาขอจีบผมอย่างจริงจังด้วย คงจะคิดว่าการที่ผมได้รับบทนางเอก เป็นการเปิดตัวว่าผมเป็นสาวสินะ หึ! คิดผิดแล้วเหอะ ผมน่ะแมนเต็มร้อยเว้ย!!
   
แต่จะว่าไป มันก็ทำให้ผมได้รู้อีกอย่างนึงนะว่า โรงเรียนผมนี่เกย์ชุมจริงเชียว =__=;;
   
ไลน์~!!
   
นี่ก็อีกคน! (กรอกตาบนด้วยความเหนื่อยใจขั้นสุด!) เสียง LINE จากไอโฟนแจ้งเตือนว่ามีคนส่งข้อความหาผมไม่หยุด จนต้องตัดสินใจปิดเสียงให้มันสั่นๆ ไปแทน เห้ออออ~ ผมไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตผมจะวุ่นวายได้ขนาดนี้ มันเริ่มจากเมื่อคืนที่พี่กัปตันโทรเข้ามา เพื่อขู่ผมว่า...
   
   
'เมมเบอร์พี่เอาไว้ซะ แล้วก็รับแอดเฟรนใน Facebook กับใน LINE ด้วย อ้อ แล้วก็ฟอลโล่ Instagram พี่กลับมาด้วย เข้าใจมั้ย?'

   
หึ! ทำยังกับว่าถ้าบอกว่าไม่เข้าใจแล้วจะเสียเวลาอธิบายใหม่อย่างงั้นแหละ!! จริงๆ ผมก็อยากถามเหมือนกันนะว่าไปเอาข้อมูลโซเชียลต่างๆ ของผมมาจากไหน แต่พอเห็นว่าพี่แกจะวางแล้ว เลยไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดไปอีก เพราะแค่นี้ก็รู้สึกเบื่อจะแย่ : (
   
ซึ่งแน่นอนว่าสุดท้ายแล้วผมก็ยอมทำตามที่ไอ้พี่กัปตันบอกทุกอย่าง แม้จะไม่พอใจก็ตามที แต่รู้สึกเหมือนกับว่าขัดคำสั่งอะไรไม่ได้ ก็ผมมันเป็นแค่เด็ก ม.3 จะไปสู้อะไรเด็ก ม.6 ได้เล่า! ที่เห็นจะทำได้ก็มีเพียงแค่... เมมเบอร์โทรศัพท์ของพี่กัปตันว่า 'ไอ้หน้าดุ!' เท่านั้นเอง แล้วถามว่าเขาจะรู้มั้ย? ก็ไม่รู้ไง! แต่ก็อยากทำเพื่อความสะใจส่วนตัว!!
   
พอหลังจากที่ทำตาม 'คำสั่ง' เรียบร้อยแล้ว ชีวิตอันแสนเรียบง่ายของผมก็เปลี่ยนไปในทันที เมื่อพี่กัปตันเล่นส่งข้อความ LINE มารัวๆ จนผมแทบจะตามอ่านไม่ทัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้อความเชิง 'จีบ' น่ะนะ ซึ่งไม่มีทางสำเร็จหรอก เพราะผมไม่ใช่ 'เคะ' นี่ ผมก็เลยได้แค่อ่านผ่านๆ ไปเท่านั้น ที่เห็นจะซีเรียสหน่อยก็ตรงข้อความที่พิมพ์มาว่า...

   
ไอ้หน้าดุ! : ยังไงน้องฟางก็ต้องมาเล่นบทเจ้าหญิงคางุยะให้พี่นะครับ ห้ามดื้อเด็ดขาด ไม่งั้นอย่าหาว่าพี่ไม่เตือนจริงๆ ด้วย : )

   
เออ! ขู่กันเข้าไป!! มีใครจะขู่อะไรผมอีกมั้ย!? ชิ!! แต่จากข้อความนี้ บวกกับสิ่งที่กบและพี่ฟิล์มพูดก็ทำให้ผมได้คิดทบทวนมาตลอดทั้งคืนว่าจะเอายังไงดี จนท้ายที่สุดผมก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า...
   
...ผมจะไม่รับเล่นบทเจ้าหญิงคางุยะเด็ดขาด!
   
จริงอยู่ที่นี่คือโอกาส และมันก็ท้าทายความสามารถอย่างที่พี่ฟิล์มว่า ซึ่งผมเริ่มไม่มายแล้วว่ามันเป็นบทของผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย แต่สิ่งที่ผมรู้สึกมายมากๆ ก็น่าจะเป็นไอ้ตัวผู้กำกับเนี่ยแหละ! ถ้าทำแล้วมันสบายใจ ผมก็อยากที่จะทำนะ แต่เท่าที่ดู... ผมว่าไม่เห็นจะมีวี่แววความน่าสบายใจจากพี่กัปตันเลยสักนิด -^-
   
ตืดดด~!!
   
นั่นไง ส่งมาอีกแล้ว!! ไม่รู้ว่าจะส่งข้อความอะไรมาขู่ผมอีก นี่ผมกลัวจนชักจะเลิกกลัวแล้วนะ!
   
ผมพยายามไม่สนใจแรงสั่นขอไอโฟนในกระเป๋ากางเกง เพราะว่าตอนนี้เป็นเวลาพักเที่ยง และผมอยากจะกินมื้อกลางวันอย่างมีความสุข ฉะนั้น ผมจะไม่เอาข้อความของ 'ไอ้หน้าดุ!' มาทำลายบรรยากาศเด็ดขาด!
   
แต่เอ๊ะ! นั่นมันพี่กัปตันนี่!!!
   
ผมรีบหลบเข้ามุมในทันทีที่เห็นพี่กัปตันนั่งอยู่บริเวณโต๊ะกลางโรงอาหารกับกลุ่มเพื่อนของเขา ซึ่งแต่ละคนตัวสูงใหญ่และหล่อขั้นเทพ แม่ง... น่าอิจฉาชะมัด!
   
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น!
   
ประเด็นคือผมจะอยู่ในโรงอาหารต่อไปได้ยังไง เพราะดูเหมือนกับว่าพี่กัปตันจดจ่ออยู่กับไอโฟนของเขาไม่หยุดเลย ในขณะที่ไอโฟนผมมันก็ดิ้นไม่หยุดเช่นกัน นี่ถ้าเกิดพี่แกเห็นผมขึ้นมา ผมว่าผมโดนหนักแน่ ในเมื่อผมไม่แม้แต่อ่านข้อความเลยด้วยซ้ำ T___T
   
"อ้าวฟาง! มึงอยู่นี่เอง กูหาซะทั่วเลย"
   
ผมสะดุ้งโหยง เมื่อจู่ๆ ไอ้กบที่ตามมาทีหลังก็ร้องทักผมซะเสียงดัง จนผมต้องตะครุบปากมันไว้ แล้วลากออกมาจากโรงอาหารพร้อมกันซะเลย!
   
"เล่นอะไรของมึงวะเนี่ย!" ไอ้กบโวยวายใหญ่ หลังจากที่ผมยอมปล่อยปากมันให้เป็นอิสระ
   
"ก็มึงเรียกกูซะเสียงดังเลย ถ้าเกิดพี่กัปตันเห็นกูขึ้นมา กูซวยแน่!"
   
"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่กัปตันวะ!?"
   
ผมรีบหยิบไอโฟนขึ้นมาเปิดให้ไอ้กบดูจำนวนเลขที่แจ้งเตือนว่ามีกี่ข้อความของพี่กัปตันที่ผมยังไม่ได้เปิดอ่าน จนมันร้องออกมาด้วยความตกใจ
   
"เชี่ย! ทำไมมันเยอะขนาดนี้วะ แล้วอย่าบอกนะว่าไอ้หน้าดุนี่คือ..." ผมพยักหน้ารับ เพราะรู้ว่ากบจะพูดชื่อของใครออกมา "นี่มึงไปทำอะไรให้พี่เขาหรือเปล่าวะเนี่ย!?"
   
"กูเปล่านะเว้ย คงเห็นว่ากูไม่อ่าน เลยรัวมาใหญ่เลย"
   
"งั้นมึงก็รีบเปิดอ่านเถอะ เดี๋ยวพี่เขาหงุดหงิด แล้วตามหามึงทั่วโรงเรียนขึ้นมา ทีเนี้ยล่ะจะยุ่งกันมากกว่าเดิม"
พอเริ่มคิดตามในสิ่งที่ไอ้กบพูด ผมก็รีบเปิดอ่านข้อความของพี่กัปตันในทันที โดยมีกบยืนอ่านอยู่ข้างๆ ... ส่วนใหญ่ก็จะเป็นข้อความออกแนวข่มขู่เรื่องที่ผมไม่ยอมเปิดอ่านข้อความหรือรับสายน่ะนะ แต่พอเลื่อนลงมาจนถึงข้อความล่างๆ กลับกลายเป็นการแจ้งข่าวที่ค่อนข้างสำคัญทีเดียว ไม่น่าล่ะ ทำไมถึงได้รัวข้อความมาเยอะแยะขนาดนี้ -__-;

   
ไอ้หน้าดุ! : เย็นนี้มาที่ชมรมด้วยนะ ทีมคอสตูมจะขอวัดตัวนักแสดงทุกคน เพราะว่าปีนี้งานเลื่อนเข้ามาเร็วกว่าทุกปี คงต้องรีบทำชุดกันแล้ว อย่าลืมล่ะ!

   
แหม~ ขนาดแจ้งข่าวยังจะมีขู่กันตอนท้ายอีกนะ พี่กัปตันนี่ลูกโจรเปล่าวะเนี่ย!?
   
"เออ จริงด้วย เย็นนี้วัดตัวนี่หว่า ไว้เลิกเรียนมึงไปพร้อมกูแล้วกัน"
   
"ไม่อะ"
   
"อ้าว!?"
   
"กูจะไปทำไม ในเมื่อกูตัดสินใจแล้วว่ากูจะไม่เล่น"
   
"แต่ว่า..."
   
"พอเลยไอ้กบ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น กูคิดมาดีละ ว่ากูไม่อยากทำงานกับพวกนาซี!"
   
"นาซี?"
   
"เออ ก็ไอ้พี่กัปตันนี่ไง ขนาดพ่อกับแม่ยังไม่เคยบังคับกูเลย แล้วเขาเป็นใครจะมาบอกให้กูทำนู่นทำนี่!"
นั่นแหละ คือสิ่งที่ผมคิดมาตลอดทั้งคืน และผมจะไม่กลัวอะไรอีกแล้ว ถ้าเกิดว่าพี่เขามีปัญหามากนัก ผมจะให้พี่ฟิล์มมาเคลียร์จริงๆ ด้วย!
   
"เออๆ ตามใจมึงแล้วกัน ว่าแต่... แล้วมึงจะตอบเขายังไงดี อ่านแล้วไม่ตอบกูว่าพี่เขาจะยิ่งอารมณ์เสียกว่าเดิมนะ"
   
"นั่นดิ กูควรพิมพ์อะไรกลับไปดีวะ"
   
"อืม... อ๋อๆ กูรู้ละ"
   
ไอ้กบที่ดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ รีบคว้าไอโฟนจากมือผมไปพิมพ์ตอบพี่กัปตันแทน แล้วสิ่งที่มันตอบกลับไปก็คือ...

(มีต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
FANG FANG FANG !! : ^_^

   
"หน้ายิ้มเนี่ยนะ!?"
   
"เออ หน้ายิ้มเนี่ยแหละ ดีสุด แบบว่า... ก็แค่ยิ้ม ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แล้วแต่พี่เขาจะคิด"
   
"เออๆ ก็ดีนะ ยิ้มก็ยิ้มเว้ย ฮะฮ่า!"
   
ถ้าเกิดว่าพี่กัปตันคิดว่าหน้ายิ้มนั้นคือการตอบตกลง แต่สุดท้ายปรากฏว่าผมไม่ไป คงได้มีคนดีใจเก้อแน่!

เห้อออออ~ สุขใจจัง ^___^

* * * * * * *
   
   
หลังเลิกเรียน

สุดท้าย หน้ายิ้มก็นำพาให้ผมก่อกบฏกับพี่กัปตันจนได้ เพราะหลังจากที่ออดเลิกเรียนดังขั้น ผมก็รีบเก็บของ แล้ววิ่ง 4x100 ออกจากโรงเรียนในทันที ก่อนจะมาแวะพักกินไอศกรีมที่ร้านดังตรงย่านท่องเที่ยวที่ผมอธิบายให้ฟังไปแล้วนั่นแหละ
   
"ไอศรีมรัมเรซิ่นได้แล้วค่ะ"
   
"ขอบคุณครับ"
   
ผมรับไอศกรีมมาจากพี่พนักงานที่นำมาเสิร์ฟด้วยความสุขใจ ไม่รู้ทำไม รู้สึกอะไรๆ ก็ดีไปหมดเลยจริงๆ ^___^

ไอศกรีมร้านนี้ถือเป็นร้านโปรดของผมเลยนะ ปกติผมจะชอบมากินกับไอ้กบ แต่ช่วงนี้คงจะไม่ค่อยได้กินด้วยกันแล้วล่ะ เพราะมันคงจะยุ่งๆ กับละครเวทีแล้ว เห้อออออ~ จะว่าไปก็แอบเสียดายเหมือนกันนะ ถึงแม้ว่าจะตัดสินใจมาดีแล้วก็ตาม แต่พอคิดว่าผมได้ปล่อยความฝันหลุดลอยไป มันก็รู้สึกจี๊ดๆ ยังไงก็ไม่รู้ ... ไม่เอาๆ! ต้องร่าเริงเข้าไว้สิ เรารอดพ้นจากเผด็จการมาได้แล้วนะ เราต้องมีความสุข~!!
   
กรุ๊งกริ๊ง~
   
เสียงกระดิ่งประตูหน้าร้านเป็นสัญญาณว่ามีลูกค้าใหม่เดินเข้ามา แต่มุมที่ผมนั่งอยู่มันหันหลังให้ประตูไง แล้วผมก็กำลังจดจ่ออยู่กับไอศกรีมรัมเรซิ่นของโปรดด้วย เลยไม่ได้...
   
ฟึ่บ!

ชะ...ช้อนหาย!!
   
ผมตกใจมาเมื่อจู่ๆ ช้อนที่ผมกำลังจะจ้วงตักไฮศกรีมก็หาบวับไปกับตา! กว่าจะรู้สึกว่าโดนใครดึงไปก็เกือบสามวินาทีแน่ะ! ทีแรกผมกะว่าจะหันไปโวยเต็มที่เลยนะที่มาขัดความสุขในการกินของผมแบบนี้ แต่พอเห็นว่าเป็น...
   
"พี่กัปตัน!! มาได้ไงเนี่ย!?"
   
พะ...พอเห็นว่าเป็นไอ้หน้าดุ! ผมก็ถึงกับกลืนสิ่งที่ตั้งใจว่าจะโวยลงคอไปอย่างรวดเร็ว
   
"พอดีพี่ออกมาซื้อกาแฟร้านตรงข้ามนี้น่ะ เลยบังเอิญมาเจอคนที่พี่กำลังตามหาอยู่พอดี" นี่สรุปว่าผมโดนตามตัวเจอเพราะร้านเป็นกระจกใสสินะ T__T "ว่าไงครับ มาทำอะไรอยู่ที่นี่ ทำไมถึงไม่อยู่กับกบที่ห้องคอสตูมล่ะ : )"
   
ผมถึงกับเสียวสันหลังวาบเมื่อเจอรอยยิ้มที่แฝงความร้ายกาจของพี่กัปตันเข้าไป มะ...ไม่ได้นะไอ้ฟาง ต้องทำใจดีสู้เสื้อเอาไว้สิ อย่าไปกลัว!
   
"ก็... มากินไอศกรีมไงครับ นี่มันร้านขายไอศกรีมนะ จะให้มากินกาแฟได้ไง จริงมั้ย? ฮ่าๆๆๆ~"
   
ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่เสียงหัวเราะผมโคตรจะฝืดเลย T__T
   
"หรอครับ แล้วมากินไอติม ทำไมต้องเอากระเป๋านักเรียนมาด้วย จะกลับบ้านหรอ?"
   
"ปะ...เปล่านะครับ!" อา... ทำไมถึงต้องโกหกด้วยวะฟาง พูดความจริงไปดิ อย่าไปกลัว! "ก็จาคอปมันแพง กลัวหายไง"
   
เอ่อ... ช่างเป็นคำแก้ตัวที่เนียนมากกกก! (ประชด!!)
   
"ถ้าไม่ได้กลับบ้านก็ดี งั้นไปห้องคอสตูมพร้อมกับพี่เลยก็แล้วกัน : )"
   
ทันทีที่พูดจบ พี่กัปตันคว้าจาคอปของผมไปถือเอาไว้ ก่อนจะใช้มืออีกข้างคว้าข้อมือผมแล้วดึงให้ลุกขึ้นเดินตามไป
   
แต่มีหรอที่ผมจะยอมง่ายๆ งานนี้ผมขอยื้อสุดพลังเลยจริงๆ!!
   
"ปล่อยนะพี่! ผมยังกินไอศกรีมไม่หมดเลย ถ้าพี่จะไปก็ไปก่อนดิ เดี๋ยวผมกินเสร็จผมจะตามไป"
   
"อย่าดีกว่า พี่ไม่ไว้ใจน้องฟางเท่าไหร่ เอาไว้เดี๋ยววัดตัวเสร็จ พี่จะพากลับมากินสักสิบถ้วยเลย โอเคนะครับ : )"
   
"ไม่เอา! ผมไม่ไปกับพี่เด็ดขาด!!"
   
ตอนนี้คนทั้งร้านหันมามองผมกับพี่กัปตันที่ยื้อกันไปมาเป็นตาเดียว แต่... ไม่มีใครเข้ามาช่วยเลย!
   
"อย่าดื้อดิฟาง"
   
"ผมไม่ได้ดื้อ! อะ ผมบอกความจริงพี่ก็ได้ ผมจะกลับบ้าน เพราะว่าผมไม่อยากเล่นละครเวทีให้พี่!!"

"เรื่องนั้นพี่รู้อยู่แล้วแหละ : )"
   
"ถะ...ถ้ารู้แล้วทำไมยังไม่ปล่อยผมไปอีก คนไม่อยากเล่นจะมาบังคับกันได้ยังไงเล่า!"
   
"ก็พี่อยากให้เล่นนี่ จบมะ?"
   
"ไม่จบ! นี่มันเผด็จการชัดๆ ผมไม่เอาด้วยหรอก!!"
   
"อ๋อ ที่แท้ก็อยากได้แบบเผด็จการนี่เอง : )"
   
"จะบ้าหรอ! ผมบอกว่าพี่นั่นแหละเผด็จการ ไม่ได้บอกว่าต้องการเผด็จการ นี่พี่... อ๊ะ! ปล่อยนะ!!"
   
ผมยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ พี่กัปตันซึ่งโคตรจะตัวสูงใหญ่ เผลอๆ จะขนาดเกินเด็กมอหกทั่วไปด้วยซ้ำ ก็ทำการช้อนตัวผมขึ้นพาดบ่าอย่างง่ายดาย ราวกับว่าเป็นเพียงการหยิบผ้าขนหนูขึ้นพาดบ่าเท่านั้น เห้ย! นี่มัน 'ธอร์' หรือ 'ฮัค' วะ เอาดีๆ!

"เผด็จการสมใจยัง หึๆ ทีนี้ก็ไปก็ไปกันได้แล้วนะ"
   
"ปล่อยนะพี่!!"
   
ผมออกแรงใช้มือทุบแผ่นหลังกว้างๆ ของพี่กัปตันรัวๆ สลับกับทุบแบบกำปั้นคู่ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเปล่าประโยชน์ แถมยังเป็นผมที่เจ็บมือซะเอง แต่ถึงอย่างงั้นก็จะหยุดทุบไม่ได้ ต้องทุบอีก ทุบจนกว่าจะรู้สึก!!
   
"เดี๋ยวค่ะ จะพาน้องเขาออกไปไม่ได้นะคะ!"
   
ผมหยุดทุบไปชั่วขณะ ... เมื่อจู่ๆ ก็เหมือนจะมีพี่พนักงานคนนึงมายืนขวางประตูหน้าร้านเอาไว้ สงสัยจะเป็นพลเมืองดีที่ไม่อาจจะทนเห็นความรุนแรงของผู้ชายป่าเถื่อนอย่างไอ้พี่กัปตันได้แน่ๆ เลย >O<!!
   
"ถอยไปเถอะครับ เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับพี่ ผมแค่มาตามรุ่นน้องที่หนีกินกรรมก็เท่านั้นเอง"
   
"ไม่จริงนะครับพี่ อย่าไปฟังนะ!!"
   
ผมพยายามแก้ตัวกับคำโกหกของพี่กัปตัน แต่กลับกลายเป็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เพราะ...
   
"พี่ก็ไม่อยากจะยุ่งหรอกนะคะ แต่น้องคนนี้เขายังไม่ได้จ่ายค่าไอติมเลย พี่ยอมให้น้องเขาออกจากร้านไปไม่ได้หรอกค่ะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ"
   
...พี่เขาแค่มาทวงเงินเท่านั้นเอง T___T
   
"นึกว่าเรื่องอะไร" พี่กัปตันตอบกลับพนักงานไปอย่างใจเย็น "งั้นฝากถือกระเป๋าแป๊บนึงนะครับ" ก่อนจะส่งจาคอปของผมไปให้พี่พนักงานถือไว้ แล้วควักเงินจ่ายเพื่อแลกเอาจาคอปของผมคืนมา "ไม่ต้องทอนนะครับ"
   
"ขอบคุณค่ะ โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ"
   
"แน่นอนครับ : )"
   
แต่ผมไม่! ผมจะไม่กลับมากินร้านนี้อีกแล้ว!! พนักงานห่วงเงินมากกว่าสวัสดิภาพของลูกค้า แย่ๆๆๆ!!!
   
แล้วสุดท้ายพี่กัปตันก็ 'หิ้ว' ผมออกมาจากร้านได้เป็นผลสำเร็จ แม้ว่าผมจะลงมือทุบตีต่อไป แต่กลับได้ยินเพียงเสียงหัวเราะสะใจของพี่แกเท่านั้น
   
คนนี่ก็มองกันใหญ่เลยนะ! และถามว่าช่วยกูมั้ย? ไม่!! ไม่มีใครมีน้ำใจเลยแม้แต่คนเดียว!!! ไม่เห็นหรอว่าผมขัดขืนสุดตัวแล้วนะโว้ยยยยย!!!!
   
"นี่มันอะไรกันกัปตัน!?" เสียงแหลมๆ ที่ฟังดูก็รู้ว่าต้องมาจากเพศทางเลือกแน่ๆ ดังขึ้นในทันทีที่พี่กัปตันเปิดเข้าไปในห้องคอสตูมหมายเลขหนึ่ง (เป็นห้องเสื้อผ้าฝั่งนักแสดงชาย)
   
"เอานางเอกมาให้วัดตัวน่ะ"
   
พี่กัปตันยอมวางผมลงในที่สุดเมื่อมาถึงที่หมายแล้ว ทำให้ผมได้เห็นห้องในมุมมองปกติ ว่าตอนนี้มีนักแสดงชายหลายชีวิตยืนเปลือยท่อนบนให้บรรดาฝ่ายคอสตูมของชมรมวัดตัวอยู่ และก็ทำให้ผมได้เห็นด้วยว่าเจ้าของเสียงที่เป็นเพศทางเลือกนั้นมีหน้าตายังไง
   
จะว่าไปพี่เขาก็ดูเป็นผู้ชายหน้าหวานมากเลยนะ แต่คิ้วนี่โก่งสุด แล้วปากก็แดงมากด้วย เรียกว่าแทบจะดูไม่ออกเลยว่าไม่แมนน่ะนะ =_=;;
   
"นี่น่ะหรอนางเอกที่เขาพูดถึง หน้าหวานเหมือนนะเนี่ย แต่ไม่เห็นว่าจะสาวอย่างที่เขาลือกันเลยนี่"
   
โอ้ว~ ในที่สุดผมเจอแล้วครับ คนที่มองผมออกจริงๆ T___T ก็อย่างว่านะครับ ผีเห็นเห็นผีย่อมดูออกอยู่แล้ว แต่พอดีผมไม่ใช่ผีไง พี่เขาเลยว่าไปตามเนื้อผ้า แบบนี้ค่อยน่าคบหน่อย : )
   
"สวัสดีครับ ผมชื่อฟางนะครับ แล้วพี่..."
   
"อ๋อ ยังไม่รู้จักพี่สินะ พี่ชื่อ 'ตอง' จ้ะ เป็นเฮดคอสตูมของชมรม ว่าแต่เราเถอะ คิดยังไงมารับบทนางเอกล่ะ ไม่ฝืนตัวเองแย่หรอ?"
   
"เป็นคำถามที่ดีมากเลยครับพี่ จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้อยากเล่นหรอก แต่โดนคนเผด็จการบังคับมา!" ประโยคหลังผมจงใจหันไปพูดใส่พี่กัปตันซะเลย ยังไงก็หนีไม่ได้อยู่แล้วนี่ ขอเหน็บไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจแล้วกัน หึ!
   
"อ๋อ แบบนี้นี่เอง เอาน่าๆ ถือซะว่าท้าทายความสามารถก็แล้วกันนะน้องฟาง" พี่ตองวางมือลงบนบ่าผมเพื่อเป็นการปลอบใจ "ยังไงก็มาเริ่มกันเลยดีกว่านะ จะได้ไม่เสียเวลา เดี๋ยวพี่ไปหยิบสายวัดแป๊บนึง ส่วนน้องฟางก็ถอดเสื้อออกเลยนะจ๊ะ" พูดจบแค่นั้น พี่ตองก็เดินไปหยิบสายวัดตามที่บอก ผมก็เลยรีบถอดเสื้อนักเรียนออกซะ จะได้รีบวัดรีบกลับซะที
   
แต่ทันทีที่ผมถอดเสื้อนักเรียนเรียนร้อยแล้ว ผมถึงเพิ่งจะสังเกตว่าตอนนี้นักแสดงชายในห้องหันมามองผมเป็นสายตาเดียว เอ? มองอะไรกันวะ? ผมก็ออกจะเอวบางร่างน้อยขนาดนี้ (พูดแล้วเศร้า) ไม่มีกล้ามให้เห็นเลยแม่แต่นิดเดียว ในขณะที่ประชากรชายส่วนใหญ่ในห้องมีซิกแพคกันแทบจะทุกคน โห~ เดี๋ยวนี้เขางัดกล้ามกับตั้งแต่มัธยมเลยสินะ เอ๊ะ!? หรือที่ทุกคนมองผม เป็นเพราะว่า... เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ตัวใหญ่กันหมดไง ผู้ชายที่ตัวเล็กๆ ก็เลยเหมือนกลายเป็นจุดเด่นขึ้นมาอะไรอย่างงี้ -..- ไม่เอานะ ผมยังไม่พร้อมถูกผู้ชายด้วยกันเองอิจฉา แค่ผู้หญิงอย่างพี่แบมแบมคนเดียวก็เกินพอแล้ว! (มโน!)
   
"มองอะไรไม่ทราบจ้ะกัปตัน"
   
พี่ตองที่เดินมาพร้อมกับสายวัดตัวกล่าวทัก ทำให้ผมเพิ่งจะสังเกตว่าพี่กัปตันเองก็จ้องหุ่นผมอยู่เหมือนกัน
   
"มองไม ไม่เคยเห็นคนตัวเล็กหรอ!?" ผมกวน พร้อมๆ กับที่ยกแขนขึ้นให้พี่ตองพันสายวัดตัวบริเวณช่วงอก
   
"เปล่า"
   
"บอกว่าเปล่าแต่ก็ยังมองไม่เลิกเนี่ยนะ!?"
   
ผมตั้งท่าจะหาเรื่องพี่กัปตันสักตั้ง แต่กลายเป็นว่าพี่ตองเป็นฝ่ายห้ามทัพขึ้นมาซะก่อน
   
"เอาน่าๆ อย่าไปถือสากัปตันมันเลยนะ" พี่ตองพูดกับผมอย่างใจเย็น จนผมรู้สึกเกรงใจขึ้นมาเลย ก่อนที่พี่เขาจะหันไปพูดอะไรกับพี่กัปตันแบบที่ให้ได้ยินกันแค่สองคน "หิวหรอกัปตัน? อยากกินเนื้อแมวน้อยหรือไงจ๊ะ?"
   
แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ยังอุตส่าห์ได้ยินคำว่า 'แมว' ด้วยนะ เอ? สงสัยพี่ตองคงจะแอบเม้าท์กับพี่กัปตันแน่เลยว่าตาของผมเหมือนแมวน่ะ เห้ออออ~ เกิดเป็นผู้ชายแต่ตาแบ๊วเหมือนแมวนี่มันก็น่าหนักใจเหมือนกันนะ เมี๊ยววววว~!!

จบบทที่ 3


แฮมสเตอร์ : ขอบคุณที่อ่านนะครับ ถ้าหากชอบ หรืออยากพูดคุยถึงเรื่องนี้ในทวิตเตอร์
ฝากรบกวน #บทนางเอก ด้วยนะครับ

ถึงคุณเด็กเลี้ยงแมว : ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นเรื่อง 'ปลดกลางอากาศ' นะครับ ผมได้ทำการแก้ไขแล้ว ขอบคุณมากจริงๆ ครับ  :hao5:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-12-2016 16:33:55 โดย Hamzholic »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
กัปตันนี่แอบหลงรักน้องฟางหรือเปล่าน้าาา หึหึ ตื๊อน้องขนาดนี่เนี่ย

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
แมวน้อยยังไม่รู้ตัววววว

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2

ก่อนเปิดม่านครั้งที่สี่
ตัดสินใจ


หลังจากที่ทำการวัดตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผมจะต้องทำก็คือให้ช่างภาพมาเก็บรูปซ้ายขวาหน้าหลังทั้งแบบครึ่งตัวและแบบเต็มตัวเอาไว้ เพื่อใช้เป็นภาพอ้างอิงในการทำงานของฝ่ายเมคอัพและคอสตูม แล้วเมื่อภาระหน้าที่ทุกอย่างเสร็จสิ้น ผมก็อาศัยจังหวะที่พี่กัปตันเผลอ รีบใส่เสื้อผ้า คว้าจาคอป แล้วออกจากตึกชมรมการแสดงในทันที! โดยไม่แม้แต่จะบอกลาไอ้กบเลยด้วยซ้ำ เพราะผมมีคติในการหลบนี้ครั้งนี้ว่า 'อย่าประมาท จนกว่าจะขึ้นแท็กซี่เรียบร้อยแล้ว!' เนื่องจากศัตรูตัวร้ายอาจตามเราจนพบได้ทุกเมื่อ ยิ่งพอเห็นประตูโรงเรียน ผมยิ่งรีบจ้ำอ้าวใหญ่เลย เพราะถ้าเป็นในหนังนะ ตัวละครมักจะถูกตัวร้ายฆ่าตายช่วงที่เกือบจะออกจากประตูได้สำเร็จทุกที และ...
   
"หยุดก่อนฟาง!!"
   
...โดนหาเจอจนได้ T__T!!
   
ผมยอมหยุดตามคำสั่ง เพราะคิดว่าขืนวิ่งหนีไปก็เหนื่อยเปล่า แค่พี่กัปตันก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวผมแล้วแหละ สู้หันไปยอมรับชะตากรรมซะ แล้วใช้ชีวิตตามที่คนบนฟ้าลิขิตเอาไว้ดีกว่า ไหนๆ ก็ไม่เคยหนีพ้นเลยนี่ : (
   
"พี่รู้ได้ไงว่าผมหนีออกมา"
   
"พอดีตอนที่ฟางออกจากตึก พี่เดินออกมายืนตรงระเบียงพอดีน่ะ บังเอิญเนอะ : )"
   
ใช่ โคตรบังเอิญ ยิ่งกว่ามีกล้องตามติดอีก!!
   
"โอเค พี่จะเอายังไงก็ว่ามาเลย ผมขี้เกียจจะวิ่งหนีพี่แล้ว หนียังไงก็หนีไม่พ้นสักที!"
   
ผมพูดออกไปด้วยความเหลืออด รู้สึกเหนื่อยใจยังไงก็ไม่รู้ มันอึดอัด อยากให้มันจบๆ ไปสักที ในเมื่อว่ายทวนน้ำไม่ได้ ก็ไหลตามน้ำไปเลยแล้วกัน จะพัดพาไปทางไหนก็ตามใจเจ้าเอย -^-
   
"แล้วฟางเป็นอะไร ทำไมต้องหนีพี่ด้วย นี่พี่ไม่ได้จะมาชวนทะเลาะนะ แต่อยากจะมาคุยกันดีๆ เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันจนถึงตอนนี้ พี่ว่าเรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะ" ก็แหงล่ะ ในเมื่อตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน พี่ก็พาความวุ่นวายมาให้ผมไม่รู้จักจบจักสิ้น! "พี่ทำอะไรให้ฟางไม่พอใจในตัวพี่ขนาดนั้นเลยหรือไง?" ...แถมยังกล้ามาถามคำถามนี้อีก ไม่รู้ตัวเลยหรือไงวะ!?
   
"ก็ได้ ในเมื่อพี่อยากจะฟัง ผมก็จะบอกให้ เพราะว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน พี่ก็นำพาความวุ่นวายมาให้ผมมากมาย ผมบอกว่าผมขอแคสติ้งบทจักรพรรดิมิคาโดะ แต่พี่กลับยัดเยียดบทเจ้าหญิงคางุยะมาให้ จนกระทั่งผมโดนแฟนพี่แบมแบมต่อยเพราะพวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นคู่ขาของพี่ และเราสองคนร่วมมือกันทำให้แบมแบมแคสไม่ผ่าน!"
   
ผมชี้ให้พี่กัปตันดูรอยช้ำจากการถูกต่อยแบบชัดๆ ซึ่งพอรู้แบบนั้นพี่กัปตันก็ถึงกับอึ้งไปเลย หึ! "แต่เรื่องบทนั่นก็ส่วนหนึ่ง เพราะผมเกือบจะใจอ่อนยอมเล่นอยู่แล้วแหละ ถ้าไม่ติดว่าผู้กำกับคือพี่!!"
   
"..."
   
"พี่เอาแต่บังคับผม ขู่ผม ทำเหมือนเป็นเจ้าชีวิตผม ซึ่งผมไม่สบายใจเลยสักนิดเดียวที่ต้องร่วมงานกับพี่ ผมคอยเอาแต่คิดว่า... พี่จะเล่นงานผมเมื่อไหร่? จะขู่ผมอีกมั้ย? หรือนำพาความเดือดร้อนอะไรมาให้ผมอีก?!"
   
"..."
   
"เหมือนความสุขของผมมันหายไปหมดเลยนับตั้งแต่เจอพี่เมื่อวาน เพราะว่าพี่คือต้นเหตุของความวุ่นวายในชีวิตผม รู้ไว้ซะด้วย!!"
   
"..."
   
…ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมกลายเป็นฝ่ายพูดเอาๆ ราวกับคนขาดสติ ในขณะที่พี่กัปตันยืนฟังนิ่งๆ ไม่เถียงอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว ... นี่เหมือนกับว่าพี่เขาต้องการจะมาคุยกันดีๆ อย่างที่บอกจริงๆ นะเนี่ย?
   
"เงียบทำไมล่ะ!? มีอะไรก็พูดออกมาเลยสิ ผมหมดเรื่องที่จะพูดแล้ว"
   
จริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากจะพูดจาหาเรื่องพี่กัปตันหรอกนะ แต่พอเขาเอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา มันก็ทำให้อารมณ์ที่ไม่คงที่ของผมพุ่งขึ้นไปสูงได้อีกเหมือนกัน : (
   
"พี่... ขอโทษ"
   
"..."
   
แล้ว... จู่ๆ ก็กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินก็หลุดออกมาจากปากของพี่กัปตัน นี่... พี่เขาพูดว่า 'ขอโทษ' อย่างงั้นหรอ!? แถมท่าทีก็ยังดูอ่อนลงกว่าเดิมด้วย??
   
"ขอโทษสำหรับทุกๆ เรื่องที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่ไอ้ทีมมันต่อยฟาง ไว้เดี๋ยวพี่จะไปจัดการมันให้เอง"
   
นั่นไง มาสไตล์ 'จัดการให้' อีกคนนึงละ -_-^
   
"พอเลยพี่ ห้ามไปแก้แค้นอะไรทั้งนั้น ต่างคนต่างอยู่ ไม่งั้นก็ไม่จบไม่สิ้นสักที ดีไม่ดีพี่ไปต่อยเขาคืน แต่เขากลับมาต่อยผมต่อ จะทำไงล่ะ เพราะฉะนั้นห้ามเด็ดขาดเลยนะ"
   
"แล้วแบบนี้พี่จะสามารถทำอะไรเพื่อเป็นการรับผิดชอบให้ฟางได้บ้างล่ะ?"
   
"ทำอะไรอย่างงั้นหรอ? อืม..." เวรกรรม! พอเจอพี่กัปตันโหมดพูดดีทำดีนี่มันก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกันนะ ไม่คิดเลยว่าพี่แกจะมีมุมรู้จักผิดชอบชั่วดีอะไรแบบนี้ด้วย นึงว่าเก่งแต่ขู่ชาวบ้านไปวันๆ ซะอีก -_-^ "ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากให้พี่ทำอะไรให้ แต่ไหนๆ พี่ก็ขอโทษผมแล้ว งั้นเอาเป็นว่า... ผมยกโทษให้พี่ก็แล้วกัน"
   
เออ กูนี่ก็โกรธง่ายหายเร็วดีเนอะ =_=;
   
"ง่ายๆ แบบนี้เลยหรอ?"
   
"อื้ม ง่ายๆ แบบเนี้ยแหละ ขอแค่ผมรู้สึกสบายใจ ผมก็ไม่ขออะไรอีกแล้ว ^_^"
   
นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมยิ้มให้กับพี่กัปตันด้วยใจจริง ไม่คิดไม่ฝันเหมือนกันว่าจะมีอารมณ์แบบนี้กับพี่เขาด้วย แต่จากการที่เขามีท่าทีอ่อนลง และยอมพูดคำว่าขอโทษ มันก็ทำให้ผมรู้สึกว่าจริงๆ แล้วพี่กัปตันก็ไม่น่าจะใช่คนเลวร้ายอะไรนัก??
   
"แต่พี่คิดว่าสำหรับพี่มันยังไม่พอนะ"
   
"อ้าว แล้วพี่จะให้ผมทำยังไงดีล่ะ?" ก็ผมคิดไม่ออกจริงๆ นี่นาว่าจะให้พี่กัปตันมารับผิดชอบอะไร จะใช้โอกาสนี้ขอเล่นบทจักรพรรดิมิคาโดะก็คงไม่แน่ เอ๊ะ! หรือว่าได้นะ -..-?
   
"ไม่ต้องทำอะไรเลยครับ เพราะพี่ตัดสินใจแล้ว ว่าจะขอรับผิดชอบฟางในแบบของพี่เอง"
   
"ในแบบของพี่?"
   
"ใช่แล้วครับ : )"
   
"ยังไงอะ?"
   
"ก็... นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พี่จะขอรับผิดชอบในสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นกับฟาง โดยการดูแลเราเป็นอย่างดีจนกว่างานละครเวทีเรื่อง Kaguya-Hime จะปิดม่านการแสดงลง และจะคอยไปรับไปส่งน้องฟางที่บ้านทุกๆ วันด้วย ดีมั้ย : )"
   
"ไม่ดีครับ!"
   
ผมรีบตอบแบบไม่ต้องคิดเลย เพราะนั่นหมายความว่าพี่กัปตันจะต้องมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของผมตลอดระยะเวลาการทำงานละครเลยนะ แบบนี้มันจะไม่วุ่นวายยิ่งกว่าเดิมหรอกหรอ!?
   
"แต่พี่ว่าดี เพราะฉะนั้น ขอสรุปตามนี้ จบนะ : )"
   
"ไม่ๆ ไม่จบ นี่พี่เริ่มจะใช้อำนาจเผด็จการอีกแล้วนะ!"
   
เมื่อกี้ที่ชมไปว่าพี่เขาน่าจะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ผมขอคืนทันปะ!?
   
"ไม่ได้เผด็จการสักหน่อย พี่ก็แค่อยากรับผิดชอบในแบบของพี่เท่านั้นเอง"
   
"แต่พี่เล่นทำตามความต้องการของตัวเองฝ่ายเดียว โดยไม่สนใจความต้องการของผม มันก็คือเผด็จการนั่นแหละ!"
   
"ฮ่าๆๆๆ~ โอเค งั้นพี่ยอมเป็นคนเป็นเผด็จการก็ได้" O_o เอ้า! ดูพูดเข้า!? แล้วก็ไม่ใช่แค่พูดอย่างเดียวด้วยนะ ยังมีการดึงจาคอปผมไปถือเอาไว้เองด้วย "เริ่มจากวันนี้เลย เดี๋ยวพี่นั่งแท็กซี่ไปส่งที่บ้านเอง : )" …ก่อนจะเดินนำหน้าไปเลยโดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของผมอีก...!
   
ให้ตายเถอะ! นี่ผมคิดผิดใช่มั้ยที่ยอมยกโทษให้พี่กัปตันง่ายๆ น่ะ เลยกลายเป็นว่านอกจากจะได้ตัวเผด็จเข้ามาวุ่นวายในชีวิตแล้ว ยังได้พี่ชายมาเพิ่มอีกคนด้วย =___=!!
   
เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ! เยี่ยมจริงๆ!!

* * * * * * *

วันต่อมา

สรุปเมื่อวานนี้พี่กัปตันก็นั่งรถแท็กซี่มาส่งผมที่บ้านตามที่พี่เขาต้องการ เอาจริงๆ มันทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยน้อยลงนะ เพราะนั่นหมายความว่าต่อจากนี้ผมจะไม่สามารถหนีเขากลับบ้านได้อีก เนื่องจากเขารู้พิกัดของผมเรียบร้อยแล้ว =_=;;
   
แต่ก็เอาเถอะ ตามใจก็แล้วกัน อยากทำอะไรก็ทำไป แล้วอย่ามาบ่นเหนื่อยที่ต้องคอยนั่งรถย้อนไปย้อนมาก็แล้วกัน หึ!
   
"วันนี้มีอะไรกันจ๊ะน้องรัก"
   
พี่ฟิล์มที่เพิ่งจะลงมาจากห้องนอนถามขึ้นทันทีที่เห็นว่าผมไปถึงขึ้นตอนของการตักอาหารเข้าปากแล้ว ก็นะ อย่างที่รู้ๆ กันว่าเราสองคนไม่มีพ่อและแม่แล้ว เพราะฉะนั้นหน้าที่ทำงานหาเงินก็เป็นของพี่ฟิล์มไป ส่วนผมคอยรับผิดชอบทุกอย่างในบ้าน ไม่เว้นแม้แต่การทำครัว เนื่องจากแม่ฝากวิชาเอาไว้ที่ผมมากกว่าพี่ฟิล์มน่ะนะ
   
"วันนี้ฟางทำข้าวต้มกุ้ง เห็นพี่ฟิล์มบ่นอยากกินหลายวันแล้วนี่"
   
"โอ้ เยี่ยมเลย ขอบใจมากนะน้องรัก" พี่ฟิล์มรีบเดินเข้ามายีหัวผมด้วยท่าทางดีใจ ก่อนจะเดินเข้าครัวไปตักข้าวต้ม เอ่อ... เดี๋ยวนะ การยีหัวนี่คือวัฒนธรรมการขอบคุณของพี่ฟิล์มหรอ =_=!?
   
ติ๊งต่อง~
   
แต่ในขณะที่ผมกำลังจะตักข้าวต้มกุ้งคำสุดท้ายใส่ปาก จู่ๆ เสียงออดหน้าบ้านก็ดังขั้นมาซะก่อน เอ? ใครกันนะ มาหาแต่เช้าเลย??
   
"ใครมาน่ะ" พี่ฟิล์มตะโกนถามจากในครัว
   
"ไม่รู้เหมือนกันพี่ เดี๋ยวฟางไปดูก่อน"
   
ติ๊งต่อง~
   
ผมรีบวิ่งออกมาที่หน้าบ้านเลยเมื่อคนมาเยือนตัดสินใจกดกริ่งเป็นครั้งที่สอง และนั่นก็ทำให้ผมพบว่าคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านก็คือ...พี่กัปตัน!
   
"พี่กัปตัน!"
   
"มอร์นิ่งครับ พี่มารับแล้ว : )"
   
พี่กัปตันกำลังยืนเกาะรั้วอยู่หน้าบ้าน โดยมีแท็กซี่ที่พี่เขานั่งมาจอดรอยู่ด้านหลัง และเพราะว่าเป็นแบบนั้น ผมจึงค่อนข้างกังวลอย่างมาก เพราะกลัวว่าพี่ฟิล์มจะเดินออกมาดูซะก่อน!
   
"โอเคพี่ เดี๋ยวผมรีบไปหยิบจาคอปก่อน ส่วนพี่ก็ขึ้นไปรอบนรถเลยนะ โอเคมั้ย!?"
   
"อะ...โอเค เดี๋ยวพี่จะขึ้นไปรอบนรถ"
   
พี่กัปตันถึงกับงงไปเลยที่ผมดูรีบร้อน และระวังหลังอยากประหลาด แต่ผมไม่มีเวลาอธิบายมากไปกว่านี้ จึงตัดสินรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน คว้าชามข้าวต้มที่กินเสร็จแล้วเข้าไปเก็บในครัว ซึ่งขณะนี้พี่ฟิล์มกำลังหาของบางอย่างอยู่แถวๆ ที่วางเครื่องปรุง
   
"ใครมาน่ะฟาง?" พี่ฟิล์มถามขึ้นโดยที่ยังตั้งหน้าตั้งตาหาของต่อไป
   
"อ๋อ... ไอ้กบน่ะพี่ฟิล์ม" ผมตัดสินใจโกหกโดยใช้ชื่อไอ้กบ… "พอดีมันนั่งแท็กซี่ผ่านมาทางนี้ ก็เลยมารับแวะฟางไปด้วยกันเลย" …แม้ว่าบ้านของมันจะอยู่คนละทางกับผมก็ตาม แต่ก็นะ พี่ฟิล์มเขาจำไม่ได้หรอก ก็ผมเคยเล่าให้ฟังแค่ครั้งเดียวเองนี่นา -..-;
   
"เอ๊ะ แต่บ้านกบมันอยู่คนละทางกับบ้านเราเลยนะ?"
   
กรรม! พี่ฟิล์มจำได้ด้วยอะ พี่ใครทำไมความจำดีเยี่ยงนี้ T__T
   
"เอ้อออ~ นั่นสินะ ทำไมมาทางนี้ได้" เผลอขึ้นเสียงสูงอะ T^T "ไว้เดี๋ยวจะลองถามมันดูนะ แหะๆ เอาเป็นว่า... ฟางไปโรงเรียนก่อนแล้วกัน"
   
"เดี๋ยว!"

(มีต่อด้านล่าง)


ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2

ซะ…ซวยแล้วววว~ พี่ฟิล์มต้องจับได้แน่เลยว่าผมโกหก ถึงได้ห้ามผมเอาไว้น่ะ T__T ไม่ได้นะๆ ผมต้องเนียนให้มากกว่านี้สิ!
   
"มะ...มีอะไรหรอพี่ฟิล์ม?"
   
"อ๋อ พอดีจะถามว่าขวดพริกไทยอยู่ไหนน่ะ พี่หาไม่เจอเลย"
   
ฟู่ววววววววว~ โล่งไป ที่แท้ก็จะถามเรื่องขวดพริกไทยนี่เอง T___T
   
"พอดีขวดเก่ามันหมดน่ะ พี่ฟิล์มหยิบขวดใหม่ได้เลย"
   
"อ้อ โอเคๆ ไปโรงเรียนเถอะ"
   
"คร้าบ~"
   
ผมตอบรับพี่ฟิล์ม ก่อนจะรีบออกจากครัวขึ้นไปหยิบจาคอปบนห้องนอน แล้วลงมาขึ้นรถแท็กซี่ที่จอดรออยู่หน้าบ้านในทันที ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความตื่นเต้น เพราะผมกลัวว่าถ้าเกิดพี่ฟิล์มเดินออกมาดูแล้วเห็นว่าไม่ใช่กบนี่เป็นเรื่องแน่ >__< กว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติก็ตอนที่รถออกนั่นแหละ!
   
"เป็นอะไรไป ทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้น" พี่กัปตันไม่ทนเก็บความสงสัยอีกต่อไป รีบถามขึ้นทันทีที่ผมเริ่มมีท่าทีผ่อนคลายกว่าตอนแรก
   
"ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่กลัวว่าพี่ชายผมจะมาเห็นพี่น่ะ เมื่อวานก็โชคดีที่พี่มาส่งผมตอนพี่ฟิล์มไม่อยู่บ้าน ไม่งั้นโดนจับเข้าห้องสอบสวนแน่!"
   
"ขนาดนั้นเลยหรอ?"
   
"อาจจะยิ่งกว่านั้นก็ได้ ถ้าเป็นพี่น่ะ"
   
"อ้าว! ทำไมอะ!?"
   
"ก็หน้าพี่มันไม่น่าไว้ใจนี่"
   
"ยังไงวะ!?"
   
"ก็หน้าดุๆ แบบพี่ ใครเห็นเขาก็นึกว่าโจรชัวร์!"
   
"หึๆ เหรอออ~ เดี๋ยวเหอะ!"
   
ฮะฮ่า~ สะใจจัง กัดพี่กัปตันไปได้หนึ่งดอก >O< แต่ไอ้เรื่องที่ผมบอกว่า 'เข้าห้องสอบสวน' นี่เรื่องจริงนะ เพราะพี่ฟิล์มหวงผมมากเลย ใครที่เข้ามายุ่งกับผมต่างก็ต้องผ่านการตรวจสอบจากพี่ชายผมทั้งนั้น ขนาดไอ้กบยังเคยโดนเลย แล้วพี่กัปตันจะไปเหลืออะไร แถมพี่กัปตันนี่ก็เป็นคนที่ผมไม่อยากให้เจอกับพี่ฟิล์มมากที่สุดด้วย รู้สึกเหมือนถ้าเจอกันแล้วมันจะจบไม่สวยยังไงก็ไม่รู้ =__=?
   
"ว่าแต่พี่มารับผมทำมั้ยเนี่ย ก็บอกไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วไงว่าไม่ต้องมารับ ไม่ฟังกันบ้างเลย" ผมตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง
   
"พี่ก็บอกฟางไปแล้วว่ายังไงพี่ก็จะมารับ ไม่ฟังกันบ้างเลย : )"
   
แน่ะๆ มีย้อนนะ!
   
"ไม่รู้ล่ะ วันหลังไม่ต้องมารับแล้วนะ ... นี่! ฟังอยู่รึเปล่าเนี่ย!?" ผมถึงกับต้องวีนขึ้นมาเลย เมื่อหันไปเห็นว่าพี่กัปตันไม่ได้สนใจสิ่งที่ผมพูดเลยสักนิด แต่กลับกำลังรื้อของในกระเป๋าเป้อยู่แทน
   
"ฟังสิ แต่ฟางก็รู้นี่ว่ายังไงพี่ก็จะมารับ ลืมไปแล้วหรอว่าพี่มันพวกเผด็จการน่ะ"
   
เอออออ ให้มันได้อย่างงี้สิ =__=!!
   
"เออ ตามใจแล้วกัน แต่วันหลังช่วยโทรมาก่อนล่วงหน้าด้วย ผมจะได้เตรียมตัวทัน รู้มั้ย?"
   
"รับทราบครับ" ยังดีนะที่ยังพอฟังกันอยู่บ้าง ว่าแต่หาอะไรในกระเป๋าเป้นักหนา หาไม่เลิกสักที!
   
"แล้วนั่นพี่กำลังหาอะไรอยู่น่ะ?"
   
"อ๋อ พี่กำลังหา... อ๊ะ เจอละ นี่ไง" ทันทีที่บอกว่าหาเจอแล้ว พี่กัปตันก็หยิบของสิ่งนั้นออกมายื่นให้ผมดู...!
   
"ลูฟี่!!"
   
สิ่งที่อยู่ในมือของพี่กัปตันตอนนี้ทำให้ผมคลั่งเอามากๆ!! *O* เพราะมันคือพวกกุญแจตุ๊กตารูป 'ลูฟี่' ตัวละครจากการ์ตูนเรื่อง 'One Piece' ที่ผมชอบมาก เห็นแบบนี้ผมเป็นทาส One Piece นะครับ >__<
   
"เอาไปสิฟาง พี่ให้"
   
"ให้? ให้ผมหรอ!?"
   
"ก็ใช่น่ะสิ"
   
ผมงง จู่ๆ พี่กัปตันก็วางพวงกุญแจลูฟี่ลงบนมือผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม มันทำให้ผมรู้สึกหวาดๆ นิดหน่อยกับของขวัญที่ไม่มีที่ไปแบบนี้
   
“ให้ผมเนื่องในโอกาสอะไรครับเนี่ย?"
   
"ไม่มีอะไรมากหรอก พอดีเมื่อวานพอกลับจากส่งฟาง พี่แวะไปซื้อของที่ห้าง แล้วเจอพวงกุญแจลูฟี่ขายอยู่ พี่เห็นว่ามันน่ารักดี เลยกะว่าจะซื้อมาให้แทนคำขอโทษน่ะ"
   
"แล้วพี่รู้ได้ไงกันว่าผมชอบลูฟี่?"
   
"อ๋อ พอดีพี่โทรไปถามไอ้กบมันน่ะ : )"
   
อ้าววว ขายเพื่อนนี่หว่าไอ้กบ!!
   
"อย่างงั้นเองหรอครับ อ๊ะ ว่าแต่เมื่อวานพี่ก็ขอโทษผมไปแล้วนี่ แล้วผมก็อภัยให้พี่แล้วด้วย ทำไมถึงยังซื้อมาให้ผมอีกล่ะ?"
   
ถึงแม้ว่าจะอภัยง่ายไปหน่อยก็เถอะนะ -__-
   
"แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกันนะ" พี่กัปตันเริ่มจริงจัง จนผมเองที่ยังจูนตัวเองตามไม่ทัน ได้แต่มองพี่แกอึ้งๆ ... นี่จะมาไม้ไหนเนี่ย? "พี่คิดมาทั้งคืนแล้วนะฟาง ว่าระหว่างเรามันเริ่มไม่ค่อยสวยเท่าไหร่นัก เพราะพี่มัวแต่บังคับให้ฟางทำนู่นทำนี่ โดยเฉพาะ... เรื่องรับบทเจ้าหญิงคางุยะน่ะ"
   
"..."
   
"แต่ฟางเองก็น่าจะรู้ว่าละครเวทีเรื่องนี้มันสำคัญกับพี่มาก เพราะมันจะเป็นผลในการยื่นสอบตรงเข้ามหา'ลับด้านกำกับการแสดงของพี่ด้วย พี่ก็เลยอยากทำมันออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่พี่จะทำได้ และแน่นอนว่าการเลือกนักแสดงมาเล่นก็เป็นสิ่งที่พี่จะพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว"
   
"..."
   
"บอกตรงๆ ว่าพี่เป็นกังวลกับนักแสดงที่จะมารับบทเจ้าหญิงคางุยะตั้งแต่ตอนเริ่มเขียนบทแล้ว เพราะคนที่พี่อยากได้ก็ดันไปเล่นละครอีกเรื่องนึง จนพี่ต้องตัดสินใจดึงแบมแบมมา ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดและเสียเวลามาก"
   
"..."
   
"พี่มืดแปดด้านไปหมด จนกระทั่ง... ฟางเดินเข้ามาในชมรม และแสดงความยอดเยี่ยมให้พี่ได้เห็น วินาทีนั้นพี่บอกกับตัวเองว่า... ยังไงก็ต้องทำให้ฟางยอมเล่นให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดก็ตาม"
   
"..."
   
"แต่จากเหตุการณ์เมื่อวานที่ฟางระบายความในใจออกมา มันทำให้พี่ได้สติ ว่าสิ่งที่พี่ทำลงไปมันไม่ถูกต้อง พี่ไม่ควรจะไปปังคับใจใครให้มาแสดงในบทที่เขาไม่อยากเล่นจริงๆ"
   
"..."
   
"เพราะฉะนั้น ครั้งนี้พี่อยากจะขอร้องฟาง ได้โปรดช่วยพิจารณาบทเจ้าหญิงคางุยะจากใจจริงดูอีกสักครั้ง โดยคราวนี้พี่จะไม่บังคับจิตใจอะไรฟางทั้งนั้น ถ้าสุดท้ายแล้วฟางตัดสินใจว่าจะเล่น ก็ถือเป็นโชคดีของพี่ที่ได้นักแสดงที่เยี่ยมยอดมารับบทนี้ แต่ถ้าไม่... พี่ก็จะทำใจยอมรับ แล้วหานักแสดงใหม่มาเล่นแทน"
   
"..."
   
"ฟางยังไม่ต้องรีบตอบพี่ตอนนี้ก็ได้นะ เก็บไปนอนคิดดูสักคืน ไว้ได้คำตอบเมื่อไหร่ ค่อยบอกพี่ก็แล้วกัน"
   
เอ่อ... เอาล่ะ ยอมรับก็ได้ว่าผมพูดอะไรไม่ออกเลยแม่แต่คำเดียว… เพราะทุกคำพูดของพี่กัปตันทั้งอ่อนโยนและจริงจังจนผมไม่กล้าแทรก นี่ถือเป็นอีกครั้งที่พี่หน้าดุทำให้ผมประหลาดใจ นับจากเรื่องคำขอโทษเมื่อวานนี้ ราวกับว่า... พี่กัปตันที่เคยขู่ให้ผมเล่นบทเข้าหญิงคางุยะได้ตายไปจากโลกนี้เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่นายหน้าดุคนใหม่ที่พูดจาน่าฟังแทน แต่ก็นะ บางครั้งมันก็ค่อนข้างลำบากสำหรับผมที่จะตัดสินใจอะไรในทันที นี่ถือเป็นนิสัยเสียอย่างนึงของผมเลยนะ ไอ้เรื่องโลเลไม่ค่อยกล้าตัดสินใจเนี่ย ขนาดว่าเลือกไปซ้าย ยังมานั่งพะวงขวาเลย เพราะฉะนั้น...
   
"ได้ครับ ไว้ผมจะลองคิดดูให้แน่ใจอีกที"
   
"โอเค ขอบใจมากนะฟาง ที่ยังไม่รีบปฏิเสธตั้งแต่ตอนนี้"
   
"ครับ ผมเองก็ขอบคุณสำหรับลูฟี่เหมือนกัน"
   
ทั้งผมและพี่กัปตันกล่าวขอบคุณกันไปมา รู้ตัวอีกทีก็เผลอยิ้มให้กันอยู่ตั้งนานสองนาน จนผมเป็นฝ่ายหลบตามามองลูฟี่ที่อยู่ในมือแทน เอ่อ… จะว่าไป...
   
พวงกุญแจนี่ยิ่งดูก็ยิ่งน่ารักนะ (._.)

* * * * * * *

พักกลางวัน
   
ผมรู้สึกตกใจมากที่จู่ๆ พี่กัปตันก็โทรหาผมในช่วงพักเที่ยงเพื่อบอกข่าวว่า 'อาจารย์วารุณี' เรียกพบที่ห้องสมุดตอนนี้เลย ... มันทำให้ผมรู้สึกตื่นๆ แต่ก็ต้องรีบตรงไปยังสถานที่นัดหมายในทันที ซึ่งพอมาถึงก็เห็นว่าพี่กัปตันยืนรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว
   
"เกิดอะไรขึ้นหรอครับพี่ ทำไมอาจารย์ต้องเรียกพวกเรามาพบด้วย?"
   
"พี่เองก็ไม่รู้เหมือน แต่เราเข้าไปกันเถอะ"
   
"ครับ"
   
พี่กัปตันนำทางผมเดินไปยังมุมสงบของห้องสมุดอย่างรู้งาน แล้วก็ได้พบอาจารย์วารุณีนั่งอยู่บนโซฟาลายดอกกุหลาย โดยมี...พี่แบมแบมนั่งอยู่ที่พื้น!
   
ทำไมถึงอยู่ด้วยกันได้!?
   
เอาจริงๆ ผมน่ะ ไม่ได้รู้จักกับอาจารย์วาวารุณีเป็นการส่วนหรอกนะครับ แต่อาจารย์เขาก็เป็นอาจารย์ที่โดดเด่นมากๆ ในโรงเรียนแห่งนี้ เพราะเป็นอาจารย์ที่มีนิสัยค่อนข้างวัยรุ่น ประจำตำแหน่งอยู่ที่ห้องสมุด แต่ก็คอยจัดกิจกรรมต่างๆ จนกลายเป็นเจ้าแม่แห่งกิจกรรมที่เด็กนักเรียนพากันเข้าหาเยอะมาก และที่สำคัญที่สุดคืออาจารย์แกเป็นอาจารย์ประจำชมรมการแสดงด้วย ซึ่งอย่างหลังสุดเนี่ยแหละ ที่ทำให้ผมออกอาการตื่นๆ ขึ้นมาเลย! ก็แหม เหนือผู้กำกับยังมีอาจารย์ที่ปรึกษานะครับ T__T
   
"อ้าว มากันแล้วหรอ นั่งสิๆ" อาจารย์วารุณีกล่าวด้วยน้ำเสียงใจดี ทั้งผมและพี่กัปตันก็เลยนั่งลงกันพื้นด้านหน้าโซฟาเหมือนกับพี่แบมแบม แต่ถึงน้ำเสียงจะใจดียังไง ผมก็ยังตื่นๆ อยู่ดีนั่นแหละ เพราะว่าตอนนี้อาจารย์แกจ้องมองมาที่ผมเต็มๆ จนผมต้องเป็นฝ่ายก้มหน้าหนีซะเอง
   
"อาจารย์เรียกผมมามีอะไรรึเปล่าครับ" ต่างจากพี่กัปตันที่เริ่มถามอาจารย์อย่างเป็นกันเอง
   
"ครูก็อยากจะเรียกพวกเราทั้งสามคนมาคุยถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น เพราะเห็นเด็กในชมรมมันพูดกันว่าพวกเราสามคนมีปัญหากัน จริงมั้ย?"
   
ตายๆๆ อาจารย์เรียกมาคุยเรื่องละครเวทีจริงๆ ด้วย แล้วผมเป็นคนนอกชมรม จะเป็นอะไรมั้ยเนี่ย!?
   
"จริงค่ะอาจารย์ มันมีปัญหาเกิดขึ้นจริงๆ" พี่แบมแบมนั่นเองที่เริ่มเปิดประเด็น ทำเอาพี่กัปตันหันไปมองนิ่งๆ "หนูแคสไม่ผ่าน ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่เหมาะสมกับบท แต่แล้วกัปตันก็มอบบทให้กับน้องคนนี้ ซึ่งดูยังไงก็เหมาะสมน้อยกว่าหนูอีก น้องเขาเป็นผู้ชายนะคะอาจารย์ แค่คุณสมบัติข้อนี้ก็ไม่ผ่านแล้ว หนูก็เลยคิดว่าเรื่องนี้มันต้องไม่มีอะไรชอบมาพากลแน่ๆ"
   
เอาอีกแล้ว มโนอีกแล้วววว!!
   
"ครูฟังความจากแบมแบมมาเยอะแล้ว ทีนี้ครูอยากฟังความจากฝั่งกัปตันบ้าง ในฐานะที่ครูไว้ใจให้เราเป็นผู้กำกับ ไหนบอกมาซิว่ามันจริงอย่างที่แบมแบมว่าหรือเปล่า?" อาจารย์วารุณีหันมาถามฝ่ายกัปตัน ทำให้ผมรู้สึกดีที่อาจารย์เขาเป็นคนฟังความจากทั้งสองฝ่าย ไม่ได้ลำเอียงเหมือนอาจารย์บางท่าน
   
"เรื่องที่ว่าผมไม่เลือกแบมแบมเพราะว่าไม่เหมาะสมนั่นเป็นเรื่องจริงครับ แต่ไอ้เรื่องที่ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากันนั้น ผมสาบานเลยว่าไม่มีแน่ๆ" พี่กัปตันเว้นจังหวะหันไปมองพี่แบมแบมแวบนึง ก่อนจะหันกลับมาพูดกับอาจารย์วารุณีต่อ "จริงอยู่ที่ผมตัดสินใจเลือกแบมแบมตั้งแต่แรก แต่ใครๆ ก็เห็นกันทั้งนั้นว่าแบมแบมยังไม่เหมาะกับบทบาทนี้ ซึ่งผมเองก็รู้มาตั้งแต่ตอนเลือกแบมแบมแล้ว เลยพยายามให้โอกาสอยู่หลายครั้ง และพยายามแนะนำแนวทางให้ แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะแบมแบมไม่ฟังผมเลย"
   
อาจารย์วารุณีได้ฟังความดังนั้นก็หันมาหาพี่แบมแบมทันที "จริงหรอแบมแบม นี่เธอเป็นนักแสดงที่ไม่ฟังผู้กำกับหรอเนี่ย?"
   
"เอ่อ... คือ..."
   
จริงๆ อาจารย์วารุณีก็เปิดช่องให้พี่แบมแบมได้แก้ตัวแล้วน่ะนะ แต่สุดท้ายพี่แบมแบมก็ทำให้ทุกอย่างพังลง เพราะไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอะไรออกมาดี ก็นะ แบบนี้เขาเรียกว่ารู้อยู่แก่ใจไง!
   
"คงจะจริงสินะ เห้ออออ~ งั้นก็แสดงว่าแบมแบมคงจะไม่เหมาะสมกับบทนี้จริงๆ แต่ถึงอย่างงั้นแบมแบมก็พูดถูก ถ้าแบมแบมไม่เหมาะสม น้องคนนี้ก็คงไม่เหมาะด้วย เพราะขาดคุณสมบัติเรื่องเพศไป ตรงนี้เรามีอะไรจะแก้ตัวมั้ยล่ะกัปตัน"
   
คำถามตกมาอยู่กับพี่กัปตันอีกครั้ง ซึ่งผมก็เดาไม่ออกจริงๆ ว่าพี่กัปตันจะอธิบายเรื่องนี้ยังไงดี หรือจะต้องให้ผมแสดงให้อาจารย์วารุณีดูกันนะ!?
   
"มีสิครับ" พี่กัปตันยิ้ม ก่อนจะหยิบไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกง ผมสงสัยมากว่าพี่เขาจะทำอะไร แต่สุดท้ายพี่เขาก็เปิดอะไรบางอย่างให้อาจารย์วารุณีดู...?
   
"อะไรน่ะ?" อาจารย์วารุณีเองก็รับไอโฟนจากพี่กัปตันไปด้วยความสงสัยเช่นกัน ตอนนี้แม้แต่พี่แบมแบมก็เริ่มนั่งไม่ติดแล้ว คงจะสงสัยเหมือนกันกับผมสินะ
   
"นี่เป็นคลิปที่สมาชิกในชมรมคนนึงถ่ายไว้ครับ ก่อนที่จะส่งมันให้ผม เป็นคลิปการแคสติ้งของน้องฟางในวันนั้น ผมอยากให้อาจารย์ดูเองเลยครับ ว่าน้องเขาเหมาะสมกับบทนี้มั้ย ถ้าอาจารย์บอกว่าไม่เหมาะสม เป็นอันว่าผมมองผิดเอง แล้วผมจะรีบเปลี่ยนนักแสดงให้ทันทีเลยครับ"
   
คลิปแคสติ้งของผมงั้นหรอ!? แล้วจะให้อาจารย์วารุณีดูเนี่ยนะ จะดีหรอพี่กัปตัน!!?
   
"อ๋อ..." แต่ไม่ทันแล้วล่ะ เพราะพอฟังพี่กัปตันพูดจบ อาจารย์วารุณีก็เปิดคลิปดูในทันที
   
พอคลิปถูกเปิด ผมก็ไม่กล้ามองหน้าใครอีกต่อไปแล้ว... ความรู้สึกมากมายตีกันในตัวผมไปหมด! ยิ่งพอได้ยินเสียงของตัวเองที่ดังออกมาจากคลิป ผมก็ยิ่งก้มหน้าต่ำลงเรื่อยๆ นี่ถ้ามุดพื้นหายไปได้ ผมทำไปแล้วเนี่ย!!
   
…จนกระทั่งคลิปจบลงนั่นแหละ ผมถึงได้รู้สึกหายใจหายคอคล่องขึ้นมาบ้าง ก่อนที่จะเริ่มตื่นๆ อีกครั้งเมื่ออาจารย์วารุณีพุ่งเป้ามาที่ผมแทน!
   
"เราน่ะ ชื่ออะไร ไหนเงยหน้ามาคุยกับครูซิ" ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปตามคำสั่งของอาจารย์วารุณี พอเห็นว่าอาจารย์แกกำลังยิ้มแย้มอยู่ มันก็ทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง
   
"ผะ...ผมชื่อฟาง อยู่มอสามทับเจ็ดครับ"
   
"โอ้ อยู่แค่มอสามเองหรอเนี่ย?"
   
"ครับ"
   
"ครูอยากจะบอกว่า... เราน่ะแสดงได้เยี่ยมจริงๆ จนครูลืมภาพผู้ชายของหนูไปเลย"
   
"เอ่อ... ขอบคุณครับอาจารย์"
   
"ดีแล้วล่ะ ที่ได้นักแสดงนอกชมรมที่เก่งขนาดนี้มาร่วมแสดงกับเราด้วย ครูเข้าใจแล้วว่าทำไมกัปตันถึงได้เลือกน้องคนนี้ เพราะฉะนั้น ครูไฟเขียวจ้ะ ส่วนแบมแบมก็... รีบไปแคสติ้งบทที่เหมาะสมกับหนูซะนะ ก่อนที่จะไม่มีบทเล่นเลย"
   
อาจารย์วารุณีคืนไอโฟนให้กับพี่กัปตันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส จนพี่กัปตันต้องหันมายิ้มให้กับผม ซึ่งผมเองก็ยิ้มด้วยความโล่งใจเช่นกันที่ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี แม้ว่าผมเองยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะรับเล่นบทเจ้าหญิงคางุยะก็เถอะ แต่พอทุกอย่างจบลงด้วยดี ผมก็สบายใจ เว้นเสียแต่ว่า...
   
"เดี๋ยวก่อนค่ะอาจารย์ ยังมีอีกเรื่องนึงที่อาจารย์ต้องรู้"
   
...จะมีมารมารมาพจนน่ะนะ!
   
จู่ๆ พี่แบมแบมก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม จนอาจารย์วารุณี ผม และพี่กัปตันมองไปที่พี่เขาอย่างพร้อมเพรียง
   
"ว่าไง มีอะไรอีกที่ครูต้องรู้" คราวนี้อาจารย์วารุณีถามออกไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายใจ คงจะเอือมที่พี่แบมแบมไม่ยอมจบสักที
   
"ก็ความจริงที่ว่าน้องเขาไม่ได้อยากเล่นบทเจ้าหญิงคางุยะน่ะสิคะ"
   
"ไม่อยากเล่น?"
   
"ใช่ค่ะ น้องเขาไม่อยากเล่น เพราะบทที่น้องเขาอยากเล่นจริงๆ คือบทจักรพรรดิมิคาโดะ แต่กัปตันเห็นว่าไม่เหมาะสม เลยออกอุบายว่าให้น้องเขาแสดงบทเจ้าหญิงคางุยะเพื่อแคสติ้งบทจักรพรรดิมิคาโดะแทน แล้วพอเห็นว่าน้องเขาเล่นได้ดี ก็เลยบังคับให้น้องเขารับบทเจ้าหญิงคางุยะซะ ทั้งๆ ที่ตอนนั้น น้องเขายังโวยวายกับกัปตันอยู่เลย" พี่แบมแบมเว้นจังหวะ หันมามองพี่กัปตันด้วยสายตาของคนที่ถือไพ่เหนือกว่า "ขนาดเมื่อวานที่วัดตัดนักแสดง ทุกคนยังเห็นเลยค่ะว่ากัปตันหิ้วน้องเขามา โดยที่น้องเขาไม่ได้เต็มใจเลยสักนิด!"
   
"จริงหรอกัปตัน!?" อาจารย์วารุณีเปลี่ยนเป้าหมายไปที่พี่กัปตันบ้าง ซึ่งพี่กัปตันเองก็เป็นพวก 'รู้ดีอยู่แก่ใจ' เลยทำได้เพียงก้มหน้ารับกรรมไปเท่านั้น "น่ะ...นี่มันเรื่องจริงหรอเนี่ย!? งั้นก็แสดงว่ามีการบังคับข่มขู่กันจริงๆ น่ะสิ ใช่มั้ยฟาง?"
   
พอเห็นว่าพี่กัปตันไม่ตอบอะไร ผมก็เลยเป็นเป้าหมายต่อไปที่อาจารย์วารุณียิงคำถามใส่แทน... เอาไงดีล่ะไอ้ฟาง? ควรจะตอบยังไงออกไปดี ในเมื่อแกเองก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าควรจะรับบทเจ้าหญิงคางุยะดีมั้ย แล้วจะเอาอะไรไปแก้เกมพี่แบมแบมเพื่อช่วยพี่กัปตันดีล่ะเนี่ย?? เอ๊ะ! หรือว่าไม่สมควรจะต้องช่วยดีนะ!?
   
"คือ..." ผมลากเสียงยาวอย่างใช้ความคิด ตั้งใจจะหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่กัปตัน แต่ตอนนี้พี่แกก็กลายสภาพเป็นผู้กระทำความผิดที่ไม่กล้ามีปากมีเสียงไปซะแล้ว ... เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน!! "จริงครับ"
   
ทั้งอาจารย์และพี่กัปตันตกใจทันทีที่ผมตอบออกไปแบบนั้น ในขณะที่พี่แบมแบมยิ้มร่า
   
"เห็นมั้ยคะอาจารย์ ว่าสิ่งที่หนูพูดมันคือความจริง : )"
   
"จริงอย่างที่แบมแบมบอกนั่นแหละครับ ว่าผมไม่ได้อยากเล่นบทเจ้าหญิงคางุยะตั้งแต่แรก แต่เพราะว่าแสดงได้ดี ก็เลยถูกพี่กัปตันบังคับให้เล่น"
   
"เพราะแบบนี้หนูเลยต้องมายอมเล่นให้ ทั้งๆ ที่เป็นบทผู้หญิงสินะ" อาจารย์วารุณีถามออกมาด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้ก็เลยดูเหมือนว่าความผิดจะตกไปอยู่กับพี่กัปตันเต็มๆ ... แต่ถึงอย่างงั้น ผมก็ไม่มีทางปล่อยให้พี่แบมแบมยิ้มร่าได้นานหรอก...!
   
"ก็ไม่เชิงนะครับ..." เอาล่ะฟาง ได้เวลาแก้เกมแล้ว! "จริงๆ แล้ว พอผมได้รู้ว่าตัวเองเหมาะกับบทเจ้าหญิงคางุยะ ทัศนคติที่ผมมีต่อบทนี้ก็เปลี่ยนไป จนผมเริ่มคิดว่าอยากที่จะเล่นมันขึ้นมา เพียงแต่ว่า... ติดที่พี่กัปตันเขาชอบบังคับผม ผมก็เลยไม่สะดวกใจที่จะแสดงนัก ซึ่ง... ก็ถือว่าพี่กัปตันเขาก็ดีนะครับ ที่ในที่สุดเขาก็ยอมฟังความคิดเห็นของผม และปล่อยให้ผมตัดสินใจเอง"
   
"เอ้า! แล้วสรุปว่าพี่กัปตันเขาบังคับหรือไม่ได้บังคับหนูกันแน่!? ครูงง"
   
"ก็... ตอนแรกบังคับนะครับ แต่ตอนหลังเราเคลียร์กันเรียบร้อยแล้ว" ผมหันไปมองพี่กัปตันที่ตอนนี้พี่เขาก็หันมามองผมอยู่เหมือนกัน คงจะแปลกใจสินะที่ผมไม่ได้ใส่ความจนเขากลายเป็นตัวร้ายน่ะ
   
"เราแน่ใจนะ ว่าไม่มีการบังคับกันแล้วจริงๆ"
   
"แน่ใจครับ เพราะเรื่องที่แบมแบมพูด..." ผมหันไปมองพี่แบมแบมด้วยสายตาของคนที่ถือไพ่เหนือกว่าบ้าง "...มันก็แค่ปัญหาที่จบไปแล้วน่ะครับ"
   
“แต่ว่า…!” พี่แบมแบมเตรียมเถียงเต็มที่ แต่อาจารย์วารุณีขัดขึ้นซะก่อน
   
"เอาล่ะๆ ถ้าสิ่งที่หนูพูดเป็นความจริง งั้นช่วยบอกครูอีกทีซิ ว่าสรุปแล้วจะรับบทเจ้าหญิงคางุยะมั้ย?"
   
…คำถามที่อาจารย์วารุณีถามมาไม่ได้มีความซีเรียสสำหรับท่านเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับต้องการเน้นย้ำเพื่อความแน่ใจเท่านั้น เพราะคิดว่าผมพูดมาถึงขนาดนี้ ก็คงจะรับเล่นร้อยเปอร์เซ็นแล้ว … ในขณะที่ผมกับพี่กัปตันหันมามองหน้าอย่างรู้กันว่าคำถามนี้มันไม่ใช่คำถามธรรมดา เนื่องจากเราคุยกันแล้วเมื่อเช้าว่าพี่กัปตันจะให้ผมตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยจะไม่บังคับจิตใจกันอีกต่อไป
   
แต่พอเป็นคำถามจากปากของอาจารย์ ผมก็ไม่อาจที่จะยื้อเวลาได้อีก มีแต่ต้องตอบให้ชัดเจนว่า 'เล่น' หรือ 'ไม่เล่น' เท่านั้น … นี่นับว่าเป็นการตัดสินใจที่กระชั้นชิดจนคนชอบโลเลอย่างผมเริ่มสติแตก!
   
เอาไงดีฟาง เล่นหรือไม่เล่นดีนะ!?
   
แต่ในขณะที่ผมกำลังพยายามตามใจตัวเองอยู่นั้น จู่ๆ... ภาพของพวงกุญแจตุ๊กตาลูฟี่ก็ตัดเข้าหัวผมแรงมาก! จนทำให้ผมคิดไปถึงสิ่งที่พี่กัปตันพูดกับผมเมื่อเข้านี้บนรถแท็กซี่...
   
เห้อออออ~~ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ... บางที่มันอาจจะเป็นสิ่งที่ฟ้าลิขิตมาแล้วก็ได้ ที่ทำให้พี่กัปตันมา 'ติดสินบน' กับผม ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ในตอนนี้ขึ้น มันก็เลยทำให้ทัศนคติที่มีต่อผู้กำกับเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เพราะในเมื่อ... ผมไม่มายกับบทผู้หญิง แถมยังสบายใจกับผู้กำกับแล้ว คำตอบมันก็คงมีอย่างเดียวละล่ะ...
   
"ผมจะเล่นบทเจ้าหญิงคางุยะแน่นอนครับ : )"

จบบทที่ 4

แฮมสเตอร์ : ขอบคุณที่อ่านนะครับ ถ้าหากชอบ หรืออยากพูดคุยถึงเรื่องนี้ในทวิตเตอร์
ฝากรบกวน #บทนางเอก ด้วยนะครับ


ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
เล่นสิดี ท้าทายดีออก ฟาง นักแสดงที่แสดงได้ทุกบทน่ะ เก่งจะตาย
ฟางก็บอกครูไปด้วยสิว่า ทีมกับแบมแบม ต่อยอ่ะ ^^

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2

ก่อนเปิดม่านครั้งที่ห้า
ก็คง.. ไม่ต่างกันหรอก!?


"พี่จะให้แฟนพี่มาจัดการกับน้องแน่ ค่อยดู!!"
   
ทันทีที่เราเดินออกมาจากห้องสมุด พี่แบมแบมก็หันมาข่มขู่ผมด้วยสีหน้าที่ร้ายกาจมาก มันทำให้ผมนึกถึงพวกพวกนางร้ายในละครหลังข่าวอะไรแบบนั้นเลย แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าผมไม่กลัวหรอกนะ บ้านเมืองมีขื่นมีแป ถ้าคนอย่างพี่ทีมมันไม่กลัวฝ่ายปกครอง มันก็ต้องกลัวตำรวจบ้างล่ะวะ!
   
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบโต้พี่แบมแบมให้สาสม พี่กัปตันที่ยื่นอยู่ด้านหลังก็จัดการโต้ตอบแทนซะก่อน
   
"ก็เอาสิแบมแบม เชิญเลย แต่ขอบอกไว้ก่อนนะ ว่าถ้าเกิดเรื่องอะไรกับฟาง โดยที่ฉันจับได้ว่าเธอเป็นต้นเหตุล่ะก็ ฉันจะฟ้องอาจารย์วารุณีทันที รับรองเลยว่างานละครประจำปีจะไม่มีแม้แต่เงาของเธอแน่ เผลอๆ อาจจะมีประวัติด้านลบติดตัวไว้ยื่นเข้ามหา'ลัยด้วยนะ ดีมะ?"
   
พอได้ฟังดังนั้น สาวขี้วีนถึงกับดิ้นใหญ่เลย! แต่เพราะว่ากลัวพี่กัปตันจะเอาจริงขึ้นมา พี่แกเลยกระทืบเท้าหนีไปแทน
   
เห้ออออออ~ บางคนนี่สวยแต่รูปจริงๆ นะ =__=
   
"ขอบคุณนะครับ" ผมหันไปขอบคุณพี่กัปตัน เมื่อพี่แบมแบมตัวร้ายเดินหายไปแล้ว
   
"ไม่ต้องขอบคุณหรอก พี่ต่างหากที่ต้องขอบคุณฟาง ^__^"
   
พระเจ้า~! ถ้าผมหยิบไอโฟนขึ้นมาถ่ายรูปพี่กัปตันยังจะทันมั้ยนะ!? เพราะว่าตอนนี้บนใบหน้าของพี่แกถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มที่ดูแปลกตามาก! มันคือรอยยิ้มแบบที่คนมีความสุขเขายิ้มกันจากใจจริงๆ ทำเอา 'ไอ้หน้าดุ' กลายเป็นผู้ชายสดใสร่าเริงไปเลย O_O!
   
ว่าแต่...
   
"ทำไมต้องขอบคุณผมด้วย ผมยังไม่ได้ทำอะไรให้พี่กัปตันเลยนะ?" ผมถามด้วยความสงสัยแบบจริงจัง
   
"ใครว่าล่ะ ก็เรื่องที่ฟางช่วยแก้ตัวให้พี่ แล้วก็เรื่องที่ฟางตอบตกลงเล่นบทเจ้าหญิงคางุยะกับอาจารย์วารุณีไง"
   
"อ๋อ นึกว่าเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องนั้นก็ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ เพราะผมเน้นตามใจตัวเองเป็นหลักอยู่แล้ว : )"
   
ผมยิ้มกลับไปให้พี่กัปตันบ้าง เป็นเชิงบอกให้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ก็ผมเคยบอกไปแล้วนี่ ขอแค่สบายใจ ผมก็ไม่ขออะไรอีกละ
   
"ว่าแต่... ทำไมถึงตัดสินใจตอบตกลงล่ะ ทั้งๆ ที่เราคุยกันแล้วว่าพี่จะให้ฟางลองคิดดูอีกสักคืนนึงนี่"
   
มันก็จริงน่ะนะ แต่ตัดสินใจแบบนี้ก็ดีไปอย่าง บางที่คิดเยอะไปอาจจะยิ่งเพิ่มความโลเลไปอีกก็ได้ จริงมะ?
   
"จริงๆ ในหัวผมคิดหลายอย่างมากเลยนะพี่ เรื่องบทก็ส่วนนึง เรื่องผู้กำกับก็ส่วนนึง แต่เอาเข้าจริง มันมีบางอย่างที่ช่วยให้ผมสามารถตัดสินใจได้จากความรู้สึกที่แท้จริงด้วย"
   
"อะไรหรอ?"
   
"ความเชื่อมั่นไงพี่ ^-^ สิ่งที่พี่พูดกับผมเมื่อเช้านี้ ทำให้ผมเห็นว่าแท้จริงแล้วพี่เชื่อมั่นในตัวผมมากกว่าที่ผมเชื่อมั่นในตัวเองซะอีก ถึงได้ยอมยกบทที่สำคัญขนาดนี้มาให้แสดง ซึ่งเอาจริงๆ นะ ในชีวิตผมน่ะ มีคนที่เชื่อมั่นในตัวผมไม่มากนักหรอก นอกจากพ่อแม่ที่เสียชีวิตไปแล้ว กับพี่ชายแท้ๆ อีกหนึ่งคน นอกนั้น... ก็คงจะมองว่าผมเป็นแค่ไอ้เด็กผู้ชายหน้าหวานที่เอาแต่เพ้อฝันไปวันๆ น่ะนะ" ผมยิ้ม แม้ว่าสิ่งที่พูดออกไปมันจะชวนให้รู้สึกเศร้าใจอยู่เหมือนกัน แต่ผมก็ยังคงยิ้ม และยิ้มให้กว้างขึ้นอีก เพื่อที่รอยยิ้มนี้จะได้สามารถสู้กับรอยยิ้มของพี่กัปตันที่ค่อยๆ กว้างขึ้นเรื่อยๆ ได้ ^__^ "อ้อ แล้วอีกอย่างนึง พวงกุญแจตุ๊กตาลูฟี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลในการตัดสินด้วยนะ : )"
   
“…”
   
“…”
   
มาถึงตรงนี้... ทั้งผมและพี่กัปตันต่างฝ่ายต่างเงียบไปเลย เพราะมัวแต่ยืนยิ้มให้กันจนลืมไปแล้วว่ารอบๆ ตัวมีนักเรียนเดินเข้าออกห้องสมุดกันพลุกพล่านไปหมด แต่ก็เอาเถอะ ถ้าความเศร้าคู่กับการร้องไห้ ความสุขมันก็ต้องคู่กับการยิ้มน่ะนะ : )
   
ไลน์~!!
   
แต่บางทีเราก็จำต้องหยุดยิ้มเพื่อทำอย่างอื่นต่อไปเช่นกัน -_-;; โดยเฉพาะเวลาที่มีคนทัก LINE มาแบบนี้…

   
Frog Prince : อยู่ไหน? คุยกับอาจารย์เสร็จยัง ตอนนี้กูอยู่ที่ห้องแล้วนะ
   
ไอ้เจ้าชายกบนั่นเองที่ส่งข้อความมา ทำให้ผมได้เห็นว่าใกล้ถึงเวลาเข้าเรียนในช่วงบ่ายแล้ว คงต้องแยกกับพี่กัปตันแค่นี้ล่ะนะ
   
"ใกล้หมดเวลาพักเที่ยงแล้ว งั้นผมไปก่อนนะ"
   
"อ๋อ โอเค" พี่กัปตันพยักหน้า ... แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้โบกมือลาเลยด้วยซ้ำ พี่แกก็ยกมือขึ้นห้ามผมซะก่อน
   
"อะไรครับพี่ มีอะไรอีกรึเปล่า?"
   
"พี่แค่จะบอกว่า หลังเลิกเรียนเจอกันที่สวนหย่อมหน้าโรงเรียนนะ เดี๋ยวเย็นนี้พี่ไปส่งที่บ้านเหมือนเดิม"
   
"ถ้าเป็นเรื่องนั้น... ไม่ต้องก็ได้นะพี่ ผมกลับเองได้ ลำบากพี่เปล่าๆ"
   
"ก็บอกแล้วไงว่าจะไปส่ง อย่าดื้อสิ"
   
เดี๋ยวๆๆ ใครกันแน่นะที่ดื้อไม่เลิกน่ะ =_=;;
   
"ไม่ได้ดื้อซะหน่อย!"
   
"ถ้าไม่ดื้อก็ไปรอตามที่พี่บอก ตกลงตามนั้น"
   
"ไม่ตกลงได้ปะ!?"
   
"ไว้เจอกันตอนเย็นนะ พี่ไปล่ะ : )" พูดจบ พี่กัปตันก็โบกมือลาแล้ววิ่งไปหาเพื่อนที่กำลังจะเดินขึ้นตึกไปเลย โดยไม่ยอมฟังเสียงคัดค้านผมอีกแล้ว!
   
เผด็จการ เผด็จการ! เผด็จการ!!

* * * * * * *

หลังเลิกเรียน
   
แม้ว่าผมจะไม่ชอบในความเผด็จการก็ตามที แต่สุดท้ายผมก็มาตามที่พี่กัปตันนัดอย่างเสียไม่ได้ คงเป็นเพราะ... ผมไม่อยากมีปัญหาล่ะมั้ง -..-!?
   
แต่จะว่าไป วันนี้พี่กัปตันก็คงมาช้าหน่อยน่ะนะ เพราะได้ยินจากไอ้กบว่ามีการประชุมทีม Kaguya-Hime กันแบบกะทันหันเลย ซึ่งเรื่องจริงแล้วผมก็ต้องไปประชุมกับพวกเขาด้วย แต่ติดที่ว่าชมรมรักการอ่านของผมก็ดันนัดประชุมกะทันหันเหมือนกัน เลยกลายเป็นว่าต่างฝ่ายต่างมาตามนัดเลทกว่าเวลาจริงค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว โดยเฉพาะพี่กัปตันที่ยังคงไร้วี่... อ๊ะ! นั่นไง มานู่นแล้ว ... ตายยากจัง : )
   
พี่กัปตันโบกมือให้ผมแต่ไกล โดยที่พี่แกเดินมาพร้อมกับรุ่นพี่ผู้ชายอีกคนที่ผมคุ้นหน้ามาก ย้ำเลยว่าคุ้นมากๆ! แต่ไม่รู้จัก =__=;
   
“รอนานมั้ยฟาง ^^”
   
“ไม่นานหรอกพี่” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ “ผมก็เพิ่งจะมาถึงไม่นานนี้เอง ว่าแต่... ประชุมวันนี้เป็นไงบ้างพี่ มีเรื่องอะไรที่ผมจำเป็นต้องรู้หรือเปล่า?”
   
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก พอดี...” พี่กัปตันเว้นจังหวะเล็กน้อย เพื่อหยิบแผ่นกระดาษที่อยู่ในแฟ้มส่งให้ผม “พอดีทำตารางซ้อมเสร็จแล้วน่ะ ก็เลยนัดแจกกันวันนี้ซะเลย แล้วก็คุยก็คุยรายละเอียดกันนิดหน่อย ประมาณว่าให้ตั้งใจซ้อมบทกันให้มากๆ อะไรแบบเนี้ยแหละ”
   
“อ๋อ~”
   
ผมก้มลงมองตารางซ้อมที่พี่กัปตันส่งมาให้ โห~ ตารางแน่นเหมือนกันนะเนี่ย แล้วก็จะเริ่มซ้อมกันวันจันทร์ที่จะถึงนี้แล้วด้วย อา~ ตื่นเต้นเหมือนกันนะเนี่ย วันจันทร์นี้แล้วหรอ >O<!!
   
“เป็นอะไรทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ?”
   
“ไม่มีอะไรหรอกพี่ พอดีผมตื่นเต้นน่ะ ว่าแต่...” คราวนี้ผมหันไปสนใจรุ่นพี่ผู้ชายที่ยืนเงียบอยู่ด้านหลังพี่กัปตันบ้าง
   
…เขาเป็นรุ่นพี่ผู้ชายที่จัดว่าหล่อขั้นเทพเลยนะ ออกแนวหนุ่มตี๋แต่ว่าตาโตน่ะ จมูกนี่ก็โคตรโด่ง แถมยังมีร่างกายที่สูงใหญ่เหมือนพี่กัปตันอีกด้วย ผู้ชายพวกนี้นี่พ่อแม่ให้กินยักษ์ตั้งแต่เกิดเลยหรอเปล่านะ!? (อิจฉาๆๆๆ!!) แต่ถ้าจะให้เทียบกันแล้ว รุ่นพี่คนนี้ก็ค่อนข้างต่างกับพี่กัปตันมากทีเดียว เพราะพี่กัปตันนี่เขาจะเป็นสไตล์คมๆ เข้มๆ แบบ ‘บอย ปกรณ์’ แต่พี่เขาจะมาดคุณชายเหมือน ‘ณเดชน์ คูกิมิยะ’
   
ส่วนผม... เมี๊ยววววว~!! เหมือนแมวไงครับ! แบ๊วได้อีกกกกกกกกก~ =__=!!
   
ซึ่งพอเห็นว่าผมมองไปทางคนที่มาด้วย พี่กัปตันก็คว้าคอเขามาแนะนำให้ผมได้รู้จักทันที! O_O พระเจ้า! นี่ดีนะที่หน้าตาพี่อีกคนดูยิ้มแย้มเต็มใจน่ะ ถ้าหน้าบึ้งมาล่ะก็ มีหวังผมได้ศัตรูเพิ่มอีกคนแน่! โทษฐานอยากรู้จักจนทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความวุ่นวาย (จากการโดนคว้าคอ) น่ะ!!
   
“ไอ้นี่ชื่อ ‘ตะวัน’ เป็นเพื่อนสนิทพี่เอง แล้วก็เป็นคนที่จะมารับบทจักรพรรดิมิคาโดะด้วย ส่วนมึง... นี่น้องฟาง คงจะรู้จักดีอยู่แล้วนะ”
    
O_O เฮ้ย!! พี่คนเนี้ยน่ะหรอที่จะมารับบทจักรพรรดิมิคาโดะน่ะ โอ้ววววว~ ว่าแล้วว่าทำไมผมถึงคว้าบทนี้มาไม่ได้ ก็ในเมื่อเจ้าของเดิมเขาเป๊ะซะขนาดนี้ หน้าตาก็ดี รูปร่างก็สูงใหญ่ แถมยังมาดคุณชายอีก เรียกว่าเหมาะสมกับบทแทบทุกอย่าง จนผมถึงกับต้องร้องออกมาเป็นเพลงในใจว่า... เปรียบเทียบกับเขามันคนละชั้น ต่างกันมากไป~ ทำดีแค่ไหน ทำดีเท่าไหร่ ก็ไม่มีวัน~~~ T_T
   
“สวัสดีครับน้องฟาง ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ^^” พี่ตะวันพูดกับผมด้วยใบหน้ายิ้มอย่างแบบเป็นกันเอง จนผมกล้าที่จะทักตอบไปบ้าง
   
“สวัสดีครับพี่ตะวัน ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะครับ”
   
“ได้ข่าวว่าจริงๆ แล้วฟางอยากเล่นบทจักรพรรดิมิคาโดะใช่มั้ย?”
   
“อ๋อ ใช่ครับ แต่พอได้มาเห็นพี่ตะวันแล้ว ผมต้องยอมยกธงขาวเลยจริงๆ ฮ่าๆๆ~ เข้าใจแล้วล่ะว่านักแสดงที่เหมาะสมกับบทมันเป็นยังไง เอาไว้ผมจะคอยเป็นกำลังใจให้นะครับ สู้ๆ ^^”’
   
“ฮ่าๆๆๆ~ พี่เองก็ยังต้องพยายามอีกมาก เอาไว้เราสองคนมาพยายามไปด้วยกันนะ เพราะยังไงฟางก็ต้องมาเป็นนางเอกของพี่อยู่แล้วนี่”
   
“อย่าพูดแบบนั้นเลยพี่ ผมขนลุกยังไงก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆๆ~”
   
“เออ นั่นดิ ขนลุกจริงๆ ด้วย ฮ่าๆๆๆ~”
   
เอาเป็นว่าตอนนี้ผมได้มิตรมาเพิ่มหนึ่งคนแล้ว ^^ นั่นก็คือพี่ตะวันที่ดูเหมือนว่าจะเริ่มต้นกันได้ดีทีเดียว ยังไงต่อจากนี้ก็คงต้องสนิทกับพี่เขาให้มากๆ น่ะนะ เพราะเรายังต้องแสดงร่วมกันอีกนาน
   
แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม พอการสนทนาระหว่างผมกับพี่ตะวันกำลังจะเป็นไปในทิศทางที่ดี กลับมีพี่กัปตันมาขัดจังหวะซะได้!
   
“เอาล่ะ รู้จักกันมากพอละ ทีนี้มึงก็กลับไปได้แล้วไอ้ตะวัน ไปๆ ชิ่วๆ”
   
“เห้ย อะไรวะ แค่นนี้ถึงกับต้องไล่กันเลยหรอ อะไรจะหวงขนาดนั้น!?”
   
“เรื่องของกู แต่ตอนนี้มึงไปได้แล้ว... ไปดิ ยังจะมายิ้มอยู่ได้!”
   
ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อจู่ๆ พี่กัปตันก็เอ่ยปากไล่พี่ตะวันให้กลับไปซะ แต่แทนที่จะโกรธ พี่ตะวันดันยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่พี่กัปตันซะงั้น ทำเอาคนหน้าดุดูหงุดหงิดใหญ่เลย…??
   
“ทำไมต้องไปไล่พี่ตะวันเขาด้วยล่ะพี่” ผมตัดสินใจถามขึ้น เมื่อพี่ตะวันเดินจากไปแล้ว
   
“ทำไม อยากคุยกันมันมากหรอ ตามไปเลยมั้ยล่ะ!” แต่แทนที่จะตอบกันดีๆ พี่กัปตันดันหันมาทำหน้าดุใส่ผมซะงั้น ก่อนจะดึงจาคอปผมไปถือ แล้วเดินเร็วแบบไม่รอใครออกจากประตูโรงเรียนไปเลย
   
อ้าว... นี่ผมทำอะไรผิดวะเนี่ย!?
   
“รอก่อนดิพี่ เป็นอะไรของพี่เนี่ย!?” ผมรีบวิ่งตามคนหน้าดุให้ทันเท่าที่ขาสั้นๆ ของผมจะอำนวย แหม~ ก็รายนั้นเขาขายาวนี่ ก้าวยาวๆ ไม่กี่ทีก็ทิ้งห่างผมแล้ว!
   
“เปล่าซะหน่อย”
   
“เปล่าแล้วทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วย ยังกับงอนผมอย่างงั้นแหละ?”
   
“งอนที่ไหน ไม่มี๊!”
   
เอ่อ... เสียงสูงไปนะเฮีย =__=;;
   
สงสัยว่าพี่กัปตันจะงอนผมจริงๆ แต่ผมก็ไม่อยากจะคิดเองเออเองว่าเขางอนผมด้วยเรื่องที่ว่าผมคุยกับพี่ตะวันเมื่อกี้นี้ เพราะถ้าเป็นแบบนั้น มันจะเป็นอะไรที่น่าคนลุกมาก! และผมก็ไม่พร้อมสำหรับอะไรแบบนี้ด้วย ดังนั้น ผมต้องรีบแก้เกมโดยด่วน!!
   
ฟึ่บ!
   
ผมใช้จังหวะที่พี่กัปตันเผลอดึงจาคอปกลับมาถือไว้เอง ก่อนจะเดินฉีกออกไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นซึ่งอยู่ฝั่งซ้ายของถนนแบบไม่พูดไม่จา และคิดว่าพี่กัปตันต้องตามผมมาแน่ๆ
   
“เดี๋ยวดิฟาง” นั่นไง พี่กัปตันตามผมมาจริงๆ ด้วย แล้วก็ไม่ใช่แค่ตามนะ ยังคว้าแขนผมให้หยุดเดิน แล้วหันไปคุยกับพี่แกด้วย “เป็นอะไรไป?”
   
หึ! ในที่สุดฝ่ายที่ต้องง้อก็เปลี่ยนกลับมาเป็นพี่กัปตันจนได้ ฮะฮ่า เนี่ยแหละคือการแก้เกมของผม ^-^ เพราะจะมีบ้างเหมือนกันพี่ฟิล์มเกิดงี่เง่าขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ต่อให้ผมง้อยังไงก็ยังทำงอนไม่เข้าเรื่องอยู่แบบนั้น ผมก็จะใช้วิธีเปลี่ยนเป็นฝ่ายงอนซะเอง ถ้าคนที่แคร์กันจริง ยังไงก็ต้องสนใจปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปของผมแน่
   
เอ๊ะ!? เดี๋ยวนะ… งั้นก็แสดงว่า... พี่กัปตันแคร์ผมงั้นหรอ!!?
   
“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร พอดีวันนี้พี่ฟิล์มกลับดึกน่ะ ผมก็เลยขี้เกียจทำกับข้าว กะว่าจะซื้ออาหารญี่ปุ่นกลับไปกินที่บ้าน”
   
“แล้วทำไมต้องดึงจาคอปไปด้วย” พี่กัปตันรีบดึงจาคอปกลับไป “ถ้าจะซื้อก็บอกกันดีๆ ดิ พี่จะได้เดินมาด้วย”
   
“ก็ผมเห็นพี่กัปตันงอนอยู่ เลยคิดว่าคงไม่อยากไปส่งผมแล้ว”
   
พี่กัปตันทำหน้าเซ็งในทันทีที่ได้ยินผมพูดออกไปแบบนั้น ก่อนจะลากผมเข้าไปนั่งในร้านอาหารญี่ปุ่นโดยที่ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ จนกระทั่งพนักงานของร้านนำเมนูมาให้นั่นแหละ
   
"ไม่ต้องสั่งกลับไปกินที่บ้านหรอก กินที่นี่ไปเลยแล้วกัน เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง"
   
"เฮ้ยพี่ ไม่ต้องเลี้ยงหรอก ผมจ่ายเองได้"
   
"เลิกดื้อได้มั้ยวะ บอกว่าเลี้ยงก็คือเลี้ยงไง สั่งๆ ไปเหอะ" พูดจบ พี่กัปตันก็หยิบเมนูขึ้นบังหน้าตัวเองทันที ราวกับว่าไม่อยากให้ผมเห็นว่าตัวเองทำหน้ายังไงอยู่อย่างงั้นแหละ
   
เออดี! เผด็จการเข้าไป อยากจะเลี้ยงมากนักใช่มั้ย เดี๋ยวจะสั่งให้อ้วกเลย!!
   
พอสั่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในระหว่างที่รออาหาร ดูเหมือนว่าพี่กัปตันจะกลับเข้าสู่โหมดปกติของตัวเองได้สักที ก่อนจะเริ่มชวนผมคุยในเรื่องที่ผมคาดไม่ถึงเหมือนกัน...!?
   
"นี่ พี่ถามอะไรหน่อยสิ"
   
"อะไรหรอ?"
   
"ฟางมีแฟนยัง?"
   
กรรม! ทำไมจู่ๆ ถึงถามล่ะเนี่ย!?
   
"ถามทำไม?" ผมลองหยั่งเชิง
   
"ตอบมาเถอะ อยากรู้" แต่พี่กัปตันก็ให้ข้อมูลมาแค่ว่า 'อยากรู้' เท่านั้น ซึ่งไม่ช่วยในการตัดสินใจของผมเลยแม่แต่นิดเดียว
   
เอาไงดีนะ? ตอบหรือว่าไม่ตอบดี?
   
...โอเค ตอบก็ได้!
   
"ยังไม่มีครับ"
   
"งั้นหรอ ^-^ แล้วเคยมีแฟนมากี่คนแล้วล่ะ"
   
แหม~ เล่นถามกันแบบนี้ มันลำบากผมนะครับพี่ เอาล่ะ เดี๋ยวขอยกนิ้วมื้อกับนิ้วเท้าขึ้นมานับก่อน อืม... อ้อ! นับได้ละ ศูนย์คนพอดีเลย T__T!!
   
"ไม่เคยมีเลยครับ"
   
"จริงดิ!?" ทะ...ทำไมต้องทำหน้าตกใจแบบนั้นด้วย คนโสดตั้งแต่เกิดมีเยอะแยะออก! "แล้วไม่มีใครที่กำลังแอบชอบอยู่เลยหรอ!?"
   
"แหม~ ถามแบบนี้แสดงว่าไม่รู้จัก 'ไอ้ฟางผู้ไร้หัวใจ' ซะแล้ว : )"
   
"ไร้หัวใจ?"
   
แม้ว่าหน้าตาผมจะดูยิ้มแย้มเพียงใด แต่ในใจผมมันหวิวมากเลยนะ... เอาล่ะ นี่คงจะเป็นครั้งแรกในนิยายเรื่องนี้ที่เราจะได้เริ่มเปิดประเด็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เหมือนกับเรื่องอื่นบ้าง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เราเอาแต่พูดถึงงานละครเวทีเท่านั้น ซึ่งสิ่งแรกที่พวกคุณจะต้องรู้ก่อนเลยก็คือ... ผมมีฉายาว่า 'ไอ้ฟางไร้หัวใจ' เป็นฉายาที่ถูกตั้งขึ้นตั้งแต่ผมเรียน ม.1 อยู่ที่โรงเรียนเก่าแล้ว
   
เหตุที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่า...
   
"ใช่ครับ ผมถูกเพื่อนโรงเรียนเก่าเรียกกันแบบนั้น เพราะตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยมีความรักให้ใครเลย นอกจากครอบครัวแล้วก็เพื่อนๆ"
   
"ไม่เคยเลยหรอ?"
   
"ใช่ครับ ไม่เคยเลยแม้แต่คนเดียว จริงๆ ก็มีคนมาจีบผมเยอะนะ หลายเพศด้วย แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกอะไรกับใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ขนาดพี่ชายผมยังสงสัยอยู่เลยว่าสรุปแล้วผมเป็นเพศไหนกันแน่ ในเมื่อผมไม่สนใจเลยแม้แต่เพศเดียว"
   
"เห้ย แบบนี้พี่ว่ามันผิดปกตินะ"
   
"นั่นสิ ผมก็ว่ามันผิดปกติเหมือนกัน แต่ไอ้เรื่องที่เพื่อนบอกกันว่าผมไร้หัวใจน่ะ มันก็ดูจะเกินไปหน่อย ผมคิดว่า... ผมน่าจะเป็นพวกรักคนยากมากๆ มากกว่า"
   
"..."
   
"..."
   
…ทั้งผมและพี่กัปตันจ้องตากันนิ่งๆ โดยไม่พูดไม่จาอะไรกันสักพัก ในขณะที่พนักงานเดินเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟที่โต๊ะ พอพนักงานไปนั่นแหละ ถึงได้เริ่มพูดกันต่อ
   
"งั้นถ้าเป็นแบบนี้ก็แสดงว่าพี่ยังมีโอกาสน่ะสิ : )"
   
"โอกาส?" ผมงงไปนิดนึงที่จู่ๆ พี่กัปตันก็เปิดมาแบบนั้น แต่พอเข้าใจที่พี่แกจะสื่อแล้ว ผมก็ถึงกับตาโตขึ้นมาด้วยความตกใจ!? "น่ะ...นี่พี่หมายความว่า...!?"
   
"ใช่ พี่คิดว่าพี่จะจีบฟาง : )"
   
เฮ้ย!!! O__O เดี๋ยวๆๆๆ ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยรู้สึกสนใจใครมาก่อนเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่กัปตันจะมาพูดแบบนี้ได้นะ! ยังไงผมก็อยากใช้ชีวิตไปตามที่ธรรมชาติสร้างมามากกว่า แบบว่า... ผู้ชายคู่กับผู้หญิงอะไรแบบเนี้ย!!
   
"ช้าก่อนพี่ชาย! ถึงผมจะไม่เคยชอบผู้หญิงมาก่อนเลยแม้แต่คนเดียว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องเป็นเกย์นะ! ผมยังเชื่อเสมอว่ายังไงธรรมชาติก็สร้างให้ชายหญิงเกิดมาคู่กัน"
   
"อะไรกันฟาง โลกเขาเปลี่ยนกันไปถึงไหนแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่สนหรอกว่าชายหญิง หญิงหญิง หรือว่าชายชาย ขอแค่มีความรู้สึกดีๆ ให้กัน อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุขก็พอแล้ว : )"
   
"ที่พี่พูดมามันก็มีเหตุผล แต่ถึงโลกมันจะเปลี่ยนไปยังไง ก็ใช่ว่าเราต้องเปลี่ยนตามมันไปทุกอย่างนี่ ถ้าเกิดว่ามนุษย์ทุกคนหันมาชอบเพศเดี๋ยวกันกันหมด ได้สูญพันธุ์กันพอดี!"
   
"ไม่มีทางหรอกฟาง มนุษย์ไม่มีทางสูญพันธุ์แน่ๆ เพราะทุกวันนี้มีผู้หญิงที่ตั้งท้องในวัยเรียนกันเยอะแยะ แล้วก็ดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นทุกวันๆ ด้วยซ้ำ เผลอๆ แทนที่คิดว่ามนุษย์จะสูญพันธุ์เพราะเกย์ อาจกลับกลายเป็นว่ามนุษย์ล้นโลกเพราะชายจริงหญิงแท้ที่ไม่รู้จักป้องกันก็ได้ ดันนั้น เราสองคนต้องมารักกัน เพื่อช่วยโลกใบนี้นะ : )"
   
"ช้าก่อนพี่กัปตัน ช้าก่อนนนนน~!!"
   
ผมถึงกับต้องยกมือขึ้นห้าม เพราะสิ่งที่พี่กัปตันพูดออกมามันทำให้ผมไม่อาจที่จะตั้งรับได้ทัน! นี่กลายเป็นว่าลามไปสู่ปัญหาของมนุษยชาติแล้วนะ!!
   
"ทำไมต้องหยุดด้วย นี่พี่กำลังจริงจังนะ"
   
"ก็พี่ไปไกลแล้วอะ!"
   
"โอเคๆ งั้นพี่เอาให้แคบลงกว่านี้ก็ได้" พี่กัปตันเริ่มกลับมาจริงจัง "ฟังนะฟาง มันมีเหตุผมนะที่พี่มาตามติดฟางแบบนี้ เรื่องบทน่ะก็ส่วนนึง แต่เรื่อง 'ชอบ' มันก็เป็นอีกส่วนนึงนะ : )"
   
"ชอบ!? แต่ว่า...!"
   
"อย่าเพิ่งขัดดิ ให้พี่พูดให้จบก่อน"
   
"..."
   
"ครั้งสุดท้ายที่พี่มีแฟนคือตอนที่พี่อยู่ ม.3 เหมือนฟางตอนนี้เนี่ยแหละ พอเลิกกันไป พี่ก็ไม่รู้สึกถูกใจใครอีกเลย จนกระทั่ง... มาเจอฟาง : )"
   
"..."
   
"พี่รู้ว่าฟางไม่ได้รู้สึกชอบผู้ชายเหมือนกัน แต่พี่ไม่สนหรอก หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในช่วงวันสองวันที่ผ่านมานี้ มันทำให้พี่ตัดสินใจได้ว่าอยากจะจีบฟาง เพราะฉะนั้นฟางมีหน้าที่แค่ให้พีจีบเท่านั้น ส่วนเรื่องจะชอบหรือมันชอบ มันก็แล้วแต่ฟาง พี่ไปบังคับอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เข้าใจมั้ย?"
   
"ไม่เข้าใจ!" ผมรีบส่ายหน้าทันที
   
"ต้องเข้าใจสิ ในเมื่อพี่อธิบายชัดเจนแล้ว เพราะฉะนั้นก็เตรียมตัวรับมือให้ดีล่ะ อย่าเผลอใจอ่อนกับพี่ก็แล้วกัน : )"
   
ที่บอกว่าไม่เข้าใจ หมายความว่าผมไม่เห็นด้วยต่างหาก!!!
   
แล้วนี่อะไรกัน จะตรงเกินไปมั้ย ชอบก็บอกว่าชอบ จะจีบก็บอกว่าจะจีบ ไม่สนใจฝ่ายที่ต้องมารับรู้เลยหรือไงกัน!? ทำตัวให้มันมีลับลมคมนัยมากกว่านี้ไม่เป็นหรอ!!?
   
แต่ถึงจะไม่พอใจยังไง ผมก็ได้แต่บ่นอยู่ในใจน่ะนะ เพราะถึงพูดไปก็คิดว่าคงจะไม่เป็นผลแน่ คนทำอะไรตามใจตัวเองอย่างพี่กัปตันมันเกินจะต้องพูดกันแล้ว เพราะฉะนั้น...
   
"เอาเถอะ อยากจะทำอะไรก็ทำเลย ใครมันจะไปห้ามพี่ได้ล่ะ : (“
   
"ดี มันต้องอย่างงั้นสิ : )"
   
แน่ะ ยังจะมายิ้มอีกนะ!! เออ ก็ดีเหมือนกัน ถือว่าผมเตือนไปก่อนหน้านั้นแหละนะ แล้วอย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน! เพราะคนอย่างผมน่ะมัน 'ไร้หัวใจ' อยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องกลัวพี่กัปตันมาจีบเลยสักนิด เพราะถึงยัง ไอ้พี่หน้าดุนี่ก็คง...
   
...ไม่ต่างกันกับคนอื่นๆ ที่ผ่านมานั่นแหละ

จบบทที่ 5

แฮมสเตอร์ : ขอบคุณที่อ่านนะครับ ถ้าหากชอบ หรืออยากพูดคุยถึงเรื่องนี้ในทวิตเตอร์
ฝากรบกวน #บทนางเอก ด้วยนะครับ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
ก่อนเปิดม่านครั้งที่หก
ติดกระดุม


คืนนั้น
   
ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในทันทีที่เสียงไอโฟนกรีดร้องขึ้น ยิ่งเห็นว่าคนที่โทรเข้ามาคือ…
   
‘ไอ้หน้าดุ!’
   
...ยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดเข้าไปใหญ่!!
   
ไม่รู้หรือไงนะว่าคนกำลังเครียดๆ กับการซ้อมบทอยู่น่ะ วันจันทร์นี้ก็จะเริ่มซ้อมจริงจังแล้วด้วย ถ้าทำได้ไม่ดีจะทำยังไงล่ะ คนคงได้หัวเราะเยาะกันหมดแน่!!
   
นี่เครียดจริงจังนะ =__=!!
   
“มีอะไร!?” ผมรับสายด้วยอารมณ์ที่ยังไม่ได้ปรับเลยแม้แต่นิดเดียว ช่วยไม่ได้ อยากโทรมาตอนคนกำลังหงุดหงิดทำไมล่ะ!
   
(เป็นอะไรไป? ทำไมเสียงหงุดหงิดจัง ไม่พอใจที่พี่โทรมาหรอ? งั้นพี่ขอโทษนะ พี่วางเลยก็ได้)
   
พี่กัปตันที่โทรมาแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว ถึงกับเงิบไปเลยเมื่อเจอแรงเหวี่ยงจากการรับโทรศัพท์ของผมแบบนั้น แถมยังทำเสียงสลดใส่ผมด้วย… เล่นเอาผมต้องรีบปรับอารมณ์ให้เป็นปกติด้วยความรู้สึกผิดเลย T__T
   
“เดี๋ยวก่อนพี่กัปตัน พี่ไม่ผิดหรอก ผมผิดเองแหละ ที่หงุดหงิดแล้วมาลงกับพี่น่ะ”
   
(แล้วเป็นอะไรไป ทำไมถึงได้หงุดหงิดล่ะ) พี่กัปตันถามอย่างใจเย็น ราวกับว่าอยากจะช่วยให้ผมเย็นลงอีก แต่พอผมคิดถึงสิ่งที่กำลังกังวลอยู่ ความหงุดหงิดใจมันก็เริ่มกลับมาวนเวียนอีกครั้ง นี่ผมชักจะเครียดมากเกินไปแล้วนะเนี่ย T^T
   
“พอดีว่าผมกำลังซ้อมบทเองอยู่น่ะพี่ เพราะเห็นว่าเดี๋ยววันจันทร์ก็จะซ้อมจริงแล้ว ไม่อยากให้คนอื่นต้องมาเสียเวลากับผมคนเดียวน่ะ แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งซ้อมก็ยิ่งแย่ ขนาดบทง่ายๆ ก็ยังพูดผิดอยู่นั่นแหละ ผมนี่มันไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ!”
   
ในระหว่างที่พูดกับพี่กัปตันไป มือผมก็หยิบบทขึ้นมาอ่านไปด้วย เลยเริ่มจะไม่แน่ใจแล้วว่าตอนนี้สมาธิของตัวเองอยู่ที่ตรงไหนกันแน่…
   
(พอเลยฟาง เลิกซ้อมได้แล้ว เอาเวลาไปนอนดีกว่า เชื่อพี่)
   
…แต่ทั้งๆ ที่ผมแสดงให้เห็นว่ากำลังเครียดอยู่แท้ๆ ทำไมพี่กัปตันถึงได้ไล่ให้ผมไปนอนนะ ไม่เข้าใจหรือไงว่าคนมันแสดงออกมาแย่น่ะ ถ้าไม่ซ้อมแล้วไปนอน มันจะออกมาดีขึ้นหรือไง!?
   
“จะให้ผมนอนได้ไงล่ะพี่ ก็บอกไปแล้วนี่ว่าขนาดบทง่ายๆ ยังพูดผิดเลย ถ้าไม่ซ้อมนะ รับรองวันจันทร์พังแน่ๆ!”
   
(นั่นแหละ ยิ่งต้องเลิกซ้อมใหญ่เลย)
   
“เอ๊ะ ก็ผมบอกว่า…!”
   
ผมอยากจะโวยที่พี่กัปตันไม่ยอมฟังผมบ้าง แต่พี่แกก็ขัดผมขึ้นมาซะก่อน…!
   
(ฟังพี่นะฟาง ที่ฟางแสดงออกมาได้ไม่ดีน่ะ เป็นเพราะว่าฟางกำลังกดดันตัวเองอยู่)
   
“…”
   
(ฟางกำลังกังวลว่าการซ้อมวันจันทร์มันจะออกมาไม่ดี แล้วฟางก็จะต้องทำให้คนอื่นเสียเวลา ทั้งที่จริงๆ แล้วฟางสามารถแสดงได้ เพียงแต่ฟางทำลายสมาธิตัวเองด้วยความเครียดอยู่ ถ้าฟางไม่อยากให้ทุกคนเดือดร้อน ฟางต้องผ่อนคลายมากกว่านี้ แล้วก็มีสมาธิให้มากกว่านี้ด้วย)
   
“…”
   
…มันก็จริงของพี่กัปตันน่ะ ผมก็รู้ว่าตัวเองอาจจะเครียดเนื่องจากกดดันตัวเองมากเกินไป จนการซ้อมตอนนี้มันออกมาไม่ดีเท่าที่ควร แต่ถึงอย่างงั้น… ผมก็ยังไม่สามารถพาตัวเองออกไปจากสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะผมยังกังวลกับวันจันทร์ที่จะถึงนี้ไม่เลิก T__T
   
(ฟาง ฟังพี่อยู่รึเปล่า?)
   
“…ฟังอยู่ครับ”
   
(แล้วเข้าใจที่พี่พูดมั้ย?)
   
“เข้าใจครับ แต่ผมก็ยังกังวลอยู่ดีนั่นแหละ ใจผมตอนนี้คืออยากทำตัวเองให้พร้อมที่สุด สำหรับวันจันทร์ที่จะถึงนี้”
   
(พี่เข้าใจนะ งั้น… เอางี้มะ พี่มีบางอย่างมานำเสนอ รับรองว่าจะช่วยให้ฟางพร้อมก่อนวันซ้อมจริงแน่) เสียงของพี่กัปตันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่คิดบางอย่างขึ้นมาได้ จนผมเองอดไม่ได้ที่จะต้องตื่นเต้นตามพี่แกไปด้วย
   
“จริงหรอพี่? ยังไงอะ!?”
   
(ไม่เห็นจะยากเลย อย่าลืมสิว่าพี่เป็นผู้กำกับนะ เพราะฉะนั้นมาฝึกกับพี่ก็ได้ เดี๋ยวพี่เปิดคอสพิเศษให้ แต่ต้องมาค้างที่คอนโดพี่สองคืน คืนวันศุกร์กับคืนวันเสาร์ เดี๋ยวพี่จะติวเข้มให้เอง ดีมะ?)
   
“ไม่ดี!”
   
ผมรีบโวยออกไปในทันทีที่ฟังจนจบ แหม~ ไอ้เราก็ฟังตั้งนาน กลับกลายเป็นว่าพี่กัปตันดันเอาเรื่องเครียดของผมไปล้อเล่นซะงั้น หึ! ค้างบ้าค้างบออะไรกัน แบบนี้มันไม่ใช่คอสพิเศษสอนการแสดงแล้วมั้ง -^-!!
   
(อ้าว ทำไมอะ ก็ไหนว่าอยากพร้อมก่อนวันซ้อมจริงไง หรือว่าไม่เชื่อมั่นในฝีมือพี่? นี่พี่ติวเข้มให้ได้จริงๆ นะ)
   
“ผมเชื่อว่าพี่ติวเข้มได้แน่ แต่ไม่น่าจะใช่เรื่องละครเวทีน่ะสิ!!”
   
หึ!! คราวนี้ผมโกรธจริงๆ นะ เข้าใจมั้ยเวลาที่คนมันเครียดน่ะ มันก็เครียดจริงๆ นะเว้ย! พอมาเจอคนเอาความเครียดของเราไปล้อเล่นแบบนี้ มันยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่เลย!!
   
(เฮ้ย!! เดี๋ยวๆๆ เข้าใจผิดแล้วฟาง พี่ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลยนะ ที่พี่อยากให้มาค้างที่คอนโดพี่ ก็เพราะเห็นว่าที่บ้านฟางมีพี่ชายอยู่ คงจะไม่สะดวก แต่ถ้าฟางไม่ไว้ใจพี่มากขนาดนั้น เดี๋ยวพี่ไปติวให้ฟางที่บ้านก็ได้)
   
พี่กัปตันรีบแก้ตัวอย่างจริงจัง จนผมเกือบที่จะเชื่อสนิทใจอยู่แล้วนะ แต่ว่า… มันก็อดไม่ได้ที่จะคิดเป็นอื่นนี่! ก็แหม~ วันนี้ยังบอกอยู่เลยว่าจะจีบผม ให้ผมเตรียมตัวตั้งรับไว้ให้ดีๆ แล้วจู่ๆ มาชวนไปนอนคอนโดแบบเนี้ย จะให้ไว้ใจง่ายๆ ได้ไง ถึงผมจะเป็นผู้ชายก็เถอะ คงไม่น่าจะเสียท่าถูกข่มขืนเหมือนผู้หญิงได้ง่ายๆ ก็จริง แต่กับไอ้พี่กัปตันที่เป็น ‘เมะ’ แล้วก็ตัวใหญ่กว่าผมหลายเท่า ถ้าเกิดพี่เขาคิดอะไรไม่ดีขึ้นมา เห็นทีว่าน่าจะรอดยาก =__=;;
   
“แน่ใจนะว่าไม่ได้คิดอะไรนอกเหนือจากเรื่องซ้อมบทน่ะ!?”
   
(แน่ใจดิ ทำไมอะ? กลัวพี่จับปล้ำหรอ?) พี่กัปตันทำทีเป็นแซว
   
แหมๆๆ~ มีอารมณ์ขันจังเลยนะพ่อคุณ!!
   
“เอาเถอะ ไว้เดี๋ยวผมจะลองคิดดูอีกทีก็แล้วกัน”
   
(โอเคๆ ถ้าจะมาค้างที่คอนโดพี่ พรุ่งนี้ก็เอาเสื้อผ้ามาเลยแล้วกัน แต่ถ้าไม่ จะเอายังไงก็บอกพี่ด้วย … งั้นพี่ไปนอนก่อนนะ ดึกละ ฟางเองก็รีบนอนได้แล้วนะ ห้ามไปซ้อมละครต่อละ รู้มั้ย?)
   
“รู้แล้วๆ นี่กะว่าวางสายจากพี่เสร็จ ผมก็จะไปนอนแล้วแหละ”
   
(โอเค ดีมาก งั้นเอาไว้พรุ่งนี้เจอกันนะ ฝันดีครับ)
   
“อื้ม ฝันดี”
   
พี่กัปตันกดตัดสายไปหลังจากที่ฟังผมบอกฝันดีเสร็จเรียบร้อยแล้ว และโอเค… ผมยอมรับก็ได้ว่าผมโกหกพี่เขาเรื่องที่ว่าวางสายแล้วจะนอนเลย เพราะเรื่องจริงก็คือ…
   
…ผมจะซ้อมละครต่อไปน่ะสิ :)

* * * * * * *

วันต่อมา

พี่กัปตันมารับผมที่บ้านเหมือนเดิม แต่พี่ฟิล์มไม่รู้หรอกนะ เพราะว่าผมใช้วิธีให้พี่กัปตันบอกแท็กซี่ให้จอดเลยบ้านผมไปหน่อย แล้วก็ส่งไลน์มาบอกว่าถึงแล้ว เท่านี้ผมก็ทำเนียนเดินออกจากบ้านได้อย่างสบายใจ :)
   
แต่ถึงจะไม่อยากโกหกยังไง สุดท้ายก็ได้โกหกอยู่ดี เพราะว่าวันนี้ผมตัดสินใจหอบเสื้อผ้าไปนอนที่คอนโดพี่กัปตันตามคำเชิญชวนเรื่องการเข้าคอสพิเศษของพี่เขา และที่เป็นแบบนั้น... ก็เพราะว่าไอ้การซ้อมบทหลังจากวางสายกับพี่กัปตันแล้วนั่นแหละ! ก็นะ เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เลย ยิ่งเครียดเพราะกดดันตัวเองมากเท่าไหร่ การแสดงก็ยิ่งผิดพลาดมากเท่านั้น แล้วพอการแสดงมันผิดพลาด ผมก็ยิ่งเครียดเข้าไปอีก เลยกลายเป็นวงจรอุบาทว์ถึงขนาดที่ผมต้องทิ้งตัวลงกับเตียงแรงๆ ด้วยความหงุดหงิดใจ! ในหัวนี่ก็คิดไปเถอะว่าวันจันทร์ที่จะถึงนี้ต้องไม่รอดแน่ๆ! T___T
   
สุดท้าย... หลังจากที่พยายามใช้สตินอนคิดมาเป็นอย่างดี ผมจึงตัดสินใจหอบเสื้อผ้าไปนอนกับพี่กัปตันซะเลย เพราะผมคิดนะว่าอย่างน้อยๆ ก็ถือเป็นการซ้อมให้ผู้กำกับดูล่วงหน้า พอถึงวันจริงจะได้ไม่ต้องเกร็งมากนัก
   
ซึ่งเมื่อตัดสินใจแบบนั้น ผมก็เลยจำเป็นต้องโกหกพี่ฟิล์มว่าจะไปค้างที่บ้านกบเป็นเวลาสองคืน เพราะไอ้กบชวนไปซ้อมบทละครกันล่วงหน้า โดยที่พี่ฟิล์มเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร ในขณะที่พี่กัปตันก็ดีใจจนออกนอกหน้า ทำเอาผมชักไม่แน่ใจแล้วว่างานนี้มันเป็นงานเสี่ยงหรือเปล่าวะ =__=!?
   
"พี่เขาบอกว่าจะจีบกูจริงๆ นะเว้ย แล้วก็บอกว่าให้กูเตรียมตัวตั้งรับไว้ให้ดีด้วย " ผมเลยตัดสินใจจะเล่าทุกอย่างให้ไอ้กบฟังในขณะที่เรากำลังนั่งกินข้าวเที่ยงด้วยกันอยู่ที่โรงอาหาร โดยเริ่มเล่าจากเรื่องที่พี่กัปตันบอกว่าจะจีบผมก่อน
   
"ขนาดนั้นเลยหรอวะ!?" ซึ่งแน่นอนว่าไอ้กบตกใจมาก แต่ก็นะ ไปเล่าให้ใครเขาก็คงตกใจกันทั้งนั้นแหละ การโดนไอ้พี่กัปตันจีบมันคงไม่ใช่เรื่องธรรมดานักหรอก =_= "แล้วมึงบอกไปว่าไงอะ?"
   
"กูจะไปพูดอะไรได้ พี่เขายอมฟังที่ไหนกัน กูเลยได้แต่บอกว่าอยากทำอะไรก็ทำ เพราะยังไงกูก็ไม่มีทางคิดอะไรกับเขาอยู่แล้ว"
   
"อืม ก็จริงนะ มึงมันไร้หัวใจอยู่แล้วนี่" ไอ้กบพยักหน้าเห็นด้วย เพราะมันเองก็รู้ดีว่าผมไม่เคยชอบใครมาก่อนเลย ขนาดตอนที่เริ่มสนิทกันใหม่ๆ มันแนะนำให้ผมรู้จักสาวต่างโรงเรียนที่ดันมาแอบชอบผมเข้า ซึ่งแน่นอนว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ไม่น่าจะมาสนใจคนหน้าหวานๆ อย่างผมด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็โดนผมปฏิเสธไป เพราะผมรู้สึกเฉยมาก ยิ่งคุยก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้สึกอะไรเลย... ก็เลยเลิกยุ่งซะ แล้วนับตั้งแต่นั้นมา ไอ้กบมันก็ไม่กล้าแนะนำใครให้ผมรู้จักอีกเลย เพราะนอกจากที่ผมจะเฉยจนผิดปกติแล้ว ยังทำให้มันลำบากใจจากการเป็นคนกลางอีกด้วย แต่ถึงอย่างงั้น ไม่ว่าชายหรือหญิงคนไหนที่อยากจะจีบผม ก็จะเข้าทางไอ้กบทั้งนั้นนั่นแหละ ฮ่าๆๆๆ~ ซวยไปนะเพื่อน :)
   
แต่จะว่าไป... โดนบอกว่าเป็นคนไร้หัวใจนี่มันก็จี๊ดอยู่เหมือนกันนะ T__T
   
"ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก กูบอกมึงแล้วไง ว่ากูแค่เป็นพวกชอบคนยากมากๆ เท่านั้นเอง"
   
"เออๆ ชอบคนยากก็ชอบคนยาก"
   
ที่ทำเสียงเอือมๆ นี่คือมึงเห็นด้วยกับกูใช่มั้ยกบ =_=!?
   
"ใช่ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร"
   
"อืม ก็คงงั้นแหละมั้ง ... เออนี่ กูแค่ลองถามดูเล่นๆ นะ ถ้าสมมติมึงเกิดหวั่นไหวกับพี่เขาขึ้นมาเป็นคนแรกล่ะ มึงจะทำยังไง?"
   
เคล้ง!
   
O__O ผมถึงกับทำช้อนข้าวหลุดมือเลยเมื่อเจอคำถามเล่นๆ ของไอ้กบเข้าไป แม้ลึกๆ ในใจจะบอกกับตัวเองว่าไม่มีทางก็เถอะ แต่... อะไรมันก็ไม่แน่ไม่นอนทั้งนั้น จริงมั้ย?
   
"เชี่ย ถึงขนาดทำช้อนตกเลยหรอวะ!?"
   
"ก็เออน่ะดิ มึงเล่นถามมาแบบนี้กูตกใจนะเว้ย"
   
"ทำไมวะ?"
   
"ก็มึงลองคิดดูนะ ถ้าเป็นแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ก็เท่ากับว่ากูชอบผู้ชายด้วยกันเอง แล้วกูก็ต้องคบกับพี่กัปตันด้วย บรื๋ออออ~ แค่คิดว่าต้องมีตัวเผด็จการอยู่ข้างๆ คอยบอกรักกูเนี่ย กูก็ขนลุกจะแย่!"
   
"เออ นั่นดิ ขนลุกจริงๆ ด้วยว่ะ ลำพังเป็นเกย์น่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่รักคนดุอย่างพี่กัปตันนี่เรื่องใหญ่เลย"
"ใช่มั้ยล่ะ ฮ่าๆๆๆ"
   
"ฮ่าๆๆๆ"
   
ผมแกล้งทำเป็นพูดให้มันดูตลกไปอย่างงั้นแหละ ทั้งที่ในใจผมมันไม่ตลกตามเลย นี่ถ้า... ผมหวั่นไหวกับพี่กัปตันเป็นคนแรก มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกร้ายชัวร์!
   
เอ้อ! ว่าแต่ผมยังไม่ได้บอกไอ้กบอีกเรื่องนี่...
   
"เออนี่ กูลืมบอกมึงไป ว่ากูจะไปนอนกับพี่กัปตันที่คอนโดนสองคืนนะ"
   
เคล้ง!
   
คราวนี้เลยกลายเป็นว่าไอ้กบถึงกับทำช้อนตกเข้าให้บ้าง...!
   
"ดะ...เดี๋ยวนะ! นี่มึงล้อเล่นใช่มั้ยเนี่ย!?"
   
"เปล่า กูไม่ได้ล้อเล่น"
   
"เฮ้ย!! แล้วมึงจะไปนอนกับพี่กัปตันตั้งสองคืนทำไม!?"
   
ไอ้กบตะโกนซะลั่นเลย จนผมต้องรีบตะครุบปากมันไว้ซะ เพราะกลัวว่าคนที่ได้ยินจะเข้าใจผิดไปในทางอื่น ก่อนที่เตรียมตัวจะอธิบายให้มันฟังเรื่องคอสติวเข้มพิเศษของพี่กัปตัน แต่ทว่า...!
   
"อะไรนะ! นี่มึงจะไปนอนกับไอ้กัปตันที่คอนโดงั้นหรอ!? แหมๆๆ งั้นก็แสดงว่าคงไปถึงไหนต่อไหนกันแล้วสินะ :)"

จู่ๆ ไอ้พี่ทีมกับกลุ่มเพื่อนก็เดินผ่านมาได้ยินเข้าพอดี!! มันเลยตะโกนซะดังลั่น คงกะให้ได้ยินกันทั้งโรงอาหารเลย แถมยังพูดจาใส่ร้ายผมเสียๆ หายๆ ซะด้วย!!!
   
"มันไม่ใช่แบบที่พี่คิดนะ!!" ผมลุกขึ้นแล้วตะโกนใส่อย่างเหลืออด แต่ดูเหมือนว่าไอ้พี่ทีมมันจะไม่สนใจเลย แถมยังเริ่มแต่งเรื่องไปเรื่อย
   
"ก็นะ คนในชมรมการแสดงเขาก็รู้กันหมดแล้วนี่ว่ามึงเอาตัวเข้าแลกบทกับไอ้กัปตันน่ะ ถึงได้รับบทนางเอก ทั้งๆ ที่มึงก็ไม่ใช่ผู้หญิงไง!!"
   
"..."
   
เสียงของไอ้พี่ทีมดังมาก! จนตอนนี้คนทั้งโรงอาหารหันมาสนใจกันหมดแล้ว ผมรู้สึกแย่มากที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้! อยากจะเข้าไปชกหน้าแม่งสักที แต่ดูจากพรรคพวกที่ยืนอยู่ด้านหลังแล้ว คงไม่ยอมให้ผมเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียวแน่ เผลอๆ ไอ้กบจะโดนเล่นงานไปด้วย ... ผมจึงต้องพยายามตั้งสติ แล้วมองหากลุ่มของพี่กัปตันในโรงอาหารแทน ...แต่ก็ไม่มี แหงล่ะ ถ้าตอนนี้พี่กัปตันอยู่จริง คงเดินมานานแล้วแหละ...
   
"ใจเย็นก่อนนะครับพี่ทีม เมื่อกี้ผมพูดผิดไปเอง คือว่า..."
   
โครม!!
   
ไอ้กบตั้งใจจะลุกขึ้นมาไกล่เกลี่ย แต่กลับกลายเป็นว่าโดนหนึ่งในพรรคพวกของไอ้พี่ทีมถีบซะหงายหลังไปเลย แม่งเอ้ย! ทนไม่ไหวแล้วโว้ย!!!
   
"จะมากไปแล้วนะพี่!!!"
   
ผมเลือดขึ้นหน้า!! พุ่งเข้าไปหมายจะชกหน้าเพื่อนไอ้พี่ทีมที่ถีบไอ้กบล้ม แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ว่าคนอื่นๆ มันไม่ยอมอยู่เฉยแน่! สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าผมโดนไอ้พี่ทีมคว้าตัวไว้ แล้วโยนไปให้เพื่อนๆ ของมันล็อคตัวแทน!!

(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2

"พามันไปที่ห้องเกษตรเก่า เดี๋ยวกูจะคิดวิธีจัดการมันเอง :)"
   
จบคำสั่งของไอ้พี่ทีม พวกมันทั้งหมดก็ลากผมออกจากโรงอาหารท่ามกลางสายตาของนักเรียนชายหญิงจำนวนมากที่ก่อนหน้านี้กินข้าวกันอยู่ แต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะเข้ามาช่วยผมเลยสักคน!!
   
นี่ไอ้พี่ทีมมันเป็นลูกผู้ทรงอิทธิพลรึไง!? ทำไมทุกคนดูกลัวมันขนาดนี้!!!?
   
ผมพยายามร้องให้คนช่วย แต่ก็ป่วยการ เพราะใช้เวลาแค่แป๊บเดียว พวกมันก็พาผมมาที่ห้องเกษตรเก่าหลังโรงเรียนได้เป็นผลสำเร็จแล้ว ซึ่งบริเวณนี้แทบจะไม่มีคนเดินผ่านให้เห็นเลย จะมีก็แต่หมากับแม่เท่านั้นแหละ!
   
พอเข้ามาในห้อง พวกมันก็จัดการโยนผมลงกับพื้น แล้วยืนล้อมไว้ ... ผมพยายามมองหาทางหนีทีไล่ แต่ให้ตายเถอะ! เป็นอะไรที่มืดแปดด้านมากๆ ดูเหมือนว่าพวกมันจะใช้ที่นี่เป็นแหล่งซ่องสุมในโรงเรียนนะ ไม่รู้เหมือนกันว่ารอดจากสายตาของพวกอาจารย์ได้ยัง!?
   
"พี่จับผมมาที่นี่ทำไม!?" ผมพยายามทำใจดีสู้เสือถามออกไป แม้ว่าตอนนี้ในหัวจะจินตนาการไปไกลแล้วก็ตาม
"ทำไม มึงกลัวหรอ" ไอ้พี่ทีมทำหน้ากวน ก่อนจะหันไปหัวเราะกับพวกเพื่อนๆ ของมัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าแม่งจะตลกอะไรกันนักหนา! "อย่าเพิ่งกลัวไปเลยนะ เพราะเดี๋ยวกูจะเป็นคนทำให้มึงกลัวด้วยตัวของกูเอง ... เฮ้ย! พวกมึงอะ ไปหาเชือกมามัดมือมันไว้ดิ๊!"
   
พอได้ยินคำว่า 'เชือก' ผมก็รีบลุกขึ้นวิ่งไปทางประตูในทันที เพราะถ้าเกิดว่ามันหาเชือกมามัดผมได้ คราวนี้ได้หนีพวกมันไม่รอดแน่
   
แต่ถึงจะไม่ถูกมัดก็ใช่ว่าจะหนีรอดได้อยู่ดีน่ะนะ เพราะพวกมันมีคนเยอะกว่า ทั้งขวาง ทั้งผลัก จนผลสุดท้ายผมก็กลับมานั่งลงที่เดิมอย่างหมดท่า
   
"หาเชือกเจอแล้วพี่ทีม" หนึ่งในพรรคพวกที่ดูจะอายุน้องกว่าไอ้พี่ทีมเดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับเชือกเส้นใหญ่ม้วนนึง
   
"ดี มึงไปมัดมือมันเอาไว้เลย"
   
"ครับพี่"
   
"เฮ้ย! อย่านะเว้ย!! ปล่อยกูเดี๋ยวนี้ กูบอกให้ปล่อยไง!!!"
   
ผมพยายามดิ้นสุดชีวิต เมื่อไอ้คนที่ถือเชือกมาแท็กทีมกับพรรคพวกอีกคนนึงช่วยกันจับแขนสองข้างผมไขว้หลัง และใช้เชือกมัดไว้แน่น จนสุดท้ายผมก็ไปไหนไม่รอด เพราะพวกมันยังหาเชือกเพิ่มมามัดขาผมเอาไว้ด้วย แบบนี้... ผมคงหนีไม่รอดแล้วแหละ...
   
"เป็นไง รัดแน่นไปมั้ยมึง แต่ก็ดีนะ รัดแน่นๆ มึงจะได้เจ็บๆ ไง ฮ่าๆๆๆ~"
   
"ทำไมพี่ถึงต้องทำกับผมขนาดนี้ด้วย กะอีแค่บทละครเวทีเนี่ยนะ!?"
   
ไอ้พี่ทีมหยุดขำไปเลย แต่กลับมาทำหน้าโหดเหี้ยมใส่ผมแทน ซึ่งบอกตรงๆ ว่าผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าผมไปทำอะไรให้คนตรงหน้าเจ็บแค้น ถึงขนาดต้องจับมามัดมืดมัดเท้าเอาไว้แบบนี้!
   
"มึงก็พูดได้สิ ในเมื่อมึงเพิ่งจะอยู่แค่ ม.3 ไม่ใช่เด็ก ม.6 ที่ต้องใช้ผลงานยื่นสอบตรงเข้ามหา'ลัยเอกการแสดงเหมือนแฟนกูนี่!"
   
"แล้วมันเป็นความผิดของผมหรอ!? ก็ในเมื่อพี่แบมแบมเขาไม่เหมาะกับบทเอง ขนาดอาจารย์วารุณียังบอกเลย แล้วพี่จะ... โอ๊ยยยยย!"
   
ยังไม่ทันที่จะพูดจนจบเลยด้วยซ้ำ ไอ้พี่ทีมก็ตรงเข้ามาบีบคางผมซะก่อน ทำเอาผมเจ็บจนพูดต่อไม่ได้เลย!
   
"แล้วผู้ชายอย่างมึงเหมาะกับบทนางเอกมากเลยหรือไง!! แล้วอีกอย่างนะ ที่อาจารย์เขาพูดแบบนั้น ก็เพราะไอ้กัปตันมันเป็นคนบอกอาจารย์ว่าแฟนกูไม่เหมาะไง!!"
   
สายตาของไอ้พี่ทีมเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก...! แต่ผมจะไม่มีทางแสดงออกให้มันได้รู้เด็ดขาด ถ้ามันจ้องตามา ผมก็จะจ้องตากลับ ผมจะไม่ส่งสายตาหวาดกลัวหรืออ้อนวอนให้มันเห็นเด็ดขาด!!
   
พอไอ้พี่ทีมมันเห็นว่าผมไม่มีทีท่าว่าจะกลัว มันเลยปล่อยมือจากคางผมซะแรง จนผมเกือบเงิบไปข้างหลังแน่ะ แต่ก็ดีแล้วที่มันปล่อย ผมจะได้พูดต่อไง!
   
"แต่มันก็เป็นเรื่องจริงไม่ใช่หรอ อย่างพี่แบมแบมน่ะ ไม่เหมาะกับบทผู้หญิงดีๆ หรอก สมควรไปเล่นบทตัวร้ายมากกว่า!"
   
ผมเตรียมตัวเอาไว้แล้วว่าถ้าพูดออกไปแบบนี้ ไอ้พี่ทีมมันจะต้องตรงเข้ามาทำร้ายร่างกายผมอีกแน่ ...แต่ผิดคาดแฮะ! เพราะสิ่งที่มันทำก็คือ...หัวเราะ!
   
"ช่ายๆ แฟนกูน่ะมันเหมาะกับบทผู้หญิงร้ายอย่างที่มึงบอกจริงๆ นั่นแหละ ก็เลยยอมไปแคสติ้งบทตัวร้ายในเรื่อง The Little Mermaid ซะ แต่แฟนกูดันโชคร้าย เพราะว่าบทนั้นมีคนเล่นไปแล้ว แล้วมึงรู้มั้ยว่าแฟนกูได้เล่นเป็นอะไร?"

"ผมจะไปรู้ได้ยังกัน"
   
ถามอะไรโง่ๆ ไม่ได้ตามติดชีวิตพี่แบมแบมตลอดเวลานี่!!
   
"นั่นสิ อย่างมึงมันจะไปรู้อะไร ในเมื่อวันๆ มึงเอาแต่เสวยสุขอยู่กับไอ้กัปตันน่ะ หึ! กูจะบอกให้นะ ว่าแฟนกูได้เล่นเป็นพี่สาวนางเอก อาจจะฟังดูดี แต่ออกแค่ฉากเดียวเท่านั้น แล้วถามหน่อยเถอะ ว่ามันเหมาะสมกับคนที่สวยแล้วก็มีความสามารถแบบแฟนกูมั้ย!!?"
   
ผมพยายามฟังแล้วคิดตามไปด้วย กับสิ่งที่พี่แบมแบมได้รับ ซึ่ง... ผมก็คิดว่ามันสาสมแล้วแหละ!! ในเมื่อพี่เขาควรจะได้บทเออซูล่า แต่กลับเสียเวลามาคอยหาเรื่องคนอื่น จนผลสุดท้ายบทที่สำคัญแบบนั้นก็มีคนแสดงแล้วจนได้ นี่มันไม่ได้น่าเห็นใจเลยนะ -__-
   
"เหมาะสิ ก็ในเมื่อพี่แบมแบมเขาช้าเอง จะไปเหลือบทดีๆ ให้เล่นได้ยังไงล่ะ!"
   
"มึงเลิกปากดีเหอะ!!" คราวนี้ไม่ใช่ไอ้พี่ทีมที่ตะโกนด่าผม แต่กลายเป็นพรรคพวกอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ไอ้พี่ทีมแทน ดูๆ แล้วน่าจะรุ่นเดียวกับพี่ทีมนะ "เอาไงวะทีม ให้พวกกูกระทืบแม่งเลยมั้ย จะได้จบๆ ซักที!"
   
มันคนนั้นช่วยยื่นข้อเสนอให้ผมถูกกระทืบเร็วขึ้น แต่ไอ้พี่ทีมกลับส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วสั่งในสิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจ...!?
   
"ไม่ต้องกระทืบมันหรอก แค่แก้ผ้ามันออกก็พอ :)"
   
O__O อะ...อะไรนะ!?
   
"มึงว่าไงนะทีม!?"
   
"กูบอกให้มึงแก้ผ้ามันออกไง"
   
"เชี่ย! ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยวะ มึงจะทำอะไรไอ้เด็กนี่กันแน่!?"
   
"อย่าคิดมาก กูไม่ได้ทำอะไรน่าขนลุกอย่างที่มึงคิดหรอก กูก็แค่คิดว่าถ้าเรากระทืบมัน น่าจะง่ายไปหน่อย เลยกะว่าจะแก้ผ้ามัน แล้วถ่ายไปลงเน็ตแทน :)"
   
ความคิดของไอ้พี่ทีมเล่นเอาผมเสียวสันหลังวาบ! นี่... นี่มันจะทำอย่างที่มันพูดจริงๆ หรอเนี่ย!? มันจะไม่มากเกินไปหน่อยหรอวะ กูไม่ได้ไปฆ่าคนที่มึงรักตายนะเว้ย รุ่มกระทืบกูยังถือว่ามากไปด้วยซ้ำ!!
   
"มันจะไม่มากไปหรอวะทีม กูว่าแค่กระทืบก็พอแล้วมั้ง"
   
"ทำไม? มึงจะขัดคำสั่งกูหรอไอ้ปอ ถ้ามึงไม่พอใจ ไม่ต้องทำก็ได้นะ เดี๋ยวกูให้คนอื่นทำแทน แต่นั่นหมายความว่าหนี้ที่มึงติดกูอยู่ พรุ่งนี้กูต้องได้คืนครบทุกบาทนะ :)"
   
ไอ้พี่ทีมเริ่มข่มขู่เพื่อนที่มันเรียกชื่อว่า 'ปอ' ให้มาแก้ผ้าผมออกซะ เลยทำให้คนโดนขู่ดูจะแสดงอาการไม่พอใจอย่างมา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากตรงเข้ามาหาผมแทน
   
"ขอโทษด้วยนะเว้ย" พี่ปอกระซิบแบบให้ได้ยินกันแค่สองคน ก่อนจะเริ่มลงมือปลดกระดุมผมทีละเม็ด
"อย่านะพี่ หยุดเถอะ ผมขอล่ะ!" ผมพยายามอ้อนวอนพี่ปอ พร้อมกันดิ้นหนีมือของพี่เขาไปด้วย เลยกลายเป็นว่ามีพรรคพวกอีกสองคนเข้ามาช่วยล็อคผมไว้จนได้!
   
หลังจากที่เสื้อนักเรียนของผมถูกปลดกระดุมจนหมดทุกเม็ดแล้ว เป้าหมายต่อไปก็คือกางเกงนักเรียน ซึ่งเป็นส่วนที่ทำเอาผมดิ้นรนเหมือนคนบ้า! ยังไงผมก็จะสู้ให้ถึงที่สุด ผมจะไม่ยอมให้ไอ้พี่ทีมได้ทำในสิ่งที่มันคิดไว้เด็ดขาด!!!
   
...แต่ดูเหมือนว่าผมจะคิดผิด! เพราะต่อให้ดินรนยังไง สุดท้ายพี่ปอก็สามารถปลดเข็มขัดกับตะขอกางเกงผมได้อยู่ดี และตอนนี้ก็กำลังจะรูดซิบกางเกงลงแล้วด้วย...!
   
ปัง!!!
   
ทุกคนทั้งห้องชะงัก! ในขณะที่ผมยิ้มออกมาด้วยความดีใจ... เมื่อจู่ๆ ประตูก็ถูกถีบออกอย่างแรง ก่อนจะเผยให้เห็น...พี่กัปตัน! ที่เดินเข้ามาพร้อมกับไอ้กบแล้วก็กลุ่มเพื่อนตัวสูงใหญ่ของพี่เขา ซึ่งผมพอจะรู้จักพี่ตะวันอยู่คนนึง...
   
"พี่กัปตัน ช่วยผมด้วย!!"
   
และในทันทีที่ผมตะโกนขอความช่วยเหลือออกไป พี่กัปตันที่เห็นสภาพของผมก็ยกพวกเข้าตะลุมบอนกับพวกของไอ้พี่ทีมในทันที!!
   
ผมได้แต่นั่งมองการชกต่อยที่ดุเดือดด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเจอกับอะไรแบบนี้ โดยเฉพาะพี่กัปตันที่ใส่ไม่ยั้ง O_O และในเวลาเพียงไม่นาน พวกของพี่กัปตันก็สามารถกุมชัยชนะเอาไว้ได้!
   
"พวกมึงพาพวกมันไปห้องปกครองก่อนนะ มึงด้วยไอ้กบ ไปรอที่ห้องปกครองก่อน เดียวทางนี้กูจัดการเอง"
'ทางนี้' ที่ว่าคงหมายถึงผมสินะ ซึ่งพอพี่กัปตันบอก ทุกคนก็ช่วยกันล็อคตัวพรรคพวกของไอ้พี่ทีมออกจากห้องไป เหลือเพียงแค่ผมกับพี่กัปตันเท่านั้น...
   
ผมได้แต่นั่งนิ่ง รอจนกระทั่งพี่กัปตันแกะเชือกที่แขนออกให้ เลยได้ทีรีบจัดการกับกางเกงและเข็มขัดก่อนเลย โดยมีพี่กัปตันแกะเชือกที่ขาออกให้
   
พอทุกอย่างที่กล่าวไปได้รับการจัดการเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็เหลือเสื้อนักเรียนที่ถูกปลดกระดุมออกหมดน่ะนะ ... แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เริ่มติดกระดุมให้เรียบร้อย พี่กัปตันก็ช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้น ก่อนจะเริ่มลงมือติดกระดุมให้แทน จนผมต้องออกปากห้าม
   
"ไม่เป็นไรหรอกพี่ เดี๋ยวผมติดเองได้"
   
"อย่าดื้อสิ เดี๋ยวพี่ติดให้เอง"
   
"..."
   
"เป็นไงบ้างฟาง เจ็บตรงไหนมั้ย?"
   
"..."
   
"แล้วกลัวมั้ย? ขอโทษนะที่พี่มาช้า พี่รีบที่สุดในชีวิตแล้วจริงๆ"
   
"..."
   
"ไอ้ทีมมันคงจะมาหาเรื่องฟางเพราะบทของแบมแบมอีกแล้วสินะ นี่สุดท้าย... พี่ก็ทำให้ฟางเดือดร้อนอีกจนได้"
   
"..."
   
"พี่ขอโทษนะ"
   
"..."
   
"ขอโทษจริงๆ"
   
"..."
   
ผมได้แต่ยืนฟังพี่กัปตันนิ่งๆ แล้วปล่อยให้พี่เขาช่วยติดกระดุมให้จนครบ... เอาจริงๆ ตั้งแต่ถูกพวกไอ้พี่ทีมพาตัวมาทีนี่ ผมคิดอยู่ในใจตลอดว่าผมเข้มแข็งมากพอที่จะไม่รู้สึกแย่ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พอได้ฟังในสิ่งที่พี่กัปตันพูดออกมา... ใจผมก็อ่อนยวบ! ทุกอย่างกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือไปเลย จากที่คิดว่าไม่กลัว ก็กลายเป็นตัวสั่นเทาขึ้นมา และจากที่คิดว่ายังไงก็จะไม่มีทางร้องไห้...
   
...มันก็ไหลออกมาไม่หยุด!
   
แต่ผมไม่สนใจอีกแล้วล่ะ จะความรู้สึกแบบไหนก็ช่างมัน! เพราะในทันทีที่ผมโผเข้ากอดพี่กัปตัน แล้วถูกแขนใหญ่ๆ คู่นั้นกอดตอบกลับมา มันทำให้ผมรู้ว่า...
   
...ผมไม่จำเป็นจะต้องกลัวอะไรอีกแล้ว

จบบทที่ 6

แฮมสเตอร์ : ขอบคุณที่อ่านนะครับ ถ้าหากชอบ หรืออยากพูดคุยถึงเรื่องนี้ในทวิตเตอร์
ฝากรบกวน #บทนางเอก ด้วยนะครับ

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
ก่อนเปิดม่านครั้งที่เจ็ด
เรานอนกันดีกว่านะครับ



“ฟางไม่น่าไปลดโทษให้มันเลย!”
   
พี่กัปตันบ่นผมเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ในขณะที่พี่เขากำลังไขกุญแจเข้าไปในห้องที่คอนโดด้วยความยากลำบาก จนผมต้องเข้าไปช่วยแบ่งของที่ซื้อมามาถือเอาไว้ส่วนนึง
   
“เลิกบ่นเถอะพี่ ผมว่าจบแบบนี้มันก็ดีที่สุดแล้ว”
   
“ดีบ้าอะไร คนชั่วไม่โดนลงโทษเนี่ยนะดี!”
   
...พี่กัปตันไขกุญแจเข้าไปในห้องได้สำเร็จ แต่ก็รอให้ผมเดินเข้าไปด้านในก่อน พี่แกถึงจะปิดประตูเดินตามหลังเข้ามา
   
โอเค... ผมรู้ว่าผมใจอ่อนเกินไปสำหรับเรื่องนี้ ภายหลังจากที่เรื่องไปถึงฝ่ายปกครองแล้ว ...ตอนแรกผมคิดว่าไอ้พี่ทีมมันจะมีพ่อแม่เป็นคนใหญ่คนโต แต่กลับกลายเป็นว่าผมคิดผิดถนัด แถมยังไม่มีเส้นมีสายที่จะช่วยลูกชายได้ด้วย ผมก็เลยเกิดใจอ่อนขึ้นมา ว่าให้ทางฝ่ายปกครองลงโทษตามแต่เห็นสมควร ขอเพียงแค่ไม่ลาก่อนก็เป็นพอ ส่วนพวกลูกน้องคนอื่นๆ นี่ผมแทบจะไม่เอาเรื่องเลย โดยเฉพาะพี่ที่ชื่อปอ ที่ต้องยอมทำตามคำสั่งของไอ้พี่ทีมเพราะติดหนี้มันนั่นแหละ
   
ซึ่งพอผลมันออกมาเป็นแบบนั้น อาจารย์ฝ่ายปกครองก็ดูจะสบายใจมากขึ้น เพราะพวกท่านก็คงไม่อยากจะให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต คงอยากให้มันจบอยู่แค่ในโรงเรียนเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่โวยวายหนักสุดดันเป็นพี่กัปตันที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้เลย จนอาจารย์ท่านนึงต้องบอกให้เพื่อนของพี่กัปตันพาพี่แกออกไปสงบสติอารมณ์ด้านนอก
   
เห้อออออ~ ผมมันโหดไม่พอสินะ T__T
   
“เอาน่าพี่กัปตัน อย่าอารมณ์เสียไปเลยนะพี่ นี่มันก็เย็นมากแล้ว เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมทำกับข้าวให้พี่กินเลยก็แล้วกัน จะได้อารมณ์ดีขึ้น ^-^” ผมพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดพี่กัปตันก็ยอมลดความโกรธลงได้
   
“ก็ได้ แต่ถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ห้ามลดโทษให้คนที่มันทำร้ายฟางเด็ดขาด เข้าใจมั้ย!?”
   
“โอเคครับพี่ ผมจะโหดให้ได้มากกว่านี้ ผมสัญญา”
   
ผมทำหน้ามุ่งมั่น แต่ในใจนี่คือแบบ... กูทำไม่ได้หรอกกกก~ T__T!!
   
“ดีมาก”
   
พอหลังจากที่พี่กัปตันตอบรับแล้ว ผมก็จัดการหิ้วของที่ซื้อมาเข้าไปทำอาหารในครัวทันที เพราะว่าไหนๆ วันนี้ผมก็ต้องมาอาศัยที่นอนที่คอนโดของพี่กัปตันแล้ว แล้วยังต้องให้พี่เขาติวเข้มให้อีก ก็เลยขอทำกับข้าวให้พี่เขาซะเลย รับรองว่าพี่เขาจะต้องถูกใจแน่ ^O^
   
ผมใช้เวลาทำอยู่ไม่นานก็สามารถเสิร์ฟอาหารเย็นให้พี่กัปตันได้สำเร็จ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าพี่แกจะตื่นตาตื่นใจกับอาหารที่ผมทำมากๆ เพราะล้วนแต่เป็นของโปรดพี่กัปตันเขาชอบทั้งนั้น (ถามเอาน่ะ) ก็มี... ต้มจืดเต้าหู้ไข่ ปลาราดพริก หมูผัดขิง แล้วก็ไข่เจียวหมูสับง่ายๆ อีกอย่างนึง เป็นอันเสร็จพิธี
   
นี่ผมดีใจเหมือนกันนะที่ได้ทำกับข้าวให้พี่กัปตันกินแบบนี้ แล้วยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นว่าดูจะเจริญอาหารมากเลยด้วย เพราะบอกตรงๆ ว่าผมยังรู้สึกโชคดีไม่หายที่พี่แกเข้ามาช่วยผมเอาไว้ได้ทันน่ะ แถมยัง... เผลอไปกอดพี่เขาด้วย... ก็นะ ต้องโทษความอ่อนแอของตัวเองนั่นแหละ ก็เลยเผลอทำอะไรที่น่าขนลุกแบบนั้นได้... แต่ก็เอาเถอะ ถือซะว่าเป็นเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตก็แล้วกัน ฮ่าๆๆ~ ^-^
   
...หลังจากที่กินกันเสร็จ และช่วยกันเก็บล้างเรียบร้อยแล้ว พี่กัปตันก็ให้ผมเริ่มซ้อมทันทีหลังจากนั้น โดยใช้โซนห้องนั่งเล่นซึ่งค่อนข้างจะมีพื้นที่เยอะเลยทีเดียว เนื่องจากเป็นคนโดที่มีราคาสูงมาก จึงไม่แปลกที่จะมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าคอนโดอื่นๆ
   
"แล้วถ้าพ่อกับแม่พี่กลับมา เราจะซ้อมกันได้หรอ?" ผมตัดสินใจถามให้หายสงสัย เพราะว่าเริ่มคิดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนเข้ามาที่คอนโดแล้ว
   
"อ้าว นี่ไม่รู้หรอว่าพ่อกับแม่พี่เขาไม่ได้อยู่ที่กรุงเทพฯ น่ะ?"
   
"อ้าว!? พ่อแม่พี่ไม่ได้อยู่ที่กรุงเทพฯ หรอกหรอ"
   
"ฮ่าๆๆๆ ใช่แล้ว เพราะว่าพ่อแม่พี่ไม่ใช่คนกรุงเทพฯ แต่เป็นเจ้าของโรงแรมแปดดาวอยู่ที่เชียงใหม่น่ะ พอดีพี่อยากเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ท่านก็เลยซื้อคอนโดให้อยู่เองเลยนะ ก็... บางทีพี่ก็บินกลับไปหาพวกท่านบ้างในวันหยุด หรือไม่บางทีพวกท่านก็เป็นฝ่ายบินมา แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้แน่ สบายใจได้ :)"
   
"งั้นแบบนี้ก็แสดงว่าพี่กัปตันเป็นหนุ่มเชียงใหม่น่ะสิ?"
   
"แม่นละ อ้ายเป๋นคนเจียงใหม่ :)"
   
จู่ๆ พี่กัปตันก็ตอบรับกลับมาเป็นภาษาเหนือ ทำเอาผมรู้สึกจั๊กจี้ยังไงก็ไม่รู้ >__< ชอบอะ!
   
"ชอบอะ! พูดให้ฟังอีกได้ปะพี่"
   
"พอเลยๆ ขืนมัวแต่พูดภาษาเหนือ ไม่ได้ซ้อมกันพอดี"
   
ผมทำหน้างอน แต่ก็ยอมไปยืนในตำแหน่งที่พี่กัปตันบอกแต่โดยดี ส่งผลให้พี่แกหัวเราะผมใหญ่เลย -^-
   
...การซ้อมแบบติวเข้มเริ่มขึ้นจากตอนนั้น และกินเวลาจนดึกดื่น! พี่กัปตันค่อนข้างโหดกับผมมาก เรียกว่าให้ซ้อมกันแบบชนิดที่ว่าไม่มีวี่แววของการพักเบรคให้ได้เห็นแม้แต่ช่วงเดียว เวลาแสดงได้ดีนี่ก็ชมไม่หยุดปาก แต่เวลาแสดงพลาด เจอบ่นยาวจนไม่กล้าที่จะผิดพลาดซ้ำอีก T__T กลายเป็นว่าความกังวลที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานกลายเป็นเรื่องเด็กๆ ไปเลย เมื่อเทียบกับ 'คอสพิเศษ' ของพี่กัปตันน่ะ!
   
"พี่ครับ นี่มันดึกมากแล้วนะ ผมขอพักก่อนได้มั้ย รู้สึกเหงื่อออกจนจะหมดตัวแล้วเนี่ย น้ำก็ยังไม่ได้อาบ!" ผมเริ่มบ่นอย่างจริงจัง ทำเอาไอ้พี่หน้าดุที่สวมบทครูฝึกจอมโหดถึงกับแทบจะเอาบทในมือตีก้นผมเลยด้วยซ้ำ T___T โหดไปแล้วนะ!!
   
"บ่นหรอ!?"
   
"ต้องบ่นดิพี่ ซ้อมมาเกินครึ่งแล้ว พักก่อนไม่ได้เลยหรือไง ตั้งใจว่าจะให้ผมแสดงไปถึงไหนเนี่ย!"
   
"ก็จนกว่าจะจบนั่นแหละ"
   
"โห~ ไม่เอาอะพี่ ผมขอพอแค่นี้แล้วกัน"
   
แต่พอเห็นว่าผมทำท่าจะหยุด พี่กัปตันก็ทำท่าจะพุ่งเอาบทมาตีก้นผมอีกครั้ง จนผมถึงกับเอี้ยวหลบแทบไม่ทัน!
   
"ไหนบอกว่าอยากให้พร้อมก่อนวันซ้อมจริงไง แค่นี้ก็ถอดใจแล้วหรอ"
   
"โหพี่ ผมไม่ได้ถอดใจนะ แต่นี่ผมยังไม่ได้พักเลย ใครเจอแบบนี้แล้วไม่เหนื่อยให้มาเหยียบหน้าผมเลยเอ้า!"
   
"มีสิ แบมแบมไง"
   
O_O วะ...ว่าไงนะ!? พี่แบมแบมงั้นหรอ!? แบบนี้ก็แสดงว่าพี่เขาเคยมาเข้าคอสพิเศษกับพี่กัปตันสินะ!?
   
"จริงหรอพี่? งั้นก็แสดงว่าพี่แบมแบมเขาเคยมาเข้าคอสพิเศษกับพี่เหมือนผมเลยน่ะสิ"
   
"คอสพิเศษน่ะใช่ แต่ไม่ใช่กับพี่หรอก เป็นคอสพิเศษของรุ่นพี่ที่จบไปแล้วน่ะ ตอนนั้นพี่ยังเป็นแค่นักแสดงประกอบอยู่เลย"
   
"เอ้า แล้วพี่ไปเห็นได้ไง"
   
"ก็ซ้อมอยู่ด้วยกันนั่นแหละ"
   
"อ๋อ แล้ว..."
   
"พอเถอะ เลิกถามได้แล้ว ซ้อมต่อ"
   
…จู่ๆ พี่กัปตันก็เปลี่ยนอารมณ์จนผมตามไม่ทัน มันทำให้ผมรู้สึกได้ถึง 'บางอย่าง' ระหว่างพี่แบมแบมกัปพี่กัปตัน แต่ก็... ไม่รู้แน่ชัดนักว่ามันคืออะไร?
   
แต่เดี๋ยวนะ! นี่จะให้ผมซ้อมอีกแล้วหรอ ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ นะ!!!
   
"เอาล่ะ..." พี่กัปตันเปิดดูบทต่อไปโดยไม่สนใจเสียงโอดครวญของผมเลยสักนิด! "ต่อไปเป็นบทที่เจ้าหญิงคางุยะจะต้องสั่งให้เจ้าชายทั้งห้าไปนำสิ่งของมาให้ เพื่อเป็นการทดสอบ อืม... ตรงนี้พี่อยากให้ฟางดูมีความนิ่งสงบ แต่ก็ต้องแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์นิดๆ ด้วย เพราะเจ้าหญิงคางุยะยื่นข้อเสนอโดยที่รู้อยู่แล้วว่าเจ้าชายทั้งห้าพระองค์จะต้องทำไม่ได้... นี่ ฟังพี่อยู่รึเปล่าฟาง?"
   
พี่กัปตันถามขึ้นเมื่อเห็นว่าผมทำหน้าเหม่อลอยเหมือนคนตายซาก ซึ่งความเป็นจริงผมก็ฟังพี่เขาอยู่นั่นแหละ แล้วก็เข้าใจดีด้วย เพียงแค่เหนื่อยจนไม่มีอารมณ์ร่วมจะพยักหน้าตามเท่านั้นเอง
   
"ฟังสิ เข้าใจหมดแล้วด้วย แต่ขอพักสักสิบนาทีได้มั้ย ฉากนี้มันต้องใช้พลังเยอะมากเลยนะ ไหว้ล่ะพี่ -/\-"
   
ผมถึงขั้นยกมือไหว้ขอร้องกันเลยทีเดียว คิดว่ายังไงพี่กัปตันก็ต้องยอมแน่ๆ แต่ผิดคาด...!!
   
"ไม่อนุญาตเด็ดขาด!"
   
ไอ้... ไอ้... ไอ้เผด็จการรรรรรรรรรร!!!
   
ผมอยากจะกระโดดเข้าไปจับหัวพี่กัปตัน แล้วโยกมันแรงๆ สักยี่สิบที เอาให้พี่แกมึนไปเลย!!!
   
ผมพยายามควบคุมอารมณ์ไว้... ในเมื่อพักไม่ได้ ก็ต้องตั้งสมาธิให้สูงที่สุด เวลาที่แสดงจะได้ออกมาดี แล้วจะได้มีอะไรไปต่อรองกับไอ้จอมเผด็จการได้บ้าง!
   
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะตั้งสมาธิได้เลย ผมก็เกิดคิดขึ้นมาว่า อยากจะลองแสดงแบบขำๆ ออกไป เผื่อจะช่วยลดความเครียดที่กำลังก่อตัวอยู่ในห้องนี้ได้บ้าง ก็เลย... "หม่อมฉันจะยอมแต่งงานกับเจ้าชายพระองค์ใดก็ตามที่สามารถ... ฮ่าๆๆๆๆ~" ...แกล้งพูดบทออกมาด้วยเสียงแหลมปรี๊ด ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมากับสิ่งที่ตัวเองทำ ฮ่าๆๆๆ~ ตลกอะ >O<
   
แต่... พี่กัปตันดันไม่ขำซะงั้น =__=!!
   
"ไม่ตลกนะฟาง!" พี่กัปตันทำเสียงดุ ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาผมที่ยังคงหัวเราะไม่เลิก ตอนแรกคิดว่าจะเข้ามาตี แต่กลับกลายเป็นว่า...
   
...เข้ามาหยิก!!!
   
"อื้ออออออออ~!!!"
   
ผมร้องเสียงแหลมเลย ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาโดยอัตโนมัติ ฮือออออ~ ฮือออออออ~!!!
   
"เฮ้ย! เป็นอะไร พี่ไม่ได้หยิกแรงเลยนะ -O-"
   
"ก็คนมันไม่ชอบนี่!!!"
   
ผมถึงกับตวาดทั้งน้ำตา ก่อนจะยกมือขึ้นลูบแขนบริเวณที่ถูกพี่กัปตันหยิกซ้ำไปซ้ำมา ทำเอาคนหน้าดุออกอาการเหวอไปเลยที่ผมมีปฏิกิริยาแบบนั้น แถมน้ำตาก็ยังไหลไม่ยอมหยุดด้วย!
   
"แต่พี่ไม่ได้หยิกแรงจริงๆ นะ -O-"
   
"จะหยิกแรงหยิกเบาก็ไม่ชอบ!! คนมันมีปมน่ะเข้าใจมั้ย... ฮึก... ฮืออออ... ตอนเด็กๆ แม่จ้างพี่เลี้ยงมาคนนึง ฟางทำอะไรไม่ถูกใจก็หยิกๆๆๆ จนกลายเป็นว่าความเจ็บมันฝังอยู่ในจิตไปแล้ว!"
   
นี่เรื่องจริงนะ! ผมมีปมกับการหยิกจริงๆ ไม่ได้แสดงละครเลยแม้แต่น้อย ตอนนั้นพ่อผมถึงกับฟ้องบริษัทพี่เลี้ยงเด็กเลยนะ T___T
   
"โอเคๆ พี่ขอโทษ พี่สัญญาว่าจะไม่ทำอีกแล้ว อย่าโกรธพี่เลยนะ อืม... งั้นเอางี้ พักการซ้อมก่อนก็แล้วกัน"
   
"ไม่!"
   
"อ้าว!?"
   
"ไม่พัก แต่จะหยุดเลย! แล้วก็จะไปอาบน้ำแล้วด้วย!!"
   
"เอ่อ... โอเคครับฟาง หยุดก็หยุดนะ ไม่ต้องซ้อมแล้ว จะ...จะอาบน้ำใช่มั้ย? โอเคๆ เดี๋ยวพี่รีบไปหยิบผ้าเช็ดตัดมาให้" ทันทีที่พูดจบ พี่กัปตันก็รีบวิ่งไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาให้อย่างรวดเร็ว สีหน้าท่าทางดูรู้สึกผิดมาก จนผมยอมลดอาการโกรธลงนิดนึง :(
   
แต่ถึงอย่างงั้น...
   
"คราวหน้าถ้าหยิกผมอีก ผมจะไม่มีทางยกโทษให้พี่แน่!"
   
...ผมก็ยังไม่วายมีปิดท้าย ก่อนจะเดินไปยังห้องนอนที่พี่กัปตันบอกว่าเป็นของผมในคืนนี้ ซึ่งมันมีห้องน้ำอยู่ในตัวด้วย
   
หึ! หวังว่าพี่เขาคงจะไม่กล้าหยิกผมอีกนะ -^-
   
* * * * * * *

หลังอาบน้ำเสร็จ
   
ผมเดินออกมาจากห้องด้วยชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นพร้อมนอน โดยที่มีผ้าขนหนูพาดคอมาด้วย เพราะยังเช็ดผมได้ไม่แห้งดีนัก
   
ซึ่งตอนที่เดินออกมานี่อารมณ์ผมเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้วนะ เพราะในระหว่างที่อาบน้ำเกิดคิดได้ว่าพี่กัปตันเขาทำไปโดยไม่รู้จริงๆ เพราะฉะนั้น คนไม่รู้ก็ย่อมไม่ผิดน่ะนะ
   
"อ้าว อาบเสร็จแล้วหรอ" พี่กัปตันหันมาถาม เมื่อเห็นว่าผมเดินไปนั่งลงใกล้ๆ
   
ตอนนี้พี่กัปตันเองก็ดูเหมือนว่าจะอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว เพราะไม่ได้อยู่ในชุดนักเรียนอีกต่อไป แต่กลับอยู่ในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นแทน แถมยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่มาจากตัวพี่เขาด้วย -..-
   
"นี่พี่ก็ชอบดู One Piece เหมือนกันหรอ?" ผมเลือกที่จะตอบด้วยคำถาม เมื่อเห็นว่าตอนนี้โทรทัศน์กำลังฉายการ์ตูนเรื่องโปรดของผมอยู่
   
"เปล่าหรอก พอดีเปิดมาเจอน่ะ เห็นว่าฟางชอบเรื่องนี้ พี่เลยลองดูบ้าง"
   
"แล้วเป็นไง สนุกมั้ย?" ผมถามความคิดเห็น
   
"ก็สนุกดีนะ แต่ดูไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ เพราะไม่เคยดูตั้งแต่แรก"
   
"งั้นเอาไว้ว่างๆ เดี๋ยวผมจะแบกการ์ตูนเรื่องนี้ตั้งแต่เล่มแรกยันเล่มล่าสุดมาให้พี่อ่านเลย รับรองว่าจะต้องติดใจแน่"
   
ผมทำหน้ามั่นใจ จนพี่กัปตันถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนว่าหัวเราะหน้าตามั่นใจของผม หรือขำในความบ้าการ์ตูนของผมกันแน่ แต่ก็เอาเถอะ ไว้ลองพี่เขาได้อ่านก่อน รับรองต้องบ้าเหมือนผมแน่ คอยดู :)
   
"แล้วนี่ทำไมไม่เช็ดผมให้แห้ง"
   
แต่ยังไม่ทันที่จะจบเรื่อง One Piece เลย พี่กัปตันก็ดันมาสนใจผมที่ยังเปียกอยู่ซะก่อน แล้วก็ถือวิสาสะคว้าผ้าเช็ดตัดขึ้นเช็ดหัวให้ผมแบบตามอำเภอใจเหมือนเดิม ซึ่งผมเองก็เหนื่อยที่จะห้ามแล้วล่ะ เลยหันหน้าไปหาพี่เขาแต่โดยดี พี่กัปตันจะได้เช็ดให้ถนัดๆ หน่อย
   
แรกๆ ก็เป็นการเช็ดที่ทำให้ผมเพลินดีน่ะนะ แต่ไหงไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นว่าพี่กัปตันดันแกล้งโยกหัวผมแรงๆ ซะงั้น!
   
"ฮ่าๆๆๆๆ" แถมยังหัวเราะชอบใจใหญ่! จนผมต้องรีบดึงผ้าออกทันที แล้วก็...
   
"..."
   
"..."
   
...แล้วก็ ... ทำให้ผมได้เห็นว่าหน้าของพี่กัปตันกับหน้าของผมอยู่ห่างกันแค่คืบ...!!!
   
ต่างฝ่ายต่างมองตากันอย่างไม่ยอมลดละ ทั้งๆ ที่แค่ถอยห่างจากกันก็จบแล้ว... แต่กลับไม่ทำอะไรสักอย่าง... ราวกับว่าทุกอย่างถูกหยุดไว้แบบนั้น... จนกระทั่ง...

   
'อุซปปปปปปปปปปปป~!!!'

   
เสียงคุ้นหูของ 'ลูพี่' ที่ตะโกนเรียกชื่อของอีกหนึ่งตัวละครดังมาจากโทรทัศน์!! ... ทำให้ผมได้สติ สามารถผละออกมาจากพี่กัปตันจนได้ แถมยังเป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นก่อนด้วย...
   
"เอ่อ... ผมว่า... ดึกมากแล้ว เรานอนกันดีกว่านะครับ"
   
"อื้ม... ก็ดีนะ..."
ทันทีที่สรุปกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็ตัดสินใจลุกขึ้นไปปิดโทรทัศน์ด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าตอนนี้ One Piece กำลังถึงตอนสนุกเลยก็ตาม แต่ก็นะ... นอนเถอะ!


จบบทที่ 7

แฮมสเตอร์ : ขอบคุณที่อ่านนะครับ ถ้าหากชอบ หรืออยากพูดคุยถึงเรื่องนี้ในทวิตเตอร์
ฝากรบกวน #บทนางเอก ด้วยนะครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-12-2016 17:26:46 โดย Hamzholic »

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
ก่อนเปิดม่านครั้งที่แปด
ทำไมต้องโกหก!?


พลิกไป… พลิกมา…
   
…พลิกมา …พลิกไป
   
โอเค… ผมว่าผมนอนไม่หลับแล้วแหละ!
   
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงยังลืมตาอยู่ได้ ทั้งๆ ที่ร่างกายมันก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงจากการซ้อมละครแบบโหดซะขนาดนี้ แต่กลับไม่อาจจะข่มตานอนให้หลับลงได้เลยจริงๆ นี่ก็ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากการนอนผิดที่ หรือเป็นเพราะ… ไอ้รุ่นพี่หน้าโหดที่นอนอยู่อีกห้องนึงกันแน่ =_=
   
ผมตัดสินใจพลิกตัวอีกหนึ่งครั้ง… ตอนนี้ผมกำลังนอนอยู่ในห้องนอนประจำของพี่กัปตัน ที่มีกลิ่นตัวของพี่กัปตันเต็มไปหมด หมายถึง… กลิ่นตัวด้านดีน่ะนะ -..-  เพราะอีกห้องใช้เอาไว้สำหรับเวลาที่พ่อแม่ของกัปตันมาพัก พี่เขาก็เลยย้ายไปนอนที่ห้องนั้นแทน เนื่องจากว่าผมค่อนข้างเกรงใจน่ะ เตียงพ่อแม่เขา ก็ต้องให้ลูกเขานอนสิถึงจะไม่น่าเกลียด … แต่ถึงจะนอนคนละห้องกัน ซึ่งมันก็ทำให้ผมสบายใจน่ะนะ แต่ทำไม… กลับทำให้ผมคิดถึงพี่กัปตันตลอดจนนอนไม่หลับเลย เอ่อ… หมายถึงว่าคิดถึงเฉยๆ นะ ไม่ใช่คิดถึงแบบ… โอ้ยยย! ช่างมันเถอะ ยิ่งพูดก็ยิ่งงงไปกันใหญ่ ผมว่าผมลุกออกไปหาน้ำกินดีกว่า!
   
เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมก็ตัดสินใจลุกออกจากเตียงในทันที แล้วเดินออกไปหาน้ำดื่มในครัว โดยไม่เปิดไฟเลยแม้แต่ดวงเดียว เพราะกลัวว่าแสงจะรอดเข้าไปในห้องของพี่กัปตัน นอกจากจะไม่ปิดไฟแล้ว ยังต้องเดินอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงดังจนเจ้าของห้องตื่นด้วย เอ? บริบทแบบนี้มันคล้ายๆ กับ… พวกโจรย่องเบายังไงก็ไม่รู้นะ =_=
   
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เจตนาผมก็มีเพียงแค่ไม่ต้องการรบกวนพี่กัปตันเท่านั้นแหละ เพราะขืนแกตื่นมาเจอกับผมตอนนี้ ผมก็ต้องเห็นหน้าพี่เขาอีก แล้วสุดท้ายก็จะ ‘คิดถึง’ ไม่เลิกจนนอนไม่หลับอีก เห้อออออ~ คนอะไรทำไมถึงได้มาวนเวียนอยู่ในหัวผมนานขนาดนี้นะ เรียกว่า… หลอนจนนอนไม่หลับเลยเนี่ย!
   
ผมพยายามสะบัดหัวแรงๆ สองสามทีเพื่อไล่เรื่องไร้สาระออกไปจากหัวซะ ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลมั้ย? แต่มันก็พอจะช่วยให้ผมยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอย่างสบายใจมากขึ้น ก่อนจะจัดการล้างแก้วเก็บให้เข้าที่ (คือรู้ว่าถ้ากลับไปก็ยังไม่หลับไง เลยล้างแก้วซะเลย!) ซึ่งทุกอย่างก็ยังคงเป็นปกติดี จนกระทั่ง…!
   
พรึ่บ!!
   
จู่ๆ ไฟในห้องครัวก็สว่างวาบขึ้น ขณะที่ผมกำลังตั้งท่าจะเดินกลับไปที่ห้อง ทำให้เห็น… O_O!! พะ…พี่กัปตัน… พี่กัปตันยืนอยู่ที่ประตูครัวโดยสวมอันเดอร์แวร์ของ Calvin Klein เพียงตัวเดียว!!!
   
O_O โอ้ มาย ก้อด!!!
   
“เป็นอะไร ทำไมทำตาโตแบบนั้นล่ะ?” พี่กัปตันถามออกมาด้วยความสงสัย หน้าตายังดูมีอาการง่วงอยู่เลย
   
“พะ…พี่กัปตัน!!”
   
“อะไร??”
   
“ทะ…ทำไมไม่ใส่เสื้อผ้า!!”
   
พี่กัปตันทำหน้างงเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงมองสำรวจตัวเองที่เล่นเปลือยท่อนบนโชว์ซิกแพ็คกับอันเดอร์แวร์ตัวเดียวแบบนั้น ไม่อายผีสางเทวดาเจ้าป่าเจ้าเขาเลยหรือไงนะ!! (ได้ข่าวว่าอยู่ในคอนโด) ละ…แล้วแทนที่จะเขินอาย รีบวิ่งไปใส่เสื้อผ้าอย่างที่ผมจินตนาการไว้ กลับบกลายเป็นว่าพี่เขาดันเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผมซะอย่างงั้น แถมยังเป็นรอยยิ้มแบบคนเจจ้าเล่ห์ซะด้วย! ไอ้อาการง่วงๆ ก่อนหน้านี้ก็หายไปหมดแล้วด้วย…
   
“ทำไมล่ะ แปลกตรงไหนกัน ก็พี่ชอบใส่แบบนี้นอนนี่นา :)
   
“ตะ…แต่ว่าวันนี้พี่ไม่ได้อยู่คนเดียวนะ ผมก็อยู่ด้วย พี่ควรจะแต่งตัวให้มันมิดชิดกว่านี้สิ!”
   
ไม่เอานะไอ้ฟาง! ต้องมองสูงๆ เข้าไว้ มองสูงๆ!!
   
“พอดีพี่เป็นพวกขี้ร้อนน่ะ ใส่เยอะๆ แล้วมันจะนอนไม่หลับ อย่าถือสากันเลยนะ :)
   
พี่กัปตันยังคงยิ้มเจ้าเล่ห์ต่อไป แถมยังค่อยๆ เดินก้าวเข้ามาใกล้ผมด้วย! ดูก็รู้ว่าจงใจจะแกล้งกันชัดๆ!! เพราะว่าตอนนี้ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าวมาก -///- คงจะแดงจนไอ้พี่หน้าดุนี่สังเกตได้แล้วล่ะมั้ง…
   
“โอเคๆ ตามใจพี่เถอะ งั้น… ผมไปนอนก่อนแล้วกันนะ”
   
“เดี๋ยวก่อนสิ :)
   
ผมตั้งใจว่าจะกลับไปที่ห้องของตัวเอง แต่ก็ถูกพี่กัปตันเอามือกันไว้ซะก่อน อา~ นี่พี่เขาจะทำอะไรกันแน่เนี่ย ผมชักจะไม่สนุกแล้วนะ หรือว่านี่… ผมจะกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงซะแล้ว!?
   
“พี่จะทำอะไรน่ะ!?”
   
พี่กัปตันไม่ได้แค่กางมือออกเพื่อกันตัวผมเท่านั้นนะ แต่ยังเดินอาดๆ เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ด้วย! จนผมไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากถอยหนี!
   
“ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แค่ยังไม่อยากให้ฟางกลับไปนอน เพราะว่าพี่มีเรื่องอยากคุยด้วย :)
   
“อะ…เอาไว้คุยกันตอนเช้าก็ได้พี่ ตอนนี้คงไม่เหมาะ!”
   
“ไม่เอา พี่จะคุยตอนนี้ เพราะพี่อยากรู้ว่า…”
   
“อ๊ะ!”
   
“…ทำไมฟางต้องหน้าแดงด้วย :)
   
ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อพบว่าตัวเองถอยหลังหนีจนติดกับเคาน์เตอร์ครัวแล้ว เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่กัปตันเข้ามาประชิดตัวผมแล้วด้วย!
   
น่ะ…นี่มันจะแนบเนื้อไปแล้วนะ!!!
   
“ปล่อยน่ะพี่!!” ผมพยายามดันกล้ามแขนแข็งแรงที่คร่อมตัวผมอยู่ออก ในขณะที่หน้าของผมกับพี่กับตันก็ห่างกันแค่คืบ ส่วนตัวนี่… ขอไม่พูดนะ ขอไม่พูดดดดด~~ T__T!!
   
“ไม่ปล่อย จนกว่าฟางจะตอบมาว่าทำไมต้องหน้าแดงด้วย :)
   
“กะ…ก็ผมเขินแทนพี่นี่ คนอะไรไม่อายฟ้าอายดิน!!”
   
“แล้วทำไมต้องเขินด้วย ไหนว่าไม่ชอบผู้ชายไง แล้วจะเขินทำไมล่ะ ผู้ชายเห็นผู้ชายเปลือย ก็ต้องปกติดิ :)
   
“ก็…” โอ้ยยยยยยยยยยย~ ไม่รู้ว่าควรจะเถียงอะไรออกไปเลยจริงๆ!! คือแบบ… จริงอยู่ที่ว่าเวลาผู้ชายเห็นผู้ชายด้วยกันเปลือยมันก็ต้องไม่รู้สึกอะไรอยู่แล้ว แต่พี่กัปตันนี่มันจัดว่าเป็น ‘คนรู้จัก’ แล้วไง จะให้มาเฉยๆ มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ป่าววะ!? แต่คิดว่าถ้าพูดไปก็คงจะป่วยการ เพราะดูก็รู้ว่าไอ้หน้าดุนี่มันจงใจจะแกล้วผมอยู่แล้ว! ดังนั้น… “เอาเถอะ ผมจะรู้สึกยังไงมันก็เรื่องของผม แต่ถ้าพี่ไม่ยอมปล่อยผมนะ ผมขึ้นเข่าใส่…แน่!!”
   
ผมตัดสินใจขู่อย่างจริงจัง กะว่าถ้าพี่กัปตันยังไม่ยอมปล่อย ผมจะขึ้นเข่าใส่…ของพี่กัปตันแรงๆ สักที เอาให้จุกจนลงไปนอนกองกับเพื่อนเลย!!
   
“โห~ โหดจัง :)” ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะได้ผมนะ เพราะในทันทีที่ผมขู่ออกไป พี่กัปตันก็ยอมผละออกจากผมในที่สุด
   
ผมไม่อยู่ต่อความยาวสาวความยืดอีกต่อไป ในเมื่อตอนนี้พี่กัปตันดูห่างออกจากผมเพื่อเซฟตัวเอง ผมเลยอาศัยจังหวะนั้นรีบวิ่งหนีออกจากครัวแล้วเข้าห้องนอนในทันที! แต่ก็ยังไม่วายมีเสียงของตัวร้ายหัวเราะไล่หลังมาด้วย!!
   
“ระวังจะเก็บภาพพี่ไปฝันนะครับน้องฟาง ฮ่าๆๆๆ~”
   
ผมทิ้งตัวลงกับเตียงอย่างแรงด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือความหงุดหงิดที่ถูกไอ้พี่กัปตันแกล้งเข้าใจได้ แถม… ภาพเต็มตัวของพี่กัปตันที่ใส่แค่อันเดอร์แวร์ตัวเดียวก็เข้ามาติดอยู่ในหัวผมอีก!!
   
โอ้ยยยย~ แล้วแบบนี้จะนอนหลับมั้ยเนี่ย TT__TT

* * * * * * *
   
เช้าวันต่อมา
   
การเริ่มวันใหม่เป็นอะไรที่ค่อนข้างยากลำบากมาก เพราะในขณะที่ผมพยายามลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ พี่กัปตันก็จะคอยส่งยิ้มกรุ่มกริ่มมาให้ผมตลอด!! ขนาดว่าผมหนีเข้าไปทำอาหารเช้าให้ในครัว พี่แกยังตามมายิ้มกรุ่มกริ่มให้เลย จะออกปากไล่ก็ไม่กล้า เดี๋ยวจะมีช่องว่างให้ไอ้พี่กัปตันมันสามารถแกล้งผมได้อีก แบบว่า… ‘ทำไมต้องไล่ด้วย พี่ก็แค่ยิ้มเอง ไหนฟางบอกว่าไม่ชอบผู้ชายไง แล้วพี่ยิ้มให้มันจะเป็นอะไรไปล่ะ :)’ …นี่คือผมคิดเองนะ แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าจะต้องโดนพูดแบบนี้ใส่แน่ๆ ถ้าไล่พี่แกออกไปก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ปล่อยเลยตามเลยดีกว่า -^-
   
ซึ่งพอผมทำอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะช่วยให้พี่กัปตันหยุดยิ้มกรุ่มกริ่มใส่ผมได้บ้าง จนกระทั่งมันเกิดเหตุการณ์ที่ว่า…
   
“อร่อยจังเลยฟาง ฝีมือแบบนี้นี่เปิดร้านอาหารได้สบายเลยนะ” พี่กัปตันชมด้วยรอยยิ้มธรรมดาๆ ทั่วไป ก่อนจะตักคำใหญ่ๆ ใส่ปากเพื่อโชว์ให้ผมเห็นว่ามันเป็นมื้อที่อร่อยจริงๆ แล้วด้วยความที่คำมันใหญ่ไง ก็เลยมีเม็ดข้าวเลยออกมาติดที่มุมปากของพี่เขาอย่างไม่รู้ตัว ซึ่ง… ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้ผมยื่นมือไปหยิบข้าวเม็ดนั้นออกมา…
   
“ดูซิ กินเลอะเทอะเป็นเด็กๆ ไปได้นะพี่”
   
ก็เลยทำให้… พี่กัปตันส่งยิ้มกรุ่มกริ่มให้ผมอีกครั้ง T__T
   
ผมต้องพยายามไม่คิดมากกับรอยยิ้มกรุ่มกริ่มบนใบหน้าของพี่กัปตัน ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วแทบจะเลิกคิดถึงมันไม่ได้! แถมยังลามนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืนที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่ ‘หน้าใกล้กัน’ ที่หน้าโทรทัศน์ จนถึง ‘ฉากประชิด’ ในห้องครัว นี่ดีนะที่เมื่อคืนผมไม่เก็บเอาไปฝันด้วย ไม่งั้นผมได้รู้สึกอยากจะบ้าตายมากกว่านี้แน่!!
   
…แต่ก็ยังมีอีกสิ่งนึงที่ช่วยให้พี่กัปตันสามารถเลิกยิ้มกรุ่มกริ่มใส่ผมได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งสิ่งนั้นก็คือการซ้อมละครแบบติวเข้มชนิดที่ว่าไม่มีหยุดพักเหมือนกับเมื่อคืนนี้ T__T ก็นะ ถือว่าต้องยอมแลกเอา ระหว่างซ้อมจนเหนื่อยตาย หรือว่าเจอยิ้มกรุ่มกริ่มจนจะเป็นบ้าตายน่ะ ต้องเลือกเอา ต้องเลือกเอาาาาา!!
   
โดยการซ้อมในวันนี้นั้น พี่กัปตันให้ผมเล่นต่อจากเมื่อคืนที่ค้างไว้จนกระทั่งจบเรื่อง ตอนแรกก็คิดว่า เออ จบแล้ว คงจะได้พักดื่มน้ำอะไรแบบนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าพี่กัปตันให้เริ่มซ้อมใหม่ตั้งแต่ต้น! แล้วคนอย่างผมมันมีทางเลือกมากนักหรอ T__T แน่นอนว่าไม่!
   
แต่ในขณะที่ผมกำลังจะเริ่มแสดงฉากแรกอยู่นั้นเอง จู่ๆ ไอโฟนที่ผมวางเอาไว้ใกล้ตัวก็สว่างวาบขึ้นมา ก่อนที่ผมจะเห็นว่ามีการโทรเข้ามาโดยพี่ฟิล์ม โอ้วววว~ ขอบคุณสวรรค์ T_T
   
“พี่กัปตัน พี่ชายผมโทรมา ผมต้องรับสายนี้อะ”
   
“โอเค รับเสร็จก็รีบมาซ้อมต่อนะ”
   
“รู้แล้วน่า!” ผมแสดงความไม่พอใจให้พี่กัปตันได้เห็นบ้างกับความโหดของเขา แต่เจ้าตัวกลับไม่สะทกสะท้านอะไรเลย แถมยังก้มดูบทต่อไปเรื่อยๆ อีกต่างหาก นี่… พี่กัปตันเขาจริงจังมากไปเปล่าวะ =_=?
   
ผมตัดสินใจเดินห่างออกมาจากพี่กัปตันก่อนที่จะรับสาย เพราะว่าตอนนี้พี่ฟิล์มคิดว่าผมอยู่บ้านไอ้กบ ถ้าเกิดว่ามีเสียงของคนที่ไม่ใช่ไอ้กบดังเล็ดรอดเข้าไปตามสาย กลัวว่าจะต้องสร้างเรื่องเพื่ออธิบายกันยาว…
   
“ว่าไงพี่ฟิล์ม คิดถึงฟางสินะ ถึงได้โทรมาน่ะ” ผมกรอกเสียงลงไปอย่างร่าเริง แต่กลับกลายเป็นว่า…
   
(ทำไมต้องโกหก!?)
   
…พี่ฟิล์มดันตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงโกรธๆ ซะอย่างงั้น!
   
ตายล่ะ นี่พี่ฟิล์มจับได้แล้วหรอเนี่ย!?
   
“ฟะ…ฟางไปโกหกอะไรพี่ฟิล์มที่ไหนกัน”
   
(ก็โกหกเรื่องที่บอกว่าจะไปนอนบ้านกบ แต่กลับไปนอนค้างกับรุ่นพี่ที่ชื่อกับตันน่ะสิ!)
   
อาาาา~ ซวยแล้ว! พี่ฟิล์มจับได้แล้วจริงๆ ด้วย TT_TT
   
เป็นเพราะว่าเมื่อวานนี้ตั้งใจว่าจะเตี๊ยมกับไอ้กบแล้วแหละ แต่ยังไม่ทันจะได้เล่ารายละเอียดว่าทำไมถึงมานอนค้างที่คอนโดพี่กัปตันเลยด้วยซ้ำ ก็ถูกไอ้พี่ทีมเข้ามาหาเรื่องซะก่อน เป็นไงล่ะ ความแตกเลย T__T
   
“พะ…พี่ฟิล์มรู้ได้ไงว่าฟางไม่ได้ไปค้างที่บ้านไอ้กบ”
   
(พี่แวะไปที่บ้านกบมา ตั้งใจจะเอาขนมไปให้ฟางกับกบ เพราะเห็นว่าต้องซ้อมละครกัน แต่กลายเป็นว่าพี่ไม่เห็นแม้แต่เงาน้องตัวเอง!)
   
“อา~ ใจเย็นก่อนดิพี่ฟิล์ม เรื่องนี้ฟางอธิบายได้นะ T__T” ผมเริ่มเสียงอ่อยลงเรื่อยๆ หวังว่าจะให้พี่ฟิล์มเห็นใจผมบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ผล…
   
(ยังไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น ฟางรีบกลับมาที่บ้านเดี๋ยวนี้เลย อ้อ แล้วก็พาไอ้คนที่ชื่อกัปตันมาด้วยนะ งานนี้คงมีเรื่องที่จะต้องคุยกันยาว!!)
   
“แต่ว่า…”
   
ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร พี่ฟิล์มก็วางสายไปซะแล้ว เล่นเอาซะผมอยากจะร้องไห้ออกมาเลย T__T ฮือ~ ไม่น่าโกหกพี่ฟิล์มเลยอะ ลำพังกลับบ้านไปโดนเทศน์ก็ยังไม่เท่าไหร่หรอกนะ แต่นี่พี่ฟิล์มเล่นให้ผมพาพี่กัปตันไปด้วยน่ะสิ คราวนี้ล่ะ คงได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่!
   
แล้วนี่… ผมจะบอกกับพี่กัปตันยังไงดีล่ะเนี่ย T__T
   
“พี่กัปตัน…”
   
ผมเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่นด้วยอารมณ์ที่ต่างไปจากตอนแรกมากๆ จนพี่กัปตันที่กำลังสนใจบทอยู่ต้องรีบหันมาสนใจผมแทน
   
“เป็นอะไรไป ทำไมทำหน้าอย่างกับจะร้องไห้? แล้วเมื่อกี้ใครโทรมา เอ๊ะ หรือว่าไอ้ทีมมันโทรมาขู่!?”
   
แหมๆ อย่าเพิ่งมโนตอนนี้ได้มั้ยครับ ฟังผมพูดให้จบก่อนสิพี่!
   
“ไม่ใช่หรอกพี่กัปตัน แต่ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วแหละ T_T”
   
“เรื่องอะไร?”
   
“พี่ชายผมจับได้ว่าผมโกหกเรื่องที่มานอนคอนโดพี่กัปตัน ก็เลยสั่งให้ผมรีบกลับบ้านด่วน T_T”
   
“อ้าว!? แล้วไปโกหกพี่เขาทำไมล่ะ”
   
“ก็จะให้บอกว่ามาค้างที่คอนโดพี่ได้ยังไงล่ะ ในเมื่อพี่ยังไม่ได้ผ่านขั้นตอนการสอบสวนจากพี่ฟิล์มเลย ผมก็เลยต้องโกหกว่าไปนอนบ้านไอ้กบแทน แต่ก็ช่างมันเถอะ ยังไงตอนนี้ก็ความแตกแล้ว ผมคงต้องรีบกลับบ้านโดยด่วน T_T”
   
“โอเค งั้นไปเก็บของเลย แล้วก็ไม่ต้องปฏิเสธนะ เพราะว่าเดี๋ยวพี่จะนั่งรถไปส่งเราที่บ้านเอง”
   
“ไม่ต้องกลัวพี่ คราวนี้ผมไม่ปฏิเสธพี่แน่ T_T”
   
“อ้าว ทำไมล่ะ? ปกติเห็นดื้อตลอด”
   
“เอ่อ.. ก็เพราะว่าพี่ฟิล์มเขาเรียกพี่ไปพบด้วยน่ะสิ T__T”
   
“อ้าวววว~ งานเข้าซะงั้น =_=”
   
“T_T”

* * * * * * *
   
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
   
ผมและพี่กัปตันมาถึงบ้านภายในเวลาครึ่งชั่วโมง ด้วยการเร่งคนขับแท็กซี่ยิกๆ ทำเอาลุงแกเหยียบไปเกือบร้อยยี่สิบด้วยความโมโห! ซึ่งเป็นอะไรที่น่าหวาดเสียวมาก T__T แต่ก็ต้องอดทน เพราะจะต้องทำเวลาให้เร็วที่สุด แต่เมื่อมาถึง…
   
…ผมกลับไม่กล้าเข้าบ้านซะงั้น T^T
   
“ทำไมไม่เข้าบ้านล่ะฟาง?” พี่กัปตันถามเมื่อเห็นว่าผมยืนจับประตูรั้วไม่เลิก แต่ไม่ยอมเปิดเข้าไปสักที
   
“เดี๋ยวพี่ ขอเวลาเดี๋ยว T_T”
   
ให้ตายเถอะ! ทั้งที่ความเป็นจริงก็คือผมโกหกว่าจะไปนอนบ้านไอ้กบ แล้วไปค้างที่คอนโดพี่กัปตันเพื่อซ้อมบทละครล่วงหน้า แต่ทำไม… ผมกลับรู้สึกเหมือนว่า… ผมเป็นผู้หญิงที่โดนพ่อจับได้เรื่องที่โกหกว่าไปนอนบ้านเพื่อน แต่ที่จริงแล้วหนีไปนอนบ้านผู้ชายอะไรแบบนั้นเลย มันฟีลลิ่งนั้นจริงๆ นะ T^T
   
“เปิดเข้าไปได้แล้ว ยิ่งช้าก็ยิ่งปล่อยให้พี่เขารอนะ หัดคิดถึงคนที่เขากำลังรออย่างร้อนใจอยู่บ้างสิ”
   
“เออๆ รู้แล้วน่า T__T”
   
แล้วในที่สุดผมก็ตัดสินใจเดินเข้าบ้านไปพร้อมกับพี่กัปตันที่ดูจะไม่กลัวอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว กลับมองนั่นมองนี่ สนใจบ้านผมซะงั้น!
   
“มานั่งนี่” พอผมเดินเข้าไปถึงโซนห้องนั่งเล่น พี่ฟิล์มที่นั่งรออยู่แล้วก็สั่งให้ผมกับพี่กัปตันเข้าไปนั่ง ซึ่งเป็นน้ำเสียงที่โคตรจะนิ่งเลย T^T กลัวอะ!
   
แล้วพอผมกับพี่กัปตันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว พี่ฟิล์มก็เปิดฉากเทศน์ผมยกใหญ่เลย ซึ่งผมไม่โกรธพี่ฟิล์มหรอกนะ เพราะว่าทุกสิ่งที่พูดมาล้วนเป็นความจริงทั้งนั้น แล้วผมก็รู้ว่าพี่ฟิล์มเขาเป็นห่วงผมจนเกินพอดีด้วย แต่นั่นก็ไม่แปลก ผลจากการที่เราเสียพ่อและแม่ไป มันทำให้เราห่วงกันมากขึ้น อย่าว่าแต่พี่ฟิล์มห่วงผมเลย เวลาพี่ฟิล์มหายไปจากบ้านนานๆ ผมก็อดห่วงไม่ได้เหมือนกัน ราวกับว่าพวกเรายังไม่พร้อมจะเสียใครไปอีกตอนนี้ และเพราะว่าเป็นแบบนั้น ผมถึงได้ไม่กล้าที่ตอบโต้อะไรพี่ฟิล์มกลับไปสักคำ ในขณะที่พี่กัปตันเล่นสวนกลับไปไม่หยุด…!
   
“มันเป็นความผิดของผมเองครับพี่ฟิล์ม อย่าว่าฟางเลยนะครับ”
   
“นี่! นายจะออกรับแทนน้องฉันอีกนานมั้ย อย่าคิดว่าตัวเองไม่มีความผิดนะ ไว้ฉันพูดกับน้องฉันเสร็จเมื่อไหร่ นายคือรายต่อไป รู้ไว้ซะด้วย!”
   
“ถ้าอย่างงั้นก็รวบความผิดทั้งหมดมาที่ผมคนเดียวเถอะครับ… อะไร?” พี่กัปตันหยุดพูด แล้วหันมาสนใจผมที่กระตุกแขนเสื้อพี่เขาไม่เลิก เพราะผมต้องการจะเตือนให้พี่กัปตันหยุดเสียที แต่กลับกลายเป็นว่าพี่กัปตันไม่สนใจผมอีกแล้ว T^T ก่อนจะหันกลับไปหาพี่ฟิล์มต่อ… “นั่นแหละครับ อย่าว่าฟางเลย ถ้าจะโทษก็ให้โทษที่ผมคนเดียวเท่านั้น แต่ผมขอยืนยันอย่างลูกผู้ชายเลยนะครับว่าการไปค้างที่คอนโดผมครั้งนี้ ไม่มีเรื่องเสียหายอย่างแน่นอน เราสองคนแค่ไปซ้อมบทละครกันในฐานะนักแสดงกับผู้กำกับละครเท่านั้น และที่สำคัญคือเราแยกห้องนอนกันด้วยครับ ถ้าจะมีอะไรเสียหายมากที่สุด ก็น่าจะเป็นตอนที่… ฟางเห็นผมใส่อันเดอร์แวร์ตัวเดียวน่ะครับ”
   
O_O  ละ…แล้วไปบอกเขาทำมายยยยยยยยยยย!!!
   
“อะไรนะ!?”
   
“มันเป็นอุบัติเหตุน่ะครับพี่ คือผมใส่อันเดอร์แวร์ตัวเดียวนอน แล้วก็ออกมากินน้ำ พอดีเจอกับฟางที่ลุกมากินน้ำอยู่เหมือนกัน เรื่องมันก็มีแค่นั้นแหละครับ :)
   
หึ!! เรื่องมันก็มีแค่นั้นงั้นหรอ!? ไหนๆ ก็เล่ามาถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมพี่ไม่เล่าตอนที่พี่จู่โจมเข้ามาประชิดตัวผมไปด้วยเลยล่ะ!!
   
“โอเค อยากออกรับแทนน้องฉันมากใช่มั้ย งั้นตามมานี่ ไปคุยกันที่ห้องฉันแบบตัวต่อตัว!”
   
น่ะ…นั่นไง เข้าห้องสอบสวนแล้วววว~ T___T
   
“ได้ครับพี่” แล้วไอ้พี่กัปตันก็ดันไปเออออด้วยอีก ไม่รู้หรือไงว่ากำลังจะเจอสอบสวนชุดใหญ่น่ะ!! แล้วถ้าพูดอะไรไม่ถูกหูพี่ฟิล์ม อาจจะโดนอดีตนักมวยเสยคางเอาได้นะ!!
   
“เดี๋ยวก่อนพี่ฟิล์ม ไม่ต้องถึงขนาดนั้น…”
   
ผมพยายามจะห้าม แต่ว่า…
   
“หยุดเลยฟาง นี่ไม่ใช่เรื่องของเรา เป็นเรื่องของพี่กับไอ้หน้าดุนี่!”
   
“มะ…เมื่อกี้พี่เรียกผมว่าไงนะ!?” พี่กัปตันดูตกใจกับฉายาใหม่ที่ได้รับ
   
“ไอ้หน้าดุไง หน้าแกมันดุจะตาย จะให้เรียกว่าไอ้น่ารักหรอ!?”
   
“เอ่อ…” พี่กัปตันถึงกับเงิบ รีบหันหน้ามาหาผมเพื่อขอคำยืนยันว่าตัวเองหน้าดุจริงมั้ย? แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ได้แต่พยักหน้า เพราะว่าผมก็เรียกพี่เขาแบบนั้นเหมือนกัน พี่ฟิล์มกับผมนี่สมแล้วที่เป็นพี่น้องกันนะ T__T
   
“ตามมา!”
   
แต่พอเจอพี่ฟิล์มออกคำสั่ง จอมเผด็จการเด็กๆ อย่างพี่กัปตัน ก็ถึงกับต้องรีบวิ่งตามจอมเผด็จการผู้ใหญ่อย่างพี่ฟิล์มขึ้นไปบนห้องทำงานทันที…!
   
ผมที่กลายเป็น ‘คนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง’ ทำได้เพียงแค่กระวนกระวายใจอยู่ข้างล่างเท่านั้น เพราะว่าห้องทำงานของพี่ฟิล์มเป็นแบบเก็บเสียง ทำให้ผมไม่ได้ยินการสนทนาระหว่างพี่ทั้งสองคนนั้น ได้แต่รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รออยู่ที่ห้องนั่งเล่น จนผ่านไปเกือบ… ครึ่งชั่วโมงได้มั้ง ก็ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดตามมา พร้อมกับ… เสียงหัวเราะ!?
   
ทั้งพี่กัปตันและพี่ฟิล์มเดินลงมาที่ห้องนั่งเล่นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนกับว่าคุยกันถูกคอซะอย่างงั้น? ซึ่งผมไม่ค่อยจะเห็นแบบนี้เท่าไหร่นัก ขนาดไอ้กบยังเดินคอตกออกมาเลย น่ะ…นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!?
   
ผมพยายามส่งสายตาให้พี่กัปตันเป็นเชิงถามว่า ‘มันเกิดอะไรขึ้น?’ แต่ไอ้พี่หน้าดุกลับทำเพียงแค่ยิ้มหวานให้ผมเท่านั้น…!?
   
“เอาล่ะ พี่เข้าใจเรื่องทุกอย่างดีแล้ว แต่ถึงยังไงพี่ก็ต้องลงโทษเรื่องที่ฟางโกหกพี่อยู่ดี เพราะฉะนั้น ห้ามไปนอนค้างที่บ้านใครเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ เข้าใจมั้ย?”
   
“ขะ…เข้าใจครับ” ถึงไม่ห้าม ผมก็คงไม่กล้าไปนอนค้างบ้านใครอีกสักพักใหญ่ๆ เลยแหละ T_T
   
“แล้วก็ฝากส่งเจ้ากัปตันมันด้วย เดี๋ยวพี่จะขึ้นไปแต่งตัว เราเองก็เหมือนกันนะฟาง พอส่งกัปตันเสร็จแล้ว ก็รีบเข้าบ้านมาแต่งตัวดีๆ เดี๋ยวกลางวันนี้พี่จะพาไปกินข้าวนอกบ้าน เข้าจะมั้ย?”
   
“เข้าใจแล้วครับ”
   
ไม่ต้องงงว่าทำไมผมตอบได้แค่ว่า ‘เข้าใจแล้วครับ’ เพราะคนที่เขามีความผิดน่ะ เขาจะไม่ค่อยพูดมากกันหรอก ดูอย่างผมเป็นตัวอย่างนี่ไง T__T
   
ทันทีที่สั่งการทุกอย่างเรียบร้อย พี่ฟิล์มก็เดินขึ้นไปเปลี่ยนชุดบนห้อง เหลือแค่ผมที่เดินออกไปส่งพี่กัปตันที่หน้าบ้านเท่านั้น แต่ยังไม่ทันจะถึงประตู ผมก็ไม่อาจจะเก็บความสงสัยได้อีกต่อไป!
   
“มันเกิดอะไรขึ้นพี่กัปตัน ทำไมทุกอย่างถึงกลับตาลปัตรแบบนี้!?”
   
“ก็ไม่มีอะไรนี่ ^-^ พี่ว่าพี่กัปตันเขาก็คุยสนุกดีออก”
   
“แล้วเขาไม่สอบสวนอะไรพี่เลยหรอ!?”
   
“คำว่าสอบสวนมันเกินไปมั้ง ก็แค่ถามเฉยๆ น่ะ ส่วนใหญ่ก็คงจะอยากรู้ว่าทำไมพี่ถึงมายุ่งกับฟางนั่นแหละ”
   
“แล้วพี่ตอบไปว่าไง?”
   
“ก็บอกว่ามายุ่งด้วยในฐานะที่พี่เป็นผู้กำกับละครเวทีที่ฟางเล่นอยู่” อ๋อ~ แล้วไป -_- “แล้วก็มายุ่งในฐานะชายรักชายที่ต้องการจะจีบฟางด้วย :)
   
O_O อะ…อะไรนะ!!!
   
“เฮ้ย! พี่พูดถึงขนาดนั้นเลยหรอ!? แล้วพี่ฟิล์มเขาไม่ชกหน้าพี่เข้าให้หรือไง!!?”
   
“ฮ่าๆๆๆ~ ก็ไม่นี่ แถมยังบอกอีกนะว่าถ้าอยากจะจีบจริง ก็ขออย่าให้มีอะไรนอกลู่นอกทางก็แล้วกัน :)
   
“จะ…จริงดิ!? พี่ฟิล์มพูดแบบนั้นเลยหรอพี่!?”
   
นี่ผมว่าผมตกใจเยอะมากเลยนะ! อะไรมันจะขนาดนี้!!? ตอนแรกพี่ฟิล์มเรียกตัวมาเหมือนจะลงโทษประหารชีวิตผมกับพี่กัปตันซะอย่างงั้น แต่ไหงถึงได้จบลงแบบนี้ได้ นี่มันเรื่องจริงหรอเนี่ย!!?
   
“ก็จริงน่ะสิ พี่จะโกหกฟางทำไม ถ้าไม่เชื่อลองไปถามพี่ฟิล์มดูเองก็ได้ คงจะ… อยากได้พี่เป็นน้องเขยมั้ง ^^” นะ…น้องเขยงั้นหรอ!? “เอาล่ะ ส่งพี่แค่นี้ก็พอ แล้วไว้เจอกันนะ ^^”
   
พี่กัปตันบอกลาแค่นั้น ก่อนจะเดินจากไปเพื่อหารถแท็กซี่กลับบ้าน ส่วนผม… ได้แต่มองแผ่นหลังของพี่เขา สลับกับตัวบ้านที่มีพี่ฟิล์มอยู่ด้านใน ด้วยความสงสัยที่กำลังเริ่มก่อตัวเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ว่า… ทำไมนะ…
   
…ทำไมผู้ชายสองคนนี้ต้องมายัดเยียดความเป็นชายรักชายให้ผมด้วย!!!

จบบทที่ 8

แฮมสเตอร์ : ขอบคุณที่อ่านนะครับ ถ้าหากชอบ หรืออยากพูดคุยถึงเรื่องนี้ในทวิตเตอร์
ฝากรบกวน #บทนางเอก ด้วยนะครับ


ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
ก่อนเปิดม่านครั้งที่เก้า
ตัวร้ายไม่ได้มีแค่หนึ่ง


วันจันทร์
   
หลังจากวันนั้นที่พี่กัปตันกลับบ้านไปแล้ว และพี่ฟิล์มก็พาผมออกไปทานอาหารกลางวันนอกบ้านตามที่บอก ผมก็ตัดสินใจถามออกไปด้วยความอยากรู้ ว่าทำไมพี่ฟิล์มถึงได้พูดกับพี่กัปตัน ราวกับว่า… อนุญาตให้พี่กัปตันจีบผมอย่างงั้นแหละ??
   
แล้วคำตอบที่ได้กลับมาก็คือ…

‘คนอย่างฟางน่ะ ไม่เหมาะที่จะดูแลใครหรอก พี่ว่าให้คนอื่นมาดูแลฟางดีกว่านะ’

…ทำเอาผมเงิบ -O-
   
และปล่อยให้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ ‘เลยตามเลย’ ไปซะ เพราะผมจะถือซะว่า… ถ้าไม่พูดหรือไม่คิดถึงมัน มันก็จะไม่มีผลอะไรทั้งนั้น!
   
แต่ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ไปค้างที่คอนโดพี่กัปตันเพื่อซ้อมบทก็ตาม แต่ในวันหยุดที่ผ่านมาพี่กัปตันก็ยังติดต่อมาตลอด เพื่อถามถึงการซ้อมด้วยตัวเองของผม ซึ่งผมคิดว่ามันดีขึ้นมากหลังจากที่ผ่านมือพี่กัปตันมาแล้ว ผมเลิกกดดันตัวเอง และมีสมาธิในการซ้อมมากขึ้นทีเดียว
   
เอาล่ะๆ เลิกพูดเรื่องอดีตแล้วมาอยู่กับปัจจุบันกันบ้าง… จริงๆ การเรียนการสอนในวันนี้ก็ค่อนข้างจะเป็นไปตามปกตินะครับ แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันไม่ปกติก็คือ… วันนี้เป็นวันจันทร์ ซึ่งก็คือการซ้อมวันแรก!!
   
ผมตื่นเต้นขนาดที่ว่าเลิกเรียนปุ๊บ ก็ลากไอ้กบที่ห้องซ้อมปั๊บ แม้มันจะบอกว่าให้ไปหาอะไรกินก่อนก็ได้ แต่ผมก็ยังคงลากมันไปอยู่ดี แบบว่า… ก็ไม่ตื่นเต้นอะไรมากหรอกนะ แค่ไม่อยากให้คนในทีม Kaguya-Hime รอกันนานก็เท่านั้นเอ๊ง -..- (อ๊ะ! เผลอขึ้นเสียงสูง~)
   
“สวัสดีครับพี่ตะวัน แล้วพี่กัปตันล่ะครับ” ผมตัดสินใจเข้าไปทักคนที่พอจะรู้จัก ซึ่งก็คือพี่ตะวันนั่นเอง เพราะว่าไอ้กบมันขอตัวไปเข้าห้องน้ำ แล้วผมก็มองหาพี่กัปตันไม่เจอด้วย เลยไม่อยากยืนเปลี่ยวอยู่คนเดียวน่ะ (._.)
   
“อ้าว สวัสดีครับน้องฟาง หาไอ้กัปตันหรอ? อืม… เห็นว่ามันไปซื้อของกินมาให้นักแสดงนะ เดี๋ยวอีกสักพักก็คงมาแหละ”
   
“อ๋อ หรอครับ”
   
“งั้นเดี๋ยวพี่แนะนำนักแสดงคนอื่นๆ ให้รู้จักเอามั้ย จะได้รู้จักกันเอาไว้ ^-^” พี่ตะวันเสนอตัวช่วย แล้วมีหรอที่ผมจะกล้าปฏิเสธ ในเมื่อผมเองก็อยากจะรู้จักกับนักแสดงคนอื่นๆ ให้มากขึ้นอยู่แล้ว
   
“ดีเลยครับพี่ ^^”
   
“โอเค งั้นตามมาเลย”
   
พูดจบ พี่ตะวันก็พาผมเดินไปยังกลุ่มรุ่นพี่ผู้ชายประมาณสี่คนซึ่งกำลังนั่งคุยกันอยู่อย่างสนุกสนาน สาธุๆ หวังว่าเขาจะยอมเป็นมิตรกับผมนะ -/\-
   
“อ้าว ไอ้ตะวัน มาถึงแล้วหรอวะ?” พอเดินเข้าไปใกล้ รุ่นพี่ผู้ชายที่ออกจะผอมๆ หน่อยก็รีบกล่าวทักทายพี่ตะวันในทันที ก่อนที่ทุกคนจะเงยหน้าขึ้นมาทักทายตาม แล้ว… มองมาที่ผม!
   
“เออ มาถึงแล้ว นี่กูเลยพานางเอกของเรามาแนะนำให้รู้กับพวกมึงไว้ก่อน เวลาซ้อมจะได้ไม่ต้องเกร็งกันมาก ^-^
   
“สวัสดีครับพี่ๆ ผมชื่อฟางนะครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” ผมพยายามยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมถ่อมตนที่สุดเท่าที่จะทำได้
   
“โอ้ย ไม่ต้องไหว้หรอกครับน้อง พวกพี่ยังไม่แก่ถึงขนาดนั้น ฮ่าๆๆ~ พี่ชื่อ ‘ภพ’ นะครับ แสดงเป็นเจ้าชายหมายเลขหนึ่งครับ” พี่ชายตัวผอมที่ทักพี่ตะวันเป็นคนแรกเริ่มแนะนำตัว
   
อ๋อ~ ที่แท้พี่เขาก็รับบทเป็นหนึ่งในห้าเจ้าชายที่เจ้าหญิงคางุยะให้ไปให้หาของเพื่อทำการทดสอบนี่เอง
   
“ส่วนพี่ชื่อ ‘จักร’ นะครับ แสดงเป็นเจ้าชายหมายเลขสี่ครับ” แล้วต่อจากนั้น รุ่นพี่ที่ตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่มก็กล่าวแนะนำตัวขึ้นมา ผมก็รีบพยักหน้ารับในทันที
   
“ส่วนพี่ชื่อ ‘มะตูม’ รับบทเป็นเจ้าชายหมายเลขห้า” เสียงห้วนๆ ที่แนะนำตัวต่อจากพี่จักร เป็นรุ่นพี่ที่กำลังนั่งกดไอโฟนอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ถึงแม้เสียงจะห้วนยังไง แต่ก็ยังดูเป็นมิตรน่ะนะ
   
“พี่ชื่อ ‘ไม้’ เล่นเป็นเจ้าชายหมายเลขสองครับ” ส่วนคนสุดท้าย เป็นรุ่นพี่ผิวเข้มที่กำลังนั่งดูพี่มะตูมกดไอโฟนอยู่นั่นแหละ
   
สรุปก็คือ… ตอนนี้เรามีเจ้าชายทั้งหมดสี่พระองค์แล้ว ก็คือ… เจ้าชายภพ เจ้าชายจักร เจ้าชายมะตูม แล้วก็เจ้าชายไม้ เอ…? หายไปไหนอีกคนนึงนะ?
   
“แล้วเจ้าชายหมายเลขสามล่ะครับ” ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้รับคำตอบจากใครในกลุ่ม รุ่นพี่ที่ใส่แว่นหน้าตาดีก็เดินเข้ามานั่งรวมกลุ่มอีกคนนึง ซึ่งก็คงจะเดาได้ไม่ยากน่ะนะว่าพี่เขารับบทเป็นใคร
   
“อ้าว นี่มันนางเอกของเรื่องนี่หว่า” พี่แว่นเอ่ยทักขึ้นเมื่อสังเกตเห็นผมยืนอยู่ “แล้วนี่กำลังทำอะไรกันอยู่ ดูเป็นทางการเชียว?”
   
“กำลังแนะนำตัวให้น้องเขารู้จักกับนักแสดงคนอื่นๆ อยู่น่ะ” พี่ตะวันอธิบาย
   
“อ๋อ งั้นก็เหลือกูคนสุดท้ายสินะ ^-^ สวัสดีครับน้องฟาง พี่ชื่อ ‘วิทย์’ ครับ เล่นเป็นเจ้าชายหมายเลขสาม ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ดูเหมือนว่ารุ่นพี่คนนี้จะยิ้มแย้มแจ่มใสมากกว่าคนอื่นๆ เลย ซึ่งผมก็รู้สึกโล่งหน่อยๆ เพราะไม่มีรุ่นพี่คนไหนแสดงความไม่พอใจออกมาให้เห็นแม้แต่คนเดียว เอ… หรือว่าเขาแสดงกันเนียนนะ =_=
   
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”
   
“เอาล่ะ รู้จักกันหมดแล้วนะ งั้นเดี๋ยวกูพาน้องเขาไปรู้จักกับ ‘พราว’ ก่อนก็แล้วกัน” พี่ตะวันบอกกับเจ้าชายทั้งห้าพระองค์ ก่อนจะพาผมไปแนะนำให้คนที่ชื่อ ‘พราว’ ได้รู้จักต่อ
   
เดินมาจนถึงอีกมุมหนึ่งของห้อง ก็เจอกับรุ่นพี่ชายหญิงที่กำลังต่อบทกันอยู่อย่างจริงจัง จนผมไม่กล้าที่จะเข้าไปยุ่ง แต่พี่ตะวันดูจะไม่สนใจเลย พอเดินเข้าไปถึงก็เข้าแทรกทันที เอ่อ… =_=
   
“หยุดก่อนนะครับน้องๆ พี่ขอพานางเอกมาแนะนำให้รู้จักก่อน ^-^
   
“อ้าว สวัสดีจ้ะน้องฟาง พี่ชื่อพราวนะ รับบทเป็นแม่ของน้องฟางนั่นแหละ ฮ่าๆๆ~ ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะ ^O^” พี่ที่ชื่อพราวดูจะกระตือรือร้นในการแนะนำตัวให้ผมรู้จักมาก จนผมอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ … พี่คนนี้เองน่ะหรอที่จะมารับบทเป็นแม่ของเข้าหญิงคางุยะน่ะ
   
“สวัสดีครับพี่พราว ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ยังไงก็ของฝากตัวด้วยนะครับ”
   
“ได้เลยจ้ะ อ้อ! ส่วนพี่คนนี้ชื่อ ‘อาร์ท’ นะ รับบทเป็นตะเกะโตริ โนะ โอะกินะ หรือก็คือพ่อของฟางนั่นแหละ ^^” พี่พราวยังคงกระตือรือร้นต่อไป โดยการแนะนำให้ผมรู้จักกับรุ่นพี่ที่ชื่ออาร์ท ซึ่งก่อนหน้านี้กำลังต่อบทกับพี่พราวอยู่
   
โอ้ววว~ ในที่สุดผมก็ได้เจอคนตัดไผ่ในตำนานสักทีสินะ ฮ่าๆๆๆ ^O^
   
พี่อาร์ทยิ้มให้ผม และถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ แต่ผมก็รู้สึกว่าพี่เขาน่าจะเป็นมิตรเอามากๆ ดูจากรอยยิ้มน่ะนะ ^^
   
และในขณะที่พี่ตะวันจะพาผมไปรู้จักกับนักแสดงคนอื่นๆ ต่อ จู่ๆ ประตูห้องซ้อมก็ถูกผลักเข้ามา ก่อนจะเผยให้เห็นพี่กัปตันที่หิ้วขนมถุงใหญ่เข้ามาพร้อมๆ กับรุ่นพี่ผู้หญิงอีกสี่คนที่หิ้วถุงขนมเหมือนกัน
   
นักแสดงทุกคนที่อยู่ในรุ่นเดียวกับพี่กัปตัน รีบวิ่งเข้าไปหาอย่างกระตือรือร้น จนผมงงเลยว่าอะไรที่ทำให้พวกพี่เขาอยากกินของที่พี่กัปตันซื้อมาขนาดนั้น =_=;
   
“เห้ย! ถุงนี้ห้ามเด็ดขาดนะเว้ย!!”
   
แต่ถึงแม้ว่าถุงขนมจะถูกดึงไปจนเกือบหมดแล้ว แต่พี่กัปตันก็ยังออกโรงปกป้องถุงขนมถุงนึงในมืออย่างจริงจัง ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นถุงที่บรรจุขนมเอาไว้มากที่สุดเลย
   
“ทำไมต้องหวงขนาดนั้นด้วยวะกัปตัน” พี่ตะวันแซว ขณะที่ผมกับพี่เขาเดินเข้าไปหาพี่กัปตัน
   
“ก็ถุงนี้กูซื้อให้ฟางคนเดียว นี่… ฟังไว้นะ ถุงนี้เป็นของฟาง ห้ามใครกินเด็ดขาด ถ้าเกิดมีการฝ่าฝืน รับรองได้เจอดีแน่!!” ประโยคหลังนี่พี่กัปตันหันไปตะโกนบอกกับทุกๆ คนที่อยู่ในห้องซ้อม จนผมถึงกับต้องก้มหน้าหลบตานักแสดงคนอื่นๆ ที่เริ่มมองแล้วซุบซิบกัน ไอ้พี่กัปตันอะ! ชอบทำให้ผมเป็นจุดสนใจอยู่เรื่อยเลย!!
   
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้พี่ แบ่งๆ ให้คนอื่นบ้างเหอะ เยอะขนาดนี้ผมกินคนเดียวไม่หมดหรอก” ผมพยายามเจรจา แต่ว่า…
   
“ไม่ได้! ถุงนี้พี่ซื้อมาให้ฟางเท่านั้น ถ้ากินไม่หมดเดี๋ยวพี่ช่วยกินอีก คนอื่นห้ามยุ่ง!!”
   
…กลับทำให้คนหันมาสนใจมากกว่าเดิม T__T
   
“แต่ว่า…”
   
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ส่วนคนอื่นๆ รีบกินให้พอใจซะ แล้วเตรียมตัวซ้อมจริงในอีกสิบห้านะที จบเรื่องแค่นี้!”
   
พี่กัปตันพูดรวบทีเดียว ก่อนจะส่งถุงขนมยักษ์ให้ผม! แล้วหิ้วอีกสองถุงใหญ่ๆ ไปให้กับ ‘ฝ่ายแบ็คสเตจ’ ที่ต้องมาเข้าร่วมซ้อมในการเปลี่ยนฉาก และจัดตำแน่งของอุปกรณ์ประกอบฉากต่างๆ ด้วย ฝ่ายนี้น่ะถือว่าเป็นฝ่ายที่เหนื่อยมากที่สุดเลยนะ เพราะนอกจากจะต้องมาซ้อมละครด้วยแล้ว หลังจากซ้อมเสร็จก็ต้องไปช่วย ‘ฝ่ายอาร์ท’ ทำอุปกรณ์ประกอบฉากต่อด้วย เรียกว่าเป็นฝ่ายที่เหนื่อย และสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียวนะ
   
ภายหลังจากที่นักแสดงเริ่มกินขนมที่พี่กัปตันซื้อมาได้ไม่นาน ประตูห้องซ้อมก็เปิดออกอีกครั้ง โดยมีไอ้กบ กับผู้หญิงวัยกลางคนเดินจูงเด็กน้อยน่าจะวัยประถมหน้าตาน่ารักเข้ามา ซึ่งจากที่ได้แนะนำตัวกันเรียกร้อยแล้ว ก็ทำให้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือแม่ของพี่ตะวัน ส่วนเด็กผู้หญิงที่ถูกจูงเข้ามานั้นมีชื่อว่า ‘น้องจันทร์เจ้า’ เป็นน้องชายแท้ๆ ของพี่ตะวัน และจะมารับบทเจ้าหญิงคางุยะตอนเด็กด้วย >__<
   
…พอครบเวลาสิบห้านาทีที่พี่กัปตันกำหนดไว้ การซ้อมแบบจริงจังก็เริ่มต้นขึ้น โดยที่ผมเองก็ได้แต่นั่งลุ้นอยู่กับนักแสดงคนอื่นๆ ซึ่งยังไม่ถึงบทของตัวเอง เพราะว่าในช่วงแรกๆ จะต้องเป็นคิวของน้องจันทร์เจ้าก่อน แล้วพอเจ้าหญิงคางุยะโต ถึงจะเป็นคิวของผมบ้าง
   
เอาจริงๆ ตอนแรกก็ไม่รู้สึกกดดันนะ เพราะผมถือว่าตัวเองได้ทำการซ้อมแบบติวเข้มกับพี่กัปตันไปแล้ว แต่พอได้เห็นว่านักแสดงคนอื่นๆ เล่นกันดีมาก เรียกว่าแทบจะไม่มีผิดพลาดกันเลย ขนาดน้องจันทร์เจ้าที่อยู่แค่ ป.2 ก็ยังสามารถเล่นฉากของเธอได้แบบผ่านฉลุย ไม่มีอะไรให้พี่กัปตันได้ติเลยแม้แต่น้อย ออกแนวว่าพี่กัปตันจะยิ้มแย้มชอบใจซะด้วย เลยทำให้ผมรู้สึกกดดันขึ้นมานิดหน่อยเมื่อถึงคิวของตัวเอง T__T
   
“เอาล่ะ ต่อไปเป็นบทการเปลี่ยนช่วงวัยของเจ้าหญิงคางุยะนะ น้องจันทร์เจ้าครับ เดี๋ยวน้องจันทร์เจ้ามายืนฝั่งขวาตรงนี้ครับ แล้วน้องจันทร์เจ้าก็วิ่งเล่นกลับไปกลับมาซักสองรอบ จากนั้นก็วิ่งเข้าไปนั่งในหลังกรอบสี่เหลี่ยมตรงนั้นนะครับ ^^” พี่กัปตันชี้ไปยังกรอบสี่เหลี่ยมที่ทางแบ็คสเตจทำขึ้นมาเพื่อใช้ในการซ้อม ซึ่งพอถึงวันจริงมันจะเป็นประตูห้องนอนของเจ้าหญิงคางุยะ “จำที่พี่กัปตันพูดได้มั้ยเอ่ย ว่าน้องจันทร์เจ้าจะต้องทำยังไง” แถมพี่กัปตันยังพูดด้วยเสียงอ่อนหวานซะด้วย ฮ่าๆๆ~ น่ารักเชียวนะพี่ :)
   
“จำได้ค่ะ แล้วก็จำได้ด้วยว่าจะต้องวิ่งให้ดูน่ารักสดใส จากนั้นก็เข้าไปนั่งพักในกรอบนั้นใช่มั้ยคะ ^^” น้องจันทร์เจ้าก็ตอบกลับมาอย่างน่ารัก ทำเอาทุกคนในห้องซ้อมดูจะหัวเราะชอบใจในความน่ารักของของเด็กคนนี้กันใหญ่เลย
   
“ใช่ครับ น้องจันทร์เจ้าเก่งมากๆ เลย ^^ ต่อไปก็เป็น… พราวนะ พอน้องจันทร์เจ้าวิ่งเข้าไปในกรอบแล้ว พราวก็ค่อยๆ เดินหิ้วกองผ้าเข้ามาพับตรงกลางนะ จากนั้นแบ็คสเตจดูไว้ด้วย พอพราวพับผ้าไปได้ประมาณสามผืน ก็ให้บอกฟางเลย เพราะว่าวันจริงฟางจะมีประตูกั้นอยู่นะ ส่วนฟาง… เข้าไปยืนรออยู่ในกรอบนั้น พอแบ็คสเตจบอกแล้ว ก็เปิดประตูออกมาเลย ฉากนี้ฟางจะต้องดีใจมากๆ เพราะว่าแม่ของเจ้าหญิงคางุยะตัดชุดกิโมโนใหม่ให้ ฟางจะต้องร่าเริงสุดๆ เลย” ผมพยักหน้ารับ “แล้วก็เข้ามาขอบคุณแม่ จากนั้น… แบ็คสเตจก็ให้รีบนำกระจกเข้ามาตั้งไว้ตรงกลางเลย แล้วฟางกับพราวก็เล่นต่อไป ขอแบบต่อเนื่องเลยนะ โอเค พร้อมกันยัง?” พี่กัปตันถามทุกคนที่มีคิวในฉากนี้ แต่สายตาหันมามองที่ผมให้แน่ใจว่าพร้อมสำหรับการซ้อมแล้วจริงๆ ซึ่งผมก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยักหน้าแทนคำตอบ
   
ทุกคนรีบไปประจำตำแหน่งของตัวเองตามที่พี่กัปตันบอกไว้ ก่อนที่การซ้อมจริงครั้งแรกของผมจะเริ่มต้นขึ้น!
   
ผมยืนทำสมาธิอยู่ด้านหลังกรอบสี่เหลี่ยม เพื่อที่จะเตรียมตัวเป็นเจ้าหญิงคางุยะวัยสาวที่ดีใจกับกิโมโนชุดใหม่ อ้อ! แล้วก็ต้องไม่ลืมเรื่องเสียงด้วยนะ ผมโดนดุหลายทีแล้วเรื่องทำเสียงให้อ่อนหวาน จะได้ดูเหมือนกับผู้หญิงมากขึ้น แต่ถึงจะยืนทำสมาธิอยู่ ก็ยังไม่วายแอบมองการแสดงของน้องจันทร์เจ้าด้วยนะ เพราะว่าเธอช่างเป็นเด็กที่น่ารัก แถมยังมีความสามารถทางการแสดงมากจริงๆ นี่คงจะเชื้อไม่ทิ้งแถวมาตั้งแต่รุ่นพี่ตะวันเลยสินะ ฮ่าๆ~
   
ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามคำสั่งของพี่กัปตัน ตอนนี้… น้องจันทร์เจ้าวิ่งเข้ามาอยู่ในกรอบกับผมแล้ว แถมยังยิ้มหวานอย่างเป็นกันเองให้ผมด้วย จนผมต้องเอื้อมมือไปหยิกแก้มเธอเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนที่พี่พราวจะเดินเข้ามาพับพาตามบท ก็ถึงคิวของผมสักที…
   
เอาล่ะ จำไว้ว่า… ฉันคือเจ้าหญิงคางุยะ!
   
“ท่านแม่คะ ลูกใส่ชุดกิโมโนใหม่ที่ท่านแม่ตัดให้แล้วเป็นยังไงบ้างคะ?” ฉันก้าวออกมาจากกรอบอย่างร่าเริงด้วยความดีใจที่ได้ใส่ชุดกิโมโนที่ท่านแม่ตัดให้ใหม่ ก่อนจะวิ่งวนเพื่ออวดโฉมตัวเองรอบๆ ตัวท่านแม่ แล้วล้มตัวลงนั่งขอบคุณท่านด้วยความดีใจ
   
“สวยมากเลยลูก ลูกของแม่ช่างงดงามเหนือสิ่งอื่นใด ^^” ท่านแม่กุมมือของฉันไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นี่คงจะดีใจสินะที่เห็นว่าฉันชอบมันมากขนาดนี้ เจจ้ากิโมโนสีชมพูดลายดอกซากุระเนี่ย >_<
   
“ขอบคุณนะคะแม่ ลูกขอบคุณมากจริงๆ” ฉันคว้ามือของท่านแม่มากุมเอาไว้บ้าง พยายามส่งสายตาขอบคุณจากหัวใจไปให้ ซึ่งท่านแม่เองก็ส่งสายตาตอบรับกลับมาเช่นกัน
   
“เอาล่ะ ไหนลองยืนส่องกระจกดูดีๆ ซิ ว่ามีอะไรต้องปรับแก้ตรงไหนอีกมั้ย” ท่านแม่กล่าว ก่อนที่ฉันจะช่วยพยุงท่านให้ยืนขึ้น แล้วพากันเดินมายังด้านหน้า ซึ่งตอนนี้มีกรอบกระจกเข้ามาจัดวางอยู่เรียบร้อยแล้ว
   
ฉันส่องกระจกด้วยความตื่นตาตื่นใจกับความสวยของอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่ ส่วนท่านแม่ก็เกาะอยู่ด้านหลังฉัน และช่วยเช็คความเรียบร้อยให้ ก่อนที่…
   
“เป็นไงคะท่านแม่ ชุดนี้มีอะไรต้อง…!”
   
…พี่พราวจะใช้เล็บจิกหลังผมเต็มแรง!
   
จนผมถึงกับหลุดออกจากบทในทันที! แล้วหันไปมองพี่พราวด้วยความตกใจ O_O เพราะคิดว่าอาจจะมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า… พี่พราวยังคงแสดงบทแม่ของเข้าหญิงคางุยะต่อไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทั้งๆ ที่เล็บยังคงจิกไม่ปล่อย!
   
“มีอะไรหรอจ๊ะคางุยะ เมื่อกี้ลูกจะพูดว่าอะไร ^^” แถมยังทำเป็นนอกบทเพื่อให้การแสดงดำเนินต่อไปด้วย…
   
“เอ่อ…”
   
ผมถึงกับไปต่อไม่ถูก เพราะเหมือนกับว่าสมาธิมันแตกไปแล้ว คือแบบ… ผมรู้สึกช็อกมากเลยนะที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ไม่คิดเลยว่าพี่พราวฟ้าที่ดูเฟรนลี่จะกลายเป็นนางมารร้ายไปซะได้ เพราะจากสิ่งที่เกิดขึ้น มันทำให้ผมรู้แล้วว่าเธอจงใจให้ผมหลุดออกจากบทเจ้าหญิงคางุยะ แล้วพอผมหันไปมองน้องจันทร์เจ้าว่าเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นมั้ย กลับกลายเป็นว่าน้องเขากำลังเล่นกับแบ็คสเตจคนนึงอยู่ด้านหลัง ก็เลยไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
   
“หยุดเลย!”
   
แล้วในที่สุดพี่กัปตันก็สั่งหยุด เพราะผมไม่สามารถต่อบทให้จบได้ พี่เขาพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ดุมากจนเกินไป ทั้งๆ ที่ผมดูออกว่าตอนนี้พี่กัปตันหัวเสียมากที่ผมทำพลาด!
   
“เกิดอะไรขึ้นจ๊ะฟาง ทำไมไม่พูดบทต่อล่ะ” พี่พราวได้ที หันมาเฟคใส่ผมใหญ่ ทำเอาผมช็อกเพิ่มเข้าไปอีก นี่คนเรา… มันรู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ สินะ!?
   
“นั่นสิฟาง เป็นอะไรไป กำลังเล่นได้ดีแล้วแท้ๆ” ทีนี้พี่กัปตันเป็นฝ่ายถามผมบ้าง จนผมต้องมองพี่พราวสลับกับพี่กัปตันไปมา
   
เอาจริงๆ นะ… ผมอยากจะบอกให้ทุกคนรู้ไปเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่… ผมเป็นผู้ชายนะเว้ย! แค่ถูกผู้หญิงแกล้งก็น่าอายมากพออยู่แล้ว ยังจะให้ทำตัวเป็นผู้ชายขี้ฟ้องอีกหรอ? แบบนั้นมันน่าอายเกินไปแล้วนะ เพราะฉะนั้น…
   
“ขอโทษด้วยครับพี่กัปตัน พอดีเมื่อกี้สมาธิผมมันหลุดนิดหน่อยน่ะ ขออีกทีแล้วกันนะครับ รับรองว่าคราวนี้ไม่พลาดแน่”
   
ผมส่งสายตาอ้อนวอนไปให้พี่กัปตัน และพยายามส่งสายตาอ้อนวอนให้กับนักแสดงทุกคนที่อยู่ในห้องซ้อมนี้ด้วย เพื่อเป็นการขอโทษ และขอความเห็นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
   
“โอเค ตั้งสมาธิให้ดีๆ นะ เดี๋ยวจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่ฟางเปิดประตูออกมาเลยก็แล้วกัน  … น้องจันทร์เจ้าครับ มาหาคุณแม่ได้เลยครับ ไว้เดี๋ยวพี่เรียกมาซ้อมอีกทีนะ” ประโยคหลัง พี่กัปตันหันไปพูดกับน้องจันทร์เจ้า ซึ่งพอเธอได้ยินดังนั้นก็รับวิ่งไปหาคุณแม่ในทันที “เอาล่ะ ฟางกับพราว ขออีกรอบนะ ตั้งใจด้วยล่ะ”
   
ผมพยายามตั้งสมาธิให้มากขึ้น คิดว่าถ้าคราวนี้ต่อให้โดนพี่พราวจิกแรงแค่ไหนก็จะต้องทนเล่นต่อไปให้ได้ แต่ทว่า…
   
…ผมคิดผิด!
   
ผมพยายามควบคุมสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะเอาไม่อยู่ทุกที เพราะเล็บของพี่พราวแข็งมาก แล้วพี่เขาก็เล่นจิกไปตามแผ่นหลังทั่วๆ เลย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผมจะควบคุมสีหน้าให้เป็นปกติไว้ไม่ได้ จนพี่กัปตันต้องสั่งหยุดอยู่หลายครั้ง แต่ผมก็ยังขอร้องให้พี่เขาให้โอกาสผมต่อไป จนกระทั่งครั้งสุดท้าย พี่พราวจิกลงที่เดิมที่เคยจิกไปแล้ว เล่นเอาผมสะดุ้งจนลืมบทไปเลย! และแน่นอนว่าคราวนี้พี่กัปตันก็คงจะปล่อยผ่านไม่ได้อีก…!
   
“พอเลย! พอแค่นี้!! ไม่ต้องเล่นต่อแล้ว!!” พี่กัปตันถึงกับระเบิดอารมณ์ออกมาทันทีที่ผมสะดุ้งโหยงแบบนั้น…  “ฟาง! พี่ว่าไปนั่งทำสมาธิที่ห้องโรงละครก่อนไป เอาไว้ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ เดี๋ยวพี่จะให้คนไปตาม”
   
ผมอึ้งไปเล็กนิดนึง… เพราะไม่คิดว่าถึงขั้นจะต้องถูกไล่ออกไปจากห้องแบบนี้ แต่ก็นะ… มันสมควรแล้วแหละ ในเมื่อผมไม่สามารถทำให้มันผ่านไปได้จริงๆ นี่ผมคง… ยังไม่มีสปิริตของนักแสดงมากพอสินะ…
   
แต่ก่อนที่ผมจะเดินออกไป พี่พราวก็เดินตรงเข้ามาเฟคใส่ผมอีกครั้งต่อหน้าทุกๆ คนที่กำลังมองอยู่…
   
“ใจเย็นๆ นะคะน้องฟาง ไม่ต้องกดดันนะ ซ้อมครั้งแรกก็แบบเนี้ยแหละ ^^”
   
ซึ่งบอกตรงๆ ว่าผมไม่สนใจ ไม่แม้แต่จะตอบรับอะไรกลับไปทั้งนั้น ทำแค่เพียงมองนิ่งๆ แล้วเดินออกจากห้องมาเลย… และคิดว่าทุกคนก็คงจะสงสัยกับการกระทำของผมด้วย แต่ก็นะ… ในเมื่อพี่พราวก็โคตรจะเฟค! ส่วนผมก็ไม่ยอมเอ่ยปากพูด ก็เลยได้แต่ปล่อยให้นางมารร้ายลอยนวลต่อไป!!

* * * * * * *

ห้องโรงละคร
   
ผมเดินเข้ามานั่งสงบสติอารมณ์ในห้องโรงละครซึ่งอยู่ที่ชั้นบนสุดของตึกชมรมการแสดงแห่งนี้ เป็นห้องที่สามารถจุคนได้เยอะมาก แถมยังมีเก้าอี้ผู้ชมกับเวทีที่คุณภาพเยี่ยมอีกด้วย เพราะเม็ดเงินจากการสนับสนุนของสิทธิเก่า ที่ส่วนใหญ่จะจบไปเป็นคนมีชื่อเสียงในวงการบันเทิงทั้งนั้น
   
เอาจริงๆ ผมก็แอบน้อยใจพี่กัปตันนิดนึงนะ ที่พี่เขาดูไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างผมกับพี่พราว แต่ก็นะ… จะไปโทษพี่เขาได้ยังไง ต้องโทษตัวเองสิที่มัวแต่เก็บเงียบเอาไว้แบบนี้ เพียงแค่เพราะว่ามันเป็นเรื่องน่าอายน่ะ เห้อออออ~ บางทีถ้าผมรู้จักคิดอะไรให้มันน้อยๆ ลงบ้าง มันคงจะมีความสุขมากขึ้นกว่านี้เยอะเลยสินะ?
   
ผมนั่งอยู่กับตัวเองเงียบๆ เกือบครึ่งชั่วโมง ก่อนที่ประตูห้องโรงละครจะถูกเปิดออก ซึ่งก็น่าจะเป็นใครสักคนที่พี่กัปตันส่งให้มาตามผมนั่นแหละ แต่ไม่คิดว่า…
   
“กลับไปซ้อมได้แล้วจ้ะน้องฟาง ^^
   
…จะเป็นยัยนางมารร้ายซะได้!!
   
ผมรีบลุกขึ้น ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับพี่พราวจอมเฟคในทันทีที่เห็นว่าตอนนี้มีแค่ผมกับพี่เขาอยู่กันสองคนเท่านั้น
   
“ทำไมพี่ต้องแกล้งผมด้วย!!” ผมตะโกนใส่อย่างเหลืออด แต่กลับกลายเป็นว่าพี่พราวดันหัวเราะชอบใจใหญ่!
   
“แหมๆ อย่าใส่ร้ายพี่สิคะน้องฟาง พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ^^”
   
“หยุดเฟคเหอะพี่ ไม่เมื่อยหน้าหรือไง!” เอาวะ… แม้เขาจะบอกกันว่าผู้ชายไม่ควรว่าผู้หญิง แต่ในกรณีนี้ ผมว่าน่าจะพอยกเว้นกันได้!
   
พี่พราวถึงกับชักสีหน้าในทันที หึ! คงจะเผยธาตุแท้แล้วสินะ! “ก็ได้… ไม่เฟคก็ไม่เฟค งั้นก็รู้เอาไว้เลยนะ ว่าต่อให้กลับไปซ้อมสักกี่ครั้ง พี่ก็ยังจะจิกหลังน้องเรื่อยๆ เอาให้เลือดมันซิบไปเลย!”
   
โห~ อะไรจะร้ายกาจขนาดนี้วะ!!
   
“ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้นด้วยพี่ ผมยังไม่เคยทำอะไรให้พี่เลยนะ!”
   
“ใครว่าล่ะ ในเมื่อน้องแย่งบทที่พี่สมควรได้ไป แล้วยังจะบอกว่าไม่ได้ทำอีกหรอ!?”
   
“…”
   
เอาอีกแล้ว… เรื่องบทเจ้าหญิงคางุยะอีกแล้ว…
   
“รู้มั้ย ว่าพี่ดีใจแค่ไหนที่พี่แบมแบมมันกระเด็นออกไปจากบทน่ะ มันทำให้พี่คิดว่ายังไงบทเจ้าหญิงคางุยะก็ไม่มีทางพ้นมือพี่แน่ๆ แต่แล้ว…” พี่พราวชี้หน้าผม “น้องก็มาแย่งมันไปจากพี่ ทั้งๆ ที่น้องเป็นผู้ชายแท้ๆ แต่กลับมารับบทผู้หญิง ไม่อายบ้างเลยหรอไง!!?”
   
“…”
   
“จริงอยู่ที่น้องเองก็แสดงได้ยอดเยี่ยมมาก แต่ถ้าน้องไม่ใช่เด็กของกัปตัน คิดหรอว่าน้องจะได้บทนี้ไปน่ะ!?”
   
“…”
   
“เพราะฉะนั้น ไม่ว่ายังไงก็ตาม พี่จะทำให้น้องกระเด็นออกไปจากบทนี้ให้ได้ คอยดู!!”
   
“…”
   
พูดจบ พี่พราวก็ผลักประตูออกไปด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน! เหลือเพียงแค่ผมที่ได้แต่ยืนอยู่ในห้องโรงละครนิ่งๆ แล้วคิดถึงคำพูดนึงที่เขาชอบพูดกันว่า… ‘โลกนี้มันอยู่ยากขึ้นทุกที’

จบบทที่ 9

แฮมสเตอร์ : ขอบคุณที่อ่านนะครับ ถ้าหากชอบ หรืออยากพูดคุยถึงเรื่องนี้ในทวิตเตอร์
ฝากรบกวน #บทนางเอก ด้วยนะครับ


ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2

ก่อนเปิดม่านครั้งที่สิบ
ถ้าทำไม่ได้ คงต้องถอนตัว


“เป็นอะไรไปอีกฟาง ทำไมถึงเล่นไม่ได้ พี่ไม่เข้าใจ!!”
   
แล้วก็เป็นไปอย่างที่พี่พราวว่าไว้… ที่บอกว่าจะทำทุกอย่างให้ผมกระเด็นออกไปจากบทเจ้าหญิงคางุยะให้จงได้ โดยที่พี่เขายังคงใช้วิธีการสกปรกแบบเดิม เพียงแต่เพิ่มความรุนแรงมากขึ้นไปอีก! จนผมชักไม่ค่อยจะแน่ใจว่าตอนนี้หลังตัวเองเหวอะหวะไปแล้วหรือยัง =_=
   
จริงๆ เมื่อกี้นี้ผมก็เกือบจะสามารถผ่านไปได้แล้วนะ ผมคิดว่าผมทนต่อความเจ็บจากการจิกของพี่พราวได้แล้ว แต่ก็ดันพลาด เพราะจดจ่อกับแรงจิกของนางมารร้ายมากเกินไป จนเผลอลืมบทซะได้!
   
“เอ่อ…” ผมกำลังคิดหาคำแก้ตัวที่ดีที่สุด แม้ว่าบรรยากาศในห้องซ้อมจะเปลี่ยนไปจากเดิมมากแล้วก็ตาม แต่ผมก็คิดว่ายังพอจะมีโอกาสให้ผมอยู่…
   
“มานี่เลยฟาง” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้แก้ตัวออกไปอย่างที่ใจคิด พี่กัปตันก็เดินเข้ามาลากผมออกไปจากห้อง ท่ามกลางสายตาของทีม Kaguya-Hime ทุกคน โดยเฉพาะพี่พราวที่ผมแอบเห็นว่าถึงขั้นยิ้มหวานเลยทีเดียว! “เป็นอะไรไป!?”
   
พี่กัปตันปล่อยผมเมื่อเดินออกมานอกห้องแล้ว… ผมพยายามทำใจดีสู้เสือ แม้รู้ว่าตอนนี้พี่กัปตันจะหัวเสียอย่างมาก แต่ผมก็จะพยายามไม่ให้มันไปถึงจุดที่ต้องทะเลาะกันน่ะนะ…
   
“คือ… ผมกดดันน่ะพี่ พอซ้อมต่อหน้าคนเยอะๆ แล้วสมาธิมันหลุดตลอดเลย ผมขอโทษนะพี่”
   
“ไม่จริงอะ! พี่รู้สึกได้ว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น เหมือนกับว่า… ทุกครั้งที่ฟางจะผ่านไปได้ ก็จะต้องมาตกม้าตายตอนส่องกระจกทุกที มันมีอะไรกันแน่!?”
   
“ก็บอกแล้วไงว่าซ้อมต่อหน้าคนเยอะๆ แล้วมันกดดัน แล้วไอ้ฉากที่เดินมายืนตรงหน้ากระจกมันก็เหมือนต้องมายืนต่อหน้าคนดูใกล้ๆ ผมเลยเผลอสมาธิหลุดทุกทีเลย”
   
“แน่ใจหรอ?” พี่กัปตันถาม แต่สายตายังคงเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย
   
“แน่ใจสิพี่ ผมจะโกหกพี่ทำไม ^-^” แต่ผมก็พยายามที่จะยิ้มสู้ ถ้าไม่ติดว่า…
   
“ไม่ใช่ว่าฟางจงใจแกล้งพี่หรอ?”
   
…จู่ๆ พี่กัปตันก็พูดบางอย่างออกมา ซึ่งผมรู้สึกว่าผมไม่เข้าใจในคำถามนั้น แต่คิดว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ เพราะแววตาของพี่เขาบอกผมว่า… เขากำลังไม่ไว้ใจในตัวผม!?
   
“พี่หมายความว่าไง?”
   
“ก็หมายความว่า… บางทีฟางอาจจะแกล้งทำเป็นว่ายอมรับบทไป เพื่อที่จะได้มาแกล้งกันทีหลังแบบนี้น่ะ!”
   
พลั่ก!!
   
ผมผลักพี่กัปตันสุดแรง จนร่างของคนตัวใหญ่ถอยไปชนกับกำแพงเต็มแรง แต่ผมไม่สนหรอกว่าเขาจะเจ็บหรือเปล่า เพราะตอนนี้ผมคิดว่ามันคงไม่เจ็บเท่ากับความรู้สึกของผมหรอก!!
   
“พี่พูดแบบนี้ได้ยังไงกัน!? ผมตั้งใจมากขนาดนี้พี่ยังไม่เห็นอีกหรอ!? แทนที่พี่จะมาสงสัยผมแบบนี้ ทำไมไม่ลองเอาเวลาไปสงสัยคนในชมรมพี่เองบ้างล่ะ!? หรือไม่… ก็หัดเอาเวลานั้นมาให้กำลังใจผมแทนก็ได้!!!” ผมตวาดลั่น รู้สึกว่าตัวเองโกรธมากจนปากคอมันสั่นไปหมดแล้ว ผมเข้าใจนะว่าพี่กัปตันกำลังหัวเสียเรื่องที่ผมยังไม่สามารถผ่านได้แม้แต่ฉากเดียว แต่ก็ไม่คิดว่าจะขาดสติมากขนาดนี้!!
   
“ฟาง พี่ขอโทษ…” ดูเหมือนว่าพี่กัปตันจะเริ่มได้สติขึ้นมาบ้าง หลังจากที่ถูกผลักกระเด็นชนกำแพงไปแบบนั้น แต่ก็นะ… ผมไม่ได้โกรธพี่เขาถึงขนาดที่ว่าจะไม่ยอมอภัยให้ เพียงแต่… ผมยังไม่พร้อมจะอภัยให้ใครในตอนนี้ทั้งนั้น! “พี่คงจะขาดสติมากไปหน่อย เพราะพี่คาดหวังกับฟางเอาไว้เยอะมาก แต่พี่ก็พยายามหาเหตุผลว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้ฟางขาดสมาธิได้มากขนาดนี้”
   
“…”
   
“แต่เอาเถอะ ถือซะว่าพี่มันไม่ดีเอง ที่ไม่สามารถเข้าใจฟางได้มากพอ”
   
“…”
   
“เพราะฉะนั้น ถ้าฟางบอกว่าไม่มีอะไร พี่ก็จะเชื่อฟาง และขอให้ฟางพยายามเพื่อพี่อีกสักครั้ง จนสามารถผ่านฉากนี้ไปให้ได้ เพราะถ้าคราวนี้ฟางยังทำไม่ได้อีก…”
   
“…”
   
“…พี่คงต้องถอดฟางออก”
   
…จบคำพูดของพี่กัปตัน เจ้าตัวก็เดินกลับเข้าไปในห้องเลยโดยไม่หันมาสบตาผมอีก… ทว่า… เมื่อกี้นี้ผมรับรู้ได้เลยว่าพี่กัปตันเองก็คงรู้สึกผิดกับสิ่งที่พูดไปมากทีเดียว… แถมยังมีอารมณ์ตัดพ้อที่ผมไม่ยอมอธิบายถึงเหตุผลที่แท้จริงให้ฟังอีกด้วย (._.) งั้นก็แสดงว่า… พี่กัปตันเขารู้ว่าผมปิดบังบางอย่างอยู่สินะ ถึงได้ขอโทษที่ไม่สามารถเข้าใจผมได้มากพอ แล้วแบบนี้… ผมจะทำอะไรได้บ้างนะ!? ผมจะผ่านนางมารร้ายอย่างพี่พราวไปได้ยังไงดี!? จะต้องใช้สมาธิมากมายขนาดไหน ถึงจะสามารถจำบทและอดทนต่อความเจ็บปวดได้อย่างเป็นธรรมชาติน่ะ และที่สำคัญคือ… ผมจะทำยังไงไม่ให้พี่กัปตันผิดหวังในตัวผมอีก… เพราะถ้าคราวนี้ผ่านไปไม่ได้… ผมคงต้องถูกถอดออกจริงๆ!
   

   
ผมเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งหลังจากที่ทำสมาธิมาเป็นอย่างดีแล้ว ดูเหมือนทุกคนกำลังหยุดพัก เพื่อรอการกลับมาของผม
   
“กลับมาแล้วหรอจ้ะน้องฟาง มาๆ เรามาลองดูกันอีกรอบนะ ^^”
   
ฟึ่บ!
   
ตอนแรกผมกะว่าจะทำให้ทุกอย่างเป็นปกติที่สุดแล้วนะ ถ้าไม่ติดว่าพี่พราวเดินเข้ามาเกาะแขนผมเพื่อลากไปยังโซนที่ใช้สำหรับซ้อมละคร ซึ่งผมรู้สึกรังเกียจมาก จนถึงขั้นต้องสะบัดออก!
   
แน่นอนว่าพี่พราวตกใจที่ผมทำแบบนั้น หึ! คงจะกลัวผมระเบิดจนพูดความจริงออกมาสินะ แต่ไม่หรอก ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่ ผมจะต้องผ่านไปให้ได้แม้ว่าจะถูกกลั่นแกล้งด้วยวิธีสกปรกก็ตามที!
   
ไม่ใช่แค่พี่พราวหรอกนะที่ตกใจ ทุกคนเองก็มีสีหน้าตกใจกับการกระทำของผมเช่นกัน โดยเฉพาะพี่กัปตันที่ถึงกับขมวดคิ้วมุ่นออกมาอย่างชัดเจน แต่ผมไม่สนใจหรอก เพราะตอนนี้ถึงเวลาที่ผมจะต้องซ้อมละครแล้ว!
   
“ผมพร้อมแล้วครับพี่กัปตัน” ผมพูด เมื่อเข้าไปยืนประจำตำแหน่งอยู่ในกรอบประตูแล้ว
   
ทำเอาพี่พราวต้องรีบวิ่งไปประจำตำแหน่งบ้าง ส่วนพี่กัปตันก็…
   
“โอเค เริ่มได้”
   
…สั่งเริ่มในทันที!
   
ทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไปตามปกติ… ฉันคือเข้าหญิงคางุยะ และฉันกับท่านแม่กำลังจะเดินไปส่องกระจกด้วยกันที่ด้านหน้า เงาสะท้อนของกระจกจากจินตนาการของฉันทำให้อดที่จะตื่นตาตื่นใจกับมันไม่ได้ ในเมื่ออาภรณ์ใหม่ที่ท่านแม่ตัดให้ช่างงดงามราวกับจับดอกซากุระจากธรรมชาติมาปักลงบนเนื้อผ้าได้จริงๆ
   
“เป็นไงคะท่านแม่ ชุดนี้มีอะไรต้องปรับแก้อีกมั้ย?”
   
“ไม่มีแล้วแหละจ้ะ ^^” ท่านแม่กล่าว หลังจากที่ทำการตรวจเช็คความเรียบร้อยอีกครั้ง “แค่ลูกยิ้มหวานๆ อีกซักหน่อย ก็น่าจะสมบูรณ์แบบแล้วแหละจ๊ะ”
   
ฉันหันไปยิ้มหวานให้กับท่านแม่ ก่อนจะหันมายิ้มให้กับกระจกอีกหนึ่งครั้ง แล้วก็…
   
“อื้ออออออออออออออ~!!”
   
ผมหลุดออกจากบทเจ้าหญิงคางุยะในทันทีที่ถูกพี่พราวหยิกหลังซะเต็มแรง! ลำพังแค่จิกน่ะผมยังพอจะทนมาจนใกล้จะจบได้ แต่กับหยิกนี่… ผมทนไม่ไหวแล้วจริง!!
   
ผมรีบถอยห่างออกจากพี่พราวอย่างหวาดผวา เพราะกลัวว่าพี่เขาจะหยิกผมซ้ำเป็นครั้งที่สอง … ทุกคนดูจะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากๆ เนื่องจากน้ำตาของผมไหลออกมาเป็นทางเลย…
   
“ปะ…เป็นอะไรไปจ้ะน้องฟาง พี่….”
   
“ออกไปนะพี่!!”
   
แต่ถึงผมจะถอยหนีมาแล้ว พี่พราวก็ยังเดินตามมาหาไม่เลิก คงกะว่าจะเฟคต่อหน้าทุกคนสินะ แต่ผมทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ผมไม่ชอบให้ใครหยิก ยิ่งหยิกแรงมากขนาดนี้ ผมยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่!!
   
“หยุดเลยพราว! หยุดเข้าใกล้ฟางซักที!!”
   
“อะ…อะไรกันพี่กัปตัน นี่พราวยังไม่ได้…”
   
“ยังจะมาโกหกพี่อีกหรอ พี่ผิดหวังมากเลยนะ ทำไมพราวเป็นคนแบบนี้!?”
   
พี่พราวถึงกับอึ้งไปเลย เมื่อพี่กัปตันเข้ามาขวางระหว่างผมกับพี่พราวเอาไว้ แล้วเริ่มเปิดฉากตวาดใส่พี่พราวใหญ่
   
“พราวไปทำอะไร ทำไมพี่กัปตันต้องมาตวาดพราวด้วย!”
   
“ทำไมจะไม่ได้ทำล่ะ ฟางร้องเสียงแหลมซะขนาดนั้น แถมยังน้ำตาไหลอีก แบบนี้ดูก็รู้แล้วว่าพราวหยิกฟางน่ะ!”
   
“แต่ว่า…!”
   
“ไม่ต้องมาเถียงพี่! พี่รู้ดี เพราะว่าพี่เคยหยิกฟางมาแล้ว และมันก็ทำให้พี่รู้ว่าฟางมีปมกับการโดนหยิก พี่ก็เลยสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำผิดซ้ำสองอีก ซึ่งนั่นหมายถึงการที่จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาหยิกฟางด้วย!!”
   
พี่พราวอึ้งไปเลยที่พี่กัปตันสามารถพูดได้ถูกต้อง แม้ว่าจะยังไม่รู้เรื่องจริงทั้งหมดก็เถอะ แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่นางมารร้ายจะถูกกระชากหน้ากากน่ะ!
   
ขอบคุณนะพี่กัปตัน… ขอบคุณมากจริงๆ…
   
ผมได้แต่ยืนร้องไห้ราวกับเด็กผู้หญิงขี้แย … ในขณะทีทุกคนในห้องเริ่มซุบซิบนินทากันใหญ่ โดยพุ่งเป้าไปที่พี่พราวซึ่งตอนนี้เริ่มเปลี่ยนสีหน้าจากสาวใสซื่อ กลายเป็นนางมารร้ายแบบเต็มขั้น!
   
“ก็ได้! พราวยอมรับ ว่าพราวหยิกฟางจริง เพราะว่าตั้งแต่เริ่มซ้อม พราวพยายามกวนสมาธิของฟางโดยการจิกเล็บใส่หลังน้องเขามาตลอด ซึ่งมันก็สำเร็จซะทุกครั้ง แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องเขาไปเอาความอดทนมากมายมาจากไหน เมื่อกี้ถึงได้ไม่รู้สึกอะไรเลย ทั้งๆ ที่พราวทั้งจิกทั้งข่วน พอเห็นว่าใกล้จะจบฉากแล้ว พราวก็เลยตัดสินใจหยิกแรงๆ ซะเลย ฟางจะได้ผ่านฉากเมื่อกี้ไปไม่ได้ไง!”
   
คนทั้งห้องเริ่มฮือฮากันมากขึ้น ต่างจากพี่กัปตันที่ยื่นนิ่งด้วยอารมณ์โกรธที่แม้แต่ผมเองก็สามารถสัมผัสได้ ต่อให้ยืนอยู่หลังพี่เขาก็ตาม…
   
“ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย น้องสาวที่น่ารักของพี่หายไปไหนแล้ว!?”
   
“ก็หายไปตั้งแต่ตอนที่พี่เอาไอ้น้องคนนี้มาเล่นเป็นเจ้าหญิงคางุยะนั่นแหละ! พี่รู้มั้ยว่าพราวดีใจแค่ไหนตอนที่พี่แบมแบมถูกเด้งออกไปจากบทนี้น่ะ เพราะพราวมั่นใจว่ายังไงบทนี้ก็ต้องตกเป็นของพราวแน่!”
   
พี่พราวดูจะมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองพูดออกมาเป็นอย่างมาก จนกระทั่ง…
   
“หึ! พราวคิดผิดแล้วแหละ” …พี่กัปตันเริ่มบอกความจริง “ต่อให้ไม่มีฟาง หรือแม้แต่ไม่มีแบมแบมก็ตาม ยังไงพี่ก็ไม่ให้พราวเล่นหรอก เพราะอะไรรู้มั้ย?”
   
“…”
   
“ก็เพราะว่าพราวเองก็ไม่เหมาะสมกับบทนี้เหมือนกัน!”
   
“ไม่จริง! พี่กัปตันโกหก พราวเหมาะกับบทนี้มาก อย่างน้อยๆ ก็มากกว่าพี่แบมแบมนั่นแหละ!”
   
“ใครว่าล่ะ นี่ฟางคิดหรอว่าบทเจ้าหญิงคางุยะจะต้องเป็นผู้หญิงใสๆ แบบที่พราวกำลังใส่หน้ากากอยู่น่ะ หึ! จริงๆ แล้วถ้าไม่เจอฟางก่อน พี่อาจจะเรียกแบมแบมกลับมาเล่นก็ได้ เพราะว่าบทเจ้าหญิงคางุยะน่ะเป็นบทที่นักแสดงจะต้องมีอารมณ์หลากหลายด้าน ทั้งอ่อนโยน ทั้งจิตใจดี ดูเป็นคนรักสวยรักงาม แต่ก็แฝงไปด้วยความเข้มแข็ง หนักแน่น แล้วก็ความรอบรู้  ไม่เพียงแค่นั้นนะ ยังมีความเจ้าเล่ห์นิดๆ แล้วก็ยังต้องมีทั้งความโศกเศร้าอยู่ภายในจิตใจด้วย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา มีอยู่ในตัวฟางกับแบมแบมแทบจะทั้งหมด ติดแค่ตรงที่ว่าแบมแบมเป็นนักแสดงที่ไม่ฟังผู้กำกับก็เท่านั้น ในขณะที่พราวเองเป็นนักแสดงที่ฟังผู้กำกับอย่างดี แต่ดันแสดงให้พี่เห็นแค่ด้านน่ารักสดใสเท่านั้น จนพี่คิดว่าพราวน่าจะเล่นได้อยู่แค่นั้นจริงๆ เหอะ! แล้วใครมันจะไปคิดล่ะ… ว่าตัวจริงของพราวจะร้ายมากขนาดนี้!!”
   
“ถะ…ถ้าอย่างงั้นก็ให้โอกาสพราวสิ ให้โอกาสพราวได้แคสติ้งบทเจ้าหญิงคางุยะ คราวนี้พราวจะแสดงอารมณ์ให้พี่เห็นทุกด้านเลย!”
   
“ไม่ล่ะ พี่จะไม่แคสติ้งใหม่อีกแล้ว เพราะว่าตอนนี้พี่ได้เจอกับเจ้าหญิงคางุยะที่พี่พอใจแล้ว และพี่เองก็ไม่อยากที่จะเสียเวลาอีกแล้วด้วย อ้อ! แล้วอีกอย่างนะ… ถึงพราวจะแสดงออกมากี่อารมณ์ พี่ก็ไม่สนใจพราวอีกแล้วแหละ เพราะถึงแม้ว่าการไม่ฟังผู้กำกับของแบมแบมจะทำให้ขาดคุณสมบัติก็จริง แต่เมื่อเทียบกับนักแสดงที่ทำร้ายเพื่อนนักแสดงบนเวทีอย่างพราว พี่ว่าไปเรียกตัวแบมแบมกลับมาเล่นยังดีซะกว่า เพราะว่าพี่ไม่อาจจะอภัยให้พราวได้จริงๆ!!”
   
“งะ…งั้นก็หมายความว่า…?”
   
“ใช่ พี่คงต้องถอดพราวออกจากบทนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป!”
   
O_O …ว่าไงนะ!? นี่พี่กัปตันถึงขั้นจะเปลี่ยนตัวนักแสดงเลยหรอเนี่ย!? ผมว่ามันรุนแรงไปนะ น่าจะยอมความกันได้ เพราะฉะนั้น ผมว่าผมควรที่จะพูดอะไรสักหน่อย…
   
“เดี๋ยวก่อนพี่กัปตัน ผมคิดว่า…!”
   
“ไม่ต้องมายุ่ง!!” เสียงตวาดลั่นของพี่พราวทำเอาผมไม่กล้าพูดอะไรอีก… เพราะดูเหมือนว่าพี่เขาจะไม่เสียใจเลยที่จะต้องเสียบทแม่ของเจ้าหญิงคางุยะไป… “ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีช่วยเหลือฉันหรอก เพราะฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากแก! ส่วนพี่กัปตัน… อย่าคิดว่าพราวจะเสียใจนะ พราวเองก็ไม่ได้อยากเล่นละครกับผู้กำกับอย่างพี่นักหรอก เชิญพี่ถือหางเด็กของพี่ต่อไปเถอะ เพราะว่าถึงยังไงตอนนี้พราวก็ยังอยู่แค่ ม.5 ยังมีเวลาปีหน้าอีกตั้งปีนึง เพราะฉะนั้นพราวไปเล่นเป็นตัวประกอบเรื่อง The Little Mermaid ก็ได้ พราวไม่แคร์!!”
   
“อืม งั้นจะอยู่ทำไมล่ะ ก็ไปซะสิ!”
   
แต่แทนที่พี่กัปตันจะสนใจคำพูดของพี่พราว กลับตอบกลับไปอย่างไร้เยื้อใยซะอย่างงั้น จนคนที่บอกว่าไม่แคร์ต้องรีบกระทืบเท้าเดินออกไปจากห้องซ้อมในทันที!
   
“อ้าว แล้วแบบนี้ใครจะมาเล่นเป็นแม่ของเจ้าหญิงคางุยะล่ะวะไอ้กัปตัน นี่มันเป็นบทที่สำคัญมากๆ เลยนะ” พี่ตะวันที่เป็นฝ่ายยืนดูเหตุการณ์อยู่นาน ตัดสินใจถามขึ้นเมื่อพี่พราวออกไปได้สักพัก
   
“งั้นมึงช่วยกูทีนะตะวัน ไปหาแบมแบม แล้วถามว่าสนใจจะรับบทแม่ของเจ้าหญิงคางุยะ ถ้าเกิดว่าสนใจ ก็ต้องฟังผู้กำกับด้วย ถึงจะร่วมงานกันได้”
   
“โอเค งั้นเดี๋ยวกูจะรีบไปบอกแบมแบมเดี๋ยวเนี้ยแหละ ^^”
   
ดูจากรอยยิ้มของพี่ตะวันก็ทำให้รู้แล้วว่าพี่กัปตันกำลังให้โอกาสพี่แบมแบมได้กลับมารับบทเด่นอีกครั้ง ถึงจะเป็นบทแม่ แต่ก็มีความสำคัญ และออกหลายฉากมากกว่าพี่สาวของแอเรียลในเรื่อง The Little Mermaid แน่นอน
   
หลังจากพี่ตะวันออกไปจากห้องซ้อมตามคำขอของพี่กัปตันแล้ว พี่กัปตันก็หันมาสบตาผมที่ยืนร้องไห้อยู่เงียบๆ … โดยที่ผมสามารถมองเห็นความรู้สึกผิดที่สะท้อนออกมาจากภายในดวงตาคู่นั้นได้อย่างชัดเจน… แต่ก็เพียงไม่นานนัก เพราะพี่เขาหันไปประกาศกับทุกคนด้วยน้ำเสียงจริงจังซะก่อน…
   
“หากมีการกลั่นแกล้งเกิดขึ้นอีก ไม่ว่าใครก็ตามจะต้องถูกปลดออกทุกกรณี แล้วฉันรับรองว่าเรื่องถึงหูอาจารย์วารุณีแน่!!”

จบบทที่ 10

แฮมสเตอร์ : ขอบคุณที่อ่านนะครับ ถ้าหากชอบ หรืออยากพูดคุยถึงเรื่องนี้ในทวิตเตอร์
ฝากรบกวน #บทนางเอก ด้วยนะครับ



ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
ก่อนเปิดม่านครั้งที่สิบเอ็ด
ปล่อยให้มันเป็นไป


หลังเลิกซ้อม
   
เป็นอีกครั้งที่พี่กัปตันนั่งรถแท็กซี่จะมาส่งผมที่บ้านเหมือนกับทุกวันที่ผ่านๆ มา จะต่างกันก็ตรงที่คราวนี้เราไม่พูดไม่จากันเลยสักคำ ทั้งๆ ที่ความจริงก็ถูกเปิดเผยแล้ว แถมผมก็ไม่ได้โกรธอะไรพี่กัปตันแล้วด้วย แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงได้เลือกที่จะเงียบอยู่แบบนั้น … จนกระทั่งรถแท็กซี่ขับผ่านมาถึงคอนโดของพี่กัปตันเท่านั้นแหละ จู่ๆ พี่แกก็เกิดเปลี่ยนใจบอกให้แท็กซี่เปลี่ยนที่หมายไปเป็นคอนโดซึ่งอยู่อีกฝากของถนนแทน!
   
“นี่มันอะไรกันพี่กัปตัน?” ผมถามแบบให้ได้ยินกันแค่สองคน เพราะคิดว่าถ้าโวยวายจนคนขับแท็กซี่ได้ยินด้วย อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้
   
แต่แน่นอนว่าพี่กัปตันไม่ยอมตอบ… เขารอจนแท็กซี่เข้าจอดที่คอนโด ก่อนจะรีบจ่ายเงินแล้วลากผมลงจากรถทันที! ผมพยายามดิ้นรนขัดขืนที่จะไม่ไปด้วย เพราะถึงแม้ว่าจะไม่โกรธ แต่ก็ไม่ชอบในการปฏิบัติของพี่กัปตันที่ลากผมโดยไม่หันมาสนใจกันเลยแบบนี้ ทว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่าผมสู้แรงพี่เขาไม่ได้ แค่ขนาดตัวก็ผิดกันมากแล้ว เลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลยจนขึ้นมาถึงห้องนั่นแหละ…
   
…พอมาถึงที่ห้อง พี่กัปตันก็เหวี่ยงผมลงกับโซฟาหน้าโทรทัศน์! ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพี่เขาต้องทำกับผมแบบนี้ด้วย นี่เขาโกรธผมหรอ? ไม่สิ จะเป็นไปได้ยังไง ผมไม่มีอะไรให้พี่เขาโกรธซักหน่อย!?
   
“นี่พี่จะทำอะไรน่ะ!?” ผมรีบโวยวายทันทีที่พี่กัปตันตรงเข้ามา แล้วพยายามจะถลกแทนเสื้อข้างขวาของผมขึ้น นี่คงกะว่า… จะดูรอยที่พี่พราวจิกผมสินะ? ไม่มีทางหรอก ผมไม่ให้ดูเด็ดขาด!
   
“อยู่นิ่งๆ ได้มั้ยฟาง!” แต่หลังจากที่ยื้อกันไปมาอยู่สักพัก พี่กัปตันก็สามารถถลกแขนเสื้อนักเรียนผมขึ้นไปได้สำเร็จ ก่อนที่พี่เขาจะนิ่งไปเลย… จนผมต้องเอี้ยวคอไปดูด้านหลังแขนขวาของตัวเองบ้าง ซึ่งก็ปรากฏว่า… มีรอยแดงเถือกเต็มไปหมดเลย!
   
“พอได้แล้วพี่” แต่เพื่อความสบายใจของทุกภาคส่วน ผมใช้ศอกดันพี่กัปตันออกไป ก่อนจะดึงแขนเสื้อลง เพราะดูจากสีหน้าของพี่เขาตอนนี้แล้ว มันไม่ใช่สีหน้าที่ดีเลยจริงๆ มันดูจะมีหลากหลายอารมณ์ผสมปนเปกันไปหมด โดยเฉพาะอารมณ์ ‘รู้สึกผิด’ ที่กำลังฉายชัดอยู่ในแววตาคู่นั้น…
   
“ถอดเสื้อออกเดี๋ยวนี้”
   
O_O หา!? วะ…ว่าไงนะ!? นี่พี่กัปตันสั่งให้ผมถอดเสื้อออกงั้นหรอ!? ขะ…เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือไงเนี่ย!?
   
“ทำไมผมต้องถอดด้วย พี่คิดจะทำอะไรกันแน่!?”
   
“พี่ไม่ได้ทำอะไรอย่างที่ฟางคิดหรอกน่า! พี่แค่อยากจะดูรอยจิกที่หลังก็เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ถอดเสื้อออกเดี๋ยวนี้ อย่าต้องให้พี่พูดซ้ำ!!”
   
ผมจ้องพี่กัปตันนิ่ง… เพื่อที่จะยื้อเวลาให้ได้มากที่สุด แม้รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องทำตามคำสั่งของพี่เขาอยู่ดี แต่ผมก็ยังคงมอง… มองจนกระทั่งเห็นความห่วงใยภายในตาคู่นั้น…
   
ผมถอนหายใจยาวด้วยความเหนื่อยใจที่ไม่อาจจะปฏิเสธพี่กัปตันได้สักเรื่อง ก่อนจะถอดเสื้อออกแล้วหันหลังไปให้พี่กัปตันดูชัดๆ … แต่แทนที่พี่กัปตันจะเงียบไปเหมือนเมื่อตอนดูแขน กลับกลายเป็นว่าพี่เขาระเบิดอารมณ์ออกมาเสียงดังลั่น…!
   
“โธ่เว้ย!!!” ผมหันไปมอง เห็นพี่กัปตันกำลังกำมือสองข้างแน่นจนตัวสั่น เหมือนกับว่า… พี่เขากำลังเจ็บใจอยู่อย่างงั้นแหละ… “ทำไมกันฟาง ทำไมถึงไม่บอกพี่ว่าโดนทำถึงขนาดนี้!?”
   
อารมณ์โกรธของพี่กัปตันทำให้ผมอดเป็นห่วงหลังของตัวเองไม่ได้ว่ามันจะแดงเถือกไปมากขนาดไหน แต่ถึงอย่างงั้น… ไม่รู้ทำไม ผมถึงรู้สึกดีใจที่พี่เขาออกอาการโมโหซะขนาดนี้…
   
“มันแย่มากขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย?” ผมพยายามเปลี่ยนบรรยากาศภายในห้อง โดยการถามออกไปด้วยน้ำเสียงกึ่งเล่นกึ่งจริง ทำเอาคนที่กำลังร้อนอยู่ต้องกลับมาโวยวายเสียงดังอีกครั้ง…
   
“ยังจะมาทำเป็นเล่นอีกนะฟาง! แดงเถือกขนาดเนี้ย ดูก็รู้ว่าพราวมันจิกฟางซ้ำๆ ตั้งหลายครั้ง ทำไมตอนนั้นที่พี่ถาม ถึงมัวแต่บอกว่าไม่มีอะไรอยู่ได้!?”
   
“ก็ผมอายนี่พี่ ผมน่ะเป็นผู้ชายนะ แค่ถูกผู้หญิงแกล้งก็น่าอายมากพออยู่แล้ว ถ้าทำตัวเป็นผู้ชายขี้ฟ้องอีก จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ ฮ่าๆๆๆ~” ผมยังคงทำเหมือนว่ามันเป็นเรื่องสนุกต่อไป ทั้งๆ ที่ในใจรู้สึกแย่มากกับความโง่ของตัวเองที่มัวแต่คิดเยอะกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้…
   
“งี่เง่า!! จะผู้ชายหรือผู้หญิงมันก็โดนแกล้งกันได้ทั้งนั้นนั่นแหละ!!”
   
“…”
   
พี่กัปตันระเบิดอารมณ์ครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินกระทืบเท้าปึงปังเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง… ผมงงมาก และไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเดาไม่ออกว่าพี่เขาเข้าไปในนั้นทำไม แล้วจะออกมาอีกมั้ย? แต่จากสายตาตอนที่ระเบิดใส่ผมเมื่อกี้… พี่เขาคงเป็นห่วงผมมากจริงๆ สินะ…
   
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เดาเรื่องไปมากกว่านี้ พี่กัปตันก็ออกมาจากห้อง พร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลสีขาวในมือ
   
“พี่จะทำแผลให้ผมหรอ?”
   
“ก็ใช่น่ะสิ ทำไม หรือว่าจะดื้อทำเองอีก!? ไหนๆ ก็ดื้อไม่ยอมบอกความจริงพี่ตั้งแต่แรกแล้วนี่ ดื้อทำแผลที่หลังให้ตัวเองเลยมั้ยล่ะ!?” พี่กัปตันประชดซะใหญ่โต แต่ไม่รู้ทำไม… ผมกลับยิ้มออกมาด้วยความสุขใจ ^-^ “เดี๋ยวเหอะ! ยังจะมายิ้มอีก นี่พี่ประชดฟางอยู่นะ!!”
   
“จะไม่ให้ยิ้มได้ไง ก็พี่กัปตันทำตัวน่ารักนี่ เหมือนเด็กๆ ขี้งอนเลย ฮ่าๆๆๆ~”
   
“ยังอีก! ยังจะมาว่าพี่เป็นเด็กอีกนะ เราน่ะโตมากเลยสิ หึ!” พี่กัปตันยังคงโวยวายต่อไป แต่ผมรู้ดีว่าตอนนี้พี่กัปตันเย็นลงมากแล้ว
   
ผมหันหลังยอมให้พี่กัปตันทายาให้แต่โดยดี มันแสบนิดหน่อย แต่ก็พอทนได้ เลยนั่งนิ่งให้พี่เขาทายาไปเรื่อยๆ จนเสร็จ
   
“พี่กัปตันนี่มือเบาจังเลยนะ ไม่เหมาะกับหน้าเลย ^-^” ผมแกล้งแซว
   
“หมายความว่าไง!?”
   
“ก็หน้าพี่โหดจะตาย แต่มือเบาเหมือนพวกคุณชายในละครหลังข่าวเลย ฮ่าๆๆๆ~”
   
“เดี๋ยวเหอะ! ยังจะมาพูดเล่นอีกนะ ไม่รู้หรือไงว่าพี่โกรธฟางอยู่น่ะ!”
   
“เอ? โกรธเรื่องอะไรกันน้า~” ผมแกล้งลากเสียยาวเพื่อกวนคนตรงหน้า
   
“ก็โกรธเรื่องที่ไม่ยอมบอกพี่เรื่องที่ถูกแกล้งน่ะสิ! รู้มั้ยว่ามันทำให้พี่รู้สึกแย่มากแค่ไหนที่พูดไม่ดีกับฟางน่ะ!”
   
“โอเค~ ผมผิดไปแล้ว ผมขอโทษ ยกโทษให้ผมนะ” ผมเริ่มจริงจัง ก่อนจะส่งสายตาอ้อนวอนขอให้พี่กัปตันยกโทษให้ ส่วนคนหน้าดุเองก็ทำเป็นวางฟอร์มอยู่ได้ไม่นาน สุดท้ายก็ยอมใจอ่อนลงในที่สุด…
   
“เออ ยอมยกโทษให้ก็ได้ แต่วันหลังมีอะไรต้องบอกพี่ทันทีเลยนะ ถึงแม้ว่าพี่มันจะโง่มองอะไรไม่ค่อยออกก็เถอะ แต่พี่ก็พร้อมจะเชื่อทุกอย่างที่ฟางพูดนะ”
   
ผมก้มหน้าลงกับพื้นในทันทีที่พี่กัปตันพูดแบบนั้น… รู้สึกหัวใจมันพองโตขึ้นมายังไงก็ไม่รู้กับสิ่งที่ได้ยิน มันช่าง… เป็นประโยคที่น่าฟังจริงๆ เลยนะ ไอ้การที่ใครคนนึงยอมเชื่อทึกอย่างที่เราพูดน่ะ… ยิ่งออกมาจากปากของพี่กัปตันที่ทำสีหน้าจริงจังแบบนั้นด้วยแล้ว ยิ่งน่าฟังเข้าไปใหญ่…
   
“ขอบคุณนะ” ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับพี่กัปตันเพื่อส่งผ่านความรู้สึกที่อยากจะขอบคุณจากใจจริงไปให้ ก่อนที่…
   
“…”
   
“…”
   
…เราทั้งคู่จะเงียบไป … เมื่อพี่กัปตันค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้กับผมเรื่อยๆ จนผมเองรู้ว่ากำลังจะเกิดบางสิ่งบางอย่างที่ล้ำเส้นขึ้น! แต่ทว่า… ผมกลับไม่มีทีท่าว่าจะถอยหนีแต่อย่างใด… จนในที่สุด… ริมฝีปากของคนตรงหน้าก็ค่อยๆ สัมผัสลงมาบนริมฝีปากของผมอย่างอ่อนโยน…
   
ร่างกายของผมอ่อนยวบราวกับคนไร้เรี่ยวแรง… จนต้องให้พี่กัปตันช่วยประคองใบหน้าเอาไว้… และนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกร้อนผ่าวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะบริเวณริมฝีปากและสองข้างแก้มที่มือหนาๆ ของพี่เขาสัมผัสอยู่… ถะ…แถมใจผมยังเต้นแรงมากด้วย…! มากแบบที่ผมไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน!!
   
ตะ…แต่ว่า… มันคงจะไม่มีอะไรมากหรอก… ยังไงพี่กัปตันก็คงจะเหมือนกับคนอื่นๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผมนั่นแหละ เพียงแต่ที่ผมรู้สึกใจเต้นแรงมากขนาดนี้ คงจะเป็นเพราะว่า… นี่เป็นจูบแรกในชีวิตของผม…
   
มันก็คง… จะแค่นั้นแหละมั้ง?

* * * * * * *

หลายวันต่อมา
   
หลังจากวันนั้นที่ผมกับพี่กัปตัน… เอ่อ… จูบกัน… อืม นั่นแหละ หลังจากตอนนั้นก็ดูเหมือนว่าพี่กัปตันจะได้ใจมากยิ่งขึ้น และเริ่มแสดงออกอย่างชัดเจนไม่ว่าจะรู้สึกอะไรกับผมก็ตาม และที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่า… ไม่ได้ว่าอะไรพี่เขาไปเลยสักคำ!
   
ก็นะ จะให้ผมว่าพี่เขาได้ยังไงล่ะ (._.) ในเมื่อผมเองก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตรงกันข้าม… กลับรู้สึกดีกับพี่กัปตันมากขึ้นด้วย เพราะถึงยังไงซะ พี่เขาก็ดีกับผมมาก ถ้าผมสามารถทำให้พี่เขามีความสุขได้บ้าง ผมเองก็ยินดี
   
แต่เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าผมจะยอมให้พี่เขาทำตามอำเภอใจไปซะทุกอย่างนะ ผมเองก็มีขีดจำกัดที่ตั้งเอาไว้เช่นกัน ต่อให้พี่เขาเล่นแง่กับผมยังไง ผมก็ไม่มีทางให้มันไปถึง ‘ขั้นนั้น’ แน่ เพราะในที่สุดแล้ว ผมก็คงจะไม่ได้ลงเอยกับพี่กัปตันอย่างที่พี่เขาต้องการหรอก ก็ในเมื่อ… เราเป็นผู้ชายกันทั้งคู่นี่นา…
   
…ส่วนเรื่องการซ้อมละครเวทีก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้นน่ะนะ เพราะว่าทุกอย่างกำลังจะเป็นไปได้ด้วยดีหลังจากที่พี่แบมแบมมาเล่นบทแม่ของเจ้าหญิงคางุยะแทน ซึ่งคราวนี้พี่แบมแบมกลับมาอีกครั้งในแบบฉบับของนักแสดงที่ตั้งใจฟังผู้กำกับมากขึ้น และยอมขอโทษกับสิ่งไม่ดีที่ตัวเองได้ทำไว้กับผม แต่ก็นะ ผมไม่โกรธพี่เขาหรอก เพราะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องที่พี่ทีมทำน่ะ เป็นความคิดของพี่ทีมเพียงคนเดียวเท่านั้น … ยิ่งได้ฟังจากไอ้กบว่าที่จริงแล้วพี่กัปตันกับพี่แบมแบมเคยเป็นเพื่อนสนิทในชมรมด้วยกัน เพียงแต่วันเวลาก็ทำให้ทั้งสองต้องห่างเหินกันไป เนื่องจากคนนึงรักที่จะเป็นนักแสดง ส่วนอีกคนรักที่จะกำกับการแสดง ก็เลยไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันมากเหมือนแต่ก่อนที่พี่กัปตันเคยเล่าว่าซ้อมคอสพิเศษอยู่ได้กัน มันก็เลยทำให้ผมรู้สึกดีที่ได้พี่แบมแบมกลับมาแสดงด้วย เพราะนั่นหมายถึงเพื่อนสองคนจะได้ทำงานร่วมกันอีกครั้งนึงน่ะนะ ^-^
   
ซึ่งพอไม่มีพี่พราวอยู่เป็นตัวขัดความการซ้อมของผมแล้ว ทุกอย่างก็เริ่มดำเนินไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น โดยที่ผมเองก็ได้เทคนิคใหม่ๆ จากการซ้อมในทุกๆ วัน ทำให้กล้าที่จะเล่นมากขึ้น สนุกกับมันมากขึ้น แล้วก็ทำให้การซ้อมในทุกๆ ครั้งจบลงตามเวลาที่กำหนดด้วย
   
อ้อ แล้วอีกอย่างที่จะไม่เล่าไม่ได้เลยก็คือ… หลายวันมานี้ ผมแทบจะไม่ได้กินข้าวเย็นกับพี่ฟิล์มเหมือนเมื่อก่อนเลยนะ (._.) เพราะว่าพี่กัปตันจะคอยออดอ้อนตลอดเวลา ประมาณว่า…
   
‘ไม่ได้กินข้าวเย็นฝีมือฟาง พี่ก็กินอะไรไม่ค่อยลงเลย ดูดิ แขนขาเล็กไปหมดแล้วเนี่ย สงสัยถ้าไม่ได้กินอีกวันเดียว พี่ต้องแห้งตายแน่ๆ เพราะฉะนั้น เย็นนี้ฟางทำกับข้าวให้พี่กินนะ นะๆๆๆ น้า~’

ก็รู้นะว่าพี่กัปตันเล่นใหญ่ไปอย่างงั้นเอง แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงได้ใจอ่อนซะทุกครั้งไป จนบ้างครั้งผมพยายามคิดหาเหตุผลอยู่กับตัวเองตั้งนานสองนาน แต่สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปที่ไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่นัก แบบว่า… จริงๆ แล้วผมก็แค่อยากตอบแทนความดีที่พี่กัปตันมีให้เท่านั้นเอง แต่ก็นะ มันก็ยังเป็นข้อสรุปที่ไม่ถูกใจผมอยู่ดีนั่นแหละ :(
   
และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมมานั่งเล่นที่คอนโดของพี่กัปตัน…
   
“ดูอะไรอยู่?” พี่กัปตันเดินมานั่งลงข้างๆ ผมด้วยร่างกายเปลือยท่อนบนแบบที่ผมเริ่มชินแล้วในหลายวันที่ผ่านมานี้ โดยที่พี่เขาให้เหตุผลว่าชอบใส่แค่กางเกงตัวเดียวอยู่ห้องมากกว่า ซึ่งผมก็ยอมความแต่โดยดี เพราะคิดว่ายังไงมันก็ยังดีกว่าใส่อันเดอร์แวร์ตัวเดียวน่ะนะ (-..-) แต่ที่เพิ่งจะสังเกตเห็นก็คือ… พี่กัปตันหิ้วถุงใบโตที่บรรจุการ์ตูน One Piece เกือบร้อยเล่มมาด้วย
   
ยังจำได้มั้ยว่าครั้งนึงผมเคยบอกว่าจะแบกการ์ตูน One Piece ตั้งแต่เล่มหนึ่งยันเล่มล่าสุดมาให้พี่กัปตันอ่าน แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำตามที่พูด พี่เขาก็ดันไปเหมามาซะก่อนเมื่อตอนหลังเลิกเรียนที่เราไปเดินซื้อของที่ห้างฯ ด้วยกัน ซึ่งผมก็พยายามห้ามแล้วนะ แต่พี่แกบอกว่าดูในโทรทัศน์บ่อยจนชักจะติดใจ อยากมีเป็นของตัวเองบ้าง ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย เพราะถึงยังไงก็อยากให้มีสาวก One Piece เพิ่มมากขึ้นบนโลกใบนี้อยู่แล้ว วะฮะฮ่า!
   
“กำลังดู… อ๊ะ! ลุกเดี๋ยวนี้นะพี่!” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบคำถาม จู่ๆ พี่กัปตันก็ถือวิสาสะล้มตัวลงนอนตักผมซะงั้น อา~ ลุกไปเดี๋ยวนี้นะโว้ยยย~ >O<!!
   
“ทำไม นอนแค่นี้ไม่ได้หรอ -^-“
   
“ไอ้นอนน่ะนอนได้พี่ แต่ช่วยเอาหมอนมารองก่อนได้มั้ย ผมพี่มันจั๊กจี้ขาผมหมดแล้วเนี่ย!”
   
แต่แทนที่พี่กัปตันจะรีบลุกในทันที พี่แกกลับแกล้งผมโดยการเอาหัวไถ่ๆ ไปมากับขาผมซะงั้น! ทำเอาผมดิ้นจนพี่เขาหล่นจากตักลงไปหน้าคว่ำกับพื้นเลย!
   
“โอ๊ยยยยยย~!” พี่กัปตันเอามือกุมหน้าผากตัวเองหลังจากที่พลิกตัวมานอนหงายกับพื้นแล้ว
   
เสียงร้องโอดโอยของพี่เขาดูจะจริงจังมากทีเดียว จนผมชักจะเริ่มเป็นห่วงขึ้นมาซะแล้ว เลยรีบชะโงกหน้าลงไปถามในทันที แต่กลับกลายเป็นว่า…
   
“เป็นอะไรมากเปล่า… อ๊ะ!”
   
…พี่กัปตันดันจุ๊บแก้มผมซะงั้นอะ -///-!!
   
“แก้มนิ่มนะเรา ^-^
   
“พี่กัปตัน!!” ผมจัดการตีแขนคนฉวยโอกาสเข้าไปเต็มแรง ก่อนจะเลิกสนใจ แล้วกลับมานั่งบนโซฟาตามเดิมด้วยความรู้สึกร้อนๆ ที่แก้ม… อา~ ทำไมอุณหภูมิสูงห้องมันขนาดนี้นะ หรือว่า… พี่กัปตันจะเปิดแอร์เบาไป -///-?
   
แต่มีหรอที่พี่กัปตันจะยอมปล่อยให้ผมอยู่เฉยๆ โดยไม่สนใจเขาน่ะ เพราะในทันทีที่พี่เขาลุกขึ้นมาจากพื้น ก็จัดแจงเอาหมอนมาวางลงบนตักผม แล้วนอนทับลงมาทันที พร้อมกับเปิดการ์ตูนอ่านแบบสบายใจเฉิบ แหมๆๆ นี่มันไม่ใช่ตักสาธารณะนะ!
   
“ลุกไปเลยพี่ ผมไม่ให้พี่นอนแล้ว แล้วอีกอย่าง นี่ก็ดึกมากแล้วด้วย ผมว่าผมกลับบ้านดีกว่า” ผมตั้งท่าจะลุกขึ้น แต่คนตัวใหญ่กลับกดหัวเอาไว้จนผมไม่สามารถลุกขึ้นได้ -^- แกล้งกันอีกแล้วนะ!!
   
“เดี๋ยวดิ ขออ่าน One Piece แป๊บนึง แล้วเดี๋ยวไปส่ง”
   
“แล้วไอ้แป๊บนึงน่ะ มันเมื่อไหร่กัน?” ผมถามอย่างรู้ทัน ในขณะที่คนถูกถามเริ่มเผยรอยยิ้มชั่วร้ายให้ได้เห็น! นั่นไง… ผมว่ามันชักจะแปลกๆ ละ =_=;
   
“ก็… จนกว่าจะอ่านจบทุกเล่มอะ :)
   
อ๋อ~ แบบนี่นี้เอง พออ่านจบทุกเล่มก็จะรีบไปส่งเลยสินะ อืม เข้าใจละ แต่ว่า…
   
…มันมีตั้งเกือบร้อยเล่มเลยนะโว้ยยยย~!!!

จบบทที่ 11

แฮมสเตอร์ : ขอบคุณที่อ่านนะครับ ถ้าหากชอบ หรืออยากพูดคุยถึงเรื่องนี้ในทวิตเตอร์
ฝากรบกวน #บทนางเอก ด้วยนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-12-2016 17:53:32 โดย Hamzholic »

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
ก่อนเปิดม่านครั้งที่สิบสอง
"With or Without You?


วันเสาร์
   
การซ้อมละครผ่านไปอาทิตย์นึงแล้ว และทุกอย่างเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นทีเดียว แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ยังคงโดนดุเรี่องเดิมซ้ำๆ ซึ่งก็คือชอบเผลอทำเสียงแข็งเวลาพูดบท จนพี่กัปตันมักจะแกล้งพูดว่า...
   
‘อย่าเสียงแข็งสิฟาง ทำเสียงหวานๆ เหมือนตอนอ้อนพี่อะ :)

ทำเอาทุกคนที่คิดว่ามันคือเรื่องจริงพากันแซวผมกับพี่กัปตันใหญ่เลย หึ! ใครจะไปรู้ว่าความจริงแล้วคนที่อ้อนจนเสียงอ่อนเสียงหวานน่ะ คือพี่กัปตันต่างหาก!
   
แต่ก็ช่างเถอะ ผมว่าเราพักเรื่องการซ้อมละครเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน เพราะว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันที่ผมจะได้พักผ่อนสักที T__T หลังจากที่ต้องเหนื่อยกับเรื่องการเรียนและการซ้อมมาตลอดทั้งอาทิตย์ ขอเวลาให้ผมได้พักผ่อนบ้างก็แล้วกันนะ อ๊ะ! แต่ก็ใช่ว่าผมจะหยุดอยู่บ้านเฉยๆ นะ เพราะว่าวันนี้ผมมีนัดไปดูละครเวทีกับพี่กัปตันน่ะสิ >O<
   
เอาจริงๆ ผมรู้สึกตื่นเต้นมากเลยนะ เพราะว่าไม่ได้ดูละครเวทีมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว แล้วที่ได้ดูก็เพราะว่าคราวนี้พี่ฟิล์มได้บัตรฟรีด้วย เนื่องจากพี่ชายผมเป็นนักธุรกิจที่ค่อนข้างจะมีชื่อเสียง แถมยังเป็นถึงอดีตนักมวยเหรียญทองทีมชาติอีก ก็เลยได้รับบัตรเชิญให้ไปดูรอบกาล่าเหมือนพวกเซเลบคนอื่นๆ แต่พอดี๊ดีพี่ฟิล์มดันไม่ว่าง ก็เลยให้ผมชวนใครไปแทนก็ได้ ซึ่งคนแรกที่ผมตัดสินใจชวนก็คือไอ้กบ แต่มันไม่ว่าง เพราะมีนัดไปเที่ยวทะเลกับแฟน ผมก็เลยเปลี่ยนมาชวนพี่กัปตันให้ไปดูด้วยกันแทน แล้วมีหรอที่พี่กัปตันจะตอบปฏิเสธน่ะ ฮะฮ่า! (ยังคงเริงร่ากับการได้ไปดูละครเวที)
   
ติ๊งต่อง~
   
เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น เป็นสัญญาณให้ผมรู้ว่าคนที่นัดเอาไว้มาถึงแล้ว ก็เลยจัดการการปิดบ้านให้เรียบร้อย ก่อนจะรีบออกมาที่รั้ว เพราะกลัวว่าคนที่รออยู่จะกดออดซ้ำอีก
   
หึๆ บอกเลยว่าวันนี้ผมแต่งตัวไม่ธรรมนะครับ ถึงขั้นต้องใส่สูทผูกไทด์กันเลยทีเดียว เนื่องจากว่างานนี้มันเป็นงานกาล่า จะให้มาใส่ชุดธรรมดาก็อายเข้าแย่น่ะสิ แต่ไม่ต้องห่วงนะ มันไม่ใช่เรื่องลำบากของผมเลย เพราะปกติผมก็ออกงานเป็นประจำอยู่แล้ว เห็นเป็นแค่เด็ก ม.3 ก็จริง แต่นามสกุลที่ห้อยท้ายผมอยู่นี่ไฮโซนะครับ :)
   
O_O ตะ...แต่ในขณะที่ผมคิดว่าผมดูดีมากๆ แล้ว คนที่รออยู่กลับดูดีกว่ามาก!! ... เอาจริงๆ ผมก็พอจะรู้นะว่าพี่กัปตันเขาเป็นคนรวยเหมือนกัน เลยไม่น่าจะต้องห่วงเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมกันมาก แต่ผมก็ไม่เคยเห็นพี่กัปตันเขาจัดเต็มจนหล่อเนี้ยบซะขนาดนี้ ยิ่งพี่เขาเป็นคนตัวสูงใหญ่ด้วยแล้ว พอใส่สูทผูกไทด์มันเลยยิ่งดูดีเข้าไปใหญ่ (อิจฉาโว้ย!!) แถมยังเซ็ตผมซะหล่อเลยด้วย หล่อจนผมอดคิดไม่ได้ว่า... นี่ถ้าเกิดว่าผมเป็นผู้หญิงนะ ผมจีบพี่เขาไปแล้ว... เอ๊ะ! ไม่สิ พี่เขาเป็น ‘เมะ’ ไม่ใช่ผู้ชายนี่หว่า? งั้นเอาใหม่... นี่ถ้าผมเป็น ‘เคะ’ นะ ผมจีบพี่เขาไปแล้ว!
   
“ขอโทษที่ให้รอนะพี่”
   
“ไม่หรอก ไปกันเถอะ” พี่กัปตันตั้งท่าจะเดินขึ้นรถแท็กซี่ แต่ผมดึงแขนพี่เขาเอาไว้ซะก่อน จนคนตัวใหญ่ต้องกันมาถามด้วยความสงสัย “มีอะไรหรอ?”
   
“เปล่าหรอก แค่อยากจะชมว่าวันนี้พี่แม่งโคตรหล่อเลย ^-^
   
พี่กัปตันถึงกับหลุดขำออกมาเลย ก่อนจะอมยิ้มรับคำชมของผม แล้วเปลี่ยนมาจูงมือผมขึ้นไปบนรถแท็กซี่แทน
   
เราใช้เวลาเดินทางกันค่อนข้างนานทีเดียว เนื่องจากว่ารถติดออย่างไม่น่าให้อภัย! ซึ่งก็น่าจะเดาได้ไม่ยาก ว่าเป็นผลจากการที่บรรดาเซเลบแห่กันไปดูละครเวทีรอบกาล่าในวันนี้ เอ๊ะ? หรือว่ากรุงเทพฯ มันไม่เคยรถไม่ติดอยู่แล้วหว่า =_=?
   
แต่ถึงแม้ว่าจะติดยังไง สุดท้ายเราสองคนก็มาถึงที่หมายจนได้น่ะนะ ... โรงละครแห่งนี้เป็นโรงละครที่ค่อนข้างจะมีชื่อเสียงมาก ผมมาจนชินแล้วล่ะ เนื่องจากว่าเป็นคอละครเวทีอยู่แล้ว ซึ่งดูจากอาการของพี่กัปตันเองก็น่าจะมาบ่อยเช่นกัน เพราะพี่เขาไม่แสดงอาการตื่นตาตื่นใจกับสถานที่เหมือนกับตอนไปบ้านผมครั้งแรกเลย แต่เอาจริงๆ งานนี้ก็รวมบรรดาเซเลบไฮโซคนดังเอาไว้เยอะเหมือนกันนะ มีทั้งคนที่ผมรู้จัก คนที่ผมคุ้นๆ หน้า จนไปถึงคนที่ไม่รู้จักเลยก็มี แต่ส่วนใหญ่แล้วผมจะเป็นฝ่ายถูกเข้ามาทักมากกว่าไปทักเขานะ แต่ที่น่าแปลกก็คือ ทุกคนที่เขามาทักผมก็ล้วนแล้วแต่รู้จักพี่กัปตันด้วย จนผมต้องหันไปถามนามสกุลพี่เขาซะเลย แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ...
   
“เฮ้ย! พี่นามสกุลนี้หรอ!?”
   
“อ้าว ก็ใช่น่ะสิ นี่ไม่รู้เลยหรือไงกัน =_=?” พี่กัปตันเขกหัวผมเบาๆ เป็นการลงโทษที่ผมไม่รู้จักนามสกุลพี่เขา ซึ่งผมก็อยากจะเขกหัวตัวเองซ้ำอีกสักทีเหมือนกัน เพราะนามสกุลพี่เขาดังมาก!
   
“นี่ผมมากับลูกหลานไฮโซระดับเอลิสต์เลยนะเนี่ย” ผมแกล้งแซว
   
“พอเลยๆ จะเอลิสต์เอไม่ลิตส์ก็ช่างเหอะ พี่ว่าเราสองคนมาถ่ายรูปกันดีกว่า ^-^
   
เดี๋ยวนะ... ผมกำลังหาความเชื่อมโยงระหว่างที่เราพูดกันก่อนหน้านี้ จนมาถึงการชวนถ่ายรูปของพี่กัปตันอยู่ มัน... เข้ากันตรงไหนเนี่ย!?
   
“แล้วจะให้ใครถ่ายให้อะ หรือว่าจะถ่ายแบบ selfie ดี?”
   
แต่ถึงแม้ว่ามันจะไม่เข้ากัน ผมก็ไม่ปฏิเสธเรี่องการถ่ายรูปหรอกนะ ก็แหม เล่นแต่งตัวจัดเต็มซะขนาดนี้ จะให้กลับบ้านมือเปล่าได้ไง ^^
   
“เดี๋ยวให้พี่ยามคนนั้นถ่ายให้ก็แล้วกัน” พี่กัปตันชี้ไปที่พี่ยามซึ่งเพิ่งจะถ่ายรูปให้กับพี่น้องไฮโซคู่นึงเสร็จ ก่อนจะเดินเข้าไปเจรจาให้พี่ยามมาถ่ายรูปให้ โดยใช้ไอโฟนของพี่กัปตัน
   
...ฉากหลังที่ผมกับพี่กัปตันเลือกถ่ายคือโปสเตอร์ขนาดใหญ่ของละครเวทีที่เรามาดูกันในวันนี้ เวลาส่งให้ใครดูจะได้รู้ไงว่าเรามาดูจริงน่ะ ฮะฮ่า~
   
“ชิดๆ กันหน่อยนะครับ อา เอาล่ะ นับเลยนะครับ หนึ่ง สอง ซั่ม!”
   
แชะ~
   
“อีกรูปนึงนะครับอีกรูปนึง อา หนึ่ง สอง ซั่ม!”
   
แชะ~
   
“ขอบคุณมากครับ” ผมเป็นฝ่ายขอบคุณพี่ยามที่ดูจะมีความสุขกับการถ่ายรูปมากกว่ารักษาความปลอดภัยซะอีก =_=;; ในขณะที่พี่กัปตันแค่พยักหน้าขอบคุณ แล้วรับไอโฟนกลับไปดู แต่พอผมขอดูบ้าง...
   
“อย่าเพิ่งดูดิ พี่อยากให้ฟางเซอร์ไพรส์ ไว้เดี๋ยวลงใน Instagram แล้วแท็กไป”
   
-O- ผมได้แต่อ้าปากค้าง เพราะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพี่กัปตันต้องการจะให้ผมเซอร์ไพรส์อะไร แต่พอเห็นว่าหน้าจอไอโฟนของผมแจ้งเตือนว่ามีคนแท็กภาพใน Instagram มา ผมก็รีบเปิดเข้าไปดูทันที แล้วสิ่งแรกที่ผมเห็นก็คือ...
   
‘วันนี้มาดูละครเวทีกับคนน่ารัก :)

...แคปชั่นของภาพที่ทำเอาไม่กล้าสบตาคนลงเลยทีเดียว!
   
คะ...คำชมว่าน่ารักในความคิดผม มันเริ่มจะเปลี่ยนไปแล้วนะ -///-
   
ส่วนสิ่งที่สองที่เห็นก็คือ... ภาพถ่ายคู่ของผมกับพี่กัปตันที่ออกมาดูดีมาก ผมยิ้มแย้มแจ่มใสเชียว ในขณะที่พี่กัปตัน... กำลังหันมองผมอยู่! แถมยังมองด้วยสายตแบบ... แบบเวลาที่ผมจะใช้มองใครสักคนที่ผมรู้สึกชอบเขามากๆ ...ใช่ มันคือสายตาแบบนั้นแหละ... เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ งั้นก็แสดงว่า... พี่กัปตันชอบผมมากๆ อย่างงั้นหรอ!?
   
ไม่ม้างงง~  คงจะแค่บังเอิญแหละ (.///.)
   
...
   
หลังจากนั้นประมาณสิบห้านาที โรงละครก็เปิดให้ผู้ชมเข้าไปด้านในได้เสียที โดยที่ผมกับพี่กัปตันได้นั่งอยู่แถมหน้าสุดเลย  แต่เอาเข้าจริงใกล้สุดแบบนี้มันก็ไม่ดีนักหรอก เพราะว่ามันใกล้เกิดไป ถ้าเป็นปกติเวลาผมซื้อบัตรมาเอง ผมจะถอยไปอีกซักสองสามแถว มันจะกำลังดีมากกว่า แต่ก็นะ บัตรฟรีจะไปเรื่องมากได้ไง จริงมะ?
   
ผมนั่งคุยกับพี่กัปตันอยู่สักพัก ก่อนที่ไฟในโรงละครจะดับลง พร้อมกับการแสดงที่เริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว... ละครเวทีเรื่องนี้มีชื่อว่า ‘With or without you?” เป็นเรื่องราวของผู้ชายชื่อ ‘เทพ’ ซึ่งสูญเสียภรรยาและลูกไปจากอุบัติเหตุทางรถยนตร์ที่เขาเป็นคนขับด้วยตัวเอง นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ จนกระทั่งเพื่อนสนิทของเขาช่วยหาคนมาดูแลทุกอย่างให้กับเขา ไม่เว้นแม้แต่การสร้างแรงบันดาลใจเพื่อให้เขามีวิตต่อไปด้วย ตอนแรกผู้ดูแลที่ชื่อ ‘อ้น’ ก็เพียงแค่ทำไปตามหน้าที่เท่านั้นนะ แต่เมื่อได้รู้จักกันมากขึ้น... ความสัมพันธ์ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงระหว่างเทพและอ้น ก็นำพาให้พวกเขาเกิดความสัมพันธ์ที่ไม่อาจจะหักห้ามใจได้
   
แต่ยิ่งเทพมีกำลังใจที่แข็งแรงมากขึ้นเท่าไหร่ อ้นก็ดูจะหมดความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น เพราะถึงแม้ว่าอ้นจะรักและทำดีกับเขามากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็กลับมาสู่คำถามที่ว่า ‘ผู้ชายกับผู้ชายจะรักกันได้อย่างไร?’ เพราะว่าเทพเป็นผู้ชายถึงขั้นที่เคยให้กำเนิดมนุษย์ตามธรรมชาติของมนุษย์มาแล้ว
   
จากนั้นละครก็ตอกย้ำความเศร้าด้วยการพูดถึงประเด็น ‘การแทนที่’ ของอ้น ที่ไม่จะเทียบกับภรรยาและลูกที่เทพสูญเสียไปได้ จนนำไปสู้การหักหาญน้ำใจที่น่าเจ็บปวดที่สุด!
   
ให้ตายเถอะ!! ผมรู้สึกอินมาก... ถึงขนาดที่ว่าร้องไห้ตามกันเลยทีเดียว...! ละครเวทีเรื่องนี้ทำให้ผมบอกกับตัวเองซ้ำๆ ว่า... ถ้าสักวันนึงมีคนดีๆ ที่ทำเพื่อผมมากพอๆ กับที่อ้นทำให้เทพ ผมจะไม่มีวันยอมปล่อยเขาไปเด็ดขาด!
   
แล้วในตอนนั้นเอง...
   
จู่ๆ พี่กัปตันก็เอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้ผมด้วยสีหน้าและแววตาที่แสนอ่อนโยน... ก่อนจะหันกลับไปดูละครต่อ... จนทำให้ผมเกิดความคิดที่ว่า... นี่ไง คนดีๆ ที่มีความรู้สึกดีๆ ให้กับผม แถมยังทำเพื่อผมในหลายๆ เรื่องเลยด้วย แต่คำถามคือ... ผมจะไม่มีวันปล่อยพี่เขาไปอย่างที่พูดได้จริงมั้ยนะ...

จบบทที่ 12

แฮมสเตอร์ : ขอบคุณที่อ่านนะครับ ถ้าหากชอบ หรืออยากพูดคุยถึงเรื่องนี้ในทวิตเตอร์
ฝากรบกวน #บทนางเอก ด้วยนะครับ


ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
ก่อนเปิดม่านครั้งที่สิบสาม
ผมก็คงจะเสียใจ


การซ้อมอาทิตย์ที่สองนั้นเริ่มต้นขึ้น และผ่านไปอย่างรวดเร็ว … ตอนนี้ทีม Kaguya-Hime ของเราได้ทำการซ้อมกันจนครบหมดทุกฉากแล้ว ต่อจากนี้ก็คงต้องรันรวดเดียวตั้งแต่ต้นจนจบหลายๆ รอบ เพื่อความแม่นยำ และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจนกว่าจะสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้
   
ส่วนฝ่ายคอสตูมกับฝ่ายอาร์ทก็ทำงานกันไปได้เยอะมากๆ แล้ว และดูเหมือนว่าทั้งสองทีมจะตั้งใจทำงานในส่วนของตัวเองดีซะยิ่งกว่าเรียนหนังสืออีก =_=;;
   
แต่ที่ยังไม่เคยเปลี่ยนไปเลยก็คือความเข้มงวดในการกำกับอย่างจริงจังของพี่กัปตันที่ดูเหมือนว่านับวันจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พอๆ กับการเดินเกมรุกเพื่อจีบผมนั่นแหละ (._.)
   
อย่างเมื่อสองวันก่อนนี้… จู่ๆ พี่กัปตันก็ไปซื้อตุ๊กตา ‘โซโล’ (หนึ่งในตัวละครเรื่อง One Piece) ตัวเบ้อเริ่มมาให้ ถามว่าดีใจมั้ย? โอเค มันก็ดีใจแหละ แต่พอดีว่าอยากได้เป็นลูฟี่ตัวเบ้อเริ่มมากกว่าไง -^- แล้วก็เหมือนพี่กัปตันจะดูออก ก็เลยยอมเฉลยว่า…
   
‘ฟางก็รู้ว่าพี่ชอบโซโล พี่ก็เลยซื้อโซโลมาให้ เวลาฟางเห็นโซโลแล้วจะได้คิดถึงพี่ไง แต่ถ้าฟางอยากเห็นลูฟี่ตัวใหญ่ๆ ก็ให้ไปดูที่ห้องพี่ เพราะตอนนี้ซื้อไปตั้งเอาไว้แล้ว :)

ก็… ถือเป็นการโปรโมทให้คนบ้าลูฟี่อยากไปเยี่ยมชมห้องพี่เขาได้เป็นอย่างดีเลยน่ะนะ -..-
   
ยัง ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะไม่ใช่แค่การเดินเกมรุกอันหนักหน่วงเท่านั้น แต่นับวันเทคนิคในการอ้อนให้ไปทำข้าวเย็นให้กินก็ยิ่งแพรวพราวมากขึ้นเรื่อยๆ จนเดี๋ยวนี้บางทีไม่ต้องบอก ผมก็เสนอตัวไปเองแล้วอะ! (ใจง่ายเนอะ!) แต่ไม่ใช่สำหรับวันนี้…
   
“อะไรกัน ที่มาเดินซื้อของไปทำกับข้าวนี่ไม่ได้ซื้อไปทำให้พี่กินหรอ!?” พี่กัปตันโวยเมื่อรู้ความจริงในการซื้อของครั้งนี้
   
“ก็ใช่น่ะสิ ฟางจะซื้อไปทำให้พี่ฟิล์มกินต่างหาก”
   
“โห~ อะไรอะ! งั้นแบบนี้วันนี้พี่ก็ไม่ได้กินข้าวเย็นผีมือฟางอะดิ -^-!”
   
กรรม ไอ้พี่หน้าดุคนเดิมที่เคยรู้จักกันแรกๆ มันหายไปไหนแล้วนะ =_=
   
“ใช่ แล้วคราวนี้ก็เบี้ยวพี่ฟิล์มไม่ได้แล้วด้วย ถ้าไม่กลับไปทำข้าวเย็นให้พี่ฟิล์มกินวันนี้ ฟางโดนตัดออกจากกองมรดกแน่”
   
เอ่อ… ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกนะ แต่ใช่ว่าพี่กัปตันจะงอนเป็นคนเดียวซะเมื่อไหร่ล่ะ พี่ฟิล์มเองก็งอนเหมือนกันที่เดี๋ยวนี้ผมแทบจะไม่ได้กลับไปกินข้าวเย็นด้วยเลย เพราะมัวแต่มาติดหนึบอยู่กับพี่กัปตันเนี่ย!
   
“กลัวอะไร ถ้าฟางถูกตัดออกจากกองมรดกนะ เดี๋ยวพี่จะเป็นคนเลี้ยงดูฟางเอง แต่ถ้าวันนี้ฟางไม่ทำกับข้าวให้พี่กิน พี่คงน้ำลายฟูมปากตายแน่!”
   
โอ๊ยยยยย~ อะไรมันจะขนาดน้านนนน~
   
“ไม่ก็คือไม่ จบเรื่องแค่นี้” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาเลือกผักต่อ ทำเอาคนขี้อ้อนถึงกับเข็นรถเข็นนี้ไปเลย อ้าว!
   
ผมรีบหยิบผักสองสามอย่างที่จำเป็นต้องใช้ แล้ววิ่งตามพี่กัปตันที่ตอนนี้กำลังเข็นรถเข้าไปยังโซนอาหารแช่แข็ง แล้วก็ได้เห็นว่าพี่กัปตันกำลังเลือกอาหารแช่แข็งด้วยหน้าตาเศร้าสร้อยเหมือนเด็กน้อยน่าสงสาร โถๆๆ งั้นเอาแบบนี้ก็ได้…
   
“มีอะไร?” พี่กัปตันหันมาหาผมที่ออกแรงสะกิดจากด้านหลัง
   
“ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากจะถามว่า… จะไปกินข้าวที่บ้านด้วยกันมั้ย?”
   
พี่กัปตันทำหน้างงอยู่สักพัก ก่อนจะเริ่มยิ้มกว้างออกมาเมื่อเข้าใจความหมายที่ผมต้องการจะสื่อ เอ่อ… อันที่จริงมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลยนะ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพี่แกจะงงทำไม =_=
   
“นี่หมายความว่า?”
   
“ใช่ ไปกินข้าวที่บ้านฟางพร้อมกับพี่ฟิล์มเลย ^-^
   
“ได้หรอ?”
   
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ถ้าพี่กัปตันไม่กลัวพี่ฟิล์ม ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วแหละ”
   
“พี่ไม่กลัว” พี่กัปตันตอบออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง แหมๆ ฟ้องพี่ฟิล์มซะดีมั้ยเนี่ย! … แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อมีผู้ชายสองคนที่ต้องการจะกินข้าวเย็นฝีมือผม งั้นก็มากินด้วยกันเลยก็แล้วกัน จบนะ!
   
“งั้นก็ไม่มีปัญหา ^_^”
   
แล้วหลังจากนั้น การซื้อของก็กลับมาเป็นปกติตามเดิม เผลอๆ พี่กัปตันจะอารมณ์ดีมากกว่าตอนแรกด้วยซ้ำ … พอซื้อของที่ต้องการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมกับพี่กัปตันก็รีบโบกแท็กซี่มาที่บ้านผมในทันที เพราะว่าไม่อยากให้พี่ฟิล์มรอนานไปมากกว่านี้แล้ว
   
ซึ่งพอพี่ฟิล์มเห็นว่าพี่กัปตันมาที่บ้านด้วย ก็ถึงกับถามออกมาตรงๆ ด้วยความข้องใจ…
   
“ไอ้หน้าดุนี่มันมาได้ไงเนี่ยฟาง!?”
   
“ก็ในเมื่อพี่ทั้งสองคนอยากกินข้าวเย็นฝีมือผมนัก งันก็มากินด้วยกันเลยไง ผมจะได้เหนื่อยทีเดียว แล้วก็ไม่ต้องทำให้ใครน้อยใจด้วย โอเคนะ” ผมพูดจบแค่นั้น ก็รีบหิ้วของตรงไปที่ครัวเลย
   
จริงๆ เหมือนว่าพี่กัปตันจะตามมาช่วยนะ แต่พี่ฟิล์มกลับสั่งห้าม แล้วให้นั่งอยู่คุยกับพี่ฟิล์มที่ห้องนั่งเล่นแทน … ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก อยากคุยอะไรก็คุยกันไป หน้าที่ของผมตอนนี้คือทำอาหารเท่านั้น จนกระทั่ง…
   
“ให้น้องฉันไปอยู่ทำข้าวเย็นที่คอนโดบ่อยเกินไปแล้วนะ น้องฉันไม่ใช่คนใช้แกนะเว้ยไอ้หน้าดุ!”
   
…เสียงคุยของสองคนนั้นดังเล็ดลอดเข้ามาในห้องครัว!! … แม้ว่าจะไม่ได้ดังมากเหมือนอยู่ในห้องเดียวกัน แต่ก็ถือว่าสามารถจับเนื้อหาได้ชัดเจน จนผมเผลอเงี้ยหูฟังตามไปด้วย c-..-)
   
“ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะพี่ ผมแค่ติดใจรสมือน้องพี่ต่างหาก แล้วอีกอย่าง ผมก็อยากอยู่กับฟางให้มากที่สุดด้วย คนอะไรก็ไม่รู้ ยิ่งอยู่ด้วยก็ยิ่งมีความสุข แค่ยิ้มให้ผมก็เพ้อละ :)
   
“นี่ๆ ให้มันน้อยๆ นะเว้ย! แกเองก็อยู่ตั้ง ม.6 แล้ว เดี๋ยวปีหน้าก็ต้องเข้ามหา’ลัย พอเจอคนใหม่ เดี๋ยวแกก็ลืมน้องฉันแล้ว อย่ามาทำเป็นพูดดีหน่อยเลย เหม็นขี้ฟัน!”
   
“โหพี่! อย่าดูถูกความรักผมดิ ถ้าผมไม่จริงจัง ผมไม่จีบขนาดนี้หรอก อีกอย่างนะ ผมคิดเอาไว้แล้วด้วยว่าถ้าผมเข้ามหา’ลัย ก็จะมารับมาส่งฟางทุกวันเหมือนเดิมแน่นอน!”
   
“เออ ให้มันจริงอย่างที่พูดเถอะ เพราะถ้าไม่จริง ฉันเนี่ยแหละที่จะเป็นคนจัดการกับแกเอง!”
   
“ได้เลยครับพี่ ถ้าผมทำไม่ได้ตามที่พูด ผมให้พี่จัดการตามเห็นสมควรเลย แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่า… พอถึงวันนั้น ฟางจะยังเปิดโอกาสให้ผมได้ทำตามที่พูดอยู่น่ะนะ”
   
เอ่อ… บางทีก็กล้าพูดกล้าจากันมากเกินไปนะพวกพี่น่ะ =_=;;
   
“นั่นสินะ ถึงแม้ว่าตอนนี้ฟางจะติดหนึบกับแกก็จริง แต่ผลมันก็ยังไม่แน่ชัดสินะว่าฟางจะเอายังไงกันแน่”
   
“ครับพี่ บางทีฟางก็เหมือนกับ… จะมีใจให้ผมนะ แต่บางทีก็เหมือน… เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย!?”
   
“ฮะฮ่า นั่นแหละน้องฉัน แต่แกก็ควรจะดีใจนะ เพราะในบรรดาทั้งชายและหญิงที่เข้ามาจีบฟางน่ะ แกถือว่าใกล้ชิดกับน้องฉันมากที่สุดแล้ว รู้ไว้ซะด้วย :)
   
“ไอ้ดีใจมันก็ดีใจนะพี่ แต่ผมจะดีใจกว่านี้ถ้าจีบฟางติดน่ะ :(   “
   
“ฮ่าๆๆๆ~ อันนี้ฉันก็ช่วยอะไรแกไม่ได้นะ ขึ้นอยู่กับว่าแกจะมีปัญญารึเปล่า เออนี่ ว่าแต่ แล้วถ้าเกิดสมมติว่าสุดท้ายแล้วน้องฉันไม่ชอบแกขึ้นมาจริงๆ แกจะทำยังไง?
   
O_O เฮ้ย!! … ผมเกือบทำอุปกรณ์ที่ถืออยู่หยุดมือแน่ะ! เมื่อจู่ๆ พี่กัปตันก็ดันถามคำถามที่ตรงกับคำถามในใจผมออกมา ทำเอาผมที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำถามนั้นด้วย ถึงกับกลั้นหายใจรอฟังคำตอบด้วยความตื่นเต้น…!?
   
นั่นสินะ… ถ้าสุดท้ายแล้วผมไม่ชอบพี่กัปตัน… พี่เขาจะทำยังไง!?
   
“อืม…” พี่กัปตันหยุดคิดนิดนึง ก่อนที่จะตอบออกมาเสียงดังฟังชัด “ผมก็คงจะเสียใจครับ”
   
“ไม่ใช้เว้ย! ฉันหมายถึงว่าแกจะทำยังไงต่อไป ไม่ได้ถามความรู้สึก!”
   
เออ! นั่นดิ ตอบมาแค่นี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน!? เขาถามว่าจะทำยังไงต่อไป ไม่ใช่ว่ารู้สึกยังไงหากว่ามันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ตอบมาใหม่เดี๋ยวนี้~!!
   
“ก็นั่นแหละพี่ที่ผมจะทำ เพราะแค่คิดว่าต่อจากนี้จะไม่มีฟางแล้ว… ผมก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากเสียใจนั่นแหละ…”
   
แต่เมื่อได้ยินคำอธิบายเพิ่มเติมที่แสนจะซื่อของพี่กัปตันแล้ว… ความตื่นเต้นทั้งหมดที่มีก่อนหน้านี้ก็หายไปในพริบตา ราวกับว่าทุกอย่างว่างเปล่า และมันไม่เคยเกิดขึ้น เพราะว่าในตอนนี้ สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีแค่…
   
…ความสับสนในตัวผมเท่านั้น

จบบทที่ 13

แฮมสเตอร์ : ขอบคุณที่อ่านนะครับ ถ้าหากชอบ หรืออยากพูดคุยถึงเรื่องนี้ในทวิตเตอร์
ฝากรบกวน #บทนางเอก ด้วยนะครับ


ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2

ก่อนเปิดม่านครั้งที่สิบสี่
นอนเตียงเดียวกันนะคืนนี้


การซ้อมดำเนินมาถึงอาทิตย์ที่สามแล้ว โดยที่ทุกอย่างยังคงผ่านไปได้ด้วยดี แม้แต่ผมเองก็เริ่มที่จะหลุดเสียงแข็งน้อยลงกว่าเดิมแล้วด้วย … จะมีที่แปลกไปจากอาทิตย์ก่อนๆ ก็ตรงที่วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีของการซ้อมอาทิตย์ที่สาม และเป็นวันแรกตั้งแต่ซ้อมกันมาที่อาจารย์วารุณีนัดรวมทีมละครทั้ง Kaguya-Hime และ The Little Mermaid ที่ห้องโรงละคร เพื่อทำการซ้อมให้อาจารย์ดูสดๆ ทั้งสองเรื่อง
   
ซึ่งแน่นอนว่าผมตื่นเต้นมาก! แต่มาคิดๆ ดูแล้ว ขนาดน้องจันทร์เจ้าที่รับเชิญมาแสดงยังสามารถเล่นต่อหน้าอาจารย์วารุณีได้ดีขนาดนี้ แล้วทำไมผมซึ่งโตกว่าน้องเขาตั้งเยอะจะทำไม่ได้! … พอคิดได้ดังนั้น ผมก็สามารถที่จะแสดงออกมาได้อย่างเต็มที่ และเกิดข้อผิดพลาดน้อยมากจนอาจารย์วารุณีกล่าวชมทีมของเรายกใหญ่ โดยเฉพาะพี่กัปตันที่เรียกว่าได้หน้าไปเต็มๆ ^-^
   
แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยนะ ที่ผมได้เห็นการแสดงของทีม The Little Mermaid ทั้งๆ ที่ซ้อมอยู่ห้องใกล้กันแท้ๆ … ซึ่งพอได้ดูตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว นับว่าเรื่องราวก็ไม่ได้แตกต่างจากการ์ตูนฉบับดิสนีย์ที่หลายคนคุ้นเคยกันหรอกนะ แต่สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจคงจะเป็นวิธีการแสดงของเหล่าบรรดานางเงือกมากกว่า เพราะว่าพวกพี่ๆ ที่เป็นนักแสดงนั้น ใช้วิธีการก้าวกระโดดและหมุนตัวอย่างพลิ้วไหวราวกับเต้นรำกันเลยทีเดียว *O* ถือว่านอกจากจะต้องยกความดีความชอบให้กับฝีมือการแสดงของพี่เหมย (แอเรียล) แล้ว ยังต้องยกความดีความชอบให้กับพี่ปิง (ผู้กำกับ) ด้วย เพราะถือว่าสามารถดีไซน์การแหวกว่ายของเหล่าบรรดาสัตว์น้ำในท้องทะเลได้อย่างดีทีเดียว แต่คนที่ได้รับคำชมจากอาจารย์มากที่สุดกลับกลายเป็น ‘พี่สายป่าน’ ที่รับบท ‘เออซูล่า’ ซึ่งผมเองก็เห็นด้วยนะ เพราะพี่เขาแสดงได้ดีมาก! เรียกว่าเอาอยู่เลยทีเดียว นี่ถ้าเกิดว่าวันจริงพี่เหมยมีพลังในการแสดงไม่มากพอล่ะก็ อาจจะถูกพี่สายป่านแย่งสปอตไลท์ไปได้ง่ายๆ เลยนะ =_=;;
   
ซึ่งพอหลังจากที่อาจารย์วารุณีเห็นว่าการซ้อมของทั้งสองทีมเป็นไปได้ด้วยดีแล้ว ก็ปล่อยให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้านซะ แต่ก่อนกลับ… ทีมของ Kaguya-Hime ก็ได้ทำการรวมตัวกันประมาณสิบนาที เพื่อแจ้งข่าวว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันถ่ายโปสเตอร์ เพราะว่าเสื้อผ้าของนักแสดงหลักเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ดังนั้น ถึงแม้วันพรุ่งนี้จะไม่มีการซ้อม ก็อยากจะให้ทุกคนมากันให้ครบทีม ไม่ใช่มากันแค่นักแสดงนำของเรื่องเท่านั้น ซึ่งทุกคนก็ดูจะพยักหน้าเข้าใจเป็นอย่างดีไม่มีปัญหา พี่กัปตันก็เลยทำการสรุป แล้วปิดประชุมในทันที…
   
…วันนี้เป็นอีกวันที่พี่ฟิล์มไม่อยู่บ้าน เพราะฉะนั้นผมจึงถูกพี่กัปตันลากมานั่งเล่นที่คอนโดอย่างไม่มีข้ออ้างใดๆ ซึ่งต่อให้มีข้ออ้าง ผมก็เอามาใช้ไม่ได้อยู่แล้ว ยังไงพี่แกก็จะต้องตามติดไปทุกๆ ที่ที่ผมไปนั่นแหละ เรียกว่าตามติดยิ่งกว่าเงาซะอีก =_=;;
   
“เล่นเกมหรอพี่กัปตัน?” ผมถามขึ้น เมื่อเห็นว่าพี่กัปตันหิ้วเครื่องเล่นเกมมาต่อสายกับโทรทัศน์ในห้องรับแขก ซึ่งเป็นภาพที่ผมเห็นหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะว่าปกติผมเองก็จะมีอะไรให้ทำเหมือนกัน เพียงแต่ว่าวันนี้…
   
“อื้ม แล้วฟางล่ะ ทำไมนอนเฉยๆ ไม่มีการบ้านหรอ?”
   
“ไม่มีหรอก วันนี้ไม่มีอาจารย์คนไหนส่งการบ้านเลย แถมการ์ตูนก็ไม่มีอะไรออกใหม่ด้วย จะเล่นเน็ตก็เบื่อ เห้อออ~”
   
ไม่รู้ว่าทุกคนเคยเป็นเหมือนผมมั้ย? แต่พอบทมันจะเบื่อนี่มันก็เบื่อจริงๆ นะ ขนาดสิ่งที่ชอบทำมากๆ มาตั้งอยู่ตรงหน้ายังไม่อยากทำเลย -^-
   
“อย่าถอนหายใจดิ มันไม่มีดีนะ”
   
“ก็มันเบื่อนี่นา”
   
“แล้วจะให้พี่ทำยังไงล่ะ ฟางถึงจะหายเบื่อน่ะ?”
   
“ไม่รู้ดิ” ผมตอบสั้นๆ แค่นั้น ก่อนจะพลิกตัวไปมาบนโซฟาอย่างเบื่อหน่าย
   
พี่กัปตันเองพอไม่รู้ว่าจะช่วยผมยังไงดี เลยหันไปสนใจไอ้เจ้าเครื่องเล่นเกมต่อโดยที่ไม่สนใจผมอีกเลย อา… ทำไมพี่เขาถึงไม่คิดหาทางช่วยผมให้หายเบื่อมากกว่านี้ล่ะ! มัวสนใจแต่เกมอยู่นั่นแหละ ทั้งๆ ที่ผมก็บอกไปแล้วนะว่าเบื่อ! แบบนี้มันไม่สนใจกันเลยนี่หว่า -^-
   
ผมพลิกตัวไปมาบนโซฟาด้วยความหงุดหงิดใจอีกสองสามที ก่อนจะหันไปจ้องมองแผ่นหลังของพี่กัปตันด้วยความรู้สึกน้อยใจอย่างบอกไม่ถูก มันแบบ… มันเบื่อมันเซ็งมันน้อยใจไปหมดเลย! ก็ในเมื่อพี่กัปตันเป็นคนลากผมมาที่คอนโดแท้ๆ แต่กลับปล่อยให้ผมนอนเบื่ออยู่คนเดียวเนี่ยนะ หึ! แบบนี้มันต้อง…
   
“เมี๊ยววววววว~!!”
   
…ก่อกวนซะเลย!!
   
ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลจิตดลใจให้ผมร้องเสียงแมวเหมียวออกมาไปแบบนั้น แต่ก็ถือว่าได้ผลนะ เพราะทำเอาพี่กัปตันหันมามองด้วยความตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นในทันที
   
“เป็นอะไรไปฟาง?”
   
“ไปแมวไง เมี๊ยวววววว~!!” ผมตอบหน้าตาย ก่อนจะร้องเสียงแมวเหมียวอีกหนึ่งที เล่นเอาพี่กัปตันถึงกับตาโตยิ่งกว่าเดิม
   
“เฮ้ย! รู้ว่าทำแล้วมันน่ารักนะ แต่พี่ว่าฟางไม่ปกติแล้วแหละ =_=”
   
นั่นไง! พี่กัปตันว่าผมอะ! ทำไมต้องมาว่ากันด้วย -^- ทั้งที่เมื่อก่อนพอทำอะไรก็ถูกใจไปหมด นี่หรือว่าผมมันชักจะเริ่มน่าเบื่อในสายตาพี่กัปตันแล้วนะ!?
   
ผมพลิกตัวหันหลังให้พี่กัปตัน เพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรกลับไปดี แต่แล้วก็เป็นอันหงุดหงิดเพิ่มมากขึ้นไปอีก เมื่อได้ยินเสียงเหมือนกับว่าพี่เขากลับไปเล่นเกมต่อแล้ว! โว้ยยย~ สนใจผมดิวะพี่ ถามผมให้มากกว่านี้หน่อยมันจะตายมั้ย!?
   
แต่ในเมื่อเจ้าตัวเขาไม่รู้ และผมก็หมดความอดทนที่จะเล่นตัว ก็เลย… ค่อยๆ คลานลงจากโซฟาเหมือนเวลาที่เด็กขี้เกียจชอบทำ ก่อนจะค่อยๆ กระดึ๊บๆๆ~ ไปใกล้กับพี่กัปตัน แล้วก็… เอาหัวไปแปะกับไหล่ขวาพี่เขาซะ -^-
   
พี่กัปตันถึงกับวางจอยเกมแล้วหันมามองในทีที่เจอผมทำแบบนั้น -^- ก็แหงสิ เพราะว่าปกติผมเคยทำแบบนี้ที่ไหนกัน! มีแต่พี่กัปตันเข้าหาก่อนตลอด เห้อออออ~ นี่ก็ยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าจะไปหงุดหงิดใจอะไรพี่เขานักหนา แต่ก็เอาเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้วนี่!
   
“เป็นอะไรเนี่ย ทำไมวันนี้อ้อนจัง” พี่กัปตันยิ้มใหญ่
   
“ก็คนมันเบื่อนี่ ไม่มีอะไรให้ทำ พี่กัปตันก็ไม่สนใจผมด้วย -^-“
   
“ใครว่าพี่ไม่สนใจ ก็ถามไปแล้วว่าเป็นอะไร ฟางก็ไม่ยอมตอบอะ”
   
“ถามแค่ไม่กี่ครั้งเอง ต้องถามหลายๆ ครั้งดิ!”
   
โอ๊ยยยยยยยย~ ทำไมมึงงี่เง่าขนาดนี้วะไอ้ฟาง T__T
   
“โอเคๆ งั้นไหนบอกพี่มาซิ ว่าต้องทำยังไงถึงจะหายเบื่อน่ะ”
   
“ไม่รู้อะ” ผมเอาหัวถูๆ กับไหล่พี่กัปตัน “พี่พอจะมีอะไรแนะนำมั้ย?”
   
“งั้น… ไปดูหนังกันมั้ย?”
   
“โห~ ตอนนี้เนี่ยนะ ไม่เอาอะ -^-“
   
“ถ้าอย่างงั้น… ไปหาของหวานที่ร้านข้างล่างคอนโดกินกันมั้ย แบบพวกชากาแฟ ไม่ก็เค้กอะไรแบบเนี้ย”
   
“ไม่เอาอะ ดึกแล้ว มันอ้วน -^-“
   
“ไม่อ้วนหรอก ฟางตัวเล็กจะตาย ดูดิ” ไม่พูดเปล่า พี่กัปตันยังยื่นมือมาจับพุงผมเพื่อเป็นการยืนยัน อีกด้วย แต่ผมดันออก แล้วยืนยันอีกครั้งว่า…
   
“ก็บอกว่าไม่เอาไง -^-“
   
“โอเคๆ ไม่กินก็ไม่กิน งั้น… เล่มเกมด้วยกันเลยมะ? ฟางยังไม่เคยเล่นเกมกับพี่เลย รับรองว่าไม่เบื่อแน่”
   
“ได้หรอ!?”
   
ผมรีบนั่งหลังตรงในทันทีที่พี่กัปตันชวนเล่นเกม ราวกับว่า ‘ในที่สุด’ พี่กัปตันก็สามารถเข้าใจความต้องการของผมได้ตรงจุดสักที >O<!!
   
“ได้สิ” พี่กัปตันเริ่มยิ้มออก “เดี๋ยวพี่ให้ฟางเลือกเลยว่าจะเอาเกมอะไร”
   
พี่กัปตันลุกเดินเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะออกมาผอมกล่องเกมสามกล่องซึ่งแนวค่อนข้างจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเกมที่เล่นได้สองคนแทบทั้งนั้น
   “งั้นผมเอาเกมนี้แล้วกัน” ผมเลือกแผ่นเกมต่อสู้ที่คิดว่าตัวเองสามารถเล่นได้ แล้วก็น่าจะสนุกด้วยส่งไปให้พี่กัปตัน ซึ่งพี่กัปตันก็รีบรับไปเปิดอย่างรวดเร็ว คงจะกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจอีกสินะ -^-
   
ผมปล่อยให้พี่กัปตันจัดการอยู่สักพัก ก่อนที่หน้าจอจะปรากฏตัวละครต่างๆ ให้ผู้เล่นได้เลือก ซึ่งมันก็มีเยอะมากจนผมเลือกไม่ถูก สุดท้ายผมก็เลยตัวสินใจเลือกตัวแรก เพราะเท่าที่เคยเล่นเกมต่อสู้มา ส่วนใหญ่ตัวแรกจะเป็นพระเอกที่มีท่าไม้ตายเจ๋งๆ น่ะนะ และถ้าใช่อย่างที่ผมคิด รับรองว่าผมชนะแน่ -..- หึๆ
   
"โห~ เลือกตัวเก่งเลยนะ" นั่นไง เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ ด้วย >_< "งั้นพี่เอาบ้าง" แต่ที่ไม่ได้คิดไว้ คือจู่ๆ พี่กัปตันก็ดันจะเลือกตัวเดี๋ยวกันผมซะงั้น!!
   
"ไม่ได้นะพี่ ห้ามเลือกตัวซ้ำดิ -^-"
   
"อ้าว อะไรอะ พี่เองก็อยากเล่นตัวเก่งๆ บ้าง แล้วเกมมันก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้เลือกตัวซ้ำนี่" พี่กัปตันเริ่มโวย แต่ผมไม่ยอมแพ้!
   
"เกมไม่ได้ห้าม แต่ผมห้าม! ก็... เวลาเลือกตัวเดียวกัน หน้าตามันก็เหมือน ถึงจะคนละสีก็เหอะ แต่ผมก็ยังงงอยู่ดี เพราะฉะนั้น เลือกตัวอื่นนะพี่กัปตัน นะๆๆ" ผมเอาหัวไปถูๆ กับไหล่พี่กัปตันอีกครั้งอย่างออดอ้อน เพราะไม่อยากให้พี่เขาเลือกตัวที่เก่งเหมือนกันกับผม -..-
   
"อาๆ โอเค พี่เลือกตัวอื่นก็ได้"
   
เย้~!!" ผมดีใจอย่างออกนอกหน้ามาก เมื่อพี่กัปตันตัดสินใจเลือกอีกตัวที่อยู่ข้างๆ กันแทน และนั่นหมายความว่า...
   
...การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว >__<!!
   
ทันทีที่เกมให้เริ่มต่อสู้ ผมก็เข้าจัดการกับพี่กัปตันแบบไม่ยั้ง ชนิดที่ว่าขนาดพี่เขาบังคับตัวละครกระโดดหนี ผมก็ยังกระโดดตามไปเตะด้วยความสะใจ! จนในที่สุด ก็สามารถน็อคพี่กัปตันใน Round 1 ได้สำเร็จ ฮะฮ่า!!
   
"แหม~ เตะเอาเตะเอาเลยนะ"
   
"ก็คนมันเก่งอะ" ผมทำหน้ากวน
   
"อย่ามั่นใจไป ยังมีอีกยกนึง อาจจะเสมอก็ได้ :)"
   
"หึ! ไม่มีทางหรอก แบร่~ :P"
   
พอ Round 2 เริ่มต้นขึ้น ผมก็เปิดฉากเตะไม่ยั้ง แถมยังกดติดท่าไม้ตายจนพี่กัปตันไม่สามารถหลบหนีได้ด้วย โห~ พลังแรงจังเว้ย แบบนี้ชนะใสๆ แน่ *O*
   
"โกงว่ะ ใช้ท่าไม้ตายบ่อยไปมั้ยเนี่ย!" พี่กัปตันเริ่มโวยเมื่อเห็นว่าเลือดของตัวละครใกล้หมดแล้ว แถมพอจะใช้ท่าไม้ตายผมก็ยังหลบได้อีก ฮ่าๆๆๆ~ ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร ^O^
   
"ตายซะเถอะ!" ผมตัดสินใจประกาศเส้นตายให้พี่กัปตัน ก่อนจะบังคับตัวละครให้เข้าไปกระโดดเตะอีกสองสามที จนในที่สุด ตัวละครของพี่กัปตันก็ตายแหงแก๋ วะฮะฮ่า!!!
   
"อะไรวะ! ทำไมแพ้อีกแล้วเนี่ย!?"
   
"ก็บอกแล้วว่าผมเก่ง :)"
   
"หึ! ไม่ยอมหรอก มาสู้กันต่อเลยมา"
   
ทีนี้พี่กัปตันอาศัยจังหวะที่ผมเผลอเลือกตัวเดิมของผมไป ผมถึงกับหันไปมองค้อนพี่กัปตันวงใหญ่ แต่ก็นะ ผมเป็นคนบอกเองนี่ว่าห้ามเลือกตัวซ้ำ งั้นผมเลือกตัวอื่นก็ได้ แล้วเดี๋ยวจะแสดงให้ดู ว่าต่อให้ไม่เลือกตัวเก่ง ผมก็สามารถล้มพี่กัปตันได้แน่นอน :)
   
...แล้วก็เป็นไปตามคาด เพราะไม่ว่าเล่นกันอีกสักกี่ครั้ง พี่กัปตันก็แพ้ผมตลอด จนมีการมาพาลว่าผมโกงด้วยนะ ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวเองเล่นอ่อนเองแท้ๆ ไม่รู้จักยอมรับความจริงซะบ้าง ^O^ แต่ที่แน่ๆ การเล่นเกมต่อสู้ช่วยทำให้อาการเบื่อของผมหายเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว!
   
แต่ในขณะที่พี่กัปตันกำลังหัวเสียเพราะว่าแพ้ผมรอบที่สิบกว่าแล้วน่ะนะ จู่ๆ ผมก็บังเอิญเหลือบไปเห็นนาฬิกาว่าตอนนี้ปาเข้าไปสี่ทุ่มครึ่งแล้ว สมองมันเลยเริ่มประมวลผลว่า... คืนนี้คงต้องนอนที่นี่แล้วแหละ เพราะถ้าเกิดว่าผมตัดสินใจกลับบ้าน พี่กัปตันก็จะต้องนั่งรถไปส่งผม แล้วก็จะต้องนั่งกลับมาที่คอนโดเพียงคนเดียว ซึ่งแน่นอนว่ามันก็อันตรายพอๆ กับที่ผมนั่งแท็กซี่กลับเองนั่นแหละ ดังนั้น เพื่อไม่ให้ใครต้องเดือดร้อน ผมเลยตัดสินใจหันไปบอกพี่กัปตัน โดยไม่สนใจว่าพี่เขาจะยังหัวเสียอยู่มั้ย...
   
"พี่กัปตัน นี่มันก็ดึกมากแล้ว งั้นคืนนี้ฟางขอนอนนี้ก็แล้วกันนะ"
   
"ว่าไงนะ!?"
   
...เพราะต่อให้หัวเสียยังไง เพราะเจอคำขออนุญาตนอนค้างของผมเข้าไป ก็เป็นอันต้องตกใจขึ้นมาในทันที ^^ เพราะปกติพี่กัปตันจะต้องเป็นฝ่าย 'บังคับ' หรือ 'ชักชวน' ก่อนเสมอ แต่ว่าครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายขอเองเลย
   
"ทำไม นอนไม่ได้หรอ!?" ผมแกล้งทำเป็นน้อยใจ เพราะเห็นว่าพี่กัปตันอึ้งไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เลยอยากแกล้งน่ะ :)
   
"ได้สิ ทำไมจะไม่" พี่กัปตันรีบตอบกลับในทันที คงกลัวว่าผมจะน้อยใจจนเปลี่ยนใจกลับไปนอนบ้านสินะ
   
"โอเค งั้นก็นอนเนี่ยแหละ :)"
   
ผมพูดสรุปแค่นั้น ก่อนจะหันหน้ากลับไปเลือกตัวละครบนหน้าจอต่อ แต่กลายเป็นว่า...
   
"นี่มันก็ดึกมากแล้วนะ พี่ว่าฟางไปอาบน้ำดีกว่ามั้ย จะได้เอาชุดนักเรียนไปปั่นด้วย พรุ่งนี้จะได้แห้งทัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องตื่นไปเรียนแต่เช้านะ"
   
ง่ะ! ผมรู้สึกเซ็งทันทีที่ถูกพี่กัปตันไล่ให้ไปอาบน้ำ นี่อุตส่าห์ตัดสินใจนอนที่คอนโดพี่เขาแล้วนะ ยังมีพี่ฟิล์มคนที่สองตามมาอีกหรอเนี่ย =_=?
   
"โห~ ไม่เอาอะ อุตส่าห์ตัดสินใจนอนค้างแล้วนะ ขอเล่นต่ออีกหน่อยไม่ได้หรอ -^-"
   
"จะเล่นอีกกี่รอบฟางก็ชนะตลอดแหละ พี่ว่าพอแค่นี้ดีกว่า" พี่กัปตันตั้งท่าจะปิดเครื่องเล่นเกม จนผมต้องรีบคว้าแขนของพี่กัปตันเอาไว้ ม่ายยย~ T___T
   
"อย่าเพิ่งปิดเลยนะพี่ ผมขออีกเกมเดียว สัญญา -^-"
   
"ไม่เอาแล้ว อย่าดื้อสิ"
   
"น้า~ พี่กัปตัน นะๆๆๆ น่านะ ขออีกแค่เกมเดียวเท่านั้น อะ งั้นเอางี้ ถ้าเกิดว่าเกมนี้ใครชนะ สามารถขออะไรจากผู้แพ้ก็ได้อย่างนึง โอเคมั้ย?"
   
พี่กัปตันหยุดชะงักในทันทีที่ผมยื่นข้อเสนอแบบนั้นไปให้ เพราะถึงแม้ว่าผมจะชนะมาโดยตลอดก็เถอะ แต่ยังไงมันก็ยังเป็นข้อเสนอที่ชวนให้ฝ่ายตรงข้ามอยากจะชนะน่ะนะ
   
"แน่ใจนะ?"
   
นั่นไง พี่กัปตันสนใจจริงๆ ด้วย >O<!
   
"แน่ใจสิ ถือว่าเป็นเกมสุดท้าย ต้องมีอะไรให้น่าตื่นเต้นหน่อย"
   
"โอเค งั้นก็ได้ แล้วอย่ามากลับคำที่หลังก็แล้วกัน :)"
   
"ไม่กลับคำแน่นอน ^-^"
   
จะกลับคำได้ยังไงล่ะ เพราะว่าคนที่จะสามารถขออะไรได้จากผู้แพ้ได้หนึ่งอย่าง รับรองว่าต้องเป็นผมแน่!!
   
โดยคราวนี้ผมได้เป็นฝ่ายเลือกตัวละครที่เก่งที่สุดไป ส่วนพี่กัปตันตัดสินใจเลือกตัวที่พวกเราไม่เคยเลือกกันมาก่อนหน้านี้ นั่นยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่าจะชนะมากขึ้นไปอีก
   
"เตรียมตัวแพ้ไว้ได้เลยฟาง :)" พี่กัปตันดูจะมั่นใจมากกับเกมในครั้งนี้ แล้วมีหรอที่ผมจะยอม!
   
"พูดผิดพูดใหม่ได้นะพี่ :)"
   
แล้วการต่อสู้ก็ได้เริ่มต้นขึ้น! มาถึงผมก็จัดท่าไม้ตายให้พี่กัปตันไปหนึ่งที แต่กลายเป็นว่า...!
   
"ฮะฮ่า! เป็นไงล่ะ :)"
   
...พี่กัปตันหลบได้!!
   
ผมเลยต้องจัดการเปิดเกมรุก ไล่ต้อนพี่กัปตันไปเรื่อยๆ แต่แล้ว...! จู่ๆ พี่กัปตันก็หันมาสวนผมไม่ยั้ง ก่อนที่จะปล่อยท่าไม้ตายใส่ผมแบบสามทีติด จนตัวผมกระเด็นตายซากไปเลย!!
   
"นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ยยยย~ T___T"
   
"ฮ่าๆๆๆๆ~"
   
ผมโวยวายใหญ่ที่พี่กัปตันสามารถตั้งรับผมได้หมด แถมยังหัวเราะเยาะผมอีก! ทำให้ Round 1 พี่กัปตันได้แต้มไป หึ! เมื่อกี้นี้ผมจะถือว่าตัวเองประมาทไป รับรองว่า Round 2 ไม่พลาดแน่!!
   
แต่ทว่า...
   
"เฮ้ย!!!"
   
ผมร้องลั่นเมื่อพี่กัปตันปล่อยท่าไม้ตายใส่ผมสี่ทีติด! ก่อนจะกระโดดตามเข้ามาเตะอีกหนึ่งที เป็นอันเรียบร้อย...!!
   
O__O นี่...นี่ผมแพ้หรอเนี่ยยยย~!!?
   
พอหันไปทางพี่กัปตันก็เป็นอันว่าพี่แกวางจอย พร้อมนั่งกอดอกหันหน้ามายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผมแล้วอะ!!
   
"อะไร มองหน้าหาเรื่องหรอ -^-" ผมพาล ก่อนจะวางจอยแล้วหันหน้าหาพี่กัปตันเพื่อยอมรับชะตาตัวเอง
   
"เป็นอันว่าพี่ชนะ เพราะฉะนั้น คนชนะสามารถขออะไรจากคนแพ้ได้อย่างนึง ถูกต้องมั้ย :)"
   
ตอนแรกที่พูดไปผมก็ไม่ได้คิดว่ามันจะจบลงแบบนี้ เพราะคิดว่ายังไงก็ต้องชนะแน่ๆ แต่พอได้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของพี่กัปตันแล้ว ทำเอาผมเสียวสันหลังวาบ T__T
   
นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนพูดเอง บวกกับคำสอนของพ่อที่ว่า 'เกิดเป็นลูกผู้ชาย พูดอะไรแล้วต้องไม่คืนคำ' นะ ผมจะหาทางชิ่งจริงๆ ด้วย T___T!!
   
"อะ จะขออะไรก็ว่ามา -^-"
   
"ขออะไรก็ได้หมดเลยหรอ :)"
   
"กะ...ก็ให้มันน้อยๆ หน่อยก็แล้วกัน!"
   
ให้ตายเถอะ!! ดูจากยิ้มเจ้าเล่ห์ของพี่กัปตันมันแล้ว ถ้าเกิดขอให้ผม...กับพี่เขาล่ะ!!? กรี๊ดดดดดดดด~!!! (สาวแตกเลยครับ!!!)
   
"งั้น..." พี่กัปตันทำเป็นหยุดคิดนิดนึง ทำเอาหัวใจผมมันเต้นแรงมากขึ้นกว่าเดิมอีก!! "รู้ละ ว่าพี่จะขออะไรดี :)"
   
"ขออะไร!?"
   
"ขอนอนเตียงเดียวกับฟางนะคืนนี้ :)"
   
"ไม่ได้!!"
   
ผมรีบตอบปฏิเสธสวนไปในทันที >__< ก็จะปล่อยให้เป็นแบบนั้นได้ยังไงกันเล่า! ผมเรียนสุขศึกษามานะ เขาบอกว่าให้ควรหลีกเลี่ยงภาวะที่อาจจะเกิดการมีเพศสัมพันธุ์ และนอนเตียงเดียวกันแบบนี้ มันยิ่งกว่าเสี่ยงอีกอะ!!
   
"อ้าว! ก็ไหนว่าได้ทุกอย่างไง!? หรือว่ากลัวพี่จะทำอะไรไม่ดี!?"
   
"ใช่!"
   
"โห~ ตอบไม่คิดเลยนะ =_= พี่จะทำแบบนั้นได้ยังไง ถ้าเกิดพี่ฟิล์มรู้ว่าพี่ทำไม่ดีกับฟาง พี่ได้โดนฆ่าตายแน่ พี่ไม่เสี่ยงหรอก" ที่พูดมามันก็มีเหตุผล... แต่ก่อนพี่จะตาย พี่ก็ได้ทำแล้วเปล่าวะ =_=? "น่านะ สัญญาเลยว่าจะไม่ทำอะไรเด็ดขาด นะๆๆๆ"
   
คราวนี้พี่กัปตันเปลี่ยนเป็นฝ่ายเอาหัวมาถูๆ กับไหล่ผมอย่างออดอ้อนบ้าง โอ๊ยยยยยย~ ทำไมถึงได้ลำบากใจขนาดนี้นะ ก็ไม่ถึงกับว่าไม่ไว้ใจพี่เขาหรอก แต่อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น แถมพี่กัปตันยังชอบใส่อันเดอร์แวร์ตัวเดียวนอนอีก ยิ่งเสี่ยงเข้าไปใหญ่!
   
เอาไงดีๆๆๆๆ >O<
   
"เออ..."
   
"นะๆๆๆ"
   
"เออ..."
   
"น้า~~~"
   
"โอเค ก็ได้!" ผมตัดสินใจตอบตกลงในที่สุด ทำเอาคนตัวใหญ่แสดงความดีใจออกมาอย่างไม่ปกปิด แต่ถึงอย่างงั้นก็คงต้องมีเงื่อนไขกันบ้าง! "แต่สัญญาแล้วนะว่าจะไม่ทำอะไรที่มันไม่ดี ไม่งั้นผมจะให้พี่ฟิล์มเล่นงานพี่ให้ถึงที่สุด!"
   
"แน่นอน พี่สัญญาด้วยเกียรติของเมะคนนึงเลย ^-^" พี่กัปตันชูสามนิ้ว
   
"แล้วก็ห้ามใส่อันเดอร์แวร์ตัวเดียวนอนด้วย เข้าใจมั้ย!?"
   
ข้อนี้ยิ่งต้องย้ำกันให้หนักแน่นเลยนะ ถึงผมจะเป็นผู้ชาย แต่ให้มานอนบนเตียงเดียวกับผู้ชายกึ่งเปลือยนี่มันก็ไม่โอเคอะ! แต่ว่า...
   
"ได้เลย ถ้าห้ามใส่อันเดอร์แวร์ตัวเดียว งั้นพี่แก้ผ้านอนก็ได้ :)"
   
"ได้กับผีน่ะสิ!! ใส่ให้ครบทางอันเดอร์แวร์ เสื้อ และกางเกงนั่นแหละ!!!"
   
"ฮ่าๆๆๆ :D"
   
โอ๊ยยยย~ นี่ผมเอาตัวเข้าไปเสี่ยงมากไปมั้ยเนี่ย T__T

จบบทที่ 14

แฮมสเตอร์ : ขอบคุณที่อ่านนะครับ ถ้าหากชอบ หรืออยากพูดคุยถึงเรื่องนี้ในทวิตเตอร์
ฝากรบกวน #บทนางเอก ด้วยนะครับ


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด