#1.3ตึกตัก ตึกตักหะ...หัวใจผมเต้นแรงขึ้นเมื่อสิ่งที่เหล้ารัมพูดยังคงเหมือนเดิม จนผมอยากจะวิ่งหนีไปตั้งหลักให้ไกลๆ เลยตอนนี้!
โอ๊ยยยย ไม่ใช่ว่านี่เป็นครั้งแรกหรอกนะที่มีผู้ชายบอกว่าอยากจะจีบผมน่ะ เพราะนอกจากหน้าจะหวาน แถมตัวก็ค่อนข้างเล็กแล้ว ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้นว่ารสนิยมของผมเองก็เป็นไปในแบบที่ตอบรับเฉพาะแค่เพศเดียวกันเท่านั้น ก็เลยเป็นเรื่องปกติมากหากว่าผมจะกลายเป็นที่ต้องตาต้องใจของผู้ชายสักคน ไอ้เรื่องที่ถูกบอกชอบแบบไม่ทันตั้งตัวน่ะก็เรื่องนึง แต่สาเหตุจริงๆ ที่ผมอยากจะวิ่งหนีไปตั้งหลักตอนนี้น่ะ ก็เพราะว่า..ผมไม่เคยเจอพ่อมดที่เป็นเกย์มาก่อนเลย!
ย้ำ
ผมไม่เคยเจอพ่อมดที่เป็นเกย์มาก่อนเลย!!มันเป็นอะไรที่อเมซิ่งมาก แล้วผมก็ตั้งรับไม่ทันด้วย!
จริงนะ ตั้งแต่เกิดจนโตมาถึงทุกวันนี้ ผมและครอบครัวมีชีวิตที่ต้องข้องเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับอย่างพ่อมดและแม่มดมาโดยตลอด เพราะฉะนั้น ผมเองก็เลยเป็นมนุษย์ที่ได้พบเจอพ่อมดแม่มดมากมายหลายต่อหลายคน แต่ก็ยังไม่เคยมีคู่รักเพศเดียวกันให้เห็นเลยสักครั้ง
แล้วนายเหล้ารัมนี่มาจากไหน ทำไมถึงมาชอบเพศเดียวกันได้ล่ะเนี่ย!?
“คุณแน่ใจนะว่าคุณไม่ได้ล้อผมเล่น เพราะผมไม่ตลกด้วยนะคุณ” คราวนี้ผมเริ่มถามเสียงจริงจัง รู้สึกปักใจไปนิดนึงแล้วว่าสิ่งที่เขาพูดมาจะต้องเป็นแค่การอำกันเล่นแน่ๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาก็จะยังยืนยันตามเดิม
“ผมก็ไม่ได้พูดให้ตลกนี่ แล้วผมก็ไม่ได้ล้อเล่นด้วย”
“แต่คุณเข้าใจมั้ยว่ามันเชื่อยาก”
“เชื่อยากตรงไหนกัน” เหล้ารัมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เหมือนว่าเขาสงสัยในสิ่งที่พูดจริงๆ
“กะ...ก็จู่ๆ คุณเดินเข้ามาหาผม บอกว่าชอบผม ทั้งที่คุณเองก็เป็นพ่อมดอะ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่ผมเป็นพ่อมดล่ะ คนเราจะชอบใครสักคนมันเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ด้วยหรอ?”
“เกี่ยวสิ”
“ยังไง”
“ก็ผมไม่เคยเห็นพ่อมดที่เป็นเกย์มาก่อนเลยนี่!”
ทันทีที่ผมพูดจบประโยค... เหล้ารัมก็ระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ทำเอาผมแอบเหวอนิดๆ เพราะที่พูดน่ะไม่ได้ตั้งใจให้ขำสักหน่อย ไม่เห็นหรือไงว่าท้ายประโยคผมขึ้นเสียงดังด้วยนะ นี่มันหมายถึงว่าผมกำลังพยายามเถียงต่างหากเล่า!
แล้วเขามาหัวเราะอะไรไม่ทราบ?
“โทษที ผมไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะนะ เพียงแต่... คิก...” บอกไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ยังหัวเราะไม่เลิกเนี่ยนะ!? อะ...ไอ้พ่อมดบ้า! “โอเคๆ ผมไม่หัวเราะแล้ว ไม่ต้องทำตาดุแบบนั้นก็ได้ คิก.. เอ่อ.. คือ..ที่ผมหัวเราะเนี่ย ก็เพราะว่าขำที่คุณไม่เชื่อผมเพียงเพราะว่าคุณไม่เคยเห็นพ่อมดที่เป็นเกย์ไง”
“แล้วมันไม่จริงหรอ พ่อมดเขามีเกย์ซะที่ไหนกัน ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นเลย”
“ใครว่าไม่มีล่ะ เยอะแยะ เพียงแต่ว่าคุณไม่เคยเจอต่างหาก”
“แต่ว่า...” ใจจริงผมอยากจะเถียงต่อ แต่พอเห็นหน้าตามั่นอกมั่นใจของเหล้ารัมแล้ว ผมก็คิดว่าควรปิดประเด็นแค่นี้จะดีกว่า ยังไงผมเองก็เป็นมนุษย์ ไม่เคยไปเที่ยวทุกซอกทุกมุมของโลกเวทมนตร์ ทำให้อาจจะยังไม่เจอ ‘แหล่ง’ ของเพศที่สามในพวกผู้วิเศษก็ได้ การไม่รู้อะไรจริงแล้วพูดเยอะ มีแต่เสียกับเสียทั้งนั้นแหละ “โอเค มีก็มี แต่มันก็ยังเชื่อยากอยู่ดีนะ เรื่องที่คุณชอบผมน่ะ ผมว่า... คุณต้องมีเจตนาอื่นแอบแฝงแน่ๆ”
ผมทำหน้ามั่นใจในสิ่งที่พูด เผื่อว่าอีกฝ่ายจะแสดงพิรุธอะไรออกมาให้เห็น แต่เขากลับยิ้ม..
“ไม่มีหรอกไอ้เจตนาแอบแฝงอะไรนั่นน่ะ แล้วเรื่องที่ผมชอบคุณมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เชื่อยากด้วย ต่อให้เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาอย่างคุณที่ไม่มีเวทมนตร์อะไร ก็ยังสามารถพิสูจน์ได้”
“พิสูจน์?” คราวนี้สิ่งที่เขาพูดมาเป็นอะไรที่มันน่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิม เพราะถ้าพิสูจน์ได้จริง ผมก็อยากจะลองดูสักตั้งนะ โดยเฉพาะกับพ่อมดที่หล่อลูกครึ่งตรงสเปกผมแบบเหล้ารัมเนี่ย
“ใช่ พิสูจน์”
“ยังไง”
“มองตาผมสิ : )”
“...”
ตึกตัก ตึกตักพระเจ้า... ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าประโยคธรรมดาๆ อย่าง ‘มองตาผมสิ’ จะส่งผลรุนแรงต่อหัวใจผมมากมายขนาดนี้... ในขณะเดียวกัน มันก็เปรียบเสมือนคำสั่งวิเศษที่ทำให้ผมจับจ้องเข้าไปในตาของเขา...
สิ่งที่ผมเห็นคือนัยน์ตาสีม่วงอ่อนเป็นประกายคู่นั้นมีเพียงแค่เงาสะท้อนของใบหน้าผมไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ ทว่า... ข้อความที่ผมเคยกลัวที่จะตีความกลับถูกส่งผ่านมาให้อีกครั้ง ซึ่งมันทำให้ผมใจเต้นแรงขึ้นเป็นสองเท่า เพราะรู้สึกได้จากสิ่งที่เห็นว่าเขา...น่าจะไม่ได้โกหก...
จริงๆ ก็รู้นะว่าแค่นี้มันยังน้อยไป แต่คุณเคยมั้ย เมื่อมองตาใครสักคน กลับได้รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ภายใน ทั้งๆ ที่เขาคนนั้นอาจจะบอกว่าชื่นชมคุณ หากแต่นัยน์ตากลับเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
นั่นล่ะ มันก็คงจะเหมือนกับเหล้ารัมตอนนี้ ที่ปากบอกว่าชอบ... แล้วสายตาที่มองมาก็สื่อความหมายแบบนั้นจริงๆ...
ตึกตัก ตึกตัก"ทีนี้คุณเชื่อผมหรือยังวาฬว่าผมชอบคุณจริงๆ : )”
“...” ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปในทีแรก ทำเพียงแค่ก้าวถอยออกมาเล็กน้อย เมื่อสังเกตเห็นว่านายพ่อมดคนนี้เหมือนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม
เฮ้อออ นี่ถ้าเขาลองพูดว่าชอบผมโดยไม่ยิ้มดูบ้าง บางทีมันอาจจะน่าเชื่อถือจนผมไม่ต้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขาเลยก็ได้นะ
“ก็...ห้าสิบห้าสิบอะ” ใจจริงไม่อยากจะตอบอะไรเขากลับไปเลยด้วยซ้ำ แต่คิดว่าถ้าเอาแต่เงียบ บทสนทนาวันนี้ก็คงไม่จบแน่
“ห้าสิบห้าสิบงั้นหรอ” แล้วจู่ๆ เหล้ารัมก็ทำหน้าเหมือนกำลังคิดคำนวณบางอย่าง ทำให้ผมแอบมองเห็นมุมของความเป็นเด็กน้อยจากหน้าเขาได้ในตอนนี้ “ก็ยังดี ดีว่าคุณไม่เชื่อผมเลยน่ะเนอะ” ก่อนที่มันจะหายลับไป แล้วแทนที่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบที่เขาชอบทำ
นอกจากหล่อแล้ว ยังหน้ารักอีก คนแบบนี้เนี่ยนะที่จะมาชอบผม ไม่ใช่ว่ามีสาวๆ ตรึมแล้วหรือไง?
“แล้วยังไงล่ะ แค่จะบอกว่าชอบแค่นี้เองหรอ” ไม่ใช่ว่าอยากจะพูดจาให้ดูกวนเหมือนอยากจะหาเรื่องนะ แต่ผมแค่อยากรู้จริงๆ ว่าการที่เขามาบอกชอบแบบนี้ แล้วผมควรจะทำไงต่อดี?
“อันที่จริงแล้วไม่ใช่แค่จะมาบอกชอบหรอก แต่ว่าผมอยากจะมาขออนุญาตคุณก่อน เพราะผมไม่อยากจะบังคับจิตใจใคร”
“ขออนุญาต?” นั่นไง ผมบอกแล้วว่ามันจะต้องมีเจตนาอะไรแอบแฝง แล้วดูท่าจะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ด้วย เพราะเหล้ารัมใช้คำว่า ‘ไม่อยากบังคับจิตใจใคร’ แสดงว่าต้องเป็นเรื่องที่น่าหนักใจน่าดู
โธ่ ไอ้เราก็เกือบเชื่อไปแล้วนะ ว่าเขาชอบเราจริงๆ...
“ใช่ครับ ในฐานะที่คุณเองก็ผูกพันกับพวกพ่อมดแม่มดมาตั้งแต่เกิด คุณคงจะรู้ดีว่าหัวใจของพวกเรานั้นรักใครชอบใครยาก”
อันนี้จริง เพราะในโลกของนิยาย พวกเขามักตกหลุมรักได้โดยง่าย แต่ในโลกของความเป็นจริง สิ่งมีชีวิตอย่างพวกเขานั้นไม่ใช่ว่าเอะอะก็ชอบเอะอะก็ตกหลุมรัก พ่อมดแม่มดบางคนที่เกิดและตายไปโดยไม่ได้พบเจอกับคนที่รักหรือชอบเลยก็มี ดังนั้นเวลาที่พวกเขาพบเจอคนที่ใช่ขึ้นมา จะเกิดการรุกหนักกว่าคนธรรมดาทั่วไปสองถึงสี่เท่า
หมายถึงในกรณีที่ไม่ได้มีเจตนาอะไรแอบแฝงน่ะนะ : (
ว่าแต่... “อ่าฮะ แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องที่คุณจะขออนุญาตยังไง?”
“ก็ในที่สุดผมก็ได้เจอคนที่ชอบแล้ว ผมเลยอยาก... ขออนุญาตจีบคุณได้มั้ย : )”
“...”
ตึกตัก ตึกตักทะ...ที่แท้ก็จะขอจีบหรอกหรอ? งั้นที่บอกว่า ‘ไม่อยากบังคับจิตใจ’ ก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับใจของแต่ละคนสินะ
ละ..แล้วก่อนหน้านี้ผมไปคิดถึงประโยชน์แอบแฝงบ้าบอกอะไรล่ะเนี่ย!?
“ว่าไงครับ คุณจะอนุญาตมั้ย : )”
“เอ่อ... คือ...”
โอ๊ยยยย ไม่ได้อยากจะติดอ่างเพื่อเล่นตัวอะไรเลยนะ เพราะบอกตรงๆ ว่าถ้ามีผู้ชายอย่างเหล้ารัมมาจีบนี่ผมก็โอเคมากๆ เพราะว่าเขาเองก็ถูกใจผมอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงให้ตัวเองดูไม่แรดเกินไปดี คืออย่างน้อยๆ ผมก็เป็นผู้ชายเปล่าวะ ถึงจะชอบเพศเดียวกัน แต่ยังไงก็ยังเป็นผู้ชาย ก็ควรที่ต้อวรักษาจริตหน่อยสิ ไม่ได้เผลอยิ้มเขินจนแก้มปริต่อหน้าผู้ชายอีกคนแบบนี้!
ทว่า...
จู่ๆ รอยยิ้มของผมก็หายไปในพริบตา...
เมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นราวกับเป็นสัญญาณเตือนภัยอันตรายร้ายแรง...
“อ้าว เป็นอะไรไป ทำไมไม่ยิ้มแล้วล่ะ?” แม้แต่เหล้ารัมที่ปกติจะชอบยิ้มก็กลับต้องขมวดคิ้วมุ่น เพราะนอกจากรอยยิ้มของผมจะหายไปแล้ว นัยน์ตาสีน้ำตาลโศกของผมคงกลับมาทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี...
ซึ่งก็ไม่แปลกหรอกที่ผมจะเลิกยิ้ม... ไม่ใช่เพราะผมเศร้า แต่แค่รู้สึกเหมือนความฟินก่อนหน้านี้มันถูกทำลายลงจนหมดสิ้น ทำให้รอยยิ้มที่ได้รับจากความฟินนั้นถูกพังทลายลงไปด้วย เมื่อภาพในหัวมันดำเนินไปได้ไกลสุดเพียงแค่สี่เดือนเท่านั้น
ใช่ สี่เดือน
เวลาสี่เดือนน่ะ จะว่าเร็วก็เร็ว จะว่าช้าก็ช้า เพราะถ้าเกิดเหล้ารัมอยากจะจีบผมจริงๆ อย่างที่เขาพูดและแสดงออกมา แล้วผมอนุญาตไป (ซึ่งใจผมก็อยากจะอนุญาตอยู่แล้ว) มันก็ขึ้นอยู่กับเราสองคนว่าจะสามารถตักตวงความสุขจากมันได้มากน้อยแค่ไหนในเวลาอันจำกัดนั้น ทว่า.. ถ้าเหล้ารัมรู้ความจริง.. ผมคิดว่าเขาก็คงไม่อยากเสี่ยงที่จะลงทุนจีบผมหรอก ในเมื่อ...
ใครมันจะไปอยากเอาหัวใจมาลงทุนกับคนที่กำลังจะตายล่ะ..จริงมั้ย?“ขอโทษนะ” เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจถอนออกมาให้ห่างจากเหล้ารัม ถึงแม้ว่า..จะไม่ได้รังเกียจเลยสักนิดที่ต้องยืนใกล้กับเขา.. ”อันที่จริงผมก็อยากจะให้คุณจีบ แต่เกรงว่าคงจะไม่สะดวก” ก่อนจะกล่าวปฏิเสธคำขออนุญาต แล้วข้ามเรื่องรอยยิ้มที่เขาถามถึงไป
ทำให้วินาทีนั้น.. ผมได้เห็นความสับสนระคนผิดหวังจากคนตรงหน้า ทว่า..ริมฝีปากยังคงยิ้ม ยิ้ม...ที่ดูออกว่าเป็นการฝืนยิ้มของคนตรงหน้า
นั่นจึงพิสูจน์ให้ผมเห็นแล้วว่า.. เราสามารถหาความจริงที่อยู่ภายในจากดวงตาของอีกฝ่ายได้..
“ทำไมล่ะ หรือว่าคุณมีคนที่ชอบอยู่แล้ว?” เหล้ารัมถามหาเหตุผล ใบหน้าหล่อเหลาสไตล์ลูกครึ่งดูหม่นหมองลงไปถนัดตา
จนผมต้องรีบส่ายหน้า เพราะอยากให้เหล้ารัมรู้ว่าสาเหตุที่พ่อมดหล่อๆ อย่างเขาต้องถูกปฏิเสธน่ะมันร้ายแรงยิ่งกว่านั้น
“เปล่าหรอก เพียงแต่ว่า... ผมกำลังจะตาย”
“...”
“...”
“...”
คำว่า ‘ตาย’ นำพาความเงียบเข้าปกคลุมเราสองคน
ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเหล้ารัมกำลังรู้สึกอะไรอยู่กับสิ่งที่ได้ยิน เพราะสีหน้าของเขาตอนนี้ค่อนข้างอ่านยาก ไม่เว้นแม้แต่นัยน์ตาคู่นั้นที่มักจะเปิดเผยบางสิ่งบางอย่างออกมา เราสองคนเลยทำเพียงแค่จ้องตากันในความเงียบ.. ซึ่งก็น่าแปลกนะ ทั้งๆ ที่เราเพิ่งจะเคยเจอกันเป็นครั้งแรก แต่ทำไมตัวผมกลับไร้ความรู้สึกอึดอัดเมื่อต้องมายืนจ้องตากับเขานิ่งๆ เป็นเวลานานๆ แบบนี้
จนกระทั่ง...
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ~”
...เหล้ารัมระเบิดหัวเราะออกมาอีกครั้ง
แล้วก็เป็นอีกครั้งเช่นกันที่ไม่คิดว่าเขาจะหัวเราะในสิ่งที่ผมพูด เพราะไม่ได้ตั้งใจจะให้เขาขำเลยสักนิด แต่จะต่างจากครั้งแรกก็ตรงที่.. ผมว่าผมรู้สึกดีที่ได้เห็นเขากลับมาหัวเราะอีกครั้ง ไม่ใช่ทำหน้าตาหม่นหมองเหมือนก่อนหน้านี้
ผมว่าหน้าเศร้าๆ ไม่เหมาะกับเขาหรอก : )
เพราะเวลาที่เขายิ้ม ตาของเขาก็จะเป็นประกาย มันเป็นอะไรที่ยิ่งมอง... ก็ยิ่งยากจะละสายตา...
“คุณอำผมเล่นใช่มั้ยวาฬ จริงๆ แล้วคุณมีสาเหตุอื่น แต่บอกผมไม่ได้สินะ : )” เขายิ้มเหมือนว่ารู้ทันผม ทั้งที่จริงๆ แล้วเขากำลังเข้าใจผิดอยู่ต่างหาก
ซึ่งถึงแม้ว่าผมชอบเวลาที่เขายิ้ม และอยากจะเห็นมันนานกว่านี้อีกสักหน่อย แต่ความจริงก็คือความจริง แล้วผมก็คิดว่ามันถึงเวลาสำหรับความจริงนั้นแล้ว… “เปล่าครับ ผมพูดจริงๆ”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีใครเขาเอาเรื่องความเป็นความตายมาล้อเล่นกันหรอกคุณ”
“…”
ใช่ ไม่มีใครเขาเรื่องความเป็นความตายมาล้อเล่นกันหรอก ถึงแม้ว่าจู่ๆ ผมก็เกิดอยากจะภาวนาให้มันเป็นเรื่องล้อเล่นระหว่างเราขึ้นมา… ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีความคิดแบบนี้เลย ไม่เคยเลยจริงๆ...
“แล้วผมก็รู้ด้วยว่ามันเป็นเรื่องที่เชื่อยาก”
“…”
“เพราะฉะนั้นคงถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องแนะนำตัวใหม่อีกครั้ง”
“…”
“ผมชื่ออรรณพ นามสกุลอลิชา ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการครับ” ไม่ได้แค่แนะนำตัวเพียงอย่างเดียว แต่ผมเลือกที่จะโค้งคำนับตามแบบที่เหล้ารัมเคยทำด้วย
แล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่อผมเงยหน้ากลับขึ้นมายืนตัวตรง ก็พบว่าสีหน้าของเหล้ารัมนั้นแปรเปลี่ยนเป็นตกใจไปเสียแล้ว จากตอนแรกที่แค่นิ่งเงียบและยืนฟังเฉยๆ เท่านั้น
ผมรู้ว่าเหล้ารัมต้องตกใจอยู่แล้ว ในเมื่อนามสกุลของผมมันเป็น..นามสกุลต้องสาป
แต่มันยังมีอีกเรื่องที่คงจะทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าเดิม...
“แล้วผมก็คือทายาทคนเล็กของตระกูล ที่ถูกถอนพันธะสัญญาไปแล้ว”
“…”
...เพราะมันคงเป็นเครื่องยืนยันอันดีว่าผมกำลังจะตายอย่างที่พูดแน่ๆ
ผมรู้นะ ว่าพอถึงตอนนี้ ผมควรจะเดินจากไปแล้ว ในเมื่อนัยน์ตาของอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยความสับสนมากมายจนยากที่จะพูดอะไรออกมา แต่ผมก็อยากจะรออีกนิด... หวังว่าเขาจะพูดอะไรออกมาสักอย่าง อย่างประโยคง่ายๆ แบบว่า... ‘ไม่เป็นไร’ อะไรทำนองนั้น
“…”
ทว่า... ดูเหมือนว่าผมจะหวังมากไปสินะ : )
ก็บอกแล้ว ไม่มีใครเขาอยากจะเอาหัวใจมาลงทุนกับคนทีรู้ว่าสุดท้ายก็ต้องตายหรอก เพราะฉะนั้น... คงถึงเวลาที่ต้องบอกลากันเสียที…
“ลาก่อนครับ ยินดีที่ได้เจอนะ..เหล้ารัม”
แล้วปล่อยให้นายพ่อมดนั่นยืนอยู่ตามลำพังที่ใต้ตึกคณะ จนกว่าเขาจะพอใจ
#แฮมสเตอร์สวัสดีครับทุกคน ก่อนอื่นเลยต้องขอฝากเนื้อฝากตัวกับทุกคนเลยนะครับ เพราะว่าเพิ่งจะลงนิยายเรื่องยาวที่นี่เป็นครั้งแรก เพราะปกติจะลงกับอีกเว็บ แต่ครั้งนึงเคยเอาเรื่องสั้นมาลงไว้ที่เล้า แล้วค้นพบว่า นักอ่านของที่นี่คอมเม้นท์กันได้อย่างมีคุณภาพมาก ซึ่งบอกตรงๆ ครับว่าแฮมสเตอร์ค่อนข้างประทับใจทีเดียว เลยตัดสินใจว่าจะลงนิยายเรื่องนี้เอาไว้ที่เว็บนี้เท่านั้น
ยังไงก็ขอฝาก #พ่อมดเหล้า ด้วยนะครับ
หากมีอะไรต้องการที่จะเสนอแนะหรือติชมก็บอกกันมาได้
เพราะคนเขียนเองก็อยากจะพัฒนางานเขียนให้ดีต่อไปเรื่อยๆ ครับ
แล้วก็ขอบคุณมากจริงๆ ครับ ที่อ่านกัน
บอกตรงๆ ว่ารู้สึกไม่มั่นใจเลย แต่ก็จะเอามาอัพเรื่อยๆ นะครับ
อาจจะอัพไม่เร็ว แต่ก็จะพยายามไม่ให้ช้าจนเกินไปครับ
ป.ล. หากใครอยากพูดคุยอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ใน twitter ฝาก #พ่อมดเหล้า เพื่อง่ายต่อการตามอ่านของคนเขียนนะครับ ขอบคุณมากๆ เลยครับ
my page :
https://www.facebook.com/hamsterisanauthor/ 