<<ม่านไหมลายพยัคฆ์>>
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>>  (อ่าน 105422 ครั้ง)

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove
<<ม่านไหมลายพยัคฆ์>>
« เมื่อ29-12-2016 21:54:16 »


ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ   ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่ 
 
 1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่ 
 
 2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
 หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
 หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
 และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
 ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   
 
 เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ 
 3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ 
 4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ 
 5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว 
 6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน 
 7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
       7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
       7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
       7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
             - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ 
 8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง). 
 9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ 
 10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวปhttp://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป 
 11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
 
 บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
 นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป 
 12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด 
 13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ 
 14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ 
 15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
 (1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
 (2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง ....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
 - ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
   (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
 - ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
 - ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
 - ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
 - ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail   
 16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข  17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
  เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ admin thaiboyslove.com.......................................                                                             
 วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7 วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย 
 
 
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




                                                      :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2:


 

คำชี้แจงของผู้แต่ง


1.นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ บุคคลในเรื่องเป็นชื่อที่แต่งขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่มีอยู่จริงนะคะ


2.เนื่องจากความยากในการแต่ง บางบทบางตอนอาจมีการแก้ไขในอนาคตเพื่อให้ดีขึ้นมากที่สุด


3.ไม่ใช่แนวตลาดไม่หวังเรตติ้ง แต่ผู้แต่งตั้งใจค้นคว้าหาข้อมูลก่อนแต่งมาพอสมควร

หากใครอ่านแล้วชอบก็ช่วยแสดงความคิดเห็นและโปรโมทให้บ้างจะเป็นพระคุณอย่างสูง

(ขอกันง่ายๆแบบนี้เลย อิอิ)




                                   ขอเชิญเพลิดเพลินกับนิยายจีนของ Belove ได้แล้วค่ะ

                                        :3123: :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:


 สารบัญ


บทที่ 1
บทที่ 2
บทที่3
บทที่ 4
บทที่ 5
บทที่ 6
บทที่ 7
บทที่ 8
บทที่ 9
บทที่ 10
บทที่ 11
บทที่ 12
บทที่ 13
บทที่ 14
บทที่ 15
บทที่ 16
บทที่ 17
บทที่ 18
บทที่ 19
บทที่ 20
บทที่ 21
บทที่ 22
บทที่ 23 (บทส่งท้าย)








                         


                                                               :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:










Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2019 22:27:00 โดย Belove »

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove

                                                             ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                       บทที่ 1
               


           นครช่างไห่(เซี่ยงไฮ้)
           
           กลางปีคริสตศักราช 1937



                    ร่างสูงยืนสงบอยู่เบื้องหน้าภาพวาดดอกเบญจมาศที่ใช้ประดับอยู่บนผนังของบ้านหลังใหญ่ ดวงตาคมพิศไปตามแต่ละ

กลีบอันมีสีเหลืองอร่ามที่จิตรกรบรรจงวาดซ้อนกันเป็นพุ่มดอกอย่างวิจิตรงดงาม ชายหนุ่มรู้ดีว่าดอกเบญจมาศที่มีกลีบดอกสิบหกกลีบ

และมีกลีบซ้อนอีกสิบหกกลีบนั้นเป็นสัญลักษณ์ของสมเด็จพระจักพรรดิแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่นที่กำลังแผ่ขยายอิทธิพลมาจนถึงประเทศจีน

ของเขามาตั้งแต่ก่อนจักรพรรดิองค์สุดท้ายในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช

               แม้ว่าเฉินหย่งหนานจะมีอายุเพียงยี่สิบสองปีและเพิ่งสำเร็จการศึกษามาจากโรงเรียนนายร้อยของญี่ปุ่นกลับมาเป็นทหารภาย

ใต้สังกัดของเฉินจิ้นเหอผู้เป็นลุงของเขา  แต่วัยหนุ่มของหย่งหนานกลับมิได้มีไว้เพื่อเที่ยวเตร่สำมะเลเทเมาเข้าดงฝิ่นอย่างเช่นชายวัย

เดียวกัน  หย่งหนานรู้ดีว่าชีวิตของเขามีไว้เพื่อต่อสู้เพื่อความยิ่งใหญ่ของประเทศอย่างที่ลุงของเขาทำมาตลอดชีวิตและเป็นแบบอย่าง

ให้หย่งหนานมีอุดมการณ์แข็งกล้าไม่ต่างจากเฉินจิ้นเหอผู้นำของพรรคชาตินิยมและเป็นนายกรัฐมนตรีในเวลานี้

              สถานการณ์ไม่เคยปลอดภัย จิ้นเหอสอนหย่งหนานเช่นนั้น ทหารที่ดีต้องระแวดระวังทุกขณะเช่นเสือที่เยื้องย่างอยู่กลางป่า

แม้ว่าลมจะหยุดพัดใบไม้ไม่ไหวติงแต่สายตาของเสือย่อมสอดส่ายและมองกว้างให้ทั่วป่า ยามภยันตรายจู่โจมเบื้องหน้าสัญชาตญาณ

ของเสือจะรวดเร็วและรับมือได้โดยไม่หวาดหวั่น


               “ชาติพยัคฆ์ย่อมไม่เกรงกลัวและไม่อ่อนข้อต่อสิ่งใด แม้ว่าสิ่งนั้นมันจะปลิดลมหายใจของมัน พยัคฆ์ย่อมไม่ยอมแพ้มันจะ

กระโจนเข้าใส่และต่อสู้จนลมหายใจสุดท้ายของมัน”


                คำสอนนั้นย้ำเตือนอยู่เสมอ และส่งผลให้หย่งหนานกลายเป็นชายหนุ่มที่มีบุคลิกสุขุมเยือกเย็น ดวงตาคมกริบยามมองใครผู้

นั้นมักจะลนลานด้วยความกริ่งเกรงอยู่เสมอ ร่างกายของเขาผ่านการฝึกกรำเพื่อเป็นทหารมาตั้งแต่จำความได้จึงสูงใหญ่ไหล่กว้างและ

ผึ่งผายสง่างามเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัด หากกล่าวถึงหน้าตานั้นเล่าเขาก็เป็นที่กล่าวขวัญเพราะใบหน้าคมเข้มด้วยเครื่องหน้าลงตัว

ตาคมดุประกายกล้าแกร่งภายใต้คิ้วเข้มดกดำรับกับจมูกโด่งเป็นสันคมปลายงุ้มเล็กน้อยอย่างคนมีวาสนารวมถึงปากหยักที่

แทบไม่เคยเปิดปากหากไม่จำเป็น

                  ละสายตาจากดอกเบญจมาศดอกใหญ่หย่งหนานจึงได้กวาดสายตาไปโดยรอบห้องรับแขกอันโอ่อ่าหรูหรา เขาถอนหายใจ

เมื่อรู้สึกถึงความเหลื่อมล้ำ ในขณะที่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศอยู่กันอย่างลำบากอัตคัดในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ชาว

ต่างชาติที่รุกรานจนยึดผืนแผ่นดินในส่วนของแมนจูเรียไปได้นั้นกลับมีความเป็นอยู่อย่างสุขสบายในเมืองท่าช่างไห่ ของประดับตกแต่ง

ภายในก็ล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุโบราณล้ำค่าของแผ่นดินจีนทั้งสิ้น สำนึกความรักชาติของหย่งหนานก่อเกิดขึ้นมาจนแน่นอก

               เสียงฝีเท้าดังแว่วปลุกหย่งหนานจากภวังค์ เขาหันกลับไปทางต้นเสียงและเหยียดกายงามสง่าก่อนจะค้อมศีรษะคำนับให้กับ

เจ้าของสถานที่ผู้ก้าวเข้ามา บุรุษวัยห้าสิบเศษในชุดทหารของจักรวรรดิญี่ปุ่นเต็มยศยิ้มทักทายพลางหัวเราะร่าเมื่อก้าวเข้ามาตบบ่าของ

หย่งหนานอย่างชอบใจ


               “ดูสิ ดู ไม่พบกันเสียหลายปี พ่อหลานชายโตจนกลายเป็นนายทหารใหญ่โตเสียแล้ว”


                “กระผมยังเป็นเด็กอยู่เสมอขอรับท่านนายพล”


                น้ำเสียงของหย่งหนานนอบน้อมอยู่เสมอกับผู้สูงวัยกว่า บุคคลเบื้องหน้านอกจากจะเป็นนายพลเอกแห่งกองทัพญี่ปุ่นแล้วยัง

เป็นราชนิกุลของสมเด็จพระจักรพรรดิ์อีกด้วย เขาคือนายพลเอกเจ้าชายคิริซาวะ ยาคุริ จอมทัพแห่งจักรวรรดิ์ญี่ปุ่นที่ควบคุมบัญชาการ

อยู่ในผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ของประเทศจีนแห่งนี้


                “เป็นเด็กที่อนาคตไกลนักร้อยตรีเฉิน”


                 คิริซาวะมองบุรุษหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาชื่นชมแม้จะอยู่กันคนละฝั่ง หลานชายของนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐจีนที่เคย

เห็นวิ่งตามผู้เป็นลุงอยู่ไม่นาน บัดนี้เติบโตเข้าสู่วัยหนุ่มและกลายเป็นร้อยตรีของกองทัพจีนที่น่าเกรงขาม คิริซาวะยังนึกเสียดาย หากเขา

มีลูกสาวหรือหลานสาวเขายังนึกจะมอบให้เพื่อผูกสัมพันธไมตรีกับเฉินหย่งหนานผู้นี้เสียเป็นแน่


               “ในที่สุดก็กลับมาช่วยเหลือลุงของเธอและสู้กับฉันสินะ”


                 มุมปากของหย่งหนานกดยิ้มแทนคำยอมรับ เฉินจิ้งเหอและคิริซาวะนั้นต่างก็เป็นผู้นำที่อยู่ตรงกันข้าม หากแต่ทั้งคู่ก็ยัง

ชื่นชมในฝีมือของอีกฝ่าย เฉินจิ้งเหอในวัยหนุ่มเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อยญี่ปุ่นเป็นรุ่นพี่ของคิริซาวะไม่กี่ปี และต้องมาขับเคี่ยวในการ

ต่อสู้ที่เข้าใกล้คำว่าสงครามเต็มที ฝ่ายหนึ่งเพื่อปกป้องบ้านเมืองและอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อขยายอำนาจของบ้านเมือง


                “มาถึงช่างไห่ในวันนี้ ต้องการมาบอกกล่าวสิ่งใดกระนั้นหรือ”


                นัยน์ตาของหย่งหนานกร้าวขึ้นมาแวบหนึ่งเมื่อคิดถึงจุดประสงค์ที่เขาจำเป็นต้องมาที่ช่างไห่ในวันนี้


                 “คุณลุงให้กระผมมาเรียนกับท่านนายพลถึงการรุกล้ำที่มากเกินไปขอรับ”


                 น้ำเสียงของหย่งหนานเข้มและหนักตามเนื้อหาที่เขานำมาสื่อสารกับผู้นำของฝ่ายตรงข้าม


                  “แค่แมนจูเรียที่จักรวรรดิ์ญี่ปุ่นชิงไปก็เหมือนจะมากเกินกว่าที่ควรจะเป็นแล้ว และตอนนี้การที่กองทัพของญี่ปุ่นหวังที่จะ

ครอบครองทางเมืองท่าอย่างช่างไห่อันเป็นจุดศูนย์กลางของการค้านั้น คุณลุงเกรงว่าจะเป็นการกระทำที่มากเกินไป และกองทัพทหาร

ของจีนไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนั้นได้”


                    รอยยิ้มของคิริซาวะพลันเลือนหายแม้ว่าแววตาจะยังชื่นชมหย่งหนานไม่เสื่อมคลาย คำพูดของบุรุษคราวลูกช่างเข้มแข็ง

แต่ก็ดูไม่โอหัง มันพอดีอยู่ในเนื้อความที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมา


                  “กลับไปบอกลุงของเธอเถิดร้อยตรีเฉิน สำหรับความเกรียงไกรเพื่อสมเด็จพระจักรพรรดิ์ของเรานั้นแค่แมนจูกัวคงไม่เพียง

พอ กองทัพของญี่ปุ่นจะทำทุกอย่างเพื่อให้ทั้งโลกได้รู้จักพระราชอำนาจของพระองค์”

                  (ญี่ปุ่นยึดครองแมนจูเรียและเปลี่ยนชื่อเป็นแมนจูกัว//ผู้แต่ง)


                  “แม้ว่าการกระทำนั้นจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์กระนั้นหรือขอรับ”


                  “ไม่มีมนุษย์ผู้ใดบริสุทธิ์หรอกร้อยตรีเฉิน”


                  คิริซาวะกล่าวอย่างเยือกเย็นแต่แฝงไว้ด้วยความดุดัน


                  “ใครเข้มแข็งก็อยู่รอดและได้เป็นผู้นำ ส่วนใครอ่อนแอก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้นเอง”


                    หย่งหนานลอบผ่อนลมหายใจอย่างหนักอึ้ง ดวงตาคมฉายแววผิดหวังก่อนจะกลับมารักษาท่าทีเช่นเดิม


                    “ถ้าเช่นนั้นกระผมคงต้องขอลา น่าเสียดายที่กระผมไม่สามารถหยุดยั้งความรุนแรงไว้ได้”


                   หย่งหนานค้อมศีรษะคำนับบุรุษสูงวัยอีกครั้ง เขาหันหลังกลับและเตรียมก้าวออกไปจากที่แห่งนี้


                   “ร้อยตรีเฉิน” คิริซาวะรั้งเขาไว้


               “ฝากไปบอกลุงของเธอ แม้ว่าเราจะเป็นศัตรูกันในสนามรบ แต่ฉันก็ยังเคารพเขาในฐานะรุ่นพี่อยู่เสมอ”


               หย่งหนานก้มหน้ารับคำเป็นครั้งสุดท้ายจึงก้าวกลับออกมาด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง







                  หย่งหนานก้าวเท้าขึ้นตอนหน้าของรถทหารที่มีลูกน้องคนสนิทรออยู่แล้ว ทันทีที่เจ้านายขึ้นมานั่งและปิดประตูรถเรียบร้อย

ผู้หมู่ไห่ก็เหยียบคันเร่งออกไปโดยเร็ว เขาไม่ชอบบรรยากาศหน้าบ้านผู้นำของญี่ปุ่นเท่าใดนัก หน่วยองครักษ์เดินกันให้ขวักไขว่จนเขา

นึกหวาดเมื่อเห็นเจ้านายกล้าบุกเดี่ยวเข้าไปภายใน


                “เป็นยังไงบ้างครับนาย ทำหน้าอย่างนี้คงไม่สำเร็จใช่ไหม”


                เมื่อได้เป็นตัวเองแล้วหย่งหนานก็ถอนหายใจยาวโดยไม่ต้องซ่อนความหนักใจเอาไว้ สีหน้าของเขาทั้งเครียดทั้งขรึมเมื่อ

คิดถึงสถานการณ์ในอนาคตอันใกล้


                 “ไม่สำเร็จ เราคงต้องเตรียมตัวสำหรับสงครามที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้แหละอาไห่”


                “เกลียดมันนัก” อาไห่ทุบมือกับพวงมาลัย “ไอ้พวกนี้มันบ้าสงคราม กระหายเลือด พวกเราชาวจีนต้องสู้กับมันให้ได้”


                 หย่งหนานไม่ได้กล่าวอะไรต่อทั้งที่ในใจเขาเห็นด้วยกับลูกน้อง ความหนักใจมีมากนักเพราะรู้ดีว่าแม้ชาวจีนจะมีพลเมือง

มากกว่าแต่เพราะแตกเป็นก๊กเป็นเหล่า รวมทั้งมีอีกฟากฝั่งที่คิดจะเปลี่ยนการปกครองเป็นแบบสังคมนิยมก็เป็นเสี้ยนหนามให้ไม่สามารถ

รวมตัวกันต่อกรกับศัตรูได้ ปัญหาเหล่านี้หย่งหนานเรียนรู้จากจิ้งเหอมาตั้งแต่เด็ก

                 หย่งหนานเป็นแค่ฟันเฟืองเล็กๆในสังคมอันใหญ่โตเท่านั้น แม้จะมีความรักชาติเพียงใดก็ตาม เขาเอนกายพิงศีรษะไปกับ

เบาะรถอย่างเหนื่อยอ่อน


                    “ขอหลับสักงีบก็แล้วกัน ขับรถไปถึงนานกิงเมื่อไหร่ก็ปลุกด้วยนะอาไห่”


                   หย่งหนานโยนเรื่องราวทั้งหมดออกจากหัว เขาปล่อยให้อาไห่ขับรถทหารกลับนานกิงเมืองหลวงที่ตั้งของรัฐบาลพรรค

ชาตินิยม สายลมที่พัดผ่านมาทางหน้าต่างรถทำให้หย่งหนานเคลิ้มหลับไป เขาไม่รู้สึกตัวอีกจนกระทั่งสะดุ้งตื่นเมื่ออาไห่เบรกรถจน

สะเทือนไปทั้งคัน



มีต่ออีกนิด...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-01-2017 22:28:51 โดย Belove »

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


ต่อกันตรงนี้..



นครนานกิง (หนานจิง) เมืองหลวง

                “ไอ้เด็กบ้า วิ่งทะเล่อทะล่ามาได้ยังไง นี่มันกลางถนนนะโว้ย”


               “เกิดอะไรขึ้น”


                หย่งหนานตื่นตัวอย่างรวดเร็วตามประสาของทหารที่ถูกฝึกมาจนเคยชิน ด้านนอกของตัวรถคือความจอแจของผู้คนที่เดินกัน

ขวักไขว่และรถสามล้อลากอยู่บนถนน หย่งหนานมองเห็นเด็กชายผอมกะหร่องคนหนึ่งยืนตัวสั่นอยู่หน้ารถทหาร


              “เด็กวิ่งตัดหน้ารถน่ะครับนาย หวุดหวิดไปนิดเดียว”


                หย่งหนานเปิดประตูรถและก้าวลงไป เข้าหยุดยืนอยู่ต่อหน้าเด็กชายที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าโกโรโกโส ใบหน้ามอมแมมไปด้วย

คราบน้ำตาและละอองฝุ่น เด็กชายคนนั้นยิ่งสั่นด้วยความหวาดกลัวเมื่อเห็นเขาที่อยู่ในชุดทหารเต็มยศจนกระทั่งร้องไห้ออกมา


             “หยุดร้องก่อนเถอะ”


               ความยากลำบากของหย่งหนานคือการปลอบโยนเด็ก เขาย่อตัวลงไปจนใบหน้าเสมอระดับเดียวกับเด็กชายตัวน้อย


               “พ่อแม่ของเธอไปไหนเสียแล้วล่ะถึงได้ปล่อยให้ลูกชายมาวิ่งเล่นจนเกือบโดนรถชน”


                “ไอ้ตัวดีมานี่นะ”


               เสียงโวยวายแสบแก้วหูดังมาจากริมถนนจนผู้คนหันมามองอย่างสอดรู้ สตรีแต่งกายอวดเนื้อตัวกลุ่มหนึ่งพากันตรงเข้ามาหา

และมองเด็กชายคนนั้นตาเขียว หนึ่งในกลุ่มสตรีที่ดูท่าจะมีอายุมากที่สุดรีบแย้มยิ้มอย่างมีจริตใส่หย่งหนานทันที


              “นายท่าน ส่งไอ้เด็กนิสัยไม่ดีมาให้ข้าได้ลงโทษมันเถอะค่ะ”


              “ไม่ ฮือ นายท่านช่วยหนูด้วย หนูไม่อยากถูกตีอีกแล้ว”


                 เด็กน้อยร้องไห้จ้าก่อนจะรีบหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังของหย่งหนานที่ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับสตรีที่เขาดูออกว่าเป็นหญิงงาม

เมือง


              “เดี๋ยวก่อน เด็กคนนี้ทำความผิดใดถึงต้องลงโทษจนเจ็บตัวขนาดนี้”


               หย่งหนานมองเห็นร่องรอยบนร่างกายของเด็กคนนี้ทั้งรอยเก่าและรอยใหม่และรู้ทันทีว่าเด็กชายถูกรังแกมามากขนาดไหน

เขานึกสงสารจนจำเป็นต้องสอดมือเข้าช่วยเหลือ


               “มันเป็นเด็กดื้อชื่ออากุย(ลูกเต่า) แม่มันเป็นคณิกาอยู่ในซ่องที่ข้าดูแลอยู่นี่แหละค่ะ แม่ของมันไปขายตัวให้พวกญี่ปุ่นจนมีลูก

ติดท้องหาพ่อไม่ได้จนต้องมาคลอดอยู่ในซ่อง ฉันน่ะไม่อยากเลี้ยงมันไว้หรอกเด็กผู้ชายทำอะไรไม่ได้ ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงก็ว่าไปอย่างเผื่อจะเลี้ยงตัวจนโตและออกขายได้”


               คำพูดคำจาของแม่เล้าทำให้หย่งหนานยิ่งสงสาร เด็กชายนั้นเกาะขาของเขาไม่ยอมปล่อยราวกับจะยึดไว้เป็นเกราะคุ้มกันภัย

เขานึกสะท้อนใจที่อากุยถูกรังเกียจเพราะเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น ขนาดชื่อก็ยังใช้ชื่อว่าอากุยที่เป็นคำด่าทอชั้นต่ำ


               “คนไหนเป็นแม่ของอากุยล่ะ”


               “แม่ของมันรับงานหนักจนไม่สบายนอนอยู่ในซ่องเจ้าค่ะนายท่าน”


                หนึ่งในสาวคณิกาที่พยายามเล่นหูเล่นตาตอบกลับ หย่งหนานตัดสินใจทันที


                “พาฉันไปหาแม่ของอากุย”


                 คำสั่งของนายทหารทำให้แม่เล้าลนลานเดินนำไปยังสำนักคณิกาที่อยู่ไม่ไกลนัก หย่งหนานเดินตามเข้าไปในซ่องทรุด

โทรมตามสภาพของเศรษฐกิจที่ซบเซาจนถึงห้องเล็กเท่ารูหนูที่มีสตรีนางหนึ่งนอนหมดแรงอยู่


               “อากุย”


                น้ำเสียงแหบแห้งปนกับเสียงไอดังขึ้นเมื่อเห็นบุตรชายมาพร้อมกับนายทหาร หล่อนรีบลุกขึ้นมานั่งอย่างยากลำบาก เด็กชาย

ยืนตัวแข็งทื่อมองมารดาและหย่งหนานสลับกัน


                “นี่ไปทำอะไรไม่ดีหาเรื่องเดือดร้อนมาให้แม่อีกล่ะ”


               “หยุดก่อน อย่าเพิ่งไปดุอากุยเลย เธอชื่ออะไร”


                 “ฉันชื่อหลินเพ่ยหลิงค่ะนายท่าน”


                 หย่งหนานมองอย่างเวทนา เขาเดาว่าแม่ของอากุยคงเป็นวัณโรคจนผอมแห้งขนาดนี้


                “ฉันเห็นอากุยที่อยู่ในสภาพไม่เป็นที่ต้องการแล้วอยากจะช่วยเหลืออากุย ถ้าเขาไม่เป็นที่ต้องการของที่นี่”


                เพ่ยหลิงเบิกตากว้างพลันครุ่นคิด หล่อนมองหย่งหนานอย่างตัดสินใจเด็ดขาด


                “จะเอามันไปไหนก็เอาไป”


                  “แม่ หนูไม่อยากไป”


                 อากุยร้องไห้โฮโผเข้ากอดมารดา เพ่ยหลิงน้ำตาเอ่อขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนจะผลักอากุยออกจากอก


                 “อย่าโง่ไปหน่อยเลยอากุย แกอยู่กับแม่ก็จะเป็นภาระเสียเปล่าๆ ในเมื่อนายท่านหวังดีจะพาแกออกจากซ่องเลวๆอย่างนี้ก็

อย่ารีรอ”


                เพ่ยหลิงเอ่ยอย่างตัดใจ หล่อนล้วงเข้าไปในปลอกหมอนเก่าคร่ำคร่าและหยิบเชือกหนังที่มีจี้เป็นโลหะเก่าจนแทบดูไม่ออก

ขึ้นมาคล้องคอให้อากุยและดึงอากุยเข้ามากอด


                “ไปเสีย ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ลืมแม่ที่เป็นหญิงคณิกา ลืมว่าแกเป็นลูกคนญี่ปุ่น อย่าได้บอกใครเป็นอันขาด เข้าใจไหมอากุย”


               เพ่ยหลิงผลักอากุยที่ยังร้องไห้สะอึกสะอื้นออกห่าง หย่งหนานควักธนบัตรจากกระเป๋าปึกหนึ่งส่งให้เพ่ยหลิง


               “เก็บไว้รักษาตัวเถิด”


                 หย่งหนานดึงแขนของอากุยออกมาจากห้องเล็กท่ามกลางสายตาสอดรู้ของเหล่าคณิกา หย่งหนานส่ายหน้าพลางควักเงิน

ออกมาอีกปึกหนึ่งส่งให้แม่เล้า


                “ฉันขออากุยออกไปจากซ่องนี้”


                 แม่เล้าทำตาโตและรีบรับเงินไปพร้อมกับส่งเสียงขอบคุณเป็นการใหญ่ หย่งหนานจูงมืออากุยที่ยังไม่คลายเศร้าออกมา

ภายนอก เขาจูงมืออากุยมายังรถทหารของเขา


                 “อายุเท่าไหร่”


                “แปดขวบขอรับนายท่าน”


                 “ทำไมตัวเล็กเช่นนี้”


                  หย่งหนานมองสภาพของอากุยที่ผอมแห้งราวกับขาดสารอาหาร อากุยที่เพิ่งจะหยุดร้องไห้ได้เงยหน้ามองหย่งหนานแล้ว

ถามเสียงขลาด


                 “หนูจะต้องไปอยู่กับนายท่านเหรอครับ”


                  ชายหนุ่มครุ่นคิด ด้วยภาระหน้านี้ล้นมือทำให้เขาไม่พร้อมที่จะดูและเด็กชายในเวลานี้


                  “ไม่ได้หรอกอากุย ฉันคงต้องฝากเจ้าไว้กับคนที่ดูแลเธอได้”


                   เขาอุ้มอากุยขึ้นรถและออกคำสั่งกับอาไห่


                    “ขับรถไปที่โรงงิ้วของอาจารย์หยาง”


                       ไม่ต้องรอให้สั่งซ้ำ อาไห่รีบขับรถไปยังจุดหมายทันที เมื่อถึงโรงงิ้วของหยางซื่ออันเป็นคณะงิ้วปักกิ่งที่โด่งดังที่สุดใน

นานกิงหย่งหนานก็อุ้มอากุยลงมา เขาตอบรับคำทักทายจากหยางซื่อที่มาต้อนรับ


                   “ครูหยาง ฉันจะขอฝากให้ท่านเลี้ยงดูเด็กชายคนนี้ ขอให้ท่านดูแลเป็นอย่างดี”


                   หยางซื่อในวัยสี่สิบปี่เจ้าของคณะงิ้วอันโด่งดังมองเด็กชายตั้งแต่หัวจรดเท้า


                    “อั้ยยะ ทำไมมอมแมมเช่นนี้ แต่ถ้าคุณชายเฉินฝากไว้ข้าก็ไม่ขัดข้อง ว่าแต่เด็กคนนี้ชื่ออะไร”


                    หย่งหนานเกือบจะตอบว่าอากุย แต่เขาก็ชะงักเสียก่อน เขาหันไปมองเด็กชายที่ไม่ยอมปล่อยมือจากมือใหญ่ของเขา


                    “เด็กคนนี้แซ่หลิน มีชื่อว่าเหวินเป่า ที่แปลว่าความดีงามและสูงส่ง ฉันขอฝากเหวินเป่าไว้กับท่านครู”


                     หย่งหนานย่อตัวลงไปหาเด็กชาย เขาเช็ดคราบน้ำตาจากใบหน้านั้นจนหมด


                     “ต่อจากนี้เธอคือหลินเหวินเป่า จงเป็นเด็กชายที่เข้มแข็งอย่าได้อ่อนแอให้ใครเห็นเป็นอันขาด ตอนนี้ฉันไม่พร้อมจะดูแล

เธอ วันใดที่ฉันพร้อมเธอจะได้ไปอยู่กับฉันนะเหวินเป่า”


                     เด็กชายเหวินเป่าสบตากับดวงตาคมคู่นั้น บางอย่างบอกว่าเขาจะวางใจได้กับคำสัญญา เหวินเป่าเผยรอยยิ้มแรกออกมา

เมื่อเขาเอ่ยอำลาหย่งหนาน


                          “ครับ หนูจะรอวันนั้น รอวันที่นายท่านกลับมารับ”



                        TBC
           

                             เปิดตัวนิยายใหม่ ชอบหรือไม่ชอบก็เม้นท์บอกกันบ้างเด้อ


                                        :man1: :man1: :man1: :man1:
                 
                                   
                                       Edit แก้ไขสรรพนามตามที่มีผู้แนะนำค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-01-2017 22:35:04 โดย Belove »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ทหารหนุ่มหล่อ
หนุ่มน้อยนักแสดงงิ้ว
ท่ามกลางการเมืองร้อนแรง

รอตอนต่อไปแทบไม่ไหวแล้ว

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ดราม่าไหมหนอ
ดูเหมือนอายุจะห่างกันเยอะอยู่นะ

ออฟไลน์ Silvan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-3
พระเอกเราขรึมสุดกู่ไม่อยากให้ดราม่าเล้ย

ออฟไลน์ yymomo

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-3
 :L2:  เข้ามาเจิมนิยายใหม่จร้าาา

ไม่คิดว่าพ่อพระเอกเราจะเลี้ยงต้อยไว้ใช้สอยตอนโตแบบนี้   หรือพ่อพระเอกของเราจะไม่ใช่ หย่งหนาน 

ปล.  เห็นช่วงทามไลน์ในเรื่องแล้วกลัวดราม่าจริง  ยิ่งมาเจอนานกิง  เป็นแบล็คดร็อปด้วยยิ่งกลัว   :z3:

ออฟไลน์ iNcamisang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
แจ่มมม เรื่องนี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
ยังไงก็ดราม่าแน่นอน


ออฟไลน์ GukakST

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +187/-5
 :L2: :L2: :L2:

รอตอนต่อไปจ้า อยสกเห็นสเน่หฺนายงิ้วแล้ว  :z2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
มีแววกินเด็ก อิอิ

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
สนุกค่ะ น่าติดตาม

ออฟไลน์ zenesty

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
รอลุ้นต่อไป  :katai2-1:  :katai2-1:  :katai2-1:

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                                  ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                           บทที่ 2



               เฉินหย่งหนานกลับมาถึงบ้านสกุลเฉินเมื่อตะวันตกดินล่วงไปแล้ว บ้านตระกูลเฉินที่บิดาของเขาซึ่งเป็นน้องชายของเฉินจิ้ง

เหอได้ส่งให้บุตรชายมาอยู่ในการเลี้ยงดูของผู้เป็นลุงแต่วัยเยาว์เพราะมองเห็นถึงความฉลาดหลักแหลมเกินกว่าผู้เป็นบิดาจะสั่งสอนให้

เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา

               เขาเดินทอดน่องไปตามทางเดินจากประตูรั้วสูงใหญ่มีทหารยามยืนเฝ้าภายนอก ผ่านสวนร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์

บ้านหลังใหญ่สร้างอยู่ลึกจนถึงใจกลางที่ดินกว้างขวาง และมีบ้านหลังเล็กที่ปลูกสร้างขึ้นมาใหม่สำหรับเฉินหยางซุนบุตรชายของเฉินจิ้ง

เหอที่แต่งงานรับสะใภ้เข้าบ้านเยื้องอยู่ทางด้านหลัง หย่งหนานก้าวเข้าไปในตัวบ้านที่มีการตกแต่งอย่างเรียบง่ายช่างแตกต่างจากความ

โอ่อ่าของผู้นำจักรวรรดิญี่ปุ่นลิบลับ


               “เกิดจากดิน ใยต้องเติบโตให้ต่างจากดิน สุดท้ายปลายทางเช่นไรก็ต้องตายไปกับดิน”


               เฉินจิ้งเหอผู้เป็นลุงเคยกล่าวเช่นนั้น แม้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้นำสูงสุดของแผ่นดินจีนในขณะนี้แต่จิ้งเหอก็ยังรำลึกเสมอว่า

บรรพบุรุษของเขาเป็นใคร

             หย่งหนานเดินตามเสียงพูดคุยจนไปถึงห้องรับรองแขก ที่บัดนี้มีเพียงเฉินจิ้งเหอและเฉินหยางซุนบุรุษสองวัยกำลังนั่งพูดคุย

กันอย่างเคร่งเครียด หนึ่งเป็นบุรุษวัยชราอายุห้าสิบปลายแต่ยังดูแข็งแรงและน่าเกรงขามอีกหนึ่งเป็นบุรุษหนุ่มที่มีใบหน้าละม้าย

คล้ายคลึงประมุขของบ้านในวัยใกล้เบญจเพศมากกว่าหย่งหนานไปสองปี หย่งหนานทอดสายตามองผู้นำของประเทศปัจจุบันและ

อนาคตหากหยางซุนคิดจะสืบทอดอำนาจทางการเมืองจากบิดา


              “อ้าวหย่งหนานกลับมาจากช่างไห่แล้วรึ”


                ผู้เป็นลุงหันมาทักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหย่งหนานจึงเดินตรงเข้าไปคำนับผู้เป็นลุงและญาติผู้พี่ก่อนจะทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้

ตัวหนึ่งเพื่อร่วมวงสนทนา


               “เป็นเช่นไร ไอ้คิริซาวะมันว่ากระไรบ้าง”


              หยางซุนรีบเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ อุปนิสัยของเขาเป็นคนใจร้อนและออกจะโผงผางบุ่มบ่ามผิดจากบิดาไปบ้าง หยางซุน

เองก็เป็นทหารเช่นกัน เขาถูกส่งไปฝึกวิชาทหารจากประเทศเยอรมันเมื่อเรียนจบกลับมาไม่นานก็ได้แต่งงานกับบุตรีของผู้นำคนหนึ่งจาก

พรรคชาตินิยมที่บิดาเป็นหัวหน้าพรรคตามความเหมาะสมที่บิดาและมารดาจัดหาให้ หากแต่ในความเป็นจริงก็เพื่อเสริมอำนาจในพรรค

ให้เฉินจิ้งเหอได้แข็งแกร่งมากขึ้น


                “ไม่ได้ผลครับ” หย่งหนานถอนหายใจ “เขากล่าวว่าจะทำทุกอย่างเพื่อความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ”


                หย่งหนานถ่ายทอดคำกล่าวของพลเอกเจ้าชายคิริซาวะให้จิ้งเหอและหยางซุนฟังตั้งแต่ต้นจนจบที่เขาไปเจรจา ทั้งพ่อและ

ลูกต่างก็มีปฏิกิริยาไปคนละแบบ จิ้งเหอกระทำเพียงย่นคิ้วสีดอกเลาเข้าหากันแต่หยางซุนกลับทุบโต๊ะดังปัง


                “เลวมาก มันเห็นพวกเราเป็นเพียงหนทางแผ่ขยายอิทธิพลของมัน คุณพ่ออย่างไปยอมมันนะครับ เราต้องจัดการพวกญี่ปุ่น

ให้พ้นไปจากแผ่นดินจีน”


             “คิดเหรอว่าพ่อไม่อยากทำ”


              จิ้งเหอกล่าวอย่างสุขุม เพราะภาระอันหนักอึ้งที่อยู่บนบ่าทำให้เขาต้องไตร่ตรองทุกการกระทำเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด

หรือหากจะเกิดมันต้องสูญเสียน้อยที่สุด


              “ตอนนี้คิริซาวะกำลังฮึกเหิมอย่างหนัก การที่พวกเขาได้ครอบครองแมนจูเรียทำให้กันชนทางฝั่งเหนือของเราอ่อนแอ หากเรา

จะสู้กับญี่ปุ่นในตอนนี้เราจำเป็นต้องหาตัวช่วย อย่างเช่นอังกฤษหรืออเมริกาที่พวกนั้นก็กำลังหาทางยับยั้งไม่ให้กองทัพญี่ปุ่นขยายกำลัง

ไปถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”


                “คุณพ่อจะกลัวอะไรครับ” หยางซุนมองบิดาอย่างขุ่นข้องใจ


                “กองทัพทหารของเราแข็งแกร่งขนาดไหน ทำไมคุณพ่อไม่มั่นใจในฝีมือการรบของพวกเรา และประชาชนชาวจีนที่พร้อมจะ

ลุกขึ้นมาเพื่อขับไล่พวกมันอีกเล่า ไม่มีใครยอมให้ประเทศตกเป็นเมืองขึ้นของใครหรอก”


                 “หากชีวิตของพ่อเพียงคนเดียวสามารถแลกได้กับการขับไล่ญี่ปุนพ่อก็จะทำ แต่ถ้าหากมันต้องแลกด้วยเลือดเนื้อของ

ประชาชนในฐานะนายกรัฐมนตรีคิดว่าพ่อจะมองหน้าคนที่ยังเหลืออยู่ได้หรือไม่หยางซุน”

           
                  คำกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มงวดทำให้หยางซุนต้องระงับอารมณ์วู่วามลง ใบหน้าของเขาบึ้งตึงยามมองกลับบิดา


                  “เอาเถอะครับ คุณพ่อเป็นผู้นำจะคิดอ่านอย่างไรก็จงบัญชา แต่อย่าลืมว่าตอนนี้พวกญี่ปุ่นมันใกล้จะทำลายพวกเราได้ทั้ง

ประเทศแล้ว พวกมันมีพื้นที่แค่เกาะเล็กๆในขณะที่แผ่นดินของเรากว้างใหญ่ไพศาล หากมันชนะเราผมเองก็ไม่มีหน้าไปมองชาวจีนที่ยัง

หลงเหลืออยู่หรอกครับ”


                   หยางซุนลุกขึ้นยืนและก้มคำนับให้บิดาก่อนจะก้าวเท้าออกไป จิ้งเหอมองตามหลังบุตรชายพร้อมกับถอนหายใจออกมา

อย่างกลัดกลุ้ม


                   “หยางซุนเป็นทหารที่ดี เขายอมตายเพื่อรักษาประเทศไว้ แต่เขาไม่ได้มองอย่างนักปกครองว่าหลังจากเสร็จสิ้นสงคราม

แล้วอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง”


                 หย่งหนานที่นั่งเงียบอยู่นานเพื่อฟังบทสนทนาของลุงและญาติผู้พี่ค้อมศีรษะรับฟังคำพูดของจิ้งเหอ


                “ตอนนี้เรามีศึกรอบด้าน ทั้งศึกนอกคือญี่ปุ่นและศึกในคือพรรคสังคมนิยมที่กำลังเดินหน้าล้างสมองประชาชนด้วยอุดมการณ์

ที่พวกเขาคิดว่ามันดีอีกด้วย หลานรู้หรือไม่ว่าตอนนี้พวกเขาทำอะไรไปถึงไหนแล้ว”


                  จิ้งเหอเอ่ยถามหลานชายที่เลี้ยงมาประหนึ่งบุตรของตนเอง หย่งหนานพยักหน้ารับ


                 “พอจะทราบมาบ้างครับคุณลุง ตอนนี้อู๋จินไห่ผู้นำพรรคสังคมนิยมกำลังจัดตั้งมวลชนจากพวกชาวนาที่ต้องการความเสมอ

ภาคอย่างที่เขาหาเสียงทางลับ”


                ใบหน้าของจิ้งเหอเพิ่งจะปรากฏรอยยิ้ม เขามองหลานชายอย่างพึงพอใจ


              “นั่นเป็นหอกข้างแคร่ชิ้นสำคัญ เขาฉวยโอกาสใช้ช่วงที่เรากำลังมุ่งความสนใจไปที่การเกิดสงครามกับญี่ปุ่นค่อยๆดึงคนให้ไป

เข้ากับพวกสังคมนิยม กว่าสงครามจะจบลงพวกชาวไร่ชาวนาก็คงเข้าร่วมกับพวกเขาจนหมดและเหลือให้พวกเราเพียงแค่กองทัพที่

บอบช้ำจากสงคราม”


                หย่งหนานได้รับมุมมองใหม่ตามที่จิ้งเหอจงใจสั่งสอน จิ้งเหอมองเห็นอะไรบางอย่างจากชายหนุ่มที่คล้ายคลึงกับเขา

มากกว่าบุตรชายเสียอีก


               “ตอนนี้สิ่งที่เราต้องทำคือต้องยันญี่ปุ่นไว้ให้ได้และขณะเดียวกันก็ต้องไม่ให้พรรคสังคมนิยมกวาดผู้คนไปได้มากกว่านี้ ดังนั้น

เราจำเป็นต้องหาแนวร่วมจากขุนศึกของมนฑลต่างให้มาร่วมมือกับเรา”


               “แนวร่วมจากขุนศึก คุณลุงก็มีจำนวนมากแล้วนี่ครับ”


               หย่งหนานมองลุงของเขาด้วยความสงสัย สีหน้าของจิ้งเหอยังครุ่นคิดไม่หยุดหย่อน


                “ไม่พอ ลุงต้องการกำลังที่มากกว่านี้”


                 “ใครที่คุณลุงมองไว้เป็นพิเศษครับ”


                “หลี่จินซาน”


                  หย่งหนานย่นหัวคิ้วครุ่นคิด เขาเคยได้ยินชื่อหลี่จินซานขุนศึกจากมณฑลชานซีที่มีกองกำลังในมือจำนวนมาก หากจิ้งเหอ

ได้หลี่จินซานเข้ามาเสริม กองทัพก็จะมีปริมาณทหารมากขึ้น


                  “หลี่จินซานมีลูกสาวอยู่คนหนึ่งชื่อหลี่ฟางซิน อายุเข้ายี่สิบปีเรียนจบจากวิทยาลัยการช่างสตรี หากเราดองเป็นเครือญาติ

กับสกุลหลี่ หลี่จินซานก็คงไม่ขัดข้องที่จะช่วยเหลือเรา”


               “คุณลุงหมายความว่า?”


                 ชายหนุ่มมองสบตากับผู้เป็นลุงอย่างพอจะเดาจุดประสงค์ของจิ้งเหอออก จิ้งเหอสบตากลับด้วยแววตาเชิงขอร้อง


                 “หลานเองก็ยังไม่มีคนรักมิใช่หรือ และเพราะตรากตรำทำงานช่วยเหลือลุงก็สมควรจะมีฮูหยินมาปรนนิบัติให้สุขสบายได้

แล้ว ลุงคิดว่าคุณสมบัติของหลี่ฟางซินก็เหมาะสมกับหลานทุกประการ หลานจะขัดข้องหรือไม่”


                 หย่งหนานอยากจะถอนหายใจแต่เขาก็ต้องรักษากิริยาต่อหน้าจิ้งเหอ เขารู้ดีว่าการกระทำเช่นที่จิ้งเหอต้องการเป็นการผูก

สัมพันธไมตรีได้ดีที่สุดมาทุกยุคทุกสมัย หากแต่ไม่นึกว่าเขาเองก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้น หย่งหนานจำเป็นต้องมองที่ความมั่นคงของ

ประเทศเป็นสำคัญ


               “ถ้าคุณลุงคิดว่าทุกอย่างเหมาะสมหลานก็ไม่มีอะไรจะต้องขัดข้องครับ”


                จิ้งเหอลุกจากเก้าอี้แล้วเดินมาหาหย่งหนาน เขาดึงไหล่กว้างของหลานชายให้ลุกขึ้นยืนเสมอกับเขาและมองด้วยความ

ชื่นชม


                “ขอบใจหลานมากหย่งหนานที่เสียสละเรื่องส่วนตัวเพื่อช่วยส่วนรวม ต่อไปภายภาคหน้าหลานจะต้องภูมิใจที่หลานได้ช่วย

บ้านเมืองของเราจากศัตรูทั้งหมด”


               หย่งหนานฝืนยิ้มรับด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง






                  เรือนหอถูกสร้างอย่างรวดเร็วราวกับเนรมิตด้วยอำนาจของเฉินจิ้งเหอในบริเวณด้านหลังของบ้านหลังใหญ่คนละปีกกับหลัง

ของหยางซุน เพียงไม่ถึงเดือนทุกอย่างก็เรียบร้อยและพิธีแต่งงานก็ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย มีเพียงคนจากสกุลเฉินและสกุลหลี่เท่านั้น

ที่มาร่วมงาน แม้แต่บุคคลจากพรรมชาตินิยมก็ไม่ได้มาร่วมงาน ท่ามกลางการคุมเชิงซึ่งกันและกันของจีนกับญี่ปุ่นที่ใกล้จะแตกหักลง

ทุกที

                 เจ้าสาวของหย่งหนานสวมชุดเจ้าสาวสีแดงนั่งรออยู่ที่เตียงเมื่อเขาก้าวเข้าไปในห้อง หย่งหนานประเมินจากสายตาแล้วหลี่

ฟางซินมีรูปร่างบอบบางอ้อนแอ้น หย่งหนานเดินไปนั่งข้างเคียงและเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวตามประเพณี หญิงสาวก้มหน้ายิ้มขัดเขินเมื่อ

ไปประจักษ์ว่าเจ้าบ่าวของเธอนั้นเป็นบุรุษที่งามสง่านัก หย่งหนานพิศมองเจ้าสาวเป็นครั้งแรกเช่นกัน ฟางซินแม้จะไม่งามจับหน้าแต่ก็มี

ใบหน้าหมดจดและมีเมตตา


                “ยินดีต้อนรับเข้าสู่สกุลเฉิน ต่อจากนี้เธอจะเป็นภรรยาของฉัน”


                  แม้จะเป็นการแต่งงานเพื่อการเมืองแต่หย่งหนานก็คิดจะปฏิบัติตัวเป็นสามีที่ดี เขากล่าวต้อนรับหญิงสาวที่ต้องมาเผชิญ

ชะตากรรมที่ไม่ต่างจากเขา ฟางซินยิ้มบางหล่อนหลงรักเจ้าบ่าวของหล่อนตั้งแต่แรกเห็น


                “ขอบคุณค่ะ น้องจะเป็นภรรยาที่ดีของพี่ตลอดไป”


                  หย่งหนานเองก็รู้สึกถูกชะตากับฟางซิน และคิดว่าคงจะไม่ใช่เรื่องยากที่ต้องใช้ชีวิตคู่กับฟางซินไปตลอดชีวิต หญิงสาว

ท่าทางฉลาดและอ่อนโยน หย่งหนานยิ้มตอบกลับและโน้มฟางซินลงไปบนเตียง เขามอบความสุขให้กับภรรยาของเขาเป็นครั้งแรกใน

คืนเข้าหอ

                  แต่ยังไม่ทันข้ามคืนแต่งงานคู่บ่าวสาวหมาดๆที่นอนเคียงคู่กันอยู่บนเตียงในเวลาใกล้รุ่งก็พลันสะดุ้งตื่นอย่างตกใจเมื่อ

ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัยจากทหารที่อยู่เวรเฝ้าหน้าประตูรั้ว

                 หย่งหนานผละออกจากฟางซินและหันกลับไปมองอย่างยุ่งยากใจ ฟางซินฝืนยิ้มกลับมาอย่างเข้าใจ


                “ไปเถอะค่ะ อย่าเป็นห่วงน้องเลย เดี๋ยวน้องตามไป”


                  หย่งหนานพยักหน้ารับ เขาคว้าเสื้อผ้ามาใส่ให้รัดกุมก่อนจะวิ่งไปยังบ้านใหญ่ที่ทุกคนมารวมตัวกันอยู่บริเวณห้องรับรอง

ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


               “เกิดอะไรกันครับคุณลุง”


                รีบถามสาเหตุของสัญญาณเตือนภัย และเป็นหยางซุนที่หันมาตอบเขาด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น


                “ญี่ปุ่นมันบุกเราแล้ว ไอ้เลวเอ๊ย!”


                  หย่งหนานหันขวับไปหาลุงของเขาทันที


                  “จริงหรือครับคุณลุง ที่ไหนครับ”


                  “ที่ลูเกาเจียว สะพานมาร์โคโปโล” 


                  แม้น้ำเสียงของจิ้งเหอจะไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่นักแต่หย่งหนานก็จับกระแสความเครียดและไม่พอใจได้
               

                 “สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้นแล้วหย่งหนาน”
                          (7 กรกฎาคม ค.ศ.1937)



มีต่ออีกนิด...



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-01-2017 22:22:37 โดย Belove »

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove
ต่อกันตรงนี้...


             แม้ว่าความเป็นอยู่ในคณะงิ้วจะไม่สุขสบายนักแต่เมื่อเทียบกับในสำนักคณิกาที่เคยอยู่และสภาพสังคมภายนอกในความรู้สึก

ของเหวินเป่าก็คิดว่าดีมากมายแล้ว เขาอยู่ในคณะงิ้วในฐานะของเด็กรับใช้ที่คอยช่วยเหลือตามแต่คนในโรงงิ้วจะสั่ง แต่เพราะความที่

เขาตัวเล็กจึงช่วยหยิบจับยกของหนักไม่ได้มาก เหวินเป่าจึงได้รับคำสั่งให้ไปรับใช้นักแสดงงิ้วที่เป็นตัวเด่นทั้งหลาย เมื่อเวลาผ่านไป

หลายเดือนเขาก็เริ่มคุ้นเคยกับผู้คนในที่แห่งนี้ และคนที่เหวินเป่าสนิทสนมด้วยเป็นพิเศษก็คือคนที่รับตำแหน่งฮวาต้าน(นางเอกวัยรุ่น)

ชื่อว่าเยี่ยไป๋ซาน

                  ก่อนจะมาอยู่ที่นี่เหวินเป่าไม่เคยดูงิ้วมาก่อน เพราะมันเป็นความรื่นเริงของพวกคนรวยเท่านั้น ครั้งแรกที่ได้ดูงิ้วเหวินเป่าถึง

กับอ้าปากค้างในความงดงามของเสื้อผ้าเครื่องประดับและการลงสีบนใบหน้า การร่ายรำประกอบเสียงร้องก็ทำให้เหวินเป่าถึงกับตะลึง

ลาน และเมื่อเขาเห็นนักแสดงเหล่านั้นล้างหน้าล้างตาถอดเสื้อผ้าแล้วจึงได้รู้ว่านักแสดงทั้งหมดแม้แต่คนที่แสดงเป็นตัวนางล้วนแล้วแต่

เป็นผู้ชาย


                 “งิ้วน่ะไม่มีผู้หญิงแสดงหรอก”


                 ไป๋ซานบอกกับเหวินเป่าเช่นนั้นเมื่อสนิทกันแล้ว เขาเป็นชายหนุ่มที่โตมาที่โรงงิ้วตั้งแต่ห้าขวบเพราะพ่อแม่ขัดสนจึงต้อง

ขายลูกให้โรงงิ้ว  ไป๋ซานอายุได้สิบแปดปีแล้วในตอนนี้ เขากำลังไต่อันดับความนิยมโดยได้แสดงในตำแหน่งฮวาต้าน รูปร่างของเขาสูง

เพรียวสะโอดสะองสมกับเล่นเป็นตัวนาง


                “เหล่าซือบอกว่าน้ำเสียงของผู้ชายแม้จะดัดจนเล็กก็ยังร้องงิ้วน่าฟังกว่าผู้หญิง การร่ายรำก็มีน้ำอดน้ำทนมากกว่า”


               “เล่นงิ้วยากไหมพี่ไป๋ซาน”


               “ยาก” ไป๋ซานตอบพร้อมกับเบ้ปาก


                  “พี่น่ะ ต้องฝึกดัดตัวตั้งแต่เด็กๆให้ตัวอ่อน ฝึกฉีกแข้งฉีกขาจนปวดระบมไปหมดทั้งตัว จะหนีไปไหนก็หนีไม่ได้เพราะพ่อแม่

ขายพี่มาแล้ว”


                 ไป๋ซานหันมาพิจารณาเหวินเป่า คราบดำมอมแมมติดอยู่ตามใบหน้ายังมิอาจปิดบังใบหน้าหวานของเด็กวัยแปดขวบไปได้


                “อยากเล่นงิ้วไหมล่ะเหวินเป่า ถ้าอยากเล่นพี่จะไปบอกเหล่าซือให้”


                 เหวินเป่าส่ายหน้ายิ้มแหย


                “ไม่ล่ะพี่ไป๋ซาน หนูไม่อยากเล่นงิ้ว หนูจะกินข้าวเยอะให้แข็งแรงแล้วไปเป็นกุลีแบกของก็พอ”


                “เด็กนี่ พี่สอนแล้วไม่จำ ผู้ชายน่ะใครเขาแทนตัวว่าหนูกันเล่า ใช้ว่าผมสิ”


                 ก็เหวินเป่าโตจากสำนักคณิกานี่นา เด็กน้อยแอบเถียงในใจ สาวๆในนั้นใครๆก็ใช้หนูด้วยกันทั้งนั้น


               “แล้วก็นะ บ้านเมืองในช่วงสงครามแบบนี้จะไปหาข้าวมากินจากไหนเยอะๆกัน ข้าวของก็แพง มิจฉาชีพก็เต็มไปหมด ที่นี่มี

อาหารให้กินพออิ่มก็บุญเท่าไหร่แล้ว”


                “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมโรงงิ้วถึงยังมีงานตลอดล่ะพี่ไป๋ซาน”


                ไป๋ซานมองเหวินเป่าอย่างนึกทึ่ง เด็กน้อยฉลาดเฉลียวกว่าเด็กคนอื่น และช่างสังเกตจนบางทีผู้ใหญ่อาจตอบคำถามไม่ได้


                “คนที่รวยก็คือนักการเมือง พวกเขาฉ้อฉลและสุขสบายท่ามกลางความทุกข์ยากของคนจนอย่างเรา ในขณะที่ชาวบ้านไม่มี

เงินไม่มีข้าวแถมยังต้องถูกเกณฑ์ไปรบ แต่พวกนักการเมืองก็ยังสบายดีและมีเงินมาจ้างพวกเราเล่นงิ้วให้พวกเขาเสวยสุขไงล่ะ”


                ไป๋ซานพูดอย่างเหยียดหยาม เขานึกชังสังคมเช่นนี้ ครั้งหนึ่งเขาเคยไปฟังคนจากพรรคสังคมนิยมกล่าวปราศัย คำพูดเหล่า

นั้นตรึงใจเขานัก

                ไม่ทันได้พูดคุยกันต่อหลังจากนั้น ทุกคนในโรงงิ้วก็ยิ่งตื่นตระหนกเมื่อได้ยินเสียงเครื่องบินทิ้งระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว เสียง

กรีดร้องดังระงมไปทั้งถนนเส้นสำคัญของนานกิงเมื่อถูกทิ้งระเบิดจากเครื่องบินของจักรวรรดิญี่ปุ่น และตามด้วยทหารจากกองทัพที่บุก

เข้ามาปะทะกับกองกำลังของจีนที่รักษานานกิงอยู่

               เหวินเป่านั่งตัวสั่นกอดอยู่กับไป๋ซาน เด็กน้อยร้องไห้โฮด้วยความตกใจสุดขีดเมื่อในที่สุดญี่ปุ่นก็บุกเข้ายึดนานกิงเมืองหลวง

ของประเทศจีนได้สำเร็จ


                TBC

          ใครรอคู่พระนายเจอกัน ใจเย็นๆก่อนนะคะ
             รอให้เสร็จศึกก่อนนะ


                :katai4: :katai4:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-01-2017 22:33:54 โดย Belove »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อ้าว
หย่งหนานแต่งงานแล้วซะอย่างนั้น

แล้วเหวินเป่าล่ะ?

ออฟไลน์ iNcamisang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ส่อแววดราม่ามาแว้วววว

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
น้องไป๋เป็นนายเอกสินะ ตอนแรกนึกว่าเหวินเป่า ถ้างั้นรอนานเลย ก็หนูพึ่งแปดขวบเอง

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
พระเอกแต่งงานแล้วเหรอ

เฮ้อ ดราม่าแหงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
มาสองตอนเเต่สนุกมาก น่าติดตาม
อ่านเข้าใจง่าย ภาษาดี ลงตัวทุกอย่าง
มาต่อไวไวนะคะ ตามอ่านค่ะ

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
อ้าว....พระเอกแต่งงานซะแล้ว

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove

                                                                        ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                               บทที่ 3

               13 ธันวาคม ค.ศ.1937 (การสังหารหมู่นานกิง)

               เสียงเครื่องบินรบดังอยู่บนท้องฟ้าไม่ขาดสาย เด็กน้อยอย่างเหวินเป่าถึงกับตัวสั่นเมื่อได้ยินเสียงระเบิดดังตูมตามไปทั่ว

นานกิง ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเขาได้แอบฟังครูหยางพูดคุยกับนักการเมืองคนหนึ่งจับใจความได้ว่าญี่ปุ่นเข้ายึดช่างไห่ได้สำเร็จแล้วและมี

จุดหมายต่อไปคือนานกิงที่เป็นเมืองหลวง เหวินเป่าไม่เข้าใจว่าสงครามคืออะไรจนกระทั่งวินาทีนี้ที่เด็กวัยแปดขวบเช่นเขาจะต้องเผชิญ

หน้ากับมัน


               หลังคาของโรงงิ้วบางส่วนปลิวหายเพราะระเบิด ไป๋ซานนั่งกอดอยู่กับเหวินเป่าอยู่ที่ใต้ถุนเวทียกสูงโดยที่คนในโรงงิ้วที่ยัง

เหลืออยู่ต่างก็หาที่หลบกันวุ่นวาย เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวไม่ขาดระยะเหวินเป่ามองออกไปเห็นผู้คนบนถนนร่วงลงไปกองกับพื้นราวกับ

ใบไม้ร่วง


               “ฮือ พี่ไป๋ซาน หนูกลัว”


               “ชู่ว อย่าร้องอย่าเสียงดังสิเหวินเป่า”


               ไป๋ซานเองก็กลัวไม่แพ้กัน เขายกมือปิดปากของเหวินเป๋าให้เด็กน้อยหยุดส่งเสียง กองทัพทหารญี่ปุ่นดาหน้ากันบุกเข้ามา

อย่างไม่กลัวเกรงแม้ว่ากองกำลังทหารของจีนจะพยายามตั้งทัพต่อสู้แต่ก็ไม่อาจต่อกรกับจักรรวรรดิที่เข้มแข็งได้ ตลอดทั้งวันทั้งคืนมี

แต่เสียงกรีดร้องดังไปทุกหย่อมหญ้า ศพผู้คนทั้งถูกยิงถูกแทงด้วยดาบปลายปืนให้ล้มตายยิ่งกว่าใบไม้ร่วง ทั้งไป๋ซานและเหวินเป่าได้

แต่หลบซ่อนอยู่ในใต้เวทีของโรงงิ้วทั้งวันทั้งคืน เวลาที่ค่ำมืดดึกสงัดถึงจะพอหลบจากที่ซ่อนออกไปหาของกินมาพอประทังชีพกัน

เกือบสัปดาห์


               “เราต้องหนี”


               “หนีไปไหนพี่ไป๋ซาน”


               เหวินเป่าถามอย่างหมดหนทาง สมองน้อยๆคิดไม่ออกเลยว่าจะหนีไปจากสมรภูมินรกนี่ได้อย่างไร


               “พี่เคยได้ยินที่ท่านอู๋จินไห่เคยพูดไว้ ว่าหากเกิดสงครามพวกเราคงต้องหนีเข้าไปในแผ่นดินที่ลึกกว่าเมืองท่าอย่างนานกิง

หรือช่างไห่ เหวินเป่า เราต้องหาทางไปรวมกับพวกเขาแล้วเราจะรอด”


               “แต่ว่าทหารญี่ปุ่นเดินกันเกลื่อนขนาดนี้ เราจะไปกันยังไงล่ะพี่ไป๋ซาน”


               เหวินเป๋ายังเกรงกลัวเสียงปืนและความน่ากลัวของสงคราม ทหารญี่ปุ่นเหมือนผีร้ายในความคิดของเด็กอย่างเขา ไป๋ซานนิ่ง

คิดและเอ่ยกับสหายวัยเด็กอย่างตัดสินใจได้


               “หนีกันไปกลางคืน พวกมันคงจะตรวจตราน้อยลง เราต้องไปกันคืนนี้แหละ เดี๋ยวเราไปบอกพวกในโรงงิ้วที่เหลืออยู่ว่าจะไป

กับเราหรือเปล่า อยู่ที่นี่ก็ตายสู้ไปเสี่ยงตายเอาข้างหน้าดีกว่า”


               ไป๋ซานดึงแขนเหวินเป่าให้ออกจากใต้เวทีเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว พวกเขาค่อยๆย่องไปหาหยางซื่อที่ซ่อนตัวอยู่

ด้านในของโรงงิ้วพร้อมหยางเจี่ยนลูกชายโทนของเขาที่อายุมากกว่าเหวินเป่าสี่ถึงห้าปี


               “เหล่าซือ หนีกันเถอะ” ไป๋ซานรีบพูด เวลาทุกนาทีมีค่า


               “หนีเข้าไปในป่าเอาตัวรอดกันก่อน”


               หยางซื่อนิ่งงัน เขามองหีบเก็บอุปกรณ์แสดงงิ้วอย่างเสียดายและหวงแหน


               “แล้วโรงงิ้วล่ะ ชุดพวกนี้ ของเหล่านี้ล่ะ”


               เหวินเป่าแม้จะยังเป็นเด็กเขาก็เข้าใจดีว่าหยางซื่อนั้นรักงิ้วแค่ไหน เด็กน้อยตรงเข้าไปกุมมือชายสูงวัยไว้ราวกับจะปลอบโยน


               “เหล่าซือครับ ของพวกนี้เป็นของนอกกายถึงมันพังไปเหล่าซือก็สร้างมันใหม่ได้ ที่สำคัญที่สุดคือตัวเหล่าซือหากไม่มีเหล่า

ซือแล้วใครจะสอนพวกเราเล่นงิ้วอีกล่ะครับ”


               คำพูดของเด็กน้อยช่างโตกว่าวัยมันทำให้หยางซื่อได้สติ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเป่าปากเป็นสัญญาณเรียกคนที่ยัง

เหลือในโรงงิ้วได้เกือบสิบคน


               “เคยได้ยินจากนักการเมืองคนหนึ่งที่มาดูงิ้วบอกว่ารัฐบาลสร้างกองกำลังไว้ที่ซีอานอีกแห่งหนึ่ง ยังไงพวกเราต้องหนีไปที่ซี

อานให้ได้”


               หยางซื่อมองหน้าสมาชิกทีละคนราวกับจะจดจำทุกคนไว้


               “เราจะค่อยๆทยอยกันออกไปจากโรงงิ้วแล้วลัดเลาะไปตามตรอกเล็กๆ พวกเราต้องไปอย่างเงียบที่สุดโดยใช้ความได้เปรียบ

ที่เรารู้จักพื้นที่ในนานกิง ขอให้ทุกคนโชคดี หากไอ้พวกญี่ปุ่นมันไปจากนานกิงเมื่อไหร่ขอให้พวกเรามารวมกันที่นี่อีกครั้งถ้าไม่ตายกัน

เสียก่อน ได้โปรดอย่าลืมงิ้วที่เป็นชีวิตของพวกเรา”


               ทุกคนสบตากันอย่างเศร้าสร้อยเพราะไม่รู้ว่าจะมีวันที่พวกเขาจะได้กลับมาพบกันอีกหรือไม่ จากนั้นหยางซื่อจึงออกความคิด

ให้ทุกคนทาหน้าเป็นสีดำเพื่อให้กลมกลืนกับความมืดให้มากที่สุดก่อนจะทยอยเดินทางออกจากโรงงิ้วทีละส่วน

               เหวินเป่าไปกับไป๋ซาน รุ่นพี่ในโรงงิ้วพาเขาย่องออกไปทางด้านหลังโดยพยายามให้เงียบที่สุด ดีที่ยามนี้ดึกสงัดและเป็นคืน

เดือนแรมจึงมีเพียงทหารญี่ปุ่นบางส่วนอยู่ยามกันตามถนนเส้นหลักเท่านั้น พวกเขาที่หลบหนีจึงลอบไปกันทางตรอกซอยเส้นเล็กที่ไม่

เป็นที่สนใจ

                ครั้นออกมาพ้นโรงงิ้วอันเป็นที่หลบภัยเหวินเป๋าและไป๋ซานถึงกับชะงักงัน เด็กน้อยอย่างเหวินเป่าถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

เขาต้องยกมือปิดปากกลั้นเสียงร้องสะอื้นเมื่อเห็นสภาพภายนอกหลังจากที่พวกเขาไม่ได้ออกมาจากโรงงิ้วเป็นสัปดาห์ และภาพเหล่า

นั้นยังคงตามมาหลอกหลอนเมื่อเหวินเป่าเติบโตขึ้นมาเกือบตลอดชีวิต ไฟแห่งสงครามช่างเลวร้ายเหลือเกิน

               ศพผู้คนชาวจีนทั้งหญิงและชายนอนตายกันให้เกลื่อนกลาด กลิ่นคาวเหม็นเน่าศพลอยคลุ้งจนสะอิดสะเอียนชวนให้คลื่นไส้

ราวกับชีวิตของผู้คนคือผักปลาหรือของเล่นให้ผู้กระหายสงครามได้ใช้ระบายอารมณ์กระนั้น ไป๋ซานที่เป็นชายรุ่นหนุ่มแล้วถึงกับกัดฟัน

แน่นเมื่อเขารู้ว่าศพสตรีที่เห็นนั้นผ่านการถูกย่ำยีกระทำชำเราจนสูญสิ้นศักดิ์ศรีก่อนจะถูกฆ่าให้ตาย


               “เหวินเป่า เรารีบไปกันเถอะ”


               ฉุดมือเด็กน้อยเพื่อนร่วมชะตากรรมให้ได้สติ เหวินเป่ายกมือเช็ดคราบน้ำตาและปลุกใจให้เข็มแข็งเท่าที่เขาจะทำได้ เด็ก

น้อยวิ่งตามเพื่อนรุ่นพี่ด้วยความหวาดหวั่นและสะเทือนใจที่ต้องคอยหลบหลีกจากกองซากศพของเพื่อนร่วมชาติ ดีที่ไป๋ซานชำนาญเส้น

ทางพอที่จะหลบหลีกไปจนพ้นเขตที่พักของทหารญี่ปุ่น


               “พี่ไป๋ซานหยุดก่อน”


               ยั้งรุ่นพี่ไว้เมื่อวิ่งผ่านสถานที่อันคุ้นตามาตั้งแต่เกิด สำนักคณิกาที่ล้วนแล้วแต่มีสตรีที่มอบความสุขให้แก่ชายได้บรรเทาใน

ความกำหนัดบัดนี้เงียบสนิท โคมเขียวที่เคยส่องสว่างไม่เหลือแม้แต่ซาก หัวใจของเหวินเป่าราวกับถูกกระชากออกจากอกเมื่อคิดถึงผู้

ให้กำเนิด


               “อะไรอีกเหวินเป่า”


               “ขอเวลาสักนิด แค่นิดเดียว แม่ของผมอยู่ที่นี่”


               แม้จะละล้าละลังแต่ไป๋ซานก็ปล่อยให้เหวินเป๋าวิ่งเข้าไปด้านในอย่างคุ้นเคย ไป๋ซานตามเข้าไปด้านในด้วยความเป็นห่วงและ

เขาก็ต้องพบกับภาพที่แสนสะเทือนใจเมื่อเห็นเด็กน้อยเหวินเป๋าร้องไห้กอดศพหญิงคนหนึ่งอย่างไม่รังเกียจร่างกายนั้นจะเริ่มส่งกลิ่น

แล้วก็ตามและตามพื้นห้องก็เต็มไปด้วยหญิงขายตัวคนอื่นนอนเกลื่อนอย่างน่าอเน็จอนาถ


               “เหวินเป่า พี่เสียใจด้วย”


               ไป๋ซานเดินเข้าไปวางมือบนบ่าเล็กที่สั่นสะท้านเพราะกำลังกลั้นสะอื้น เดาได้ทันทีว่าหญิงคนนี้คือมารดาของเด็กน้อย เหวิน

เป่ากัดฟันกลั้นเสียงร้องอย่างยากเย็น เขายกมือกำจี้ที่คล้องคออันเป็นสมบัติสิ่งสุดท้ายของมารดาไว้แน่น


               “เกลียด ผมเกลียดญี่ปุ่น”


               นึกชิงชังอีกครึ่งหนึ่งของสายเลือดในร่างกายตนเองที่เหวินเป่ารู้ดีว่ามีชาติกำเนิดจากคนในชาติที่สร้างความเสียใจให้เขา

หากใช้มีดกรีดเนื้อของตนแล้วปล่อยให้เลือดของคนพวกนั้นไหลให้หมดไปจากกายได้เหวินเป่าก็จะทำแต่เพราะทำไม่ได้เด็กน้อยจึง

ทำได้เพียงเขาจะโยนมันทิ้งไปจากหัวใจของเขาเสียให้สิ้น


               “ลืมว่าแกเป็นลูกญี่ปุ่น อย่าได้บอกใครเด็ดขาดเข้าใจไหม”


               คำพูดสุดท้ายของแม่ก้องอยู่ในหัว เหวินเป่ารับปากกับศพของแม่ที่ถูกทารุณกรรมว่าเขาจะทำตามที่แม่บอกไปตลอดชีวิต
เหวินเป่าคือคนจีนและจะเกลียดพวกคนเลวไปจนวันตาย


                “ไปกันเถอะพี่ไป๋ซาน”


               เขาจำต้องเข้มแข็ง ไม่มีเวลาสำหรับคำว่าเด็กอีกแล้ว เหวินเป่าหยัดยืนขึ้นยกหลังมือเช็ดคราบน้ำตาให้หมดและหันไปหาไป๋

ซานจากนั้นทั้งคู่จึงวิ่งออกไปจากสถานที่อันเลวร้าย

               วิ่ง วิ่ง และวิ่ง

                มีเพียงดาวฤกษ์บนท้องฟ้าเปรียบเสมือนเข็มทิศนำทางไปยังจุดหมาย ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ มีเพียงความหวังที่จะรอดชีวิต

รักษาลมหายใจของตนไว้ให้ได้ ไปให้ไกลจากภยันตรายจากมนุษย์ที่แสวงหาอำนาจ

               จนกระทั่งแสงทองจับขอบฟ้าเหวินเป๋าและไป๋ซานจึงได้เผยรอยยิ้มแรกเมื่อมองเห็นธงของกองทัพทหารจากรัฐบาลจีนอยู่

เบื้องหน้า อย่างน้อยทั้งคู่ก็ยังได้พบกับความหวังของลมหายใจอีกเฮือกหนึ่ง
               




               สีหน้าของเฉินหย่งหนานยิ่งเคร่งขรึมหนักกว่าเดิมเมื่อสถานการณ์เลวร้ายถึงขั้นที่กองกำลังทหารของรัฐบาลกลางต้องร่น

กำลังจากเมืองท่าเข้าสู่แผ่นดินใจกลางประเทศลึกไปเรื่อยและพวกเขากำลังเสียพื้นชายฝั่งทะเลที่แสนสำคัญให้แก่จักรวรรดิญี่ปุ่นทั้ง

ชานตง ช่างไห่และนานกิง เหล่าทหารที่ประจำพื้นที่ต่างก็ปลดอาวุธยอมแพ้ให้กับความโหดเหี้ยมของทหารของคิริซาวะ ยาคุริ

               แม้จะยอมแพ้แต่ญี่ปุ่นก็ยังไม่เห็นใจ คำสั่งให้เข่นฆ่าประชานออกมาอย่างไร้มนุษยธรรม ชาวจีนถูกฆ่าตายไม่ต่ำกว่าวันละ

หลายพันคน ผู้หญิงถูกข่มเหงทั้งร่างกายและจิตใจก่อนจะฆ่าทิ้งไม่เว้นแม่แต่แม่ชีหรือหญิงชราก็กลายเป็นของเล่นของปีศาจในคราบ

มนุษย์ทั้งในยามกลางวันแสกๆและไม่เลือกสถานที่

               หากกล่าวถึงกำลังพลในกองทัพนั้นหย่งหนานประเมินแล้วพวกเขามีทัดเทียมกับญี่ปุ่น จะเสียเปรียบก็เป็นเพราะอาวุธยุโธ

ปกรณ์ของญี่ปุ่นนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยแสนยานุภาพ ทำให้แม้จะมีกำลังพลแต่กองทัพจีนก็ยังทำอะไรญี่ปุ่นไม่ได้มากนัก ด้วยสถานการณ์

ทั้งหมดทำให้หย่งหนานนึกเห็นใจลุงของเขาที่เป็นผู้นำสูงสุดในตอนนี้

               เฉินจิ้งเหอคล้ายจะชราลงไปอีกสักสิบปีกับความเพลี่ยงพล้ำ สีหน้าครุ่นคิดจนเกิดรอยย่นรอบดวงตามากขึ้นไปอีก ในฝ่ามือมี

กระสุนเก่านัดหนึ่งที่เขามักจะกำมันไว้ยามต้องใคร่ครวญก่อนจะตัดสินใจสั่งการใดๆลงไปในฐานะผู้นำของประเทศ แผ่นดินจีนสูญเสียมา

มากพอแล้วทั้งมองโกเลียและเหอเป่ย จิ้งเหอไม่ต้องการให้ดินแดนอันยิ่งใหญ่ต้องถูกตัดแบ่งออกไปอีกในวาระที่เขาเป็นประมุข

               กองทัพของจีนได้รับคำสั่งให้ถอยร่นเข้ามาจนเกือบถึงซีอานที่จิ้งเหอเลือกใช้เป็นชัยภูมิตั้งมั่น พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นเมืองหลวง

เก่าของจีนมาหลายยุคหลายสมัย เขาภาวนาขอให้วิญญาณบรรพบุรุษที่เคยรวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวช่วยปกป้องให้เขาแก้ไขปัญหา

ใหญ่หลวงตรงหน้าได้โดยเกิดการสูญเสียน้อยที่สุด


               “ป้าสะใภ้ของหลานเป็นอย่างไรบ้าง”


               จิ้งเหอเอ่ยถามเมื่อเห็นหน้าหลานชายที่ต้องมารับหน้าที่ดูแลคนในครอบครัวในขณะที่จิ้งเหอมีภารกิจใหญ่หลวงและหยาง

ซุนต้องไปดูแลการย้ายทัพมาที่ซีอาน หย่งหนานนอกจากจะต้องทำงานในกองทัพแล้วเขาจึงต้องเป็นผู้ดูแลสมาชิกในครอบครัวที่หอบ

หิ้วกันมาให้พักอยู่ในค่ายทหารที่เป็นทางผ่านสู่ซีอานด้วย


               “คุณป้าสบายดีครับ มีอาการปวดเมื่อยจากการเดินทางไกลอยู่บ้าง ส่วนพี่สะใภ้ก็ยุ่งดูแลหลาน”


               เฉินหยางซุนมีบุตรเป็นเด็กชายวัยเพิ่งได้หัดเดินอันเป็นแก้วตาดวงใจของคนในครอบครัว จิ้งเหอได้ยินดังนั้นจึงพอจะยิ้มออก

มาได้บ้าง


               “แล้วหลานล่ะ แต่งงานมาได้ค่อนปีแล้วไม่คิดจะมีลูกแข่งกับพี่ชายบ้างหรือหย่งหนาน”


               “ในเวลาเช่นนี้ผมคิดว่ายังไม่พร้อมครับคุณลุง ผมขอช่วยคุณลุงจนผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยคิดถึงเรื่องอื่น”


               จิ้งเหอมองหลานชายแล้วก็ต้องถอนหายใจ เขานึกเห็นใจหย่งหนานขึ้นมาครามครัน


               “เพิ่งแต่งงานได้คืนเดียวก็เกิดสงคราม ซ้ำร้ายยังต้องมารบอย่างต่อเนื่อง ลุงเองก็ไม่รู้จะช่วยหลานได้อย่างไร”


               หย่งหนานฝืนยิ้ม ในเวลาเช่นนี้ความสุขส่วนตัวย่อมมาทีหลังประเทศชาติ


               “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณลุง ฟางซินก็คงเข้าใจดี เธอก็เป็นลูกของขุนศึกคนหนึ่งย่อมเข้าใจในสถานการณ์เช่นนี้”


               จิ้งเหอพยักหน้ารับ ในเวลาเช่นนี้ทุกคนในชาติต่างก็ลำบากไม่แพ้กัน เมื่อต้องตั้งรับกับกองทัพของญี่ปุ่นโดยผู้นำทัพที่เป็น

รุ่นน้องของเขา


               “ผมขอถามคุณลุง เราจะทำอย่างไรต่อไปครับ”


               เป็นคำถามที่ชนชั้นปกครองระดับสูงต่างก็อยากรู้คำตอบแต่ไม่มีใครกล้าถามจิ้งเหอนอกจากผู้เป็นหลานเช่นหย่งหนานที่ใกล้

ชิดสนิทสนม



มีต่ออีกนิด....



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2017 01:33:56 โดย Belove »

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove
ต่อกันตรงนี้...



                “กองทัพญี่ปุ่นได้เปรียบเราตรงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว”


               แม้จะเป็นศัตรูในสนามรบแต่จิ้งเหอก็ยังมองฝ่ายตรงข้ามด้วยความชื่นชมในข้อดี


               “เขามีสมเด็จพระจักรพรรดิเป็นที่ตั้งและพร้อมจะทำตามที่ผู้นำของพวกเขาสั่งการอย่างไม่มีบิดพริ้ว ในขณะที่พวกเราแม้จะมี

กำลังพลมากกว่าอยู่บ้างแต่เพราะมาจากหลายทิศหลายผู้นำจึงยังขาดความสามัคคีและนี่เป็นจุดอ่อนที่สุดของเรา”


               จิ้งเหอเอ่ยช้าๆอย่างตรึกตรอง หย่งหนานนิ่งฟังและซึมซับความคิดนั้นไปด้วย


               “ลุงเชื่อว่ากองทัพญี่ปุ่นคงไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่ ความฮึกเหิมจะทำให้เขาต้องการขยายอำนาจออกไปมากกว่านี้ ลุงกำลังขอ

ความช่วยเหลือไปทางเยอรมันและสหรัฐอเมริกา พวกประเทศมหาอำนาจเหล่านั้นคงไม่อยากเห็นญี่ปุ่นได้ยึดครองน่านน้ำทางทะเลมาก

ไปกว่านี้”


               “เราจะเผชิญหน้าและสู้กับกองทัพญี่ปุ่นไหมครับคุณลุง”


               “ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้าย” จิ้งเหอถอนหายใจ “แค่ประชาชนและเชลยที่ถูกเข่นฆ่าทารุณกรรมที่ชานตงกับ 

นานกิงลุงก็อับอายวิญญาณบรรพชนมากแล้ว ลุงไม่อยากเสี่ยงอีก อย่าลืมว่านอกจากศึกนอกเรายังมีศึกในที่พรรคสังคมนิยมจ้องจะล้ม

พวกเราอยู่”


               หย่งหนานไม่ลืมการกระทำของพรรคสังคมนิยมแม้ว่าจะผ่านมาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กชายตัวเล็กที่เพิ่งเข้ามาภายใต้การดูแล

ของจิ้งเหอผู้เป็นลุง เมื่อเกือบสิบปีที่แล้วที่เกิดการจราจลต่อต้านรัฐบาลจนเกิดการสังหารหมู่ที่ช่างไห่ สาเหตุก็มาจากพรรคสังคมนิยม

นั่นเองที่อยู่เบื้องหลัง หย่งหนานรู้ดีว่าหากลุงของเขาพลาดเมื่อไหร่ อู๋จินไห่ผู้นำพรรคสังคมนิยมก็จะเข้าซ้ำและฉวยโอกาสชิงอำนาจ

ทันที


               “พรุ่งนี้ลุงจะไปตรวจการจัดตั้งกองทัพที่ซีอาน”


               “ผมจะไปด้วย จะได้รักษาความปลอดภัยให้คุณลุง”


               “อย่าลำบากเลยหย่งหนาน มีงานอะไรที่ต้องทำก็จงทำเถิด ไม่จำเป็นต้องมาอารักขาให้วุ่นวาย อย่าให้คนแก่อย่างลุงต้องมา

เป็นภาระในการเคลื่อนย้ายกำลังพลที่หลานกำลังดูแลอยู่”


               “แต่ถ้าเกิดอันตรายกับคุณลุงระหว่างเดินทางล่ะครับ”หย่งหนานกล่าวแย้งอย่างไม่เห็นด้วย แต่จิ้งเหอก็ยังคงยืนกราน


               “จากที่นี่ไปถึงซีอานมีแต่พวกเราทั้งนั้น ลุงไม่เชื่อว่าใครจะบุกเข้ามาในใจกลางของแผ่นดินจีนได้ วางใจเถอะหย่งหนานและ

ไปทำหน้าที่ของหลานให้ดีที่สุด”


               หย่งหนานลากลับออกมาอย่างไม่สบายใจนัก แต่เขารู้ดีว่าหากจิ้งเหอตัดสินใจแล้วจะไม่มีสิ่งใดมายับยั้งได้ เขาได้แต่ภาวนา

ให้ทุกอย่างเป็นเช่นดั่งคำพูดของจิ้งเหอ





               เฉินหย่งหนานนั่งมาในรถทหารตั้งแต่เช้าตรู่ ในขณะที่เขาต้องมาทำหน้าที่ดูแลการจัดกำลังพลในค่ายทหารที่เป็นหน้าด่าน

ของเข้าเขตซีอานเฉินจิ้งเหอก็นั่งรถยนต์ไปคนละฝั่งกับเขาโดยไม่มีใครคุ้มกันนอกจากคนขับรถคู่ใจเพื่อตรงไปยังซีอานฐานทัพใหม่ของ

รัฐบาลจีน

               ด่านหน้าของกองทัพเต็มไปด้วยเหล่าทหารที่กำลังสร้างที่พักและชาวบ้านที่หนีตายจากสงครามเข้ามาในเขตทหาร หย่ง

หนานทอดสายตามองผู้คนที่มีสีหน้าอิดโรย บางคนก็พอจะเก็บข้าวของมาได้ทันบางคนก็มีแต่ตัวและเสื้อผ้าติดกายเท่านั้น เหล่าผู้คน

เรือนร้อยกระจัดกระจายกันอยู่ในลานกว้าง

               สายตาของหย่งหนานสะดุดกึกเมื่อเห็นชายสูงวัยที่อายุน้อยกว่าจิ้งเหอลุงของเขาไม่กี่ปีนั่งเด่นอยู่บนผืนหญ้ารายล้อมไปด้วย

ชาวบ้านราวสิบคน พวกเขากำลังฟังชายผู้นั้นพูดอะไรบางอย่างด้วยความตั้งใจ คิ้วของหย่งหนานขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นดังนั้น

               ชายคนนั้นคืออู๋จินไห่ ผู้นำของพรรคสังคมนิยมที่เป็นคู่แข่งตลอดกาลของพรรคชาตินิยมที่เป็นรัฐบาล จินไห่ไม่ใช่ทหาร แรก

เริ่มเดิมทีเมื่อวัยหนุ่มเขาเป็นแค่นักบัญชีในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่มีความสนใจในระบอบการปกครองแบบสังคมนิยม จินไห่เผยแพร่

ความคิดของเขาออกไปสู่ชนชั้นกรรมาชีพที่ไม่พึงพอใจต่อระบบการปกครองที่เหลื่อมล้ำจนกระทั่งมันขยายตัวถึงขั้นกลายเป็น

พรรคการเมืองพรรคสำคัญในที่สุด

               ชายที่มีใบหน้าธรรมดาและไม่ได้มีลักษณะของความแข็งแกร่งทางกายภาพกลับกลายเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของเฉินจิ้งเหอ

ผู้นำของรัฐบาลจีน


                                                               TBC


                                                              :really2: :really2:

ออฟไลน์ yymomo

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-3
 :katai1:   อ่านตอนนี้ ยิ่งเกลียดญี่ปุ่นตอนนั้นมาก  เคยอ่านข้อมูลผ่านๆของหนางกิงมาบ้าง  แค่อ่านผ่านๆยังหดหู่ใจ  แต่ละสิ่งที่ทำกับประชาชนนั้นเรียกได้ว่า สารเลวเกินมนุษย์  ไม่ใช่แค่จีนอย่างเดียว ในช่วงนั้น ญี่ปุ่นกำลังล่าอาณานิคม  เกาหลีเองก็โดนมั้งจำไม่ค่อยได้ 

ปล.สงสารหนูน้อยเหวินเป่า  ความทรงจำอันเลวร้ายและเลือดครึ่งกายที่แสนเกลียดชัง 

ปล.2  พ่อพระเอกเรามีเมียแล้ว  แล้วจะรักกันยังไงล่ะเนี่ย

ออฟไลน์ ChabaSri

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
เราไม่เกลียดญี่ปุ่นนะแต่เราเกลียดสงคราม....

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
ทำไมมันเครียดอย่างนี้ :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ทั้งมันส์ทั้งเครียดทั้งกลัวดราม่าหนัก :mew2:

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
ใครเปนนายเอกเนี่ย

สนุกมาก ภาษาสวย ทุกอย่างลงตัวไปหมด ชอบมากค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด