เนื้อหา30 เปอร์เซ็นต์ ก่อนหน้านี้ค่ะ (ต่อ) ผมหอบเสื้อผ้าของพี่ปืนกลับลงมาอีกครั้งและครั้งนี้นอกจากไอ้เบิร์ดที่นั่งขยำเสื้อเหมือนบีบอะไรสักอย่างจนชวนเวทนาแล้ว ยังมีแก๊งดอกไม้กำลังนั่งยองๆ ซักผ้าอยู่ใกล้ๆ กัน
“หายไปนานจังวะแรก”
“อืม”
“ไหนว่าไปเอาชั้นในแล้วไหงกลับหอบเอาเสื้อกองโตมาขนาดนี้วะ”
ไอ้เบิร์ดเปิดปากถามเมื่อเห็นกองเสื้อในมือผม คำถามเปิดประเด็นนั่นทำให้แก๊งดอกไม้หันมาพิจารณาเสื้อในมือผมแล้วยิ้มอ่อน แต่เป็นยิ้มอ่อนที่ชวนสยองฉิบหาย
“นี่ไม่ใช่เสื้อมึงนี่แรก”
ไอ้หมวยเปิดคนแรกเลยทำเอาที่เหลือจ้องเสื้อในมือผมทันที พวกมันพร้อมใจกันแสยะยิ้มจนผมร้อนวูบวาบแล้วถึงกับมือไม้อ่อนทำกองเสื้อหลุดมือลงพื้น ไอ้พริ้มเลยได้โอกาสหยิบเสื้อตัวหนึ่งขึ้นมาแล้วชูให้ทุกคนเห็นชัดๆ
“เสื้อพี่ปืน” ม่อนตอบให้เสร็จสรรพ
“ไหนมึงบอกว่าไม่มีอะไรกับพี่ปืนไง”
ไอ้เบิร์ดถามยิ้มๆ “แล้วนี่มันยังไงวะ?”
“ก็..”
ผมอ้ำอึ้ง
“อย่าปฏิเสธเชียวว่าไม่ใช่เสื้อพี่ปืน พวกกูจำได้ว่าเมื่อวานพี่ปืนใส่เสื้อตัวนี้ ซ้ำเสื้อทุกตัวที่มึงเอามานี่ไม่ใช่เสื้อไซส์มึงสักตัว”
โอ้โหถ้าจะพิจารณากันละเอียดยิบขนาดนี้ พวกมึงไม่ไปเป็นนักสืบกันเลยล่ะ
“ให้ตอบ ไม่ได้ให้ทำหน้าแดง”
“โว๊ะ!”
ผมทำเสียงงุบงิบในลำคอ “อากาศมันร้อนเหอะ”
“ตอแหลลลลลลลลลลลลลลลล”
ฮ่วย! ไอ้ผู้หญิงพวกนี้นี่ชักทำเหมือนเมียหลวงแอบจับผิดผัวเข้าไปทุกวัน แล้วไอ้ห่าเบิร์ดนี่ยังไงวะเสือกขำเฉยแทนที่จะช่วยเพื่อน แม่ง ไอ้เพื่อนเลวเอ้ย
“เออเสื้อพี่ปืน”
“แล่ววววววววว”
“พี่เขาจ้างกูซักโว้ยไม่มีอะไร”
“กูว่ามี”
“ไม่มี”
“มีชัวร์”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น”
ผมตะโกนเถียงกับพวกมันคอเป็นเอ็นเหมือนเด็กๆ ยิ่งพวกแก๊งดอกไม้เห็นผมเถียงหน้าดำหน้าแดงมันยิ่งหัวเราะชอบใจ
“กูว่าพี่ปืนชอบมึง” ไอ้เบิร์ดเอ่ยทะลุขึ้นกลางปล้องทำเอาเสียงทะเลาะโวยวายหยุดชะงักลงทันทีแล้วผมก็หันขวับไปมองหน้ามันทันที
“อย่าทำหน้าเหมือนจะกินหัวกูแบบนั้นไอ้แรก กูแค่เดาเล่นๆ”
“เล่นพ่อง”
“กูรู้สึกแบบนั้นจริงๆ”
“ไอ้ห่าเบิร์ด”
“พวกกูเห็นด้วยกับไอ้เบิร์ดว่ะ”
ไม่โว้ย พวกมึงอย่ามาเห็นด้วยกันในเรื่องแบบนี้สิวะ
ไม่จริงหรอก ไอ้ห่าพี่ปืนแม่งไม่มีทางคิดอะไรทำนองนั้นกับผมแน่นอนเชื่อสิ เชื่อเถอะ เชื่อได้เหรอวะ? โอ้ย ผมเม้มปากแน่นนึกอยากทึ้งหัวตัวเองแรงๆ แต่ถ้าขืนทำแบบนั้นพวกนั้นก็ยิ่งได้ใจน่ะสิว่าสิ่งที่พวกมันคิดอ่ะส่อเค้าเป็นจริง
ต่อให้ส่วนหนึ่งในใจผมปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ลึกๆ แล้วมันมีเสียงเบาๆ อีกฝั่งหนึ่งซึ่งแอบกระซิบบอกว่าทุกอย่างที่พวกมันพูดมาส่อเค้าเป็นเรื่องจริง ผมไม่อยากเข้าข้างตัวเองหรอก ไม่อยากคิดแบบนั้นเลย แต่ตลอดหลายวันที่ผ่านมาทั้งท่าทางของพี่มันและของเพื่อนพี่มันที่เอ่ยแซวผม ทุกอย่างมันมีผลกับใจผมว่ะ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงเหมือนกัน รู้แต่ว่ามันอุ่นๆ ในใจ
ผมไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองว่าพี่ปืนชอบผม เพราะมันหาเรื่องแกล้งผมได้ไม่เว้นแต่ละวัน ที่มันทำทั้งหมดอยากจะแค่แกล้งแหย่แกล้งหยอกตามนิสัยขี้แกล้งนั่นก็ได้ ใครจะไปรู้ ใช่! มันอาจจะทำไปทั้งหมดเพราะแค่จะแกล้งนั่นแหละ
แค่แกล้งเล่นหรอก พวกมึงอ่ะคิดมาก!
ผมถอนหายใจแล้วส่ายหน้าแรงๆ ลืมนึกไปว่ามีสายตาอีกสี่คู่จ้องมองผมเงียบๆ อยู่
“มึงก็คิดใช่มั้ย”
“.......”
ผมกรอกตาขึ้นฟ้าแล้วยักไหล่ มันจะชอบหรือไม่ชอบก็เรื่องของมันเหอะ เสียเวลาคิดและขืนคิดมากไปก็ปวดสมอง คิดได้แบบนั้นผมเลยลงมือขยี้เสื้อพี่มันแรงๆ โทษฐานที่เจ้าของมันเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้พวกนี้จ้องจับผิดผม และทำให้ผมต้องเผลอคิดเรื่องไร้สาระ
“แรก”
“พวกมึงนี่ขี้มโนว่ะ พอๆ เลิกพูดไร้สาระเหอะ”
พวกมันมองตากันปริบๆ ก่อนจะหันไปซักผ้าต่อเมื่อเห็นผมตัดบทเหมือนไม่อยากพูดต่อ พวกมันเลยเงียบปาก แต่ผมรู้หรอกว่ามันแอบสังเกตผมอยู่ ผมยิ้มขำมองสามสาวล้อมวงสุมหัวซุบซิบกันเสียงเบาๆ แล้วไอ้เบิร์ดก็ก้มลงมากระซิบข้างหูผมเบาๆ
“มึงรู้มั้ย?”
ผมทำหน้างงเพราะเข้าใจในสิ่งที่มันพูด
“ถ้ามึงสังเกตตัวเองมึงจะเห็นว่าหลายวันมานี้มึงไม่ทำหน้าเศร้าเลยเวลาเห็นเขมกับพี่เก้าอยู่ด้วยกัน แต่แปลกที่มึงมักมองหาใครบางคนตลอดเวลา”
มองหาใครวะ! กูเปล่าเหอะ
ผมสบตากับไอ้เบิร์ดที่ทำตาพราวระยับเหมือนถูกใจอะไรนักหนา
“กูเคยบอกมึงแล้วใช่มั้ยเรื่องสโลแกนค่ายปลายปีคณะเรา”
“เคยสิ”
“มึงจำคำตอบของมึงไว้ให้ดีไอ้แรก”
...‘ระวังหัวใจตัวเองไว้ให้ดี เพราะจะตกหลุมรักรุ่นพี่ที่มาค่าย’...
ผมตอบว่าไม่มีทาง ไม่มีทาง หัวใจผมกระตุกวาบพอดีกับที่ไอ้เพื่อนเลวมันทำเสียงขบขันในลำคอ ให้ตายเหอะ ทำไมรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนแบบนี้วะ ไม่ดีเลยแบบนี้ไม่ดีแน่ๆ แค่ประเด็นที่พวกมันเป่าหูให้ฟังว่าพี่ปืนชอบผมก็ทำให้ขบคิดจนปวดหัวแล้ว ไอ้ห่าเบิร์ดยังมาเปิดประเด็นเพิ่มงานให้ผมอีก
โว้ยยยยยยยยยยย
ให้ตายเถอะ แต่ว่านะไอ้ห่าแรกมึงไม่ควรหงุดหงิดไปด้วยหัวใจเต้นแรงไปด้วยแบบนี้นะ
********************************************
ผมหิวมาก!
อาจจะเป็นเพราะวันนี้เริ่มงานช้าถึงทำให้กำหนดการทุกอย่างเลทออกไป อาหารเที่ยงมื้อนี้กว่าจะได้พักกินข้าวก็เกือบบ่ายแล้ว ยิ่งวันนี้แว่วมาว่าเวรทำอาการมื้อนี้มีเมนูพิเศษคือไส้กรอกทอดที่แค่ได้ยินชื่อก็น้ำลายสอแล้ว จริงๆ มันก็ไม่ใช่เมนูเลิศเลออะไรหรอกแต่สำหรับชาวค่ายที่แต่กินไข่และอาหารพื้นๆ มาอาทิตย์กว่าฟังแล้วมันเลยทำให้รู้สึกว่าเมนูไส้กรอกทอดเป็นอาหารเลิศรสของชาวค่ายมื้อนี้จริงๆ พวกเราเฮโลกันไปล้างไม้ล้างมือก่อนจะมาพร้อมใจกันนั่งรวมเป็นวงหลายวงแล้วเริ่มรับประทานอาหารหลังจากท่องบทสวดก่อนกินข้าวเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่กำลังจะยื่นส้อมไปจ้วงไส้กรอกกลิ่นหอมกรุ่นที่ทอดจนสะเด็ดน้ำมันเป็นสีเหลืองน่ากินก็มีเหตุให้ต้องชะงักมือเมื่อพี่ปิงปองกวักมือเรียกผมให้เอาอาหารอ่อนไปให้คนป่วยที่นอนซมอยู่บนห้อง นั่นแหละถึงทำให้นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ผมหน้าที่ต้องส่งข้างส่งน้ำไปกลมนี่หว่า ลืมไปได้ไง เพราะถึงแม้พี่ไกด์จะเฝ้าดูแลอยู่แต่พี่แกบอกว่าไม่ถนัดป้อนข้าวใคร หน้าที่นั้นเลยตกเป็นของผมซึ่งอยู่ในฐานะน้องรักของพี่กลม
ผมแอบย่นจมูกนิดหนึ่งเพราะไอ้หน้าที่เบ้นั่นมีสาเหตุมาจากไอ้พี่ปืนตัวดีนั่นแหละจัดแจงให้ผมทำหน้าที่ด้วยเกรงว่าผมจะว่างงานเกินไป เห็นแบบนี้แล้วไอ้พวกนั้นยังอุตริคิดไปได้ยังไงวะว่าพี่ปืนมันชอบผม เหอะ มันอ่ะชอบอยู่หรอกแต่ไม่ใช่ชอบผมนะ เพราะสิ่งที่พี่มันชอบคือชอบแกล้งผมต่างหากล่ะ
ผมผุดลุกขึ้นมองไส้กรอกตาละห้อยก่อนจะเบ้หน้าใส่แก๊งสี่โจรที่นั่งกินข้าวอยู่วงข้างๆ ซึ่งกำลังแย่งไส้กรอกกันอย่างเมามัน เห็นแบบนั้นผมเลยหันมากำชับไอ้เบิร์ดว่าช่วยเก็บของโปรดผมไว้ด้วยแล้วจึงผละออกมาอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานผมก็เดินมาอีกครั้งเพราะพี่กลมไล่ผมลงมากินข้าว เห็นพี่แกบอกว่าดีขึ้นแล้วเดี๋ยวกินเสร็จจะยกสำรับลงมาทำความสะอาดเอง ผมเลยยิ้มกริ่มวิ่งหน้าตั้งมาหาไส้กรอกทันที
ฮือ ไส้กรอกจ๋ารอผมก่อน
ขนาดวิ่งมาเร็วขนาดไหนไส้กรอกสองชิ้นสุดท้ายที่ไอ้เบิร์ดอุตส่าห์แบ่งไว้ให้ในจานข้าวผมแท้ๆ ยังถูกมือดีฉกไปต่อหน้าต่อตา
ไอ้เหี้ย!
ผมยืนอ้าปากค้างมองพี่ปืนจิ้มไส้กรอกสองอันนั้นไปใส่จานให้พี่เปรี้ยวและเพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ผมไม่ได้โกรธที่ถูกแย่งของกิน ผมไม่โกรธที่ถูกแกล้งแบบนี้ แต่ผม...ผมบอกไม่ถูกที่เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของพี่เปรี้ยวตอนที่พึมพำขอบคุณพี่ปืน ผมไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง รู้แต่ว่าแม่งโคตรอึดอัด อยากระบายแต่สุดท้ายก็พูดไม่ออก
ผมแม่งรู้สึกแย่วะ!
“เชี่ยไส้กรอกหาย”
ไอ้เบิร์ดที่เดินไปไหนมาไม่รู้ร้องขึ้นเมื่อเดินกลับมาเห็นจานข้าวผมแล้วเห็นแต่ความว่างเปล่า มันหันรีหันขวางก่อนจะสบตาผมที่นั่งกินข้าวเงียบๆ
“มึงกินไปแล้วเหรอแรก”
“เปล่า”
เปล่าจริงๆ เป็นคำตอบที่ว่างเปล่าอันแผ่วเบาจนไอ้เบิร์ดทำหน้าไม่สู้ดี และท่าทางระหว่างผมกับมันดูจะแปลกๆ มั้งพี่ปืนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เลยชะโงกหน้ามาถาม
“มีอะไรรึเปล่า?”
“ไส้กรอกอ่ะพี่” ไอ้เบิร์ดชี้ที่จานของของผม “ผมแบ่งไว้ให้ไอ้แรกเพราะมันเอาข้าวไปให้พี่กลม เมื่อกี้ผมไปช่วยพี่ปิงปองยกกับข้าวที่พ่อแม่บุญธรรมฝากมาให้แป๊บเดียวมันก็หายไปแล้ว”
“กูเอาไปเอง”
พี่ปืนตอบสีหน้าอึ้งๆ ตอนที่สบตาผมแล้วผมหรุบตามองต่ำ “กูไม่รู้ว่าจานนี่เป็นของมึง เห็นมันวางอยู่เฉยๆ ก็เลยถามคนในโต๊ะแล้วทุกคนบอกว่าไม่มีเจ้าของ กูเลยขอมาให้เปรี้ยวกับเพื่อนเพราะสองคนนั้นยังไม่ได้กิน”
ผมพยักหน้ารับเงียบๆ
“กูไม่รู้ว่านี่เป็นจานข้าวมึง” แววตาที่พี่ปืนดูกังวลมาก “มึงยังไม่ได้กินเหรอวะ?”
“ไม่เป็นไรครับ”
ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
“แรก”
“ไม่เป็นไรพี่”
ผมตัดบทก่อนจะหันกลับเข้ามาในวงแล้วตักกับข้าวมั่วซั่วแล้วยัดไส้ปาก โดยไม่คิดจะหันหลังกลับไป ผมไม่อยากเห็นว่าพี่ปืนมองอยู่ ไม่อยากรับรู้ว่าพี่เปรี้ยวกระตุกแขนพี่ปืนให้หันกลับไปกินข้าว
แม่งความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรวะ!
ผมไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย ทั้งๆ ที่กับข้าวอย่างอื่นก็รสชาติดี ทั้งๆ ที่บอกตัวเองว่าหิวมากแต่ผมกลับกลืนอาหารไม่ลง ผมรู้สึกว่าพี่ปืนหันมามองผมบ่อยมาก มันบ่อยจนเกินไป สุดท้ายกลายเป็นผมเองที่ทนฝืนกินต่อไปไม่ไหวถึงได้ผุดลุกขึ้นจนไอ้เบิร์ดทำหน้างง
ผมรู้สึกอึดอัดแบบนั้นไปจนกระทั่งเย็นอาจจะเพราะทำหน้าเซ็งโลกมาตลอดบ่ายแก๊งดอกไม้ที่วนเวียนเก็บผ้าที่ซักแล้วตากไว้ตั้งแต่เมื่อเช้ามันถึงปิดปากเงียบ ไม่หยอก ไม่แซวตามวิสัยปากของพวกมันให้ระคายหูผมเลย
ขณะที่มือรวบเอาเสื้อผ้าที่แห้งแล้วมาถือไว้ใน ตาก็เหลือบมองเสื้อของพี่ปืนที่ซักเองกับมือเมื่อเช้า เห็นแค่เสื้อผมยังนึกอยากจะเบ้ปากใส่เจ้าของมัน ผมคีบเอาเสื้อผ้าสี่ห้าตัวนั่นมาถือแล้วเหวี่ยงไปมาเพื่อระบายความอึดอัดในใจ ใจหนึ่งอยากโยนทิ้งไปด้วยซ้ำแต่เสือกรับเงินเขาไว้แล้วไง ทำแบบนั้นมันก็หมาแล้วล่ะ แต่จะให้คืนเงินทั้งที่ลงแรงซักให้แล้วนี่อย่าฝัน ผมไม่ใช่คนดีโว้ย! อย่างน้อยเสียแรงก็ต้องมีค่าตอบแทน ไอ้ที่จะทำให้ฟรีไม่มีหรอกครับ
ผมเดินสบถลมฟ้าอากาศไปเรื่อยจนกระทั่งโผล่มาถึงมุมบันไดทางขึ้น คนที่แม่งไม่อยากเจอที่สุดก็โผล่มาพร้อมกับเอ่ยถามผมเสียงเรียบ
“โกรธอะไรกู?”
ผมถอนหายใจแรงๆ มองพี่มันตาขวางแล้วยัดเสื้อที่แห้งแล้วของอีกฝ่ายกลับคืนไปทันที
“แรก”
“ผ้าแห้งแล้วครับ”
“โกรธอะไร?”
ไม่ได้โกรธเหอะ ผมแค่...แค่เซ็งๆ แค่นั้นเอง
“พูด”
“เปล่า”
“กูให้โอกาสมึงตอบอีกที”
พี่ปืนพูดเสียงเข้มแววตาคู่นั้นดุดันขึ้นมาทันที
“ถ้าโกรธให้พูดว่าโกรธ”
“ผมไม่ได้โกรธ”
“หน้าเป็นตูดแบบนี้เนี่ยนะ?”
ไอ้ห่าพี่ปืนเมื่อกี้มึงยังทำเข้มอยู่เลยแล้วเสือกอะไรกับหน้ากูวะ กูแค่เบ้ปากนิดเดียวเอง
“พี่แม่ง”
“มึงหน้าตาแย่อยู่แล้วยังเสือกทำหน้าแบบนี้อีก เดี๋ยวก็ได้ขี้เหร่ถาวรหรอก”
“เออ ใครจะไปเหมือนพี่วะ”
“กูรู้ว่ากูหล่อ”
“โว้ยยยยยยยยย”
ผมทึ้งหัวตัวเองแรงๆ ยิ่งตอนที่อีกฝ่ายกระตุกยิ้มมุมปากการันตีความหล่อของตัวเอง เออผมรู้ว่าพี่แม่งหล่อ แต่ไม่ต้องยิ้มแบบนี้ได้มั้ยวะ มึงหล่ออยู่แล้วไงจะเสือกยิ้มแล้วทำให้ตัวเองหล่อขึ้นไปอีกทำไมวะ หงุดหงิดโว้ย
“แรก”
“......”
“มีอะไรทำไมไม่พูด มึงไม่พูดแล้วกูจะรู้มั้ยว่ามึงรู้สึกอะไรอยู่”
“ถ้าผมโกรธพี่ล่ะ”
“ก็ทำให้หายโกรธ”
“แล้วถ้าผมเกลียดพี่ล่ะ”
“ก็ทำให้หายเกลียด”
แม่งเอ้ย พี่มันกระตุกยิ้มอีกแล้ววุ้ย! ผมเม้มปากแน่นความรู้สึกอึดอัดใจตลอดช่วงบ่ายที่ผ่านมาหายวับไปราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น ให้ตายเถอะ ทำไมผมถึงทำตัวแปลกๆ แบบนี้วะ เห็นว่าเถียงกันต่อไปผมคงสู้พี่มันไม่ได้อยู่เลยตัดสินใจเตรียมผละหนีไป
“จะรีบไปไหนล่ะ ไม่ถามกูต่อแล้วรึไง”
“.......”
“กูกำลังรอตอบคำถามมึงข้อนึงอยู่นะ”
“อะไรวะ?”
ผมทำหน้าไม่เข้าใจ มองอีกฝ่ายกอดอกพิงตัวกับเสาบันไดทางขึ้น
“กูกำลังคิดว่าถ้ามึงถามกูว่า
‘ถ้าผมรักพี่ล่ะ’ มึงรู้มั้ยว่ากูจะตอบว่าอะไร”
ไม่รู้โว้ย!
แล้วใครจะไปอุตริถามคำถามแบบนั้นกับพี่วะ สมองผมยังปกติดีทุกอย่าง ผมไม่ได้บ้านะโว้ย
“จะตอบอะไรก็เรื่องของพี่”
ผมหลับหูหลับตาตอบไม่สนใจปฏิกิริยาทางร่างกายที่เริ่มทรยศเจ้าของด้วยการพร้อมใจกับแดงร้อนไปทั่ว
“ถ้ามึงถามกูว่า ‘ถ้าผมรักพี่ล่ะ’ กูก็จะตอบว่า ‘ก็รักตอบมึงสิ’ ” เชี่ยเอ้ย ใจเต้นแรงมาก
‘ถ้าผมรักพี่ล่ะ’
‘ก็รักตอบมึงสิ’ ไม่ไหวแล้วโว้ยยยยย
หยุดยิ้มแบบนี้เดี๋ยวนี้เลยนะไอ้พี่ปืน มึงหยุดยิ้มเลย แม่งงงงงงงงงง
“อ่ะ”
อะไรวะ?
ขณะที่กำลังกระพริบตาถี่ๆ เพื่อระงับอาการประหลาดของตัวเองเพราะอยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่าก้าวขาไม่ออกราวกับว่ารอยยิ้มนั่นตอกมุดที่เท้าทำให้ผมก้าวขาไม่ออกซะอย่างงั้น พี่ปืนขยับเข้ามาใกล้แล้วยื่นถุงพลาสติกใบใหญ่ที่ข้างในมีถุงร้อนบรรจุไส้กรอกที่ถูกย่างไฟจนหอมและมีสีน่ากินชวนน้ำลายสอเบียดอัดอยู่ข้างในนับได้ราวๆ เกือบยี่สิบไม้ คาดว่าคงเพิ่งผ่านความร้อนมาแบบสดๆ ร้อนๆ สังเกตจากไอน้ำที่ปากถุงร้อนและความรู้สึกตอนที่ยื่นมือออกไปสัมผัส
ผมจำได้ว่ามีร้านค้าหน้าโรงเรียนทุกเย็นจะมีขายลูกชิ้นปิ้งซึ่งมีน้ำจิ้มรสเด็ดที่ชาวบ้านชอบแวะมาอุดหนุน ถ้าจำไม่ผิดนี่คงเป็นของกินจากร้านนั่น
ผมยืนอึ้ง! อย่าบอกนะว่าพี่มันลงทุนไปซื้อมาให้ผม!
แม้ผมไม่บอกว่ารู้สึกแย่เรื่องอะไร แต่พี่ปืนมันสัมผัสได้ว่าผมกำลังรู้สึกอะไรอยู่แม้ไม่มีคำใดๆ เอ่ยถึงของที่ยื่นมาให้ แต่ผมรับรู้ได้ด้วยใจอีกฝ่ายเอามาให้
“น้อยไปเหรอ?”
โอ้โหนี่ให้ประชดรึเปล่าวะ ขนาดนับคร่าวๆ ยังได้เกือบยี่สิบไม้ใครจะไปกินคนเดียวหมดวะ ผมพูดไม่ออกรู้สึกว่าความอุ่นที่สัมผัสจากก้นถุงนั่นลามไปถึงหัวใจด้วยว่ะ เพราะมันอุ่นๆ ในใจบอกไม่ถูก
“ถ้ารู้สึกดีก็ขอบคุณกูสิ”
รู้สึกดีงั้นเหรอ? ถ้าไม่ลำเอียงเกินไปผมคงจะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ มั้ง
“ของพี่แน่เหรอ? ไม่ใช่ใครฝากมาใช่มั้ย”
พี่ปืนส่ายหน้า
“อ้าว”
“ไม่ใช่ของกู แต่กูซื้อมา”
...อะไรซิ...
พี่มันพูดอะไรของมันวะ ฟังไม่เห็นเข้าใจเลย ผมทำหน้างงๆ พี่มันเลยแค่ยักไหล่แต่ก่อนที่มันผละออกไปยังอุตส่าห์พูดหน้าตายทิ้งภาระไว้ที่หน้าผม
“ถ้าเป็นไส้กรอกของกูมึงกินไม่ได้หรอก...มัน ‘เลีย’ ได้อย่างเดียว” พ่องงงงงงงงงงงงง
ไอ้เหี้ยพี่ปืน มึงแม่งงงงง ทำไมพี่มึงกามแบบนี้วะ กูรับไม่ได้ห่าเอ้ย
“ไอ้ห่าแรกมึงเลียไส้กรอกทำไมวะ”
โอ้ย ไอ้เบิร์ดมึงจะโผล่มาตะโกนหาพ่อมึงเหรอ มึงรู้มั้ยว่าไอ้ห่าพี่ปืนที่เดินไปตั้งไกลมันยังอุตส่าห์ยิ้มมุมปากให้เพื่อนมึงเนี่ย
หยุดเลยนะ!
ไอ้พี่ปืนมึงหยุดยิ้มแบบนั้นเลยนะ! มึงด้วยไอ้ห่าแรกบอกหัวใจให้หยุดเต้นแรงขนาดนี้สักที
.
.
.
“หึ ไส้กรอกของน้องแรก”
เสียงหัวเราะขบขันดังมาจากแก๊งดอกไม้
กลับมาอัพปกติแล้วน้า วันจันทร์แห่งชาติ!!!!
หุหุหุ ไส้กรอกของพี่ปืนกินไม่ได้นะเออ แต่มัน...ได้ 5555555+++
หวีดในทวิต #ค่ายสร้างรัก #ทีมเมียพี่ปืน