CHAPTER 3
[Rajchan’s Part]
ผมขับรถออกมาจากบ้านพักหลังนั้นก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปที่ทำงานทันที หึ! แววตากับสีหน้าที่แสนจะหวาดกลัวของไอ้เด็กคนนั้นยังติดตาผมไม่หาย จะว่าสงสารมัน!...ผมเองก็พอมีความรู้สึกแบบนั้นอยู่บ้าง แต่ไอ้ท่าทางพยศ และคำพูดที่แสนจะเย่อหยิ่งเกินตัวแบบนั้นกลับทำให้ผมนึกอยากจะขย้ำคอเล็กของไอ้เด็กนั่นขึ้นมาเสียดื้อๆ
ครั้งนี้ผมทำรุนแรงผมรู้ อาจเพราะมันเป็นผู้ชายผมจึงไม่ต้องออมมือออมปากให้มากเหมือนกับพวกผู้หญิงที่เคยผ่านมา แต่เดี๋ยวนะ! ไม่แน่ว่าตอนนี้มันอาจจะเปลี่ยนท่าทีเมื่อรู้ว่ากำลังจะตกถังข้าวสารอยู่ก็ได้ใครจะไปรู้
ผมเร่งความเร็วทันทีที่ตัวรถพ้นออกจากทางลูกรังและมุ่งเข้าสู่เส้น ทางหลวงที่มีรถวิ่งพลุกพล่านเต็มไปหมดก่อนที่เสียงจากโทรศัพท์ตรงหน้าคอนโซลจะทำให้ผมลดความเร็วลงเพียงเล็กน้อย
'ห่าพล'
“ตายยากชะมัด!” ผมสบถออกมาเมื่อบนหน้าจอปรากฏชื่อของคนที่ ผมเองก็คิดจะโทรหามันเช่นเดียวกันเพียงแต่จะรอให้ถึงที่ทำงานก่อนเพียงเท่านั้น
(“ว่าไง!”) ผมกรอกเสียงเรียบกลับไปให้กับปลายสาย
(“ชันย์มึงอยู่ไหน!”) น้ำเสียงของจอมพลที่ดูจะกระวนกระวายถามกลับมาก่อนที่ผมจะตอบมันกลับไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
(“กูขับรถอยู่”)
(“มึงทำไมไม่รีบลงมือสักทีวะ!”) เสียงห่ามตะคอกกลับมาทำเอาผมนึกหงุดหงิดกับอารมณ์ของมันขึ้นมาทันที
(“เสร็จงานแล้ว”) ผมเอ่ยกลับไปอย่างถือไพ่เหนือกว่า เพราะผมออกมาทำงานนี้ก่อนเวลาเล็กน้อยบางทีไอ้พลมันอาจจะกำลังเข้าใจว่างานยังไม่เสร็จ
(“มึงกำลังล้อกูเล่น!?”)
(“กูมีเวลามานั่งเล่นกับมึง?”) ผมถามมันกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่แล้วประโยคต่อมาของอีกฝ่ายกลับทำเอาผมที่กำลังนึกสนุกอยู่กับผลงานของตัวเองถึงกับยิ้มไม่ออก!
(“ก็ตอนนี้เป้าหมายยังอยู่ในงานแล้วมึงเอาที่ไหนมาพูดว่าเสร็จงานแล้ว!!”)
เอี๊ยดดด!!!
(“มึงว่าไงนะ!!”) ผมเหยียบเบรคอย่างไม่คิดชีวิตก่อนจะตะคอกถาม ไอ้พลกลับไปอีกครั้ง
แม่ง! ถ้ามึงโกหกกูล่ะก็กูเอามึงตาย!!
(“ตอนนี้กูอยู่ห้าง M แล้วไอ้เด็กที่ชื่อนนท์มันก็ยังอยู่ที่นี่!”) จอมพลสวดกลับมาเป็นชุดก่อนสมองของผมจะยังปฏิเสธข้อความที่เพิ่งจะได้ยินไป
(“จอมพลกูให้โอกาสมึงพูดอีกที!!”)
(“ไอ้เด็กนั่นยังอยู่ในงานแล้วนี่มึงเอาใครไปวะ!!”)
(“เป็นไปไม่ได้! ก็ไอ้เด็กนั่นคือคนที่มีไฝใต้ตาขวานี่หว่า!”)
(“Shit!! กูลืมบอกมึงว่าไอ้เด็กที่ชื่อนนท์มันมีไฝใต้ตาซ้ายว่ะ”) เสียงจากปลายสายที่สบถออกมาอย่างหัวเสียทำเอาผมเดือดขึ้นมาทันที
(“ไอ้พล!!”)
แต่ก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไร จอมพลก็เป็นฝ่ายชิงพูดขึ้นมาก่อน แถมยังเป็นคำพูดแกมบังคับผมกลับมาซะด้วย!
(“มึงรีบไปเอามันกลับมาเลยนะเว้ย!”)
(“กูออกมาตั้งไกลแล้ว”) แน่นอนว่าถึงแม้ผมจะตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ผมก็ไม่คิดจะกลับไปช่วยไอ้เด็กนั่นมันหรอก
(“ไอ้เด็กนั่นมันสมยอม?”)
หึ! คำถามนี้เล่นเอาผมตอบมันกลับไปไม่ได้เลยเพราะจากที่ผมเห็นมันก็คงจะสมยอมอยู่ล่ะมั้ง
(“ห่าชันย์! มึงไปเอาเขากลับมาเดี๋ยวนี้!!”)
(“ตอนนี้คงไม่เหลือซากแล้วว่ะกูว่าไปก็เสียเวลาเปล่า”) กว่าผมจะวนรถกลับไปก็กินเวลาไปกว่าสิบนาที พูดง่ายๆ ว่าถ้าไอ้เสี่ยนั่นมันน่ามืดขึ้นมาจริงๆ เวลาเพียงเท่านี้ก็ทำให้มันเสร็จได้อย่างไม่ต้องสงสัย
(“มึงตกลงกับกูว่าไง 'ใครที่ไม่ยอมอย่าขืน' มึงลืมไปแล้ว!?”) จอมพลยกเอาเรื่องที่นี้ขึ้นมาย้ำ
ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างฉุนๆ ทันทีที่โดนอีกฝ่ายขัดใจเพราะมันดันเป็นข้อตกลงที่ผมเป็นคนตั้งขึ้นมาไงล่ะ
(“เออๆ เดี๋ยวกูจัดการแม่งต้องให้ออกแรงทุกที!”) ผมตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะออกตัวรถและหักเลี้ยวตรงยูเทิร์นหน้าทันที
(“ก็มันความผิดมึง!”) ไอ้พลแดกดันผมกลับ
(“มึงก็ด้วย”)
(“กูถึงบอกให้มึงดูรูปไง แต่มึง!!...”)
(“จะพล่ามอีกนานมั้ยเดี๋ยวกูก็ไม่กลับไปช่วยมันหรอก”) ผมพูดดักปลายสายกลับไปทันที แค่ตอนนี้ผมก็เบื่อจะแย่อยู่แล้วขืนยังต้องมาฟังไอ้นี่โวยวายอีก ผมว่าอีกเดี๋ยวผมคงจะเปลี่ยนใจวนรถกลับแน่ๆ!!
(“เออ! กูเงียบก็ได้ แต่คืบหน้ายังไงบอกกะ…”) ผมชิงตัดสายก่อน จะโยนโทรศัพท์ลงบนที่นั่งด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ
ก็ดี! ผมก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าไอ้เด็กท่าทางผยศแบบนั้นจะงัดเอา 'ท่า' ไหนมารับมือกับไอ้เสี่ยตัณหากลับคนนั้นกันแน่!!
รถของผมเคลื่อนเข้าสู่อาณาเขตของบ้านเดี่ยวหลังนี้อีกครั้งภายหลังจากที่ผมเพิ่งจะออกไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ลูกสมุนทั้งสี่คนที่กำลังนั่งจับกลุ่มสังสรรค์กันอยู่ข้างนอกบ้านต่างก็หันกลับมามองด้วยใบหน้าที่ดูฉงนไม่น้อย
หลังจากดับเครื่องยนต์ลง ผ้าปิดปากสีดำที่มันเคยถูกถอดและทิ้งเอาไว้ถูกผมคว้าเอามาสวมไว้อีกครั้งก่อนจะเปิดลิ้นชักในรถเพื่อหยิบปืนพกขนาด 9 มม. ที่เพิ่งจะได้รับใบอนุญาตมาเมื่อสามเดือนก่อนสวมเข้ากับเอวของกางเกง
ผมเอื้อมมือไปกดเพิ่มระดับเสียงของเพลงคลาสสิคที่ฟังมันมาตลอดทางให้ดังขึ้นแล้วรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมกว่านี้อีกสักพักอย่างใจเย็น
เมื่อเห็นว่าคนขับอย่างผมไม่มีทีท่าว่าจะลงจากรถ หนึ่งในสี่ลูกสมุนพวกนั้นก็เดินตรงเข้ามาประชิดกับตัวรถอย่างสงสัย ก่อนที่มันจะโน้มตัวลงมาพลางเคาะกระจกเพื่อให้ผมเปิด…และแน่นอนว่าผมก็ไม่ขัดศรัทธามันเช่นเดียวกัน
“เฮ้ยไอ้น้อง! หมดเรื่องแล้วก็กลับไปสิวะ!!” ชายรูปร่างท้วมที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นสาปของเหล้าราคาบ้านๆ พูดขึ้นทันทีที่ผมลดกระจกลง
“ก็ไม่ได้อยากกลับมานักหรอกแต่พอดีลืมของเอาไว้” ผมพูดออกไปหลังจากที่ยื่นมือไปกดเพื่อลดระดับเสียงดนตรีลงอย่างช้าๆ
“ของอะไรเดี๋ยวกูให้พวกนั้นขึ้นไปเอามาให้” คนข้างนอกพ่นลมหายใจที่เต็มไปด้วยกลิ่นสาปนี้ออกมาก่อนที่มันจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงห้วน
“พอดีของชิ้นนี้กูต้องขึ้นไปเอาเองว่ะ” ผมเปิดประตูรถลงไปยืนจนเต็มความสูงที่เมื่อเทียบกับไอ้สมุนคนนี้แล้วมันยังสูงไม่ถึงไหล่ของผมเสียด้วยซ้ำ ก่อนที่อีกฝ่ายจะมองผมกลับมาด้วยแววตาที่ไม่ไว้ใจนัก
“ไม่ได้! เสี่ยต้องการเวลาส่วนตัวมึงห้ามขึ้นไปเด็ดขาด!!” คนตรงหน้าพูดกลับมาพลางถอยหลังไปเพื่อตั้งหลัก ดวงตาที่กรอกเลิ่กลั่กไปมาทำให้ผมรู้ว่าแท้จริงแล้วมันเองก็กำลังกลัวอยู่ไม่ใช่น้อย
“ไม่ยุ่งไม่ได้ว่ะเพราะไอ้ของที่กูลืมเอาไว้มันดันเป็นไอ้เด็กคนนั้นน่ะสิ” ผมเค้นรอยยิ้มส่งกลับไปให้มันอย่างเยือกเย็น ก่อนที่อีกฝ่ายจะไหวตัวเพื่อเรียกคนที่เหลือได้ทันผมอาศัยจังหวะนี้ส่งเท้าเน้นๆ ยันเข้าหน้าท้องของมันเต็มแรงก่อนจะชักปืนจ่อลงไปยังหน้าผากที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อชื้นของคนตรงหน้าทันที
“มะ…มึง!!” คนที่ล้มลงไปกองอยู่กับพื้นเค้นเสียงพูดออกมาอย่างยากลำบาก มือหนาของมันกุมท้องเอาไว้แน่น พวกที่เหลือเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นต่างก็ชักปืนและวิ่งตรงเข้ามาอย่างกุลีกุจอ
หึ! ถ้าให้เทียบพวกมันที่สติไม่ครบจนแทบจะยืนไม่ไหวกับผมที่แค่ลั่นไกกลับไปก็สามารถเก็บพวกมันได้ทุกคนผมว่าตอนนี้ผมเหนือกว่าพวกมันเห็นๆ
ผมออกแรงดึงไอ้คนที่เพิ่งจะล้มลงไปให้ลุกขึ้นมา ก่อนจะใช้ตัวมันเพื่อเป็นกำบังพร้อมทั้งจ่ออาวุธกระบอกสีดำที่ผมถือไว้ไปที่หัวของมันอีกครั้ง
“ถ้าพวกมึงยิงกูก็ยิงแลกกันหน่อยมั้ยล่ะ” ผมถามออกไปเสียงเรียบเมื่อลูกสมุนที่เหลือต่างก็หันกระบอกปืนมาทางผมเช่นเดียวกัน ทำเอาคนที่กำลัง ตกเป็นเกาะกำบังให้ถึงกับตะโกนออกไปราวกับว่ามันกำลังเผชิญกับความกลัวจนถึงขีดสุด
“พวกมึงอย่ายิงนะเว้ย!!!”
“มะ…มึงต้องการอะไร!!” หลังจากที่ตะโกนออกไป คนที่ผมกำลัง จ่อขมับอยู่ก็หันกลับมาถามผมด้วยท่าทีกระวนกระวายไม่หาย
“บอกให้ลูกน้องมึงโยนปืนและอาวุธทุกอย่างเข้าไปในรถกูให้หมดอย่าให้เหลือไม่อย่างนั้นกูจะเอาเลือดหัวมึงออก!!” ผมสั่งออกไปด้วยเสียงที่เน้นหนักทุกๆ คำ ก่อนที่ตัวประกันของผมมันจะยอมทำตามอย่างว่าง่ายหากทว่าพวกที่เหลือกลับอึกอักที่จะทำ
ผมมองภาพตรงหน้าอย่างขัดใจก่อนจะกดปลายกระบอกปืนลงบนขมับของลูกพี่พวกมันอีกครั้ง
“กูบอกให้พวกมึงทำ! กูมีลูกมีเมียต้องดูแลอยู่นะเว้ย!”
“แต่ลูกพี่!!”
“ไม่ต้องมีแต่! เร็วกูยังไม่อยากตายตอนนี้!!” พูดจบพวกที่เหลือก็เดินเข้ามาโยนอาวุธเข้าไปในรถของผม
ผมล็อคประตูพลางเสียบปืนของตัวเองกลับเข้ากับเอวกางเกงอีกครั้งก่อนจะใช้มือทุบลงท้ายทอยของคนที่อยู่เป็นเกาะกำบังจนมันสลบไป ส่วนพวก ที่เหลือเมื่อเห็นสิ่งที่ผมทำพวกมันก็พากันวิ่งประจันหน้าเข้ามาหาผมอย่างเอาเรื่องทันที
ผมปล่อยหมัดออกไปปะทะเข้ากับใบหน้าของไอ้คนที่หนึ่ง ก่อนจะหันไปเตะเข้าท้องไอ้คนที่สองที่บังอาจกระชากไหล่ผมเสียจนแทบเคล็ด พร้อมทั้งหันไปเสยเข้าคางไอ้คนที่สามอีกอย่างจัง! ร่างทั้งสามร่วงลงบนพื้นก่อนที่ตัวผมจะตามเข้าไปซ้ำพวกมันแต่ละคนจนมีสภาพแทบไม่เหลือซาก
เมื่อจัดการกับพวกนี้เสร็จผมก็พาตัวเองเดินเข้าไปในบ้านที่ยังคงเปิด ไฟสลัว เสียงกรีดร้องที่ดังออกมาจากห้องด้านบนแล่นเข้าสู่โสตประสาทของผมอย่างจัง แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ช่วยทำให้ผมรีบที่จะสาวเท้าของตัวเองเพื่อเดินขึ้นชั้นบนเลยสักนิด
ผมเดินขึ้นบันไดอย่างเซ็งๆ ที่ต้องกลับมาตามล้างตามเช็ดเรื่องที่ความจริงแล้วตัวผมจะเพิกเฉยกับมันไปเลยก็ได้ แต่ด้วยคำพูดที่ผมเคยตกลงไว้กับ ไอ้พลมันจึงช่วยไม่ได้ที่ตอนนี้ผมจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องที่ทิ้งไอ้เด็กจองหองคนนั้นเอาไว้
ผมเอื้อมมือออกไปเคาะลงบนประตูสามที เสียงกรีดร้องที่เคยถูกเปล่งออกมาอย่างทุกข์ทรมานของไอ้เด็กนั่นก็หยุดลง ทิ้งไว้แต่เพียงเสียงสะอื้นและเสียงสบถที่ดังออกมาอย่างขัดใจเมื่อเสียงเคาะประตูเมื่อครู่ดูจะทำลายบรรยากาศแสนสวาทภายในห้องอยู่ไม่น้อย
ประตูห้องถูกเปิดออกด้วยอดีตนายจ้างชั่วคราว คนตรงหน้าดูจะตกใจที่เห็นว่าแขกไม่ได้รับเชิญในเวลานี้เป็นผมและคงรวมถึงการที่ไม่มีลูกน้องของมันติดตามมาด้วยเลยสักคน
“คุณยังมีธุระอะไรอีกผมคิดว่าเราตกลงกันไปแล้วนะ!” เสี่ยธรรณพพูดออกมาพลางใช้มือรวบเอาผ้าเช็ดตัวที่คาดเอาไว้ระหว่างเอวมัดให้แน่นกว่าเดิม
หึ! คงเสร็จไอ้เสี่ยนี่ซะแล้วสิ
“ต้องขอโทษที่ผมพามาผิดคน” ผมเอ่ยพร้อมกับปรายตามองเข้าไปในห้องที่เละยิ่งกว่าอะไร ของประดับทุกชิ้นและเฟอร์นิเจอร์หักพังจนเต็มพื้นห้อง ช่างเป็นภาพที่ชวนให้อารมณ์เสียไม่น้อย
“ไม่เป็นไรคนนี้ผมไม่ถือ พยศดีผมชอบส่วนเรื่องค่าเสียหายพวกนี้ผมจะจัดการให้วันหลัง” คนตรงหน้าพูดขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าผมคงจะหัวเสียกับสภาพห้องก่อนที่มันจะทำท่าว่าจะปิดประตูลง
“จะรีบไปไหนผมยังไม่ทันตกลงเลย” ผมคว้าเอาประตูที่กำลังจะถูกอีกฝ่ายปิดเอาไว้เสี่ยธรรณพชักสีหน้าและแววตาไม่พอใจกลับมาทันทีที่เห็นการกระทำของผม
“อย่าเรื่องมาก! มีหน้าที่แค่พามันมาก็จบ! กลับไป!!” คนร่างท้วมพยายามดึงประตูที่มีผมยื้ออยู่เข้าหาตัวอย่างสุดกำลัง
“แต่นี่มันบ้านกู” ผมเอ่ยออกไปเสียงเรียบก่อนที่อีกฝ่ายจะหมดความอดทนและยอมปล่อยมือจากประตูบานนี้แต่โดยดี
“งั้นก็หลีกกูจะพามันไปสนุกที่อื่นตะ…อั่ก!” ไม่รอให้พูดจบผมจัดการผลักเอาประตูบานนี้กระแทกเข้าหน้าอีกฝ่ายอย่างจังก่อนที่ไอ้เสี่ยตัณหากลับจะล้มลงไปอย่างไปเป็นท่า
ผมเดินเข้าไปในห้องพลางมองลงไปยังร่างท้วมบนพื้นด้วยแววตาสมเพชก่อนที่มันจะพยายามตะโกนเรียกลูกน้องข้างล่างเป็นพัลวัน
“ไอ้คิด! ไอ้เข้ม! ไอ้!...”
“ไม่ต้องเรียกพวกมันหรอกมึงคิดว่ากูจะเดินเข้ามาเฉยๆ โดยที่ไม่ทำอะไรพวกมันอย่างงั้นเหรอ หึ! ตลกว่ะ” ผมถามออกไปอย่างเหยียดๆ ก่อนจะชักเอาปืนออกมาและเล็งไปยังหัวของมันทันทีจนคนข้างล่างเบิกตาโพรงด้วยความตกใจจนขีดสุด
ผมล้วงเอาเงินจำนวนสามแสนที่รับมาจากอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ออกมาจากเสื้อแจ๊กเกตที่สวมอยู่ก่อนจะโยนไปบนพื้นตรงหน้าของมัน
“เอาของมึงกลับไปซะงานนี้กูใจดีไม่คิดเงิน” ผมทำท่าว่าจะเหนี่ยวไกหลังจากที่พูดจบทำเอาคนข้างล่างยิ่งกระสับกระส่ายพร้อมกับละล่ำละลักคำพูดออกมาอย่างไม่เป็นภาษา
“มะ…มึงอย่าทำอะไรกูนะ อะ…ไอ้เด็กนั่นมันอยู่บนเตียง! กูยะ…”
ปัง!!
“อ๊ากกก!!!”
ผมลั่นไกลงบนพื้นระดับหว่างขาของมันจนอีกคนตกใจจนน้ำตาเล็ด ก่อนจะส่งเท้าเข้าปลายคางของมันอย่างจังจนร่างท้วมกระเด็นไปตามแรงและหมดสติร่วงลงไปนอนกองกับพื้นทันที
ผมหันกลับก่อนจะเดินไปยังเตียงที่มีร่างบางนอนคุดคู้อยู่ คนตัวเล็กพยายามดึงเอาผ้าห่มผืนบางขึ้นมาห่มเพื่อปกปิดร่างกายที่เปลือยเปล่าเอาไว้พลางมุดหน้าร้องไห้ลงกับหมอนอย่างบ้าคลั่ง ผิวกายของมันที่แต่เดิมปราศจากซึ่งร่องรอยกลับมีเฉดสีแดงช้ำขึ้นมาแต่งเติมไปทั่วร่าง
ผมเอื้อมมือของตัวเองไปดึงเอาข้อมือเล็กที่ใช้จับหมอนของมันพลางกระชากให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาก่อนที่แววตาขุ่นเคืองจะสบใบหน้าของผมอย่างเอาเรื่อง
“ฮึก…ฮือออ ปะ…ปล่อย!!” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาและรอยช้ำทำเอาผมถึงกับชะงักเพราะไม่คิดว่าไอ้เสี่ยธรรณพมันจะหนักมือถึงขนาดนี้
“มึงจะไม่กลับ?” ผมถามกลับไปก่อนที่อีกฝ่ายจะตวาดกลับลั่น
“คุณมันไม่ใช่คน! คุณพาผมมาทำแบบนี้ได้ยังไง!!”
“ปากดี! มึงอยากโดนไอ้เสี่ยนั่นมันแทงอีกหรือไง! ความอดทนกูยิ่งมีน้อยๆ อยู่ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!” ผมออกแรงบีบข้อมือเล็กอีกเป็นเท่าตัวทำเอาไอ้เด็กคนนี้ถึงกับนิ่วหน้า
“โอ้ย! ผมเจ็บบบ ฮึก!” น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าที่ไหลออกมาอาบข้างแก้มของมันทำไมถึงได้ขัดลูกหูลูกตาของผมขนาดนี้นะ!
ผมคลายมือออกจากข้อมือนี้พร้อมกับเดินไปเก็บเสื้อผ้าของมันที่ถูกถอดทิ้งกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นห้องก่อนจะขว้างกลับไปให้เจ้าของของมันอย่างไม่ใยดี
“รีบๆ ใส่ซะ!!”
“ถ้าผมใส่แล้วคุณจะพาผมไปให้ใครอีกล่ะ!” ไอ้เด็กจองหองมันจ้องหน้าผมกลับก่อนจะกระแทกเสียงออกมาอย่างเย้ยหยัน
“กูจะลงไปรอที่รถเสร็จแล้วก็ตามลงไป อ่อ…แต่ถ้าไม่อยากกลับก็ตามใจเพราะอีกเดี๋ยวไอ้เสี่ยนั่นมันก็คงจะฟื้น” ผมสูดลมหายใจเพื่อเก็บอารมณ์เอาไว้ก่อนจะเดินออกจากห้องมาทันที
ให้มันได้แบบนี้สิ! เพราะหลังจากที่ผมเดินออกมาไอ้เด็กนั่นมันยัง ก่นด่าตามหลังมาไม่ยอมหยุดทั้งที่ตัวมันเองก็ยังร้องไห้จะเป็นจะตายอยู่แบบนั้น อย่างนี้เขาเรียก 'ทำคุณบูชาโทษ' หรือเปล่าวะ!!
ผมขับรถโดยมีไอ้เด็กเย่อหยิ่งคนนี้นั่งมาด้วยข้างๆ บอกตามตรงว่า ไอ้เสียงร้องไห้ของมันที่ดังมาตลอดทางทำให้ผมเกือบจะฟิวส์ขาดตั้งหลายครั้ง ทั้งเสียงสูดน้ำมูก เสียงสะอึกสะอื้นราวกับว่าชีวิตนี้ของมันจบสิ้นหมดทุกอย่าง เหอะ! ก็แค่เสียตัวมันจะอะไรกันนักหนา!!
“ตกลงมึงชื่ออะไร” ผมถามออกไปก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมามองเสี้ยวหน้าของผมที่ยังคงสนใจแต่เส้นทางตรงหน้า แต่แล้วมันก็หันหน้ากลับโดยที่ไม่ยอม ปริปากอะไรออกมา
“กูจะไม่ถามเป็นครั้งที่สอง”
“ก็ดี” ร่างเล็กย้อนน้ำเสียงห้วน
ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าของมันที่มีรอยฟกช้ำเป็นจ้ำๆ ด้วยอารมณ์ที่พร้อมจะประทุออกมาได้ทุกเมื่อ ก่อนที่ผมจะออกแรงบีบพวงมาลัยเพื่อพยายามระงับความโกรธเอาไว้
“ต่อปากต่อคำแบบนี้สงสัยมึงคงอยากกลับไปบ้านหลังนั้นมากใช่มั้ย!” ผมเค้นเสียงพูดออกไปอย่างคาดโทษซึ่งมันก็ได้ผลเพราะคนข้างๆ ถึงกับหันมาเบิกตาด้วยความตกใจก่อนที่มันจะก้มหน้าและพูดออกมาเสียงเรียบ
“ฟะ…แฟร์…ฮึก!”
ผมเหลือบมองมันอีกครั้งคราวนี้ผมเพิ่งจะสังเกตว่ามีคราบเลือดติดอยู่ตรงมุมปากของมันแถมยังมีรอยนิ้วมือปรากฏอยู่บนแก้มที่เคยเนียนนั้นอีก
หึ! โดนหนักน่าดู
“เสร็จมันแล้วเหรอไง?”
“…”
“ไม่ตอบแสดงว่าจริง”
“ทำไม! ถ้าผมเสียตัวให้มันแล้วคุณจะทำไม!”
“กูก็จะจ่ายค่า 'เสียตัว' ให้มึงไง…สักเท่าไหร่ดีล่ะ แสน! สองแสะ…”
“หุบปากของคุณซะ!!! เก็บเงินไว้รักษาจิตใจต่ำๆ ของตัวเองให้มันสูงขึ้นเถอะเพราะผมไม่ต้องการ!!” ไม่ทันที่ผมจะยั่วอารมณ์คนพยศได้จบไอ้เด็กที่ ชื่อแฟร์คนนี้ก็ตะโกนออกมาก่อนที่มันจะยิ่งร้องห่มร้องไห้อีกเป็นยกใหญ่
“จะร้องทำไมนักหนาวะ!”
“ฮึก…ฮือออ” คนข้างๆ ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจกับคำพูดของผมเลยสักนิดเพราะมันยังคงสะอึกสะอื้นร่ำไห้ออกมาไม่หายจนผมถึงกับต้อง!
“หยุด!”
“ฮึก…ฮือออ”
“หยุด!!”
“ฮึก…ฮือออ”
เอี๊ยดดด!!!
ผมเหยียบเบรคจากความเร็วของรถกว่าร้อยสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงลงเต็มแรง คนข้างๆ ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถึงกับเบิกตาโพรงก่อนที่หัวของมันจะทุบเข้ากับคอนโซลหน้ารถอย่างจัง!
คนเจ็บเงยหน้าขึ้นพร้อมหันกลับมาจ้องหน้าผมอย่างเกลียดชัง
คิดว่าผมแคร์!?
“ไม่หยุดคราวนี้กูจะพามึงกลับไปให้มันเอาอีกรอบ!!” ผมตะคอก อีกฝ่ายกลับไปอย่างสุดจะทน ทั้งที่คิดว่าจะพยายามเก็บอารมณ์เอาไว้แล้วแท้ๆ แต่สำหรับไอ้เด็กแฟร์คนนี้ผมทำไม่ได้จริงๆ!!!
คนถูกคาดโทษพยายามกลั้นเสียงสะอึกสะอื้นของตัวเองเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นน้ำตาของมันก็ยังคงไหลออกมาไม่ขาดสาย
“เลิกร้องไห้ซะที! น้ำตามันทำให้เรื่องทุกอย่างดีขึ้นหรือไง!!!”
“แล้วใครล่ะที่ทำให้เรื่องมันเลวร้ายแบบนี้!!!”
เออ! ผมยอมรับว่าเรื่องนี้ผมมีส่วนผิดแต่ผมก็ไปช่วยมันออกมาแล้วไง เวลานี้มันควรจะขอบคุณผมสิถึงจะถูก!!
ภายในรถถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบเมื่อผมพยายามเก็บอารมณ์ของตัวเองและมันก็พยายามกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดลอดออกมา ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับไอ้เด็กจองหองคนนี้ดีที่ทั้งปากร้าย! พยศ! เย่อหยิ่ง! แม่งถ้าเป็นผู้หญิงล่ะก็น่าจับมาตบปากด้วยปากของผมซะจริง แต่ติดตรงที่มันเป็นผู้ชายและผมก็ไม่มีรสนิยมแบบนี้ซะด้วยสิ
“บ้านอยู่ไหน?” ผมตัดสินใจพูดออกไปเพราะเริ่มจะทนไม่ไหวกับบรรยากาศที่เป็นอยู่ในตอนนี้
“…”
“กูถามว่าบ้านมึงอยู่ไหน!?”
“โอ้ย! ผมเจ็บ ฮึก!” ผมคว้าเอาคางเล็กของมันมาบีบจนคนตรงหน้าถึงกับร้องออกมา ใบหน้าของมันเหยเกก่อนที่เจ้าตัวจะพยายามแกะมือของผมออกเป็นพัลวัน
“อย่ายั่วโมโหกู!!!” ผมพูดก่อนจะสะบัดมือออกจากคางเล็กเมื่ออีกฝ่ายเริ่มร้องไห้หนักกว่าเดิม
“ผะ…ผมจะกลับเอง” มันบอกก่อนจะพยายามเปิดประตูรถลงไป
โง่ดักดาน! สภาพของมันตอนนี้จะไปได้ไกลแค่ไหนกันเชียว!!
“สภาพมึงตอนนี้ไปไม่เกินสองป้ายรถเมล์มีหวังได้ผัวทีเดียวเป็นสิบ!”
“มันเรื่องของผม!!” คนอวดเก่งพยายามเปิดประตูรถอีกครั้งแต่คราวนี้มันทำให้ผมเหลืออดแล้วจริงๆ ผมกระชากข้อมือเล็กให้เจ้าตัวหันกลับมาก่อนจะใช้มืออีกข้างบีบเข้าคางของมันไม่ให้หนี
“อย่าให้กูอารมณ์เสียไปมากกว่านี้!! บอกมาซะว่าบ้านอยู่ที่ไหน!!!”
“…”
“บอก!!!”
“ฮือออ ดะ…เดี๋ยวผมจะบอกทางเอง” แฟร์ร้องออกมาอย่างยอมแพ้เมื่อผมลงแรงบีบอย่างไม่ออมมือ
“ก็แค่เนี่ยจะทำให้มันยุ่งยากทำไมวะ!!” ผมคลายมือออกก่อนจะหันกลับมาขับรถออกไปทันที คนข้างๆ ลูบข้อมือและใบหน้าที่เจ็บของตัวเองไปมาท่ามกลางน้ำตาที่ยังคงทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดีเพราะยิ่งผมทำรุนแรงกับอีกฝ่ายมากเท่าไหร่น้ำตาเหล่านั้นก็ยิ่งไหลทะลักออกมามากเท่านั้น
“จอดตรงนี้” คนข้างๆ เอ่ยออกมาหลังจากที่ผมขับรถมานานร่วมชั่วโมง
ผมทำตามที่อีกคนบอกและเมื่อรถจอดสนิทอีกฝ่ายก็จัดการปลดเข็มขัดและเปิดประตูลงจากรถไปทันที ผมคิดอยู่ว่าไอ้เด็กนี่มันคงจะรีบวิ่งกลับเข้าบ้านไปอย่างแน่นอน แต่ไม่เลย…เพราะจู่ๆ มันก็งอตัวลงก่อนจะเอามือกุมหน้าท้องของตัวเองเอาไว้
“ไง! เจ็บเหรอ?” ผมเปิดประตูลงก่อนจะเดินอ้อมไปหาอีกฝ่ายที่เบ้หน้าด้วยความเจ็บปวดแต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ยอมตอบคำถามของผม
“กูถาม!”
“…”
“แม่ง!!”
“อ่ะ!” ผมกระชากมือข้างที่มันใช้กุมหน้าท้องออกก่อนจะดึงชายเสื้อเชิ้ตสีขาวที่มันสวมอยู่ขึ้น รอยฟกช้ำที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายโดนอะไรมาทำให้ผมถึงกับขบกรามแน่น
ดื้อด้าน! เจ็บขนาดนี้มันยังไม่ปริปากร้องออกมาเลยสักแอะ!!
“สภาพของผมตอนนี้คงสมใจคุณมากสินะ” คนตัวเล็กย้อนถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นก่อนที่มันจะดึงเอาชายเสื้อลงเพื่อปกปิดรอยพวกนี้ไว้ตามเดิม
“หึ! ก็ยังหายใจล่ะวะ” ผมยั่วโมโหมันกลับไปทำให้แฟร์จ้องหน้าผมด้วยแววตาเครียดแค้นขึ้นมามากอีกเป็นกอง ภาพคนตรงหน้าที่โมโหจนตัวสั่นแถมยังรวบหมัดเอาไว้แน่นแบบนี้ช่างน่าขบขันในความรู้สึกของผมจริงๆ
ผมจ้องอีกคนกลับอย่างไม่ยอมแพ้เช่นเดียวกัน แต่แล้วการกระทำต่อมาของมันกลับทำเอาผมอึ้ง
ผัวะ! พรึ่บ!
มันต่อยผมจนหน้าหันก่อนจะตรงเข้ามากระชากเอาผ้าปิดปากของผมออกแถมยังขว้างกลับมาบนหน้าของผมอีก!
ชักจะยั่วโมโหกูเกินไปแล้ว!!
“มันเป็นเพราะคุณ!! ผมบอกคุณตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ใช่ผม ทะ…ทำไมคุณถึงไม่เชื่อ ฮึก… คุณมันสารเลว!! ชาตินี้ขออย่าได้เจอกันอีกเลย!!” ไอ้เด็กจองหองฝืนเดินออกไปทันทีที่ด่าจบ
ผมมองแผ่นหลังเล็กที่กระตุกเพราะแรงสะอื้นก่อนจะใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มที่เพิ่งจะถูกต่อยอย่างนึกสนุก
ผมตัดสินใจเดินตามหลังมันอยู่ห่างๆ พลางล้วงเอาบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบเพื่อระบายอารมณ์เป็นว่าเล่น จะว่าผมเป็นห่วงก็คงไม่ใช่เพราะไม่มีความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของผมเลยสักนิด แต่มันติดตรงที่ผมต้องโทรรายงานไอ้พลมันด้วย น่ะสิ ขืนไอ้นั่นรู้ว่าผมยังปล่อยให้ไอ้เด็กนี่ถูกฉุดไปอีกมีหวังหูผมคงได้ชาแบบอยากหนีแต่หนีมันไม่พ้นแน่ๆ!
ร่างบางของคนที่กล้าต่อยผมเดินเลี้ยวเข้าไปในซอยที่แสนจะคุ้นเคยสำหรับผมเป็นอย่างดีและเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อถึงหน้าบ้านเดี่ยวหลังเล็กหลังหนึ่ง คนตรงหน้ากลับทำให้ผมแสยะยิ้มให้กับโชคชะตาที่ช่างเล่นตลกกับอีกฝ่ายออกมาในทันที
ไอ้เด็กนั่นหยุดฝีเท้าลงและมองไปยังผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ รถ BMW สีแดงสด เขาคนนั้นหันหน้ามาปะทะคนใกล้จะหมดแรงที่ยืนมองดูตัวเองอยู่ด้วยสีหน้าตกใจกับสภาพของคนที่ดูเหมือนว่าเขากำลังรอการกลับมาของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย แววตาที่เป็นห่วง สีหน้าที่ปวดร้าวและทุกข์ใจ ทำให้ผู้ชายคนนั้นรีบวิ่งเข้าไปประคองคนตัวเล็กอย่างหวงแหนทันที
ผู้ชายที่ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับคนที่เพิ่งจะถูก ทำร้ายมาคว้าเอาตัวของคนตรงหน้าเข้าไปไว้ในอ้อมกอดของตัวเองแน่น ทำเอาผมที่ยืนมองภาพนั้นอยู่ไกลๆ เกิดความรู้สึกทั้งสมเพช! และเวทนากับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นมาทันใด
ผมยังคงยืนมองคนทั้งคู่จนกระทั่งพวกเขาประคองกันเข้าบ้านหลังนั้นไป บุหรี่มวนที่สามหลังจากที่ผมอัดมันเข้าไปจนหนำใจถูกทิ้งลงบนพื้นตามด้วยเท้าที่บดขยี้มันจนไม่เหลือซาก ผมล้วงเอาโทรศัพท์ที่ถือติดมือขึ้นมากดโทรหาใครคนนั้นทันที
(“เรียบร้อย?”) เสียงถามของจอมพลดังขึ้นเมื่อสัญญาณโทรศัพท์เพิ่งจะติดเป็นรอบที่สอง
(“เรียบร้อยแต่กูมีเรื่องให้มึงช่วยว่ะ”)
(“เรื่องอะไร”)
(“มึงช่วยสืบให้กูทีว่าผู้ชายรอบตัวดาราที่ชื่อนนท์มีคนชื่อแฟร์มั้ย ถ้ามีกูต้องการประวัติของคนๆ นี้ทั้งหมด”) ผมบอกในสิ่งที่ต้องการ
(“ทำไมวะ”)
(“มึงแค่สืบให้กูก็พอที่เหลือมันเป็นเรื่องของกู”) ผมตอบกลับไปเสียงเรียบเมื่อจอมพลพยายามถามถึงเหตุผลซึ่งความจริงแล้วตอนนี้มันยังไม่มีในหัวผมด้วยซ้ำเพียงแต่ผมแค่อยากรู้…
แค่อยากรู้เท่านั้นจะอะไรมาก!
(“เหอะ! ขอกูแต่ก็ว่ากูเหลือเกินนะแล้วมึงต้องการเมื่อไหร่”)
(“พรุ่งนี้”)
(“ห่า! ใครมันจะหาทัน!!”) ไอ้พลสบถกลับมาอย่างหัวเสีย
ก็แน่อยู่หรอกอย่างน้อยๆ ต้องสืบกันเป็นอาทิตย์
(“ก็มึงไงวันนี้กูเหนื่อยที่จะพูดแล้วว่ะ”) ผมชิงตัดสายทันทีที่พูดจบก่อนจะหันกลับไปมองบ้านหลังนั้นอีกครั้งเมื่อจู่ๆ ผมเกิดคิดอะไรสนุกๆ ขึ้นมาได้
หึ! คิดว่าต่อยกูแล้วมึงจะหันหลังกลับง่ายๆ เหรอ…ไม่มีวัน!!!
[End of Rajchan’s Part]
TBC....-----------------------------------------
โอ้ยๆๆๆๆ สงสารน้องแฟร์นายเอกของเราเหลือเกิน
นี่ไม่ชอบแนว SM นะ ไม่ชอบเลย ไม่ชอบเลยแม้แต่นิดเดียว (-__-'')
พูดเจง เจ๊งงงงงงงงง
เฮ้อ...ทนๆ เฮียเค้าหน่อยนะลูก เจ๊เป็นกำลังใจให้ลูกพ้นปากเหยี่ยวปากกาด้วยเถอะ เพี้ยง!!!
