[END] >> ราชันย์พ่ายรัก << (18+) ตีพิมพ์กับธัญวลัย
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] >> ราชันย์พ่ายรัก << (18+) ตีพิมพ์กับธัญวลัย  (อ่าน 65063 ครั้ง)

ออฟไลน์ cheepoke

  • ^_^\/ สู้ๆ ฮู้เล่ๆ
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
    • https://www.facebook.com/BlueGusten.FictionY/
ส่วนที่เอาไปแปะไว้ที่กระทู้ก่อนลงนิยาย อยู่ในระหว่างเส้น *** นะคะ (ข้อ 1-18 ก๊อปเฉพาะหัวข้อที่ทำตัวทึบไว้ก็ได้
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ




FAN PAGE  -->  BlueGusten


สวัสดีค่ะ นักอ่านทุกคน!!! สำหรับนิยายเรื่องนี้กิ่งเคยโพสในเว็บนี้มาแล้ว 2 ครั้ง แต่ตอนนั้นมันไม่จบสักที T^T
กิ่งเลยตั้งใจกลับไปเขียนใหม่จนจบและจะทยอยอัพลงให้อ่านกันวันละ 2 บทนะคะ
ปล.กิ่งมีนามปากกาว่า BlueGusten นะคะ แต่พอดีตอนเป็นสมาชิกเล้ายังไม่ได้เป็นนักเขียน แหะๆ เลยใช้ชื่อเป็น Cheepoke (ชื่อแมวที่บ้าน) ไม่งงกันนาาาาา

สำหรับ "ราชันย์พ่ายรัก" ถือเป็นเรื่องแรกของเซตที่วางไว้ถึง 4 เรื่องด้วยกันคือ

ราชันย์พ่ายรัก
กงจักรจอมพล
เล่ห์กลอัศวิน
มลทินธนัท

โดยขอยอมรับเลยค่ะว่าตอนนี้จบไปแค่สองเรื่องแรกอยู่เลย T^T แต่จะแต่งต่อให้จบแน่นอนค่ะ
ยังไงก็ขอกำลังหน่อยนะคะ


********************************

สารบัญ

INTRO
CHAPTER 1
CHAPTER 2
CHAPTER 3
CHAPTER 4
CHAPTER 5
CHAPTER 6
CHAPTER 7
CHAPTER 8

CHAPTER  9
CHAPTER 10
CHAPTER  11
CHAPTER 12
CHAPTER 13
CHAPTER 14
CHAPTER 15
CHAPTER 16
CHAPTER 17
CHAPTER 18
CHAPTER 19
CHAPTER 20
EPILOGUE [END]


เนื่องจาก INTRO เคยอยู่หน้านี้แต่ตัวหนังสือเกินนนนน  กิ่งเลยย้ายไปไว้หน้าใหม่ รบกวนคนที่จะเข้ามาอ่านกดอ่านตามสารบัญนะคะ


:mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-12-2017 15:17:33 โดย cheepoke »

ออฟไลน์ cheepoke

  • ^_^\/ สู้ๆ ฮู้เล่ๆ
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
    • https://www.facebook.com/BlueGusten.FictionY/
Re: "ราชันย์พ่ายรัก".....CH.1 100%
«ตอบ #1 เมื่อ18-07-2017 23:39:47 »


CHAPTER 1



สองเดือนก่อน…

   เสียงเครื่องยนต์จากรถยนต์คันหรูที่กำลังแล่นทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงดังกลบเสียงจากสรรพสัตว์ที่   ขับร้องประสานกันออกมาขนาบสองข้างทางบนถนนสายเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยป่ารกจนแทบสิ้น
 
       ล้อรถของ 'Porsche Boxster' สีบรอนซ์ทองยังคงบดเบียดไปตามพื้นถนนลูกรังเพื่อมุ่งหน้าไปยัง 'จุดนัดพบ' สถานที่ที่ใช้สำหรับส่งมอบ 'สินค้า' ไม่สิ! หากพูดแบบนั้นก็คงไม่ถูกสักเท่าไหร่นักเพราะชีวิตของมนุษย์เราไม่ใช่ผักปลาที่จะสามารถเสนอซื้อขายให้กันได้ง่ายๆ คงจะพูดได้เพียงแค่ว่าตอนนี้ร่างสูงที่กำลังสวมบทเป็นผู้ขับเคลื่อนยานพาหนะสุดหรูกำลังเร่งรีบนำเอา 'เป้าหมาย' ส่งมอบไปยัง 'ผู้ว่าจ้าง' ให้ทันเวลา
 
   ชายผู้ที่ใบหน้าของเขาถูกปกปิดไว้ด้วยผ้าปิดปากสีดำจนเหลือให้เห็นเพียงดวงตาคู่เฉี่ยวที่ตอนนี้เขากำลังใช้มันมองไปยังร่างบางของผู้ชายอีกคนที่ยังคงนั่งหมดสติอยู่ตรงเบาะข้างๆ ภาพตรงหน้าทำให้คนที่กำลังจับจ้องอยู่ถึงกับยอมรับอย่างไร้ข้อกังขาว่าเลยว่าอีกฝ่ายสวยเกินกว่าจะเป็นเพศเดียวกันกับเขาเสียจริงๆ แพขนตายาวที่เกลี่ยอยู่ในระดับเดียวกับไฝสองเม็ดเล็กใต้ตาขวาทำให้ร่างบางดูน่ารักไม่น้อย จมูกโด่งเป็นสันได้รูปที่รับกับเรียวปากเล็กสีแดงระเรื่อแสนดึงดูดนั้นทำให้เขาไม่สงสัยเลยว่าทำไม 'เป้าหมาย' คนนี้ถึงได้ถูกใจเสี่ยธรรณพเจ้าของบ่อนใต้ดินคนนั้นได้

   ไม่นานนักรถหรูก็เลี้ยวเข้าจอดภายในอาณาเขตของบ้านเดี่ยวสองชั้นที่เขาและเพื่อนสนิทร่วมกันซื้อมันมาเพื่อใช้เป็นสถานที่ส่งมอบเป้าหมายของ    งานอดิเรกที่ทำรายได้ให้กับพวกเขาอยู่ไม่น้อย

   หึ! หากกำลังคิดว่าพวกเขาหิวเงินจนต้องทำแบบนี้พวกคุณก็คงจะคิดผิดถนัดเพราะพวกเขาไม่ได้สนใจเม็ดเงินที่ได้จากงานตรงนี้เลยสักนิดเดียว แม้ว่าเป้าหมายบางคนสามารถทำรายได้ให้กับพวกเขาเป็นหลักแสนหรือแม้กระทั่งหลักล้าน แต่เชื่อเถอะว่าลำพังตัวพวกเขาเองสามารถหาเงินได้มากกว่าเงินจำนวนนี้เป็นสิบเท่าร้อยเท่า ไม่ใช่แค่นั้นสิ! อาจจะมากกว่านี้เป็นพันๆ เท่าเลยก็ว่าได้ ส่วนเหตุผลที่พวกเขาเลือกงานนี้เป็นงานอดิเรก 'เล่นๆ' มันก็อาจจะเป็นเพราะอยากจะสงเคราะห์ชีวิตดีๆ ให้กับพวกที่หิวเงินต่างหากล่ะ!!

   ร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบหกเซนติเมตรก้าวลงจากประตูฝั่งคนขับออกมายืนจนเต็มความสูงก่อนที่เขาจะล้วง Djarum Black ออกจากกระเป๋าเสื้อพร้อมกับดึงผ้าปิดปากลงจนเผยให้เห็นใบหน้าคมที่ถูกซ่อนเอาไว้ ชายหนุ่มใช้ริมฝีปากคาบบุหรี่และจุดไฟเผาตรงส่วนปลายของมันอย่างใจเย็น พลางเดินอ้อมไปเปิดประตูอีกฝั่งพร้อมกับเค้นหัวเราะให้กับร่างบางที่หมดสติมานานกว่าครึ่งชั่วโมง

    ร่างสูงเท้าแขนกับหลังคารถและโน้มตัวลงไปพินิจดวงหน้าของอีกฝ่ายที่ถูกจับยัดมาในท่านั่งแบบลวกๆ ตรงหน้าอีกครั้ง…

   'ไม่น่าเป็นผู้ชาย' ในหัวของเขาคิดได้เพียงแค่นี้จริงๆ

   ก้นบุหรี่ถูกบดลงบนพื้นด้วยรองเท้าหนังชั้นดี ชายหนุ่มดึงผ้าปิดปาก ผืนนั้นขึ้นตามเดิมพร้อมกับจัดการอุ้มร่างบางในรถออกมาก่อนจะเดินหายเข้าไปในบ้านที่เปิดไฟให้พอสลัวเพียงเท่านั้น

   เจ้าของบ้านเดินขึ้นไปยังชั้นสองพร้อมกับตรงไปยังห้องนอนทางซ้ายมือทันที ก่อนที่เขาจะจัดการเปิดประตูเข้าไปและทิ้งคนที่ยังไม่ได้สติลงบนเตียงขนาดหกฟุตธรรมดาๆ อย่างไม่ใยดี คนถูกทิ้งเริ่มงึมงำอะไรบางอย่างออกมาจากเรียวปากเล็กแต่ถึงกระนั้นดวงตาของเขาก็ยังคงปิดสนิทเหมือนเช่นเคย

   ร่างสูงจัดการเปิดไฟในห้องจนครบทุกดวงก่อนที่เขาจะออกมาโดยไม่ลืมที่จะล๊อคกุญแจและเดินอ้อมไปยังอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามกับห้องนี้ทันที

   ภายในห้องที่ร่างสูงเดินเข้ามาเรียงรายไปด้วยทีวีขนาดสามสิบสองนิ้วจำนวนกว่าสิบเครื่องที่กำลังฉายภาพจากกล้องวงจรปิดทุกตัวภายในบ้านและแน่นอนว่าหน้าจอของเครื่องที่สามนับจากทางซ้ายมือก็กำลังฉายภาพจากห้องนอนของอีกฝั่งเช่นเดียวกัน

   ชายหนุ่มจับจ้องไปยังเป้าหมายที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเริ่มรู้สึกตัวด้วยแววตาที่เรียบเฉย เขานั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้นวมตัวใหญ่พลางมองไปยังภาพของร่างบางที่ค่อยๆ ฟื้นจากการโดนโปะยาสลบตรงหน้าก่อนที่คนไม่รู้ชะตากรรมจะลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าที่ตื่นกลัวเมื่อรับรู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นชิน

   ร่างบางของชายหนุ่มที่เพิ่งจะฟื้นขึ้นมาพยายามเดินไปทางประตูอย่างสะเปะสะปะ มือเล็กเอื้อมไปหมุนลูกบิดที่ไม่ได้ล็อคก่อนที่ใบหน้านั้นจะฉีกยิ้มออกมาด้วยความดีใจแต่มันก็แค่เพียงเสี้ยววินาทีเพราะเมื่อร่างบางออกแรงดึงก็พบว่าประตูถูกล็อคจากทางด้านนอกทำให้ใบหน้าที่เคยเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มของความหวังหุบลงไปทันทีพร้อมกับพยายามกระชากและวิ่งเข้าชนอย่างบ้าคลั่งจนเสียงนั้นทะลุเข้าไปยังอีกห้องหนึ่ง ห้องที่ชายหนุ่มร่างสูงกำลังให้ความสนใจและจับจ้องไปยังภาพเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกขบขัน ไมโครโฟนตรงหน้าถูกมือหนาเกี่ยวเข้าหาตัวก่อนจะกรอกเสียงของตัวเองลงไปสร้างความตกใจให้กับอีกคนที่กำลังหาทางหนีอย่างสุดชีวิตในห้องนอนอีกห้องเป็นอย่างมาก

   “ตื่นแล้วก็ดี”

   “คะ…ใคร! จับตัวผมมาทะ…ทำไม!” ร่างบางตะโกนออกไปไม่เป็นภาษาก่อนจะหันไปมาเพื่อหาต้นตอของเสียงจนทั่วห้อง

   “ไม่ต้องเหนื่อยหา ยังไงซะมึงก็ไม่เห็นกูหรอก” ร่างสูงพูดก่อนจะเริ่มเข้าประเด็น

   “มึงคือนักแสดงที่ชื่อว่า 'นนท์' สินะ” คนจากอีกฝั่งได้ยินดังนั้นถึงกับขมวดคิ้วและส่ายหน้าปฏิเสธ

   “ผมไม่ใช่นนท์ถ้าคุณต้องการคนที่ชื่อนนท์ล่ะก็ ผมขอบอกว่าคุณจับมาผิดคนแล้ว!!” ร่างบางพูดก่อนจะพยายามหาทางหนีอย่างไม่ลดละ

   “หึ! ลูกไม้ตื้นๆ คิดว่ากูจะเชื่อ?”

   “ผมชื่อแฟร์! ไม่ใช่นนท์ปล่อยผมซะเพราะผมไม่มีอะไรที่คุณต้องการ!!” ร่างบางที่บอกว่าตัวเองชื่อแฟร์ตะโกนลั่นก่อนจะเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้ากล้องวงจรปิดตัวหนึ่งซึ่งตรงกับหน้าจอที่ร่างสูงจากอีกฝั่งกำลังจดจ้องไปที่มันพอดี

   แววตาที่สั่นระริกบ่งบอกว่าตอนนี้ร่างบางกำลังกลัวแต่ภายในความกลัวนี้กลับมีความแน่วแน่ในคำพูดเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด

   “หุบปากซะ! แล้วฟังฉันให้ดี!!” ชายหนุ่มตะโกนออกไปอย่างเหลืออดมันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจับมาผิดคนเพราะตัวเขาเองผ่านงานนี้มาเป็นสิบๆ ครั้งไม่เคยมีคำว่า 'พลาด' เกิดขึ้นเลยสักครั้งเดียว!

   “ที่กูจับตัวมึงมาเพราะมีผู้ใหญ่อยากจะให้มึงคอยดูแลและเขาก็อยากจะดูแลมึงด้วยเหมือนกัน” ร่างสูงพูดเข้าเรื่องพร้อมกับจับตาดูปฏิกิริยาที่ ตัวเขาเองกำลังคิดว่ามันจะเปลี่ยนไปของอีกฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อ

   “คุณหมายความว่ายังไง” ร่างเล็กเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงบอกไม่เข้าใจในคำพูดของเขาก่อนที่ชายหนุ่มจากอีกห้องจะพูดขึ้นอีกครั้งอย่างไม่อ้อมค้อม

   “สั้นๆ คือมีผู้ใหญ่อยากได้มึงไปเป็น 'เมีย' ค่าตอบแทนจนกว่าเขาจะเบื่ออาจจะทำให้มึงได้เงินเป็นหลักล้านโดยที่ไม่ต้องทำงานให้เหนื่อย เพียงแต่ราคานี้มันก็คงจะขึ้นอยู่กับทักษะบนเตียงของมึงด้วยล่ะนะ” พูดจบร่างบางตรงหน้าถึงกับเบิกตาโพรงขึ้นทันทีจนทำให้ร่างสูงแสยะยิ้มออกมา

   หึ! เขาคิดไว้ไม่มีผิดอำนาจของเงินมีอิทธิพลกับทุกคนเสมอ!!

   ร่างสูงจับจ้องไปยังใบหน้าของอีกคนที่ดูจะตกใจกับคำพูดของตัวเขาอยู่ไม่น้อยด้วยความสะใจก่อนที่อีกฝ่ายจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าโกรธเกรี้ยวขึ้นมาเสียดื้อๆ พร้อมกับสาดคำพูดออกมาไม่ยั้ง

   “นี่มันเรื่องบ้าอะไร!! กูมีมือมีเท้าหาเงินเองได้! นี่มึงกำลังจะบอกว่ามึงเอากูมาขายว่างั้น? ไม่ต้องหาคำพูดที่ดูสวยหรูหรอกว่ะแต่ขอโทษที่กูไม่ขาย!! ทีนี้ก็ปล่อยกูออกไปซะที!!!” ร่างสูงชะงักกับคำพูดดิบๆ ที่ถูกพ่นออกมาจากเรียวปากบางเพียงนิดก่อนที่สมองของเขาจะสั่งการให้คิดว่าอีกฝ่ายกำลัง 'เล่นตัว' เพื่อเรียกราคาให้ตัวเองสูงขึ้นไปอีก

   “หยุดเล่นตัวซะถ้ามึงไม่อยากเจ็บตัว! เรื่องนี้กูไม่ได้เป็นคนตัดสินใจเพราะถ้าหากมึงอยากเล่นตัวเพื่อให้ได้ราคาดีกว่านี้ล่ะก็…กูว่ามึงเรียกร้องเอาเองแล้วกันว่ะ” ร่างสูงพูดก่อนจะมองไปยังหน้าจอที่ฉายภาพจากกล้องตัวหน้าบ้าน

       รถตู้ติดฟิล์มสีดำสนิทเคลื่อนตัวเข้าจอดก่อนที่ชายวัยกลางคนพร้อมกับลูกสมุนอีกสี่คนจะเดินลงมาจากรถด้วยใบหน้าที่เปื้อนความหื่นกระหาย

   ร่างบางของแฟร์วิ่งไปยังหน้าต่างตามเสียงเครื่องยนต์ที่ได้ยิน มือเล็กเอื้อมเปิดผ้าม่านเพื่อดูเหตุการณ์ข้างล่างก่อนที่สายตาของเขาจะสบกับสายตาของตาแก่ร่างท้วมน่ารังเกียจเข้าอย่างจังและเพียงชั่ววินาทีต่อมาแฟร์ก็รีบปิดผ้าม่านลงก่อนจะวิ่งไปทุบประตูราวกับคนบ้าทันที

   “ปล่อยผมไปได้โปรด ไม่เอา…ไม่เอาแบบนี้ผมไม่ขาย!!!” ร่างเล็กของแฟร์ทุบประตูด้วยใบหน้าตื่นกลัว น้ำตาที่ค่อยๆ ไหลลงมาทำให้ร่างสูงที่ยังคงยืนดูอยู่อีกห้องแสยะรอยยิ้มออกมาอย่างนึกสนุก

   “หึ! คำพูดหยาบๆ แบบเมื่อกี้หายไปไหนพูดออกมาอีกสิ!!” ชายหนุ่มเค้นหัวเราะก่อนจะเย้ยหยันอีกฝ่ายกลับไป

   “คะ…คุณช่วยผมที ผมไม่ใช่นนท์เชื่อผมเถอะได้โปรดปล่อยผมออกไปจากที่นี่ที ฮึก…” แฟร์พยายามร้องไห้อ้อนวอนคนที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าใครกลับไปอย่างมีความหวังว่าอีกฝ่ายจะคิดขึ้นได้ว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้น       และเพื่อให้เขาคิดทบทวนใหม่อีกครั้ง

   “จำเอาไว้ว่ากูไม่เคยทำงานพลาด! อ่อ เกือบลืมอวยพรว่ะ…กูขอให้มึงมีความสุขกับไอ้แก่นั่นแล้วกัน” พูดจบร่างสูงก็ผงะออกจากหน้าจอก่อนจะเดินออกมาพบกับผู้ว่าจ้างด้านนอกโดยมีเสียงของร่างบางในห้องของอีกฝั่งดังออกมาไม่หยุด น้ำเสียงที่ปวดร้าวเคล้าหวาดกลัวกรีดร้องออกมาอย่างไม่ยอมแพ้แต่สำหรับชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าคมภายใต้ผ้าปิดปากสีดำคนนี้ เสียงนั้น    กลับกลายเป็นเพียงเสียงที่ทำให้เขานึกรำคาญเสียมากกว่า

   “คนนี้คงจะดื้อน่าดู” เสี่ยธรรณพพูดติดขำแต่ร่างสูงเลือกที่จะไม่ตอบ เขายื่นกุญแจห้องให้อีกฝ่ายก่อนที่เสี่ยตัณหากลับคนนี้จะยื่นเงินจำนวนสามแสนบาทกลับมา เมื่อการยื่นหมูยื่นแมวสิ้นสุดลงชายหนุ่มก็เดินเลี่ยงออกจากตัวบ้านก่อนจะตรงไปยังรถหรูของตนที่จอดทิ้งเอาไว้ทันที

   เสียงทุบกระจกที่ดังมาจากชั้นสองทำให้ร่างสูงตัดสินใจเงยหน้าขึ้นไป ดวงตาคมสบเข้ากับร่างบางที่ร้องไห้ออกมาอย่างหนักพลันพยายามทุบกระจกชนิดพิเศษที่ทั้งเก็บเสียงและกันกระแทกเป็นอย่างดีราวกับคนบ้า ร่างสูงมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาเรียบเฉยอยู่สักพักก่อนที่เขาจะเบือนหน้าหนีและเดินขึ้นรถพร้อมกับขับมันออกไปทันที

   แฟร์มองภาพตรงหน้าด้วยแววตาที่ปวดร้าวพลางสาปแช่งคนชั่วที่เอาชีวิตของเขามาซื้อขายกันเช่นนี้ให้ตกนรกอย่างไม่รู้จบ น้ำตาที่แต่เดิมมันไหลออกมาอาบแก้มทั้งสองข้างของเขาจนเปียกชุ่มหนักพออยู่แล้ว ตอนนี้มันกลับไหลออกมาหนักกว่าเดิมเมื่อไม่มีทางไหนให้เขาหนีรอดออกไปได้เลยแม้แต่น้อย

   ร่างบางทรุดตัวนั่งลงข้างเตียงอย่างอ่อนแรง ทำไมชีวิตเขาถึงเป็นแบบนี้ ทำไมฟ้าถึงต้องให้เขาพบเจอแต่เรื่องร้ายๆ ไม่จบสิ้น!

   ในขณะที่คนอับจนหนทางกำลังด่าทอโชคชะตาของตัวเองราวกับอยากระบายความโกรธแค้นที่มีอยู่ทั้งหมด ทันใดนั้นเสียงไขกุญแจก็ดังขึ้นพร้อมกับลูกบิดที่ถูกบิดจากด้านนอกให้หมุนไปตามแรง

   ร่างบางของแฟร์มองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่สั่นระริก น้ำตาที่ไหลออกมากับเสียงสะอื้นที่ดังขึ้นทำให้รู้ดีว่าตอนนี้ตัวเขาเองกลัวมากแค่ไหน

   ความกลัวค่อยๆ คืบคลานเข้าหาคนที่กำลังนั่งร้องไห้รอรับชะตากรรมของตัวเองอย่างช้าๆ จนกระทั่งกอบกุมร่างเล็กเอาไว้ทั้งหมดในที่สุดเมื่อประตูบานนี้ถูกผลักเข้ามาด้วยฝีมือของชายแก่ที่เขาเพิ่งจะเห็นข้างล่างไปเมื่อครู่…



      TBC.....


    18/07/2560
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-07-2017 23:48:13 โดย cheepoke »

ออฟไลน์ cheepoke

  • ^_^\/ สู้ๆ ฮู้เล่ๆ
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
    • https://www.facebook.com/BlueGusten.FictionY/
Re: "ราชันย์พ่ายรัก".....CH.2 100% [19/07/2560]
«ตอบ #2 เมื่อ19-07-2017 09:02:55 »



CHAPTER  2



สี่ชั่วโมงก่อนงานเริ่ม...

ภายในห้องทำงานกึ่งห้องพักราวกับคอนโดหรูใจกลางเมืองถูกตกแต่งไว้ด้วยเฟอร์นิเจอร์โทนสีดำที่ถูกนำเข้าเกือบแทบจะทั้งหมดบ่งบอกถึงความชอบและลักษณะส่วนตัวของเจ้าของห้องทำงานนี้ได้เป็นอย่างดี

'มั่นใจในตัวเองสูง ลึกลับแต่ก็อ่อนโยน'

ประโยคนี้สามารถแทนตัวชายหนุ่มรูปร่างสูงที่มีใบหน้าคมราวกับนายแบบที่หลุดออกมาจากนิตยสารคนนี้ได้เป็นอย่างดี ผมซอยสีดำสนิทที่ถูกเซตให้โปะลงมาปิดบังดวงตาขวาของเขาไว้เล็กน้อยทำให้เจ้าตัวดูเป็นผู้ชายที่น่าค้นหาเสียยิ่งกว่าอะไร จมูกโด่งเป็นสันกับปากสีคล้ำบ่งบอกว่าเขาคืออีกคนหนึ่งที่มีรสนิยมลิ้มลองกลิ่นฉุนของบุหรี่เมื่อถึงคราวจำเป็น ชายหนุ่มเจ้าของร่างกายกำยำสมกับความเป็นชายวัยยี่สิบแปดปีคนนี้กำลังนั่งจ้องหน้าเพื่อนสนิทบนโซฟาตัวโปรดตรงข้ามกลับไปด้วยแววตาที่เรียบเฉย

พรึ่บ!

คนตรงหน้าโยนแฟ้มเอกสารบางอย่างลงบนโต๊ะ แต่ร่างสูงเจ้าของห้องกลับไม่คิดที่จะหยิบมันขึ้นมาดูเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่เหลือบตามองมันในเสี้ยววินาทีก่อนจะกลับไปมองหน้าอีกคนตามเดิม

“ว่ามาเลยกูขี้เกียจดู” ชายหนุ่มพูดก่อนจะเอนหลังพิงลงไปยังโซฟาด้วยท่าทีไม่ยี่หระ

“ห่าชันย์! มึงอย่าขี้เกียจมากจะได้มั้ยวะ” ชายหนุ่มอีกคนตีสีหน้าขัดใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเจ้าของห้องอย่าง 'ราชันย์' ไม่มีทีท่าสนใจเขาเลยสักนิด ทั้งที่พวกเขาทั้งคู่ตกลงกันแล้วว่าจะรับงานนี้เป็นงานสุดท้าย ก่อนที่พวกเขาจะรามือ ส่วนเหตุผลที่พวกเขาใช้เพื่ออธิบายกับเรื่องนี้มันก็แสนจะง่ายและดูดีเป็นที่สุดนั่นก็คือพวกเขาแค่ 'เบื่อ' ที่จะทำมันแล้วเพียงเท่านั้น

'TAKE' เป็นชื่อที่ 'จอมพล' เพื่อนสนิทที่กำลังนั่งจ้องหน้าราชันย์อยู่ในขณะนี้ตั้งขึ้นเพื่อใช้เรียกพวกเขาที่มีหน้าที่ตามหาหญิงสาวในวงการหรือแม้แต่คนที่มีชื่อเสียงเพียงนิดแต่หากผู้ว่าจ้างสนใจพวกเขาก็พร้อมจะคว้าตัวพวกเธอมาตอบสนองให้กับชายกระเป๋าหนาที่อยากจะได้นางฟ้าเหล่านั้นไปเป็นทั้งคู่ครองหรือแม้กระทั่งบ้านเล็กบ้านน้อยที่พบเห็นกันเกลื่อนกลาดอยู่ในสังคมปัจจุบันเสมอ

งานนี้ของพวกเขาในมุมมองของคนทั่วไปมันอาจจะดูเสื่อมต่อศีลธรรมของมนุษย์ แต่ใช่ว่าพวกเขาจะขืนใจพวกเธอให้รับโอกาสที่มีคนพร้อมจะยัดเยียดให้นี้แต่อย่างใด ในเมื่อเหล่านางฟ้าที่เคยตกเป็นเป้าหมายของพวกเขารู้ถึงจุดประสงค์ไม่ว่าพวกเธอเหล่านั้นจะเป็นใครต่างก็ตอบรับข้อเสนอดีๆ กันทุกรายโดยไม่ยอมเสียเวลาคิดหน้าคิดหลังให้เหนื่อยกันเลยแม้แต่น้อย

หึ! ก็อย่างที่บอก'พวกเขาทำเพื่อช่วยสงเคราะห์ชีวิตดีๆ ให้กับพวกผู้หญิงหิวเงิน' ยังไงล่ะ!!

จอมพลจำใจเก็บเอาเอกสารที่เพิ่งจะโยนลงบนโต๊ะกลับเข้ามาไว้ในมือตามเดิมก่อนที่เขาจะเริ่มพูดเรื่องสำคัญของวันนี้ออกไป

“ครั้งนี้เป้าหมายแม่งเป็นผู้ชายว่ะ” เจ้าของเรือนผมสีดำสนิทไม่แพ้คนที่กำลังนั่งพิงโซฟาเอ่ยขึ้น

“แล้วไง?”

“เออกูเข้าเรื่องก็ได้! เป้าหมายวันนี้เป็นดาราชื่อ 'นนท์' เคสนี้เป็นของเสี่ยธรรณพอีกแล้วว่ะ กูจำได้ว่าพวกเราเพิ่งจะหานางแบบให้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วไม่ใช่เหรอวะ” จอมพลถามราชันย์กลับอย่างสงสัย ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดออกมาแค่ไม่กี่คำตามเดิม

“ได้พอก็เขี่ยทิ้ง” ร่างสูงที่เป็นคนถามส่ายหัวให้กับคำตอบที่แสนจะตรงฉินของเพื่อนรักทันทีก่อนที่เขาจะพูดรายละเอียดของงานต่อ

“วันนี้เป้าหมายมีงานเปิดตัวน้ำหอมแบรนด์ใหม่ที่ห้าง M ตอนหกโมงเย็นและมึงต้องชิงลงมือก่อนที่งานจะเริ่ม” จอมพลสาธยายยาวเป็นหางว่าวก่อนที่ราชันย์จะหยัดกายขึ้นนั่งในท่าประจำเมื่อเขานึกสนใจในเรื่องที่อยากจะทำขึ้นมา

“เรื่องนั้นกูรู้ดี…แล้วรายละเอียด?” ราชันย์ถามอีกฝ่ายออกไปก่อนที่จอมพลจะยื่นรูปใบหนึ่งกลับไปแต่เจ้าตัวกลับปฏิเสธที่จะดูอีกตามเคย

“มึงก็แค่หยิบไปดูจะขี้เกียจอะไรนักหนาวะ!!” จอมพลสบถออกมาอย่างเหลืออดแต่ถึงกระนั้นเขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะรู้ดีว่าตัวเองมาผิดเวลากว่าทุกๆ ครั้ง

“แล้วใครใช้ให้มึงมาตอนกูหลับวะไอ้พล” ราชันย์สวดกลับไปเมื่อเวลานี้ของทุกๆ วันเป็นเวลาที่เขาใช้เพื่อพักผ่อนหลังจากเคลียร์เอกสารตั้งแต่เย็นของเมื่อวานกว่าจะได้นอนจริงๆ ก็ประมาณช่วงสายของวันนี้

“กวนว่ะ!” จอมพลถอนหายใจให้กับท่าทีของอีกคน

“กูพูดจริง”

“เออๆ ไอ้เด็กเนี่ยมันเป็นคนตัวเล็ก สูงคงไม่น่าจะเกินร้อยเจ็ดสิบห้า ผิวไม่ค่อยขาว หน้าตาก็พอใช้ได้อยู่นะ ส่วนจุดเด่นที่มึงควรจะจำเอาไว้ก็น่าจะเป็นไฝสองเม็ดเล็กใต้ตาของมันว่ะ” เมื่อสาธยายเสร็จคนเป็นแขกที่อาจจะไม่ได้รับเชิญนักอย่างจอมพลก็เก็บทุกอย่างใส่แฟ้มและเตรียมตัวออกจากห้องนี้ไปทันที

แต่แล้วก็เหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจให้ร่างสูงที่กำลังเดินไปทางประตูห้องให้หยุดและฉุกคิดก่อนที่คนตัวสูงจะหันกลับไปพูดเรื่องที่ยังค้างคาใจกับราชันย์อีกครั้ง

“มึงจะไม่ดูรูปหน่อยเหรอวะเกิดไปจับคนอื่นมามีหวังซวย” จอมพลพูดออกไปอย่างหวาดหวั่นเพราะจู่ๆ สมองของเขาก็คิดเรื่องแปลกประหลาดนี้ขึ้นมาทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีความคิดบ้าๆ นี่ในหัวของเขาเลยสักครั้ง

“กูเคยทำพลาดเปล่าล่ะถ้าคำตอบของมึงคือ 'ไม่' ก็กลับไปซะ งานเสร็จเมื่อไหร่กูจะโทรหา” ราชันย์พูดก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเองพร้อมๆ กับจอมพลที่ยอมเดินออกจากห้องของเขาไปแต่โดยดีเช่นเดียวกัน

อีกด้านหนึ่งของเมือง...

ภายในซอยที่มีการแบ่งชั้นวรรณะกันอย่างเห็นได้ชัด ผู้คนที่รวยล้นฟ้าต่างปลูกบ้านอยู่ทางฝั่งตะวันออกของถนน ทั้งเจ้าของธุรกิจต่างๆ ตลอดจนเจ้าของห้างสรรพสินค้าหรือแม้กระทั่งโรงพยาบาลทั้งของภาครัฐและเอกชนจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าฝั่งถนนของพวกเขาจะประกอบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันไม่ว่าจะเป็นบริการเก็บขยะในทุกๆ เช้าหรือแม้กระทั่งคนสวนที่จะมาดูแลต้นไม้ใบหญ้าให้เขียวชะอุ่มเป็นพุ่มสวยในทุกๆ อาทิตย์ ต่างจากอีกฝั่งหนึ่งของถนนสายเดียวกันที่ไม่ได้รับสิทธิพิเศษเหล่านี้เลยแม้แต่น้อยเพียงเพราะพวกเขาไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจต่างๆ เหมือนกันกับเจ้าของบ้านที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งเท่านั้น

ถนนทางฝั่งตะวันตกประกอบไปด้วยผู้คนระดับรากหญ้าจนถึงขั้นพอมีพอใช้ที่ปลูกบ้านเรียงรายชิดติดกันราวกับเป็นชุมชนเล็กๆ ที่อาศัยอยู่ด้วยกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย หนึ่งในจำนวนบ้านเหล่านี้ยังมีบ้านเดี่ยวหลังงามที่ปลูกคั้นระหว่างร้านข้าวแกงกับร้านตัดผมชายด้วยอาณาเขตเพียงสี่สิบตารางวา

ชายหนุ่มหน้าตาน่ารักที่ใครๆ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าเขาไม่น่าที่จะเกิดมาเป็นผู้ชายเพราะใบหน้าที่สวยหวานราวกับหญิงสาววัยรุ่นของเขานั้น ทำให้เจ้าของร่างเล็กร่างนี้ห่างไกลจากคำว่า 'หล่อเหลา' อยู่มากโข

'แฟร์' ชายหนุ่มร่างเล็กวัยยี่สิบห้าปี ผู้มีใบหน้าน่ารักแบบบ้านๆ ผิวที่ไม่ขาวและไม่ดำทำให้เจ้าตัวดูเป็นคนที่รักสุขภาพอย่างไม่ต้องสงสัย ดวงตากลมโตกับไฝสองเม็ดเล็กใต้ตาขวาทำให้ชายหนุ่มร่างเล็กที่กำลังนั่งรอรุ่นพี่มารับเพื่อไปทำงานเหมือนอย่างเคยดูมีเสน่ห์ขึ้นกว่าใครเป็นไหนๆ แพขนตายาวที่จัดเรียงตัวกันอย่างสวยงาม จมูกโด่งเป็นสันที่รับกับปากเล็กสีแดงระเรื่อนี้ จึงมักจะเป็นเหตุผลให้ใครๆ ต่างก็ใช้คำว่า 'น่ารัก' มากกว่า 'หล่อ' กับเขากันแทบทุกคน

แฟร์เติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่อายุได้เพียงแปดขวบ 'ลินดา' คือชื่อของแม่แท้ๆ ที่มีอาชีพขายขนมไทย ส่วน 'นิกร' ผู้เป็นพ่อของเขาคือจิตรกรขาลงที่ไม่มีงานประทังชีวิตมานานหลายปี ลินดาใฝ่ฝันมาตลอดว่าอยากเรียนกฎหมายเฉกเช่นเพื่อนสนิทของเธอที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม แต่เพราะความจนจึงทำให้เธอพลาดโอกาสนั้นไปทั้งที่เธอสามารถสอบเข้าศึกษาต่อยังคณะที่ตั้งใจไว้ได้ง่ายๆ และเพราะสาเหตุนี่เองจึงทำให้เธอเลือกที่จะตั้งชื่อเล่นให้กับร่างเล็กคนนี้ว่า 'แฟร์' และชื่อจริงที่ความหมายเช่นเดียวกันอย่าง 'เสมอภาค'

แต่แล้วเมื่อแฟร์อายุได้เพียงแปดขวบนิกรผู้เป็นพ่อได้พาตัวเขาไปฝากให้กับพี่สาวของลินดา ป้าแท้ๆ ของเขาที่ทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ช่วยเลี้ยงดู ภายหลังจากผู้เป็นแม่ของเขาเสียชีวิตเพราะโรคประจำตัวได้เพียงแค่สามเดือน โดยที่นิกรได้ให้เหตุผลเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อผู้เป็นป้าของเขาเพียงแค่ว่า

'เขาไม่มีเงินพอที่จะเลี้ยงดูลูกอีกต่อไป'

ซึ่งพอโตขึ้นแฟร์กลับคิดว่าเหตุผลที่พ่อของเขาได้ทิ้งเอาไว้มันก็เป็นเพียงแค่ข้ออ้างที่ทำให้ตัวท่านดูไม่ใจร้ายจนเกินไปเพียงเท่านั้น แต่เหตุผลจริงๆ คงเป็นเพราะท่านไม่เคยรักเขาเลยเสียมากกว่า

ด้วยวัยของแฟร์ในตอนนั้นเขาไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังเผชิญอยู่กับอะไร เมื่อจู่ๆ ป้าที่อิดออดจะรับเลี้ยงดูเขาไว้ตั้งแต่แรกตัดสินใจลาออกจากงานและหายตัวไปเสียดื้อๆ ทำให้แฟร์ต้องอาศัยอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่นั้นมา โดยมี 'แม่นภา' คุณแม่ของเหล่าเด็กๆ คอยสั่งสอนและเลี้ยงดูเขาให้เติบโตมาเป็นอย่างดี

เมื่อเริ่มชินชากับความรู้สึกที่ปวดร้าวเกินจะรับไหว แฟร์ที่แรกๆ เอาแต่เก็บตัวไม่ยอมสุงสิงกับใครเป็นเวลานานหลายเดือนก็เปลี่ยนเป็นเด็กที่ร่าเริงและเริ่มมีความสุขกับการใช้ชีวิตอีกครั้ง เขาเป็นลูกรักของแม่นภาและเป็นเพื่อนที่น่ารักของเด็กๆ ทุกคนในบ้าน แฟร์เป็นเด็กนอบน้อม มีสัมมาคารวะ ทำให้เมื่อไปที่ไหนต่างก็มีคนชื่นชม ด้วยเหตุผลนี้เองทำให้แม่นภาเลือกที่จะมอบบ้านหลังเล็กๆ หลังนี้ให้กับเขา เมื่อถึงคราวที่ร่างบางจะต้องออกมาทำงานภายหลังจากเรียนจบจากมหา'ลัยด้วยผลการเรียนระดับเกียรตินิยม

กระทั่งปัจจุบันร่างบางมีอาชีพเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้ดาราหน้าใหม่มากความสามารถอย่าง 'ชานนท์' น้องชายของรุ่นพี่ที่เขาเคารพ จะว่าไปใครๆ ก็อาจจะสงสัยว่าทำไมเขาถึงไม่เลือกงานที่ดีกว่านี้ ซึ่งเหตุผลก็ไม่มีอะไรมากมันเป็นเพราะว่าเขาแพ้ลูกตื้อของรุ่นพี่หรือมันอาจจะเป็นเพราะความรู้สึกของเขาเองที่ดันแอบชอบรุ่นพี่คนนี้อยู่ลึกๆ แต่ไม่กล้าที่จะบอกอีกฝ่ายออกไป แม้เขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายก็ชอบพอตัวเองอยู่ไม่น้อย แต่แฟร์กลับเลือกที่จะหยุดความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่ไว้เพียงแค่คำว่า 'พี่น้อง' เท่านั้น เพราะเขายังไม่มั่นใจในตัวเองดีพอหรือเพราะลึกๆ แล้วเขายังกลัวที่จะต้องเริ่มไว้ใจใครอีกครั้ง

ปิ๊บๆ

เสียงแตรรถที่ดังมาจากหน้าบ้านทำให้ร่างบางที่กำลังง่วนอยู่กับการเช็คของในกระเป๋าเงยหน้าขึ้นและมองไปยังต้นตอของเสียงก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะค่อยๆ เปื้อนขึ้นบนใบหน้าหวานเมื่ออีกฝ่ายที่ขับรถมารับได้มอบรอยยิ้มให้เขาอยู่ก่อนแล้ว

แฟร์รีบลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปขึ้นรถที่มี 'นัท' หรือธนัทขับมารับเหมือนเช่นเคย ทั้งคู่ทักทายกันตามประสาก่อนที่ตัวรถจะถูกหนุ่มผู้รับบทเป็นสารถีขับออกไปเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้าง M ทันที

เมื่อมาถึงห้าง  M สถานที่จัดงานเปิดตัวน้ำหอมแบรนด์ใหม่ร่างเพียวของแฟร์ก็รีบเดินเข้าไปยังห้องแต่งตัวทันทีก่อนที่ร่างบางของใครอีกคนจะส่งใบหน้างอนๆ มาให้เมื่อเห็นว่าเขามาถึงที่หมายแล้ว

“พี่แฟร์อะมาช้า” เสียงใสของนนท์ดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่ทำแก้มป่องอย่างงอนๆ ตามมา

“รถติดน่ะนนท์โทษทีนะ” แฟร์ยิ้มให้นนท์หน่อยๆ พลางวางสัมภาระทุกอย่างลงบนโต๊ะก่อนจะเริ่มควานหาชุดที่ถูกแขวนเอาไว้ด้านหลังห้องทันที เพราะนอกจากเขาจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวแล้วเขายังต้องดูแลเรื่องเสื้อผ้าให้กับคนที่กำลังนั่งทำตาปริบๆ คนนี้อีกด้วย

“นนท์นึกว่าพี่นัทไปรับพี่แฟร์ช้าซะอีก”

“ไม่หรอก” แฟร์ตอบพลางลอบยิ้มออกมา

“แล้วพี่นัทไปไหนเสียแล้วล่ะ” ถามเสร็จดาราหนุ่มก็กระโดดขึ้นนั่งบนโต๊ะวางของข้างๆ

“พี่นัทขอกลับไปเคลียร์เอกสารที่บริษัท”

“ประจำเลย! ไม่เคยอยู่รอนนท์สักครั้ง”

“ทีหลังนนท์ก็ช่วยไปบอกพี่นัททีนะว่าไม่ต้องไปรับพี่แล้วเพราะพี่มาเองได้งานของเขาก็ยิ่งเยอะๆ อยู่” แฟร์พูดประโยคที่มักจะบอกกับอีกฝ่ายอยู่เสมอออกไป แต่นัทเป็นคนดื้อเงียบเขามักจะบ่นทุกทีที่เห็นแฟร์มาทำงานเองโดยไม่รอให้เขาไปรับ แม้บางครั้งนัทจะติดประชุมหรือกำลังเคลียร์เอกสารสำคัญอยู่ก็เถอะ แต่รุ่นพี่คนนี้ก็ยังเจียดเวลาไปรับเขามาทำงานแทบจะทุกงาน จนแฟร์กลัวว่าตัวเองจะเป็นต้นเหตุให้พี่ชายของนนท์เสียงานขึ้นมาสักวัน

“แหม…ก็พี่แฟร์แหละเมื่อไหร่จะใจอ่อนสักทีล่ะ นี่พี่นัทก็ตามจีบพี่มาหลายปีแล้วนะ” นนท์แกล้งแซวแฟร์ที่ตอนนี้ได้แต่ก้มหน้างุดหาเสื้อผ้าอย่างอายๆ ออกไป เมื่อพี่ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคนนี้เป็นคนที่พี่ชายแท้ๆ ของเขาชอบมาตั้งแต่สมัยเรียนที่มหา'ลัย รวมๆ แล้วปีนี้ก็เข้าปีที่ห้าที่นัทตามจีบแฟร์อยู่แบบนี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมพี่ชายที่กำลังเขินอายอยู่ในตอนนี้ถึงได้ใจแข็งไม่ยอมให้นัทเลื่อนสถานะสักที

เมื่อได้ยินคำถาม ฝ่ายถูกถามกลับรู้สึกโหว่งๆ ขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูกเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาใช่ว่าเขาจะไม่เคยใจอ่อน แต่แฟร์กลับคิดมาเสมอว่าเรื่องของเขากับนัทมันไม่มีทางเป็นไปได้เพราะด้วยชื่อเสียงและฐานะทางครอบครัวของอีกฝ่ายมันค้ำคออยู่แบบนั้นทำให้โอกาสที่จะเป็นไปได้สำหรับคู่ของพวกเขาก็มีเท่ากับศูนย์อยู่ดี

“พี่กับพี่นัทก็เหมือนนนท์กับพี่นัทนั่นแหละ…เราเป็นพี่น้องกัน” แฟร์ตอบกลับไปได้ไม่เต็มเสียงนัก

“หว่า…งี้พี่ชายนนท์ก็อกหักอะดิ”

“มัวแต่แซวพี่ได้ทุกวันแล้วนี่มีใครเอาตารางงานของวันนี้มาให้หรือยัง” แฟร์พยายามเปลี่ยนเรื่องคุยพลางเดินไปเปิดกระเป๋าก่อนจะคว้านหาเข็มกลัดเล็กออกมาเมื่อเห็นว่าเสื้อตัวที่เขาเลือกให้กับนนท์ดูจะโชว์ให้เห็นแผงอกงามของคนตรงหน้าจนเกินไป

ร่างบางกลัดเข็มลงไปบนเนื้อผ้าตรงหน้าเพื่อลดความหวือหวาของมันลงอีกนิด เพราะนนท์ในสายตาของแฟร์ยังคงเป็นเพียงเด็กผู้ชายที่อายุเพิ่งจะยี่สิบเท่านั้น

“ยังเลยฮะ เห็นพี่เกดไปประสานงานกับทางผู้จัดอยู่” นนท์พูดก่อนจะคว้าเอาเสื้อตัวนี้ไปทาบกับตัวเองพลางส่องดูภาพสะท้อนจากกระจกเงาตรงหน้า เขาเหมือนจะถูกใจฝีมือการเลือกของแฟร์อยู่ไม่น้อยเพราะเจ้าตัวเล่นยิ้มไม่หุบเมื่อเห็นความหล่อเหลาของตัวเองที่สะท้อนกลับมา

“งั้นนนท์เอาชุดนี้ไปเปลี่ยนก่อนนะเดี๋ยวพี่มา” แฟร์เดินออกจากห้องเพื่อตามหาเกดทันทีเพราะความเป็นจริงแล้วหน้าที่ไปตามตารางงานก็เป็นหนึ่งในงานของเขาอีกเช่นกัน แต่ติดตรงที่วันนี้เขามาสาย ไม่รู้ว่าช่างแต่งหน้าขาวีนอย่างเกดจะต่อว่าเขามั้ยเพราะรายนั้นหากได้เหวี่ยงสักครั้งล่ะก็…ยาวแน่!

“อ้าวพี่เกด! ผมกำลังจะไปตามหาพี่อยู่พอดี” เมื่อเดินพ้นออกจากห้องแต่งตัวเพียงไม่นานร่างอวบของช่างแต่งหน้าคนที่กำลังตามหาก็เดินหอบกลับมาอย่างเหนื่อยอ่อน พร้อมกับยื่นสิ่งที่เขาต้องการมาตรงหน้า

“เอ้านี่! ฉันล่ะปวดหัวจริงๆ ฝ่ายประสานงานของบริษัทนี้ก็นะ! ทำงานช้าอย่างกะเต่าพูดแล้วเครียด!!” เกดสบถออกมาอย่างฉุนๆ ก่อนจะตวัดสายตากลับไปมองแฟร์ที่ตอนนี้ยืนตัวแข็งทื่อเป็นหินไปแล้ว

“ขอบคุณครับพี่ พะ…พอดีวันนี้รถติดแฟร์ขอโทษพี่ด้วยนะที่มาสาย” เพราะความกลัวแฟร์จึงเอ่ยออกไปอย่างตะกุกตะกักก่อนที่อีกฝ่ายจะฉีกยิ้มพร้อมกับกลั้นหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทีหวาดกลัวของคนตรงหน้า

“ไม่เป็นไรหรอก ไหนดูตารางซิเมื่อกี้พี่รีบเลยไม่ทันได้ดูว่าคิวเราอยู่ตอนไหน” เกดกลับมาพูดเป็นปกติทำให้แฟร์เบาใจลงไปได้มาก ก่อนที่เขาจะกางตารางงานของวันนี้ออกเพื่อดูรายละเอียดทันที

“อืม…ประมาณคิวที่ห้าพร้อมกับโชว์สินค้าครับ” ร่างบางพูดออกไปก่อนที่อีกฝ่ายจะใช้มือตบลงบนบ่าของเขาเบาๆ

“ฝากด้วยแล้วกันนะแฟร์เพราะเดี๋ยวพี่มีธุระต่อ”

“ได้ครับพี่เกดไม่ต้องห่วงนะ” แฟร์ฉีกยิ้มพร้อมตะโกนไล่หลังอีกฝ่ายที่เดินกลับเข้าไปในห้องแต่งตัว

ร่างเล็กของแฟร์นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่บริเวณนั้นเพื่อดูรายละเอียดของงานต่อ ก่อนที่สตาร์ฟหญิงในงานคนหนึ่งจะเดินมาสะกิดเขาให้หลุดออกความสนใจตรงหน้าและหันไปหาเธอ

“พี่คะๆ มีผู้ชายคนหนึ่งฝากไอ้นี่มาให้พี่ค่ะ” เธอพูดพร้อมกับยื่นกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ ที่ถูกพับมาแบบลวกๆ มาให้

“ใครเหรอครับ” แฟร์ถามกลับไปเพื่อความแน่ใจเพราะปกติแล้วเขาจะไม่ค่อยรับของจากคนแปลกหน้าแม้มันจะเป็นแค่อะไรเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ก็เถอะ

“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ เขาบอกให้หนูเอามาให้คนที่นั่งอยู่ตรงที่กดน้ำซึ่งก็มีแค่พี่คนเดียว” เธอพูดออกมาก่อนจะยัดเศษกระดาษนี้เข้ากับมือของแฟร์แล้วรีบเดินไปทำงานต่อทันที จะว่าไปแฟร์ก็เพิ่งสังเกตุเห็นเหมือนกันว่าเขานั่งอยู่ใกล้ๆ กับที่กดน้ำ

ร่างบางมองเศษกระดาษตรงหน้าก่อนที่เขาจะตัดสินใจคลี่มันออกมาอ่านข้อความด้านในที่เป็นเพียงแค่ประโยคสั้นๆ สองบรรทัดแต่เนื้อความในนี้กลับทำให้เขานั่งแทบไม่ติดเลยทีเดียว

ถ้าไม่อยากตกเป็นข่าวว่ากำลังคั่วผู้ชาย

-บันไดหนีไฟชั้นสาม-

มือบางขยำเศษกระดาษทันทีที่อ่านจบ ใช่ว่าเนื้อความนี้จะถูกเขียนถึงเขาเพราะดูจากข้อความที่เขียนมาแบบหวัดๆ นี้แล้ว คนที่เขากล่าวถึงน่าจะเป็นนนท์เสียมากกว่า เพราะในงานวันนี้มีดาราอยู่เพียงคนเดียวนั่นก็คือนนท์ ฉะนั้นมันจะเป็นของใครอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด!

แฟร์เองรู้ดีว่านนท์เป็นยังไงพอๆ กับที่พี่ชายแท้ๆ ของร่างเล็กอีกคนก็รู้ดี นนท์ชอบผู้ชายด้วยกันเช่นเดียวกับที่ตัวเขาเองก็รู้สึก พูดง่ายๆ ก็คือพวกเขาเป็น 'เกย์' ซึ่งเรื่องนี้จะให้ใครอื่นรู้ไม่ได้เพราะตอนนี้นนท์กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหากมีข่าวแบบนี้ออกไป ร้อยทั้งร้อยนนท์ต้องตกที่นั่งลำบากอย่างแน่นอน

ร่างบางรีบเดินกลับเข้าไปในห้องแต่งตัวทันที ดีที่มีเพียงนนท์อยู่ในห้องเพียงคนเดียวฉะนั้นเขาก็ไม่ต้องระวังคำพูดอะไรมากมายนัก

“นนท์ช่วงนี้ได้ออกไปไหนกับใครหรือเปล่า” แฟร์ถามก่อนที่ร่างเล็กของอีกคนจะเงยหน้าออกจากโทรศัพท์แล้วขมวดคิ้ว

“พี่แฟร์ถามทำไมเหรอฮะ”

“พี่แค่ถามเฉยๆ ตกลงได้ไปไหนมาหรือเปล่า” ชายหนุ่มย้ำคำถามกับนนท์อีกครั้งก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจพลางก้มหน้าลงไปสนใจโทรศัพท์เหมือนเดิม

“ไปฮะแต่ก็ไปกับเพื่อนๆ กันทั้งนั้น ไม่ก็ไปกับพี่นัทแหละ”

“เพื่อนที่ว่า…ผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“ก็ทั้งสองแหละแต่จะไปกับผู้ชายบ่อยหน่อย พี่แฟร์ก็รู้นี่ว่านนท์ก็ต้องการเวลาอยู่กับเพื่อนบ้างแล้วที่ถามนี่มีอะไรหรือเปล่าฮะ” นนท์ตอบพลางมองไปยังแฟร์อย่างขำๆ

“แล้วตอนนี้นนท์คบกับใครอยู่หรือเปล่า” แฟร์ตัดสินใจถามออกไปภายหลังจากถอนหายใจออกมายาวพอที่จะลดความอัดอั้นกับเรื่องที่เพิ่งจะโดยขู่มาทำเอาคนตรงหน้ายิ่งขำออกมาใหญ่

“ฮ่าๆ ไม่มีหรอกฮะนนท์จะเอาเวลาที่ไหนไปมีแฟนกับเขากันล่ะ”

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับมาแบบนี้ร่างบางจึงมั่นใจว่าข้อมูลที่คนๆ นั้นมีอยู่เป็นเรื่องไม่จริงและเขาต้องไปหยุดมันไว้ก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านี้

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปทำธุระแปปนึงนะส่วนนี่เป็นตารางเวลา” แฟร์ยื่นตารางเวลาให้กับนนท์ก่อนที่ตัวเขาจะเดินออกไปยังสถานที่ที่ถูกเขียนติดมากับกระดาษแผ่นนั้นทันที

“บันไดหนีไฟชั้นสามสินะ!”

ร่างบางพึมพำออกมาก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังที่หมาย เพียงไม่กี่นาทีแฟร์ก็พาตัวเองมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าของบันไดหนีไฟที่ว่าเป็นที่เรียบร้อย เขาชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะเคลื่อนมือไปบิดลูกบิดตรงหน้าและผลักเข้าไปร่างบางเดินผ่านบานประตูหนาก่อนจะหยุดยืนมองภาพตรงหน้าที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน

“นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ! ใครกันที่เล่นพิเรนแบบนี้!!” แฟร์ก่นด่าออกมาอย่างหัวเสีย เรื่องนี้จะต้องมีคนกำลังแกล้งปั่นหัวพวกเขาอยู่อย่างแน่นอน

ไม่ทันที่ชายหนุ่มร่างเล็กจะหันหลังกลับ จู่ๆ ก็มีมือปริศนาที่ถูกสวมเอาไว้ด้วยถุงมือสีดำเอื้อมมาจากทางด้านหลังก่อนจะปิดจมูกของเขาเข้าอย่างจัง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วเกินกว่าที่ร่างบางจะทันได้ตั้งตัว แฟร์พยายามดิ้นหนีสัมผัสหยาบกระด้างนี้ทันทีแต่แรงของเขากลับสู้แรงของอีกฝ่ายไม่ได้เลยสักนิด กลิ่นฉุนที่เขาเผลอสูดดมเข้าไปทำให้สติเริ่มขาดห้วงไปทีละนิด

'ยิ่งดิ้นเหมือนยิ่งรัด'

ร่างบางเพิ่งจะเข้าใจความหมายของคำนี้ก็เมื่อสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของเขาไม่สามารถประคองร่างกายที่เริ่มอ่อนแรงลงได้อีกต่อไปจนกระมั่งทุกอย่างรอบกายเบาหวิวและมลายหายไปในที่สุด…


TBC...



--------------------------------------------

เอาที่มาที่ไปมาฝาก ^O^
ความจริงพ่อพระเอกของเราก็ไม่ได้โหดร้ายอะไรขนาดนั้น!!!
ออกจะใจดีช่วยหางานให้กับพวกสาวๆ
(หราาาา -__-'')

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: "ราชันย์พ่ายรัก".....CH.2 100% [19/07/2560]
«ตอบ #3 เมื่อ19-07-2017 09:37:14 »

ไม่รู้ทำไม อ่านแล้วรู้สึกว่าพระเอกเป็น คนโง่ที่คิดว่าตัวเองฉลาด เฮ้ออออ

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: "ราชันย์พ่ายรัก".....CH.2 100% [19/07/2560]
«ตอบ #4 เมื่อ19-07-2017 18:04:14 »

 :katai1: :katai1: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cheepoke

  • ^_^\/ สู้ๆ ฮู้เล่ๆ
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
    • https://www.facebook.com/BlueGusten.FictionY/


CHAPTER 3



[Rajchan’s Part]
   ผมขับรถออกมาจากบ้านพักหลังนั้นก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปที่ทำงานทันที หึ! แววตากับสีหน้าที่แสนจะหวาดกลัวของไอ้เด็กคนนั้นยังติดตาผมไม่หาย จะว่าสงสารมัน!...ผมเองก็พอมีความรู้สึกแบบนั้นอยู่บ้าง แต่ไอ้ท่าทางพยศ   และคำพูดที่แสนจะเย่อหยิ่งเกินตัวแบบนั้นกลับทำให้ผมนึกอยากจะขย้ำคอเล็กของไอ้เด็กนั่นขึ้นมาเสียดื้อๆ

   ครั้งนี้ผมทำรุนแรงผมรู้ อาจเพราะมันเป็นผู้ชายผมจึงไม่ต้องออมมือออมปากให้มากเหมือนกับพวกผู้หญิงที่เคยผ่านมา แต่เดี๋ยวนะ! ไม่แน่ว่าตอนนี้มันอาจจะเปลี่ยนท่าทีเมื่อรู้ว่ากำลังจะตกถังข้าวสารอยู่ก็ได้ใครจะไปรู้

   ผมเร่งความเร็วทันทีที่ตัวรถพ้นออกจากทางลูกรังและมุ่งเข้าสู่เส้น   ทางหลวงที่มีรถวิ่งพลุกพล่านเต็มไปหมดก่อนที่เสียงจากโทรศัพท์ตรงหน้าคอนโซลจะทำให้ผมลดความเร็วลงเพียงเล็กน้อย

   'ห่าพล'

   “ตายยากชะมัด!” ผมสบถออกมาเมื่อบนหน้าจอปรากฏชื่อของคนที่ ผมเองก็คิดจะโทรหามันเช่นเดียวกันเพียงแต่จะรอให้ถึงที่ทำงานก่อนเพียงเท่านั้น

   (“ว่าไง!”) ผมกรอกเสียงเรียบกลับไปให้กับปลายสาย

   (“ชันย์มึงอยู่ไหน!”) น้ำเสียงของจอมพลที่ดูจะกระวนกระวายถามกลับมาก่อนที่ผมจะตอบมันกลับไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
   (“กูขับรถอยู่”)

   (“มึงทำไมไม่รีบลงมือสักทีวะ!”) เสียงห่ามตะคอกกลับมาทำเอาผมนึกหงุดหงิดกับอารมณ์ของมันขึ้นมาทันที

   (“เสร็จงานแล้ว”) ผมเอ่ยกลับไปอย่างถือไพ่เหนือกว่า เพราะผมออกมาทำงานนี้ก่อนเวลาเล็กน้อยบางทีไอ้พลมันอาจจะกำลังเข้าใจว่างานยังไม่เสร็จ

   (“มึงกำลังล้อกูเล่น!?”)

   (“กูมีเวลามานั่งเล่นกับมึง?”) ผมถามมันกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง   แต่แล้วประโยคต่อมาของอีกฝ่ายกลับทำเอาผมที่กำลังนึกสนุกอยู่กับผลงานของตัวเองถึงกับยิ้มไม่ออก!

   (“ก็ตอนนี้เป้าหมายยังอยู่ในงานแล้วมึงเอาที่ไหนมาพูดว่าเสร็จงานแล้ว!!”)

   เอี๊ยดดด!!!

   (“มึงว่าไงนะ!!”) ผมเหยียบเบรคอย่างไม่คิดชีวิตก่อนจะตะคอกถาม   ไอ้พลกลับไปอีกครั้ง

   แม่ง! ถ้ามึงโกหกกูล่ะก็กูเอามึงตาย!!

   (“ตอนนี้กูอยู่ห้าง M แล้วไอ้เด็กที่ชื่อนนท์มันก็ยังอยู่ที่นี่!”) จอมพลสวดกลับมาเป็นชุดก่อนสมองของผมจะยังปฏิเสธข้อความที่เพิ่งจะได้ยินไป

   (“จอมพลกูให้โอกาสมึงพูดอีกที!!”)

   (“ไอ้เด็กนั่นยังอยู่ในงานแล้วนี่มึงเอาใครไปวะ!!”)

   (“เป็นไปไม่ได้! ก็ไอ้เด็กนั่นคือคนที่มีไฝใต้ตาขวานี่หว่า!”)   

   (“Shit!! กูลืมบอกมึงว่าไอ้เด็กที่ชื่อนนท์มันมีไฝใต้ตาซ้ายว่ะ”) เสียงจากปลายสายที่สบถออกมาอย่างหัวเสียทำเอาผมเดือดขึ้นมาทันที

   (“ไอ้พล!!”)

   แต่ก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไร จอมพลก็เป็นฝ่ายชิงพูดขึ้นมาก่อน   แถมยังเป็นคำพูดแกมบังคับผมกลับมาซะด้วย!

   (“มึงรีบไปเอามันกลับมาเลยนะเว้ย!”)

   (“กูออกมาตั้งไกลแล้ว”) แน่นอนว่าถึงแม้ผมจะตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ผมก็ไม่คิดจะกลับไปช่วยไอ้เด็กนั่นมันหรอก

   (“ไอ้เด็กนั่นมันสมยอม?”)

   หึ! คำถามนี้เล่นเอาผมตอบมันกลับไปไม่ได้เลยเพราะจากที่ผมเห็นมันก็คงจะสมยอมอยู่ล่ะมั้ง

   (“ห่าชันย์! มึงไปเอาเขากลับมาเดี๋ยวนี้!!”)

   (“ตอนนี้คงไม่เหลือซากแล้วว่ะกูว่าไปก็เสียเวลาเปล่า”) กว่าผมจะวนรถกลับไปก็กินเวลาไปกว่าสิบนาที พูดง่ายๆ ว่าถ้าไอ้เสี่ยนั่นมันน่ามืดขึ้นมาจริงๆ เวลาเพียงเท่านี้ก็ทำให้มันเสร็จได้อย่างไม่ต้องสงสัย

   (“มึงตกลงกับกูว่าไง 'ใครที่ไม่ยอมอย่าขืน' มึงลืมไปแล้ว!?”) จอมพลยกเอาเรื่องที่นี้ขึ้นมาย้ำ

   ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างฉุนๆ ทันทีที่โดนอีกฝ่ายขัดใจเพราะมันดันเป็นข้อตกลงที่ผมเป็นคนตั้งขึ้นมาไงล่ะ

   (“เออๆ เดี๋ยวกูจัดการแม่งต้องให้ออกแรงทุกที!”) ผมตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะออกตัวรถและหักเลี้ยวตรงยูเทิร์นหน้าทันที

   (“ก็มันความผิดมึง!”) ไอ้พลแดกดันผมกลับ

   (“มึงก็ด้วย”)

   (“กูถึงบอกให้มึงดูรูปไง แต่มึง!!...”)

   (“จะพล่ามอีกนานมั้ยเดี๋ยวกูก็ไม่กลับไปช่วยมันหรอก”) ผมพูดดักปลายสายกลับไปทันที แค่ตอนนี้ผมก็เบื่อจะแย่อยู่แล้วขืนยังต้องมาฟังไอ้นี่โวยวายอีก ผมว่าอีกเดี๋ยวผมคงจะเปลี่ยนใจวนรถกลับแน่ๆ!!

   (“เออ! กูเงียบก็ได้ แต่คืบหน้ายังไงบอกกะ…”) ผมชิงตัดสายก่อน      จะโยนโทรศัพท์ลงบนที่นั่งด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ
   ก็ดี! ผมก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าไอ้เด็กท่าทางผยศแบบนั้นจะงัดเอา 'ท่า'  ไหนมารับมือกับไอ้เสี่ยตัณหากลับคนนั้นกันแน่!!

   รถของผมเคลื่อนเข้าสู่อาณาเขตของบ้านเดี่ยวหลังนี้อีกครั้งภายหลังจากที่ผมเพิ่งจะออกไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ลูกสมุนทั้งสี่คนที่กำลังนั่งจับกลุ่มสังสรรค์กันอยู่ข้างนอกบ้านต่างก็หันกลับมามองด้วยใบหน้าที่ดูฉงนไม่น้อย

   หลังจากดับเครื่องยนต์ลง ผ้าปิดปากสีดำที่มันเคยถูกถอดและทิ้งเอาไว้ถูกผมคว้าเอามาสวมไว้อีกครั้งก่อนจะเปิดลิ้นชักในรถเพื่อหยิบปืนพกขนาด 9 มม. ที่เพิ่งจะได้รับใบอนุญาตมาเมื่อสามเดือนก่อนสวมเข้ากับเอวของกางเกง

   ผมเอื้อมมือไปกดเพิ่มระดับเสียงของเพลงคลาสสิคที่ฟังมันมาตลอดทางให้ดังขึ้นแล้วรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมกว่านี้อีกสักพักอย่างใจเย็น

   เมื่อเห็นว่าคนขับอย่างผมไม่มีทีท่าว่าจะลงจากรถ หนึ่งในสี่ลูกสมุนพวกนั้นก็เดินตรงเข้ามาประชิดกับตัวรถอย่างสงสัย ก่อนที่มันจะโน้มตัวลงมาพลางเคาะกระจกเพื่อให้ผมเปิด…และแน่นอนว่าผมก็ไม่ขัดศรัทธามันเช่นเดียวกัน

   “เฮ้ยไอ้น้อง! หมดเรื่องแล้วก็กลับไปสิวะ!!” ชายรูปร่างท้วมที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นสาปของเหล้าราคาบ้านๆ พูดขึ้นทันทีที่ผมลดกระจกลง

   “ก็ไม่ได้อยากกลับมานักหรอกแต่พอดีลืมของเอาไว้” ผมพูดออกไปหลังจากที่ยื่นมือไปกดเพื่อลดระดับเสียงดนตรีลงอย่างช้าๆ

   “ของอะไรเดี๋ยวกูให้พวกนั้นขึ้นไปเอามาให้” คนข้างนอกพ่นลมหายใจที่เต็มไปด้วยกลิ่นสาปนี้ออกมาก่อนที่มันจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงห้วน

   “พอดีของชิ้นนี้กูต้องขึ้นไปเอาเองว่ะ” ผมเปิดประตูรถลงไปยืนจนเต็มความสูงที่เมื่อเทียบกับไอ้สมุนคนนี้แล้วมันยังสูงไม่ถึงไหล่ของผมเสียด้วยซ้ำ ก่อนที่อีกฝ่ายจะมองผมกลับมาด้วยแววตาที่ไม่ไว้ใจนัก 

   “ไม่ได้! เสี่ยต้องการเวลาส่วนตัวมึงห้ามขึ้นไปเด็ดขาด!!” คนตรงหน้าพูดกลับมาพลางถอยหลังไปเพื่อตั้งหลัก ดวงตาที่กรอกเลิ่กลั่กไปมาทำให้ผมรู้ว่าแท้จริงแล้วมันเองก็กำลังกลัวอยู่ไม่ใช่น้อย

   “ไม่ยุ่งไม่ได้ว่ะเพราะไอ้ของที่กูลืมเอาไว้มันดันเป็นไอ้เด็กคนนั้นน่ะสิ” ผมเค้นรอยยิ้มส่งกลับไปให้มันอย่างเยือกเย็น ก่อนที่อีกฝ่ายจะไหวตัวเพื่อเรียกคนที่เหลือได้ทันผมอาศัยจังหวะนี้ส่งเท้าเน้นๆ ยันเข้าหน้าท้องของมันเต็มแรงก่อนจะชักปืนจ่อลงไปยังหน้าผากที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อชื้นของคนตรงหน้าทันที

   “มะ…มึง!!” คนที่ล้มลงไปกองอยู่กับพื้นเค้นเสียงพูดออกมาอย่างยากลำบาก มือหนาของมันกุมท้องเอาไว้แน่น พวกที่เหลือเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นต่างก็ชักปืนและวิ่งตรงเข้ามาอย่างกุลีกุจอ

   หึ! ถ้าให้เทียบพวกมันที่สติไม่ครบจนแทบจะยืนไม่ไหวกับผมที่แค่ลั่นไกกลับไปก็สามารถเก็บพวกมันได้ทุกคนผมว่าตอนนี้ผมเหนือกว่าพวกมันเห็นๆ

   ผมออกแรงดึงไอ้คนที่เพิ่งจะล้มลงไปให้ลุกขึ้นมา ก่อนจะใช้ตัวมันเพื่อเป็นกำบังพร้อมทั้งจ่ออาวุธกระบอกสีดำที่ผมถือไว้ไปที่หัวของมันอีกครั้ง

    “ถ้าพวกมึงยิงกูก็ยิงแลกกันหน่อยมั้ยล่ะ” ผมถามออกไปเสียงเรียบเมื่อลูกสมุนที่เหลือต่างก็หันกระบอกปืนมาทางผมเช่นเดียวกัน ทำเอาคนที่กำลัง   ตกเป็นเกาะกำบังให้ถึงกับตะโกนออกไปราวกับว่ามันกำลังเผชิญกับความกลัวจนถึงขีดสุด

   “พวกมึงอย่ายิงนะเว้ย!!!”

   “มะ…มึงต้องการอะไร!!” หลังจากที่ตะโกนออกไป คนที่ผมกำลัง      จ่อขมับอยู่ก็หันกลับมาถามผมด้วยท่าทีกระวนกระวายไม่หาย

   “บอกให้ลูกน้องมึงโยนปืนและอาวุธทุกอย่างเข้าไปในรถกูให้หมดอย่าให้เหลือไม่อย่างนั้นกูจะเอาเลือดหัวมึงออก!!” ผมสั่งออกไปด้วยเสียงที่เน้นหนักทุกๆ คำ ก่อนที่ตัวประกันของผมมันจะยอมทำตามอย่างว่าง่ายหากทว่าพวกที่เหลือกลับอึกอักที่จะทำ

   ผมมองภาพตรงหน้าอย่างขัดใจก่อนจะกดปลายกระบอกปืนลงบนขมับของลูกพี่พวกมันอีกครั้ง

   “กูบอกให้พวกมึงทำ! กูมีลูกมีเมียต้องดูแลอยู่นะเว้ย!”

   “แต่ลูกพี่!!”

   “ไม่ต้องมีแต่! เร็วกูยังไม่อยากตายตอนนี้!!” พูดจบพวกที่เหลือก็เดินเข้ามาโยนอาวุธเข้าไปในรถของผม
   
   ผมล็อคประตูพลางเสียบปืนของตัวเองกลับเข้ากับเอวกางเกงอีกครั้งก่อนจะใช้มือทุบลงท้ายทอยของคนที่อยู่เป็นเกาะกำบังจนมันสลบไป ส่วนพวก  ที่เหลือเมื่อเห็นสิ่งที่ผมทำพวกมันก็พากันวิ่งประจันหน้าเข้ามาหาผมอย่างเอาเรื่องทันที

   ผมปล่อยหมัดออกไปปะทะเข้ากับใบหน้าของไอ้คนที่หนึ่ง ก่อนจะหันไปเตะเข้าท้องไอ้คนที่สองที่บังอาจกระชากไหล่ผมเสียจนแทบเคล็ด พร้อมทั้งหันไปเสยเข้าคางไอ้คนที่สามอีกอย่างจัง! ร่างทั้งสามร่วงลงบนพื้นก่อนที่ตัวผมจะตามเข้าไปซ้ำพวกมันแต่ละคนจนมีสภาพแทบไม่เหลือซาก

   เมื่อจัดการกับพวกนี้เสร็จผมก็พาตัวเองเดินเข้าไปในบ้านที่ยังคงเปิด ไฟสลัว เสียงกรีดร้องที่ดังออกมาจากห้องด้านบนแล่นเข้าสู่โสตประสาทของผมอย่างจัง แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ช่วยทำให้ผมรีบที่จะสาวเท้าของตัวเองเพื่อเดินขึ้นชั้นบนเลยสักนิด

   ผมเดินขึ้นบันไดอย่างเซ็งๆ ที่ต้องกลับมาตามล้างตามเช็ดเรื่องที่ความจริงแล้วตัวผมจะเพิกเฉยกับมันไปเลยก็ได้ แต่ด้วยคำพูดที่ผมเคยตกลงไว้กับ    ไอ้พลมันจึงช่วยไม่ได้ที่ตอนนี้ผมจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องที่ทิ้งไอ้เด็กจองหองคนนั้นเอาไว้

   ผมเอื้อมมือออกไปเคาะลงบนประตูสามที เสียงกรีดร้องที่เคยถูกเปล่งออกมาอย่างทุกข์ทรมานของไอ้เด็กนั่นก็หยุดลง ทิ้งไว้แต่เพียงเสียงสะอื้นและเสียงสบถที่ดังออกมาอย่างขัดใจเมื่อเสียงเคาะประตูเมื่อครู่ดูจะทำลายบรรยากาศแสนสวาทภายในห้องอยู่ไม่น้อย

   ประตูห้องถูกเปิดออกด้วยอดีตนายจ้างชั่วคราว คนตรงหน้าดูจะตกใจที่เห็นว่าแขกไม่ได้รับเชิญในเวลานี้เป็นผมและคงรวมถึงการที่ไม่มีลูกน้องของมันติดตามมาด้วยเลยสักคน

   “คุณยังมีธุระอะไรอีกผมคิดว่าเราตกลงกันไปแล้วนะ!” เสี่ยธรรณพพูดออกมาพลางใช้มือรวบเอาผ้าเช็ดตัวที่คาดเอาไว้ระหว่างเอวมัดให้แน่นกว่าเดิม

   หึ! คงเสร็จไอ้เสี่ยนี่ซะแล้วสิ

   “ต้องขอโทษที่ผมพามาผิดคน” ผมเอ่ยพร้อมกับปรายตามองเข้าไปในห้องที่เละยิ่งกว่าอะไร ของประดับทุกชิ้นและเฟอร์นิเจอร์หักพังจนเต็มพื้นห้อง ช่างเป็นภาพที่ชวนให้อารมณ์เสียไม่น้อย

   “ไม่เป็นไรคนนี้ผมไม่ถือ พยศดีผมชอบส่วนเรื่องค่าเสียหายพวกนี้ผมจะจัดการให้วันหลัง” คนตรงหน้าพูดขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าผมคงจะหัวเสียกับสภาพห้องก่อนที่มันจะทำท่าว่าจะปิดประตูลง

   “จะรีบไปไหนผมยังไม่ทันตกลงเลย” ผมคว้าเอาประตูที่กำลังจะถูกอีกฝ่ายปิดเอาไว้เสี่ยธรรณพชักสีหน้าและแววตาไม่พอใจกลับมาทันทีที่เห็นการกระทำของผม

   “อย่าเรื่องมาก! มีหน้าที่แค่พามันมาก็จบ! กลับไป!!” คนร่างท้วมพยายามดึงประตูที่มีผมยื้ออยู่เข้าหาตัวอย่างสุดกำลัง

   “แต่นี่มันบ้านกู” ผมเอ่ยออกไปเสียงเรียบก่อนที่อีกฝ่ายจะหมดความอดทนและยอมปล่อยมือจากประตูบานนี้แต่โดยดี

   “งั้นก็หลีกกูจะพามันไปสนุกที่อื่นตะ…อั่ก!” ไม่รอให้พูดจบผมจัดการผลักเอาประตูบานนี้กระแทกเข้าหน้าอีกฝ่ายอย่างจังก่อนที่ไอ้เสี่ยตัณหากลับจะล้มลงไปอย่างไปเป็นท่า

   ผมเดินเข้าไปในห้องพลางมองลงไปยังร่างท้วมบนพื้นด้วยแววตาสมเพชก่อนที่มันจะพยายามตะโกนเรียกลูกน้องข้างล่างเป็นพัลวัน

   “ไอ้คิด! ไอ้เข้ม! ไอ้!...”

   “ไม่ต้องเรียกพวกมันหรอกมึงคิดว่ากูจะเดินเข้ามาเฉยๆ โดยที่ไม่ทำอะไรพวกมันอย่างงั้นเหรอ หึ! ตลกว่ะ” ผมถามออกไปอย่างเหยียดๆ ก่อนจะชักเอาปืนออกมาและเล็งไปยังหัวของมันทันทีจนคนข้างล่างเบิกตาโพรงด้วยความตกใจจนขีดสุด

   ผมล้วงเอาเงินจำนวนสามแสนที่รับมาจากอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ออกมาจากเสื้อแจ๊กเกตที่สวมอยู่ก่อนจะโยนไปบนพื้นตรงหน้าของมัน

   “เอาของมึงกลับไปซะงานนี้กูใจดีไม่คิดเงิน” ผมทำท่าว่าจะเหนี่ยวไกหลังจากที่พูดจบทำเอาคนข้างล่างยิ่งกระสับกระส่ายพร้อมกับละล่ำละลักคำพูดออกมาอย่างไม่เป็นภาษา

   “มะ…มึงอย่าทำอะไรกูนะ อะ…ไอ้เด็กนั่นมันอยู่บนเตียง! กูยะ…”

   ปัง!!

   “อ๊ากกก!!!”

   ผมลั่นไกลงบนพื้นระดับหว่างขาของมันจนอีกคนตกใจจนน้ำตาเล็ด ก่อนจะส่งเท้าเข้าปลายคางของมันอย่างจังจนร่างท้วมกระเด็นไปตามแรงและหมดสติร่วงลงไปนอนกองกับพื้นทันที

   ผมหันกลับก่อนจะเดินไปยังเตียงที่มีร่างบางนอนคุดคู้อยู่ คนตัวเล็กพยายามดึงเอาผ้าห่มผืนบางขึ้นมาห่มเพื่อปกปิดร่างกายที่เปลือยเปล่าเอาไว้พลางมุดหน้าร้องไห้ลงกับหมอนอย่างบ้าคลั่ง ผิวกายของมันที่แต่เดิมปราศจากซึ่งร่องรอยกลับมีเฉดสีแดงช้ำขึ้นมาแต่งเติมไปทั่วร่าง

   ผมเอื้อมมือของตัวเองไปดึงเอาข้อมือเล็กที่ใช้จับหมอนของมันพลางกระชากให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาก่อนที่แววตาขุ่นเคืองจะสบใบหน้าของผมอย่างเอาเรื่อง

   “ฮึก…ฮือออ ปะ…ปล่อย!!” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาและรอยช้ำทำเอาผมถึงกับชะงักเพราะไม่คิดว่าไอ้เสี่ยธรรณพมันจะหนักมือถึงขนาดนี้

   “มึงจะไม่กลับ?” ผมถามกลับไปก่อนที่อีกฝ่ายจะตวาดกลับลั่น

   “คุณมันไม่ใช่คน! คุณพาผมมาทำแบบนี้ได้ยังไง!!”

   “ปากดี! มึงอยากโดนไอ้เสี่ยนั่นมันแทงอีกหรือไง! ความอดทนกูยิ่งมีน้อยๆ อยู่ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!” ผมออกแรงบีบข้อมือเล็กอีกเป็นเท่าตัวทำเอาไอ้เด็กคนนี้ถึงกับนิ่วหน้า

   “โอ้ย! ผมเจ็บบบ ฮึก!” น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าที่ไหลออกมาอาบข้างแก้มของมันทำไมถึงได้ขัดลูกหูลูกตาของผมขนาดนี้นะ!

   ผมคลายมือออกจากข้อมือนี้พร้อมกับเดินไปเก็บเสื้อผ้าของมันที่ถูกถอดทิ้งกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นห้องก่อนจะขว้างกลับไปให้เจ้าของของมันอย่างไม่ใยดี

   “รีบๆ ใส่ซะ!!”

   “ถ้าผมใส่แล้วคุณจะพาผมไปให้ใครอีกล่ะ!” ไอ้เด็กจองหองมันจ้องหน้าผมกลับก่อนจะกระแทกเสียงออกมาอย่างเย้ยหยัน
 
   “กูจะลงไปรอที่รถเสร็จแล้วก็ตามลงไป อ่อ…แต่ถ้าไม่อยากกลับก็ตามใจเพราะอีกเดี๋ยวไอ้เสี่ยนั่นมันก็คงจะฟื้น” ผมสูดลมหายใจเพื่อเก็บอารมณ์เอาไว้ก่อนจะเดินออกจากห้องมาทันที

    ให้มันได้แบบนี้สิ! เพราะหลังจากที่ผมเดินออกมาไอ้เด็กนั่นมันยัง    ก่นด่าตามหลังมาไม่ยอมหยุดทั้งที่ตัวมันเองก็ยังร้องไห้จะเป็นจะตายอยู่แบบนั้น อย่างนี้เขาเรียก 'ทำคุณบูชาโทษ' หรือเปล่าวะ!!

   ผมขับรถโดยมีไอ้เด็กเย่อหยิ่งคนนี้นั่งมาด้วยข้างๆ บอกตามตรงว่า     ไอ้เสียงร้องไห้ของมันที่ดังมาตลอดทางทำให้ผมเกือบจะฟิวส์ขาดตั้งหลายครั้ง ทั้งเสียงสูดน้ำมูก เสียงสะอึกสะอื้นราวกับว่าชีวิตนี้ของมันจบสิ้นหมดทุกอย่าง เหอะ! ก็แค่เสียตัวมันจะอะไรกันนักหนา!!

   “ตกลงมึงชื่ออะไร” ผมถามออกไปก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมามองเสี้ยวหน้าของผมที่ยังคงสนใจแต่เส้นทางตรงหน้า แต่แล้วมันก็หันหน้ากลับโดยที่ไม่ยอม ปริปากอะไรออกมา

   “กูจะไม่ถามเป็นครั้งที่สอง”

   “ก็ดี” ร่างเล็กย้อนน้ำเสียงห้วน

   ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าของมันที่มีรอยฟกช้ำเป็นจ้ำๆ ด้วยอารมณ์ที่พร้อมจะประทุออกมาได้ทุกเมื่อ ก่อนที่ผมจะออกแรงบีบพวงมาลัยเพื่อพยายามระงับความโกรธเอาไว้

   “ต่อปากต่อคำแบบนี้สงสัยมึงคงอยากกลับไปบ้านหลังนั้นมากใช่มั้ย!” ผมเค้นเสียงพูดออกไปอย่างคาดโทษซึ่งมันก็ได้ผลเพราะคนข้างๆ ถึงกับหันมาเบิกตาด้วยความตกใจก่อนที่มันจะก้มหน้าและพูดออกมาเสียงเรียบ

   “ฟะ…แฟร์…ฮึก!”

   ผมเหลือบมองมันอีกครั้งคราวนี้ผมเพิ่งจะสังเกตว่ามีคราบเลือดติดอยู่ตรงมุมปากของมันแถมยังมีรอยนิ้วมือปรากฏอยู่บนแก้มที่เคยเนียนนั้นอีก

   หึ! โดนหนักน่าดู

   “เสร็จมันแล้วเหรอไง?”

   “…”

   “ไม่ตอบแสดงว่าจริง”

   “ทำไม! ถ้าผมเสียตัวให้มันแล้วคุณจะทำไม!”

   “กูก็จะจ่ายค่า 'เสียตัว' ให้มึงไง…สักเท่าไหร่ดีล่ะ แสน! สองแสะ…”

   “หุบปากของคุณซะ!!! เก็บเงินไว้รักษาจิตใจต่ำๆ ของตัวเองให้มันสูงขึ้นเถอะเพราะผมไม่ต้องการ!!” ไม่ทันที่ผมจะยั่วอารมณ์คนพยศได้จบไอ้เด็กที่     ชื่อแฟร์คนนี้ก็ตะโกนออกมาก่อนที่มันจะยิ่งร้องห่มร้องไห้อีกเป็นยกใหญ่

   “จะร้องทำไมนักหนาวะ!”

   “ฮึก…ฮือออ” คนข้างๆ ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจกับคำพูดของผมเลยสักนิดเพราะมันยังคงสะอึกสะอื้นร่ำไห้ออกมาไม่หายจนผมถึงกับต้อง!

   “หยุด!”

   “ฮึก…ฮือออ”

   “หยุด!!”

   “ฮึก…ฮือออ”

   เอี๊ยดดด!!!

   ผมเหยียบเบรคจากความเร็วของรถกว่าร้อยสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงลงเต็มแรง คนข้างๆ ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถึงกับเบิกตาโพรงก่อนที่หัวของมันจะทุบเข้ากับคอนโซลหน้ารถอย่างจัง!

   คนเจ็บเงยหน้าขึ้นพร้อมหันกลับมาจ้องหน้าผมอย่างเกลียดชัง

   คิดว่าผมแคร์!?

   “ไม่หยุดคราวนี้กูจะพามึงกลับไปให้มันเอาอีกรอบ!!” ผมตะคอก       อีกฝ่ายกลับไปอย่างสุดจะทน ทั้งที่คิดว่าจะพยายามเก็บอารมณ์เอาไว้แล้วแท้ๆ แต่สำหรับไอ้เด็กแฟร์คนนี้ผมทำไม่ได้จริงๆ!!!

   คนถูกคาดโทษพยายามกลั้นเสียงสะอึกสะอื้นของตัวเองเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นน้ำตาของมันก็ยังคงไหลออกมาไม่ขาดสาย
 
   “เลิกร้องไห้ซะที! น้ำตามันทำให้เรื่องทุกอย่างดีขึ้นหรือไง!!!”

   “แล้วใครล่ะที่ทำให้เรื่องมันเลวร้ายแบบนี้!!!”

   เออ! ผมยอมรับว่าเรื่องนี้ผมมีส่วนผิดแต่ผมก็ไปช่วยมันออกมาแล้วไง เวลานี้มันควรจะขอบคุณผมสิถึงจะถูก!!

   ภายในรถถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบเมื่อผมพยายามเก็บอารมณ์ของตัวเองและมันก็พยายามกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดลอดออกมา ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับไอ้เด็กจองหองคนนี้ดีที่ทั้งปากร้าย! พยศ! เย่อหยิ่ง! แม่งถ้าเป็นผู้หญิงล่ะก็น่าจับมาตบปากด้วยปากของผมซะจริง แต่ติดตรงที่มันเป็นผู้ชายและผมก็ไม่มีรสนิยมแบบนี้ซะด้วยสิ

   “บ้านอยู่ไหน?” ผมตัดสินใจพูดออกไปเพราะเริ่มจะทนไม่ไหวกับบรรยากาศที่เป็นอยู่ในตอนนี้

   “…”

   “กูถามว่าบ้านมึงอยู่ไหน!?”

   “โอ้ย! ผมเจ็บ ฮึก!” ผมคว้าเอาคางเล็กของมันมาบีบจนคนตรงหน้าถึงกับร้องออกมา ใบหน้าของมันเหยเกก่อนที่เจ้าตัวจะพยายามแกะมือของผมออกเป็นพัลวัน

   “อย่ายั่วโมโหกู!!!” ผมพูดก่อนจะสะบัดมือออกจากคางเล็กเมื่ออีกฝ่ายเริ่มร้องไห้หนักกว่าเดิม

   “ผะ…ผมจะกลับเอง” มันบอกก่อนจะพยายามเปิดประตูรถลงไป

   โง่ดักดาน! สภาพของมันตอนนี้จะไปได้ไกลแค่ไหนกันเชียว!!

   “สภาพมึงตอนนี้ไปไม่เกินสองป้ายรถเมล์มีหวังได้ผัวทีเดียวเป็นสิบ!”

   “มันเรื่องของผม!!” คนอวดเก่งพยายามเปิดประตูรถอีกครั้งแต่คราวนี้มันทำให้ผมเหลืออดแล้วจริงๆ ผมกระชากข้อมือเล็กให้เจ้าตัวหันกลับมาก่อนจะใช้มืออีกข้างบีบเข้าคางของมันไม่ให้หนี

   “อย่าให้กูอารมณ์เสียไปมากกว่านี้!! บอกมาซะว่าบ้านอยู่ที่ไหน!!!”

   “…”

   “บอก!!!”

   “ฮือออ ดะ…เดี๋ยวผมจะบอกทางเอง” แฟร์ร้องออกมาอย่างยอมแพ้เมื่อผมลงแรงบีบอย่างไม่ออมมือ

   “ก็แค่เนี่ยจะทำให้มันยุ่งยากทำไมวะ!!” ผมคลายมือออกก่อนจะหันกลับมาขับรถออกไปทันที คนข้างๆ ลูบข้อมือและใบหน้าที่เจ็บของตัวเองไปมาท่ามกลางน้ำตาที่ยังคงทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดีเพราะยิ่งผมทำรุนแรงกับอีกฝ่ายมากเท่าไหร่น้ำตาเหล่านั้นก็ยิ่งไหลทะลักออกมามากเท่านั้น



   “จอดตรงนี้” คนข้างๆ เอ่ยออกมาหลังจากที่ผมขับรถมานานร่วมชั่วโมง

   ผมทำตามที่อีกคนบอกและเมื่อรถจอดสนิทอีกฝ่ายก็จัดการปลดเข็มขัดและเปิดประตูลงจากรถไปทันที ผมคิดอยู่ว่าไอ้เด็กนี่มันคงจะรีบวิ่งกลับเข้าบ้านไปอย่างแน่นอน แต่ไม่เลย…เพราะจู่ๆ มันก็งอตัวลงก่อนจะเอามือกุมหน้าท้องของตัวเองเอาไว้

   “ไง! เจ็บเหรอ?” ผมเปิดประตูลงก่อนจะเดินอ้อมไปหาอีกฝ่ายที่เบ้หน้าด้วยความเจ็บปวดแต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ยอมตอบคำถามของผม

   “กูถาม!”

   “…”

   “แม่ง!!”

   “อ่ะ!” ผมกระชากมือข้างที่มันใช้กุมหน้าท้องออกก่อนจะดึงชายเสื้อเชิ้ตสีขาวที่มันสวมอยู่ขึ้น รอยฟกช้ำที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายโดนอะไรมาทำให้ผมถึงกับขบกรามแน่น

    ดื้อด้าน! เจ็บขนาดนี้มันยังไม่ปริปากร้องออกมาเลยสักแอะ!!

   “สภาพของผมตอนนี้คงสมใจคุณมากสินะ” คนตัวเล็กย้อนถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นก่อนที่มันจะดึงเอาชายเสื้อลงเพื่อปกปิดรอยพวกนี้ไว้ตามเดิม

   “หึ! ก็ยังหายใจล่ะวะ” ผมยั่วโมโหมันกลับไปทำให้แฟร์จ้องหน้าผมด้วยแววตาเครียดแค้นขึ้นมามากอีกเป็นกอง ภาพคนตรงหน้าที่โมโหจนตัวสั่นแถมยังรวบหมัดเอาไว้แน่นแบบนี้ช่างน่าขบขันในความรู้สึกของผมจริงๆ

   ผมจ้องอีกคนกลับอย่างไม่ยอมแพ้เช่นเดียวกัน แต่แล้วการกระทำต่อมาของมันกลับทำเอาผมอึ้ง

   ผัวะ! พรึ่บ!

   มันต่อยผมจนหน้าหันก่อนจะตรงเข้ามากระชากเอาผ้าปิดปากของผมออกแถมยังขว้างกลับมาบนหน้าของผมอีก!

   ชักจะยั่วโมโหกูเกินไปแล้ว!!

   “มันเป็นเพราะคุณ!! ผมบอกคุณตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ใช่ผม ทะ…ทำไมคุณถึงไม่เชื่อ ฮึก… คุณมันสารเลว!! ชาตินี้ขออย่าได้เจอกันอีกเลย!!” ไอ้เด็กจองหองฝืนเดินออกไปทันทีที่ด่าจบ

   ผมมองแผ่นหลังเล็กที่กระตุกเพราะแรงสะอื้นก่อนจะใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มที่เพิ่งจะถูกต่อยอย่างนึกสนุก

   ผมตัดสินใจเดินตามหลังมันอยู่ห่างๆ พลางล้วงเอาบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบเพื่อระบายอารมณ์เป็นว่าเล่น จะว่าผมเป็นห่วงก็คงไม่ใช่เพราะไม่มีความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของผมเลยสักนิด แต่มันติดตรงที่ผมต้องโทรรายงานไอ้พลมันด้วย  น่ะสิ ขืนไอ้นั่นรู้ว่าผมยังปล่อยให้ไอ้เด็กนี่ถูกฉุดไปอีกมีหวังหูผมคงได้ชาแบบอยากหนีแต่หนีมันไม่พ้นแน่ๆ!

   ร่างบางของคนที่กล้าต่อยผมเดินเลี้ยวเข้าไปในซอยที่แสนจะคุ้นเคยสำหรับผมเป็นอย่างดีและเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อถึงหน้าบ้านเดี่ยวหลังเล็กหลังหนึ่ง คนตรงหน้ากลับทำให้ผมแสยะยิ้มให้กับโชคชะตาที่ช่างเล่นตลกกับอีกฝ่ายออกมาในทันที

   ไอ้เด็กนั่นหยุดฝีเท้าลงและมองไปยังผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ รถ BMW สีแดงสด เขาคนนั้นหันหน้ามาปะทะคนใกล้จะหมดแรงที่ยืนมองดูตัวเองอยู่ด้วยสีหน้าตกใจกับสภาพของคนที่ดูเหมือนว่าเขากำลังรอการกลับมาของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย แววตาที่เป็นห่วง สีหน้าที่ปวดร้าวและทุกข์ใจ ทำให้ผู้ชายคนนั้นรีบวิ่งเข้าไปประคองคนตัวเล็กอย่างหวงแหนทันที

   ผู้ชายที่ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับคนที่เพิ่งจะถูก   ทำร้ายมาคว้าเอาตัวของคนตรงหน้าเข้าไปไว้ในอ้อมกอดของตัวเองแน่น ทำเอาผมที่ยืนมองภาพนั้นอยู่ไกลๆ เกิดความรู้สึกทั้งสมเพช! และเวทนากับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นมาทันใด

   ผมยังคงยืนมองคนทั้งคู่จนกระทั่งพวกเขาประคองกันเข้าบ้านหลังนั้นไป บุหรี่มวนที่สามหลังจากที่ผมอัดมันเข้าไปจนหนำใจถูกทิ้งลงบนพื้นตามด้วยเท้าที่บดขยี้มันจนไม่เหลือซาก ผมล้วงเอาโทรศัพท์ที่ถือติดมือขึ้นมากดโทรหาใครคนนั้นทันที

   (“เรียบร้อย?”) เสียงถามของจอมพลดังขึ้นเมื่อสัญญาณโทรศัพท์เพิ่งจะติดเป็นรอบที่สอง

   (“เรียบร้อยแต่กูมีเรื่องให้มึงช่วยว่ะ”)

   (“เรื่องอะไร”)

   (“มึงช่วยสืบให้กูทีว่าผู้ชายรอบตัวดาราที่ชื่อนนท์มีคนชื่อแฟร์มั้ย ถ้ามีกูต้องการประวัติของคนๆ นี้ทั้งหมด”) ผมบอกในสิ่งที่ต้องการ

   (“ทำไมวะ”)

   (“มึงแค่สืบให้กูก็พอที่เหลือมันเป็นเรื่องของกู”) ผมตอบกลับไปเสียงเรียบเมื่อจอมพลพยายามถามถึงเหตุผลซึ่งความจริงแล้วตอนนี้มันยังไม่มีในหัวผมด้วยซ้ำเพียงแต่ผมแค่อยากรู้…

   แค่อยากรู้เท่านั้นจะอะไรมาก!

   (“เหอะ! ขอกูแต่ก็ว่ากูเหลือเกินนะแล้วมึงต้องการเมื่อไหร่”)

   (“พรุ่งนี้”)

   (“ห่า! ใครมันจะหาทัน!!”) ไอ้พลสบถกลับมาอย่างหัวเสีย
 
   ก็แน่อยู่หรอกอย่างน้อยๆ ต้องสืบกันเป็นอาทิตย์

   (“ก็มึงไงวันนี้กูเหนื่อยที่จะพูดแล้วว่ะ”) ผมชิงตัดสายทันทีที่พูดจบก่อนจะหันกลับไปมองบ้านหลังนั้นอีกครั้งเมื่อจู่ๆ ผมเกิดคิดอะไรสนุกๆ ขึ้นมาได้

   หึ! คิดว่าต่อยกูแล้วมึงจะหันหลังกลับง่ายๆ เหรอ…ไม่มีวัน!!!
[End of Rajchan’s Part]


  TBC....
-----------------------------------------

โอ้ยๆๆๆๆ สงสารน้องแฟร์นายเอกของเราเหลือเกิน
นี่ไม่ชอบแนว SM นะ ไม่ชอบเลย ไม่ชอบเลยแม้แต่นิดเดียว (-__-'')
พูดเจง เจ๊งงงงงงงงง
เฮ้อ...ทนๆ เฮียเค้าหน่อยนะลูก เจ๊เป็นกำลังใจให้ลูกพ้นปากเหยี่ยวปากกาด้วยเถอะ เพี้ยง!!!

 :o12: :o12: :o12:



ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
ต่อค่าาา สงสารแฟร์

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ cheepoke

  • ^_^\/ สู้ๆ ฮู้เล่ๆ
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
    • https://www.facebook.com/BlueGusten.FictionY/


CHAPTER 4




[Fair’s Part]

เสียงนกเจื้อยแจ้วกับแสงแดดที่เล็ดลอดผ่านผ้าม่านสีขาวโปร่งเข้ามาภายในห้องนอนเล็กกระทบเข้ากับร่างของผมที่เอาแต่นอนคุดขู้ไม่ยอมลุกจากที่นอนจนเวลาล่วงเลยมาจวนจะเก้าโมงเช้าเข้าไปทุกที

ผมพยายามลืมตาตื่นทั้งที่รู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อสองชั่วโมงที่แล้วซึ่งเป็นเวลาที่ผมเองมักจะตื่นอยู่เป็นประจำ ก่อนจะค่อยๆ ขยับร่างกายที่แสนจะหนักอึ้งของตัวเองช้าๆ พลางยันตัวเองลุกขึ้นอย่างยากลำบากน้ำตาที่ยังคงแห้งกรังติดอยู่บนใบหน้าทำให้ผมอดที่จะนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านมันมาไม่ได้

เมื่อวานผมถูกลักพาตัวด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นนนท์ ทำให้ผมต้องรับกรรมทั้งที่ตัวเองไม่ได้ก่อแต่ผมก็ไม่ได้พาลโกรธไปถึงนนท์ต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องมาเผชิญกับเรื่องเลวร้ายในครั้งนี้แม้แต่น้อยเพราะตัวของนนท์เองก็ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้หนำซ้ำหากคนที่โดนลักพาตัวไปเป็นนนท์ตัวจริงผมก็อดที่จะนึกสงสารน้องไม่ได้เหมือนกันเพราะมันทั้งโหดร้าย! ป่าเถื่อน! และไร้มนุษยธรรมเป็นที่สุด!!!

ผู้ชายรูปร่างสูงที่แต่เดิมใบหน้าของเขาถูกปิดไว้ด้วยผ้าปิดปากสีดำคนนั้นหากย้อนเวลากลับไปได้ผมอยากจะคว้าเอามีดแทงลงบนอกกว้างของเขาหลายๆ แผลให้สมกับเรื่องเลวๆ ที่เขาได้ทำมันลงไป! แม้ว่าอีกฝ่ายจะกลับไปช่วยผมจนรอดเงื้อมือไอ้แก่ตัณหากลับนั้นมาได้ก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่โดนไอ้แก่นั่นแตะเนื้อต้องตัวเพราะขนาดตอนนี้เองผมก็ยังคงจำสัมผัสที่แสนจะหยาบโลนจนทำให้ร่างกายของผมมีรอยฟกช้ำเต็มไปหมดแบบนี้ได้เป็นอย่างดี!

เมื่อคืนผมรวบรวมแรงที่เหลืออยู่ต่อยและกระชากผ้าปิดปากของผู้ชายคนนั้นออกอย่างสุดจะทน! ทั้งที่ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยต่อยใครเลยสักครั้ง หึ! อย่าว่าแต่ต่อยเลยผมไม่เคยแม้กระทั่งทำให้ใครเสียใจเลยสักครั้งเดียวแต่ครั้งนี้มันเกินจะทนแล้วจริงๆ ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองก้าวร้าวได้ถึงขนาดนี้มาก่อน ผมมองไปยังใบหน้าที่หันไปตามแรงหมัดของตัวเองอย่างอึ้งๆ เค้าโครงใบหน้าและองค์ประกอบที่ลงตัวจนไร้ที่ติ ดูๆ แล้วคนอย่างเขาไม่น่ามาทำงานอะไรแบบนี้เลยสักนิดก่อนที่แววตาเฉี่ยวที่แฝงไปด้วยความดุดันนั้นจะตวัดมองมายังผมอย่างเอาเรื่องเมื่อรับรู้ถึงแรงหมัดที่กระทบเข้ากับหน้าของตัวเองอย่างจัง

กลัวเหรอ!?

ตอนนั้นไม่มีความกลัวอยู่ในสมองผมเลยสักนิดเพราะสิ่งที่ผมทำมันเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นยัดเหยียดให้ผมต้องเจอ!!

ผมเดินเข้าห้องน้ำอย่างทุลักทุเลหลังจากนึกไปถึงเหตุการณ์บ้าๆ นั่นก่อนจะถอดเสื้อผ้าของชุดเมื่อวานออกและจัดการชำระล้างสัมผัสชั่วๆ พวกนั้นออกให้หมดทันที!

มือที่ถูตามผิวหนังออกแรงขัดจนมันเริ่มแดงขึ้นเป็นปื้นแม้ว่าผมจะเจ็บอยู่ไม่น้อยก็เถอะแต่ไม่รู้ทำไมสมองถึงได้สั่งให้ขัดมันอยู่อย่างนั้นหรือนี่อาจเป็นเพราะผมอยากจะลืม…ลืมเรื่องพวกนั้นออกไปจากหัวให้หมด!

ผมเดินออกมาจากห้องนอนก่อนจะตรงเข้าไปในห้องครัวที่บนโต๊ะไม้เก่าๆ มีฝาชีพลาสติกปิดเหล่าจานและชามราวๆ ห้าใบอยู่ด้านใน ผมเอื้อมมือไปเปิดฝาชีนั้นขึ้นเผยให้เห็นแกงจืด ไข่เจียว ผัดผัก ข้าวสวยและของหวานที่เป็นกล้วยบวชชีวางไว้เต็มโต๊ะก่อนที่สายตาของผมจะเหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นเล็กที่ถูกชามแกงจืดวางทับไว้ โดยที่เนื้อหาในกระดาษแผ่นนั้นถูกเขียนด้วยตัวหนังสือที่ผมคุ้นเคยจนทำให้ผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

อาหารบนโต๊ะพี่ทำสุดฝีมือเลยนะ ทานเยอะๆ ล่ะ

เดี๋ยวสายๆ พี่จะโทรหาอีกที รักนะครับ

-นัท-

ผมวางกระดาษแผ่นนี้ลงด้วยความรู้สึกที่ตื้อขึ้นมาจนเต็มอก มันทั้งดีใจและเสียใจปนเปกันไปหมด

เมื่อวานพี่นัทมายืนรอผมที่หน้าบ้านตั้งแต่เสร็จงานของนนท์รวมๆ แล้วก็น่าจะสองสามชั่วโมงได้เขาดูตกใจมากที่เห็นสภาพของผมตอนเดินกลับมาถึงที่บ้าน เสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่และกระดุมที่ไม่สามารถติดได้เพราะถูกไอ้แก่นั่นกระชากจนขาดหวิ่นกับเท้าเปล่าที่ผมทนเดินมาทั้งอย่างนั้นเพราะไม่มีเวลาหารองเท้าว่ามันกระเด็นไปในทิศทางไหนในห้องนอนบัดซบนั่น! ใบหน้าและเนื้อตัวที่ฟกช้ำกับอาการร้องไห้อย่างหนักของผมทำให้ผมไม่สามารถตอบคำถามของอีกฝ่ายไปได้เลย

พี่นัทคว้าเอาตัวของผมเข้าไว้ในวงแขนแกร่งก่อนจะออกแรงกอดผมราวกับว่ากลัวจะหายไปไหน น้ำตาที่ไหลออกมาเปรอะเปื้อนไหล่หนาของอีกฝ่ายทำเอาผมไม่สามารถกลั้นมันไว้ได้จริงๆ อ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่นนี้ทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดีเพราะมันทำให้ผมคิดว่าอย่างน้อยๆ โลกนี้ก็ไม่ได้ใจร้ายจนถึงขั้นพรากสิ่งที่ตัวของผมรักจากไปจนหมดสิ้น

ติ๊งต๊อง~~~ ติ๊งต๊อง~~~

ไม่ทันที่ผมจะได้ลิ้มลองรสชาติของอาหารตรงหน้าเสียงกริ่งที่บ่งบอกว่ามีคนมาก็ดังขึ้นดึงเอาสติของผมที่กำลังคิดน้อยเนื้อต่ำใจกับโชคชะตากลับมาอีกครั้ง ผมมองลอดหน้าต่างออกไปยังหน้าบ้านที่มีผู้หญิงวัยห้าสิบต้นๆ ยืนรออยู่ด้วยท่าทีที่ดูเป็นมิตร

'คุณกนก' เจ้าของคฤหาสน์หลังตรงข้ามมองเข้ามาในตัวบ้านของผมก่อนที่ผมจะรีบเดินออกไปเปิดประตูให้กับเธอที่ยืนยิ้มรออยู่ด้วยใบหน้าที่ดูโอบอ้อมอารีในแบบของผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ

“สวัสดีครับ” ผมกล่าวทักทายเธอกลับไปก่อนที่คุณกนกจะสังเกตุเห็นร่องรอยตามเนื้อตัวของผมทำเอาเธอถึงกับเบิกตาโพรงขึ้นทันที

“นี่เราไปโดนอะไรมา” เธอถามก่อนจะใช้มืออุ่นคู่นั้นเอื้อมมาลูบตามใบหน้าและแขนของผมอย่างเบามือ

“พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะครับ” ผมตอบก่อนจะออกปากเชิญไปอีกครั้ง

“เชิญข้างในก่อนดีกว่าครับ”

ผมเดินนำคุณกนกเข้าไปในห้องรับแขกเล็กที่พอพ้นประตูบ้านเข้าไปก็พบกับโซฟาตัวเก่าที่ผุพังเล็กน้อย ผมรีบสาวเท้าเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อนำน้ำเย็นๆ ออกมาเสริ์ฟให้กับคนที่นั่งยิ้มจนตาหยีอยู่บนโซฟาตัวนั้นก่อนที่ผมจะนั่งลงยังที่นั่งตรงข้าม

“คุณกนกมีธุระอะไรเหรอครับ”

“ไม่ต้องคงต้องคุณหรอกจ้ะเรียกป้าก็พอ” เธอพูดก่อนจะยกน้ำที่ผมเพิ่งจะวางลงบนโต๊ะเล็กหน้าโซฟาขึ้นดื่ม

“ก็ได้ครับ แล้ว…”

“พี่แฟร์!!...อ่ะ! ขอโทษครับพอดีไม่รู้ว่าพี่มีแขก” ไม่ทันที่ผมจะถามคนตรงหน้าจบเสียงเล็กจากลูกเจ้าของร้านข้าวแกงข้างๆ ก็ดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่วิ่งพรอดพราดเข้ามาในบ้านของผมอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือทำเอาป้ากนกแอบหัวเราะให้กับใบหน้าของ 'สายลม' ที่ตื่นตกใจเคล้าเสียหน้านิดๆ กลับไปอย่างเอ็นดู

“ไม่เป็นไร แล้วมาทำไมเนี่ยลม”

“พอดีมีเรื่องอยากให้พี่แฟร์ช่วยนิดหน่อยงั้นลมไปรอหน้าบ้านนะ” พูดเสร็จสายลมก็รีบจ้ำอ้าวออกไปนั่งรอที่ม้านั่งหน้าบ้านทันที

“ต้องขอโทษคุณป้าด้วยนะครับพอดีลมมันเป็นเด็กชอบโหวกเหวกโวยวาย”

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะหนูลมเขาน่ารักดีป้าเองก็ชอบฝีมือทำกับข้าวของพ่อเขามากอร่อยอย่าบอกใครเลย” ผมมองคนตรงหน้ากลับไปอย่างอึ้งๆ ก่อนจะถามกลับไปเมื่อสิ่งที่ผมได้ยินดูจะขัดกับภาพที่ผมเห็นอยู่ไม่น้อย

“คุณป้าเคยทานกับข้าวฝีมือลุงอ้วนด้วยเหรอครับ”

“ใช่สิจ้ะ แหมเห็นป้าแบบนี้เรื่องของกินป้าก็ไม่ได้พิถีพิถันมากนักหรอกมีอะไรกินได้ก็กินๆ ไปไม่ต้องถึงกับระดับห้าดาวทุกวันหรอกแบบนั้นก็สิ้นเปลืองแย่” ป้ากนกตอบกลับมายิ้มๆ

ทำไมผมถึงรู้สึกชอบเธอขึ้นอีกเป็นกองเลยนะ!

“นั่นสินะครับ…ว่าแต่คุณป้ามีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ” ผมถามออกลับไปเมื่อนึกเรื่องที่ถูกสายลมขัดเมื่อครู่ขึ้นมาได้

“จริงสิ! เกือบลืมไปเลยป้าอยากจะวานให้เราไปช่วยสอนภาษาอังกฤษให้ลูกชายของป้าหน่อยจะได้มั้ย พอดีเจ้าวินมันอยากจะเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศน่ะ” ป้ากนกพูดออกมาทำเอาผมที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ถึงกับขมวดคิ้วขึ้นทันที

ระดับลูกชายมหาเศรษฐีอย่างป้ากนกเนี่ยนะจะมาขอให้อาจารย์โนเนมอย่างผมไปสอน บ้าหน่า!

“คุณป้ากำลังพูดเล่นผมหรือเปล่าครับเนี่ย”

“คนแก่เขาไม่มานั่งพูดเล่นกันแบบนี้หรอกหรือเราไม่เชื่อว่าป้าพูดจริง” ป้ากนกเอ่ยกลับมาเสียงเรียบพลางจ้องผมกลับ

“เปล่าครับ ผมก็แค่คิดว่าทำไมลูกชายของคุณป้าถึงไม่สนใจไปเรียนตามโรงเรียนสอนภาษาไปเลย”

“ป้าก็ไม่รู้เหมือนกันเห็นเจ้าวินบ่นแต่ว่าอยากจะเรียนกับหนูแฟร์แถมยังวานให้ป้ามาถามเราให้เร็วที่สุดด้วยนะ”

“แล้วไม่ทราบว่าลูกชายของคุณป้าอายุเท่าไหร่ครับ” ผมถามกลับไป จะบอกว่าอยากทำไอ้ผมก็อยากอยู่หรอกเพราะตอนนี้ร่างกายของผมยังไม่ฟื้นตัวดีนักคงต้องหยุดงานที่ทำประจำอยู่หลายวัน แต่ตอนนี้เรื่องที่ผมหนักใจคือไม่รู้ว่าลูกชายของป้ากนกเขามีอะไรกับผมหรือเปล่านี่สิ เพราะปกติคนรวยอย่างพวกเขาไปหาติวเตอร์คิวทองเลยไม่ดีกว่าเหรอ จะมานั่งเหนื่อยขอคนไร้ประสบการณ์แบบผมทำไมกัน แม้ว่าผมจะจบสาขาภาษาอังกฤษมาโดยตรงก็เถอะแต่ดูยังไงเรื่องนี้มันก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี

“ตาวินอายุยี่สิบเรียนปีสามที่มหา'ลัย G เนี่ยแหละ” อยู่มหา'ลัย แล้วด้วยนี่ถ้าอยู่มัธยมผมยังไม่หนักใจเท่านี้เลยนะ

“เออ…คือผมกลัวว่าจะสอนได้ไม่…”

“เถอะนะคิดซะว่าช่วยป้าก็ได้ ลูกคนนี้มันหัวดื้อถ้ารู้ว่าเราปฏิเสธจนแล้วจนรอดป้าก็ต้องแบกหน้ามาอ้อนวอนเราใหม่อยู่ดี” ไม่ทันที่ผมจะบอกปัดคนตรงหน้าก็คว้าเอามือของผมไปกุมเอาไว้พลางขอร้องกลับมาเสียยกใหญ่ คิดจะฉกมือกลับก็ดูกระไรอยู่เพราะเดี๋ยวป้ากนกจะคิดว่าผมรังเกียจเธออีกเป็นแน่ สุดท้ายผมก็ได้แต่เลยตามเลยไปกับเธอก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดบางสิ่งที่ลำบากใจสุดๆ ออกมา

“ตกลงครับ แล้วคุณป้าอยากให้ผมเริ่มเมื่อไหร่”

“เอาตามเราสะดวกเลยแต่เจ้าวินมันกำชับว่ายิ่งเร็วยิ่งดี” ป้ากนกตอบผมกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ยินดีราวกลับได้ยกภูเขาออกจากอกก่อนที่เธอจะปล่อยมือของผมให้เป็นอิสระ

“งั้นเดี๋ยวผมเริ่มสอนพรุ่งนี้เลยแต่คงจะสายสักหน่อยเพราะผมต้องเตรียมเนื้อหาก่อนนะครับ”

“ไม่เป็นไรจ้ะแค่เราตอบตกลงป้าก็ดีใจแล้วเจ้าวินน่ะชอบทำให้ป้าหนักใจแบบนี้อยู่เรื่อย” คนตรงหน้าส่งรอยยิ้มแห้งๆ ให้กับคำพูดของตัวเองก่อนที่เธอจะขอตัวกลับไปทันทีที่หมดธุระ

ผมเดินออกมาส่งแขกคนแรกของวันที่หน้าบ้านก่อนจะหันไปเจอไอ้ตัวร้ายที่นั่งทำหน้าหงิกส่งกลับมาให้ผมอย่างเอาเรื่องเมื่อแขกคนแรกที่ผมเพิ่งจะเดินออกมาส่งหายเข้าบ้านหลังตรงข้ามไปได้เพียงไม่นาน

“ช้าชะมัด!” ลมพ่นคำพูดออกมาก่อนจะลุกเดินตามผมเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางอิดออดราวกับเด็กโดนแย่งขนม

“แล้วใครใช้ให้รอ” ผมพูดพร้อมกับเดินตรงเข้าไปในครัวก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะที่ตรงหน้าเรียงรายไปด้วยอาหารที่พี่นัทอุตส่าห์ทำให้โดยที่อีกฝ่ายยังคงเดินตามเข้ามาอย่างไม่ลดละ

“โธ่…ก็ลมมีเรื่องจะขอให้พี่แฟร์ช่วยอะดิ” สายลมนั่งลงตรงข้ามกับผมก่อนที่มือของเจ้านี่จะหยิบเอาไข่เจียวที่ผมยังไม่ทันได้แตะเข้าปากไปเคี้ยวตุ้ยๆ

ได้ไงกัน! ผมต้องเป็นคนแรกที่ได้ทานมันสิ…สายลมแกคายออกมาเดี๋ยวนี้!!

เฮ้อ…แต่ก็ได้แค่คิดเพราะพอเห็นคนตรงหน้าดูท่าทางเอร็ดอร่อยกับอาหารธรรมดาๆ อย่างไข่เจียวมันก็ช่วยไม่ได้ที่ผมจะลุกแล้วเดินไปตักข้าวใส่จานให้สายลมเหมือนเช่นเคย

“แล้วนี่พี่แฟร์ไปโดนอะไรมาเดินกระเผลกๆ หน้าตาก็อย่างกับโดนรุมกระทืบมายังไงยังงั้น”

“อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะว่าแต่แกเถอะคราวนี้มีเรื่องอะไรให้พี่ช่วยอีกล่ะ”

“พี่ช่วยสอนภาษาอังกฤษให้ผมหน่อยดิคะแนนสอบกลางภาคของผมไม่ดีเลยขืนเป็นแบบนี้มีหวังเอฟแน่ๆ” สายลมบ่นออกมาทันทีที่ผมถามกลับไป

แต่เอ๊ะ! มาขอให้สอนภาษาอังกฤษอีกแล้วเหรอ

“วันนี้มันเป็นวันอะไรหว่า…ทำไมมีแต่คนมาขอพี่ไปสอนภาษาอังกฤษนะ” ผมพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจนักแต่คนตรงหน้าถึงกับขมวดคิ้วขึ้นทันทีที่ได้ยิน

“พี่หมายความว่าไง”

“ก็เมื่อกี้คุณกนกก็เพิ่งจะขอพี่ไปสอนให้ลูกชายของเธอน่ะสิ”

“ลูกชาย! นี่อย่าบอกนะว่าเป็นไอ้วิน!!” คนตรงหน้าตวาดออกมาหลังจากกลืนข้าวลงคอไปได้เพียงเสี้ยววินาที

“แกรู้จักเขาเหรอ”

“หึ! ยิ่งกว่ารู้จักซะอีกมันเป็นรุ่นพี่ลมที่มหา'ลัย แต่…แม่ง! มันจะเรียนไปทำไมในเมื่อเก่งติดหนึ่งในสิบของรุ่นขนาดนั้น!!” สายลมสบถออกมาอย่างเหลืออดทำเอาผมที่ได้แต่นั่งทานข้าวอยู่เงียบๆ รับรู้ได้ทันทีว่าระหว่างมันกับลูกชายเจ้าของบ้านหลังตรงข้ามต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ

“แล้วพี่จะรู้เหรอ” ผมตอบก่อนจะตักข้าวเข้าปากตัวเองคำโต

“ลมไม่ยอมนะ! พี่แฟร์ไปปฏิเสธเดี๋ยวนี้เลย!” คนตัวเล็กลุกขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือของมันมาเขย่ามือผมที่กำลังจะยื่นออกไปเพื่อตักต้มจืดตรงหน้าจนทำให้ช้อนที่ผมถืออยู่ร่วงลงบนโต๊ะ

“แกจะบ้าเหรอลมพี่ตกลงกับคุณกนกเธอไปแล้ว!” ผมขึ้นเสียงให้กับความดื้อด้านของเด็กคนนี้กลับไปก่อนที่มันจะย่อตัวลงนั่งเช่นเดิม

“แต่พี่แฟร์ต้องช่วยลมนะลมไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆ”

“ก็แล้วแกจะให้พี่ทำยังไง”

ผมนั่งจ้องหน้าคนตรงข้ามกลับอยู่สักพักใหญ่แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะคิดอะไรออกทั้งที่มีวิธีตั้งหลายร้อยแปดที่สายลมสามารถหยิบยกขึ้นมาต่อรองกับผมได้ เฮ้อ…เชื่อเลยว่าแกถูกลุงอ้วนตามใจจนเคยชิน! ถึงได้คิดอะไรเองไม่เป็นแบบนี้

“เอางี้สิแกก็ไปเรียนด้วยกันพี่สอนทั้งแกและลูกชายคุณกนกไปพร้อมๆ กันได้” ผมหยิบยื่นข้อเสนอที่ตัวเองคิดออกตั้งแต่สายลมเขย่ามือจนช้อนร่วงกลับไปทำเอาคนที่ได้ยินถึงกับถลึงตาออกมาอย่างไม่เชื่อหู

“ไม่มีทาง! ผมจะไม่มีวันเหยียบเข้าบ้านมันเด็ดขาด!!” สายลมตะโกนออกมาจนสุดเสียง

“ตามใจแก” ผมพูดออกไปก่อนจะลุกเดินหนีเด็กเอาแต่ใจไปล้างจานทันที

“พี่แฟร์!!” สายลมเรียกชื่อผมออกมาอย่างเอาเรื่องพร้อมกับตัวของมันที่ลุกเดินตามผมมาอีกอย่างไม่ยอมแพ้

“พี่มีทางเลือกให้แกแค่นี้ว่ะลมจะไปหรือไม่ไปก็ขึ้นอยู่กับแกแล้ว” ผมหันกลับมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายก่อนจะรีบจ้ำอ้าวเดินผ่านหน้าสายลมเข้าห้องนอนทันทีทั้งที่ตัวเองก็เดินแทบจะไม่ไหว

“พี่แฟร์ใจร้าย!”

“ก็ไม่เคยบอกว่าใจดี!” ผมตะโกนตอบเสียงสายลมที่ดังไล่หลังก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าของมันเดินออกจากบ้านของผมไปในที่สุด

ใครจะว่าผมใจร้ายเหมือนอย่างที่สายลมมันพูดก็ช่าง! แต่ผมช่วยมันได้แค่นี้จริงๆ ลำพังปัญหาของตัวเองก็มากพออยู่แล้วผมไม่อยากที่จะเก็บเอาเรื่องทุกข์ใจของคนอื่นมาคิดให้ปวดสมองเข้าไปอีกหรอกนะ

เห็นใจผมด้วยเถอะ!.....................(มีต่อ)


ออฟไลน์ cheepoke

  • ^_^\/ สู้ๆ ฮู้เล่ๆ
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
    • https://www.facebook.com/BlueGusten.FictionY/


ต่อค่ะ..........



ผมมาสอนภาษาอังกฤษให้กับลูกชายของบ้านหลังตรงข้ามตอนเกือบบ่ายสองโมงได้ แน่นอนว่าเด็กที่สิ้นไร้ข้อโต้เถียงอย่างสายลมก็จำใจเดินตามผมมาต้อยๆ ด้วยเช่นเดียวกัน

เราทั้งสองเดินไปยังศาลาเล็กข้างสระว่ายน้ำสถานที่นัดสอนที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวบ้านของผมเสียด้วยซ้ำก่อนจะพบกับผู้ชายรูปร่างสูงที่นั่งรอพวกเราอยู่ก่อนแล้ว

คำทักทายถูกผมเอ่ยออกไปก่อนที่ฝ่ายนั้นจะเอ่ยคำทักทายกลับมาเช่นกันหากแต่คำทักทายที่มันควรจะดังออกจากปากของคนที่เดินตามผมมาด้วยกลับไม่เป็นไปตามที่ผมคิดเลยแม้แต่น้อย สายลมได้แต่ยืนถอนหายใจอยู่ข้างหลังผมด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับจนผมต้องกระแอมบอกให้เขาทักทาย 'อัศวิน' ลูกชายของป้ากนกคนที่ผมเองก็เพิ่งจะเคยเห็นและรู้จักชื่อเล่นเต็มๆ ของอีกฝ่ายจากสายลมก็วันนี้แหละ แต่จนแล้วจนรอดไอ้เด็กหัวดื้อคนนี้ก็เลือกที่จะไม่ทำตามคำบอกของผมแต่อย่างใด

อัศวินหรือที่คุณกนกมักจะเรียกว่าตาวิน ผู้ชายที่ถูกจัดว่าหน้าตาหล่อเหลาเอาการทำเพียงแค่แสยะรอยยิ้มร้ายและมองผ่านผมไปยังไอ้ตัวแสบข้างหลังก่อนที่ฝ่ายถูกมองจะส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอออกมาอย่างขัดใจ ร่างหนาของเด็กหนุ่มตรงหน้าลุกขึ้นจนเต็มความสูงที่ไม่น่าจะต่ำกว่าร้อยแปดสิบสี่เซนติเมตรพร้อมกับผายมือให้ผมนั่งลงตรงโต๊ะญี่ปุ่นตรงข้ามกับตัวเขาเอง

“ลมว่าพี่แฟร์นั่งตรงนี้ดีกว่า” สายลมที่ดูตะขิดตะขวงใจเพราะได้นั่งข้างๆ อัศวินเอ่ยขอผมเสียงอ่อย

“อย่าเรื่องมากน่าลมนั่งลงเดี๋ยวนี้สายมากแล้วพี่จะได้เริ่มสอนสักที” ผมเอ็ดกลับ

“แต่…”

“กลัวหรือไง” ไม่ทัรที่ลมจะพูดจบน้ำเสียงทุ้งของคนตรงหน้าของผมก็ดังขึ้นก่อนอีกคนที่ตามผมมาจะเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้

“ใครกลัวมึง!”

“หึ! ก็เห็นอยู่ว่ากลัว”

“อย่าพูดหมาๆ แบบนี้นะไอ้วิน!”

“ลม!!!” ผมตวาดสายลมกลับเมื่อร่างเล็กใช้คำหยาบที่ฟังไม่รื่นหูออกมา

“ทำไมพูดจาหยาบคายแบบนั้นขอโทษคุณวินเลยนะ”

“แต่พี่แฟร์! ไอ้วินมันเริ่มก่อนนะ!!” สายลมเถียงคอเป็นเอ็นก่อนที่อัศวินจะชิงพูดขึ้นด้วยท่าทีไม่ยี่หระ

“ไม่เป็นไรหรอกครับผมชินเสียแล้วล่ะกะอี่แค่คำหยาบพื้นๆ แบบนี้ไม่ระคายหูผมเลยสักนิด”

“มึง!!!”

“ลม! ถ้าไม่หยุดก็กลับไปแล้วอย่าหาว่าพี่ใจร้ายก็แล้วกัน” ผมพยายามสงบศึกของคนทั้งคู่ก่อนสายลมที่ดูจะไม่พอใจจะส่งเสียงฮึดฮัดขึ้นมาอย่างเสียอารมณ์พร้อมกับเปิดกระเป๋าและล้วงอุปกรณ์เครื่องเขียนออกมาเพื่อระงับความโกรธเอาไว้หากทว่ากับอีกคนดวงตาคมคู่นั้นยังคงไม่ละจากร่างเล็กไปไหน ทำเอาผมถึงกับแปลกใจเมื่อได้เห็นแววตาของอัศวินที่ใช้มองสายลม

มันดู…ไม่มีแม้แต่ความเกลียดชังผิดกับร่างเล็กของสายลมอย่างสิ้นเชิง

“ต่อไปนี้ผมจะแทนตัวเองว่า 'พี่' ก็แล้วกันนะครับจะได้ง่ายเวลาสอนด้วย” เมื่อทั้งคู่เริ่มเย็นลงผมก็เริ่มการสอนของวันนี้ทันที

“พี่จะแจกแบบทดสอบดูระดับภาษาอังกฤษของพวกนายทั้งสองคนก่อนว่าอยู่ในระดับไหนแล้วต้องเน้นเรื่องอะไรเป็นพิเศษในการติวครั้งนี้ แบบทดสอบมีอยู่แปดสิบข้อพี่ให้เวลาหนึ่งชั่วโมงถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มทำได้”

ทั้งสองคนก้มหน้าทำอย่างว่าง่ายแต่แล้วจู่ๆ สายลมก็เงยหน้ากลับขึ้นมาพร้อมกับพูดเสียงอ่อย

“พะ…พี่แฟร์ผมอ่านโจทย์ไม่ออก”

ผมมองไปยังแบบทดสอบของตัวเองที่ถูกอีกฝ่ายยื่นมาตรงหน้าก่อนจะต้องขมวดคิ้วขึ้นเพราะสายลมยังติดอยู่ที่ข้อหนึ่งไม่ไปไหน

“ข้อนี้แค่ให้เติมประโยคที่เหมาะสมของบทสนทนาเองนะ แกไม่เคยทำข้อสอบหรือไงถึงแม้จะแปลโจทย์ไม่ออกแต่เห็นรูปแบบคำถามแบบนี้แกก็น่าจะเดาได้ว่าเขาต้องการให้เราทำอะไร” ผมบอกกลับไป

“ก็ผมไม่ชอบวิขานี้นี่นาพยายามแค่ไหนมันก็ไม่เข้าหัวเลย” สายลมบ่นอุบอิบ

“อย่าโทษคำว่า 'ไม่ชอบ' เลย มันน่าจะเป็นเพราะ 'โง่' มากกว่าล่ะมั้ง” อัศวินที่ยังก้มหน้าทำส่งคำพูดถากถางขึ้นมาอีกระลอก

“ไอ้วิน!!”

“หยุดเลยลม ตั้งใจทำแบบทดสอบไปไม่ต้องซีเรียสมากหรอกคิดเสียว่าลองภูมิตัวเองก็แล้วกัน” ผมรีบตัดบทก่อนจะเกิดสงครามน้ำลายของทั้งคู่อีกครั้งทันที

เหนื่อยเป็นบ้า!

“คะแนนจากแบบทดสอบพี่จะไม่บอกแต่จะแจกคืนให้ไปดูเอาเองว่ามาตรฐานของตัวเองอยู่ที่เท่าไหร่” ผมพูดเมื่อตรวจแบบทดสอบที่ให้ทั้งคู่ทำเสร็จก่อนจะยื่นกลับไปให้สายลมและอัศวิน

พรึ่บ!

“ไอ้วิน! เอาคืนมานะเว้ย!!” อัศวินฉวยกระดาษในมือของสายลมไปจนเจ้าตัวตะโกนลั่นก่อนที่คนตัวสูงจะพูดจาว่าร้ายออกมาอีกครั้ง

“หึ! ได้แค่สิบสามคะแนน นี่มึงได้คิดก่อนกามั่วมั้ยวะคะแนนเท่านี้ไม่ต้องคิดว่าจะรอดเอฟหรอกว่ะ”

“มันเรื่องของกู เอาคืนมา!” สายลมพยายามแย่งขึ้นจนสุดแขน

“ผมอยากรู้ว่าพี่จะทำยังไงให้คนสมองขี้เลื่อยอย่างไอ้หมอนี่สอบผ่านกันล่ะ” อัศวินหันมาคุยกับผมก่อนที่ผมจะตอบไปเพียงแค่ว่า…

“ตอนนี้ยังคิดไม่ออก”

“พี่แฟร์!” สายลมตะโกนออกมาอย่างนึกอายก่อนที่ร่างเล็กจะฉวยกระดาษแผ่นนั้นมาได้ในที่สุด

“ทำใจไว้รอเอฟได้เลยไอ้น้อง”

“กูจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของกู! มึงไม่มีสิทธิ์มาดูถูกกูแบบนี้!!” สายลมตวาดกลับคำพูดของอัศวินเพียงแค่นั้นก่อนที่คนตัวเล็กจะลุกและเดินจากไปในทันที

“ลมนั่นแกจะไปไหน…ลม…สายลม!!” ผมพยายามตะโกนไล่หลังอีกฝ่ายจนสุดเสียงแต่ดูท่าว่าคนที่เดินจากไปจะไม่ยอมหันมาจนกระทั่งแผ่นหลังเล็กนั้นก้าวข้ามรั้วออกจากบ้านหลังนี้ไปในที่สุด

“ทำไมคุณถึงว่าให้ลมมันขนาดนั้น” ผมหันกลับมาถามอัศวินที่นั่งทำหน้าเรียบนิ่งอย่างนึกสงสัย

“ไม่มีอะไรมากหรอกครับผมก็แค่อยากดัดนิสัยไอ้เด็กดื้อคนนี้เท่านั้นเอง”

“ปกติคุณไม่ใช่คนแบบนี้ใช่มั้ยเท่าที่พี่สังเกตพี่ว่าคุณน่าจะเป็นแบบนี้แค่กับลมคนเดียว”

“จะพูดยังงั้นก็คงจะใช่”

“แล้วนี่มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ”

“เรื่องระหว่างผมกับลมมันค่อนข้างยาวน่ะครับ เอาเป็นว่าที่ผมให้พี่มาติววันนี้ก็เพราะอยากจะแกล้งมันนั่นแหละ” อัศวินพูดก่อนจะเสยผมขึ้นอย่างคิดหนัก

“เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่พี่จะถามเหมือนกัน เพราะคนที่ทำแบบทดสอบของพี่ได้คะแนนเต็มแบบนี้จะหาคนมาติวอีกทำไม” ผมพูดพลางนึกถึงคำตอบของอัศวินในแบบทดสอบที่ไม่ผิดเลยแม้แต่ข้อเดียว

“ผมต้องขอโทษที่เล่นอะไรเป็นเด็กๆ แบบนี้แต่ลมจะไม่เปลี่ยนนิสัยถ้าไม่มีแรงผลักดันจากทางอื่น”

“คุณเลยใช้ตัวเองเป็นแรงผลักดัน?”

“พี่ก็เห็นว่าลมมันเกลียดผมขนาดไหนถ้าถูกคนที่เกลียดดูถูกมากๆ อย่างน้อยๆ มันก็คงมีแรงฮึดขึ้นมาบ้างจริงมั้ยล่ะครับ” ใบหน้าที่เคยเรียบนิ่งกลับเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อพูดถึงร่างเล็กอีกคนจนผมอดถามกลับไม่ได้

“คุณสนใจสายลม?”

“…”

“ไม่ตอบแสดงว่าจริง”

“ไม่ตอบไม่ได้แปลว่าคำตอบคือใช่เสมอไป เรื่องนี้ผมยังหาคำตอบไม่ได้เพราะผมไม่ใช่…” อัศวินหยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้น แต่แค่นี้ผมก็รู้ดีว่าประโกคต่อมาคืออะไร

'เพราะผมไม่ใช่เกย์'

“พี่เข้าใจ อ่ะ! นี่มันกระเป๋าดินสอของลมนี่” ผมตอบก่อนหยิบกระเป๋าที่ถูกยัดไว้ใต้โต๊ะญี่ปุ่นออกมา

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมเอาไปให้มันเอง พี่แฟร์อยู่ทานข้าวเย็นที่บ้านผมก่อนนะครับพอดีวันนี้พี่ชายผมจะกลับบ้านแม่เลยอยากให้อยู่ทานกันหลายๆ คน” อัศวินเอื้อมมือคว้าเอากระเป๋าของสายลมไป

“คงไม่ดีกว่าครับพี่เกรงใจ อีกอย่างพี่เป็นคนนอกให้ครอบครัวทานข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาจะดีกว่า” ผมพยายามปฏิเสธอย่างนุ่มนวลกลับไป

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แม่กำชับผมให้ยื้อพี่แฟร์อยู่ให้ได้ซะด้วยสิถ้ารู้ว่าพี่แฟร์ไม่ยอมแบบนี้มีหวังผมต้องหูชาแน่ๆ”

“เออ…”

“อยู่ทานเถอะครับแม่ผมดูจะชอบพี่เอามากๆ ตั้งแต่เมื่อวานตอนกลับจากคุยกับพี่แล้วท่านก็ไม่หยุดพูดถึงพี่เลย” ผมอึ้งกับสิ่งที่ได้รู้

“เหรอครับ…ว่าแต่คุณวินมีพี่ชาย?”

“ครับผมมีพี่ชายที่อายุห่างกันแปดปี พี่ชันย์เขาไม่ค่อยกลับบ้านหรอกเพราะต้องบริหารบริษัทฯ แทนพ่อ นานๆ ทีถึงจะกลับนี่ขนาดบริษัทฯ ห่างจากบ้านเราแค่ขับรถชั่วโมงเดียวเองนะครับยังกลับครั้งล่าสุดเมื่อปลายปีก่อนเลย” อัศวินสาธยาย

“พี่ของคุณวินเขาคงงานยุ่งล่ะมั้ง”

“ก็คงอย่างนั้นล่ะมั้งครับเพราะเมื่อไหร่ที่แม่โทรไปได้คุยกันจริงๆ จังๆ ยังไม่ถึงห้านาทีผมล่ะไม่อยากจบออกมาแล้วต้องช่วยงานที่บ้านเลย”

“อ้าว พูดอย่างกับมีอย่างอื่นที่อยากทำ” ผมถามกลับ

“ครับผมน่ะอยากเที่ยวไปทั่วทุกมุมโลกที่อยากจะไปเพื่อเอาประสบการณ์เหล่านั้นมาแลกเปลี่ยนและเล่าสู่กันฟังผ่านทางตัวอักษรแบบงานเขียนเสียมากกว่า” อัศวินพูดก่อนที่พวกเราทั้งคู่จะลุกเดินเข้าบ้านของเขาไป

“อยากทำงานเกี่ยวกับงานเขียนแต่ตอนนี้เรียนวิศวะฯ?”

“ก็แค่อยากลองทำอะไรหลายๆ อย่างดูว่าเราจะสามารถทำมันออกได้ดีมากน้อยแค่ไหน การเรียนวิศวะฯ ก็สนุกดีที่ทำให้ได้คิดและแก้ปัญหาทุกวันนี้ผมก็ไม่เสียใจนะที่เลือกเรียนคณะนี้เพราะอย่างน้อยๆ ก็ทำให้ผมรู้ว่ามันเป็นอีกอย่างที่ตัวผมเองก็ทำออกมาได้ดี” คนตัวสูงพูดก่อนจะพาผมเข้าไปพักในห้องรับแขกที่มีป้ากนกนั่งอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว

“อ้าว! ติวกันเสร็จแล้วเหรอจ้ะ” เสียงหวานของคนที่เงยหน้าขึ้นจากการถักนิตติ้งในมือเอ่ยทัก

“ครับพอดีคุณวินแกพอมีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ววันนี้เลยเสร็จเร็ว” ผมตอบป้ากนกกลับไป

“ผมลืมบอกพี่ไปว่าไม่ต้องเรียกผมว่าคุณหรอกครับผมว่ามันฟังดูแปลกๆ” คนบอกส่งรอยยิ้มตรงมุมปากมาให้

“ใช่จ้ะตาวินน่ะเป็นน้องเราตั้งหลายปี” ป้ากนกเสริมก่อนที่อัศวินจะถามถึงพี่ชายของเขากลับไป

“เมื่อไหร่พี่ชันย์จะมาถึงล่ะแม่”

“พี่เขาเพิ่งโทรมาบอกว่ากำลังจะออกจากบริษัทฯ”

“งั้นพี่แฟร์ก็คงต้องรอนานเป็นชั่วโมง”

“หนูแฟร์รอหน่อยนะจ้ะพอดีป้าอยากจะแนะนำลูกชายป้าอีกคนให้รู้จัก อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกันรู้จักกันไว้ยามมีปัญหาจะได้ช่วยเหลือกันได้” ป้ากนกพูดราวกับขอร้องก่อนที่ผมจะทำเพียงนิ้มและตอบรับกลับไป

“เออ…ได้ครับ”

“งั้นผมขอตัวเอาของไปเก็บบนห้องก่อนนะครับ” พูดเสร็จอัศวินก็เดินขึ้นชั้นบนของบ้านไปทันทีทิ้งให้ผมนั่งเป็นเพื่อนแม่ของเขาที่เล่าเรื่องต่างๆ ออกมาอย่างสนุกสนาน

เรื่องราวตั้งแต่สมัยที่เธอยังเป็นสาวรุ่นทำให้ผมหัวเราะและมีส่วนร่วมกับอีกฝ่ายจนลืมไปเลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน

เมื่ออัศวินที่อาบน้ำแต่งตัวเดินลงมาจนถึงห้องรับแขกก็ถึงเวลาทานอาหารค่ำพอดี ป้ากนกเดินจูงมือผมเข้าไปยังห้องอาหารก่อนที่เธอจะจัดแจงที่นั่งให้กับผมที่ได้แต่ยืนทำหน้าไปไม่เป็นเมื่อเห็นขนาดของโต๊ะตรงหน้า

“หนูแฟร์นั่งตรงนี้เลยจ้ะเดี๋ยวสักพักลูกชายอีกคนของป้ามาถึงแล้วค่อยให้นั่งติดกัน” ป้ากนกพูดก่อนจะลากเก้าอี้ตัวที่สามถัดจากหัวโต๊ะออกมา

“จะดีเหรอครับ”

“ดีสิจ้ะป้าว่าหนูแฟร์กับตาชันย์ต้องคุยกันถูกคออย่างแน่นอนเพราะพวกเธอสองคนมีอะไรที่คล้ายๆ กันหลายอย่าง ส่วนตาวินวันนี้ก็นั่งข้างแม่ไปก่อนนะ”

ทั้งสองคนนั่งลงยังที่นั่งของตนก่อนที่ผมจะนึกสงสัยเรื่องบางเรื่องจนรวบรวมความกล้าถามออกไป

“คือ…มีแค่สี่คนเองเหรอครับแล้ว…” ป้ากนกได้ยินดังนั้นก็หน้าเจือนลงไปนิดแต่แล้วเธอก็กลับมายิ้มอีกครั้งและตอบด้วยน้ำเสียงหวาน

“สามีของฉันน่ะเหรอจ้ะ…แกเสียไปนานแล้ว”

“ผมขอโทษครับที่ถามคือผมไม่ได้ตั้งใจ!” ผมละล่ำละลักคำขอโทษออกมาเป็นพัลวันจนป้ากนกเผลอหัวเราะท่าทีของผมออกมาเบาๆ

“ไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะเรื่องมันผ่านมานานแล้ว”

“เอ่อ…เสียใจด้วยนะครับ” ผมว่าพลางก้มหัวลงอย่างนึกเสียใจที่พลั้งถามคำถามโง่ๆ นี้ออกไปก่อนเสียงเครื่องยนต์ที่แล่นเข้ามาจะฉุดเอาความสนใจของป้ากนกไปทันที

“อ่ะ! พี่แกมาถึงแล้วล่ะตาวิน” ป้ากนกดูจะดีใจมากที่วันนี้ลูกชายของเธอจะมาทานข้าวที่บ้านจนผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับท่าทีของเธอ

เราทั้งสามคนรอการมาของลูกชายคนโตของบ้าน ก่อนที่เสียงเดินจะดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดผู้ชายรูปร่างสูงที่แต่งตัวด้วยชุดสูทสีดำแสนจะภูมิฐานก็เดินเข้ามาในห้องอาหารเป็นที่เรียบร้อย

ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อผู้ชายที่เดินเข้ามาคือคนเดียวกับผู้ชายที่จับตัวผมไปในคืนนั้น!! สายตาคมดุจเหยี่ยวที่มองมาทางผมอย่างเย้ยหยันทำให้รู้สึกอยากหลีกหนีอย่างช่วยไม่ได้ก่อนที่ป้ากนกจะลุกและพาเขาเดินมานั่งลงบนที่นั่งข้างๆ ผม

“นี่ราชันย์ลูกชายคนโตของป้าจ้ะ…ส่วนนี่หนูแฟร์เพื่อนบ้านหลังตรงข้ามของเรา”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณ 'แฟร์'” เมื่อการแนะนำตัวจบลงคนข้างๆ ก็ยื่นมือออกมาตรงหน้าผมพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบหากทว่าสายตาของเขากลับบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังหัวเราะเยาะผมอยู่ในใจ

“…”

“เป็นอะไรหรือเปล่าจ้ะหนูแฟร์ทำไมหน้าซีดแบบนั้น” ป้ากนกถามออกมาเมื่อผมได้แต่นั่งเกร็งและไม่ยอมจับมือลูกชายคนโตของเธอกลับ

“เปล่าครับพอดีผมปวดท้องนิดหน่อย” ผมโกหกเธอกลับไป

“ปวดมากหรือเปล่าทานยาก่อนมั้ย”

“ไม่เป็นไรครับคุณป้า” ผมปฏิเสธก่อนที่คนข้างๆ จะถามผมด้วยคำพูดที่ดูเหมือนมีเลศนัยกลับมา

“ปวดท้องเพราะทานของแสลงหรือปวดเพราะโดนใครทำอะไรมาล่ะครับคุณแฟร์”

ผมกัดฟันกรอดพลางมองหน้าผู้ชายที่ชื่อราชันย์กลับ ใบหน้าที่แสดงความไม่ยี่หระและสายตาเย้ยหยันแกมสมเพชทำให้ผมต้องกำหมัดตัวเองเอาไว้อย่างข่มอารมณ์

“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะตาชันย์ พอๆ ถ้าหนูแฟร์ไม่เป็นอะไรแล้วพวกเรามาทานข้าวกันดีกว่านะ ป้าจิตตักข้าวเลยจ้ะ”

ป้ากนกเลือกยุติบทสนทนาทั้งหมดก่อนจะวานแม่บ้านที่ยืนอยู่ไม่ไกลตักข้าวในขณะที่ผมและราชันย์ยังคงจ้องกันกลับไปมาไม่ยอมหยุด!

บรรยากาศภายในโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างน่าอึดอัด ผมที่ตักข้าวขึ้นทานเพียงไม่กี่คำรู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกทั้งก่อนที่ป้ากนกจะหาเรื่องคุยขึ้นมาเพราะเห็นว่าภายในห้องเงียบจนเกินไปสำหรับมื้ออาหารมื้อนี้ทันที

“งานที่บริษัทฯ เป็นไงบ้างลูก” คนถามเงยหน้ามองราชันย์ที่นั่งข้างๆ ผมกลับ

“ก็เรื่อยๆ ครับหนักบ้างเบาบ้างปนเปกันไปเป็นเรื่องธรรมดา”

“ผ่อนๆ ลงบ้างก็ได้ลูกโหมงานแบบนี้เมื่อไหร่จะมีภรรยาให้แม่กับเขาซะที” พูดเสร็จป้ากนกก็ยิ้มกริ่มอย่างนึกขำลูกชายตัวเองก่อนที่ราชันย์จะวางช้อนลงและหันมาทางผมพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“แม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับเพราะถ้าผมอยากได้ภรรยาเมื่อไหร่มันไม่ยากที่จะ 'จับ' พวกเธอให้อยู่หมัดหรอกครับ”

เกร้ง!

“เป็นอะไรหรือเปล่าจ้ะ” ป้ากนกเอ่ยถามผมเมื่อจู่ๆ ช้อนและส้อมในมือของผมร่วงลงบนจานข้าวจนเกิดเสียงดัง

“ปะ…เปล่าครับ” ผมบอกปัดก่อนจะลดมือที่กำลังสั่นเทาเพราะคำพูดของราชันย์เมื่อกี้ลงใต้โต๊ะ

“ตาชันย์ก็อีกคนพูดอย่างกับว่าผู้หญิงดีๆ เขามีให้จับได้ถมเถแหนะ” ป้ากนกแซวราชันย์กลับก่อนที่ผมจะตัดสินใจลุกยืนขึ้นเมื่อทนไม่ได้อีกต่อไป

“เอ่อ…ผมขอขอบคุณคุณป้าสำหรับมื้ออาหารนี้มากๆ นะครับแต่พอดีผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระที่ต้องไปทำต่อขอตัวก่อนนะครับ” พูดเสร็จผมก็ยกมือไหว้คนเป็นเจ้าของบ้านก่อนจะรีบจ้ำอ้าวออกมาทันที

“จะรีบไปไหน!” เสียงหนึ่งดังไล่หลังมาในขณะที่ผมเกือบจะเดินจนถึงประตูรั้วที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าวอยู่แล้ว

เสียงที่บ่งบอกได้ทันทีโดยไม่ต้องหันกลับไปมองต้นตอให้เสียเวลาฉุดให้ผมรีบสาวเท้าอย่างไวไปยังประตูรั้วทันที

พรึ่บ!

“โอ้ย! ผมเจ็บนะ!!” มือหนาของคนที่ตามออกมาฉวยข้อมือของผมไปกำเอาไว้แน่นก่อนจะกระชากเข้าหาตัวอย่างไม่ออมแรง

ผมมองใบหน้าที่ถูกฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มลวงโลกนั่นก่อนจะพยายามดิ้นให้หลุดจากคนตรงหน้าอย่างสุดกำลัง

“ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ!!”

“หึ! ไม่ดีใจหน่อยเหรอที่มึงกับกูเจอกันอีก” คนถามโน้มตัวลงมาเสียจนใบหน้าของเขาห่างจากใบหน้าของผมเพียงไม่กี่เซ็นฯ

“…”

“ไม่ตอบใช่มั้ย?”

“…” ผมยังคงเงียบและเบือนหน้าไปทางอื่นก่อนที่คนตรงหน้าจะจัดการเอื้อมมือขึ้นมาบีบคางของผมเอาไว้แน่นพร้อมกับทาบริมฝีปากลงมาอย่างป่าเถื่อน

“อื้อออ!!!” ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อไม่ทันได้ตั้งตัวก่อนจะออกแรงพยายามผลักไสอีกคนให้พ้นตัวอย่างบ้าคลั่ง!

สัมผัสที่ไม่ต้องการทำผมเจ็บแสบเมื่อเรียวปากของคนตัวสูงขบเม้มดูดดึงริมฝีปากของผมจนห่อเลือด ผมพยายามเม้มริมฝีปากของตัวเองเอาไว้ก่อนแรงบีบที่คางจะถูกเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจนต้องเผยอปากร้องออกมาในที่สุด

ราชันย์ได้ทีส่งลิ้นร้อนของเขาเข้ามาเกี่ยวรัดกวาดต้อนลิ้นของผมอย่างผู้ชำนาญ สัมผัสหยาบโลนเกินจะต้านไหวจนผมรู้สึกเข่าอ่อนขึ้นมาทันใดก่อนคนที่เริ่มการกระทำเลวๆ จะดูดเรียวลิ้นของผมจนเกิดเสียงน่าอายและยอมผละออกไปในที่สุด

“ทำบ้าอะไร!!” ผมตวาดกลับลั่นเมื่อกอบโกยเอาอากาศเข้าจนเต็มปอด

“ปากมึงยังง้างให้พูดยากเหมือนเดิม” ราชันย์แสยะยิ้มอย่างนึกสมเพชก่อนที่ผมจะด่าคำพูดที่ไม่เคยหลุดออกจากปากตัวเองออกไป

“เลวที่สุด!”

“ขอบคุณที่ชม” คนโดนว่าตอบอย่างไม่สะทก

ผมกัดฟันกรอดอย่างโกรธแค้นก่อนจะอาศัยช่วงที่อีกคนเผลอผลักแผงอกแกร่งออกไปให้พ้นตัวพร้อมกับตามด้วย!...

หมับ!

หมัดของผมที่หมายจะส่งมันเข้ากระทบกับหน้าของอีกฝ่ายถูกราชันย์จับเอาไว้อย่างรู้จังหวะ มือหนาบีบกำปั้นของผมจนมันร้าวไปทั้งมือ

“คิดว่ากูจะยอมให้มึงต่อยเป็นครั้งที่สอง? ฝันไปเถอะ!” แรงบีบเพิ่มขึ้นจนผมต้องกัดฟันร้องออกมาอย่างสุดจะต้าน

“ผมเจ็บ!! คุณทำแบบนี้กับผมทำไม!”

“แล้วครั้งก่อนไอ้ตัวไหนมันกล้าต่อยกูล่ะหืม”

“มันก็สมควรแล้วนี่ที่จริงโดนแค่นั้นมันยังน้อยไปด้วยซ้ำเป็นไปได้ผมอยากจะฆ่าคุณให้ตายซะมากกว่า!!” ผมด่ากลับก่อนราชันย์จะปล่อยมือผมให้เป็นอิสระและตะคอกขึ้นอย่างท้าทาย

“หึ! ฆ่าสิถ้ามึงกล้าแต่ถ้าฆ่าแล้วกูไม่ตายมึงก็อย่าหวังว่าจะรอด!”

“!!”

ผมชะงักกับใบหน้าที่ดูจริงจังขึ้นของอีกฝ่ายจนตัวสั่นก่อนจะตัดสินใจหันหลังกลับเพราะไม่อยากอยู่เพื่อต่อกลอนกับคนแบบเขาอีกต่อไป

แค่ผมไม่คิดที่จะเอาเรื่องเขาในคืนนั้นมันก็ดีแค่ไหนแล้ว!

“เดี๋ยว!” เสียงที่ดังไล่หลังมาฉุดให้ผมชะงักเท้าที่เพิ่งจะก้าวออกมาได้เพียงไม่กี่ก้าวลง

เสียงฝีเท้าจากคนข้างหลังที่ดังใกล้เข้ามาทำให้ผมกระชับสายของกระเป๋าสะพานข้างเอาไว้แน่นก่อนที่ราชันย์จะหยุดเดินพร้อมกับเอี้ยวตัวโน้มลงมาเอ่ยคำพูดข้างๆ หูของผมราวกับจะหมายหัว

“มึงต้องได้เจอกูอีกแน่เตรียมใจไว้ได้เลย” พูดเสร็จเสียงฝีเท้าที่ดังไกลออกไปทำให้ผมที่เผลอกลั้นหายใจเอาไว้ชั่วขณะปลดปล่อยลมออกมาราวกับคนโล่งอกจนทั่วปอด

ผมหันกลับไปมองตามแผ่นหลังนั้นด้วยความไม่เข้าใจ เพียงเพราะถูกผมต่อยจึงทำให้เขาอาฆาตผมถึงขนาดเลยยังงั้นเหรอ ความจริงมันควรเป็นผมกว่ามั้ย!? ที่ต้องรู้สึกแบบนั้น!

เมื่อมองหาเหตุผลไม่เจอผมจึงพยายามสลัดเรื่องพวกนี้ออกไปก่อนจะตัดสินใจหันหลังและเดินกลับไปยังบ้านของตัวเองทันที

[End Fair’s Part]


TBC...
--------------------------------------------

อ่านแล้วเม้นท์ๆ บอกกันด้วยนาาาาาาา
เพื่อเป็นไฟให้กิ่งนิสสสนึง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เราก็หาเหตุผลไม่เจอเหมือนกันแฟร์ สงสัยชันย์เป็นโรคจิต หึหึ

ออฟไลน์ som

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +230/-2
หึหึ  เมื่อถึงวันนั้น  ซึ่งคิดว่าอีกไม่นาน  คงจะมีแต่ความขมขื่นมาสู่คุณนะครับคุณจอมราชันย์ 

ออฟไลน์ cheepoke

  • ^_^\/ สู้ๆ ฮู้เล่ๆ
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
    • https://www.facebook.com/BlueGusten.FictionY/


CHAPTER 5



ร่างบางของแฟร์ออกอาการเบื่อหน่ายเพราะต้องอยู่บ้านเฉยๆ มาเป็นอาทิตย์ บาดแผลที่ถูกกระทำจากเหตุการณ์ลักพาตัวในคืนนั้นหายดีจนแทบจะไม่เหลือทิ้งร่องรอยให้เจ็บช้ำ นัทที่แวะเวียนมาหายังคงยืนยันคำเดิมว่าให้เขาอยู่เพื่อรักษาตัวให้หายดีและไม่ยอมให้แฟร์ออกไปทำงานหากไม่ได้รับอนุญาตจากอีกฝ่าย ทำให้เวลานี้ร่างบางได้แต่กระหน่ำกดรีโมทเพื่อเปลี่ยนช่องของทีวีขนาดยี่สิบนิ้วตรงหน้าแทน

วันเวลาที่แสนจะยาวนานผ่านไปจนกระทั่งล่วงเลยเข้าสู่ช่วงบ่ายคล้อย อุณหภูมิภายในบ้านของคนตัวเล็กที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้แฟร์ลุกขึ้นปิดทีวีก่อนจะหอบเอาร่างกายที่ท่วมไปด้วยเหงื่อเดินเข้าไปในห้องนอนพร้อมกับหิ้วคอพัดลมเครื่องเล็กที่ซื้อมาใช้ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วออกมาเปิดคลายร้อนก่อนที่โทรศัพท์บนโต๊ะเล็กหน้าโซฟาจะแผดเสียงร้องขึ้นเพื่อให้เจ้าของรับรู้ว่ามีคนติดต่อเข้ามา

“ครับ” ร่างบางกรอกเสียงลงไปอย่างไม่เต็มใจนักเพราะเบอร์ที่โชว์หลังจากที่เขาหยิบโทรศัพท์เครื่องนี้ขึ้นดูกลับเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเลยสักนิด

[นั่นใช่เบอร์ของแฟร์หรือเปล่าครับ] ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบ

“ครับกำลังพูดอยู่”

[แฟร์! กูเองนะ!]

“…” แฟร์ทำหน้าฉงนก่อนจะยกหูออกและจ้องไปยังเบอร์โทรที่แสดงบนหน้าจออีกครั้งแต่สุดท้ายร่างบางก็ไม่รู้ว่าปลายสายเป็นใครอยู่ดี

[แฟร์มึงลืมกูไปแล้วเหรอ] ปลายสายถามเสียงอ้อน

“นั่นใครครับ”

[กูเพิ่งจากมึงไปแค่สองปีจำกูไม่ได้ละ!?]

“ถ้าคุณไม่บอกว่าเป็นใครผมก็คงต้องวางสาย”

[กูภีมไง!]

แฟร์ที่ทำท่าว่าจะวางสายจริงอย่างที่บอกชะงักมือไว้เมื่อได้ยินเสียงจากอีกฝั่งที่ตะโกนออกมาก่อนที่ร่างบางจะแนบโทรศัพท์เข้ากับหูอีกครั้งพลางถามออกไป

“ใครนะ?”

[ภีมไง! ภีม! เพื่อนมึงอะ]

“ภีม?”

[ก็เออน่ะสินี่มึงลืมกูไปแล้ว?] ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงน้อยใจจนร่างบางทางฝั่งนี้นึกขึ้นได้และตะโกนกลับไปอย่างดีใจ

“เฮ้ยภีม! มึงกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

[กูกลับมาได้เดือนกว่าแล้วไอ้หอกหัก!]

“จะด่ากูเพื่อ?”

[ก็มึงเล่นจำกูไม่ได้นี่นา]

“มึงมัวแต่ลีลานี่หว่าแล้วตอนนี้มึงอยู่ไหน” แฟร์ถามเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหา'ลัยที่หายหน้าไปเพราะได้ทุนไปเรียนไกลถึงอเมริกากว่าสองปี

[กูเพิ่งเริ่มงานได้สามวันว่ะตอนนี้กำลังเข้าห้องน้ำคิดถึงมึงพอดีเลยโทรหา]

“แม่ง! ชอบโทรหากูตอนเข้าห้องน้ำทุกที” แฟร์ยิ้มกว้างเมื่อนิสัยชอบโทรหาเขาตอนเข้าห้องน้ำของอีกฝ่ายไม่เคยเปลี่ยน

[เออน่า…มึงสบายดีนะกูว่าจะโทรหาตั้งแต่กลับมาแล้วแต่ต้องจัดการเอกสารหลายอย่างเลยไม่มีเวลา]

“กูสบายดีแล้วมึงล่ะ”

[กูก็โอเค]

“ไว้วันหลังนัดกันสิกูอยากเจอมึง” แฟร์เสนอความคิดก่อนที่ปลายสายจะไม่ขัด

[ที่กูโทรมาก็เพราะอยากจะชวนมึงเหมือนกันมึงว่างวันไหนล่ะ]

“ความจริงตอนนี้กูก็ว่างทุกวัน”

[อ้าว! มึงไม่ทำงาน?]

“ทำ…แต่พอดีมีปัญหานิดหน่อยกูเลยเหมือนคนถูกพักงานเลยว่ะตอนนี้”

[แล้วมึงทำงานที่ไหน] ปลายสายถามขึ้นอย่างสงสัย

“มึงจำพี่นัทพี่สาขาเราได้เปล่า?”

[คนที่เข้ามาจีบมึงอะนะจำได้ดิ]

“กูเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้น้องเขาว่ะพอดีน้องชายเขาเป็นดารา”

[โอโห้! เพื่อนกูนี่ร้ายไม่เบา] ภีมแซวกลับก่อนร่างบางทางฝั่งนี้จะสังเกตเห็นรถสีแดงสดเคลื่อนเข้าจอดตรงหน้าบ้าน

“พูดมากว่ะเอาเป็นว่าถ้ามึงคิดออกค่อยโทรมาบอกกูแล้วกันพอดีกูมีแขก” แฟร์เอ่ยก่อนจะส่งยิ้มให้นัทที่เดินผ่านประตูรั้วเข้ามาในบ้านของเขา

[เออๆ เดี๋ยวกูหาวันได้แล้วจะโทรบอก]

“ได้ๆ”

[อย่าลืมเมมเบอร์กูด้วย!]

“เออน่า…แค่นี้นะ” แฟร์กดวางสายก่อนนัทที่ถือถุงพลาสติกมาจนเต็มมือจะเอ่ยถามขึ้น

“คุยกับใครอยู่เหรอ”

“ภีมน่ะครับเพื่อนแฟร์สมัยเรียน” แฟร์ตอบก่อนจะเดินตามนัทที่เข้าไปในครัวเพื่อวางของที่ซื้อมาลงบนโต๊ะ

“ใช่น้องภีมสาขาเราหรือเปล่า”

“ครับมันไปเรียนต่ออเมริกาเห็นว่ากลับมาได้เดือนกว่าแล้ว” ร่างบางมองอาหารที่อีกคนซื้อมาก่อนจะถามขึ้นอีก

“แล้วนี่พี่นัทซื้ออะไรมาตั้งเยอะแยะ”

“ทานข้าวกลางวันหรือยังล่ะเรา”

“แหะๆ ยังเลยครับ”

“งั้นดีเลยเพราะพี่ก็กะจะซื้ออาหารพวกนี้มาทานกับแฟร์เหมือนกัน” นัทว่าก่อนจะเทแกงเขียวหวานของชอบของแฟร์ใส่ชาม

“คราวหลังไม่ต้องลำบากพี่นัทก็ได้นะครับ แฟร์หาทานเองได้เกรงใจพี่นัทเปล่าๆ” แฟร์พูดขึ้นอย่างหนักใจ

“จะลำบากมากกว่านี้อีกถ้าแฟร์มัวแต่เกรงใจพี่แบบนี้” นัทว่าก่อนจะจับไหล่ร่างบางให้เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตรงหน้าเต็มไปด้วยอาหารที่เขาซื้อมามากมาย

แฟร์ยิ้มอย่างเขินอายเมื่ออีกฝ่ายที่นั่งลงตรงข้ามกับเขาตักแกงเขียวหวานของชอบใส่ลงบนจานข้าวของเขา

“หายดีหรือยัง”

“ครับ?”

“แผลของเราน่ะหายดีหรือยัง” นัทเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อร่างบางเงยหน้าออกจากจานข้าวอย่างสงสัย

“หายตั้งนานแล้วล่ะครับพร้อมทำงานแล้วด้วย” แฟร์ฉีกยิ้มกลับ

“แล้วจะบอกพี่ได้หรือยังว่าเราไปโดนอะไรมาแผลเยอะขนาดนั้นไม่ใช่แค่หกล้มเหมือนที่แฟร์บอกพี่แน่ๆ” นัทคั้นถามร่างบางด้วยคำถามที่เขามักจะเอ่ยออกมาเสมอหากมีเวลามาเยี่ยมอีกฝ่ายตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา

“…”

“บอกพี่จะได้มั้ย”

“พอดีไปมีเรื่องกับนักเลงมานิดหน่อยน่ะครับ” ร่างบางโกหกกลับไปไม่เต็มเสียง

“ที่ไหน!? แล้วทำไมไม่บอกพี่ให้เร็วกว่านี้!!” ร่างสูงขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะตอบกลับทันควัน

“แค่เรื่องเข้าใจผิดกันน่ะครับอีกอย่างแฟร์ก็เคลียร์กับเขาเข้าใจแล้วด้วยพี่นัทไม่ต้องห่วงนะ” ร่างบางพยายามบอกร่างสูงตรงหน้ากลับก่อนที่นัทจะถอนหายใจให้กับนิสัยชอบเก็บปัญหาไว้แก้เองของแฟร์อออกมาอย่างเสียไม่ได้

“แล้วที่แฟร์บอกกับพี่ว่าพร้อมทำงานแล้วน่ะแน่ใจใช่มั้ย” ร่างสูงเปลี่ยนเรื่องคุยทันทีเมื่อเห็นแฟร์เอาแต่ก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด

“ครับ”

“พอดีตอนนี้นนท์มันเพิ่งรับงานถ่ายแบบกับโฆษณาสินค้ามาตัวนึงถ้าแฟร์โอเคพรุ่งนี้ก็กลับไปทำงานได้เลยนะ”

“ครับ! แฟร์จะไป” ร่างบางขานรับด้วยความดีใจถึงขีดสุดก่อนที่นัทจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงน้อยใจ

“ดีใจเหลือเกินนะไม่อยากให้พี่มาหาที่บ้านบ่อยๆ ก็บอกมาเถอะ”

“ไม่ใช่สักหน่อย!” แฟร์ปฏิเสธคำพูดของร่างสูงลั่น ร่างบางไม่เคยมีความคิดนั้นเลยสักนิดเพียงแต่ที่แสดงท่าทีออกไปถึงขนาดนั้นเพราะดีใจที่ไม่ต้องอยู่บ้านเฉยๆ อีกต่อไปต่างหาก

“ฮ่าๆ พี่แค่แซวเล่นถึงแฟร์ไม่อยากให้มายังไงก็ห้ามใจพี่ที่คิดถึงเราไม่ได้หรอก” เมื่อร่างบางติดกับนัทจึงทำการหยอดคำหวานกลับไปทันทีทำเอาแฟร์ถึงกลับหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะเอาแต่ก้มหน้าเขี่ยข้าวในจานไปมาอย่างขวยเขิน

“เลิกพูดแบบนี้เถอะครับ”

“ก็พี่รู้สึกแบบนั้นจริงๆ นี่” นัทไม่วายยื่นมือออกไปกุมมือเล็กที่ใช้จับช้อนเขี่ยข้าวตรงหน้าก่อนที่ร่างบางจะเงยหน้าสบตากับเขานิ่ง

“แต่แฟร์ไม่ชิน”

“พี่ก็พยายามทำให้เราชินอยู่นี่ไงจีบยากจนพี่จะเฉาตายอยู่แล้วนะ”

“…” ร่างบางกัดริมฝีปากล่างอย่างฉุกคิด

ใช่ว่าเขาเป็นคนจีบยากซะเมื่อไหร่ แต่ที่เขาไม่สามารถรับนัทเข้ามาในชีวิตได้ในตอนนี้มันเป็นเพราะเรื่องฐานะและความเหมาะสมต่างหากล่ะ ทั้งที่ใจของเขาเป็นของร่างสูงคนตรงหน้าไปตั้งนานแล้ว

“โอเคๆ ถ้าแฟร์ลำบากใจต่อไปนี้พี่จะไม่พูดอีกทานข้าวกันเถอะเดี๋ยวแกงจะเย็นหมดซะก่อน” ร่างสูงตัดสินใจพูดออกมาเมื่อเห็นท่าทีที่ดูเคร่งเครียดอย่างมากของอีกฝ่ายจนเขาอดที่จะไม่สบายใจไม่ได้

แฟร์ถอนหายใจพลางยกช้อนในมือขึ้นและเอื้อมออกไปตักยำหมูยอเมนูง่ายๆ ที่นัทชอบใส่ในจานของอีกฝ่าย ร่างสูงมองตามการกระทำของคนตรงหน้าก่อนจะยกยิ้มกว้างพลางตักแกงเขียวหวานให้อีกฝ่ายกลับ ทั้งคู่พลัดกันตักกับข้าวที่อีกฝ่ายชอบให้กันไปมาโดยไม่มีใครพูดอะไรอีกเลยหากแต่บรรยากาศภายในโต๊ะอาหารกลับอบอวลไปด้วยความสุข…ความสุขที่พวกเขาใช้การกระทำเพื่อสร้างมันขึ้นมากกว่าคำพูดที่พอฟังจบแล้วอาจจะหายไปตามกาลเวลา




แฟร์มาถึงที่ทำงานก่อนเวลาเพื่อประสานงานกับฝ่ายต่างๆ เพราะร่างบางพักงานไปค่อนข้างนานจึงทำให้พวกตารางเวลาหรือข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวกับงานในครั้งนี้อยู่ในมือของเกดช่างแต่งหน้าประจำตัวของชานนท์เสียเป็นส่วนใหญ่

ร่างบางที่เดินออกไปดูสถานที่กลับเข้ามาในห้องแต่งตัวอีกครั้งเมื่อถูกชานนท์โทรตามเพราะอีกฝ่ายได้มาถึงที่หมายเป็นที่เรียบร้อยแล้วก่อนคนที่เปรียบเสมือนน้องชายจะเริ่มปริปากถามขึ้นทันทีที่เขาเข้าไปถึง

“พี่แฟร์หายไปไหนมารู้มั้ยว่านนท์ถามพี่นัทจนปากจะฉีกอยู่แล้วก็ไม่ยอมบอก” ดาราหนุ่มทำท่ากระเง้ากระงอด

“พอดีพี่ไม่สบายน่ะนนท์”

“แล้วทำไมพี่ไม่บอกอะไรนนท์เลยล่ะนนท์จะได้ไปเยี่ยม”

“ไม่ต้องหรอกพี่ไม่ได้เป็นอะไรมากขนาดนั้น” แฟร์พยายามปฏิเสธก่อนจะเดินไปเช็คเสื้อผ้าที่จะถูกใช้ในการถ่ายแบบวันนี้

“ไม่เป็นอะไรมากแต่หยุดงานไปเป็นอาทิตย์เนี่ยนะ เหอะ! นนท์ไม่เชื่อ”

“กลับมาทำแล้วนี่ไงหายโกรธยัง? เอาเป็นว่าวันไหนที่พี่ไม่สบายอีกพี่จะบอกให้นนท์ไปเยี่ยมพร้อมของติดไม้ติดมือสักพันสองพันดีมั้ย”

“สำหรับพี่แฟร์เป็นหมื่นเป็นแสนนนท์ก็ให้ได้” คนเป็นน้องชายสวนกลับทันควัน

“ไอ้เด็กขี้ตู่” แฟร์ว่าชานนท์จนอีกฝ่ายเดินเข้ามากอดตัวเองใหญ่

“จริงๆ นะก็นนท์รักพี่แฟร์นี่นา”

“พอเถอะขนลุก!” ร่างบางบอกดาราหนุ่มที่ตัวเล็กพอๆ กันพร้อมกับพยายามแกะมือของอีกฝ่ายที่เหนียวราวกับกาวชั้นดีออกก่อนที่เสียงของพวกสตาร์ฟข้างนอกจะดังเล็ดลอดมาถึงในห้อง

'ต๊าย!~ ร้อยวันพันปีฉันไม่เคยเห็นคุณราชันย์ย่างกรายเข้ามาดูการถ่ายแบบเลยสักครั้ง!'

'จริงสิแก!! ไม่รู้วันนี้ลมอะไรหอบมาถึงนี่ถึงได้เข้ามายืนเอาความหล่อมาอวดพวกเราแบบนี้'

'ฉันยังไม่เห็นตัวจริงเลยนะเคยแต่ได้ยินกิตติศัพท์ความเท่ห์พอมาเจอตัวเป็นๆ อย่างนี้อยากขอเป็นคนร่วมชีวิตเลยอะแก*!!'*

ร่างบางขมวดคิ้วพลางเหงื่อก็เริ่มชื้นขึ้นมาบนใบหน้าหวานอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อชื่อหนึ่งที่ดังผ่านกำแพงไม้อัดบางๆ เข้ามากลับเป็นชื่อเดียวกับคนที่ได้ทำเรื่องไม่น่าให้อภัยกับเขา

“ข้างนอกเขาเอะอะอะไรกันเราออกไปดูหน่อยมั้ยพี่แฟร์”

“…”

“พี่แฟร์ๆ...พี่แฟร์!” นนท์เขย่าแขนเรียกอีกคนที่นิ่งลงราวกับถูกดึงสติก่อนที่ร่างบางจะรู้สึกตัวและถามกลับ

“หา! อะ อะไรนะ”

“เหมือนจะมีใครมาเราออกไปดูกันหน่อยมั้ยไม่แน่เขาอาจเป็นเจ้าของงานวันนี้ก็ได้”

“พี่ว่าไม่ต้องหรอกเรามาแต่งตัวกันเถอะ” แฟร์พยายามดึงความสนใจของอีกฝ่ายกลับ

“ยังเหลือเวลาอีกตั้งเยอะออกไปดูหน่อยเถอะนะๆ” นนท์คะยั้นคะยอจนแฟร์ที่หันหลังให้เพราะไม่อยากออกไปใจอ่อนยอมเดินตามอีกคนไปในที่สุด

ร่างเล็กของนนท์เปิดประตูห้องแต่งตัวก่อนจะปะทะเข้ากับแผงอกแกร่งของใครอีกคนอย่างจังจนเกิดเสียงดัง พลั่ก!

ดาราหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่พลางเงยหน้าขึ้นมองคู่กรณีที่ก้มหน้าลงมาเพื่อใช้ดวงตาคมมองตัวเองอยู่ก่อนหน้าแล้วอย่างนึกขอโทษ

“ขอโทษครับผมไม่ได้ตั้งใจ” นนท์กล่าวขอโทษก่อนแฟร์ที่ยืนอยู่ด้านหลังจะตัวชาวาบขึ้นทันทีเมื่อบุรุษเพศที่ยืนตรงหน้าคือราชันย์ชายหนุ่มผู้สร้างฝันร้ายให้กับเขา!

“ไม่เป็นไร” ราชันย์เอ่ยกลับหากทว่านัยน์ตาสีดำคู่นั้นกลับจ้องผ่านตัวชานนท์ไปยังอีกคนที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ข้างหลังเสียมากกว่า

“คุณ…?”

“ผมราชันย์”

“สวัสดีครับผมชานนท์หรือจะเรียกว่านนท์เฉยๆ ก็ได้คุณเองก็น่าจะรู้จักผม” ร่างเล็กของดาราหนุ่มยื่นมือออกไปก่อนที่ร่างสูงอีกคนจะไม่ขัดศรัทธาด้วยการยื่นมือของตัวเองออกมาจับเอาไว้สร้างความไม่พอใจให้แฟร์เป็นอย่างมากเพียงแต่ร่างบางก็ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากยืนดูการกระทำของผู้ชายกักขฬะคนนี้อยู่เงียบๆ

“ผมเองก็เพิ่งจะรู้จักตัวจริงของคุณก็วันนี้” เสียงทุ้มเน้นประโยคจนแฟร์ชะงักกึก

“อ้าว! ไอ้แฟร์” ไม่ทันได้ลมออกหูเสียงของผู้มาใหม่ที่เพิ่งจะวิ่งตามราชันย์เข้ามาก็ดังขึ้นก่อนที่ร่างบางจะผละสายตาจากภาพตรงหน้าและหันไปยังต้นตอ

“ภีม!” แฟร์ตะโกนออกมาอย่างดีใจเมื่อเพื่อนสนิทที่ไม่เจอมานานปรากฏตัวขึ้นภายหลังที่พวกเขาเพิ่งจะคุยโทรศัพท์กันไปเมื่อวาน

“มึงมาที่นี่ได้ยังไง” ภีมถามก่อนจะเข้าไปคว้ามือแฟร์มากุมเอาไว้จนร่างสูงที่มองอยู่ถึงกับขมวดคิ้วสงสัย

“กูมาทำงานมึงล่ะ”

“กูก็มาทำงะ…เอ่อขอโทษครับคุณราชันย์คือพอดีผมไม่ได้เจอเพื่อนมานาน” ภีมหันไปหาคนเป็นเจ้านายเมื่อนึกขึ้นได้ว่าในนี้ยังมีอีกคนที่เขาควรเคารพยืนอยู่

“ไม่เป็นไรผมให้เวลาคุณคุยกับเพื่อนสิบนาทีส่วนคุณนนท์รบกวนคุณออกไปคุยกับผมข้างนอกจะได้มั้ย”

“ไม่ได้!” แฟร์ตะโกนลั่นเมื่อราชันย์พยายามชวนคนตัวเล็กออกไปข้างนอกจนทำให้สายตาทุกคู่หันกลับมามองเขากันเป็นจุดเดียว

“ทำไมล่ะพี่แฟร์แค่ออกไปคุยข้างนอกเองนะ”

“ผมเกรงว่ามันไม่เหมาะเพราะใกล้จะเริ่มงานแล้วผมต้องรีบแต่งตัวให้นนท์”

“เหลือเวลาอีกเป็นชั่วโมงกว่าทุกฝ่ายจะพร้อมคุณคงไม่อยากให้คุณนนท์ต้องนั่งรอเฉยๆ หรอกใช่มั้ย” สรรพนามเรียกที่ดังออกจากริมฝีปากสีคล้ำของร่างสูงทำเอาแฟร์ถึงกับไม่เชื่อหูว่าเขาจะตีเนียนได้ถึงขนาดนี้

“แป๊บเดียวเองเดี๋ยวผมกลับมา” คนตัวเล็กคะยั้นคะยอจนร่างบางที่หันกลับมามองหน้าได้แต่ถอนหายใจ

“ไม่ต้องห่วงหรอกคุณราชันย์เป็นถึงประธานบริษัทไม่มีใครกล้าเข้ามาข้องแวะน้องเขาหรอก” ภีมบอกก่อนคนที่เพิ่งจะรู้ความจริงทั้งสองจะเบิกตาขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ

“คะ…คุณราชันย์เป็นเจ้าของบริษัทนี้เหรอครับ!” นนท์ละล่ำละลักคำพูดออกไปเป็นพรวน

“ผมไม่ทราบมาก่อนต้องขอโทษด้วยนะครับที่เมื่อกี้ทำคุณเจ็บ” คนตัวเล็กที่เอื้อมมือออกไปเพื่อหมายจะตรงเข้าจับบริเวณแผงอกของร่างสูงที่ได้รับบาดเจ็บกลับถูกอีกฝ่ายรวบมือเรียวนั้นเอาไว้ก่อนที่ราชันย์จะเปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นแทน

“เชิญข้างนอกดีกว่าครับคุณนนท์”

ทั้งสองเดินออกจากห้องไปท่ามกลางนัยน์ตาสีน้ำตาลของร่างบางที่ยังคงจดจ้องไปหาคนทั้งคู่อย่างไม่ลดละก่อนที่คนอารมณ์เสียหน้าตาหงิกง้ำราวกับเจอเรื่องไม่สบอารมณ์จะถูกเพื่อนอีกคนกล่าวชักให้หันไปให้ความสนใจกับเรื่องที่เขาจะเล่าทันที




“เมื่อกี้คุณคุยอะไรกับนนท์” แฟร์ตัดสินใจเดินเข้าไปถามราชันย์ที่ยืนมองร่างเล็กของดาราหนุ่มอยู่หลังตากล้อง

“เกรงว่ามันจะไม่เกี่ยวอะไรกับนาย” เสียงทุ้มเอ่ยก่อนจะหันมาจ้องอีกฝ่ายนิ่ง

“ผมขอเตือนว่าอย่าคิดทำเรื่องแบบนั้นอีก” ร่างบางส่งคำขู่กลับไปแต่ราชันย์กลับกระแอมยิ้มขึ้นอย่างยียวน

“ถ้ายังคิดแล้วจะทำไม” ว่าเสร็จร่างสูงก็เดินหนีก่อนที่แฟร์จะเดินตามอย่างไม่ยอมแพ้

“แต่นั่นมันน้องผม! ผมไม่ยอมเด็ดขาดและจะเอาเรื่องคุณให้ถึงที่สุด!!” เมื่อถึงเขตปลอดคนร่างบางจึงตะเบ็งเสียงออกมาอย่างเดือดดาล

“คิดว่าใครจะเชื่อเรื่องที่มึงพูด หลักฐานก็ไม่มี พยานรู้เห็นก็ไม่มี อย่าโชว์โง่ให้เสียหน้าจะดีกว่า” สรรพนามที่ถูกอีกคนเรียกเปลี่ยนไปอีกครั้งเมื่อพวกเขาทั้งคู่อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง

“คุณ!!” แฟร์กำหมัดไว้แน่นก่อนที่ราชันย์จะย่างสามขุมเข้าไปหาพร้อมกับเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงเรียบ

“หวงมันมากนักเหรอ”

“ใช่เพราะเขาเป็นน้องชายผม!”

“มึงไม่มีน้องชาย! อย่าคิดว่ากูไม่รู้!!” เมื่อแฟร์เลือกที่จะโกหกเพราะไม่อยากให้ใครอีกคนเป็นอันตรายราชันย์จึงตวาดกลับ เขารู้ดีว่าแฟร์เป็นยังไงจากประวัติที่ยัดเยียดให้จอมพลสืบมาเพราะร่างบางตรงหน้าของเขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกพ่อทิ้งไปตั้งแต่อายุได้เพียงแปดขวบและที่สำคัญคือแฟร์ไม่มีพี่น้อง****!

ร่างบางชะงักกับคำพูดของราชันย์เขาจ้องร่างสูงกลับราวกับต้องการคำตอบของเรื่องที่อีกฝ่ายตะโกนออกมาเมื่อครู่หากทว่าคนนิสัยดิบเถื่อนกลับเลือกที่จะพูดเรื่องอื่นออกมาแทน

“ถ้าหวงมันมากก็มาทำงานกับกู”

“หมายความว่าไง?!”

“มาทำงานกับกูมึงจะได้มั่นใจว่ากูจะได้ไม่เอาเวลาที่เหลือไปเที่ยวจับคนของมึงอีก” เสียงทุ้มเอ่ยแน่นหนักพลางเขยิบตัวเข้าใกล้ร่างบางจนอีกคนต้องถดหนี

“ผมไม่ทำ!”

“นั่นมันก็เรื่องของมึงแต่ขอบอกไว้ก่อนว่าหากออเดอร์คราวหน้าเป็นไอ้เด็กนั่นอีกกูไม่พลาดแน่!” ราชันย์ย้ำด้วยใบหน้าจริงจัง

“อย่านะ!! อย่าทำแบบนั้นผมขอร้อง” ร่างบางพูดด้วยน้ำเสียงยอมแพ้ก่อนจะเอื้อมมือไปจับข้อมืออีกฝ่ายแน่น ราชันย์มองตามการกระทำของอีกคนด้วยแววตาที่เรียบเฉยก่อนที่เขาจะสลัดมันออกอย่างไม่ใยดี

แฟร์คอตกราวกับคนอับจนหนทาง ร่างบางพยายามคิดหาวิธีมากมายเพื่อใช้ต่อกรกับอีกฝ่ายแต่ผลลัพธ์ของความคิดเหล่านั้นก็เท่ากับศูนย์!

เมื่อไม่มีทางไหนให้เลือกอีกต่อไปร่างบางจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างหนักพร้อมกับถามอีกคนกลับเมื่อในใจของเขานึกจำยอม

“คุณจะให้ผมทำงานอะไร”

“มาพบฉันที่บริษัทมะรืนนี้”

“ทำไมต้องมะรืนนี้”

“เพราะกูจะให้มึงเริ่มงานเลย” ราชันย์ตอกกลับทันควันแต่มีหรือที่ร่างบางจะยอมเพราะเขายังคงสวนกลับคำพูดมากมายเหล่านั้นกลับไปอย่างไม่ลดละ

“เร็วเกินไปผมขอเป็นอาทิตย์หน้า”

“นั่นช้าเกินไปสำหรับกู”

“แต่ผมต้องเคลียร์งานให้คนที่จะมาทำหน้าที่ตรงนี้แทนผม”

“แสดงว่ามึงตกลง?”

“…” แฟร์ชะงักเมื่อใจหนึ่งเขาเองก็ไม่อยากอยู่ใกล้กับคนที่ดูเหมือนแฝงไว้ด้วยหนามแหลมคมที่พร้อมจะกรีดเข้าเนื้อตัวเขาเองได้ทุกเมื่อ แต่อีกใจก็อดที่จะเป็นห่วงนนท์ไม่ได้เพราะถึงยังไงฝ่ายนั้น…

ก็เป็นน้องชายของคนที่เขา…รัก

“ถ้ามึงห่วงเรื่องนั้นเดี๋ยวกูจัดการให้” ราชันย์พูดทิ้งท้ายก่อนจะก้าวออกจากบริเวณนั้นโดยมีอีกเสียงหนึ่งดังไล่หลังมาติดๆ

“เดี๋ยว!”

ร่างสูงหันกลับไปสบนัยน์ตาหวานสีน้ำตาลของอีกฝ่ายอย่างนึกถามก่อนคนเรียกจะก้าวเข้าหาและพูดขึ้นราวกับต้องการคำมั่น

“คุณต้องสัญญาว่าหากผมไปทำงานกับคุณแล้วคุณจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับนนท์อีก”

ราชันย์แสยะยิ้มกับคำพูดของอีกคนก่อนที่ร่างสูงจะหันหลังกลับและเดินจากไปภายหลังจากที่ทิ้งคำพูดเพียงไม่กี่พยางค์เอาไว้

“กูยังไม่อยากพูดเรื่องนั้นตอนนี้”

ร่างบางมองแผ่นหลังที่ค่อยๆ เล็กลงตามระยะทางที่อีกฝ่ายเดินออกไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ท่าทีที่ดูเย่อหยิ่งนั่นทำเอาแฟร์ต้องรวบมือของตัวเองกำเอาไว้แน่นเพื่อเป็นการข่มอารมณ์ก่อนที่เขาจะสบถออกมาอย่างหัวเสียหลังจากที่อีกฝ่ายได้หายไปจากระยะของสายตาในที่สุด



“แฟร์ทำไมเงียบตลอดทางเลยล่ะมีอะไรหรือเปล่า” คนเป็นสารถีถามขึ้นเมื่อท่าทีของตุ๊กตาหน้ารถผิดแผกไปจากทุกวัน

“พี่นัทคือ…” ร่างบางที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดมาตลอดทางเพื่อทบทวนเรื่องราวทั้งหมดและเพื่อคิดคำพูดที่จะใช้เพื่อเริ่มต้นบอกกับคนข้างๆ ตัดสินใจรวบรวมความกล้าเอ่ยออกไปในที่สุด

“?”

“คือแฟร์ต้องไปทำงานช่วยเพื่อนสักพักน่ะ” แฟร์เลือกที่จะโกหกอีกฝ่ายกลับไป

“ที่ไหนและเมื่อไหร่”

“กะ…ก็ยังไม่รู้แต่ต้องเริ่มงานมะรืนนี้แล้วเดี๋ยวทางนั้นจะบอกสถานที่มาอีกที” แฟร์หลบสายตาของนัทที่มองมาราวกับจะจับผิดก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดด้วยความเป็นห่วง

“ฟังดูไม่น่าไว้ใจเลยแล้วเป็นเพื่อนสนิทกันหรือเปล่า”

“ก็ประมาณนึง”

“แล้วอยากทำหรือเปล่าน่ะเรา” นัทเริ่มซักเพราะท่าทีของร่างบางไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเต็มใจกับเรื่องนี้

“มันก็เดือดร้อนน่ะนะแฟร์เลยจำเป็นต้องไปช่วย” ร่างบางเลี่ยงตอบ

“สรุปก็ไม่ได้อยากไปเท่าไหร่”

“แต่…มันก็เพื่อนไง” แฟร์เบี่ยงหลบเมื่อนัทเริ่มเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้เพื่อคาดคั้นเอาคำตอบจนรู้สึกถึงลมหายใจของอีกฝ่ายอยู่เบาๆ

มือเรียวที่วางเอาไว้บนตักจับบีบกันแน่นจนเกิดรอย เหงื่อที่เริ่มผุดขึ้นมาตรงขมับทั้งสองข้างทำให้ร่างสูงสังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก

“พี่เข้าใจ…ถ้างั้นตามใจแฟร์แล้วกันแต่มันค่อนข้างกระทันหันไปหน่อยเพราะพี่ยังไม่ได้หาใครมาแทนแฟร์เลย” นัทพูดก่อนจะดึงตัวกลับทำเอาร่างบางที่นั่งตัวแข็งทื่อหายใจได้ทั่วท้องสักที

“เรื่องนี้แฟร์ได้คนที่จะมาทำแทนแล้วครับพี่นัทไม่ต้องห่วงนะ”

“แล้วนนท์มันรู้เรื่องหรือยัง”

“ผมเพิ่งบอกไปเมื่อตอนเย็นนี่เองงอนใหญ่เลยล่ะครับแต่สุดท้ายน้องก็เข้าใจ” แฟร์ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงท่าทีเง้างอดของคนที่ถูกกล่าวถึง

“นนท์มันถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กอย่าถือสาเลยเอาเป็นว่าเสร็จงานที่โน้นเมื่อไหร่ก็กลับมาหากันนะพี่ยินดีต้อนรับเสมอ” นัทบอกก่อนจะเอื้อมมือขึ้นลูบหัวของแฟร์อย่างเอ็นดู

“ขอบคุณพี่นัทมากงั้นผมขอตัวก่อนขับรถกลับดีๆ นะครับ” ร่างบางพูดทิ้งท้ายเพียงเท่านั้นก่อนจะเอี้ยวตัวเพื่อเปิดประตูแต่แล้วมือเรียวก็ถูกมือหนารั้งเอาไว้

“เดี๋ยวแฟร์”

เมื่อร่างบางหันมาตามคำเรียกนัทจึงชิงจรดริมฝีปากของตัวเองลงบนแก้มใสก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ตั้งตัว

“ฝันดีนะครับ” นัทพูดก่อนจะฉีกยิ้มให้กับคนตรงหน้าที่เบิกตากว้างอย่างตกใจแฟร์ที่พยายามดึงสติกลับคืนเอื้อมมือขึ้นทาบบริเวณที่โดนสัมผัสด้วยใบหน้าเห่อร้อน

“คะ..ครับ” คนถูกจู่โจมก้มหน้างุดก่อนจะเปิดประตูลงจากรถและโบกมือลาอีกคนที่ขับรถออกไป

ร่างบางฉีกยิ้มกว้างมองดูรถที่เคลื่อนตัวออกไปจนลับตาก่อนจะเปิดประตูรั้วเดินเข้าบ้านด้วยท่าทีที่มีความสุขจนล้นโดยหารู้ไม่ว่าฉากรักแสนหวานเมื่อครู่ถูกนัยน์ตาสีดำจากบ้านหลังตรงข้ามจดจ้องตั้งแต่ต้นจนจบ!


TBC.....
----------------------------------------------

เห็นมั้ย! ไอ้เฮียมันมีแผน!! บอกเลยว่าคู่นี้จะเจอเรื่องที่ไม่คาดคิดอีกเยอะ!!
ส่วนใครที่รอ NC กิ่งบอกเลยนะคะเรื่องนี้มีค่ะ แต่คงต้องรออีกหลายบท
ยังไงก็รอกันหน่อยนะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
+เป็ดจ้า

ออฟไลน์ som

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +230/-2
อยากให้ถึงตอนที่แฟร์เอาคืนไวๆ

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
โหดจิ๊งโหดจัง
ราชันย์

ออฟไลน์ cheepoke

  • ^_^\/ สู้ๆ ฮู้เล่ๆ
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
    • https://www.facebook.com/BlueGusten.FictionY/


CHAPTER 6



ร่างบางมาถึงบริษัทในเวลาเริ่มงานปกติ แฟร์เดินเข้าไปข้างในด้วยท่าทีประหม่าก่อนจะตรงไปยังแผนกบุคคลเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเขาเองต้องการติดต่อ

“ขอโทษนะครับผมมาพบคุณราชันย์ไม่ทราบว่าห้องทำงานของเขาไปทางไหน” ร่างบางสอบถามไปยังพนักงานสาวที่ยืนฉีกยิ้มก่อนที่เธอจะตอบเขากลับด้วยน้ำเสียงใส

“ใช่พนักงานใหม่ที่กำลังจะมาเริ่มงานหรือเปล่าคะ”

“ใช่ครับคุณราชันย์ให้ผมมาพบวันนี้”

“ค่ะคุณราชันย์แจ้งพี่เอาไว้แล้วเชิญนั่งรอสักครู่นะคะ” พนักงานสาวผายมือไปยังโซฟารับรองตรงหน้าก่อนจะเดินเข้าไปหยิบเอกสารสองสามอย่างแล้วเดินกลับออกมา

“นี่เป็นเอกสารสมัครงานนะพอดีพี่เห็นว่าเรายังไม่ได้กรอกข้อมูลเลย กรอกเสร็จแล้วบอกพี่ด้วยจะได้พาไปพบคุณราชันย์จ้ะ” นัยน์ตาสีน้ำตาลที่แต่เดิมใช้จดจ้องเพื่อฟังคำบอกของอีกคนเคลื่อนไปยังรายชื่อบนเข็มกลัดที่ถูกติดไว้บนหน้าอกของอีกฝ่าย

Mintra P.
'Human Resource Officer'


“ครับพี่มินตรา” แฟร์พยักหน้าเข้าใจก่อนจะเอื้อมมือออกไปหยิบรับเอกสารที่พนักงานสาวยื่นมาให้ใ

“เอ๊ะ! รู้ชื่อพี่ได้ยังไง” พนักงานสาวทำหน้าสงสัยก่อนที่ชายหนุ่มจะชี้ไปยังหน้าอกตัวเองเพื่อให้อีกคนเข้าใจ

“อ๋อ พี่นึกว่า…”

“แฟร์ครับ” ร่างบางตอบเมื่อมินตราทำหน้าอยากรู้ชื่อของเขา

“พี่นึกว่าแฟร์รู้จักพี่มาก่อนซะอีก”

“เปล่าหรอกครับ”

“ถ้าอย่างนั้นกรอกให้เสร็จแล้วเรียกพี่นะ” มินตราบอกก่อนจะขอตัวเข้าไปทำงานต่อในขณะที่แฟร์ยังคงกรอกประวัติส่วนตัวเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการสมัครงานไม่เสร็จ

*******************************

เมื่อข้อมูลทุกอย่างถูกกรอกจนเสร็จแฟร์ก็เรียกอีกฝ่ายตามที่ได้บอกเอาไว้ก่อนที่ร่างระหงของมินตราจะเดินนำร่างบางที่ประหม่ากว่าครั้งไหนๆ ไปยังลิฟท์เพื่อขึ้นไปห้องของประธานบริษัทแห่งนี้ทันที

“ที่นี่มีทั้งหมดด้วยกันห้าชั้นนะ” มินตราพูดขึ้นก่อนแฟร์ที่เดินห่างอยู่มากจะรีบสาวเท้าเพื่อให้ทันและฟังสิ่งที่อีกคนพูดอย่างตั้งใจ

“ชั้นแรกเป็นชั้นที่ไว้ใช้รับรองงานบริหารทั่วไปพูดง่ายๆ ก็เหมือนหน้าด่านที่เอาไว้คัดกรองผู้ที่เข้ามาติดต่อนั่นแหละ” พนักงานสาวพูดก่อนจะเดินเข้าไปในลิฟต์

“ส่วนชั้นที่สองเป็นชั้นของงานบริหารธุรกิจเสื้อผ้าแฟชั่นและเครื่องประดับทั้งของผู้หญิงและผู้ชาย แอบกระซิบนะว่าชั้นเนี่ยมีแต่พวกติสท์ๆ ชั้นที่สามเป็นส่วนงานบริหารธุรกิจโรงแรม ชั้นเนี่ยระดับผู้จัดการถือว่าหน้าตาดีมว๊ากกก…มากกก แต่ติดตรงที่รีบมีครอบครัวกันไปหมดเสียละพนักงานบริษัทส่วนใหญ่เลยต้องกินแห้วกันถ้วนหน้าเหมือนกับพี่เนี่ยแหละ” แฟร์หัวเราะให้กับสิ่งที่มินตราเล่าก่อนที่พนักงานแผนกบุคคลคนนี้จะจ้อออกมาไม่หยุด

“ชั้นที่สี่เป็นงานบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งที่ดิน บ้าน ทาวน์เฮ้าส์และอื่นๆ ในเครือ ชั้นเนี่ยรวมพวกหัวกะทิแบบว่าเด็กเนิร์ดอะนะไว้กว่าห้าสิบชีวิตเลยทีเดียวแหละ และชั้นสุดท้าย…” น้ำเสียงหวานหยุดลงในขณะที่ประตูลิฟต์ถูกเปิดออก

“คือพื้นที่ห้องทำงานของคุณราชันย์ทั้งหมด!...จะว่าแค่ห้องทำงานอย่างเดียวก็คงไม่ถูกเพราะมันเป็นเหมือนห้องพักไปในตัวด้วย ห้องคุณราชันย์จะมีลิฟต์ที่ตั้งตรงกับที่จอดรถจึงไม่ค่อยมีใครได้เห็นหน้าค่าตาของเขาสักเท่าไหร่เพราะเวลาทำงานของคุณราชันย์ไม่ค่อยเหมือนกับประธานบริษัทคนอื่นๆ ส่วนไม่เหมือนยังไงนั้นเดี๋ยวแฟร์ก็คงจะรู้เองแหละ” มินตราหยุดพูดพอดีกับที่ฝีเท้าของเธอหยุดลงตรงหน้าประตูบานใหญ่

“เอาล่ะพี่ส่งแฟร์แค่นี้นะ” พนักงานสาวพูดก่อนจะทำท่าเคาะประตูห้องแต่กลับถูกร่างบางที่เดินมาด้วยจับแขนเพื่อหยุดการกระทำนั้นเอาไว้เสียก่อน

“พี่มินไม่เข้าไปข้างในกับผมเหรอครับ” แฟร์ถาม

“ไม่หรอกจ้ะพี่มีหน้าที่แค่เดินมาส่งและพูดข้อมูลเบื้องต้นของบริษัทให้เราฟังแค่นั้น” มินตราตอบก่อนจะยิ้มและจับไหล่อีกคนอย่างให้กำลังใจ

“ไม่ต้องกลัวนะคุณราชันย์น่ะเขาใจดี”

'ใจดีกะผีน่ะสิ*!*'

ร่างบางได้เพียงแค่คิดเพราะจู่ๆ ประโยคนี้ก็ถูกกลืนหายลงไปในลำคอทันทีเมื่อมินตราลงแรงเคาะประตูห้องตรงหน้าพวกเขากลับไป

“โชคดีนะ” หญิงสาวพูดทิ้งท้ายเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินกลับไป

แฟร์มองตามมินตราด้วยแววตาคิดหนักก่อนจะหันกลับมาจ้องบานประตูตรงหน้าอีกครั้งอย่างชั่งใจจนสุดท้ายก็ต้องยอมยกมือขึ้นมาลงแรงเคาะลงไปอีกที

“เข้ามา” เสียงที่ดังเล็ดลอดออกมาทำให้แฟร์ชะงักกึกก่อนที่เขาจะถอนหายใจแล้วค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปข้างใน

ห้องสีขาวสะอาดหากทว่าเฟอร์นิเจอร์แทบจะทุกชิ้นกลับเป็นสีดำช่างดูน่าอึดอัดเสียจนร่างบางรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง แฟร์เดินเข้าไปด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ก่อนเสียงฝีเท้าจะดังขึ้นเผยให้เห็นราชันย์ในชุดผ้าขนหนูตัวเดียวที่มีเม็ดน้ำเกาะกระจายอยู่ทั่วตัว แผงอกแกร่งและหน้าท้องที่กล้ามเนื้อขึ้นเป็นมัดทำให้ร่างบางที่ยืนตัวแข็งทื่อเบิกตาโพรงด้วยความตกใจ

“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังอาบน้ำผมแค่มาตามที่คุณนัดเอาไว้ ผะ!…” แฟร์ขืนตัวเองเอาไว้สุดแรงเมื่อราชันย์ที่เดินเข้ามาโน้มตัวลงจนใบหน้าของร่างบางอยู่ในระดับเดียวกับแผงอกของเขา

“จะพล่ามอีกนานมั้ยผู้ชายเหมือนกันจะอายทำไมวะ” นัยน์ตาสีดำจดจ้องไปยังคนตัวเล็กกว่าอย่างนึกสนุก

“แต่ผมไม่ชิน” แฟร์พยายามหดคอหนี

“ไม่ชินเพราะชอบคิดกับผู้ชายด้วยกันสินะ”

“คุณ!!”

“หรือกูพูดผิด!”

“ผมจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของผมถ้าคุณเรียกผมมาเพียงเพื่ออยากจะพล่ามเหยียบหยามความเป็นคนของผมล่ะก็ผมขอตัวก่อน!” แฟร์ดันอีกคนออกเมื่อเริ่มมีน้ำโหก่อนจะพยายามก้าวออกจากห้องนี้ไปหากอีกฝ่ายไม่ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

“โอหังไม่เปลี่ยน” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นฉุดให้เรียวขาที่กำลังก้าวชับๆ หยุดลงก่อนที่เจ้าตัวจะหันกลับไปปะทะอารมณ์อีกครั้ง

“ผมแค่เลือกปฏิบัติ” แฟร์บอกเสียงเย็น

“งั้นก็ทำให้กูอารมณ์ดีขึ้นสิ” ราชันย์นั่งลงบนโซฟาก่อนจะพูดขึ้น

“ไม่”

“เดี๋ยวนี้!”

“ผมทำไม่ได้!” แฟร์ปฏิเสธเสียงแข็ง

“ยังไม่รู้เลยว่ากูจะให้ทำอะไรก็ปฏิเสธซะละอ่อนว่ะ!” ราชันย์ต้อนพลางจ้องแฟร์กลับอย่างยียวน

“แล้วคุณจะให้ผมทำอะไร” ร่างบางถามก่อนที่อีกฝ่ายจะแสยะยิ้มและชันขาของตัวเองขึ้น

“ทำให้กูหน่อย”

“!!”

คำพูดและการกระทำที่แสนจะเหยียดหยามทำเอาแฟร์ถึงกับฟิวส์ขาดก่อนคนที่ไม่เคยหยาบคายกับใครจะต่อว่าอีกคนกลับอย่างเหลือดอด

“ทุเรศ! สกปรกที่สุด!!” แฟร์จ้องคนตรงหน้าอย่างขยะแขยง

“มึงไม่ชอบ? แต่คืนนั้นที่กูเห็นมันไม่ใช่แบบนี้นี่ทั้งกอดทั้งหอมดูมึงก็ชอบดี แล้วทีกับกูที่กำลังจะเป็นเจ้านายของมึง ทำไมมึงถึงทำไม่ได้!” ราชันย์เริ่มไม่มีเหตุผลโดยการยกเอาเรื่องคืนนั้นที่เขาเห็นอีกฝ่ายในรถของธนัทออกมาพูดจนแฟร์รู้ในที่สุดว่าการกระทำของพวกเขาถูกอีกฝ่ายเห็นเข้าให้แล้ว

“ก็เพราะคุณไม่ใช่เขา!” ร่างบางเถียงกลับ

“ถ้ากูเป็นผู้ชายคนนั้นของมึง มึงจะยอมว่างั้น?” ขึ้นชื่อว่า 'ราชันย์' มีหรือเขาจะยอมจบง่ายๆ

“ใช่! เพราะถ้าคุณเป็นเขาผมก็คงจะยอมแต่ติดตรงที่ยังไงคุณก็ไม่ใช่!”

“แฟร์!!” ร่างหนาตรงเข้ากระชากอีกฝ่ายก่อนจะเหวี่ยงลงกับโซฟาตัวยาวพร้อมกับขึ้นคร่อมในเวลาเพียงเสี้ยววินาที

“โอ้ย! ผมเจ็บ!” ร่างบางนิ่วหน้าก่อนจะพยายามแกะมือของราชันย์ที่บีบข้อมือของเขาเสียจนขึ้นเป็นริ้วออกพัลวัน

“มึงทำให้กูเสียอารมณ์” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นแนบชิดใบหูเล็กความร้อนจากลมหายใจของคนด้านบนทำให้แฟร์ที่เพิ่งรู้สึกตัวถึงสถานการณ์ตรงหน้าดันแผงอกแกร่งเอาไว้จนสุดแรง

“คุณจะทำอะไร! ลุกออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!!”

“มึงมันพยศจนกูอยากจะจับมาหักคอให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย” แววตาคมจ้องใบหน้าเล็กได้รูปตรงหน้ากลับด้วยความรู้สึกแปลกเข้าไปทุกที

“ก็ถ้าคุณไม่พูดกับผมแบบนั้นก่อนผมก็ไม่พูดแบบนี้กับคุณหรอก” ร่างบางเองก็จ้องคนด้านบนกลับอย่างไม่ยอมแพ้

“หึ! พูดได้ดีนี่” ราชันย์แสยะยิ้มพอใจกับคำพูดของอีกฝ่ายก่อนจะดึงแขนแฟร์ให้ลุกตาม

“ที่ผมมาวันนี้ก็เพราะคุณบอกให้มา และผมเองก็ยังไม่รู้ว่างานที่คุณจะให้ทำคืองานอะไรฉะนั้นผมต้องการรายละเอียดของตำแหน่งที่ผมต้องรับผิดชอบทั้งหมด” แฟร์ที่ถอนหายใจออกมาเพื่อข่มอารมณ์เอ่ยออกไปก่อนประธานบริษัทที่นั่งนิ่งจะเอนพิงพนักโซฟาพร้อมทั้งเปลี่ยนสรรพนามเพื่อเรียกอีกคนกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ

“ตำแหน่งของนายคือเป็นเลขาฯ ของฉัน”

“เลขาฯ!? แล้วภีมเพื่อนของผมล่ะ!”

“ฉันย้ายเขาไปแล้ว”

“ย้ายไปแล้ว? ย้ายไปไหน?”

“ไม่จำเป็นต้องรู้”

“แต่ผมไม่มีความรู้เรื่องบริหารเลยนะ” ร่างบางโวยขึ้นเมื่อตำแหน่งงานนี้มันเกินความสามารถของเขาไปมากโข

“เรื่องนั้นไม่จำเป็น”

“ไม่จำเป็นได้ไงคุณเอาตำแหน่งอื่นให้ผมทำเถอะตำแหน่งนี้ผมทำไม่ได้แน่ๆ”

“ทำกับข้าวเป็นหรือเปล่า” ร่างหนาถามกลับจนแฟร์ชะงัก

“ฮ่ะ!?”

“ฉันถามว่าทำกับข้าวเป็นมั้ย”

“กะ…ก็พอเป็นบ้าง”

“งั้นก็โอเคเพราะงานเลขาฯ ของฉันคือการที่นายจะต้องดูแลเรื่องทำกับข้าว ทำความสะอาดห้อง ซักผ้า รีดผ้า เตรียมเอกสารและอื่นๆ ที่ฉันต้องการทั้งหมด”

“บ้าไปแล้ว!” ร่างบางตะโกนออกมาอย่างไม่เชื่อหู

“ฉันยังปกติดี”

“แต่นี่มันไม่ใช่หน้าที่ของเลขาฯ เลยนะ ที่คุณพูดมาทั้งหมดนั่นมันเป็นหน้าที่ของแม่บ้านมากกว่า” แฟร์เถียงกลับก่อนใบหน้าเรียบเฉยของคนข้างๆ จะยกยิ้มขึ้นอย่างสะใจที่เห็นท่าทีกระวนกระวายของอีกฝ่าย

“ในความคิดของฉันเลขาฯ ก็คือแม่บ้านนี่หว่าและแม่บ้านคนนั้นก็ต้องเป็นนายเท่านั้น!”

“ไม่! ผมขอยื่นคำขาด!!”

“มีสิทธิ์เลือก?” น้ำเสียงเรียบหากแต่เต็มไปด้วยอำนาจจนล้นเหลือถูกเอ่ยออกมาจนร่างบางที่ไม่สามารถสรรหาคำพูดไหนมาต่อกรกับอีกฝ่ายได้ถึงกับต้องสบถด่าราชันย์กลับไปอย่างหัวเสีย

“คุณมันร้ายกาจที่สุด!”

ราชันย์ที่ลอบมองตามหัวคิ้วที่ขมวดแน่นของแฟร์ได้แต่แอบยิ้ม ร่างบางทำหน้ามู่ทู่จนร่างหนาที่นั่งอยู่ข้างๆ รู้สึกว่ามองดูแล้วไม่น่าเบื่อก่อนที่สติทุกอย่างจะทักท้วงให้ชายแท้วัยยี่สิบแปดปีคนนี้กู่ทุกอย่างที่เริ่มไม่ปกติกลับโดยฉับพลัน

“เรื่องเวลาทำงานนายต้องมาเวลาบ่ายสองโมงตรงและกลับตอนเที่ยงคืนทุกวัน” ราชันย์กระแอมไอราวกับหนีความผิดก่อนจะทำทีอธิบายรายละเอียดต่างๆ เพิ่ม

“ฮ่ะ!”

“ทำอาหารไว้รอฉันตื่น เก็บกวาดห้องให้เงียบที่สุด เสื้อผ้า รองเท้าที่ฉันใส่แล้วให้เอาไปส่งซัก ส่วนที่ซักเสร็จต้องจัดให้เป็นระเบียบและเรียงจากสีเข้มไปอ่อน”

“เดี๋ยวๆ ต้องขนาดนี้เลยเหรอ?” แฟร์มองหน้าราชันย์อย่างอึ้งๆ ความเนี้ยบทุกระเบียดนิ้วของอีกฝ่ายทำให้ร่างบางคิดหนักขึ้นกว่าเดิม

“ฉันเสียเงินจ้างนาย” ราชันย์ตอกกลับ

“คุณจะไม่จ้างผมก็ได้เพียงแค่สัญญาว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก” แต่ร่างบางก็ไม่ยอมเสียเปรียบสวนกลับทันควันเช่นกันจนราชันย์ถึงกับต้องถอนหายใจก่อนจะเตือนอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“ตอนนี้ฉันอุตส่าห์เย็นลงแล้วแต่ถ้านายยังขืนพล่ามไม่หยุดฉันจะจัดการนายซะ”

“กะ…ก็ได้ครับก็ได้” ร่างบางหน้าเจือนลงไปอย่างรู้สึกกลัวก่อนที่คนข้างๆ จะพูดขึ้นต่อ

“เวลามีนัดนายต้องไปกับฉันทุกที่ จดบันทึกทุกอย่างและสรุปมาให้ฉันเข้าใจทุกครั้งเข้าใจมั้ย” ราชันย์ถามก่อนที่ร่างบางจะพยักหน้ารับ

“นี่คืองานที่นายต้องทำทั้งหมดมีตรงไหนสงสัยฉันให้โอกาสถาม”

“ผมจะพูดเรื่องที่เรายังติดค้างกันว่าหากผมทำงานกับคุณแล้วคุณจะต้องเลิกยุ่งกับนนท์” แฟร์จ้องราชันย์กลับอย่างต้องการคำตอบ

“ตามนั้น” ราชันย์ตอบก่อนคนตรงหน้าจะถอนหายใจออกมาราวกับโล่งอก

“ถ้าอย่างงั้นวันนี้…คุณจะให้ผมทำอะไร” แฟร์ที่ดูจะผ่อนคลายขึ้นทำหน้านึกต่อสักพักก่อนจะตัดสินใจถามออกไปอีก

ราชันย์ลุกขึ้นยืนก่อนจะรวบผ้าขนหนูที่คาดเอวตัวเองให้เข้าที่ ดวงตาสีน้ำตาลเผลอมองไปยังกล้ามหน้าท้องแน่นและกลุ่มขนอ่อนที่เรียงตัวยาวจากใต้สะดือลงไปในผ้าขนหนูผืนนั้นอย่างอึ้งๆ ก่อนที่แฟร์จะหน้าเห่อร้อนจนต้องรีบชักหน้ากลับ

ร่างสูงเดินไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งในลิ้นชักชั้นล่างสุดออกมาพร้อมกับโยนมันลงบนโต๊ะเล็กด้านหน้าของแฟร์เบาๆ

“อ่านแล้วแปลเป็นภาษาไทยสรุปให้ฉันไม่เกินหนึ่งหน้ากระดาษเอสี่เสร็จก็ทำอาหารไว้ด้วยหลังจากนั้นฉันอนุญาติให้นายกลับ”

“แค่นี้?” แฟร์ถามเมื่อสิ่งที่ราชันย์ให้เขาทำมันดูไม่สมเหตุสมผลกับชื่อตำแหน่งเลขาฯ นั่นเลยแม้แต่นิดเดียว

“อย่าให้ต้องพูดซ้ำ” ราชันย์จ้องอีกฝ่ายกลับอย่างคาดโทษจนแฟร์ปิดปากเงียบไม่กล้าถามอะไรอีกจากนั้นร่างสูงก็เดินหายเข้าไปในส่วนของห้องนอนทันที ทิ้งไว้แต่เพียงร่างบางที่ยังคงมองตามแผ่นหลังกว้างเมื่อครู่ด้วยความไม่เข้าใจ

*****************************

ร่างหนาตื่นขึ้นมาอีกทีตอนบ่ายคล้อย ราชันย์รวบผ้าห่มที่ปิดบังกายหนากว่าครึ่งท่อนออกพลางลุกขึ้นนั่งพร้อมกับสะบัดหัวไปมาสองสามที เจ้าของนัยน์ตาสีดำเดินออกจากห้องนอนก่อนจะกวาดสายตาไปจนทั่วห้องก็พบแต่ความว่างเปล่า บนโต๊ะในส่วนของครัวเล็กข้างๆ ห้องรับแขกมีอาหารสองสามอย่างเรียงรายส่งกลิ่นโชยมาแต่ไกล ร่างสูงไม่รอช้าเขารีบสาวเท้าไปยังโต๊ะอาหารเบื้องหน้าก่อนจะยกยิ้มเมื่อเห็นเมนูที่อีกฝ่ายทำทิ้งเอาไว้ให้

'ไข่เจียว ไข่ตุ๋น ไข่พะโล้'

ร่างบางของเลขาฯ คนใหม่คงกำลังป่วนเขาอยู่แน่ๆ!

แต่ถึงอย่างนั้นราชันย์ที่เคยแต่อารมณ์ร้ายต่ออีกฝ่ายกลับมองว่ามันเป็นการกระทำที่สร้างรอยยิ้มให้เขาเสียมากกว่า

กระดาษแผ่นเล็กที่ถูกวางทิ้งไว้ใกล้กับจานไข่เจียวถูกมือหนาคว้ามันขึ้นมาอ่านก่อนที่ราชันย์จะเดินไปยังสถานที่ที่ถูกระบุเอาไว้ข้างในเพื่อดูงานชิ้นแรกของร่างบางทันที

ลายมือที่แทบจะบรรจงบนกระดาษเอสี่ตรงหน้าเรียกความสนใจให้กับราชันย์เป็นอย่างมาก เขายกหนังสือที่ร่างบางใช้ทับกระดาษแผ่นดังกล่าวออกก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานและอ่านเนื้อความด้านใน

“'โมนิกา' หญิงสาวรูปร่างหน้าตาสะสวยผู้อาภัพในความรัก ไม่ว่าเธอจะเคยมีคนรักกับชายมาแล้วกี่คนแต่ชายเหล่านั้นก็จากเธอไปพร้อมกับทิ้งบาดแผลของความเจ็บปวดให้เธอเสมอ

จนกระทั่งวันหนึ่งในขณะที่เธอออกเดินทางเพื่อตามหารักแท้ เธอก็ได้พบกับชายหนุ่มรูปงามนาม 'ธีโอดอร์' ทั้งคู่ถูกตาต้องใจกันตั้งแต่แรกก่อนจะตกลงปลงใจอยู่กินฉันสามีภรรยาในเวลาต่อมา

ธีโอดอร์เมื่อแต่งงานกับโมนิกาเขาก็ได้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่เขารักสุดหัวใจ ผิดกับโมนิกาที่ยิ่งนานวันก็ยิ่งเบื่อหน่ายกับการใช้ชีวิตอยู่กินกับธีโอดอร์ เพราะธีโอดอร์นั้นมีอาชีพเป็นเพียงพ่อค้าเร่ที่หาเช้ากินค่ำไปวันๆ เธอจึงตัดสินใจเลิกรากับอีกฝ่ายหลังจากใช้ชีวิตคู่ด้วยกันเพียงแค่สองเดือน

โมนิกาออกเดินทางเพื่อตามหารักแท้อีกครั้ง เธอระหกระเหินไปยังสถานที่ต่างๆ ผ่านมือชายกว่าร้อยคนในช่วงเวลาเพียงสามปีหลังจากที่เธอเลิกรากับธีโอดอร์ แต่สุดท้ายเธอกลับไม่พบใครเลยที่จะจริงใจเพราะชายหนุ่มที่เข้าหาเธอเหล่านั้นเกิดตัณหาเพราะรูปร่างหน้าตาของเธอเพียงอย่างเดียว

โมนิกาเสียใจอย่างหนักจึงตัดสินใจกลับไปหาธีโอดอร์ชายที่เธอรู้ดีแล้วว่าเขาคือคนที่รักเธอจากใจจริง แต่โชคร้าย*…ที่เมื่อเธอกลับไปถึงยังบ้านของธีโอดอร์อีกครั้งชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงก็รุมประนามเธอเพราะเธอคือสาเหตุที่ทำให้ธีโอดอร์หลั่งเลือดประชดรักหลังจากที่เธอจากไปเพียงหนึ่งอาทิตย์*

หญิงสาวตกใจวิ่งหนีจนสุดท้ายก็พลัดตกลงจากหน้าผาสูงจนเสียชีวิต ชาวบ้านจึงช่วยกันนำร่างที่ไร้วิญญาณของเธอขึ้นมาก่อนจะจัดการฝังร่างของเธอเคียงข้างหลุมศพของธีโอดอร์เพื่อเป็นการย้ำเตือนคนรุ่นหลังว่าชีวิตรักที่ดีไม่ใช่แค่การได้คู่ชีวิตที่ดีหากแต่ชีวิตรักยังต้องการการปรับตัว ความเข้าใจซึ่งกันและกัน การเป็นเหมือนเพื่อนคู่คิดที่คอยช่วยกันแก้ไขปัญหาในยามยาก

ซึ่งบทเรียนต่างๆ ที่ถูกบัญญัติขึ้นนี้คงไม่มีใครเข้าใจได้ดีไปกว่าโมนิกาหญิงสาวผู้ไม่เคยพอในรักจนเกิดโศกนาฏกรรมน่าเศร้าเช่นนี้อีกแล้ว”

-จบ-


ราชันย์เหยียดยิ้มสมเพช หนังสือที่เขาไม่เคยเปิดมันขึ้นมาอ่านทำให้ร่างสูงนึกย้อนกลับไปในวันที่เจ้าของหนังสือเล่มนี้ได้มอบมันให้กับเขา ความรักบริสุทธิ์ของชายที่มีต่อหญิงสาวคนหนึ่งอาจเปรียบเสมือนกับความรักของธีโอดอร์

แต่สำหรับราชันย์มันไม่ใช่! เขาไม่ใจกว้างพอที่จะรักใครได้มากถึงขนาดนั้น และไม่คิดสั้นพอที่จะสังเวยชีวิตของตัวเองเพียงเพราะความรักที่เหลวแหลกไป

ร่างหนาลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงก่อนจะขยำกระดาษที่แฟร์สรุปเนื้อความทั้งหมดเอาไว้และคว้าเอาหนังสือเล่มนั้นโยนทิ้งลงถังขยะไปอย่างไม่ใยดีประจวบกับที่เสียงโทรศัพท์เครื่องหรูของเขาดังขึ้น

“ครับ” ราชันย์กรอกเสียงตอบ

[ใช่คุณราชันย์หรือเปล่าครับ]

“นั่นใคร”

[ผมนนท์เองนะครับคนที่รับงานถ่ายแบบแบรนด์เสื้อผ้าของคุณ] เสียงใสแนะนำตัวเองก่อนร่างสูงจะตอบกลับไปเสียงเนือย

“แค่บอกชื่อผมก็จำได้”

[พอดีวันนั้นคุณให้นามบัตรกับผมเอาไว้ผมเลยโทรหา]

“มีธุระอะไร”

[คืนนี้คุณว่างมั้ยครับผมอยากจะชวนคุณไปผับ KT]

“ถ้าคุณมีธุระก็พูดกับผมตรงนี้เลย” ราชันย์พยายามปฏิเสธทางอ้อม ใช่ว่าเขาไม่อยากไปเพราะอารมณ์ตอนนี้พร้อมสำหรับการกรอกเหล้าเข้าปากทุกเมื่อ เพียงแต่ร่างสูงกลับคิดถึงเรื่องที่เคยตกปากรับคำกับอีกคนเอาไว้ขึ้นมาฉับพลัน

[เอ่อ…คุณไม่ว่างหรอกเหรอครับ]

เสียงอ่อนจากปลายสายทำเอาร่างสูงทางฝั่งนี้ชะงักก่อนจะลองคิดดูใหม่อีกรอบเพราะในเมื่อคนที่ชวนกลับเป็นฝ่ายของดาราหน้าสวยสัญญาที่เคยว่าก็ไม่ถือว่าเขาผิดคำพูดหรอกจริงมั้ย!

[ความจริงผมไม่มีธุระหรอกแค่เพียง…อยากคุยกับคุณเท่านั้นเอง] ลวดลายวาจาอ่อนหวานเอกลักษณ์ของชานนท์ถูกเอื้อนเอ่ยออกมาในที่สุด

[ถ้าคุณไม่ว่าง…]

“กี่โมง” ราชันย์ตัดบทอีกฝ่ายพร้อมกับเดินไปยังโต๊ะในครัวที่มีอาหารวางเรียงรายก่อนจะมองมันด้วยสายตาเรียบนิ่ง

[ครับ?]

“จะนัดผมกี่โมง” สิ้นความหมายของคำพูดปลายสายที่ดูจะดีใจเป็นอย่างมากก็นัดหมายกลับมาด้วยน้ำเสียงใส

[สักสี่ทุ่มแล้วกันครับ]

“ได้ไว้เจอกัน” ร่างสูงวางสายทันที่ที่พูดจบ ก่อนจะนั่งลงลิ้มรสอาหารหน้าตาบ้านๆ ตรงหน้า

ใบหน้าเรียบนิ่งที่แต่เดิมก็เอนเอียงไปทางดุดันแถมยังไม่เป็นมิตรอยู่แล้วเผยรอยยิ้มเหี้ยมออกมาทันทีเมื่อปลายลิ้นของเขาสัมผัสโดนอาหารและรับรู้ได้ถึงรสชาติ

ไม่ใช่รสที่ถึงแม้คนทำอาหารไม่เป็นจะทำออกมาได้ หากแต่มันเป็นรสที่เกิดจากความตั้งใจจนเลวร้ายยิ่งกว่าคำว่า 'กินไม่ได้' เสียอีก

ราชันย์ทิ้งช้อนที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง ร่างบางเจ้าของอาหารเหล่านี้กำลังกระตุกหนวดเสือเข้าให้แล้ว แต่ไม่เป็นไรในเมื่ออีกฝ่ายเลือกที่จะเปิดศึกสงครามครั้งนี้ก่อนร่างสูงเองก็มีเวลากำราบเลขาฯ จอมพยศคนใหม่นี้อีกนาน แล้วจะได้รู้กันว่าใครที่คิดต่อกรกับราชันย์มันคนนั้นถือว่าโง่บรม!!


TBC.....
------------------------------------------------------------
อ๋อยยยยย #เฮียชันย์เริ่มเอาหนักแล้วล่ะค่ะจะให้น้องแฟร์ทำเรื่องบัดสี!!
OMG!! ลูกชายฉันต้องถูกตะครุบเข้าสักวันแน่ๆ T^T
ไว้รอลุ้นบทหน้าอีกนะ อย่าลืมเม้นท์ๆ โหวตๆ เป็นกำลังใจให้นักเขียนคนนี้ด้วยนาาาาา


 :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
พอกันเลย
เพราะไม่เคยเจอของจริงสินะ นนท์ถึงหาญกล้าคิดเล่นกับไฟ ทั้งที่แฟร์พยายามป้องกันแทบตาย

ออฟไลน์ cheepoke

  • ^_^\/ สู้ๆ ฮู้เล่ๆ
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
    • https://www.facebook.com/BlueGusten.FictionY/


CHAPTER 7



ณ ชุดโซฟาสุดหรูโซน VIP ภายในผับดังย่านใจกลางกรุงฯ หนุ่มร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดงกำลังเหม่อมองไปยังเครื่องดื่มในมือเพื่อรอการมาของคนอีกคน เสียงเพลงสากลจังหวะเร็ว เบสหนักจนเต็มแมกซ์ดังกึกก้องกลบเสียงพูดคุยของเหล่านักท่องราตรีไปจนแทบสิ้น แสงไฟสลัวที่สาดส่องเข้ามาทำให้ร่างเล็กที่เอาแต่นั่งนิ่งรู้สึกเบื่ออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

คงเป็นเพราะเขาอยากเจอกับร่างสูงเจ้าของใบหน้าที่ถูกใจตั้งแต่แรกเห็นคนนั้นเร็วๆ ล่ะมั้ง!

ชานนท์ผละสายตาออกจากน้ำสีอำพันที่ถูกบรรจุอยู่ในแก้วทรงสูงเมื่อมีใครบางคนย่างกรายเข้ามาใกล้ในระยะที่ตัวเขาเองรับรู้ได้ก่อนที่เขาจะคลี่ยิ้มเมื่อบุรุษเพศที่เดินเข้ามาคือคนเดียวกับที่เขาอุตส่าห์นั่งรอมานานร่วมชั่วโมง

“สวัสดีครับคุณราชันย์” นนท์ยิ้มกว้างส่งให้ราชันย์ในชุดไปรเวทแปลกตาก่อนที่เจ้าตัวจะเขยิบเพื่อหวังจะให้อีกฝ่ายเข้ามานั่งใกล้ๆ หากแต่ร่างสูงกลับเลือกที่จะนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวข้างๆ แทน

“มานานแล้ว?”

“ก็สักพักแล้วล่ะครับพอดีนนท์มาก่อนเวลานิดหน่อย” นนท์ตอบก่อนจะกวักมือเรียกบริกรที่ยืนอยู่แถวนั้น

“วิสกี้สามแก้ว”  ราชันย์ออกปากสั่ง

“โหดจัง” นนท์จะกระแอมเสียงใสพูด

“ผมดื่มเป็นแค่นี้” คนตัวสูงตอบอย่างสุภาพก่อนจะถามอีกฝ่ายกลับ

“คุณมีเรื่องอะไรจะคุยยังงั้นเหรอ”

“ไม่ต้องเรียกคุณหรอกครับแค่นนท์เฉยๆ ก็พอส่วนนนท์ก็ขอเรียกคุณราชันย์ว่า 'พี่' จะได้มั้ย” ดาราหนุ่มเอ่ยถามเพราะอยากสนิทสนมกับอีกฝ่ายให้เร็วขึ้นจนราชันย์ตวัดดวงตาคมจ้องกลับอย่างหยั่งเชิง

“ตามสบาย” ร่างสูงตอบแบบไม่ขัดหากแต่ก็ดูจะไม่เต็มใจนัก

“ขอบคุณครับ เอ่อ…พี่ราชันย์มาเที่ยวที่นี่บ่อยมั้ย”

“เคยมาสองสามครั้งได้”

“แหม…นนท์อะมาเป็นสิบครั้งแล้ววันไหนที่เครียดๆ เรื่องงานก็มาสังสรรค์กับเพื่อนนนท์ว่าที่นี่มันก็โอเคอยู่นะ” ร่างเล็กพยายามเริ่มบทสนทนาใหม่ก่อนจะค่อยๆ ใช้นิ้วเรียวของตัวเองเกลี่ยวนไปมาบนปากแก้วและส่งสายตาไปยังราชันย์อย่างเย้าหยอก

“แสดงว่าเราชอบอะไรที่ไม่เหมือนกัน” ดาราหนุ่มหน้าเจือนไปนิดเมื่อคำตอบของราชันย์ไม่เป็นไปอย่างที่เขาคาดเอาไว้

“คงใช่ล่ะมั้งครับนนท์น่ะเป็นคนชอบ hang out คือไปไหนก็ได้ที่ไม่ต้องอยู่บ้าน” นนท์หุบยิ้มก่อนจะทำทีเล่าเรื่องตัวเองออกไป

“แล้วพี่ราชันย์ไม่ชอบไปไหนเหรอ”

“ผมชอบทำงานมากกว่าแค่ทุกวันนี้ก็แทบจะไม่มีเวลานอนอยู่แล้ว” ราชันย์ตอบก่อนจะยกแก้ววิสกี้ที่บริกรเพิ่งจะนำมาเสิร์ฟขึ้นดื่มรวดเดียวหมด

“หว่า…เหมือนพี่ชายนนท์เลยล่ะครับเขาเองก็ไม่ค่อยได้พักผ่อนสักเท่าไหร่เพราะต้องเคลียร์เอกสารของบริษัทอยู่บ่อยๆ บางทีก็อดหลับอดนอนสามวันติดเลยนะ”

“ที่บ้านเปิดบริษัท?” ร่างสูงถามขึ้นอย่างสงสัย

“ครับที่บ้านนนท์เปิดบริษัทเกี่ยวกับเครื่องหนังผลิตพวก กระเป๋า รองเท้าอะไรประมาณนี้แหละครับ” ร่างเล็กอธิบายก่อนจะยกเครื่องดื่มของตนขึ้นจิบบ้างหากแต่สายตาโลมเลียของเขายังถูกส่งไปยังอีกคนไม่เปลี่ยน

“นี่คงไม่ได้นัดผมออกมาเพราะอยากจะคุยแค่เรื่องความชอบกับเรื่องเที่ยวหรอกใช่มั้ย” ราชันย์ที่เงียบไปเพราะคิดอะไรดีๆ ออกตัดสินใจถามเมื่อเห็นท่าทีเหล่านั้นของอีกฝ่าย

“เอ่อ…คือความจริงนนท์มีเรื่องอยากจะถามพี่ราชันย์มากกว่า” ดาราหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ดีใจใหญ่เขาไม่รู้เลยว่าจะเริ่มพูดมันออกมายังไงเพราะราชันย์ถือเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้นนท์จนมุมไร้ซึ่งคำแก้ตัวตั้งแต่เริ่มเปิดปากจะพูดอะไรออกมา

“ตอนนี้พี่ราชันย์มีแฟนหรือยังครับ” นนท์ถามก่อนจะจ้องราชันย์เพื่อลุ้นคำตอบ

“ยัง”

ร่างเล็กลอบยิ้มออกมาราวกับเห็นแสงสว่างก่อนที่ดาราหนุ่มมากความสามารถจะเอ่ยถามออกไปอีกอย่างไม่อ้อมค้อม

“ถ้าอย่างงั้นจะเป็นอะไรมั้ยถ้าเราสองคนจะลองคุยกัน” สิ้นเสียงของชานนท์ ราชันย์ที่จดจ้องไปยังใบหน้าใสก็แสยะยิ้มขึ้นมาในทันใด

ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าที่อีกฝ่ายนัดเขาออกมาเพื่ออยากจะคุยเรื่องพรรคนี้เพียงแต่ที่ร่างสูงยอมเพราะอยากให้แน่ใจกับบางอย่างที่มันเริ่มก่อตัวขึ้นในสมองของเขานับตั้งแต่วันที่ได้ลองลิ้มรสจูบที่ไม่เป็นประสาของใครอีกคน

“ขอโทษแต่ผมไม่มีรสนิยมแบบนี้” ร่างสูงบอกปัดจนชานนท์หน้าชา ร่างเล็กขัดแย้งขึ้นมาในใจทันทีที่ได้ยิน ผู้ชายหน้าตาน่ารักที่มีผลกับเพศเดียวกันอย่างเขาไม่สามารถทำลายกำแพงหนาของคนตรงหน้าได้เลยเชียวหรือ?

“แค่ลองคุยกันก่อนก็ได้นนท์เองก็ไม่ได้เร่งรีบเพียงแต่นนท์…ชอบคุณตั้งแต่วันแรกที่เห็นแล้ว” การสารภาพความในใจของชานนท์ยังคงดำเนินต่อไป

ราชันย์ยังคงใช้นัยน์ตาคมจดจ้องไปยังร่างเล็กข้างๆ ก่อนจะตอบคำถามนี้ออกไปเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

“ผมไม่ว่างคุย”

เป็นไปไม่ได้! ร่างเล็กตะโกนขึ้นในใจอย่างกระฟัดกระเฟี้ยด ทุกอย่างที่เตรียมการเอาไว้ไม่เป็นไปตามที่เขาคิดเลยแม้แต่นิดเดียว ผู้ชายที่มากด้วยเสน่ห์คนนี้ไม่มีทีท่าว่าจะโอนอ่อนให้กับเขาเลยสักนิด

“งั้นถ้าแบบพี่น้อง?” นนท์ที่ชะงักไปเพราะคำตอบของราชันย์ยังคงหว่านล้อมกลับอย่างไม่ยอมแพ้

“ตอนนี้ผมเองก็ไม่ได้อยากมีน้องชายเพิ่ม”

“อย่าเพิ่งตัดบทปฏิเสธนนท์แบบนี้สิครับขอเวลาให้นนท์ได้พิสูจน์ตัวเองสักเดือนนึงก็ได้ถ้าพี่ไม่ชอบจริงๆ ถึงคราวนั้นนนท์จะไม่ตื้อพี่อีก” ร่างเล็กน้ำตาคลอเบ้าใช่ว่าเขาจะเสียใจมากขนาดนั้นเพียงแต่ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนโดนฉีกหน้าเสียมากกว่า

เขายอมไม่ได้ที่ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยแบบนี้!

“ทุกวันนี้เวลาของผมก็ไม่เหลือพอที่จะแบ่งให้ใครอยู่แล้วเลิกคิดเรื่องนั้นซะเถอะ” ราชันย์ตัดบทเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะลุกยืนขึ้นจนเต็มความสูงหลังจากกระดกวิสกี้แก้วที่สองลงคอไปรวดเดียวหมด

“แต่ว่า… อ่ะ! แล้วพี่ราชันย์จะไปไหนครับ?” นนท์ถามเสียงหลง

“ห้องน้ำ” ไม่รอให้อีกฝ่ายตื้อถามราชันย์ก็อาศัยจังหวะนี้สาวเท้าเดินออกมาจากโต๊ะทันที

ร่างสูงเดินฝ่าผู้คนมากมายจนมาถึงบริเวณหน้าห้องน้ำในที่สุด สายตาสาวๆ หรือแม้กระทั่งเก้งกวางตลอดทางทำให้ราชันย์ถึงกับรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาจนต้องล้วงเอาบุหรี่ที่พกติดตัวมาด้วยก่อนจะจุดไฟและสูบอัดเข้าปอดไปหนักๆ

ควันสีขาวที่พวยพุ่งออกจากริมฝีปากเคล้าคละคลุ้งไปทั่วบริเวณที่ถูกจัดไว้สำหรับเหล่าสิงห์อมควันก่อนมือหนาจะบดขยี้ก้นของมันลงกับถ้วยที่มีทรายเม็ดละเอียดบรรจุอยู่เมื่อทั้งมวนหมดในเวลาเพียงนาทีเศษ

ราชันย์ก้าวเท้าหมายจะเดินตรงเข้าห้องน้ำทางฝั่งชายแต่แล้วไหล่เล็กของคนที่เพิ่งจะพุ่งตัวออกจากห้องน้ำทางฝั่งหญิงก็กระแทกกับแขนเขาอย่างจัง

“ขอโทษ/ขอโทษค่ะ” ทั้งสองคนเอ่ยขึ้นพร้อมกันก่อนที่ผู้หญิงหน้าตาสะสวยภายใต้เครื่องสำอางค์หนาจะฉวยแขนของราชันย์เอาไว้แน่น

“ราชันย์!!” เสียงแหลมตะโกนก้องออกมาราวกับกำลังดีใจสุดขีด

“ใช่คุณจริงๆ ด้วย! รู้มั้ยว่าแพรคิดถึงคุณแค่ไหน”

แม้ร่างสูงจะมีทีท่าตกใจในตอนแรกที่เห็นคนตรงหน้าแต่แล้วใบหน้านั่นก็กลับมาเรียบนิ่งอีกครั้งก่อนที่ร่างสูงจะเอ่ยพร้อมกับชักแขนของตัวเองออกจากมือเล็ก

“คุณทักคนผิดแล้ว” ราชันย์เดินเลี่ยงแต่อีกฝ่ายก็ยังตรงเข้ามายืนขวางเอาไว้

“ไม่ผิด! แพรจำคุณได้! ชันย์คะแพรกลับมาแล้วนะชันย์ไม่คิดถึงแพรบ้างเหรอแพรจากคุณไปตั้งสามปีแต่คุณไม่เคยโทรหาไม่เคยแม้แต่จะติดต่อมาเลยสักครั้ง” ร่างแน่งน้อยตรงเข้ากอดอีกฝ่ายแต่ชายหนุ่มกลับผลักไสออก

“หยุดทำแบบนี้ซะทีเถอะ”

“แพรรักคุณนะคะแพรคิดถึงคุณมากเลยด้วย”

“เรื่องของเรามันจบแล้ว”

“แพรรู้ค่ะ…แต่ชันย์คะแพรเลิกรักคุณไม่ได้! เรากลับมาเริ่มต้นใหม่นะกลับมาสร้างความรักที่เราเคยหวังร่วมกันอีกครั้ง แล้วครั้งนี้แพรสัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณเสียใจอีก” แพรวาพล่ามออกไปเป็นพรวนแต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะเยอะหญิงสาวพร้อมกับพูดออกมาเสียงเหี้ยม

“หึ! ผมไม่เคยเสียใจเพราะคุณเลยแพรวา ดีซะอีกที่เราเลิกกันเพราะผมเองก็ยังคิดไม่ออกว่าถ้ายังฝืนคบกับคนลวงโลกอย่างคุณต่อไปผมจะกลายเป็นไอ้โง่อีกนานแค่ไหน”

“ชันย์!! ทำไมชันย์ว่าให้แพรแบบนี้ล่ะ! แพรรักคุณนะคะแต่ที่แพรตัดสินใจทำแบบนั้นเพราะแพรเองก็ไม่มีทางเลือก!” แพรวาตวาดก้องพลางตำหนิอีกคนกลับ

“ทางเลือกของคนเรามีเสมอแพรวา…แต่คุณก็เลือกที่จะทำแบบนั้นพอเถอะอย่าพูดไปมากกว่านี้เลย” ราชันย์ว่าพร้อมกับก้าวเท้าออกไปแต่หญิงสาวก็ไม่วายตามมากอดร่างหนาเอาไว้แน่นจนคนที่ผ่านไปมาแถวนั้นเริ่มให้ความสนใจกับพวกเขาทั้งคู่

“ชันย์คะ! แพรยังรักคุณจริงๆ นะ!” แรงกอดรัดด้านหลังทำให้ราชันย์เลือกที่จะจับแขนของอีกฝ่ายให้คลายออกจากตนก่อนที่ชายหนุ่มผู้นั่งรอที่โต๊ะจะออกมาตามอีกฝ่ายและเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่เข้าให้

ชานนท์มองราชันย์ที่โดนผู้หญิงคนหนึ่งกอดด้วยความโมโห ร่างเล็กพยายามปรับอารมณ์ด้วยการถอนหายใจเพราะจะว่าไปแล้วเขาเองก็ไม่มีสิทธิ์ในตัวของราชันย์เลยแม้แต่น้อยก่อนที่ร่างเล็กจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาทั้งคู่ด้วยใบหน้าที่พยายามเหยียดยิ้มออกมา

“นนท์เห็นพี่ออกมานานแล้วกลัวว่าจะหนีกลับก่อนเพราะเรื่องที่เราคุยกันเมื่อกี้นนท์เลยมาตะ…!!” ไม่ทันที่ร่างเล็กจะทันได้พูดจบราชันย์ก็คว้าตัวชานนท์เอาไว้ก่อนจะทาบริมฝีปากลงกับริมฝีปากที่เผยอนั่นเพียงเสี้ยววินาที

ร่างเล็กของคนถูกฉกชิงริมฝีปากเบิกตากว้างอย่างตกใจแต่เพียงครู่ก่อนจะคล้อยตามรสจูบที่อีกฝ่ายมอบให้ ในขณะที่แพรวาได้แต่อ้าปากค้างยืนนิ่งเป็นหินมองการกระทำที่ไม่นึกคิดตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่จุกไปทั้งอก

“เผอิญตอนนี้ผมไม่ได้รักคุณแล้วนี่สิ! ทำไงดี?” ราชันย์ที่เพิ่งจะผละริมฝีปากออกจากอีกคนพูดขึ้น

“กรี้ดดดด!!!ๆๆๆ” แพรวาได้ยินดังนั้นก็กรีดร้องออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาก่อนที่ร่างสูงจะฉวยแขนของร่างเล็กและเดินฝ่าผู้คนออกไปในที่สุด

“นนท์รู้จักผู้หญิงคนนั้น” ร่างเล็กเอ่ยหลังจากที่ทั้งคู่เดินมาจนถึงที่จอดรถเป็นที่เรียบร้อยนับว่ายังดีที่ฝ่ายดาราหนุ่มสวมหมวกปิดบังใบหน้าของตัวเองเอาไว้ไม่อย่างนั้นเหตุการณ์เมื่อครู่คงกลายเป็นข่าวดังแน่ๆ

“เธอเป็นอะไรกับพี่ราชันย์เหรอครับแล้วทำไมพี่ถึงได้…”

“ถ้ามีข่าวเกิดขึ้นผมจะปิดให้และขอโทษที่ทำแบบนั้น” ราชันย์ไม่ใส่ใจคำถามของนนท์เขาเดินไปยังรถของตัวเองก่อนที่คนข้างหลังจะวิ่งมาขว้างไว้

“นนท์ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น…พี่บอกเองว่านนท์ไม่ใช่รสนิยมของพี่แต่ทำไมพี่ถึงเลือกหักหน้าคุณแพรวาด้วยการจูบกับผม” ร่างเล็กจ้องคนตรงหน้ากลับพลางส่งสายตาคาดคั้นเอาคำตอบ

“พี่ปากแข็งไม่ยอมรับใช่มั้ยครับความจริงแล้วพี่เองก็ชอบนนท์ใช่มั้ย”

“มายังไง” ราชันย์เลือกที่จะยุติเรื่องบ้าๆ พวกนี้และคำถามที่เขาไม่อยากตอบด้วยการถามอีกฝ่ายกลับ นนท์มองหน้าร่างสูงอย่างไม่เข้าใจหากแต่สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกที่จะปล่อยเรื่องของตนเองไว้แบบนั้น

“ผู้จัดการมาส่ง” นนท์ตอบด้วยน้ำเสียงผิดหวัง

“งั้นก็ขึ้นรถเดี๋ยวจะไปส่ง” ราชันย์บอกก่อนจะกดปลดล๊อกPorsche Boxster ของตนจนนนท์ที่มองตามเสียงนั้นไปเบิกตากว้างด้วยความตกใจทันทีที่ได้เห็นก่อนจะตกปากรับคำอีกฝ่ายด้วยการพยักหน้ากลับอย่างไม่รีรอ

ร่างสูงมองดาราหนุ่มที่นั่งข้างๆ ด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา เรื่องราวทุกอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างตัวเขากับชายหนุ่มร่างบางอีกคน ตอนนี้เขาได้คำตอบแล้วหลังจากที่สิ้นคิดจูบกับคนข้างๆ ไปเมื่อกี้ว่า…ความรู้ที่ได้สุดท้ายก็ต่างกัน

****************************

แฟร์ตื่นแต่เช้ามาทำกับข้าวเพื่อนำไปทำบุญตักบาตรกับพระอาจารย์ที่มักจะเดินผ่านหน้าบ้านของเขาอยู่เสมอก่อนที่ร่างบางจะลงมือรดน้ำต้นไม้ในช่วงสายของวันที่รู้สึกแปลกๆ เมื่อจะต้องเริ่มงานอีกทีก็ตอนบ่ายสองเขาจึงเหลือเวลาให้ได้ทำอะไรอีกมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะถ้าหากตอนนี้เขายังทำงานอยู่กับนนท์บางวันก็ต้องค้างเสียที่กองถ่ายหรือไม่ก็ต้องเดินทางไปโน้นมานี่จนหาหลักแหล่งไม่เจอก็มี

ร่างบางอาบน้ำแต่งตัวหลังจากทำทุกอย่างที่วางเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานเสร็จก่อนที่แฟร์จะเดินออกไปโบกรถเมล์หน้าปากซอยเพื่ออาศัยมันไปยังบริษัทของราชันย์ทันที

ที่ทำงานแฟร์พบกับมินตราอีกครั้งตรงหน้าลิฟต์หญิงสาวทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดออกมาน้ำเสียงห้วน

“ทำไมเราถึงมาเอาป่านนี้ล่ะ!”

“ก็คุณราชันย์เขาให้ผมเข้างานเวลานี้นี่ครับ” แฟร์ตอบพลางมองเธอกลับอย่างนึกสงสัย

“อ้าวเหรอ? วันนี้งานยุ่งซะด้วยสิพี่น่ะไปเคาะห้องคุณราชันย์ตั้งหลายครั้งแต่เขาก็ไม่ขานรับหรือจะไม่มาทำงานนะแต่รถก็จอดไว้ที่นี่นี่นา” หญิงสาวเปลี่ยนท่าทีที่ดูจะอารมณ์เสียก่อนหน้านั้นไปพร้อมกับบ่นพึมพำราวกับใช้ความคิดอยู่กับตัวเองออกมา

“แล้วพี่มินลองเข้าไปดูเขาเหรอยังครับ”

“ยังเลยคุณราชันย์น่ะเขาไม่ชอบให้ใครเข้าไปในห้องนั้นโดยไม่ได้รับอนุญาตหรอกนะ”

'แล้วที่เขาได้ทำงานพวกนั้นล่ะมันคืออะไร**!**'

ร่างบางถึงกับฉุกคิดขึ้นก่อนที่เขาจะอาสาไปดูอีกฝ่ายให้กับมินตรา

“งั้นเดี๋ยวผมไปดูเขาให้”

“แฟร์จะเข้าไปเลยเหรอพี่ว่ามันไม่ดีมั้ง” หญิงสาวทำหน้าหนักใจ

“ถ้างั้นงานพี่ก็จะไม่เสร็จนะครับ”

“จริงสิ! งานนี้เร่งด่วนซะด้วยเพราะเราต้องรีบติดต่อเจ้าของบริษัทที่จะไปคุยธุรกิจด้วยพรุ่งนี้” มินตราเอ่ยเสียงสลด

“เอาตามนี้แหละครับไว้หากเขาตำหนิผมจะยอมรับผิดเอง” ร่างบางย้ำคำกลับ

“ลำบากแฟร์เลยนะแต่ก็ขอบใจมากงั้นเดี๋ยวพี่ขอไปทำงานที่ค้างไว้ก่อนได้เรื่องยังไงบอกพี่ด้วยนะ”

“ครับ” พูดเสร็จร่างระหงก็เดินตัวปลิวกลับแผนกของตัวเองไปเช่นเดียวกับแฟร์ที่เดินเข้าลิฟต์เพื่อตรงไปยังห้องของร่างสูงเจ้าปัญหาของวันนี้ทันที

.....มีต่อค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ~~ราชันย์พ่ายรัก~~ (18+).........CH.7 100% [21/07/2560]
« ตอบ #19 เมื่อ: 21-07-2017 18:54:06 »





ออฟไลน์ cheepoke

  • ^_^\/ สู้ๆ ฮู้เล่ๆ
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
    • https://www.facebook.com/BlueGusten.FictionY/

ต่อค่ะ....



มือเล็กเคาะลงบนประตูบานใหญ่อยู่หลายครั้งแต่จนแล้วจนรอดเจ้าของห้องก็ไม่ปริปากเอ่ยอนุญาตออกมาแต่อย่างใด จนแฟร์ที่เริ่มจะเจ็บมือตัดสินใจบิดลูกบิดที่ปรากฏว่ามันไม่ได้ล๊อกเข้าไปในห้องทำงานของราชันย์

ทันทีที่ร่างบางเดินเข้ามาก็ต้องตะลึงกับสภาพห้องตรงหน้า ข้าวของทุกอย่างเกลื่อนกลาดราวกับถูกเทกระจาดจนแฟร์ถึงกับขมวดคิ้ว กลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์ที่คละคลุ้งชวนให้ปวดหัวเสียจนเขาต้องก้าวเท้าออกจากจุดที่ยืนอยู่และตรงไปยังต้นตอของกลิ่นที่แตกกระจายอยู่บนพื้นไม่ห่างจากโซฟาเนื้อดีมากนัก

ของเหลวสีอำพันที่เจิ่งนองบนพื้นเฉอะแฉะเป็นรอยเท้าและหายเข้าไปหลังบานประตูข้างๆ ร่างบางมองตามรอยก้าวเท้าตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจและเดินไปเปิดประตูของเข้าห้องดังกล่าวเข้าไปทันที

แฟร์เดินผ่านเตียงนอนขนาดใหญ่ในห้องที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นสาปของแอลกอฮอล์เช่นเดียวกับข้างนอก ร่างบางเหลือบมองไปยังเงาตะครุ่มของใครบางคนที่นอนอยู่ด้านบนก่อนจะเอื้อมมือออกไปเปิดผ้าม่านสีทึบที่บดบังแสงแดดไม่ให้สาดเข้ามาแม้ว่าตอนนี้จะเลยเวลาบ่ายคล้อยไปแล้วแต่สภาพภายในห้องนอนก่อนหน้านี้ยังคงมืดคล้ายกับเวลาหัวค่ำไม่มีผิด

ร่างสูงบนเตียงส่งเสียงงึมงำในลำคอเมื่อแสงจากข้างนอกกระทบเข้ากับเสี้ยวหน้าที่พ้นหมอนใบใหญ่ออกมาเข้าให้ แฟร์มองข้าวของภายในห้องที่เกลื่อนกลาดไม่ต่างจากด้านนอกอย่างมีน้ำโหก่อนจะก้าวขึ้นเตียงพร้อมกับเขย่าแขนร่างสูงกลับไป

“คุณ! คุณ! ตื่นได้แล้ว”

ราชันย์ชักแขนตัวเองกลับก่อนจะยกหมอนขึ้นปิดหูราวกับอยากจะหนีจากการปลุกของคนข้างๆ

“คุณนี่มันกี่โมงแล้ว! น้ำท่าก็ไม่อาบ!! ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้แล้วมาคุยกันให้รู้เรื่องว่าสภาพห้องพวกนี้คุณแกล้งผมใช่มั้ย!!” ร่างบางไม่ยอมแพ้เขย่าตัวราชันย์อย่างไม่นึกกลัวกลับ แฟร์คิดว่าสภาพห้องทั้งหมดที่เห็นเป็นผลมาจากอาหารรสชาติมหาประลัยที่ตัวเขาเอาคืนโดยการบีบน้ำปลาใส่ลงไปกว่าครึ่งขวดเมื่อวานเป็นแน่!

“อย่ามายุ่งกับกู!!” ราชันย์ออกแรงผลักจนแฟร์ที่ไม่ทันได้ฉวยอะไรเอาไว้หงายหลังตกจากเตียง

ตุ้บ!!

“โอ้ย!!! ซี้ดดด!!!” ร่างบางร้องออกมาด้วยความเจ็บ

ราชันย์เปิดหมอนขึ้นเพียงนิดก่อนจะใช้นัยน์ตาสีดำมองสภาพของคนข้างล่างเตียงแต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ปิดหมอนลงอีกครั้งอย่างไม่ใส่ใจ

แฟร์มองราชันย์อย่างโกรธเคือง เขาไม่เคยต้องโมโหกับอะไรแบบนี้มาก่อน ไม่เคยเจอแม้กระทั่งคนที่ทำให้เขาอารมณ์เสียได้ทุกครั้งที่เจอหน้ากันแบบนี้เลยสักคนเดียว!

ร่างบางยันตัวเองลุกขึ้นพลางลูบไปยังแขนที่เจ็บเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ก่อนที่สายตาของเขาจะสบเข้ากับเศษกระจกที่แตกอยู่ข้างๆ เตียงนอน มันเป็นเศษกระจกจากกรอบรูปที่มีภาพของคนสองคนยืนโอบกอดส่งยิ้มให้กับกล้องโดยมีพื้นหลังของภาพเป็นหาดทรายสีขาวสะอาดกับน้ำทะเลสีฟ้าใสที่ไหนสักแห่ง

แฟร์ขยับตัวเข้าไปใกล้ก่อนจะเพ่งไปยังภาพถ่ายดังกล่าวด้วยหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ผู้ชายในภาพคือราชันย์ที่ยิ้มกว้างออกมาอย่างมีความสุขกับผู้หญิงในอ้อมกอดของเขาที่มีดีกรีเป็นถึงนางแบบสาวรวยเสน่ห์ที่ได้ห่างหายจากวงการไทยและโกอินเตอร์ไปเมื่อไม่นานมานี้เอง

“แพรวา…” ร่างบางพึมพำออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าดารานางแบบสาวที่ตัวเองเคยติดตามผลงานอย่างคลั่งไคล้สมัยยังเรียนอยู่มหา'ลัย จะเคยคบหาอยู่กับผู้ชายร้ายกาจคนนี้

แฟร์เอื้อมมือออกไปหมายจะหยิบรูปนั้นขึ้นมาแต่แล้วมือหนาของคนด้านบนก็ฉวยมือเรียวนั้นเอาไว้เสียก่อน

“อย่ายุ่งกับของของกู!!”

“อ่ะ!!” ร่างบางหลุดปากร้องออกมาเมื่อเศษกระจกที่เกลื่อนกลาดบนพื้นบาดเข้ากับปลายนิ้วของเขาอย่างจัง

แฟร์รีบชักมือกลับก่อนจะมองไปยังบาดแผลของตนที่มีเลือดไหลออกมาด้วยใบหน้านิ่ว

“เอามาให้กูดู” ราชันย์มองท่าทีของอีกฝ่ายก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ

“ไม่ต้อง! แผลเล็กนิดเดียว” แฟร์บอกปัดพลางหลบหลีกมือหนาตรงหน้าที่หมายจะคว้ามือของเขาไปมาอย่างนึกหวง

“เอามาให้กูดู!!” ร่างสูงตวาดเสียงดุก่อนจะฉวยดึงมือเรียวของร่างบางไปทันที

“ผมบอกว่าไม่ต้องไง! ซี้ดดด” สิ้นเสียงแฟร์ก็ต้องนิ่วหน้าอีกครั้งเมื่อราชันย์บีบมือของเขาไม่ให้ชักกลับเอาไว้แน่น

“เจ็บแล้วยังปากแข็ง!” ร่างสูงต่อว่าก่อนที่เขาจะใช้ดวงตาสีดำคู่นั้นจดจ้องไปยังบาดแผลบนนิ้วชี้ข้างขวาของแฟร์ไม่วาง

เมื่อมองดูบาดแผลของคนตรงหน้าอย่างหนำใจร่างสูงที่ดูเหมือนขาดสติก็ครอบริมฝีปากของตนลงบนนิ้วนั้นของแฟร์ทันทีพร้อมกับดูดดึงราวกับกำลังลิ้มลองของหวานที่ถูกใจจนร่างบางที่นิ่งอึ้งไปเบิกตาโพรงเพราะตกใจกับการกระทำของคนตรงหน้า

“คุณทำบ้าอะไร!!!” แฟร์ตวาดก่อนจะออกแรงชักมือกลับมาอีกครั้ง

“ห้ามเลือด” ราชันย์ตอบหน้าตายเขาไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรลงไปหรือนี่เป็นเพียงฤทธิ์ของแอลกอฮออล์ที่ยังคงค้างในกระแสเลือดของเขาจากเมื่อวานกันแน่นะ!

“ผ้าก็ตั้งเยอะทิชชู่ก็มีผมห้ามเองได้!” แฟร์ลุกพรวดก่อนจะก้าวหนีอีกคนออกจากห้องแต่แล้วราชันย์ก็เอ่ยคำพูดหนึ่งกักจังหวะก้าวเท้าของเขาเอาไว้เสียก่อน

“รังเกียจ?”

แฟร์หันกลับไปมองใบหน้าของคนเพิ่งตื่นอีกครั้ง สภาพที่น้อยคนนักจะได้เห็นช่างดูผิดแปลกไปจากราชันย์ที่เขาเคยเจอมาทุกครั้ง

ร่างสูงบนเตียงที่ใช้ดวงตาสีดำคู่นั้นจ้องเขาราวกับอยากได้คำตอบจากคำถามเมื่อครู่ช่างดูเหมือนกำลังเก็บงำความทุกข์อะไรสักอย่างเอาไว้จนแฟร์รู้สึกได้จากแววตาของเขาที่มองทอดมา

“คุณไปอาบน้ำเถอะเดี๋ยวผมจะทำความสะอาดห้องแล้วจะทำอะไรให้ทาน”

แฟร์พูดทิ้งท้ายเพียงเท่านั้นก่อนจะรีบเดินออกจากห้องมาด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นระส่ำ ร่างบางมองดูบาดแผลบนนิ้วของตัวเองด้วยใบหน้าที่เห่อร้อนก่อนจะพยายามไล่เหตุการณ์บ้าๆ เมื่อครู่ออกจากหัว

เสียงน้ำด้านในที่ดังผ่านประตูห้องนอนที่ปิดไม่สนิทออกมาทำให้ร่างบางรู้ว่าราชันย์ได้ลุกออกจากเตียงและกำลังทำธุระส่วนตัวอยู่ เขาจึงหยุดความคิดที่เริ่มจะฟุ้งซ่านก่อนจะเริ่มลงมือเก็บกวาดห้องตรงหน้าทันที

****************************

“ไข่เจียว?” ราชันย์ที่นั่งลงบนโต๊ะทานข้าวหลังจากทำธุระทุกอย่างจนเสร็จเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอาหารตรงหน้า

“ครับ” แฟร์ตอบพลางมองอีกฝ่ายกลับ

“อีกแล้ว?” ร่างสูงย้ำ

“ก็ในตู้เย็นของคุณมันไม่มีอะไรเลยนอกจากไข่นี่ครับ พวกเครื่องแกงก็ไม่มี ซอสปรุงรสก็แทบหาไม่เจอแล้วผมจะทำอะไรได้มากกว่านี้อีก” แฟร์พูดพลางเดินไปทำความสะอาดโต๊ะทำงานของราชันย์ต่อ

“แล้วทำไมไม่ไปซื้อ” ร่างสูงเอ่ยกลับก่อนที่ร่างบางของคนที่เขาพูดด้วยจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของห้องอย่างสงสัย

“นั่นก็เป็นหน้าที่ผมด้วยเหรอครับ” แฟร์ถามเมื่อไม่รู้

“ฉันควรทำความเข้าใจกับนายใหม่มั้ย นี่มันงานของนายทั้งหมดหรือเมื่อวานนายไม่เก็ทกับสิ่งที่ฉันพูด” ราชันย์เค้นว่าจนแฟร์หน้าเจือนลงไปทันที

“ก็ผมไม่รู้นี่นา” ร่างบางพูดเสียงอ้อมแอ้ม

“ไม่รู้แล้วทำไมถึงไม่ถาม” ราชันย์ตำหนิอีกฝ่ายเสียงเข้ม

“ผมขอโทษ” เมื่อไม่รู้ว่าควรทำยังไงแฟร์จึงเลือกกล่าวขอโทษอีกฝ่ายกลับไปแทน

บางทีร่างบางก็อาจจะยังสับสนระหว่างชื่อตำแหน่งและลักษณะงานแต่ตอนนี้แฟร์รู้ดีแล้วว่าตำแหน่งของเขามันไม่ใช่เลขานุการอีกต่อไปหากแต่เขาเป็น พ่อ(แม่) บ้านของราชันย์ดีๆ นี่เอง

“ชงกาแฟให้ฉันก็พอส่วนอาหารพวกนี้เททิ้งให้หมด” เมื่อเห็นใบหน้าที่คิดหนักของแฟร์ราชันย์จึงได้แต่ถอนหายใจก่อนจะบอกอีกฝ่ายกลับไปเพียงเท่านั้น

“ผมรู้ว่าผมผิดแต่คุณจะไม่ทานมันสักนิดเลยเหรออาหารเมื่อวานของผมคุณก็ไม่ทานแล้วยังงี้คุณจะให้ผมทำมันไปทำไม” คนรับคำสั่งทำหน้าไม่พอใจเมื่อถูกอีกฝ่ายสั่งกลับมาแบบนั้นเพราะเมื่อครู่ที่ร่างบางทำความสะอาดอาหารบนโต๊ะของเมื่อวานก็ดันเสียโดยไม่มีร่องรอยของการทานมันเลยแต่อย่างใด

“หึ! อาหารเมื่อวาน? นั่นมันเรียกว่าอาหารได้ด้วยเหรอ!” ราชันย์ลุกพรวดขึ้นเมื่ออีกฝ่ายจุดชนวนเรื่องที่ยังค้างคาใจของเขาออกมาก่อนจะย่างสามขุมตรงไปหาร่างบางโดยเร็ว

แฟร์ถดตัวหนีเมื่อนึกขึ้นได้ว่ากำลังแหย่หนวดเสือเข้าให้ ร่างบางนึกว่าตัวเองในใจอย่างบ้าคลั่งที่ปากเร็วและไม่คิด ก่อนที่คนเป็นนายจะโน้มตัวลงมาพร้อมกับเท้าแขนกับโต๊ะทำงานโดยมีเขาอยู่ในอ้อมแขนเอาไว้เรียบร้อย

“ว่าไง! ไอ้สารพัดเมนูไข่ของนายเมื่อวานมันเรียกว่าอาหารได้ด้วยเหรอ!” ราชันย์ถามก่อนที่แฟร์จะเอาแต่ปิดปากเงียบ

“กูถาม!!” ร่างสูงตะคอกกลับจนแฟร์หลับตาปี๋

“ผมก็แค่แกล้งเอาคืนคุณเท่านั้นเอง!!”

“ปัญญาอ่อนแค่ไหนแต่ถ้ารสชาติมันเหี้ยได้ถึงขนาดนั้นเป็นใครก็กินไม่ได้หรอก!!” ร่างสูงสาดคำหยาบกลับอย่างโทสะ

“ผมขอโทษ” แฟร์ได้ยินดังนั้นก็สะอึก เขาไม่คิดเลยว่าผู้ชายตรงหน้าจะอารมณ์ร้ายได้ถึงขนาดนี้

ซึ่งเรื่องนี้เขาผิด! เขาเองรู้ตัวดีเพียงแต่ตอนนี้แฟร์ไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงต่อไป!

ราชันย์มองใบหน้าสลดของคนตัวเล็กกว่าอย่างนึกขำ แม้ร่างสูงจะพ่นคำพูดร้ายกาจออกมาแค่ไหนแต่ที่ทำไปมันไม่ได้เป็นความจริงเลยสักนิดเดียวเพราะเขาเอง...

ก็แค่อยากจะแกล้งแฟร์กลับบ้างก็เท่านั้น**!**

“อ่ะ!! คุณจะทำอะไร!” แฟร์ร้องเหวอพลางดิ้นเมื่อจู่ๆ มือแกร่งก็แบกตัวเขาขึ้นนั่งบนโต๊ะทำงานก่อนที่ราชันย์จะใช้มือขวาโอบรัดรอบเอวของเขาเอาไว้แน่นส่วนมือซ้ายก็เท้าไว้บนโต๊ะราวกับเป็นกรงขังไว้ไม่ให้หนี

“ที่บอกว่าแกล้งเอาคืนนั่นเรื่องไหน? เรื่องที่กูจับมึงผิดตัวหรือเรื่องที่กูให้มึงมาทำงานที่นี่” ร่างสูงกระซิบถาม

“คุณราชันย์คุณถอยออกไปก่อน!” แฟร์ไม่สนใจคำถามของอีกฝ่ายเจ้าตัวได้แต่พยายามดันแผงอกแกร่งให้ห่างออกไปไม่หยุด

“ตอบกูมา” ราชันย์เอ่ยเสียงเย็นเยียบจนคนได้ยินขนลุก แฟร์หยุดการกระทำของตัวเองลงก่อนจะจ้องอีกฝ่ายแล้วตอบกลับไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ไม่มีเรื่องไหนทั้งนั้นแหละ! แต่แกล้งก็คือแกล้งผมเองก็ขอโทษคุณไปแล้วไง”

“หึ! ถ้าอย่างงั้นกูก็แกล้งมึงกลับได้ใช่มั้ย” ราชันย์แสยะยิ้มร้ายจนแฟร์นึกเสียวสันหลัง แต่ก่อนจะทันได้ตั้งตัวร่างสูงก็รวบคนตัวเล็กเข้าไปกอดแน่นพร้อมกับลงมือปลุกปล้ำจนแฟร์ต้องร้องห้าม

“ปล่อยผมนะ! อ่ะ! อย่า!!” ราชันย์ก้มลงซุกไซร้ซอกคอขาวของแฟร์อย่างไม่ออมมือ แรงต่อต้านของร่างบางเพิ่มมากขึ้นหลังจากที่ร่างสูงฝังรอยเขี้ยวลงไปราวกับอยากจะประกาศความเป็นเจ้าของก่อนที่มือหนาจะล้วงเข้าไปใต้ร่มผ้าเพื่อหยอกล้อเล่นกับตุ่มไตเล็กบนหน้าอกของร่างบางอย่างผู้ชำนาญ

“คุณราชะ…!!!” แฟร์เบิกตาโพรงเมื่อริมฝีปากของเขาถูกคนตรงหน้าฉกชิงไปอีกเป็นครั้งที่สอง

ลิ้นร้อนของราชันย์กวาดต้อนลิ้นเล็กที่ยังบังคับมันอย่างไม่รู้ประสาจนร่างบางเริ่มระทวย คนตัวสูงเคลื่อนมือขึ้นจับท้ายทอยของแฟร์เอาไว้มั่นก่อนจะส่งจูบหนักๆ กลับไปให้คนอ่อนหัดอีกครั้งจนลมหายใจของแฟร์แทบขาดห้วง

ริมฝีปากสีคล้ำเคลื่อนเก็บเกี่ยวความหอมหวานที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิตอย่างช้าๆ พลางหยอกล้ออีกฝ่ายด้วยการแกล้งกัดริมฝีปากเล็กกลับไปอย่างหมั่นเขี้ยวจนแฟร์ถึงกับสะดุ้งโหยง

“อ่ะ!! อื้ออออ!” ร่างบางส่งเสียงเล็ดลอกออกมาก่อนจะมองผ่านเสี้ยวหน้าของราชันย์อย่างไม่เข้าใจ

มือเล็กที่แต่เดิมเขาใช้มันเพื่อป้องกันตัวเองโดยการดันแผงอกแกร่งตรงหน้าเอาไว้กลับไร้แรงขัดขืนขึ้นมาเสียดื้อๆ เมื่อบทจูบที่เริ่มต้นด้วยความดิบเถื่อนและเร้าร้อนกลับกลายเป็นความอ่อนโยนที่อีกคนพยายามจะมอบให้

ปัง!

“กรี๊ดดดด!!!” เสียงที่ดังจากทางประตูห้องทำให้คนทั้งคู่หลุดออกจากภวังค์ความหอมหวานโดยฉับพลัน

“แพรวา!/คุณแพรวา!” ราชันย์และแฟร์เอ่ยขึ้นหลังจากผละออกจากกันก่อนที่หญิงสาวจะถลาตรงเข้ากระชากร่างบางออกจากอกของราชันย์และตามด้วย…!!

เพี้ยะ!!

มือเล็กตวัดตบลงบนแก้มใสของแฟร์เต็มแรงจนอีกฝ่ายหน้าหัน ราชันย์ตรงเข้าห้ามทันทีเมื่อแพรวาดูท่าจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ เพราะฝ่ายนั้นพยายามทึ้งผมและลงแรงทุบตีแฟร์กลับไปในเวลาเพียงเสี้ยวนาทีหลังจากถูกตบ

“หยุดเดี๋ยวนี้!! ผมบอกให้หยุด!!!” ร่างสูงพยายามรวบตัวนางแบบสาวที่สูงกว่าร้อยเจ็ดสิบสี่เซนติเมตรออกจากร่างของแฟร์ที่ไม่คิดแม้แต่จะโต้ตอบเลยแม้แต่น้อย

“แก! แกใช่มั้ยที่แย่งชันย์ไปจากฉัน!! ปล่อยนะชันย์! แพรจะตบมัน! แพรจะตบสั่งสอนความร่านของมัน!!”

“หยุดเดี๋ยวนี้แพร!!” ราชันย์ตวาดห้ามก่อนจะผลักหญิงสาวร่างระหงลงไปกองกับพื้น

“ทำไมชันย์ถึงทำกับแพรแบบนี้!!!” แพรวากรี๊ดลั่นก่อนราชันย์จะไม่สนใจและเดินเข้าไปหาแฟร์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลก่อนพนักงานแผนกบุคคลอย่างมินตราจะวิ่งเข้ามาในห้องอย่างเหนื่อยหอบ

“มะ…มินพยายามห้ามแล้วค่ะคุณราชันย์ตะ…แต่คุณแพรวาเธอไม่ยอมหยุดเลย” มินตราพูดตะกุกตะกักเพราะต้องเว้นช่วงหายใจเนื่องจากเธอพยายามวิ่งขึ้นบันไดมาเพื่อหวังสกัดกั้นแพรวาเอาไว้ก่อนแต่กลับไม่ทันการณ์

“เป็นไรหรือเปล่า” หลังจากทราบเรื่องจากคนมาใหม่ราชันย์ก็หันกลับมามองหน้าแฟร์ที่มีเลือดซึมออกจากมุมปากพลางถามขึ้น

แฟร์ส่ายหน้ากลับก่อนจะเอาแต่ก้มหน้าลงจนแพรวาที่พยายามลุกขึ้นถลาเข้าหาตัวเขาอีกรอบ

“หน้าด้าน! วิปริต! ไม่มีปัญาหาผัวเองหรือไงถึงได้มาแย่งคนของคนอื่นเขาแบบนี้!!” หญิงสาวต่อว่าก่อนจะฟาดมือลงบนเสี้ยวหน้าของแฟร์อีกครั้ง

“หยุดแพรวา!!” ราชันย์รวบตัวนางแบบสาวก่อนที่เธอจะเอาแต่ด่ากราดออกมาไม่ลดละ

“ฉันเกลียดแก!! ไอ้เกย์หน้าไม่อาย ไอ้ผิดเพศ!!”

ตุ้บ!!

“โอ้ย! แพรเจ็บนะชันย์!!” แพรวาหลุดปากร้องออกมาเมื่อราชันย์ทิ้งตัวเธอลงบนโซฟาอย่างไม่ออมแรงก่อนร่างสูงจะชี้หน้าและหมายหัวกลับไป

“ถ้าไม่หยุดอย่าหาว่าผมใจร้ายนะแพรวา!!”

คนถูกว่ากัดปากพลางจ้องแฟร์ที่ยืนอยู่ด้านหลังของราชันย์กลับอย่างเอาเรื่อง ร่างสูงถอนหายใจพลางเสยผมอย่างคิดหนักก่อนจะเอ่ยปากบอกมินตราที่มองเหตุการณ์ด้วยความอึ้งอยู่นานขึ้น

“มินตราคุณพาแฟร์ออกไปก่อน” เสียงทุ้มดังขึ้นหากแต่พนักงานสาวยังคงมีทีท่าเมินเฉยจนเขาต้องขึ้นเสียง

“คุณมินตรา!!”

“ค่ะ…คะ?” มินตราขานรับราวกับถูกกระชากออกจากภวังค์

“พาแฟร์ออกไปก่อน” ราชันย์สั่ง

“ค่ะ” ร่างระหงของพนักงานสาวขานรับคำสั่งก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างบางที่ยืนนิ่งเป็นหินราวกับคนตกใจพลางบอกให้แฟร์เดินตามเธอออกไปท่ามกลางดวงตาสีดำที่จ้องมองไปยังแผ่นหลังเล็กนั้นอย่างไม่วางตาจนกระทั่งอีกฝ่ายก้าวผ่านประตูออกจากห้องนี้ไปในที่สุด


TBC.....
--------------------------------------------

อ๋อยยยยยยย อีเฮียรุกหนักมากค่ะ อาจจะรุกแบบเถื่อนๆ ไปบ้าง
แต่แกก็มีเค้าว่าจะคิดอะไรกับน้องแฟร์ของเราแล้วนะ
น้องแฟร์ก็เกือบไม่รอดจากเงื้อมือเฮียแกละ
#ดีมั้ยที่แพรวาเข้ามาขัด ฮาาาาาาาาาาาาาา

ออฟไลน์ som

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +230/-2
รอบๆตัวของชันย์ ไม่ได้มีคนดีเลยที่จริงชันย์เหมาะกับแพรวามากกว่านะ  ผีกับโลงมันของคู่กัน

ออฟไลน์ Gato88

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แฟร์ นี่ดีเกินไปอะ เห้อออออออ :katai4:

รออ่านต่อน้า  :mew1:

ออฟไลน์ cheepoke

  • ^_^\/ สู้ๆ ฮู้เล่ๆ
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
    • https://www.facebook.com/BlueGusten.FictionY/


CHAPTER  8



แฟร์เดินตามมินตราเข้ามาในแผนกบุคคลก่อนที่พนักงานประจำแผนกนี้อย่างเธอจะหาเก้าอี้ให้เขานั่งพลางเปิดตู้เย็นเพื่อเอาน้ำแข็งในถาดที่ถูกแช่เอาไว้ออกมาห่อด้วยผ้าขนหนูสีขาวและยื่นมันให้เขาด้วยใบหน้าเป็นห่วง

“เจ็บมากมั้ยแฟร์” มินตราถามก่อนจะนั่งลงข้างๆ เขา

“นิดหน่อยครับ”

“แล้วเป็นไงมาไงยัยดารานั่นถึงได้ทำร้ายแฟร์ล่ะ” คนแก่กว่าถามกลับก่อนที่สมองของร่างบางจะฉายภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ขึ้นมาอีกครั้ง

แฟร์ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงได้เผลอไผลไปกับรสจูบของราชันย์ เขาพลาดมากที่ยอมให้อีกฝ่ายฉกชิงริมฝีปากไปอีกครั้งจนเกิดเรื่องเมื่อครู่ขึ้น

“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดน่ะครับ” แฟร์ตอบก่อนจะทาบผ้าขนหนูที่มีก้อนน้ำแข็งอยู่ด้านในลงบนมุมปากตัวเองเบาๆ

บทสนทนาของทั้งคู่สร้างความสนใจให้กับคนในแผนกเป็นอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้นคนที่นี่ก็รู้ดีว่าเรื่องเจ้านายเป็นอะไรที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งพวกเขาจึงเลือกที่จะนั่งอยู่กับที่และไม่รับรู้อะไรเสียจะดีกว่าเว้นแต่มินตราที่ทำงานมานานกว่าเจ็ดปีเธอจึงเป็นเหมือนคนสนิทอีกคนของราชันย์แถมยังรู้เรื่องเขามากกว่าคนอื่นๆ อีกด้วย

“แต่ดูท่ายัยนั่นจะโมโหมากเลยนะแถมยังด่าเราเสียๆ หายๆ ด้วยตกลงนี่เราไม่ได้มีอะไรกับคุณราชันย์ใช่มั้ย” มินตราถามเมื่อคำด่ากราดของแพรวายังดังก้องอยู่ในหูเธอไม่หาย

แฟร์ทำหน้าคิดหนักเมื่อเจอคำถามนี้เข้า จะว่ามีก็ไม่มีแต่จะว่าไม่มีก็เหมือนมี ร่างบางจึงไม่รู้ว่าแท้จริงการกระทำของพวกเขาทั้งคู่เมื่อกี้เรียกว่าอะไรกันแน่

“คะ…ครับ” แฟร์ตอบกลับเสียงอ่อนเมื่อคิดหาคำตอบไปมาอยู่เกือบครึ่งนาทีก่อนที่มินตราจะสบถเรื่องหนึ่งออกมาจนเขาสงสัย

“เฮ้อ…เหตุการณ์แบบนี้ไม่เห็นมานานแค่ไหนแล้วนะ”

“หมายความว่าไงเหรอครับ”

“ก็ที่ยัยนั่นอาละวาดไงเมื่อสามปีก่อนก็เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเหมือนกันทำเอาพวกพี่รู้เลยว่าดาราคนนี้ร้ายกาจแค่ไหน” มินตราสาธยาย

“เธอเคยคบกับคุณราชันย์เหรอครับ” แฟร์ถามเมื่อรูปภาพที่เขาเห็นในห้องนอนของราชันย์ไม่สามารถคิดไปในทางอื่นได้อีกนอกเสียจากเรื่องนี้

“ใช่คบกันนานมากเลยนะได้ยินมาว่าเกือบห้าปีแน่ะแต่ที่ไม่เคยตกเป็นข่าวก็เพราะพวกเขาทั้งคู่ระวังตัวมากยังไงล่ะ”

“แล้วทำไมพวกเขาถึงได้…” แฟร์ที่นั่งฟังสิ่งที่มินตราพูดอย่างใจจดใจจ่อพยายามเอ่ยถามอีกคนกลับไปอีกครั้ง

“ถึงได้เลิกกันน่ะเหรอ” ร่างบางพยักหน้ารับ

“เรื่องนี้พี่ก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกันแต่เคยได้ยินมาว่ายัยแพรวาน่ะอยากโกอินเตอร์เลยไปรับงานของบริษัทคู่แข่งคุณราชันย์พวกเขาก็เลยทะเลาะกันแล้วก็เลิก”

“แค่นี้น่ะเหรอครับ” แฟร์เอ่ยเมื่อสิ่งที่อีกคนบอกมันดูหละหลวมจนไม่น่าเอามาเป็นเหตุผลหลักในการเลิกกันของคนที่คบกันมากว่าห้าปีได้

“ไม่รู้เหมือนกันแต่พี่รู้มาแค่นี้แหละ” หญิงสาวตอบก่อนที่เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะของเธอจะดังขึ้น

“ค่ะ…ค่ะ…ได้ค่ะ…เดี๋ยวมินจะบอกแฟร์ให้นะคะ” มินตราวางโทรศัพท์ลงหลังจากพูดกับปลายสายเสร็จแล้ว

“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่มิน” แฟร์ถามเมื่อได้ยินชื่อของตัวเองในบทสนทนาเมื่อครู่ก่อนที่มินตราจะบอกเรื่องที่เพิ่งจะได้รับมาจากอีกฝ่ายให้เขาได้รู้ออกไป

“คุณราชันย์โทรมาบอกน่ะว่าวันนี้ให้แฟร์กลับบ้านได้เลยส่วนพรุ่งนี้ก็ให้รอโทรศัพท์จากเขาก่อนแล้วค่อยมาทำงานนะ” แฟร์ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยอมทำตามสิ่งที่คนเป็นนายสั่งแต่โดยดี

“อ่อ…ได้ครับ” ร่างบางตอบรับคำก่อนที่เขาจะขอตัวกลับบ้านไป




หลังจากวางสายจากพนักงานแผนกบุคคลของตน ราชันย์ที่เอาแต่เงียบก็ตัดสินใจใช้นัยน์ตาคมคู่นั้นมองไปยังหญิงสาวที่จ้องเขากลับอยู่ก่อนหน้านี้แล้วจากโซฟาตัวใหญ่ในส่วนของห้องรับแขกก่อนที่คนตัวสูงจะเอ่ยเสียงทุ้มออกไป

“มาทำไม”

“แพรก็มาหาคุณน่ะสิคะ! คุณเปลี่ยนไปมากนะชันย์เปลี่ยนไปแม้กระทั่งรสนิยม!!” เมื่ออีกคนเหมือนจะเปิดโอกาสแพรวาก็พล่ามออกไปแทบจะทันทีก่อนที่ดารานางแบบสาวคนนี้จะลุกขึ้นก้าวชับๆ เดินไปหาร่างสูงด้วยท่าทีเอาเรื่อง

“ผมก็เป็นของผมแบบนี้” ราชันย์ตอบ

“โกหก! คุณไม่เคยชอบผู้ชาย…หรือตอนนี้คุณกลายเป็นเกย์ไปแล้ว!!” แพรวาพยายามจะเถียงแต่แล้วจู่ๆ เธอก็เกิดไม่มั่นใจอดีตคนรักอย่างราชันย์ขึ้นมาก่อนจะปริปากถามกลับไป

“ก็แล้วแต่คุณจะคิด” ร่างสูงที่เบื่อหน่ายจะพูดทำท่าว่าจะเดินออกไปแต่แล้วแพรวากลับฉวยกอดเขาไว้จากทางด้านหลังแทน

“ไม่นะชันย์! เรื่องนี้แพรผิดเองคุณอย่าเป็นเกย์เลยนะแพรขอโทษคราวหลังหากคุณต้องการแพรจะมาหาเองคุณจะได้ไม่ต้องพึ่งพวกนั้นเพื่อแก้ขัดอีกแพรพร้อมสำหรับคุณเสมอขอแค่คุณเอ่ยปากบอกแพรก็จะสนองให้คุณทุกอย่าง” หญิงสาวพรั่งพรูคำพูดเชื้อเชิญให้เขาจนราชันย์ถึงกับแสยะยิ้มก่อนร่างสูงจะจับมือของแพรวาให้คลายออกและหันไปโน้มตัวลงจ้องเธอกลับพลางคว้าเอาต้นแขนของเธอมาถือเอาไว้

“สำคัญตัวผิดไปมั้ยแพรผมไม่ได้อดอยากถึงขนาดต้องกลับไปกินน้ำพริกถ้วยเก่าแบบคุณหรอกเพราะถ้าผมอยากมีอะไรกับใครสักคนแม้แต่ผู้ชายด้วยกันขอคลำดูแล้วมีรูผมก็ยอมทำกับเขาดีกว่าต้องทำกับคุณเป็นไหนๆ” ราชันย์เอ่ยคำพูดเสียดแทงเสียงเรียบทำเอาแพรวาที่ทำหน้าเคลิ้มเพราะคิดว่าเขาจะใจอ่อนถึงกับอ้าปากค้างทันทีที่ได้ยิน

“ชันย์!!! คุณพูดแบบนี้กับแพรได้ยังไง! น่าเกลียดที่สุด!!” แพรวาตวาดเสียงแหลมก่อนที่ชายหนุ่มเจ้าของห้องจะสวนกลับทันควัน

“เกลียดมากก็ออกไปเพราะผมเองก็เกลียดคุณพอๆ กัน!”

“กรี๊ดดดด!!!” ดาราสาวกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บใจระคนอับอาย เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอดีตคนรักคนนี้จะด่าสาดเสียเทเสียได้มากถึงเพียงนี้

“จำคำพูดของคุณเอาไว้เลยนะ! แพรไม่ยอมจบง่ายๆ แน่!” แพรวาขู่กลับ

“อยากทำอะไรก็เชิญแต่ถ้ามันเกินขอบเขตของผมเข้ามาล่ะก็อย่าหาว่าผมไม่เตือน!” ร่างสูงไม่ยอมแพ้บอกจุดยืนของตัวเองกลับไปเช่นเดียวกัน

“ได้! เราจะต้องได้เจอกันอีกแน่!! คุณจะต้องขอโทษที่พูดกับแพรในวันนี้แพรจะทำให้คุณกลับมารักแพรให้ได้!!” แพรวาเอ่ยหมายหัวแต่ราชันย์เองก็ไม่ยอมแพ้เพราะทันทีที่หญิงสาวจะเดินออกจากห้องนี้ไปเขาก็ได้พูดคำท้าไล่หลังอย่างไม่ยี่หระ

“ผมจะรอดูวันนั้น”

แพรวากระทืบเท้าด้วยความหงุดหงิดปนโกรธจัดเธอคว้าเอากระเป๋าถือที่ทำตกไว้ตอนเข้าไปกระชากร่างบางของผู้ชายที่กำลังกอดจูบอยู่กับอดีตคนรักของตนเมื่อกี้ขึ้นก่อนจะเดินไปทางประตูห้องทันที

ราชันย์มองตามผ่านหลังนั้นด้วยแววตาที่ว่างเปล่า ความรู้สึกที่เคยมีตอนนี้มันไม่เหลืออีกต่อไปแล้ว ในเมื่ออดีตผู้หญิงคนที่เขาเคยรักมากคนนี้เป็นเพียงแค่ภาพในวันวานที่เอากลับมาไม่ได้อีก

เขาทั้งคู่มาไกลเกินกว่าคำว่า กลับมาคืนดีกัน จะสามารถใช้ได้ ความรักในครั้งนี้ของพวกเขาจึงไม่ต่างอะไรจากน้ำหวานผสมยาพิษที่ไม่ควรยกขึ้นดื่มอีกครั้งหากทว่าคุณเคยเผลอดื่มมันเข้าไปแล้ว เพราะมันจะทำให้คุณทรมานกว่าครั้งแรกเป็นไหนๆ

ดีที่ราชันย์เป็นคนไม่จมปรักอยู่กับอดีตความรักโง่ๆ นี้เขาจึงไม่รู้สึกอะไรเมื่อต้องเอ่ยถ้อยคำหยาบคายพวกนั้นกับอีกฝ่ายเพื่อให้เลิกยุ่งกับตัวเอง

เพราะเขาถือว่าถ้อยคำเหล่านั้นแพรวาสมควรที่จะได้รับมัน!




ตี๊ดดด~ ตี๊ดดด~ ตี๊ดดด~

ร่างบางควานหาโทรศัพท์ที่กำลังแผดเสียงร้องด้วยมือเล็กของเขาที่เอื้อมออกไปอย่างซะเปะซะปะ ดวงตาสีน้ำตาลที่พ้นออกจากผ้าห่มผืนบางหันไปมองหน้าปัดนาฬิกาตรงฝาผนังห้องที่ตอนนี้บอกเวลาตีห้าครึ่งพอดิบพอดี

แฟร์ยันตัวเองลุกเมื่อควานหาโทรศัพท์จนทั่วเตียงแล้วไม่เจอก่อนร่างเพรียวจะเดินไปยังโต๊ะหนังสือที่อยู่ไม่ไกลพลางควานหาโทรศัพท์อีกครั้งจากในกระเป๋าทำงาน

“ครับ” ร่างบางกรอกเสียงกลับไปทั้งที่ไม่ได้ดูรายชื่อคนที่โทรเข้ามา

[ฉันให้เวลานายหนึ่งชั่วโมงมาหาฉันที่บริษัทเดี๋ยวนี้] เสียงทุ้มจากปลายสายทำเอาร่างบางถึงกับเบิกตาด้วยความตกใจก่อนที่เขาจะยกหูออกจะมองไปยังเบอร์ที่โทรเข้ามาทันที

ให้ตายเถอะ! นี่มันเบอร์ของราชันย์!!

“เมื่อกี้คุณพูดว่าไงนะครับ” แฟรถามย้ำเมื่อคิดว่าคำพูดของปลายสายน่าจะมีอะไรผิดพลาด

[อย่าให้พูดเป็นครั้งที่สอง] ราชันย์เอ่ยกลับเสียงเย็น

“คุณจะให้ผมไปทำงานเวลานี้!?”

[…]

“แต่คุณ! นี่มันเช้ามากเลยนะ” แฟร์โอดครวญเสียงใส

[ทำตามคำสั่งก็พอฉันหวังว่านายจะไม่เลทนะ]

“ผม!...”

[ตอนนี้นายเหลือห้าสิบเก้านาที ขืนมาช้าไปเท่าไหร่ฉันคิดเงินนายตามเวลาพวกนั้นสามเท่า!] ราชันย์ขู่กลับเมื่อแฟร์พยายามจะปฏิเสธอีกระลอก

“โอเคๆ! ผมจะไป!! ถ้างั้นผมจะวางสายแล้วนะครับ” ร่างบางทำท่าจะวางสายหลังพูดจบแต่แล้วเสียงจากปลายสายก็ฉุดมือเขาให้ชะงักการกรกะทำพวกนั้นไว้ก่อน

[เดี๋ยว!]

“…”

[ซื้ออาหารเช้าเข้ามาด้วย] ราชันย์เอ่ยสั่ง

“ฮ่ะ! อ่อ ดะ…ได้ครับแล้วคุณอยากทานอะไร” แฟร์ได้ยินดังนั้นก็เกิดอาการงงก่อนที่เขาจะนึกขึ้นได้ว่านี่คือหน้าที่ของตัวเองร่างบางจึงถามราชันย์กลับ

[อะไรก็ได้ที่มีไข่]

แฟร์เกือบหลุดขำเมื่อได้ยินสิ่งที่ปลายสายพูด

“ผมนึกว่าคุณไม่ชอบทานไข่ซะอีกเห็นทำให้ทุกทีไม่เคยแตะ” ร่างบางได้ทีเหน็บคนเป็นนายกลับ

[เผอิญไข่ที่นายทำมันกินไม่ได้แต่ถ้าเป็นไข่อย่างอื่นของนายล่ะก็…ฉันพร้อมกิน]

“!!”

แฟร์ชะงักกับประโยคตอบกลับของราชันย์ ร่างบางหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์จนปลายสายสัมผัสได้ว่าเขากำลังเคืองคำพูดของตัวเอง

[เหลือห้าสิบเจ็ดนาที] ราชันย์เอ่ยเสียงทุ้มกระชากสติที่กระเจิงออกไปของคนจากฝั่งนี้ให้กลับมา

“คุณมันทะลึ่ง!!” แฟร์อดไม่ได้ที่จะต่อว่าอีกฝ่าย ร่างบางส่งเสียงฮึดฮัดจนราชันย์ต้องทำทีเป็นเร่งเมื่อรู้ว่าอีกคนเริ่มใจไม่อยู่กับตัวเข้าไปทุกที

[เหลือห้าสิบหก] เสียงทุ้มเอ่ยก่อนที่เลขาฯ ตัวดีจะตาลีตาเหลือกตัดบทกลับไป

“ผมจะวางสายแล้วแค่นี้นะ!” แฟร์กดวางสายหลังจากพูดจบก่อนจะคว้าเอาผ้าเช็ดตัวสีขาวที่ถูกแขวนเอาไว้หน้าตู้เสื้อผ้าหลังเล็กพร้อมกับพุ่งตัวเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัวทันที




ร่างบางมาถึงห้องของราชันย์ตรงเวลาพอดีเป๊ะ! แฟร์ที่วิ่งมายืนหอบจนตัวโยนหลังจากที่ผลักประตูเข้ามาในห้องเป็นที่เรียบร้อย

ราชันย์ในท่านั่งอ่านหนังสือพิมพ์ตรงโซฟาส่วนของห้องรับแขกเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้านึกขำ เหงื่อเป็นเม็ดที่ผุดขึ้นตามใบหน้าของแฟร์ยิ่งทำให้ราชันย์หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

“ซื้ออะไรมา” ร่างสูงถามพลางเดินตามแฟร์เข้าไปในส่วนของห้องครัว

“โจ๊ก”

“ฉันไม่ชอบกินโจ๊ก” คำพูดของราชันย์ทำเอาแฟร์ที่กำลังจะเทโจ๊กใส่ชามให้อีกฝ่ายถึงกับทำหน้าไม่พอใจขึ้น

“แต่ผมหาอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้วเวลานี้เขาเปิดร้านที่ไหนกันเล่า” ร่างบางบ่น

“แล้วโจ๊กที่ซื้อมา?”

“ของเซเว่นไข่ต้มก็ด้วย” พูดเสร็จแฟร์ก็จ้องราชันย์นิ่งก่อนที่เขาจะเอ่ยถามกลับไปอีก

“คุณจะทานมั้ย”

ราชันย์มองใบหน้าของอีกคนที่เริ่มบูดบึ้งเพราะถูกขัดใจก่อนร่างสูงจะเดินไปนั่งบนโต๊ะทานข้าวท่ามกลางนัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองมายังเขาอย่างขัดอารมณ์

“ที่เซเว่นก็มีอย่างอื่นให้เลือกตั้งเยอะทำไมสิ้นคิดซื้อไอ้นี่มา” ร่างสูงว่าพลางจ้องอีกคนกลับ

“ผมจะรู้ได้ไงว่าคุณชอบทานอะไรอีกอย่างตอนเช้าขนาดนี้คุณจะทานอาหารหนักเลยเหรอเดี๋ยวก็แสบท้องแย่” แฟร์พยายามแก้ตัว เขาเพิ่งมาเริ่มงานแค่ไม่กี่วันจะให้รู้เรื่องของคนเป็นนายมากมายขนาดนั้นได้ยังไงแค่เรื่องแฟนเก่ายังเซอร์ไพส์ไม่หายเลย!

“นั่นมันเรื่องของฉัน” ราชันย์ตอบก่อนร่างบางจะทนไม่ไหวคาดคั้นเอาคำตอบ

“ตกลงคุณจะไม่ทาน?” แฟร์มองอีกฝ่ายราวกับคนเสียอารมณ์

“ถ้าไม่ทานผมจะได้เอาไปทะ…”

“บอกเมื่อไหร่ว่าไม่จะกิน…แกะใส่ชามมา” เมื่อแกล้งอีกฝ่ายจนสาแก่ใจราชันย์ก็กระแอมสั่งแฟร์กลับ

ร่างบางเผลอจ้องอีกฝ่ายที่ไม่ทันรู้ตัวก่อนเขาจะเห็นรอยยิ้มผุดขึ้นมาราวกับไม่ได้จงใจของราชันย์ ร่างสูงหุบยิ้มทันทีเมื่อตกเป็นเป้าสายตาก่อนคนเป็นนายจะลุกเดินไปหยิบหนังสือพิมพ์ที่อ่านค้างไว้ทันทีราวกับคนแก้เขิน




เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยราชันย์ก็ทำการยื่นกำหนดการเจรจาธุรกิจกับลูกค้าของวันนี้ให้กับแฟร์ทันที ร่างบางมองเอกสารตรงหน้าพลางขมวดคิ้ว เขาไม่รู้เลยว่ามันคืออะไรก่อนคนเป็นนายจะเอ่ยบอกออกมาเมื่อสีหน้าของอีกคนทำให้เขารู้ดีว่าแฟร์ไม่เข้าใจ

“นี่เป็นกำหนดการคุยธุรกิจกับลูกค้ารายหนึ่งนายควรจะอ่านมันคร่าวๆ ก่อนที่เราจะไปถึง” ร่างสูงบอกก่อนจะเดินไปขึ้นลิฟต์ภายในห้องที่ตั้งตรงกับลานจอดรถของบริษัทแถมมันยังเป็นลิฟท์ที่จะจอดเฉพาะห้องเขาเท่านั้นจึงทำให้พนักงานคนอื่นๆ ไม่กล้าใช้

หรือพูดอีกนัยก็คือใช้ไม่ได้นั่นแหละ!

“แต่ผม…” แฟร์ทำหน้าคิดหนักพลางมองเอกสารในมือเมื่อก้าวตามร่างสูงเข้ามาด้านในก่อนร่างบางจะลอบกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่จนคนข้างๆ รู้สึกได้ว่าเขานั้นกำลังเครียด

“ไม่มีอะไรยากขนาดนั้นฉันเองก็รู้ว่านายไม่ได้จบทางนี้มา ฉะนั้นไม่เข้าใจตรงไหนให้ถามอย่าคิดเองเออเอง” ราชันย์บอกก่อนที่ลิฟต์จะเดินทางพาทั้งคู่ลงมายังลานจอดรถ

คนตัวสูงเดินออกมาก่อนจะตรงไปยังรถคันหนึ่งที่เมื่อร่างบางคนที่กำลังเดินตามเขามาติดๆ เห็นเข้าถึงกับรีบคว้าแขนเขาเอาไว้ทันที

“เดี๋ยวครับ!” แฟร์ร้องขัดก่อนที่สายตาของเขาจะเหลือบมองรถ Porsche สีบรอนซ์ทองที่เคยสร้างเรื่องฝังใจให้กับตัวเองด้วยใบหน้าถอดสี

“อะไร” ร่างสูงถามเมื่อไม่เข้าใจการกระทำของอีกฝ่าย

“เราจะไปกันยังไง” ร่างบางทำใจเย็นพลางถามกลับ

“ก็ไปคันนี้ขึ้นสิ” ราชันย์บอกก่อนจะสลัดแขนออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายพลางขึ้นรถในตำแหน่งของคนขับทันที

“ทำไมยังไม่ขึ้นมาอีก!” ร่างสูงที่ขึ้นไปลดกระจกลงมาถามอีกคนที่ไม่มีทีท่าว่าจะตามเขาเข้ามาสักนิด

“คือว่ามัน…” แฟร์ตอบเสียงสั่น ก่อนราชันย์ที่นั่งอยู่ในรถจะสังเกตเห็นเม็ดเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้นมาระหว่างขมับทั้งสองข้างของร่างบางที่เอาแต่ยืนตัวเกร็งอยู่ด้านนอก

“กลัว?” ร่างสูงถาม

“เปล่า เพียงแต่ผมรู้สึก…มันบอกไม่ถูก” แฟร์พูดด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ

“นั่นเขาเรียกว่ากลัว”

“ผมไม่ได้กลัว!”

“ไม่กลัวก็ขึ้นมา!” ราชันย์สั่งเมื่อร่างบางที่เอาแต่ยืนตัวสั่นปากแข็งไม่ยอมรับความจริง

“ขอเวลาผมสักพัก” แฟร์บอกก่อนจะหันหลังสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด

“บอกว่ากลัวก็สิ้นเรื่อง!!” ร่างสูงเปิดประตูลงจากรถก่อนจะเดินเข้ามาฉวยมือเล็กและออกแรงดึงให้อีกคนเดินตามตัวเองไปแต่โดยดี

“คุณราชันย์เดี๋ยว! คุณจะพาผมไปไหน!” แฟร์พยายามขืนตัวเองไว้จนเจ้าของแผ่นหลังกว้างจะหันกลับมาถลึงตาใส่

“โจ่งแจ้งขนาดนี้ฉันไม่เอานายไปขายหรอก ตามมา!”

ราชันย์จูงมือแฟร์เดินออกมาหน้าบริษัทก่อนที่เขาจะยกมือกวักเรียกแท๊กซี่ที่บังเอิญขับผ่านมาทางนี้พอดี

“Roots Coffee สุขุมวิท 63” ร่างสูงบอกคนขับพลางยัดร่างบางเข้าไปนั่งตรงเบาะหลังก่อนที่ตัวเขาจะตามเข้าไป

“กลัวนักหรือไงมันผ่านไปนานแล้วจะเก็บมาคิดทำซากอะไรไม่เข้าเรื่อง!” เมื่อตัวรถถูกขับเคลื่อนออกไปได้เพียงครู่ร่างสูงก็เปิดฉากพูดขึ้นทันที

“คุณไม่เป็นผมคุณไม่รู้หรอก! แล้วไอ้ที่ว่าผ่านไปนานแล้วน่ะนี่มันเพิ่งจะผ่านมาแค่สามอาทิตย์เอง!!” แฟร์เถียงกลับ

“ต้องให้กูขอโทษมึงมั้ย” ราชันย์เอ่ยเสียงเย็นพลางจ้องคนข้างๆ อย่างเอาเรื่อง

“ผมไม่ได้ต้องการคำขอโทษจากคุณ” แฟร์หันมาตอบก่อนที่เขาจะเบือนหน้าไปอีกทางราวกับไม่อย่างมองร่างสูงที่นั่งมาด้วย

“เหอะ!!! ปากดี!” ราชันย์คว้าต้นแขนเล็กพลางกระชากให้อีกคนหันมาหาตัวเองไม่รู้เป็นเพราะอะไรแต่ร่างสูงไม่ชอบเลยเวลาที่ร่างบางไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา

“โอ้ย! ผมเจ็บนะ!!” แฟร์ร้องลั่น

“เอ่อ…น้องครับถ้าจะมีเรื่องกันพี่คงต้องจอดให้น้องลง” คนขับแท๊กซี่เอ่ยขึ้นเมื่อมองเหตุการณ์จากกระจกมองหลังมาได้สักครู่

ราชันย์ตวัดสายตาเหี้ยมมองคนขับกลับก่อนที่เขาจะล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาพร้อมกับควักเงินในนั้นจำนวนสองพันโยนให้อีกฝ่ายไป

“ขับไปไม่ต้องยุ่งเรื่องคนอื่น!!”

แฟร์มองการกระทำของร่างสูงข้างๆ ด้วยความอึ้ง เขาไม่คิดเลยว่าราชันย์จะมีด้านนี้ ด้านที่นิสัยเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด!

“ทำไมคุณถึงทำกับพี่เขาแบบนั้น!” ร่างบางตะโกนต่อว่าแต่ราชันย์กลับตอบมาอย่างไม่ยี่หระ

“กูพอใจ”

“คุณราชันย์!”

“ไม่เป็นไรหรอกน้องคุยกันได้ตามสบายแค่นี้พี่ก็คุ้มแล้ว” สิ่งที่คนขับพูดขึ้นยิ่งทำให้ร่างบางฉุนกึก แฟร์ตวัดสายตามองไปยังคนข้างๆ ที่แสยะยิ้มราวกับถือไพ่เหนือกว่าก่อนที่เจ้าตัวจะทนไม่ได้สะบัดหน้าหนีไปอีกทาง




ทั้งคู่ไม่คุยกันอีกเลยจนกระทั่งแท๊กซี่จอดลงเมื่อถึงที่หมายในเวลาเก้าโมงเช้า ราชันย์เดินลงจากรถก่อนจะรีบเดินเข้าไปในร้านทันทีโดยไม่รอร่างบางที่หอบเอาเอกสารทั้งหมดลงจากรถอย่างทุลักทุเลเลยสักนิด

แฟร์รีบสาวเท้าตามก่อนจะพยายามใช้แผ่นหลังดันประตูหน้าร้านให้เปิดออก ดีที่พนักงานเข้ามาช่วยไว้ร่างบางจึงกล่าวขอบคุณพลางยิ้มให้พนักงานสาวกลับไปเพียงนิดก่อนสายตาของเขาจะสบเข้ากับราชันย์ที่นั่งอยู่กับผู้ชายอีกคนตรงโต๊ะเกือบจะหลังร้านเขาจึงรีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาทั้งคู่ทันที

แฟร์หยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะก่อนที่เสียงของราชันย์จะทำทีเป็นแนะนำเขาให้กับลูกค้ารายนี้กลับไป

“นี่เลขาฯ คนใหม่ของผม” สิ้นเสียงของราชันย์ร่างบางที่รู้สึกประหม่าก็ก้มหัวลงก่อนที่เขาจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงใส

“สวัสดีครับผม…!!”

“!!”

“พี่นัท!”

“แฟร์!”

ทั้งคู่ชะงักพลางจ้องกันนิ่ง ร่างบางที่หอบเอกสารไว้เต็มอกหน้าถอดสีขึ้นทันใดเมื่อลูกค้าคนสำคัญของราชันย์ในวันนี้คือคนเดียวกับที่เขาต้องโกหกเพื่อมาทำงานที่นี่

รอยยิ้มร้ายบนใบหน้าเรียบนิ่งของใครอีกคนที่นั่งมองเหตุการณ์ตรงหน้าฉายแววชัดขึ้น ราชันย์ชอบทุกครั้งที่ได้แกล้งแฟร์กลับแม้ว่าครั้งนี้สำหรับร่างบางแล้วมันอาจจะทำให้เขาต้องทะเลาะกับอีกฝ่ายก็ตามแต่สำหรับราชันย์ร่างสูงไม่คิดมันมากไปกว่า…

'ความสนุก'

ที่จะได้เห็นสีหน้าและแววตาของผู้แพ้ในวันนี้อย่างแฟร์แล้วล่ะ!!


TBC.....
-----------------------------------------------

อีเฮียปากร้ายยิ่งกว่าผู้หญิงไปอี๊กกก!!!
กลัวค่ะกลัวแล้ว พระเอกเรื่องนี้วาจาเฉือดเฉือนยิ่งกว่าสปาต้า OoO!
อย่าลืมเม้นท์ๆ เป็นกำลังใจให้คนเขียนหน่อยนะคะ


 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ som

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +230/-2
ราชันย์  เหมือนจะดี  แต่ไม่ดีเลยดีกว่า  ยิ่งอ่านยิ่งนึกถึงตอนที่แฟร์เอาคืน

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
อ้าว ร้ายจัง ราชันย์

ออฟไลน์ cheepoke

  • ^_^\/ สู้ๆ ฮู้เล่ๆ
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
    • https://www.facebook.com/BlueGusten.FictionY/

CHAPTER  9



[Fair’s Part]

ผมได้แต่นั่งตัวลีบอยู่ข้างๆ ราชันย์ที่เอาแต่คุยธุรกิจกับคนตรงหน้าโดยที่ผมก็ไม่ได้มีส่วนช่วยเขาเลยนอกเสียจากใช้โทรศัพท์ของตัวเองบันทึกเสียงการสนทนาครั้งนี้เอาไว้เพื่อจะได้นำข้อมูลทุกอย่างสรุปก่อนนำไปทำเป็นแผนเพื่อเริ่มงานในส่วนที่เหลือต่อจากนี้

พี่นัทที่ผมเพิ่งจะรู้ว่าเขาคือลูกค้าของราชันย์พูดกับคนข้างๆ ทีก่อนจะหันมาจ้องผมทียิ่งทำให้ผมรู้สึกจุกจนทำอะไรไม่ถูก ผมเอาแต่นั่งก้มหน้าจนเวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนที่พวกเขาทั้งคู่ตกลงทำธุรกิจร่วมกันในที่สุด

“หากโรงงานของผมจะทำการผลิตเมื่อไหร่ทางเราจะติดต่อไปอีกที” ราชันย์พูดก่อนที่เขาจะยื่นมือไปตรงหน้าซึ่งพี่นัทเองก็ไม่ขัดโดยการยื่นมือของตัวเองออกมาจับมือของอีกคนเอาไว้

“ได้ครับ”

“จริงสิอย่าหาว่าผมสอดรู้เลยคุณธนัทรู้จักเลขาฯ ของผมด้วยเหรอครับเห็นจ้องไม่หยุด” ราชันย์ได้ทีถามกลับก่อนพี่นัทจะหันมามองผมและตอบกลับไปเสียงเรียบ

“ครับพวกเรารู้จักกัน”

“แต่เอ…ทำไมเขาถึงไม่เคยพูดถึงคุณให้ผมฟังเลยล่ะในเมื่อรู้จักนักธุรกิจมีความสามารถเสียขนาดนี้”

“แล้วผมจะพูดให้คุณฟังไปทำไม” ผมสวนกลับเมื่อราชันย์เอาแต่พูดปดออกไป

“อ้าว! ทีเรื่องไม่เป็นเรื่องนายยังเล่าให้ฉันฟังเลยแล้วเรื่องสำคัญขนาดนี้ทำไมถึงไม่เล่าให้กันฟังบ้างล่ะ” ผมเบิกตาด้วยความตกใจเมื่อไม่คิดว่าราชันย์จะตอบกลับด้วยสิ่งที่ไม่เป็นความจริงเหล่านี้แถมเขายังสร้างเรื่องได้หน้าตาเฉย

“อยากจะออกไปคุยกับพี่หน่อยมั้ยแฟร์” พี่นัทที่เงียบฟังผมกับราชันย์เถียงกันไปมาเอ่ยขึ้นก่อนที่ผมจะไม่ทันได้ตอบกลับคนข้างๆ ก็เอ่ยขึ้นทับทันที

“เกรงว่าจะไม่ได้ล่ะมั้งครับพอดีเราทั้งคู่มีธุระต่อ” ราชันย์พูดก่อนจะคว้ามือของผมไปถือไว้

“ได้ครับพี่นัทรอแฟร์แป๊ปนึงนะ…คุณราชันย์ผมขอเวลาสักพักจะได้มั้ย” ผมแกะมือตัวเองออกก่อนจะตอบรับคนตรงหน้าและหันมาขอคนข้างๆ

“แต่นายต้องไปซื้อของเข้าครัวกับฉัน” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นภายใต้ใบหน้าที่เริ่มจะเกรี้ยวเข้าไปทุกทีจนผมที่มองเขากลับต้องชะงักไม่กล้าเอ่ยอะไรออกไป

“แต่ว่า…”

“ถ้าไม่สะดวกงั้นเราไว้คุยกันวันหลัง” พี่นัทเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่เขาจะหันหลังทำท่าว่าจะเดินออกไป ทุกอย่างดูเหมือนจะไวกว่าความคิดจู่ๆ มือของผมก็เอื้อมออกไปฉวยแขนเขาเอาไว้

“ไม่นะพี่นัท!...คุณผมขอเวลาแค่แป๊ปเดียว!” ผมร้องห้ามพลางหันมาขอราชันย์ที่ตอนนี้ใบหน้าของเขาเริ่มฉายแววความไม่พอใจเป็นอย่างมากออกมา

“แต่ฉันจะกลับแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาราวกับเค้นให้ฟังดูปกติทั้งที่ใบหน้าและแววตาของเขาตอนนี้มันไม่ใช่เลย

“งั้นคุณกลับไปก่อนแล้วผมจะตามกลับไป” ผมบอกแต่ราชันย์กลับเงียบจนพี่นัทที่ยืนมองอยู่เดินออกไปทันที

“ผมขอตัว”

“พี่นัท!” ผมตะโกนไล่หลังอีกฝ่ายก่อนราชันย์จะคว้าแขนของผมเอาไว้เมื่อเห็นว่าผมกำลังจะวิ่งตามพี่นัทออกไป

“มึงต้องไปซื้อของกับกู!” ราชันย์สั่งเสียงเหี้ยม

“แต่ผมขอเวลาคุยกับพี่นัทแค่แป๊ปเดียว”

“กูไม่ให้มึงคุย!”

“ทำไม?!” ผมสวนกลับทันควันก่อนราชันย์จะตะคอกกลับอย่างเดือดดาล

“ไม่ให้คุยก็คือไม่ให้คุย กลับ!” คนตรงหน้าลากผมออกจากร้านในขณะที่สายตามากมายกำลังจดจ้องมาที่เราสองคนอย่างสนใจ

ผมยกมือขึ้นพยายามแกะมือของเขาที่รวบข้อมือของผมเสียจนมันร้าวไปทั่วออกแต่จนแล้วจนรอดราชันย์ก็ไม่ยอมปล่อยมันออกไปเสียที

“คุณราชันย์ปล่อยผมก่อน!” ผมตะโกนก่อนที่เขาจะเหวี่ยงผมติดรถคันหนึ่งที่จอดอยู่ไม่ไกลจากหน้าร้าน

“คุณเป็นอะไร! ผมขอคุยกับเขาแค่นี้เองแค่แป๊ปเดียวเท่านั้น!” ผมต่อว่า

“แต่กูไม่อยากรอ!!” ราชันย์ตะโกนกร้าวก่อนที่เขาจะจ้องผมกลับอย่างเอาเรื่อง แววตาที่มองมามันทั้งสับสน โกรธเกรี้ยวปนเปกันไปหมดจนผมดูไม่ออกว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

“ผมก็ไม่ได้จะให้คุณรอ! ผมบอกแล้วไงว่าให้คุณกลับไปก่อนส่วนเรื่องซื้อของเข้าครัวผมจะเป็นคนซื้อให้เอง” ผมบอกคนตรงหน้ากลับจนเริ่มจะเหนื่อยเข้าไปทุกที

“อย่าให้กูต้องเสียอารมณ์นะแฟร์!!” ราชันย์ตรงเข้ามากระชากคอเสื้อผมพลางขยำมันเสียจนผมเริ่มจะหายใจไม่ออก“ผมก็แค่ขอคุยกับพี่นัทก่อนแค่นี้เองผมทำอะไรผิด” ผมว่าก่อนที่คนตรงหน้าจะคลายมือทั้งสองข้างลงจนผมต้องรีบโกยอากาศเข้าปอด

ร่างสูงสบถคำหยาบออกมามากมายจนผมไม่เข้าใจการกระทำของเขาเข้าไปใหญ่ คิ้วหนากับใบหน้าคมไร้ที่ตินั่นบึ้งตึงราวกับโกรธแค้นใครเป็นอย่างมากก่อนคนที่ดูเหมือนเอาแต่ใจอย่างราชันย์จะหันกลับมาพูดกับผมอีกครั้ง

“มึงจะคุยให้ได้เลยใช่มั้ย!” คนตรงหน้าเค้นถาม

“ใช่!” ผมตอบพลางจ้องเขากลับ

“งั้นก็คุยกันซะให้พอก่อนที่กูจะตามไปคุยกับน้องมันบ้าง!” พูดเสร็จเขาก็เดินไปโบกแท๊กซี่ที่ผ่านมาทันที

ผมอ้าปากค้างกับคำพูดของราชันย์ที่ทิ้งเอาไว้ก่อนจะได้สติรีบก้าวตามร่างสูงที่กำลังขึ้นรถไปทันที

“อย่านะ! คุณราชันย์อย่าทำแบบนั้น!!” ผมลงแรงเคาะกระจกประตูหลังของแท๊กซี่ที่มีราชันย์นั่งอยู่ข้างในจนเจ็บมือ ใบหน้าเรียบเฉยหากแต่แฝงไปด้วยความไม่พอใจถึงขึดสุดเบือนหน้ามาทางผมก่อนที่เขาจะใช้แววตาที่ยากจะคาดเดานั้นมองมาเพียงนิดพร้อมกับบอกคนขับให้เคลื่อนตัวรถออกไป

“คุณ! เดี๋ยว! คุณราชันย์ฟังผมก่อน!!” ผมวิ่งตามแท๊กซี่คันนี้จนพ้นออกจากหน้าร้านไปก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้นหลังจากที่ผมเอาแต่เหม่อมองไปยังภาพของแท๊กซี่ด้านหน้าจนหายลับตาไปในที่สุด

“ถึงเวลาที่เราจะคุยกันได้หรือยังแฟร์”

ผมถอนหายใจเมื่อรู้ทันทีว่าเจ้าของเสียงข้างหลังเป็นใครก่อนจะจำใจหันกลับไปหาผู้ชายอีกคนที่มองทอดมาราวกับอยากรู้ความจริงของเรื่องทั้งหมดด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ!

[End Fair’s Part]




ราชันย์กลับมายังห้องของตัวเองด้วยอารมณ์ที่พร้อมจะระเบิดทุกเมื่อ! ร่างสูงเดินไปมาราวกับหนูติดจั่นจนไม่เป็นอันทำอะไร มินตราที่เข้ามาเพื่อขอให้เขาเซ็นต์เอกสารสำคัญก็ถูกไล่ตะเพิดออกไปจนพนักงานสาวถึงกับช็อคกับอารมณ์ที่ไม่ได้เห็นมานานกว่าสามปีของเขา

ร่างสูงขว้างปาข้าวของในห้องจนเกลื่อนกลาดเต็มพื้น ใบหน้าและแววตาของแฟร์ที่หมายอยากจะเห็นกลับเป็นแววตาที่อีกฝ่ายยังคงอาลัยอาวรณ์กับผู้ชายอีกคนจนราชันย์ที่เห็นเข้าแทบเลือดขึ้นหน้า แต่เดิมร่างสูงคิดเพียงแค่ว่านัทแอบชอบแฟร์เท่านั้นไม่นึกเลยว่าร่างบางที่เขาอุตส่าห์คิดหาวิธีแกล้งกลับชอบอีกฝ่ายมากพอๆ กัน จนหัวใจของเขารุ่มร้อนทุกทีที่คิดถึง!

ราชันย์นั่งลงบนโซฟาพลางหอบเมื่อลงมือทำทุกอย่างที่พอจะผ่อนคลายอารมณ์ตอนนี้ลงได้ ร่างสูงจดจ้องไปยังประตูห้องทำงานเพื่อรอเวลาให้ใครอีกคนกลับมาจนกระทั่งเวลาล่วงเลยมากว่าสามชั่วโมงหลังจากที่เขากลับมาถึงที่นี่เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

แฟร์เปิดประตูก่อนจะเดินเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าโกรธเคืองเมื่อเห็นสภาพห้องที่อีกคนทำเอาไว้ตรงหน้าในขณะที่ตัวเขาเองไม่อยู่ มือเล็กที่ใช้ถือถุงของใช้และพวกอาหารสดที่ซื้อมารวบกำเอาไว้แน่นก่อนนัยน์ตาสีน้ำตาลจะมองไปยังเจ้าของห้องที่จ้องเขากลับอย่างเอาเรื่อง

“บอกผมหน่อยว่านี่มันเรื่องอะไร” แฟร์ถามพลางเดินเข้าไปวางของทั้งหมดที่ซื้อมาบนโต๊ะในส่วนของครัวเล็ก

ราชันย์ไม่ตอบร่างสูงเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขาก่อนจะใช้สายตาฟาดฟันมองคนตรงหน้าอย่างเกรี้ยวโกรธ แฟร์ที่ยืนนิ่งมองการกระทำของอีกคนก็จ้องกลับไม่กลัวก่อนที่เขาจะเลือกเบือนหน้าหนีเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแต่แล้วมือหนากลับฉวยคางเขาเอาไว้พร้อมกับบังคับให้หันกลับไปทางเดิม

“คุยกันอีท่าไหนถึงได้หายไปหลายชั่วโมงแบบนี้!!” ราชันย์ตะคอกก่อนที่แฟร์จะเอื้อมมือขึ้นมาเพื่อแกะมือของเขาออก

“ที่ผมหายไปนานเพราะมัวแต่ไปซื้อของให้คุณ” ร่างบางถอนหายใจตอบกลับ

“มึงรู้เหรอว่ากูอยากได้อะไร” ร่างสูงถามจนแฟร์ที่ลืมคิดข้อนี้ไปเสียสนิทนึกขึ้นได้

ร่างสูงมองใบหน้าและแววตาของอีกคนพร้อมกับแสยะยิ้มนัยน์ตาสีดำมองไปยังของที่อีกฝ่ายซื้อมาก่อนที่มือหนาจะควานดูข้างในจนทั่ว

“ไม่รู้แม้กระทั่งกูอยากได้หรือไม่อยากได้อะไรแล้วยังจะสะเออะซื้อมา!” ร่างสูงตะโกนกลับเมื่อของที่แฟร์ซื้อมาล้วนแล้วแต่เป็นของที่เขาไม่ได้ต้องการแทบจะทั้งสิ้น

“โอเคผมยอมรับว่าผิดที่ซื้อมาโดยไม่ได้ถามคุณก่อนแต่ผมก็โทรหาคุณตั้งหลายครั้งแล้วไงคุณเองต่างหากที่ไม่รับสายผมเลย” แฟร์เถียงก่อนราชันย์จะสวนทันควัน

“กูไม่อยากคุยกับมึง!”

แฟร์มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ร่างบางไม่รู้เลยว่าอะไรที่ทำให้ราชันย์ถึงโมโหและเหวี่ยงได้ทุกเรื่องที่เขาทำแบบนี้ คนตัวเล็กจ้องหน้าอีกฝ่ายที่แฝงไปด้วยความโกรธนี้เพียงครู่ก่อนจะเดินเลี่ยงอีกคนออกไปทันที

“ถ้าอย่างงั้นวันนี้ผมขอกลับก่อนแล้ววันหลังผมจะมาทำงานชดเชยให้” แฟร์หันกลับมาบอกราชันย์ที่เอาแต่ยืนทำท่าโกรธกระฟัดกระเฟี้ยดก่อนที่ร่างบางจะก้าวเดินไปทางประตูห้องทันที

“ใครอนุญาตให้มึงกลับ! ถ้ากูไม่บอกมึงก็กลับไม่ได้!!” ราชันย์ตรงเข้าไปกระชากร่างบางกลับ มือหนาบีบคางอีกคนเอาไว้แน่นจนแฟร์นิ่วหน้าก่อนที่กายหนาจะตามเข้ามาบดเบียดอีกคนให้แผ่นหลังแนบชิดไปกับประตูบานใหญ่

“ตกลงคุณต้องการอะไรกันแน่! ไอ้นั่นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็ไม่เอา! บอกผมมาสิว่าคุณโมโหเรื่องอะไรถ้าเป็นเรื่องที่ผมของอยู่คุยกับพี่นัทผมก็ขอโทษ! แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องนี้ก็บอกผมด้วยเพราะผมจะได้นึกออกว่าทำอะไรไว้และขอโทษคุณได้ถูกระ…!!”

ริมฝีปากคล้ำทาบทับลงบนริมฝีปากของแฟร์ทันที แรงอารมณ์ของอีกฝ่ายทำให้ร่างบางถึงกับได้เลือด ริมฝีปากของแฟร์ถูกราชันย์บดจูบอย่างรุนแรงฉกชิงอากาศที่ร่างบางมีไปแทบสิ้น มือเล็กพยายามดันแผงอกแกร่งของคนตรงหน้ากลับสุดแรงก่อนที่มือหนาจะคว้าเอาไว้พร้อมกับผละออก

“หยุดท่าทางพยศของมึงซะก่อนที่กูจะห้ามตัวเองไม่อยู่!” ว่าเสร็จราชันย์ก็ฉุดเอาร่างบางที่ยืนอึ้งอยู่เดินไปยังลิฟต์ทันที




ราชันย์ยัดร่างบางของแฟร์เข้าไปในรถอีกคันที่อุตส่าห์บอกคนขับรถที่บ้านขับมาเปลี่ยนไว้ให้ แฟร์มองตามการกระทำของอีกฝ่ายโดยที่ไม่ปริปากพูดอะไรก่อนร่างสูงจะเดินอ้อมเข้ามานั่งในตำแหน่งคนขับและเคลื่อนตัวรถออกสู่เส้นทางถนนสายใหญ่ทันที

“กูไม่ชอบกินแครอท ข้าวโพดอ่อนและผักชี” ราชันย์เอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบอยู่นาน แฟร์หันมองเสี้ยวหน้าของเขาด้วยความสงสัยก่อนที่อีกฝ่ายจะไม่ขยายความคำพูดพวกนี้หากแต่พูดสิ่งอื่นออกมาเรื่อยๆ

“กูกินของทะเลได้ทุกอย่างยกเว้นหอยเชลล์กับหอยนางรม”

“กูชอบกินอะไรก็ได้ที่มีไข่โดยเฉพาะไข่ลูกเขยกับไข่เจียวหมูสับ”

“ของที่ซื้อให้กูมึงต้องดูวันที่ผลิตหากผลิตไปเมื่อปีที่แล้วกูไม่ใช้”

“เข้าใจมั้ย” ร่างสูงหันมองอีกคนบ้างแต่แฟร์กลับเงียบและมองทอดไปยังเส้นทางเบื้องหน้าราวกับไม่สนใจจนราชันย์ต้องถามย้ำขึ้นอีก

“กูถามว่าเข้าใจมั้ย” แฟร์หันมองหน้าร่างสูงก่อนจะพยักหน้ารับ

ราชันย์หันกลับไปสนใจเส้นทางตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะเลี้ยวเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตหลังจากที่ต้องขับรถนานกว่าครึ่งชั่วโมง

ราชันย์เดินนำแฟร์เข้าไปในส่วนของผักและเนื้อสดก่อนที่ร่างสูงจะเอาแต่หยิบโน้นหยิบนี่ลงตะกร้าจนมันแทบจะเต็มไปหมด แฟร์มองท่าทีของอีกฝ่ายราวกับให้ความสนใจก่อนที่เสียงจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของเขาจะดังขึ้น

“ครับ”

[แฟร์ตอนนี้อยู่ไหนจ้ะแล้วคุณราชันย์อยู่ด้วยหรือเปล่า] เสียงจากปลายสายถามกลับมาทันทีที่ร่างบางเอ่ยรับกลับไป

“ตอนนี้ผมอยู่ซุปเปอร์มาร์เก็ตครับคุณราชันย์ก็อยู่ที่นี่”

[ซุปเปอร์มาร์เก็ต?] มินตราเอ่ยถามย้ำ

“ใช่ครับ”

[แล้วไปกันทำไม?]

“มาซื้อของเข้าครัวน่ะครับพอดีที่ห้องคุณราชันย์แทบจะไม่เหลืออะไรเลย” แฟร์ตอบพลางมองคนตรงหน้าที่เอาแต่เดินหยิบโน้นทีนี่ทีไม่วางตา

[แปลกนะทุกทีคุณราชันย์จะให้พี่ไปซื้อให้ตลอดเลยไหงวันนี้ไปซื้อเองได้ล่ะ] มินตราถามกลับอย่างสงสัย

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับแล้วนี่พี่มินมีอะไรหรือเปล่า” ร่างบางถามก่อนที่จะรีบจ้ำอ้าวให้ทันราชันย์ที่เดินออกไปไกล

[จริงสิมัวแต่นอกเรื่อง…พอดีพี่มีเอกสารที่ต้องให้คุณราชันย์เขาเซ็นต์น่ะจ้ะ ความจริงก็เอาเข้าไปให้แกเซ็นต์ตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้วล่ะแต่ก็ถูกไล่ตะเพิดออกมาไม่รู้เป็นอะไรพี่ต้องรีบใช้พรุ่งนี้ด้วย] หญิงสาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อย

“งั้นพี่มินเอาไปวางไว้บนโต๊ะเขาก็ได้ครับเดี๋ยวกลับไปแล้วผมจะบอกคุณราชันย์ให้” แฟร์เดินไปหยุดอยู่ตรงแคชเชียร์ก่อนที่ราชันย์จะเดินมาคว้าเอาตะกร้าที่ร่างบางถือไว้ไปคิดเงินทันที

[โอเคจ้ะ เดี๋ยวพี่จะเอาวางบนโต๊ะคุณราชันย์ให้เลิกงานพอดีเลยแล้วแฟร์ล่ะจ้ะ]

“ผมคงต้องอยู่ทำงานอีกนิดหน่อยน่ะครับ” คำตอบของแฟร์ฉุดให้ราชันย์หันกลับมามองเขานิ่ง

[งั้นก็กลับบ้านดีๆ แล้วกันนะ]

“พี่มินก็เช่นกันครับ” แฟร์ตอบก่อนจะวางสาย ร่างบางเงยหน้าขึ้นสบตากับราชันย์เพียงครู่ก่อนที่ร่างสูงจะจ่ายเงินให้กับแคชเชียร์แล้วทิ้งของทั้งหมดให้แฟร์เดินถือออกมา




“ใครโทรมา” ราชันย์ถามในขณะที่เขาทั้งคู่กลับมาถึงยังห้องทำงานเรียบร้อยแล้ว

“พี่มินน่ะครับ” ร่างบางตอบก่อนจะเดินถือของทุกอย่างที่ซื้อมาเข้าไปเก็บในครัว

“เขาโทรมาว่าไง”

“เธอบอกว่าจะวางเอกสารที่คุณต้องเซ็นต์ไว้บนโต๊ะเพราะเธอต้องใช้พรุ่งนี้” แฟร์ตอบในขณะที่เขาไม่ได้มองอีกคนกลับเพราะมัวแต่เก็บของสดที่ซื้อมาเข้าตู้เย็น ราชันย์จึงเดินมาหยุดอยู่ตรงโต๊ะทานข้าวพลางนั่งลงและมองเขานิ่ง

ร่างบางเก็บของเข้าตู้เย็นจนหมดก่อนที่แฟร์จะเงยหน้าขึ้นมาสบกับนัยน์ตาสีดำสนิทของอีกคน

“มีอะไรเหรอเปล่า” แฟร์ถาม

“ทำกับข้าวให้กินหน่อย…หิว” ราชันย์ตอบพลางจ้องแฟร์ไม่เลิก

“คุณอยากทานอะไร” ร่างบางถามก่อนจะหลบสายตาของอีกฝ่ายด้วยการเปิดตู้เย็นเพื่อรอหยิบเอาวัตถุดิบออกมาจากคำตอบของราชันย์

“พริกแกงทะเล”

“ได้งั้นคุณไปรอที่โซฟาก่อนก็ได้เสร็จเมื่อไหร่ผมจะเรียก” แฟร์บอกก่อนราชันย์จะสวนกลับ

“แต่กูอยากนั่งตรงนี้”

ร่างบางที่ล้วงผักและของสดออกมาสบตากับร่างสูงสักพักก่อนที่คนเป็นเลขาฯ จะเอ่ยออกไปเมื่อไม่อยากมีปัญหา

“ก็แล้วแต่คุณ”

แฟร์พูดเพียงเท่านั้นนก่อนจะลงมือทำกับข้าวที่คนเป็นนายอยากทานทันทีโดยที่ราชันย์ได้แต่มองทุกฝีก้าวและทุกการกระทำของเขาอยู่ใกล้ๆ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าแววตาที่อีกคนใช้มองกลับเต็มไปด้วยความสนอกสนใจและความเต็มใจที่จะมองอยู่แบบนี้อย่างไม่มีเบื่อ

แฟร์วางจานผัดพริกแกงทะเล ข้าวเปล่ากับต้มจืดอีกหนึ่งอย่างที่เขาถือวิสาสะทำมันเพิ่มเพราะเห็นว่าอาหารที่อีกฝ่ายอยากทานไม่มีอะไรพอที่จะคล่องคอให้ทานง่ายเลยสักนิด

ราชันย์มองอาหารตรงหน้าอย่างพอใจก่อนที่ร่างสูงจะตักพริกแกงทะเลใส่ในจานและตักมันขึ้นอีกครั้งพร้อมกับข้าวสวยพลางยื่นไปตรงหน้าอีกคนที่ยืนมองผลงานตัวเองอย่างอยู่ไม่ไกล

“กินซะ”

“?”

“เผื่อมึงแอบใส่อะไรลงไป” ร่างสูงว่าก่อนจะยื่นช้อนที่มีผัดพริกแกงกับข้าวสวยข้างในจ่อไปยังปากเล็กของอีกคน

“ผมไม่ได้ใส่อะไรวางใจได้” แฟร์เบือนหน้าหลบ

“ถ้างั้นก็กินให้กูดู”

“แต่ผมยังไม่หิว”

“แค่คำเดียวไม่พอให้มึงอิ่มหรอกน่า” ร่างสูงยังคงจ่อช้อนที่ว่าไปตรงหน้าก่อนที่แฟร์จะมองมันราวกับทำใจพลางอ้าปากกินมันเข้าไปทันที

“เป็นไงฝีมือตัวเอง” ราชันย์ถามก่อนจะเขยิบเข้าใกล้อีกฝ่ายจนแฟร์ถดตัวหนีชนกับโซฟาด้านหลังเข้าอย่างจัง

“ก็ดี” ร่างบางตอบ

“งั้นก็นั่งกินกับกู” ร่างสูงว่าพลางจ้องอีกฝ่ายที่กำลังขมวดมุ่น

“บอกแล้วไงว่าผมยังไม่หิว” แฟร์ว่าก่อนจะพยายามหนีออกจากตรงที่ตัวเองยืนอยู่เพราะราชันย์เริ่มเข้ามาใกล้ทุกทีจนแทบจะไม่มีที่ว่างให้เขาออกไปไหนได้อีก

“จะหิวหรือไม่หิวมึงก็แค่นั่งลงมันจะตายหรือไง!” ราชันย์ตวาดก้อง เขามองหน้าแฟร์อย่างคาดคั้นก่อนที่อีกฝ่ายจะผลักแผงอกกว้างกลับไปเมื่อร่างสูงรวบเอาคนตัวเล็กเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดเป็นที่เรียบร้อย

“ถอยออกไปนะคุณราชันย์!” แฟร์ว่าพลางดิ้นเพื่อหวังจะหลุดออกจากเงื้อมือของอีกคน

“กูไม่ถอย” ว่าเสร็จร่างสูงก็อาศัยช่วงที่อีกคนเผลอฉกชิงริมฝีปากสีระเรื่อนั้นมาอีกครั้ง

“ทำบ้าอะไร!!” แฟร์ถลึงตาตะโกนออกมาอย่างตกใจ

“ปากมึงมันน่ากัดให้เลือดไหลล้างท่าทางพยศพวกนี้ซะจริง!” ราชันย์ว่าก่อนจะก้มลงเพื่อหมายจะจรดริมฝีปากของตัวเองลงไปอีกครั้งหากแต่ครั้งนี้ร่างบางกลับเบี่ยงหลบก่อนจะเอ่ยถ้อยคำตัดพ้อกลับไป

“ผมไม่ใช่คนที่คุณจะมาทำอะไรแบบนี้ได้ง่ายๆ นะ!”

“แต่กูก็จูบมึงได้ง่ายๆ ทุกทีนี่หว่า” ร่างสูงเอ่ยกลับอย่างไม่ให้เกียรติ

แฟร์ชะงักกึกเมื่อได้ยิน ร่างบางมองราชันย์ด้วยความรู้สึกอึ้งปนไม่เข้าใจ จริงอย่างที่ร่างสูงบอกไม่ว่าเขาจะทำอะไรร่างบางก็ไม่ทันได้ขัดขืนหรือขัดขืนอีกฝ่ายไม่ได้ทุกครั้งทั้งที่กับผู้ชายที่เขารักอีกคนแฟร์กลับระวังตัวจนนัทแทบไม่ทำอะไรกับเขาเสียด้วยซ้ำอย่างมากก็แค่หอมไม่เลยเถิดถึงขนาดที่คนตรงหน้าทำกับเขาเลยสักนิด

ทำไมนะ! ทำไมเขาถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้!!

“ผมไม่ชอบสิ่งที่คุณทำ! หยุดทำเรื่องพวกนั้นกับผมสักที!!” ร่างบางคิดวกวนว่าให้ตัวเองจนสาแก่ใจก่อนจะตะโกนบอกอีกคนไปจนสุดเสียง

“คงไม่ได้แล้วว่ะ” ราชันย์ตอบกลับพลางจ้องแฟร์นิ่ง

“ทำไม!?” ร่างบางตะโกนถามก่อนคำพูดต่อมาของอีกฝ่ายจะทำให้แฟร์นิ่งอึ้งมากกว่าเดิม

“ถ้ากูบอกว่ากูชอบมึงไปแล้วล่ะแฟร์มึงจะว่ายังไง”

“!!”



TBC.....

-----------------------------------------------------
นี่คือเฮียแกสารภาพ!?
น้องแฟร์ถึงกับ Knock Out เพราะคำพูดของเฮียแกทันที!!
#งานถลึงตาเท่าไข่ห่านก็มา
ทำไงดีล่ะอีเฮียใจอ่อนแล้วนะ
น้องแฟร์ล่ะจะว่าไง?
เม้นท์กันหน่อยนาาาา เป็นกำลังใจให้นักเขียนคนนี้ด้วยยยยย

ออฟไลน์ som

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +230/-2
ราชันย์  รู้แล้วละว่าไม่ใช่คนโรคจิต   แต่มันคือคนบ้านี่เอง

ออฟไลน์ Laliat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ชันย์มันบ้าเจงๆ เป็นไบโพล่าอีกต่างหาก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด