END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]  (อ่าน 68202 ครั้ง)

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*****************************************************************************************




#เรากับเขา



_________________________
“พี่มีแฟนยังครับ”
เราตาโตขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจ หน้าตาคงตลกมากแน่ๆ เขาไม่รอให้ตอบอะไรแต่กลับยื่นกระดาษที่กำไว้เเน่นมาให้เรา ก่อนจะยิ้มปิดท้าย
“แอดไลน์ผมมาได้ป้ะ”

_________________________






**เรื่องราวต่อไปนี้เกิดจากจินตนาการของผู้เเต่ง เพียงเเต่อ้างชื่อเเละสถานที่เพื่อความสมจริงเท่านั้น หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยค่ะ**




►สารบัญ◄


►ผลงานของเรา◄
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-08-2019 16:05:30 โดย jaevin »

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
Act 0 : เขา...คนแปลกหน้า



                “ข้างหลังที่นั่งยังว่างครับพี่ เดินเลย”



                ...เย็นวันศุกร์...



                “อนุสาวรีย์-ท่าอิฐคร้าบ”



                ...ง่วงโคตร...



                “ขึ้นเลยพี่ มาเลยครับ”



                ...อยากนอน...



                 “เดี๋ยวอย่าพึ่งออกรถ มีคนขึ้น เอ้า ไป...”



                กึก กึก



                ...ดูนอกหน้าต่างนั่นสิ เหมือนฝนจะตกเลย...



                พรึ่บ!



                “โอ๊ะ ขอโทษครับ”



                ...อย่าตกนะ...ในกระเป๋ามีเอกสารของอาจารย์ด้วย...



                “โทษนะครับ” มีแรงสะกิดที่ไหล่ซ้ายสองสามที เราที่เหม่อคิดเรื่องฝนเกือบสะดุ้ง



                “อะ...ครับ?”



                “ส้มผมกลิ้งไปโดนเท้าคุณ..” เขายกถุงส้มขึ้นมาระดับคางแล้วชี้มือไปใต้เบาะ ถึงเข้าใจ ส้มผลกลมหยุดความซนตรงเท้าซ้ายของเรา



                “นี่ครับ”



                “ขอบคุณมากครับ” คนแปลกหน้ายิ้มก่อนหยิบผลส้มไปใส่ถุงพลาสติก เราค้อมหัวเล็กน้อยแล้วหันไปมองหน้าต่างเหมือนเดิม จบบทสนทนาลงตรงนั้น



                ผ่านมาพักใหญ่ ชายคนข้างๆ ก็เริ่มต้นบทสนทนาอีกครั้ง



                “เอ่อ โทษนะ”



                เราหันมาเพราะเสียงเรียกไม่แน่ใจว่าเขาพูดกับเรารึเปล่า หรือว่าคราวนี้ไปเหยียบผลส้มเข้า ชำเลืองมองก็ไม่มีอะไรอยู่ใต้เท้า ถ้ามีจริงๆ คงกลิ้งไปไหนต่อไหนแล้วล่ะมั้ง



                “นี่เรียนอยู่ที่ไหนหรอ” เขาถามเอียงตัวมาทางเราเล็กน้อย เราจึงมองกลับไปแบบงงๆ เอ..นักศึกษาเหมือนกันนี่ดูจากชุดแล้ว ว่าแต่...



                ...ถามทำไมกันเนี่ย...



                เราคิดแต่ก็ตอบออกไป  “อ๋อ...เรียนที่ศิลปากรครับ”



                “ท่าพระหรอ”



                “เปล่า อีกที่นึง”



                “หูยย เรียนไกลจัง” เขาตอบเหมือนจะพอรู้เเล้ว



                เขายิ้มน้อยๆ เราเลยถามกลับให้พอเป็นมารยาท “แล้วนายล่ะ”



                “เรียนธรรมศาสตร์”



                “ก็ไกลเหมือนกันนี่” เราพึมพำ เดาว่าเขาอาจจะเรียนแถวรังสิตเหมือนที่ศิลปากรมีวิทยาเขตอยู่นครปฐม



                “ไม่ไกลนะ เราเรียนท่าพระ”



                อะ...หมอนี่ เขาขำที่เรามีสีหน้าชะงักไปวูบนึง



                “แล้วเรียนเกี่ยวกับอะไร” เขาถามอีก



                “เรียนอักษร”



                “คล้ายกันเลย แต่เราเรียนศิลปศาสตร์”



                “อ่า...”



                “แล้วเรียนเอกอะไรอะ”



                “อังกฤษ”



                “บังเอิญจัง เราเรียนอังกฤษ-อเมริกันศึกษา”



                “อ๋อ”



                “ที่นู่นเขาแบ่งสาขาไหม?”



                “ก็เรียนรวมกันก่อน ถึงจะแยกเอก ถ้าคะแนนถึง”



                “ดูยากเนอะ แล้วนี่เรียนปีไหนแล้ว” เขาถาม มุมปากยังยกยิ้มอยู่



                “ปีสี่” พอเราตอบ คนข้างๆ นิ่งไปเลย นี่เราแก่ขนาดนั้นเลยหรอ



                “ให้ทายเราปีอะไร”



                ทำไมเราต้องทายด้วย ไม่อยากรู้ซักนิด เราเริ่มกระอักกระอ่วน เมื่อไหร่จะถึงบ้านซักที แต่ก็เอาเถอะ ทายให้เขาหน่อย ถามมาซะขนาดนี้แล้ว



                “ปีสี่”



                “เกือบถูก แต่เราปีสาม”



                “อ่า...”



                เราพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แล้วทำเป็นก้มหาของให้กระเป๋า เกิดเดธแอร์ขึ้นหลังจากนั้น หางตาเราเห็นเขาหยิบมือถือขึ้นมา คงจะหมดเรื่องคุยแล้วล่ะมั้ง แต่ซักพักเขาก็เก็บมือถือไว้ในกระเป๋าสะพาย เราเห็นเขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋านานเชียวล่ะ ได้ยินเสียงกระดาษกรอบแกรบตามมาและเขาก้มหน้าเขียนอะไรบางอย่าง ช่างเถอะ ดูนั่นเมฆก้อนนั้นลอยต่ำมาก ฝนตกแน่



                “พี่จบจากสาธิตปะ”



                เขาถามแทรกความเงียบขึ้นมา  เราที่กำลังนึกถึงถุงพลาสติกคลุมเอกสารเลยหันไปมองสบตากับเขาอีกหน



                “ไม่นะ” เราตอบ ย้อนประโยคของเขาเมื่อกี้ถึงได้รู้ว่าสรรพนามไปเปลี่ยนแล้ว ลอบผ่อนลมหายใจช้าๆ ทำไมเจ้าหมอนี่ถึงไม่หยุดคุยซักที



                “อ้าว ผมว่าคุ้นๆ หน้าพี่เหมือนเจอที่งานกีฬาสาธิต” เขาเกาหางคิ้วตัวเองเบาๆ 



                “เราไม่ได้เรียนสาธิต”



                “แล้วพี่จบจากที่ไหน”



                “จบเทพศิรินทร์”



                “โห เจ๋งไปเลย แล้วพี่ขึ้นสายนี้บ่อยไหม?”



                “ก็แล้วแต่โอกาส”



                “บ้านพี่อยู่ทางนี้ ไปเรียนตั้งนครปฐมเลยหรอพี่ นั่งรถนานแย่”



                “ไม่นานหรอก”



                “ผมขึ้นสายนี้ครั้งแรกเลย จะไปเยี่ยมแม่เพื่อนที่โรงบาลยันฮี”



                “อ๋อ”



                เราก้มมองนาฬิกาข้อมือ หกโมงแล้วพึ่งจะเข้าเส้นจรัญสนิทวงศ์ แต่ไม่นานเราก็จะลงแล้ว ไม่เป็นไรหรอก จะได้จบบทสนทนากับชายแปลกหน้าคนนี้ซักที



                “ศิลปากรนี่มีตัวเหี้ยเยอะปะพี่”



                “ตุ๊ดตู่” เราแก้ให้ เราไม่ค่อยเรียกมันว่าเหี้ย มันไม่สุภาพ



                “อ่าครับ” เขาอมยิ้มอีกแล้ว เราพูดอะไรผิดงั้นหรอ “ตุ๊ดตู่นั่นแหละ มีเยอะป้ะ”



                “เยอะนะ เวลามันเดินข้ามถนนต้องจอดรถให้มันข้ามก่อน”



                “ได้อภิสิทธิ์เลยเนอะ”



                “อืมใช่”



                “ตอนม. 6 ผมไม่ได้แอดที่ไหนเลย ถ้าย้อนกลับไปได้ก็จะแอดศิลปากรนะ”



                “อ่ออ” เราลากเสียงยาวพยักหน้าเล็กๆ เหมือนเห็นด้วย แต่ในใจกลับคิดว่าคำพูดจากของเขาเริ่มทำให้คิดไปในทางอื่น



                “น่าเรียนดีนะพี่ แบบว่าผมจะได้ลองเรียนหลายๆ อย่างก่อนเลือกเอก” เขาพูดต่อได้อย่างเป็นธรรมชาติ เราจึงสลัดความคิดเมื่อกี้ไป สงสัยคิดมากไปเอง



                “พี่เกิดปีไร”



                “38”



                “เฮ้ย ผมก็ 38 เดือนไหนอะพี่” เขาทำเสียงตื่นเต้น



                “กรกฏา”



                “หูยยย ผมเกิดธันวา อ่อนกว่าไป สิงหา กันยา ตุลา พฤศจิกา ธันวา ห้าเดือนแน่ะ จริงๆ ก็ต้องปีสี่แล้วล่ะแต่ผมเรียนช้าไปหน่อยเลยยังอยู่ปีสาม”



                หลังจากนั้นชายคนนี้พูดต่อได้ไม่มีหยุด เขาเล่าเรื่องตอนเรียนมัธยม เล่าตอนสอบเข้า ถามเราเรื่องวิชาในคณะ เรื่องเรียนต่อ เรื่องหางานทำเยอะแยะไปหมด เราแค่รับฟังแบบยิ้มๆ ตอบบ้าง พยักหน้าบ้าง ตลอดการพูดคุย



                “ที่คณะพี่บังคับฝึกงานป้ะ”



                “ไม่นะ แต่ก็ไปฝึกกันเยอะหาประสบการณ์”



                “ผมกำลังคิดอยู่เลยว่าจะไปสายไหนดี เพื่อนผมส่วนมากอยากเป็นแอร์”



                “ลองๆ หาที่ตัวเองชอบดู” เราพูดหันแล้วก้มมองป้ายบอกเลขซอย จะถึงบ้านแล้วล่ะแยกหน้านี้ก็ใกล้ถึงแล้ว



                กริ๊งงงงงงงงงง



                “ผมว่าผมเจอแล้วล่ะ” เราหันกลับมองเขาอีกครั้ง ไม่ทันได้ยินว่าเขาพูดอะไรเพราะเสียงกดกริ่งก็ดังแทรกมาพอดี



                “ตกแล้ว” เขาชี้นิ้วไปนอกหน้าต่างรถเมล์ เราเลยมองตาม ซวยแล้ว มือเริ่มค้นหาถุงหรือซองอะไรในกระเป๋าสะพาย หมึกเลอะแล้วแย่แน่ๆ



                “พี่หาอะไร”



                “ถุงน่ะ ตกแบบนี้เอกสารเปียกแน่” เราตอบโดยไม่หันไปมองเขา ดูเหมือนเขาจะเริ่มหาในกระเป๋าเหมือนกัน เราลอบมองเห็นมือขวาของเขากำกระดาษสีขาวไว้แน่นไม่ยอมปล่อยขณะหาของ



                “เอานี่ไหมพี่” เขาทักและไม่ได้รอคำตอบก่อนจะเทส้มสิบกว่าผลลงในกระเป๋าสะพาย สะบัดๆ ถุงเล็กน้อยแล้วยื่นมาตรงหน้าเรา



                “เฮ้ยๆๆ จะเอาไปเยี่ยมแม่เพื่อนไม่ใช่หรอ”



                “ใส่กระเป๋าไปแบบนี้ก็ได้ครับ ถ้าถึงโรงพยาบาลแล้วผมค่อยไปขอร้านค้าแถวนั้น” เรามองเขาอึ้งๆ ชายแปลกหน้าที่เรารู้ว่าเขาเรียนที่ไหน อายุเท่าไหร่เมื่อไม่นานมานี้กำลังยื่นน้ำใจให้เรา



                “รับไปเถอะ” เขายัดถุงใส่มือเรา เสียงประตูรถเปิดอีกครั้ง เราขอบคุณเขาเพราะป้ายหน้าเราจะลงแล้ว



                “ขอบคุณนะ”



                 “จะลงแล้วหรอครับ” เขาถามพอเห็นเราลุกขึ้นยืนหลังจากยัดเอกสารใส่ถุงแล้วเอาใส่ในกระเป๋าอีกชั้น เราว่าเราจะกอดกระเป๋าเข้าบ้าน เอาตัวบังคงไม่เปียกเท่าไหร่



                “อื้ม ถึงแล้ว ขอบใจมากนะ” เขาเบี่ยงขาให้เราออกไปยืนจับราวตรงกลางรถ เขามองเราแล้วพูดขึ้นเป็นเวลาเดียวกับที่รถเมล์ชะลอจอด



                “พี่มีแฟนยังครับ”



                เราตาโตขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจ หน้าตาคงตลกมากแน่ๆ เขาไม่รอให้ตอบอะไรแต่ยื่นกระดาษที่กำไว้ในมือมาให้เราก่อนจะยิ้มปิดท้าย



                “แอดไลน์ผมมาได้ป้ะ”



                อา...นี่มัน...



                เรายิ้มเก้อๆ ส่งกลับไปให้ เผลอรับมาด้วยความมึน ว่าเเต่ที่เราคิดไปเองเมื่อกี้ เราคิดถูกแล้ว หมอนี่จีบเรา ก้มมองกระดาษในมือแล้วเสียงประตูรถก็เปิดพอดี เราค้อมหัวเป็นเชิงบอกลาเล็กน้อยแล้วเดินไปที่ประตูทางออกไม่ได้หันไปมองเขาอีก



                วืดดดด กึง!



                ประตูรถเมล์ปิดลงตรงหน้าเรา บานหน้าต่างฝั่งนี้มัวจากความเย็นเครื่องปรับอากาศ ไม่รู้ว่าเขาจะมองมาอยู่รึเปล่า อะ..ต้องรีบหลบฝนก่อน... เรายัดกระดาษแผ่นเล็กๆ ลงในกระเป๋ากางเกงแล้ววิ่งเข้าเซเว่นเยื้องกับป้ายรถเมล์หน้าปากซอย ซื้อข้าวกล่องสองกล่องแบบไม่เวฟกับน้ำมะพร้าวสองขวดที่ถูกกว่าซื้อในราคาปกติ เอาไว้กินวันนี้กับพรุ่งนี้เช้า พ่อกับแม่ไปต่างจังหวัดคงไม่มีอะไรเหลือในตู้เย็น



                หนาวชะมัด เมื่อกี้ก็อยู่ในรถแอร์ ตอนนี้เข้าเซเว่นก็หนาวได้อีก เราคิดพลางมองปลายเท้าที่เลอะคราบโคลนตอนลงจากรถเมล์ ยังดีที่ฝนไม่ได้ตกหนักเท่าไหร่



                “ทั้งหมด 82 บาทค่ะ”



                เราล้วงของในกระเป๋ากางเกงออกมาทั้งหมดรวมถึงกระดาษเเผ่นนั้นด้วย เราเลือกแบงค์สีแดงแล้วยื่นให้กลับแคชเชียร์ เธอขมวดคิ้วเพราะเงินเหรียญในช่องหมดเสียแล้ว



                “พี่ต้าแลกเหรียญพันนึง”



                คงอีกนาน เราละสายตาจากการคิดเงิน แล้วมองกระดาษแผ่นเล็กที่เขาให้มาเมื่อครู่ซึ่งตอนนี้อยู่ในมือของเรา



                เรายิ้มขำ...นี่มันสลิปเซเว่นชัดๆ



                ...ซื้อกาแฟกระป๋อง ขนมปังแผ่น...



                พอพลิกไปอีกด้าน ตัวหนังสือสั่นๆ คงเพราะเขียนบนรถก็ปรากฏขึ้น



                Nine95 ☺



                เดี๋ยวนี้ไอดีไลน์มีสัญลักษณ์แบบนี้ด้วยหรอ







==============

สวัสดีค่ะทุกคนเปิดเรื่องใหม่(อีกเเล้ว)
เเละทดลอง(พยายาม)เป็นเด็กอักษรเเบบปกติ
หลังจากที่มีเด็กอักษรไม่ปกติเเบบคุณชาย
หากมีข้อมูลเรื่องการเรียน คณะ เส้นทางหรืออื่นๆ ผิดพลาดขออภัยด้วยนะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-10-2017 15:29:55 โดย jaevin »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
โอ้ยน่ารักมากเลยยยยยย ชอบตรงแทนตัวเองว่าเราๆๆค่ะ น่ารักดี จะจีบเค้าแต่แรกทำมาเป็นสนใจอยากเลือกวิชา แหมมม ติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ P_Methayot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
เข้ามาติดตามด้วยคนครับ :L2: :3123: :L1:

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
Act 1: เรา...บังเอิญ


                ...ช่วงนี้โคตรยุ่ง...


                ต้นเทอมแบบนี้เราต้องไปเสนอหัวข้อรีเสิร์ชกับอาจารย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมยังต้องลงเรียนวิชาบังคับโทที่พึ่งจะลงได้ตอนปีสี่ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว         


                เราจมอยู่กับกองหนังสือมาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ เรามีหออยู่ที่นี่แหละ แม่บังคับให้เราอยู่ ไม่อยากให้เราเดินทางไปกลับ แรกๆ ก็ค้านและหลังๆ ก็ขอบคุณแม่ที่เช่าที่นี่ไว้ ไม่งั้นเราคลานกลับบ้านทุกวันแน่ๆ


                Rrrrrr


                “ครับแม่”


                (ออกจากนู่นกี่โมงนะลูก)


                “สี่โมงครึ่งครับ”


                (รถติดพอดีเลย แม่คงถึงก่อน)


                “แล้วเจอกันครับแม่”


                (จ้ะ)       


                เราเก็บมือถือเข้ากระเป๋า หยิบโน้ตบุ๊กที่วางบนปลายเตียงลงในกระเป๋า เราต้องแบกเจ้านี่ไปมาเพราะต้องทำงาน เอาเถอะ วันนี้เราเตรียมร่มมาเรียบร้อย ถ้าฝนตกแบบอาทิตย์ก่อนจะได้สบายใจ จะได้ไม่ลำบากหาถุงอีก


                ...เพราะคำว่าอาทิตย์ก่อนทำให้เรานึกถึงเจ้าของถุงส้มคนนั้น


                เราไม่ได้แอดไอดีไลน์ที่เขาให้มาเพราะเป็นครั้งแรกที่ถูกจีบแบบนั้นเลยรู้สึกแปลกไม่น้อย ก็เนียนคุยเรื่องเรียนแต่สุดท้ายให้ไอดีมาซะอย่างงั้น เราหัวเราะน้อยๆ เมื่อคิดถึงเรื่องอาทิตย์ที่แล้ว เอาเถอะเป็นเรื่องที่น่ารักดีเหมือนกัน


                ...คงไม่ได้เจอกันอีกหรอก...


                เราเก็บของที่เตรียมไว้ลงกระเป๋าเป้ไม่นานก็เช็คน้ำเช็คไฟก่อนออกจากห้อง


                “เซ็นฯ ปิ่นครับ”


                “ค่าโดยสารด้วยครับ”


                “นี่ครับ”


                “มีเหรียญไหมน้อง”


                “แป๊บนะครับ อะ..นี่...”


                ปกติเรานั่งรถตู้มาลงเซ็นทรัลปิ่นเกล้าแล้วต่อรถเมล์กลับบ้าน แต่อาทิตย์ก่อนเรามาเอาเอกสารที่อาจารย์ที่ปรึกษาใช้ไปเอาที่ร้านถ่ายเอกสารแถวอนุสาวรีย์ เราเลยต้องฝ่ารถติดในวันศุกร์ไปเอาเอกสารก่อนเข้าบ้าน เพื่ออาจารย์ที่เคารพ ศิษย์ทำได้ครับ


                เราเป็นคนไม่ชอบฟังเพลงเวลาเดินทาง เสียงดังจากข้างนอกกลบเสียงดนตรีจนหมด ทำให้เพลงโปรดมันไม่น่าฟังเอาซะเลย             


                “ฝนใกล้จะตกอีกแล้ว” ผู้โดยสารคนหนึ่งพูดกับตัวเองเบาๆ แต่ก็ดังพอที่เราได้ยินและแอบเบนสายตามองนอกหน้าต่างตาม ช่วงนี้ฝนตกบ่อยจนเราแอบเบื่อ


                “ลงตรงไหนบอกก่อนลงด้วยนะครับ”


                นั่งพิงกระจกข้างหลับตาเข้าสู่ห้วงนิทราเป็นระยะๆ แล้วก็สะดุ้งตื่นเป็นระยะๆ เช่นเดียวกัน


                “มหิดลด้วยค่ะ”


                อะ...มหิดลแล้วหรอ เราตื่นเพราะเสียงปิดประตูรถตู้ตึงตังก่อนจะหยิบหนังสือในกระเป๋าขึ้นมาอ่าน...นิยายของคาฟกา...เมื่อคืนเราแอบอู้การทำงานอ่านฉบับแปลไทยจบภายในสองชั่วโมง ตอนกลางวันเลยเข้าไปหอสมุดเพื่อยืมฉบับภาษาอังกฤษ เรื่องหนังสือนอกเวลาทำให้ขยันได้เสมอ


                ...หิว...


                เรากลัวคนข้างๆ ได้ยินเสียงท้องร้อง ต้องทำเป็นเปิดหนังสือเสียงดังๆ กลบเกลื่อน คงต้องแวะซื้ออะไรรองท้องก่อนเข้าบ้านแล้วล่ะ


                “เซ็นฯ ปิ่นครับ” คนขับรถตู้บอกเมื่อถึงที่หมาย


                เรารอให้น้องนักศึกษาผู้หญิงลงไปก่อนแล้วก็ตามลงมาทีหลัง อากาศข้างนอกดีกว่าในรถตู้เยอะ


                เดินลงมาจากรถตู้หลั่งไหลไปกับคนเยอะๆ ในเย็นวันศุกร์ ตอนนี้เกือบหกโมงแล้ว นั่งอยู่ในรถตู้นานใช้ได้ทีเดียว เราขึ้นสะพานลอยแคบๆ เพื่อข้ามทางเชื่อมเข้าเซ็นทรัล


                ...อยากกินชาเขียว...


                ...สุดๆ ไปเลย...


                เราเดินหาร้านขายน้ำชาเขียวหอมๆ พร้อมกับขนมปังร้อนๆ นั่นไง ซื้อไปฝากแม่ซักชุดดีกว่า พ่อไม่กินหรอก ไม่ชอบของหวาน


                “ชาเขียวเย็นกับขนมปังสังขยาสองชุดครับ”


                “สองชุดนะคะ”


                “ทานที่นี่ชุดนึง กลับบ้านชุดนึงครับ อ๊ะ...กลับบ้านขอเป็นชาเขียวร้อนนะครับ”


                “ค่ะ”


                “พี่ครับนมร้อนกับขนมปังเนยนมที่นึงครับ”


                เอ๊ะ...เราไม่ได้สั่งนะ หันไปมองคนมาใหม่แล้วก็ต้องเบิกตาอย่างตกใจ


                ...นี่มัน..


                ...นายคนนั้นนี่...


                ....โลกจะกลมเกินไปแล้ว...


                “มาด้วยกันรึเปล่าคะ?”


                “เปล่าครับ คิดแยกเลย” เราหันกลับมาตอบพนักงาน เธอพยักหน้าแล้วกดๆ จิ้มๆ บนจอพักนึงก็บอกราคา


                “เฮ้ พี่ไม่มองกันเลย” เขาที่ยืนอยู่ข้างหลังชะโงกหน้ามามองเรา พอมายืนแบบนี้แล้วหมอนี่สูงกว่าเรานิดหน่อย  เรายื่นเงินให้พนักงานแล้วรับถาดมาถือไว้


                “เอ่อ หวัดดี ไปก่อนนะ” เรารีบบอกแล้วยกถาดไปหาที่นั่ง แต่ก็ได้ยินเสียงเรียกตามหลัง


                “พี่...รอด้วยดิ”


                “นมร้อนกับขนมปังเนยนมทั้งหมด 129 บาทค่ะ”


                “อะนี่ครับ”


                เราเลือกนั่งที่ติดกับรั้วกระจกกั้น มองลงไปจะเห็นผู้คนมากมายเดินเลือกซื้อของหรือขึ้นลงบันไดเลื่อน เหมือนเราเป็นยักษ์แล้วมองมนุษย์ตัวเล็กๆ เลย


                “ขอนั่งด้วยคนได้ไหมพี่”


                เราเงยหน้าเจ้าของเสียง ไม่ทันได้ตอบเขาก็เอาถาดมาวางเรียบร้อยแล้ว


                ครืด


                เขาลากเก้าอี้แล้วทิ้งตัวลงนั่งและเริ่มต้นบทสนทนาทันที “พี่ทำไมไม่แอดไลน์ผม”


                พรืด!


                เกือบสำลักชาเขียว


                “แค่กๆ”


                “เป็นอะไรรึเปล่า เอ้า ทิชชู่”


                …มาถามอะไรตอนนี้นะ…


                “ขอบใจ” เรางึมงำแล้วรับมาเช็ดมุมปาก เผลอสบตากับคนที่นั่งตรงข้าม วันนี้เขาใส่เสื้อนักศึกษากับกางเกงยีนส์ทันสมัย ผมหน้าปรกหน้าผากเล็กน้อยนั้นไม่บดบังหน้าตาของเขาจนเกินไป  อ่า...เราคงมองนานไปหน่อยเลยจิ้มขนมปังมากินแก้เก้อ


                “ทำไมพี่ไม่แอดไลน์ผมล่ะ” เขาเอนตัวมาข้างหน้าจนเราเอนไปข้างหลังโดยอัตโนมัติ ถามซ้ำอีกครั้งเมื่อครั้งแรกล้มเหลว


                “คือ...เรา...”


                “หือ?...”


                “เรา...เอ่อ...ไม่รู้จักกันนะ”   


                เขาถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ เขาไม่แตะนมร้อนกับขนมปังที่สั่งมาเลยแม้แต่น้อย “งั้นพี่ตอบผมนะ...ผมเรียนที่ไหน” เขาพิงหลังกับพนักพิงพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ตัวเอง


                เราวางแก้วชาเขียวลง ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคิดจะทำอะไรแต่เพราะสายตาจริงจังทำให้เราชะงักไป สายตาคู่นั้นทำให้เราตอบเขาไปซะอย่างนั้น


                “ธรรมศาสตร์”


                พอเราตอบเขากลับยิ้มขำก่อนจะเปลี่ยนไปทำหน้านิ่งๆ อีกครั้ง นี่เราทำอะไรอีกแล้วล่ะ


                “ผมเรียนจบจากโรงเรียนอะไร”


                “อืม...สาธิตที่ไหนซักที่”


                “แล้วผมเกิดปีไหน”


                “ปีเดียวกับเรา”


                “เดือนล่ะ”


                “ธันวาล่ะมั้ง”


                “ผมอยู่ปีอะไร”


                “ปีสาม”


                “ผมเรียนอะไร”


                “ศิลปศาสตร์”


                “ตอนม.6 ผมเรียนแผนอะไร”


                “อา...ศิลป์-เยอรมัน”


                แปะ       


                เขาทุบกำปั้นกับมือตัวเองหนึ่งที จนเราสะดุ้ง


                “นั่นไงพี่รู้จักผมแล้ว แอดผมได้แล้วสิ”


                “เดี๋ยวนะ...แต่”


                เราเสียรู้เขาจนได้ พลาดท่าตกม้าตายเลยล่ะ ให้ตายเถอะ


                “เราก็รู้แค่นั้น” แล้วที่สำคัญเขาพล่ามคนเดียวด้วย บนรถเมล์คันนั้นเขาเล่าเรื่องตัวเองมาซะครึ่งชีวิต


                “ไม่พี่...เรารู้จักกันแล้ว”


                “มัดมือชกนี่” เราโวยแต่...อะ...เรื่องนี้เขาไม่เคยบอกนี่ เราอ้างได้งั้นสิ


                “แต่เราไม่รู้จักชื่อกันเลยนะ ถือว่าไม่รู้จักกัน...”


                “ผมชื่อนาย” เขาโพล่งขึ้น “ถ้าพี่อยากรู้จักกับผมให้มากกว่านี้ พี่ก็แอดไลน์ผมมาซักทีสิ”


                ถ้าเราเป็นตู้กดน้ำหยอดเหรียญ เราคงจะเออเร่อแล้วไม่ปล่อยกระป๋องมาให้ลูกค้าซักกระป๋องจนลูกค้าต้องเตะมาที่ตู้หลายๆ ครั้งด้วยความโมโห เราปวดหัวกับคนตรงหน้านี้แล้วนะ เขาดูดื้อแล้วก็ไม่ฟังอะไรเลย


                “พี่ยังไม่มีแฟนใช่ไหม?”


                เราก้มหน้ากัดหลอดด้วยความเคยชิน


                “ไม่”


                รู้สึกแปลกๆ ที่ต้องมาตอบคำถามอะไรแบบนี้ และดูเหมือนคนตรงหน้าจะอารมณ์ดีเอามากๆ


                “พี่ชื่ออะไร”


                “เราไม่จำเป็นต้องบอก”


                “บอกมาเถอะ” เขาทำท่าคิดเมื่อเห็นว่าผมเริ่มเสียงแข็ง “งั้นถือซะว่าเห็นแก่ถุงส้มใบนั้น”


                เขาเดาจุดอ่อนเราถูก เพราะว่าความมีน้ำใจของเขาในวันนั้นเราจึงเริ่มอ่อนลงและยอมบอกชื่อตัวเองหลังจากเงียบไปซักพัก


                “ชื่อ...ปั้น”


                “มาจากกำปั้นหรอพี่”


                “ข้าวปั้น”


                “นั่นสิ มีคำว่าข้าวปั้นอีกนี่นา เข้ากับพี่นะ” เขายิ้มตาหยีแกล้งทำท่าคิดออก เพราะแบบนั้นเราถึงรู้ เราพลาดท่าเขาอีกแล้ว หมอนี่แค่หลอกให้เราบอกชื่อเต็มๆ เท่านั้นแหละ เผลอมองรอยยิ้มเขาไปไม่รู้ทำไมถึงใจแกว่งแปลกๆ


                “ถ้าซื้อมาไม่กินแล้วจะซื้อมาทำไม” เราเบนสายตามองของที่วางอยู่ฝั่งของเขา เปลี่ยนเรื่องคุยไปซะอย่างนั้น


                “อะ...ครับ” แล้วเราก็ก้มหน้าก้มตากินจนเกือบหมด ระหว่างนั้นก็นึกขึ้นได้ ปกติเราจะเอาบิลมาเช็คว่าพนักงานคิดราคาถูกหรือผิด


                เราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาวางบนโต๊ะ กดแอพพลิเคชั่นเครื่องคิดเลข ไม่ได้สนใจคนที่ส่งสายตาดูมือถือเราอย่างปิดไม่มิด


                “มองทำไม”


                “เปล่า นึกว่าพี่จะเข้าไลน์ซะอีก”


                เขาคงรู้ตัวว่าจู่โจมเร็วเกินไป เขาจึงไม่พูดเรื่องให้เราแอดไลน์เขาไปอีก แต่ก็ไม่พ้นเรื่องนี้ซะทีเดียว


                ...เรียบร้อยคิดเงินถูกต้อง...


                “เรากินหมดแล้วเราไปก่อนนะ” เราพูดหลังจากที่จัดการอาหารตรงหน้าหมด เรายกกระเป๋าแล้วลุกขึ้น เขาที่กำลังจิบนมร้อนร้องเสียงหลง


                “เดี๋ยวพี่ เดี๋ยว...”


                ตอนนั้นเราก็หิ้วถุงชาเขียวและขนมปังออกจากร้านไปแล้ว             เขาทิ้งนมร้อนและขนมปังที่ยังกินไม่หมดวิ่งตามเราออกมา อยากจะเอ็ดเขาเรื่องกินทิ้งกินขว้างตามประสาคนขี้งกแต่นึกได้ว่าแค่คุยกันสองครั้งเท่านั้น และคงไม่มีครั้งที่สาม


                เราเดินเข้าร้านหนังสืออย่างไม่รีบร้อน แต่คนที่รีบร้อนดูเหมือนจะเป็นเขาคนนี้แหละมั้ง


                “แฮ่กๆ พี่เดินโคตรเร็วเลย”


                ...เราไม่ได้ใช้ให้เดินตามนะ...


                เราเดินมาฝั่งนิยายภาษาอังกฤษ หนังสือที่เราอยากได้เข้าตอนต้นอาทิตย์นี่นา พออยู่กับกลิ่นหนังสือแล้วเหมือนอยู่สวรรค์เลย


                “หูยยย เบื่อภาษาอังกฤษจะแย่”


                เราไล้มือกับสันหนังสือ ตาก็มองชื่อเรื่อง เราชอบที่จะหาเองมากกว่าไปบอกพนักงานมาหยิบให้


                “พี่รู้ป้ะ ผมอะไม่ชอบอ่านมากเลย นิยายที่บังคับเรียนผมต้องขอให้เพื่อนอ่านแล้วมาเล่าให้ฟัง ลองแล้วมันไม่รอดจริงๆ”


                เขาพิงชั้นหนังสือแล้วหยิบหนังสือมาเปิดมั่วๆ เล่มหนึ่ง


                “ผมชอบเรียนพวกสังคม วัฒนธรรม ภาษาศาสตร์อะไรพวกนี้ สนุกกว่าเยอะ”


                เราจมอยู่กับโลกของหนังสือจนไม่ได้ยินเสียงเขาพูดประโยคถัดไปและก็ไม่รู้ว่าคนที่ยืนพิงชั้นหนังสือหายไปไหนแล้ว           


                ...เจอแล้ว... เราเลือกเล่มที่ไม่มีตำหนิแม้แต่อย่างเดียวออกมาจากชั้น


                “เอ๊ะ...” เขากลับไปแล้วล่ะมั้ง พลันสายตาก็เห็นกลุ่มนักศึกษาอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้านหนังสือ หนึ่งในนั้นคือเขา...นายคนนั้นกำลังล็อคคอปิดปากเพื่อนที่หัวเราะเขาอยู่


                ...เฮ้ย เขาหันมามองจนได้...


                ...ทั้งกลุ่มเลย ทำไมต้องยิ้มแบบนั้นกันนะ...


                เราหมุนตัวหยิบหนังสือเล่มนั้นเดินไปจ่ายเงินทันที ไม่นานเขาก็เดินมาที่เคาน์เตอร์คิดเงิน


                “เพื่อนผมน่ะ บังเอิญมากมาเดินแถวนี้เหมือนกัน” เขาบอก ทำท่าเหมือนตกใจที่ได้เจอเพื่อนอะไรประมาณนั้น “พี่จะรีบไปไหน”


                “กลับบ้าน” เราตอบเดินออกจากร้านเดินตรงมาทางเชื่อมไปลงอีกฝั่งเพื่อขึ้นรถเมล์ จากตรงนี้ไม่ไกลกับบ้านเรานัก มันคงจะปกติถ้าไม่มีใครเดินตามหลังมาแบบนี้


                “พี่อย่าพึ่งรีบกลับดิ ผมหลงทิศ”


                เราเอียงหน้ามองคนที่เร่งฝีเท้ามาเดินข้างๆ บนสะพายลอย เขาหอบเล็กน้อย


                “โกหก” เขาโกหกแน่ๆ เพื่อนเขาเมื่อกี้ไง


                “จริงๆ นะ...ปกติผมไม่มาแถวนี้หรอก แต่อยากเสี่ยงมา เผื่อโชคดีได้เจอ”


                “เจออะไร” เราถามกลับ คำพูดคำจาชวนให้คิดอะไรแบบนี้ เขาดูพูดเก่งจัง


                “ก็...” เขาลากเสียงยาว ยกยิ้มมุมปากส่งมาให้เรา “เจอคนบางคน เจออะไรบางอย่าง อะไรประมาณนี้”


                ...ไม่น่าถามต่อเลยเรา...


                “อืม” เราครางรับในลำคอกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกๆ ตัวเอง


                “เฮ้ยพี่ทำไมรีบเดินอีกแล้วอะ”


                เราไม่สนใจเขาอีกแล้ว เขาจะตามเราไปถึงไหน ถ้าเราแอดไลน์ไปก็เหมือนเราสนใจเขาน่ะสิ ไม่เอาหรอก เขาต่างหากที่มาสนใจเราก่อน อ่า...พอพูดแบบนี้แล้วเราชักขนลุกแล้วสิ เหมือนเราเป็นนางเอกช่องสามงั้นแหละ


                “ซื้อน้ำส้มคั้นขวดนึงครับ” เราหยุดตรงหน้าขายน้ำส้มแผงลอยครู่หนึ่ง


                “พี่นี่กินเยอะเหมือนกันนะเนี่ย”


                เราไม่ตอบ จ่ายเงินและรับถุงใส่น้ำส้มคั้นจากพ่อค้ามายื่นให้เขา


                “อะ...ให้”


                “เฮ้ย ให้ทำไมครับ”


                “ตอบแทนที่ช่วยเราวันนั้น”


                “ไม่ต้องก็ได้ครับ ผมเต็มใจ เอ๊ะ...หรือพี่คิดว่าที่ผมตามมาด้วยเพราะอยากได้ของตอบแทน”


                “เปล่า ถือว่าเราไม่ได้ติดค้างกันแล้วนะ อะ...รถเมล์มาพอดีเราไปก่อนนะ”


                “เฮ้ยพี่!”


                โชคดีอะไรแบบนี้ที่รถเมล์มาพอดี เรารีบพูดแล้วก้าวขึ้นไปทันทีที่รถเมล์จอด เพราะรถเมล์จอดนอกป้ายมานิดหน่อยเราเลยได้ขึ้นก่อนคนอื่น


                กระเป๋ารถเมล์เดินมาเก็บเงินที่เรา เดี๋ยวนะ กระเป๋าเป้ก็หนักแถมยังถือถุงกระดาษอีก มืออีกข้างก็ต้องจับราวพนักพิง มันจะทุลักทุเลหน่อยๆ กระเป๋ารถเมล์ไม่พูดอะไรแต่ยื่นกดดันเราอยู่แบบนั้น แป๊บนึงสิครับ...โธ่ หาเหรียญไม่เจอในกระเป๋าไม่เจอซักที


                “สองคนครับ”       


                เงยหน้าขึ้นไปมอง ได้มาแค่สิบบาทเองขาดอีกสามบาทยังหา...อะ...หมอนี่อีกแล้ว มาได้ไงเนี่ย เขายื่นเงินให้กระเป๋ารถเมล์พลางชี้มือมาทางเราและเขาสลับกัน เราต้องเป็นหนี้ไอ้คนแปลกหน้าคนนี้อีกนานเท่าไหร่ ค้นหาเหรียญจนเจอแล้วยื่นให้เขาพร้อมกับถาม


                “นี่นายตามเรามาหรอ?”


                เขาทำหน้าเหวอได้สมจริงมากๆ “ไม่ได้ตามครับ” โบกไม้โบกมือไปมา “ผมจะไปเยี่ยมแม่เพื่อนที่ยันฮีเหมือนเดิมไง ป่วยหนักก็แบบนี้แหละ” เขารีบพูด


                เราพยักหน้ารับ อยู่กับเขาแล้วปวดหัวจะแย่ เย็นวันศุกร์คนยังแน่นเหมือนเดิมแต่ก็ไม่ได้เบียดเหมือนปลากระป๋อง เรารู้สึกเหมือนมีใครมอง พอหันไป เขาก็ทำเป็นมองโปสเตอร์โฆษณาที่ติดข้างๆ รถ เราไม่สนใจเขาอีกมองนู่นมองนี่แทน แต่จู่ๆ เขาก็ทำท่าควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋า ตบกระเป๋ากางเกง กระเป๋าเสื้อเสียงดังปั่บๆ


                “เฮ้ยๆๆ อย่าบอกนะว่าหาย...” เขาพึมพำ เราที่ยืนข้างๆ เหล่มองเขา


                “หายหรือว่าลืมวะ แม่ง” คนข้างๆ สบถจริงจังพลางขมวดหัวคิ้วมุ่น เราที่ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำกับเพื่อนร่วมโลกก็เลยหันไปหาเขา


                “ของหายหรอ?”


                “โทรศัพท์ผมน่ะ...อยู่ดีๆ ก็จำไม่ได้ว่าอยู่ไหน” เขาบอก ทำตาละห้อย สีหน้ากังวลจริงๆ “ผมจะโทรหาเพื่อนว่าใกล้ถึงแล้ว แต่หาโทรศัพท์ไม่เจออะพี่ สงสัยลืมแน่เลย”


                “อืม งั้น...เอาของเราไปโทรก่อนไหม” เราบอกแล้วยื่นมือถือให้ไม่ได้คิดอะไรมาก


                “ขอบคุณครับ แย่จริงๆ เลยผม” บ่นพร้อมค้อมหัวเป็นเชิงขอบคุณแล้วรับมือถือไปกด เรามองนิ้วมือเขาที่กดๆ เลื่อนๆ บนมือถือของเราไปด้วย


                “เอ่อ..เออ..พี่ใกล้จะถึงป้ายพี่หรือยัง”


                เขาแนบโทรศัพท์กับหูแล้วพยักเพยิดหน้าไปหน้ารถ เราเลยหันไปมอง ก้มๆ เงยๆ ดูข้างหน้าพักนึงเพราะคนอื่นยืนบังเราหมด อืม


                ...ใกล้ถึงแล้วมั้ง...


                เราหันไป กำลังจะเอ่ยปากบอกเขา แต่ไอ้หมอนี่กลับสะดุ้งที่เราหันมา ตกใจอะไรขนาดนั้น เราไม่ใช่ผี


                “อะ...เอ่อใกล้ยังพี่” เขายื่นมือถือมาคืนให้ ร้อนหรอ ทำไมเหงื่อออก


                “อ๋อ อีกป้ายนึง”


                “ขอบคุณมากครับ ผมโทรไปแล้วเพื่อนรับ มันบอกว่าผมลืมในห้องเรียนเลยเก็บไว้ให้”


                “อ๋อ...โอเค ดีแล้ว”


                เดธแอร์อีกแล้ว พอเราจะลงป้ายหน้าก็พลันคิดถึงเหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ก่อนขึ้นมา หวังว่าวันนี้เขาคงไม่ทำอะไรแปลกๆ หรอกนะ


                “เราจะลงแล้วล่ะ”


                “อ๋อครับ...”


                เขาเป็นเด็กดีคนนึงเลยล่ะ ถ้าไม่นับเรื่องแอดไลน์อะไรนั่น ตอนนี้เขาก็ไม่ได้ตื๊อเราเหมือนตอนที่เจอกันในห้าง สงสัยจะยอมแพ้แล้วล่ะมั้ง เด็กๆ ก็แบบนี้ล่ะ


                “โชคดีนะ” เรายิ้มให้แล้วหันหลังเดินไปกดกริ่งตรงหน้าประตู


                “ครับ”
 

                วืดดดด กึง!


                ก่อนที่จะเราจะก้าวขาลงไป เสียงทุ้มของเขาก็เอ่ยตามหลัง เขาเรียกชื่อเราเป็นครั้งแรก

   
                “พี่ปั้น” เขายิ้มจนตาหยี “ถ้าผมทักไปตอบผมด้วยนะ”


                ในตอนนั้นเราคิดว่าเขาคงหมายถึงถ้าเจอกันโดยบังเอิญ เราพยักหน้ายิ้มๆ แล้วก้าวลงรถเมล์ไป ไม่ได้เอะใจว่าความหมายของคำว่าทักน่ะมันจะปรากฏให้เห็นไม่กี่นาทีหลังจากนั้น

 



               You have a new friend 1





                Nine naay

               หวัดดีครับพี่ปั้น






====
-นายเนียน-
ขอติดทอล์คไว้ก่อนเด้อออ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-10-2017 15:30:38 โดย jaevin »

ออฟไลน์ fahtallll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
งุ้ย อ่านละเขิน ไม่รู้ทำไม5555
ติดตามนะคะ  :hao7: :hao7: o13

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อั้ย เราก็เรียนอักษร ศิลปากร คิดถึงมอเลย
เกิดปีเดียวกับปั้นด้วย  :o8:

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
พี่ข้าวปั้นตามน้องนายไม่ทันหรอก เจ้าเล่ห์เยอะ 5555

ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
น่ารักกกก อ่านไปยิ้มไป

ออฟไลน์ moosawvans

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
อยากอ่านต่อแล้วค่า :mew3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: #เรากับเขา Act 1 : เรา...บังเอิญ [15/09/60]
« ตอบ #9 เมื่อ: 16-09-2017 15:07:25 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai2-1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เด็กเจ้าเล่ห์  :hao7:

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
Act 2: เรา...ที่เคยอยู่เงียบๆ


                “จำคนที่ให้ไอดีไลน์ได้ไหม?”


                “อื้อ ที่แกเล่าให้ฟังน่ะนะ” ชมพู่ทำเสียงตื่นเต้น ละสายตาจากการมองจอโน้ตบุ๊กมามองเราอย่างสนใจอยู่ครู่หนึ่ง “แอดไปแล้วหรอ”


                “เราไม่ได้แอด”


                “โหย ไรอะ คนอุตส่าห์อ่อยขนาดนั้น ลองดูก็ไม่เสียหาย แค่คุยเอง”


                “แต่การเริ่มคุยมันคือการเริ่มต้นความสัมพันธ์นะ”


                “สัมพันธ์อะไร ยังไม่ได้ขอคบ แค่คุย”


                “ความสัมพันธ์แบบคนคุยไง”             


                “คิดเยอะ”


                “งั้นหรอ”


                “คุยๆ ไปเถอะ ถ้าใช่มันก็คือใช่ ถ้าไม่ใช่คุยให้ตายก็ไม่ใช่” ชมพู่จ้องหน้าเรา “ถ้าคิดว่าไม่ใช่ก็รีบบอกเขา”


                “หรอ...”


                “เดี๋ยว ไหนแกบอกไม่ได้แอด”


                “เราไม่ได้แอด แต่...เขาแอด”


                “หมายความว่ายังไง” ไม่รอคำตอบ ชมพู่กวาดสายตาไปบนโต๊ะ นั่นล่ะเป้าหมาย เธอยื่นมือมาคว้าโทรศัพท์เราและเราก็ตะครุบไว้ไม่ทัน ชมพู่เลื่อนนิ้วไปมา สายตามองขึ้นลง เลื่อนอยู่ไม่นานเธอก็เปลี่ยนสีหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นพร้อมกับชูหน้าจอมือถือมาทางเรา


                “เดี๋ยวนะ....นี่คุยกันแล้วหรอ”


                “เอ่อ...ก็เขาทักมา คือแบบว่าเพราะเราบอกไปแบบนั้น ไม่ตอบก็ยังไงอยู่...”


                “แกบอกอะไร มีเรื่องอะไรที่ฉันไม่รู้ ไม่ใช่ว่าแกเจอกันสองอาทิตย์ก่อนนู้นไม่ใช่หรอ”


                “อย่ายื่นหน้ามาใกล้เรา”


                “ทำไม อย่าหลบตาสิ ฉันต้องจ้องตาแกเพื่อจับโกหก” เธอลุกขึ้นยืน เอนตัวจากอีกด้านหนึ่งของโต๊ะแล้วยื่นมือมาบีบแก้มเรา


                “ชมพู่ๆ เราจะเล่าให้ฟังเอง นั่งก่อน ใส่กระโปรงสั้นเอนตัวแบบนั้นไม่ดีนะ” เห็นมีรุ่นน้องด้านหลังแอบมองตอนชมพู่ลุก โธ่ ไม่ได้ระวังตัวเลยชมพู่


                เพื่อนสนิทเรายื่นมือไปปิดกระโปรงด้านหลังแล้วก็นั่งลง “เฮ้อ ปั้น ดีอย่างแกทำไมถึงไม่มีแฟนซักที”


                “ผู้หญิงคงไม่ชอบติ๋มๆ แบบเราหรอก”


                “ผู้หญิงไม่สน แกก็สนผู้ชายดิ”


                “ชมพู่ นี่ห้องสมุดนะ”


                “เออ ขอโทษ” ตาโตๆ ของชมพู่เหลือบมองเจ้าหน้าที่ห้องสมุดซ้ายทีขวาทีก่อนจะเอามือป้องปากแล้วพูดเสียงเบา “แกคงจะชอบเขาเหมือนกันล่ะสิ”


                “เฮ้ย บ้า เราไม่ได้รู้สึกอะไร”


                “แต่แกพูดถึงคนนี้ให้ฉันฟังบ่อยนะ”


                “ก็แค่เรื่องแปลกที่เราไม่เคยเจอไง เป็นผู้ชายด้วย”


                “แล้วที่คุยกันยาวเหยียดนี่คืออะไร” ชมพู่ในนิ้วชี้กดๆ ไปที่จอมือถือที่โชว์หน้าต่างสนทนาระหว่างเรากับเขาค้างอยู่แบบนั้น


                “ก็อ่านแล้วไม่ตอบ มันจะทำให้เขารู้สึกแย่ที่แย่กว่าคือไม่อ่านด้วย” เราว่าต่อ “ข้อเสียของไลน์เลยล่ะ เอ่อ...ชมพู่ก็เคยบอกเรานี่ว่ารับรู้แล้วให้ตอบ”


                “แกต้องแคร์ขนาดน้านนน อะๆๆๆ ไม่ต้องมองแบบนั้น เล่ามาซะดีๆ ” เพราะสายตากดดันของชมพู่เราเลยต้องเล่าให้เธอฟังคร่าวๆ และแน่นอนเราไม่เล่าตอนที่เราโง่ตามเกมเขาไม่ทันให้เพื่อนฟังเด็ดขาด


                ชมพู่ไม่ได้ตอบอะไรแต่อมยิ้มล้อเลียนเราจนเราทำตาลอกแลก อะไรกัน อย่ามาจับผิดนะ มันไม่มีอะไรจริงๆ เราคุยกับเขาเหมือนพี่น้องอะไรทำนองนั้นน่ะ เขาก็ดูเหมือนไม่ได้พูดจาหวานเลี่ยนอะไรด้วย แค่คุยปกติ มีกวนๆ บ้างตามนิสัยเขาล่ะมั้ง เราว่างก็ตอบไม่ว่างก็ไม่ตอบแค่นั้นเอง


                “แค่นั้น...จริงหรอ”


                “หมดแล้วเนี่ย ไม่มีอะไร”


                “ตามใจ มีอะไรก็ปรึกษาได้ รู้ใช่ไหม” ชมพู่สบตาเราแล้วถามย้ำ


                “รู้ครับ ทำงานได้แล้ว” ชมพู่เป็นเพื่อนที่ดีเสมอ         


                “ว้าย อยากเผือกมากจนงานไม่เดินเลย” เราหัวเราะเบาๆ กับท่าทางตลกของชมพู่พลางนึกย้อนไปถึงก่อนหน้านี้ ก็ไอ้คนหลอกเราเรื่องมือถือหายนั่นแหละ เพราะทันทีที่เราลงจากรถเมล์ เสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้นเหมือนเรื่องบังเอิญ


                อาจจะเป็นเพราะความกวนๆ ดื้อๆ ของเขาทำให้เราอดไม่ได้ที่จะตอบไปด้วยความหมั่นไส้


                และอาจจะเพราะความเจ้าเล่ห์ของเขาทำให้เราก้มหน้ามองมือถือตลอดการเดินเข้าไปในซอยบ้านเป็นครั้งแรก


                บทสนทนาผ่านไลน์ในวันนั้นมันเริ่มต้นจาก...



                Nine naay
                หวัดดีครับพี่ปั้น
                ทักแล้วนะครับช่วยตอบด้วย

read   Khaopun
นายหลอกเรานี่



                ...เด็กคนนี้หลอกเราชัดๆ เจ้าเล่ห์เอ๊ย...



                Nine naay
                ก็ผมอยากคุยกับพี่จริงๆ นะ
                ขอโทษครับที่หลอกเรื่องมือถือหาย
                ว่าแต่
                พี่เรียกชื่อผมแล้วเหมือนได้ยินเสียงพี่ลอยมาเลย

read  Khaopun
กำลังเปลี่ยนเรื่องใช่ไหม?
แล้วเราก็ไม่ได้เรียกชื่อนายด้วย

                Nine naay
                นั่นไงเรียกอีกแล้ว
                ไม่ได้เปลี่ยนเรื่องซะหน่อย
                ก็พี่ไม่แอดไลน์ผมมาซักที
                กระดาษแผ่นนั้นโดนขยำทิ้งไปแล้วมั้ง
                ไม่รู้แหละ
                พี่บอกอะไรก่อนลงรถจำไม่ได้แล้วหรอ             

read Khaopun
นั่นเราเข้าใจผิด

                Nine naay
                พี่รักษาสัญญาดิ โตแล้วนะ

read  Khaopun
เรายังไม่ได้สัญญาอะไรเลย

                Nine naay
                พี่บอกว่าจะตอบถ้าผมทักไป

read   Khaopun
เราเข้าใจผิดเอง

                Nine naay
                ไม่ครับ
                เวลาพี่พยักหน้าคือการสัญญากับผม

read   Khaopun
เราคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ ไปละนะ

                Nine naay
                เฮ้ยพี่ อย่าไปนะ
                อย่าบล็อกผมด้วย

read  Khaopun
ไลน์มีบล็อกด้วยใช่ไหม ขอบใจที่บอก

                Nine naay
                เฮ้ยยยย อย่านะ
                ทำไมผมเหมือนชี้โพรงให้พี่เลยอะ
                อย่านะครับ พลีสสสสสสสส
                เห็นแก่ความพยายามของผมวันนี้ด้วยเถอะ

read   Khaopun
ความพยายามที่ได้จากความกะล่อนน่ะนะ

                Nine naay
                ผมเปล่ากะล่อนนะแค่อยากหาทางติดต่อพี่จริงๆ
                จะให้ผมไปรอที่ป้ายรถเมล์ทุกวันเลยหรอ
                รอจนรถเมล์หมดก็ไม่เห็นเจอเลย

read   Khaopun
ไม่ได้ไปจริงอย่ามาโม้หน่อยเลย

                Nine naay
                เปรียบเทียบไง
                ใครจะไปรอที่ป้ายรถเมล์ยุงกัดเต็มไปหมด

read   Khaopun
เราต้องไปแล้ว บาย


                เรากดส่งข้อความสุดท้ายไปให้เขา และเขาก็ตอบกลับมาทันที เหมือนจะรีบพิมพ์จนไม่เว้นวรรคแถมยังมีคำผิดด้วย เราเดินมาหยุดตรงประตูไม้หน้าบ้าน ก้มมองมือถือที่มีข้อความของอีกคนขึ้นมาเรื่อยๆ อยู่แบบนั้น


                Nine naay
                พี่เดี๊ยวอย่าบล็ิอกอย่าไม่ตอบเลยนะ
                ถ้าพีไม่สะดวกใจคิดซะว่าคุยกับน้องคนนึวก็ได้
                ถึงเเม้ว่าจะไมาอยากเป็นน้องก็เถอะฟ
                นะครับ
                นะ
                นะพี่ปั้นนนนนนนนนน


               เขาเงียบไปแล้ว คงรอเราตอบ ถ้าเขาพูดถึงขนาดนี้แล้วเราก็คงไม่ใจร้ายกับเขาหรอก ถ้าเขาทักมาอีกเราก็คงตอบเขาเมื่อมีเวลา ตกลงไปก่อนคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง เราก้มหน้าพิมพ์คำว่าอืมแล้วกดส่งแต่ในขณะเดียวกันข้อความของเขาก็เด้งขึ้นมาตัดหน้าเรา พอเงยหน้ามองจอก็เห็นประโยคที่ทำให้เราตาโต


                Nine naay
                ตอนนี้คุยกันแบบพี่น้องไปก่อนหลังจากนี้ค่อยมาเป็นแฟนกัน
                โอเคนะครับ

read   Khaopun
อืม


                อืม!!?


                ถ้าเป็นคนอื่นคงจะตะโกนว่าเหี้ยแต่เพราะเป็นเรา เราเลยอยากตะโกนว่า


                ตุ๊ดตู่!!!

               





                “เฮ้ย ปั้น... ปั้น...เหม่ออะไร เจ้าหน้าที่มาปิดไฟแล้ว”


                “อะ...อ้าว ปิดแล้วหรอ”


                “เร็วๆ เลย เรียกตั้งหลายทีก็ไม่หัน”


                “ขอโทษๆๆ”


                “ตั้งใจว่าทำแป๊บเดียว อยู่จนห้องสมุดเป็นจนได้” ชมพู่บ่นขณะเดินลงมาหลังจากรอเราโกยเอกสารและข้าวของลงกระเป๋าหมด “แกจะซื้ออะไรไหม?”


                “ไม่ดีกว่า ชมพู่ล่ะ”


                “โน เดี๋ยวอ้วน”


                “โอเค”


                เรากับชมพู่อยู่พักอยู่ในนครปฐมแต่อยู่คนละที่ ชมพู่มีบ้านญาติอยู่ที่นี่แต่ไกลออกไปจากมหาลัย เธอจึงมักจะใช้รถยนต์มาเรียนแถมยังใจดีไปรับไปส่งเราด้วย


                “เจอกัน”


                “ขอบคุณมาก ถึงบ้านแล้วไลน์บอกเราด้วยนะ”


                “โอเค”

               




                ...อยากนอนเลย...


                พอถึงห้องเราก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง หอเราไม่ได้กว้างมาก เข้ามาก็เจอโต๊ะ เตียง แล้วก็ประตูห้องน้ำ แต่ที่นี่ถูกดีนะเราว่า


                เวลาเราง่วง เราควรจะต้องทิ้งมือถือไว้ไกลๆ ถ้าเห็นแล้วชอบหยิบมาเลื่อนนั่นเลื่อนนี่แล้วแสงสีฟ้าจากจอก็ทำให้เราหายง่วงไปแต่เราก็ทำประจำ เราเข้าแอพยอดฮิตอย่างเฟซบุ๊ก กดเปิดเสียงที่ปิดมาทั้งวันแล้วดูคลิปที่แม่แท็กมาเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว เป็นคลิปคนล้วงกระเป๋าบนรถเมล์ เรากดไลค์แล้วตอบแม่ไป


                ...จะระวังครับ...


                ตื่อ ดือ ดึ๊ง ตื่อ ดือ ดึ๊ง ตื่อ ดือ ดึ๊ง


                เสียงแจ้งเตือนรัวตอนสี่ทุ่มนี่คงไม่ใช่ใครที่ไหน เราไม่เคยคุยกับใครนอกจากพ่อ แม่ หรือชมพู่ และคงไม่ใช่ชมพู่ที่กำลังขับรถแน่ๆ เวลาแบบนี้ก็คงจะเป็น....


                Nine naay
                พี่ปั้น
                พี่ปั้นหายไปไหนทั้งวัน
                คุณข้าวปั้นนนนนนนน
                โอ๊ะ อ่านแล้วนี่
                พี่ปั้นพึ่งว่างหรอ
                พี่ป้านนนน

read   Khaopun
อืม
เราพึ่งถึงห้อง


                Nine naay
                ไปไหนมา ดึกแล้วนะพี่

read   Khaopun
ทำงานดิ เรามีงาน
ไม่ได้ว่างเหมือนนาย

                Nine naay
                ผมไม่ได้ว่างนะ
                จ้องโทรศัพท์รอพี่มาตอบ
                ไม่เห็นว่างเลย

read   Khaopun
ไปอ่านหนังสือซะไป

                Nine naay
                โห พี่ ผมเกลียดวิชาการ
                แล้วพี่กลับห้องยังไงเนี่ย

read   Khaopun
เพื่อนมาส่ง

                Nine naay
                ถามได้ไหมว่าผู้หญิงผู้ชาย

read   Khaopun
ถามทำไม

                Nine naay
                ตอบเหอะอยากรู้

read   Khaopun
เด็กเผือก

                Nine naay
                ผมไม่ได้ผิวขาวเหมือนพี่ซะหน่อย

read   Khaopun

สาบานว่าไม่เก็ท
ต้องให้เราเปลี่ยนพยัญชนะไหม

                Nine naay
                55555
                ก็อยากเผือกหมดแหละถ้าเป็นเรื่องพี่อะ
                ตกลงหญิงหรือชาย

read   Khaopun
เพื่อนเราเป็นผู้หญิง

                Nine naay
                ก็ดีกว่าผู้ชายละวะ

  read   Khaopun
คิดอะไรอยู่หยุดซะ

                Nine naay
                ผมคิดอะไรพี่รู้หรอ

read Khaopun
เรารู้

                Nine naay
                พี่รู้ได้ไงผมคิดถึงพี่อยู่

read Khaopun
เราง่วง


                ...อยากจะกรอกตาเป็นเลขแปด ไหนบอกว่าคุยเเบบพี่น้องไง...


                Nine naay
                555 ง่วงเฉย โอเคครับ
                ฝันดีนะพี่ปั้น


                ...ถ้าการคุยคือการเริ่มต้นความสัมพันธ์ แล้วเรากับเขานี่เริ่มต้นแล้วใช่ไหม...





======
-พี่ปั้นนนนนนนนนน-
ขอบคุณทุกคนค่ะ ♡
#เรากับเขา

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-10-2017 15:31:39 โดย jaevin »

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
น้องนายน่ารัก :mew1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เจอปั้น ชอบปึ๊บ จีบปั๊บ  :3123:
นาย ข้าวปั้น   :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
ลูกตื๊อเท่านั้นที่จะครองโลก สู้ๆนะคะน้องนาย *ชูป้ายไฟสุดแขน*

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
พี่ปั้นน่ารักแบบนิ่งๆดีค่ะ ชอบจังเลยยยย  :hao5:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
น่ารักดีค่ะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ตื้อและหน้ามึนเข้าไว้ ใช่ไหมนาย

ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1957
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
Re: #เรากับเขา Act 3 : เขา...ดื้อ [21/09/60]
«ตอบ #20 เมื่อ21-09-2017 16:45:46 »

Act 3: เขา...ดื้อ


                ปรี๊ดดดดดดดดดดด


                “เริ่ม!”


                เฮือก!


                “อ๊ะ โทษทีปั้น ฉันเนี่ยขี้ลืมจริงๆ แทนที่แกจะกลับไปเก็บของกลับบ้านเลยต้องเดินย้อนมาหาฉันอีก” ชมพู่รับเอกสารตารางซ้อมจากมือเราหลังจากที่เราเดินเข้ามาหาเธอข้างสนามบาสในโรงยิมมหาลัย เสียงชมพู่ตะโกนเมื่อกี้ทำเอาเราที่เดินคิดอะไรมาเรื่อยเปื่อยสะดุ้งตกใจ


                “ไม่เป็นไร เรายังไม่ได้ออกจากมอพอดี” เราตอบชมพู่แล้วมองกลุ่มนักกีฬาตัวสูงแย่งลูกบาสกันอยู่ เสียงพื้นรองเท้าเสียดสีกับพื้นสนามเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ชมพู่เป็นผู้จัดการทีมบาสของมหาลัย เธอเป็นนักกิจกรรมตัวยงเลยล่ะ ผิดกับเราที่เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้อง


                “ขอบใจมากปั้น” ชมพู่เดินนำเรามานั่งตรงอัฒจันทร์ “แล้วเดินเหม่อเข้ามาในโรงยิมเนี่ยไม่ดีเลยนะ ถ้าลูกบาสลอยมาโดนหัวแกจะทำไง”


                “แหะๆ”


                “ไม่ต้องมายิ้มประจบ ดีนะวันนี้ชมรมฉันจองสนามไว้ก่อน” เรามองรอบๆ โรงยิมวันนี้มีแค่ทีมบาสของมหาลัยทีมเดียวเท่านั้นครับ


                “โดนหัวเราไม่เป็นไรหรอกเราเป็นผู้ชายนะ ชมพู่สิต้องระวัง”


                “ย่ะ...ระดับฉันแล้วถ้าใครกล้าปล่อยลูกบาสมาโดนหัวฉันเนี่ย เจอตารางซ้อมแน่นๆ แน่ๆ”


                “ดีนะเราไม่ได้เล่นบาส ไม่อยากเจอผู้จัดการทีมโหด”


                “แกแค่วิ่งไม่ให้บ่นปวดขาก่อนเถอะ” ชมพู่ย่นจมูกพร้อมกับผลักหัวเราเบาๆ เราคุยเรื่องรีเสิร์ชที่ทำคู่กับชมพู่อยู่ไม่นาน ไม่ได้สังเกตว่าเสียงรองเท้ากับเสียงลูกบาสกระทบพื้นเงียบไปตั้งแต่เมื่อไหร่


                “ผู้จัดการคร้าบบบบ ช่วยพาเพื่อนไปนั่งไกลๆ ได้ไหมคร้าบ” ผู้ชายคนหนึ่งตะโกนมาจากสนามบาส เขาใส่เสื้อแขนกุดสีดำสกรีนหมายเลขเสื้อเบอร์ศูนย์ ผิวขาวตัดกับสีเสื้อมาแต่ไกล


                “เล่นต่อไปสิ พวกแกจะมายุ่งอะไรกับฉัน!”


                “โอ๊ยยยย ถ้าเพื่อนผู้จัดการยังนั่งแถวนี้ พวกเราไม่มีสมาธินะครับ” พอคนนั้นพูดต่อเพื่อนในทีมที่หันมามองทางพวกเราก็พยักหน้าไปด้วย


                “เอ่อ...เราออกไปก็ได้นะ” เราทำหน้าเหวอๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะรบกวนคนอื่นขนาดนี้


                “ปั้นแต่ไม่ต้องออกไป ไอ้เจ็ม! หุบปาก ทำไมเวลามีสาวๆ มาดูพวกแกก็แอ็คท่าเล่นซะเต็มที่ ทำไมแค่เพื่อนฉันคนเดียวถึงไม่มีสมาธิ”


                ชมพู่หน้าบึ้ง เธอลุกขึ้นยืนพลางจับข้อมือเราเข้าไปใกล้ขอบสนาม ส่วนมืออีกข้างก็เท้าเอวอย่างเอาเรื่อง


                “ชมพู่” เราร้อง อยากจะออกไปเต็มที สถานการณ์มันอึดอัดพิกล “เราไม่เป็นไร เรามารบกวนเอง”


                “ตอบ!” ชมพู่ไม่ตอบเราแต่หันไปหาพวกนักกีฬาแทน


                “จะให้ตอบจริงๆ หรอครับ” เจ็มที่ดูเหมือนจะกล้าคุยกับผู้จัดการทีมตอบ เขามองซ้ายมองขวาหาเพื่อนร่วมชะตากรรม แต่นักบาสคนอื่นๆ ก็ถอยหลังกรู เราก็เริ่มกลัวชมพู่แล้วนะเนี่ย


                “เช็ดพื้นสนามหนึ่งอาทิตย์?”


                “อย่านะครับผู้จัดการรรร ก็...คือ...พวกมึงก็ไม่ช่วยกูเล้ย”


                “รีบๆ ตอบดิ หน้ายักษ์แล้ว”


                “อะไร! อ้ำอึ้งอยู่ได้”


                “เอ่อ...ใจเย็นๆ ครับผู้จัดการร คือว่า...เพื่อนผู้จัดการน่ารัก พวกเราหยุดมองไม่ได้เลยอ่า แบบว่าใจมันวอกแวกอะคร้าบบบบบบบ”


                “...!!” ชมพู่ตาโตปล่อยมือจากข้อมือเรา แล้วหัวมาหาเราทั้งตัว “ปั้นแกรีบๆ กลับไปเลย!”

               



                เราเดินออกมาจากมอ ข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อเข้าไปที่หอ ปีสี่ก็แบบนี้จะว่าว่างก็ไม่เชิง มีเรียนน้อยแต่งานระดับประเทศเลยทีเดียว อาจารย์เราเขี้ยวมากเพราะงานที่วัดคุณภาพของนักศึกษาคืองานจบครั้งนี้แหละ พอมาถึงห้องที่เรารัก เราก็นอนเอนหลังบนเตียงพร้อมชูมือถือขึ้นมาเล่น


                Poochom
                ขอโทษแทนเด็กๆ ด้วย
                *แนบรูป น้องๆ นักกีฬานั่งคุกเข่ากับพื้น


read  Khaopun
เฮ้ยไม่ต้องขนาดนั้นหรอก
น้องๆ ก็พูดเล่นไปเรื่อย


                Poochom
                ปั้นแต่ที่พวกมันพูด
                ที่พวกมันพูดว่าแกน่ารักอะเรื่องจริงนะ


                ...เฮ้ เฮ้ ผู้ชายตัวใหญ่เกือบสิบคนมาชมว่าน่ารัก เรากลัวนะ...


                Poochom
                มันมาถามฉันใหญ่เลยว่าแกเป็นใครทำไมไม่เคยเห็น
                5555 ขำดีเหมือนกัน
                แต่ฉันปกป้องแกแล้ว ไม่ให้ใครรู้จักแกได้ง่ายๆ หรอก

               
read  Khaopun
เราต้องรู้สึกยังไง


                Poochom
                แกก็ต้องรู้สึกดีสิ
                ฉันเป็นผู้จัดการมัน สวยขนาดนี้มันยังไม่เคยชมฉันเลย
                ดีแต่บ่นว่าฉันโหดอย่างนู้นอย่างนี้
                ฉันต้องไปแล้วล่ะ แอบกดมือถือเดี๋ยวพวกมันเอาเรื่องฉันไปฟ้องโค้ช
                กลับบ้านดีๆ ล่ะ

               
                เรากดอะไรไปเรื่อยเปื่อย กะว่าจะงีบซักสิบนาทีแต่จนแล้วจนรอดมันก็หลับไปลง เราเลยลุกขึ้นเก็บของใส่กระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน เวลาผ่านไปเร็วชะมัด แป๊บเดียวก็เวียนมาเสาร์ อาทิตย์อีกจนได้


                ตื่อ ดือ ดึ๊ง


                ระหว่างที่เรากำลังคิดว่าจะเอาเอกสารอันไหนกลับไปอ่านที่บ้านก็มีเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้น เราละสายตาจากเอกสารที่กองอยู่ตรงพื้นก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแหล่งที่มาของเสียง


                ปกติทุกๆ วันศุกร์แม่จะส่งข้อความมาถามว่ากลับกี่โมงเสมอ แต่เพราะทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมามันมีอะไรไม่ปกติ ดังนั้นคนที่ส่งมาตอนนี้ก็คือคนที่ทำให้เกิดความไม่ปกติคนนั้นแหละ


                Nine naay
                พี่ปั้นวันนี้วันศุกร์แล้วพี่ปั้นจะกลับบ้านกี่โมง


read  Khaopun
                เรื่องของเรา


                Nine naay
                ใช่ครับ เรื่องของพี่กับผมก็เรื่องของเราไง

 
                ...เขาชอบพูดอะไรทำนองนี้อยู่เรื่อย... เราเปิดหน้าต่างบทสนทนาค้างไว้แบบนั้นแล้วหันไปเลือกเอกสารต่อ

               
                Nine naay
                พี่ปั้นนนนนน
                ถ้าพี่ไม่ตอบ ผมก็จะเรียนพี่แบบนี้แหละ
                พี่ปั้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
                ไม่พูดแบบนั้นแล้วก็ได้ คุยเถอะ ตอบเถอะครับบ             

                               
read  Khaopun
                เราจะกลับกี่โมงก็เป็นเรื่องของเรา


                Nine naay
                งั้นไม่เป็นไรวันนี้ผมไม่มีเรียน
                ผมจะไปนั่งรอตรงป้ายรถเมล์ตอนนี้เลย


read  Khaopun
จะบ้าหรอนี่พึ่งสิบเอ็ดโมงเอง


                Nine naay
                ผมรอได้ ถ้าพี่ไม่บอก


read  Khaopun
ทำไมนายถึงดื้อแบบนี้นะ


                Nine naay
                ผมไม่ได้ดื้อ

read  Khaopun
นายดื้อ


                เขาเงียบไปเลย เราก็ไม่ได้ทักอะไรกลับไปแล้วหันไปรวบเอกสารทั้งหมดเข้ากระเป๋า สุดท้ายเราก็เลือกไม่ได้ซักที เอากลับหมดนั่นแหละ เราเหลือบตามองโทรศัพท์มือถือที่ไม่มีข้อความของเจ้าเด็กจอมดื้อคนนั้นต่อ ก็รู้สึกแปลกใจหน่อยๆ


read  Khaopun
เฮ้ อย่าบอกนะว่าไปรอแล้วน่ะ

                Nine naay
                ยังครับ
                แต่พอพี่บอกว่านายดื้อแล้วมันรู้สึกดีอะ
                เอ้า เงียบเลย
                เขินหรอ


read  Khaopun
                วันนี้เราไม่กลับ


                Nine naay
                ทำไมอะพี่ พี่ต้องกลับบ้านสิ จะเหลวไหลไม่ได้นะ
                ผมรอพี่ตั้งแต่ศุกร์ที่แล้วจนถึงศุกร์นี้เลยนะ ไม่กลับไม่ได้

read  Khaopun
นายอย่ามาบ้าบอได้ไหม
นายก็ทักเรามาทุกวันเลยนี่


                ...จะเอายังไงอีก...


                Nine naay
                ก็ผมอยากคุยกับพี่นี่
                แต่ถ้าได้เจอด้วยจะดีมากเลย
                ผมรบกวนมากไปหรอครับ
                บอกหน่อยนะครับ สงสารน้องคนนี้หน่อย


read  Khaopun
นายนี่มันจอมดื้อจริงๆ เลย
เรากลับเวลาเดิมทุกอาทิตย์นั่นแหละ


                Nine naay
                พี่ปั้น มีใครบอกไหมว่าพี่เป็นคนใจดี
                แต่พี่ใจดีกับผมแค่คนเดียวก็พอนะ
                เจอกันครับ


                ...เขามันดื้อจริงๆ นั่นแหละ...






                สาบานว่าตอนลงจากรถเราไม่เคยคาดหวังว่าจะมีใครมารอรับ เรากลับบ้านหรือไปไหนมาไหนเองตั้งแต่เริ่มช่วยเหลือตัวเองได้ พ่อกับแม่ไม่เคยไปส่งเราที่โรงเรียน ไม่เคยพาเราไปเรียนพิเศษ เราเลยมักจะพึ่งพาตัวเองเสมอๆ ถ้าต้องไปที่ใหม่แล้วหลง เราถือว่านั่นคือเสน่ห์ของการเดินทางล่ะ


                “พี่ปั้น!”


                แต่ครั้งนี้ต้องบอกว่าแตกต่างออกไป....เอ่อ...โดยสิ้นเชิง


                “พี่ปั้น!” เราก้มหน้าก้มตาหลบสายตาจากคนที่มองมาประมาณว่าเราไม่รู้จักไอ้หมอนี่นะ ก็เพราะผู้ชายตัวสูงที่กำลังนั่งจ้องรถตู้อยู่ที่ป้ายรถเมล์คนนั้น อยู่ดีๆ ก็ลุกพรวดทันทีที่เราก้าวขาลงมาจากรถ แน่นอนเขารู้ว่ารถตู้จากนครปฐมจะมาจอดตรงไหน


                “พี่ปั้น” พอเห็นว่าเราไม่มองเขาซักที นายคนนี้ก็เดินเข้ามาประชิดตัวเราทันที “ผมเดาว่าต้องเป็นรถคันนี้แน่ เดาผิดไปสามคันแหนะ”


                เพราะเขาพูดแบบนั้นเราจึงเงยหน้าไปมองเขา “นี่นายมารอเราตั้งแต่กี่โมง”


                เขาส่ายหน้า โบกไม้โบกมืออย่างมีพิรุธ “เปล่านะ ผมมาเยี่ยมแม่เพื่อนที่โรงพยาบาลแล้วก็แวะมารอพี่เมื่อกี้เอง”


                “แม่เพื่อนนายยังไม่หายอีกหรอ”


                “อ๋อ เอ่อ...ยังเลยพี่ อาการหนัก” เราส่ายหัวเบาๆ


                “จะโกหกอะไรก็ให้เนียนๆ หน่อยเถอะ”


                เขาหัวเราะออกมาสองสามคำคล้ายว่ายอมรับก่อนจะก็เบนสายตามามองถุงผ้าในมือเรา “ผมช่วยถือไหม”


                “เราไม่ใช่ผู้หญิง”


                “ผมก็ไม่ได้บอกว่าพี่เป็นผู้หญิงซะหน่อย อยากช่วยไม่ได้หรอ”


                “ไม่เป็นไร” กระชับสายกระเป๋าแน่นย้ำคำตอบ


                “โอเค” เขายิ้มมุมปาก ให้ตายเถอะ ต้องยอมรับว่าเขาน่ามองจริงๆ นั่นแหละ ยืนคุยกับเขาตรงป้ายรถเมล์นี้มีคนหันมามองตั้งหลายคนแล้ว


                “พี่ปั้น ไปกินข้าวกัน” เขาพูดแล้วคว้าข้อมือเราไปที่ทางขึ้นสะพานลอยทันที


                “เดี๋ยวๆ” เราขืนตัวไว้


                “พี่บอกว่าผมโกหกไม่เนียน ผมจะไม่โกหกแล้ว ตรงๆ เลยละกัน อยากชวนไปกินข้าว ไปเหอะ”


                “เนียน”


                “อะไรอะพี่ ผมไม่โกหกอะไรอีกแล้วนะ”


                “มือนายอะเนียน” เราบอกเขานิ่งๆ เกือบจะหลุดขำเพราะหน้าตาตลกๆ ของเขาแล้ว เขาทำท่าปล่อยมือเราช้าๆ พร้อมกับเกาหางคิ้วเบาๆ


                “อะแฮ่ม ขอโทษครับ ตกลงไปกินข้าวนะ...ผมเหงาไม่อยากกินข้าวคนเดียว” ท้ายประโยคเขาทำหน้าเศร้าพร้อมดันหลังเราให้เดินขึ้นไปบนสะพานลอยก่อนจะเดินตามมา ตีมึนชะมัด ผู้คนในวันศุกร์ยังคึกคักเหมือนเดิม เพราะงั้นบนทางขึ้นสะพานลอยแคบๆ แบบนี้ เราเลยต้องเลยชิดขวาแบบสุดๆ รู้สึกแปลกใจที่เวลาเหลือบมองด้านซ้ายจะเห็นมือของเขายื่นออกมาเหมือนรั้วกั้นบริเวณเอวเรา พอพ้นทางขึ้นแล้วก็เป็นทางเชื่อมเข้าเซ็นทรัลฯ เขาถึงเดินยิ้มร่ามาข้างๆ   


                “นายไม่มีเพื่อนหรอ” เขาเลิกคิ้วหันมามองเราแบบแปลกใจระคนตลก แน่ล่ะก็เขาเหมือนจะหัวเราะออกมาซะแบบนั้น


                “อะไรทำให้พี่คิดแบบนั้น”


                “ก็นายบอกเหงาไม่อยากกินข้าวคนเดียว” เราถึงยอมเดินตามมานี่ไง         


                “ถ้าไม่ติดว่าพึ่งบอกพี่ว่าจะไม่โกหก ผมจะบอกว่าพี่ว่าใช่ครับ ผมไม่มีเพื่อน อยากมีคนมากินข้าวด้วยกันทุกมื้อเลย พี่ปั้นสนใจไหมครับ”


                “เราไม่อยากฟังแล้ว” พอเราพูดเรื่องจริงจัง เขาก็พาออกทะเลไปซะหมด


                “ฮ่าๆ โอ๋ พี่ปั้นนน ผมมีเพื่อนครับแต่วันนี้อยากมีพี่ปั้นเลยมาหาพี่ปั้นไง”


                “นายคงเชี่ยวชาญเรื่องหยอดมุกจีบสาวอะไรเทือกๆ นี้ใช่ไหม” ถ้าเราเป็นผู้หญิงเราคงอายม้วน แต่เพราะเราเป็นผู้ชายเลยไม่มั่นใจว่าเด็กกะล่อนแบบเขาพูดเป็นนิสัยหรือว่าพูดเพราะอีกฝ่ายเป็นเรากันแน่ คิดว่าคงไม่ใช่อย่างหลัง


                 เขาเรียกขณะที่เท้าของเราและเขาก้าวเข้ามาในห้างแล้ว ไอเย็นปะทะร่างทำให้รู้สึกดีกว่าอยู่ข้างถนนร้อนๆ เป็นไหนๆ


               “พี่ปั้น...”

               
               “อะไร"


                “ผมไม่เคยจีบสาวหรืออะไรแบบนี้หรอกนะ กับพี่ปั้นอะคนแรกเลย...”




__________________
-พี่ปั้นของน้องงง-
เขานัดกันทุกวันศุกร์เหรอคะ5555
มาทิ้งไว้ที่ตอนนี้ อาจจะหลบหายไปไม่ต้องตามหา
เเจกันนนค่า
ขอบคุณทุกคนเช่นเคยค่ะ
#เรากับเขา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-10-2017 15:32:28 โดย jaevin »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: #เรากับเขา Act 3 : เขา...ดื้อ [21/09/60]
«ตอบ #21 เมื่อ21-09-2017 18:30:37 »

 o13

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
Re: #เรากับเขา Act 3 : เขา...ดื้อ [21/09/60]
«ตอบ #22 เมื่อ21-09-2017 20:06:40 »

ถ้าพี่ปั้นไม่เขิน เราขอเขินแทน :m3:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: #เรากับเขา Act 3 : เขา...ดื้อ [21/09/60]
«ตอบ #23 เมื่อ21-09-2017 20:12:12 »

ปั้น หน้าตาน่ารัก
กลุ่มนักบาสหยุดซ้อมกันหมดเอาแต่จ้องปั้น

คำตอบของนายที่ไม่ออกทะเล
ปั้นจะถูกใจหรือไม่ถูกใจกันนะ
ผมไม่เคยจีบสาวหรืออะไรแบบนี้หรอกนะ กับพี่ปั้นอะคนแรกเลย...
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1957
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4
Re: #เรากับเขา Act 3 : เขา...ดื้อ [21/09/60]
«ตอบ #24 เมื่อ21-09-2017 21:46:53 »

 :-[

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: #เรากับเขา Act 3 : เขา...ดื้อ [21/09/60]
«ตอบ #25 เมื่อ21-09-2017 22:52:40 »

เจอแบบนี้พี่ปั้นยอมให้จีบยังคะ ทำแบบนี้กับพี่ปั้นคนเดียวนะ  :hao5:

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
Re: #เรากับเขา Act 3 : เขา...ดื้อ [21/09/60]
«ตอบ #26 เมื่อ21-09-2017 23:01:28 »

จีบรัวๆ เป็นพายุเลย ข้าวปั้นจะไหวมั้ย

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: #เรากับเขา Act 3 : เขา...ดื้อ [21/09/60]
«ตอบ #27 เมื่อ22-09-2017 01:45:38 »

 :impress2:



ฉ่ำ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: #เรากับเขา Act 3 : เขา...ดื้อ [21/09/60]
«ตอบ #28 เมื่อ22-09-2017 02:49:08 »

 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
Act 4: เรา....กับข้าวหน้าเนื้อ



            “ผมไม่เคยจีบสาวหรืออะไรแบบนี้หรอกนะ กับพี่ปั้นอะคนแรกเลย...”


                “....” เขาพูดน้ำเสียงหนักแน่นมากจนเรามองเขาอย่างแปลกใจ บวกกับแววตารั้นนิดๆ นั่นทำให้เราแทบละสายตาไปไม่ได้ คนที่เดินตามหลังส่งสายตามามองผู้ชายสองคนที่หยุดจ้องหน้ากันตรงบริเวณประตูทางเข้า เราเลยรู้สึกตัวจากสายตาสงสัยเหล่านั้น


                อา...คนเรา...ถ้าหัวใจเต้นก็คงไม่แปลก แต่ถ้าหัวใจเต้นรัว...เราแปลกไปใช่ไหม


                “ไปเถอะ” เราพาตัวเองออกมาจากสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย ก่อนจะเดินตรงมาที่ลิฟท์แก้ว เดี๋ยวนะ..แล้วเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง มากินข้าวกับเขาได้ยังไงเนี่ยปั้นเอ๊ย จะก้าวขากลับก็ไม่ได้เเล้วสิเรา


                “พี่ปั้น รอด้วยดิ”


                เขาวิ่งเหยาะๆ ตามหลังมาที่ลิฟท์ ขณะที่เรายืนรอลิฟท์อยู่นั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นเขาจ้องเราผ่านผนังกระจก


                “มองอะไร”


                “เปล่าผมมองลิฟท์”


                “ให้จริงเถอะ...”


                “พี่ปั้นอยากกินอะไร”


                เราหรี่ตามอง “นายจะเลี้ยง?”


                “ได้ไหมอะ”


                “ไม่”       


                “โคตรใจร้ายเลย”


                “ถ้าเราใจร้ายเราคงไม่เดินมาถึงนี่หรอก”


                “โถ พี่ปั้นคนดีของผม”


                “อะไรนะ”


                “พี่ปั้นใจดีไง ปะพี่! ลิฟท์มาแล้ว” เขาชี้ให้เรามองด้านหน้า แล้วตีเนียนคว้าข้อมือเราเข้าไปในลิฟท์ ดีนะที่ไม่มีคนอยู่ข้างในไม่งั้นเราคงต้องตกเป็นเป้าสายตาแน่ๆ เราบิดข้อมือออกจากมือเขาช้าๆ เขามองมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเอาแต่ยิ้ม


                ลิฟท์แก้วเคลื่อนตัวขึ้นไปทีละชั้นระหว่างนั้นเขาก็ทำหน้าที่เป็นคนเปิดปิดประตูลิฟท์รับผู้โดยสาร เรามองเขาขำๆ จนถึงชั้นสี่เขากดปุ่มเปิดประตูค้างไว้ให้คนอื่นออกก่อน แล้วหันมาบอกเรา


                “พี่ปั้นก่อนเลย”


                “อื้อ”


                “ตกลงอยากกินอะไรครับ” เขาเดินมาข้างๆ หลังจากที่เราขึ้นบันไดเลื่อนต่อมาชั้น 5


                “แล้วนายล่ะ”


                “ผมกินได้ทุกอย่าง”


                “อาหารญี่ปุ่นแล้วกัน”


                “โอเค ผมจะจำไว้”


                “จำอะไร”


                “เปล่าครับ ร้านนู่นป้ะครับ”


                เราขมวดคิ้วมองเด็กจอมกะล่อนคนนี้ เขาเดินนำเราไปหยุดตรงแท่นวางเมนูหน้าประตูร้านก่อนจะเปิดเมนูไปมา


                “นายอยากกินอย่างอื่นก็บอกได้นะ”


                “ผมอยากกินพะ...เฮ้ย..อยากกินกับพี่ปั้นเนี่ยแหละ โอ๊ะ โคตรหิวเลย”


                “อิรัชชัยมาเซะ...”


                เราเดินผ่านเขาเข้าไปในร้าน พนักงานก็ประสานเสียงต้อนรับกันเหมือนเดิม


                “กี่ท่านคะ”


                “สองครับ” เขารีบแทรกมาตอบ เราแอบเห็นพนักงานหน้าแดงด้วยล่ะ สงสัยพนักงานคงจะตกใจที่เขาโผล่พรวดเข้ามาด้านหลังเรา


                หลังจากที่เลือกที่นั่งเสร็จ เราถึงสังเกตว่ามีสายตาหลายๆ คนในร้านมองมาแปลกๆ โดเฉพาะที่เป็นนักศึกษา พอนั่งปุ๊บเขาก็กางเมนูพลิกไปมา จนกระทั่งพนักงานที่เราคุ้นหน้าเดินเข้ามารับออร์เดอร์


                “ข้าวหน้าเนื้อไข่ออนเซ็นครับ” เราพูดขึ้นไม่ได้มองเมนู


                “ชาเขียวเหมือนเดิมนะคะ”  พนักงานคนนั้นยิ้ม เพราะเวลาเรามาที่นี่แล้วก็สั่งเมนูเดิมเป็นประจำ พนักงานสาวคนนี้ถึงจำเราได้แบบนี้


                เขาที่เปิดเมนูอยู่ชะงัก หันมาจ้องหน้าเราแล้วก็บอกพนักงานไปไม่ได้สังเกตว่าเสียงเขาฟังดูห้วนๆ


                “ผมรับเหมือนกันครับ”


                “ค่ะ ทวนรายการอาหารนะคะ ข้าวหน้าเนื้อไข่ออนเซ็นสองที่ ชาเขียวเย็นสองที่ ขออนุญาตเก็บเมนูค่ะ”


                “ครับ” เราพยักหน้าให้เธอก่อนที่เธอจะเก็บเมนูไป


                “เปิดตั้งนานสุดท้ายก็กินเหมือนเรา” เราบอกขำๆ แต่ดูเหมือนเขาไม่ขำด้วย


                “พี่ปั้นรู้จักพนักงานคนนั้นหรอ” น้ำเสียงเขาเรียบเป็นเส้นตรงทำให้เราพลอยแปลกใจไปด้วย


                “อะไร...”


                “ตอบผมก่อน”


                “ก็...เปล่า”


                “แล้วทำไมเขาถึงรู้ว่าพี่ปั้นชอบกินอะไร”


                “เรามากินที่นี่คนเดียวบ่อยๆ ปกติก็แวะก่อนเข้าบ้าน เขาคงจำได้ล่ะมั้ง” ถึงตรงนี้คนที่นั่งตรงข้ามมีสีหน้าดีขึ้น เขาพึมพำอะไรคนเดียวก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงปกติ


                “คราวหลังถ้าพี่จะมากินต้องบอกผมนะ”


                “หือ...”


                “ผมรู้สึกไม่แฟร์ที่เขารู้ว่าพี่ปั้นชอบกินอะไรในขณะที่ผมไม่รู้”


                “อะไรของนายเนี่ย”


                “จริงๆ นะ”


                เราส่ายหน้าเบาๆ มองคนเอาแต่ใจที่พูดจาไม่รู้เรื่อง


                “ชาเขียวสองที่ค่ะ” พนักงานคนเดิมเข้ามาเสิร์ฟชาเขียว เราว่าเธอคงเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาที่มาทำงานพาร์ทไทม์ เราชื่นชมคนขยันแบบนี้มากๆ ถ้าเป็นปกติเราก็คงจะยิ้มให้เธอแต่เพราะวันนี้เราไม่ได้มาคนเดียว คนที่ตรงข้ามเราเลยพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาระหว่างที่พนักงานหมุนตัวกลับไป


                “พี่ปั้นวันนี้เราเหมือนมาเดทกันเลยเนอะ”


                แค่กๆ


                “เฮ้ยๆ” เขาแทบจะลุกมานั่งฝั่งตรงข้ามกับเรา แต่เรายกมือห้ามไว้ก่อน เขาเลยได้แต่ส่งทิชชู่มาให้แทน


                “ผมพูดอะไรผิดหรอ” ทำหน้าเหรอหราแต่เรารู้ว่าเขาน่ะรู้ทุกอย่างแหละ


                “มันผิดตั้งแต่รู้จักนายแล้วล่ะ แค่กๆ” เราปรับลมหายใจไม่นาน อาหารก็มาเสิร์ฟ กลิ่นหอมของเนื้อกับซุปมิโซะสีขุ่น ทำให้น้ำย่อยเราร้อง ทั้งๆ ที่จะรีบกลับบ้านแท้ๆ อยากจะเขกหัวตัวเองจริงๆ


                “ฮ่าๆ ล้อเล่นน่า ไม่ได้มาเดทเล้ยวันนี้ มาทานข้าวกันเฉยๆ” เขาพูดเสียงสูง อมยิ้มหัวเราะ จะอารมณ์ดีอะไรนักหนา


                “ใช่...ไม่ได้มาเดท” เราลงมือกินข้าวส่วนเขาก็ชวนเราคุยเหมือนครั้งแรกที่เจอกันบนรถเมล์นั่น ไม่ค่อยแตะอาหารจนเราชำเลืองมองบ่อยๆ


                “พี่ปั้นชอบกินข้าวหน้าเนื้อหรอครับ”


                “ก็ชอบมั้ง”


                “หมายความว่าไง”


                “เราชอบกินเมนูเดิมๆ ไม่อยากเสี่ยงเจอเมนูใหม่แล้วไม่ถูกใจ”


                “อืมมม เอางี้ไหม ถ้าคราวหน้าเราไปกินข้าว ผมจะสั่งเมนูใหม่ๆ เอง พี่ปั้นจะได้ลอง ถ้าถูกใจพี่ปั้นต้องกิน แต่ถ้าไม่ถูกใจผมกินเอง”


                เรานิ่งคิดก็ดีเหมือนกันนะ...ถ้าไม่ถูกใจ เราก็กินเมนูเดิมของเรา “ก็ดีนะ...”


                “ใช่มะ ความคิดผมดีล่ะสิ งั้นศุกร์หน้าเจอกันร้านเดิมไหมครับ”


                “อืม...เอ๊ะ...เดี๋ยว เฮ้ นี่นายหลอกเราอีกแล้วนะ”


                “ฮ่าๆ แต่พี่ปั้นรับปากแล้ว...ดีล! ข้าวหน้าเนื้อชามนี้เป็นพยาน”


                “นาย!”


                “ครับ?” เขายิ้มกวนประสาท ไม่สะทกสะท้านกับหน้าบึ้งๆ ของเราเลยแม้แต่น้อย เราไม่สนใจแล้ว ระหว่างที่เราตัดสินใจก้มหน้ากินอีกครั้งก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นด้านหลัง


                “เอ่อ ขอโทษนะคะ...ใช่พี่นายรึเปล่าคะ”


                เขากับเราเงยหน้าไปมองต้นเสียงพร้อมๆ กัน เขาสบตาเราก่อนจะหันไปมองน้องผู้หญิงสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน


                “เอ่อ...ใช่ครับ”


                “เฮ้ยย ใช่ด้วยว่ะมึง พี่นายหนูขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหมคะ”


                “เอ่อ....” เขาหันมามองด้วยสายตาที่เราก็อธิบายไม่ถูกเหมือนจะขออนุญาตหรือรู้สึกเกรงใจหรืออะไรซักอย่างนึง เราไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็หยิบชาเขียวมาดื่มเหมือนไม่ใส่ใจแต่ในใจเราโคตรอยากรู้เลย เขาเป็นใครกันแน่ ทำไมต้องมาขอถ่ายรูปด้วย


                “ได้ครับ” สุดท้ายเขาก็รับปาก           


                “มึงมาเร็วๆ พี่นาย...พวกหนูกรี๊ดพี่มากเลย ไม่คิดว่าจะได้เจอตัวจริง”           


                “อ่า..ครับ” เขาลุกขึ้นออกมายืนข้างๆ โต๊ะแล้วรับมือถือที่น้องสองคนนั้นยื่นมาให้...ถ่ายเซลฟี่ล่ะมั้ง


                แชะ!


                “พี่นายหนูขออีกรูปนึง เอาสองนิ้วๆ มึงชูสองนิ้วจะได้เหมือนกัน” น้องหันไปบอกนายและเพื่อนของตัวเอง จัดแจงท่าทางเสร็จ ถ่ายเสร็จ เขาขอตัวกินข้าวต่อ เราจึงรีบละสายตาที่แอบมองเมื่อกี้


                ...ข้าวหน้าเนื้ออร่อยมากๆ เลย...


                “พี่...”


                เราเผลอหลุดปากพูดในตอนที่เขาเอ่ยทัก “อร่อย!”


                “หือ...” เขาแอบขำ ตักข้าวหน้าเนื้อกินอีกสองสามคำ ส่วนเราตอนนี้น่ะนั่งมองเขาอย่างเดียว อะ...ไม่ใช่อะไรหรอก ข้าวหน้าเนื้อเราหมดแล้ว


                “พี่ปั้นสั่งอะไรเพิ่มอีกไหมครับ”


                “ไม่”


                “พี่ปั้นอยากถามอะไรผมไหม”


                “อยาก เอ๊ย ไม่ๆ เราไม่ได้อยากรู้อะไร”


                เขายิ้มก่อนจะหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดมุมปาก “จ้องผมขนาดนี้ไม่อยากรู้ได้ไง”


                “ใช่ เราไม่อยากรู้”


                “คนปากแข็ง อืม....งั้นเล่นเกมกันเราผลัดถามคำถามกันคนละสามคำถามแบบต่อเนื่อง ตอบได้แค่ใช่หรือไม่ใช่ ชอบหรือไม่ชอบ ได้หรือไม่ได้ อะไรแบบนี้นะครับ”


                “เราไม่เล่นหรอก” เราพึมพำและเขาก็พูดขึ้นอีก


                “และในสามคำถามนั้นถ้าใครตอบช้า อ้ำอึ้ง...ภายในสามวิ...ก็แพ้ไป คนชนะมีสิทธิ์สั่งอะไรก็ได้และคนแพ้ต้องทำตามไม่มีสิทธิ์อิดออด ก็ถ้าเราทั้งคู่ยังตอบได้ทุกคำถามก็...เสมอกัน”


                คนตั้งกติกาทำท่าจริงจัง เราเผลอเอียงหน้าแล้วถามเขา


                “แล้วถ้าเราชนะ เราจะได้อะไร”


                เขาขำอีกแล้ว “ก็นี่ไง... ถ้าพี่ปั้นชนะ พี่ปั้นบอกผมให้เลิกยุ่งกับพี่ปั้นได้”


                “หือ...”


                “ยกตัวอย่างครับ ไม่ต้องเอาจริงก็ได้คำสั่งนี้เนี่ย ตาวาวขึ้นมาเชียว”


                “อืม...ก็ได้ ที่เราเล่นเพราะเราอยากชนะ ไม่ได้อยากรู้เรื่องของนายเลย”       


                “หึหึ คร้าบบ จะจำไว้ ขอผมกินข้าวห้านาที พี่ปั้นมีเวลาคิดคำถามได้“


                เรานั่งมองนาฬิกาข้อมือ ในหัวก็พยายามคิดคำถามแต่เพราะเขากินข้าวไม่หมด เราเลยเอ็ดเขาอย่างลืมตัว นายคนนี้เงยหน้ามองเราอย่างแปลกใจแต่ก็ยอมกินข้าวจนหมด


                “นิสัยไม่ดีเลยนะ”


                “ผมไม่อยากกินข้าวเปล่าเฉยๆ นี่ เนื้อมันหมดแล้ว”


                “อย่าเถียงเรา” เราจ้องหน้าเขานึกขึ้นได้ว่ากำลังจับเวลาอยู่เลยไม่สนใจเรื่องการกินของเขาอีก “อ๊ะ...ห้านาทีแล้วเราถามก่อน”


                เขาส่ายหัวเบาๆ เหมือนเอ็นดู เอ่อ...แต่คงไม่ใช่หรอก ส่ายหัวเฉยๆ น่ะ


                “นายเป็นดาราใช่ไหม” ให้ตายสิ เราไม่ได้อยากรู้เรื่องนี้จริงนะ แต่มันคงเป็นจิตใต้สำนึก เสียหน้าชะมัด


                “ไม่ใช่ครับ” เขาตอบกลับมาทันที แถมยังยิ้มยียวนท้าทายเรา


                “ไม่ได้เป็นแล้วทำไมมีคนขอถ่ายรูป” เราพูดเบาๆ พึมพำแต่เขาได้ยินพอดี เลยยิ้มกวนเราอีก “ถ้าไม่ใช่ งั้น...นายเป็นนักร้องใช่ไหม”


                “ไม่ใช่ครับ”


                “ถ้านายไม่ได้เป็นอะไรพวกนี้ นายเป็นบ้าใช่ไหม?” เราเพิ่มเสียงตรงคำสุดท้าย “หนึ่ง...”


                “ไม่ครับผมไม่ใช่คนบ้า”       


                เขาพูดแทบไม่เว้นวรรค แกล้งหยุดคิดทำให้เรานับเลข เขาหัวเราะแต่เราหัวเสีย หยิบน้ำชาเขียวมาดื่มก็มีแต่น้ำก้นแก้ว เขายกมือสั่งแก้วใหม่มาใหม่ไม่นานชาเขียวแก้วใหม่ก็วางตรงหน้าเรา


                “หน้าแดงหมดแล้ว กินก่อนครับ อะ เทแบ่งกันก็ได้คนละครึ่ง” เขาเลื่อนแก้วแบ่งน้ำกับเรา คงกลัวเราไม่กินล่ะมั้ง น่าหงุดหงิดที่เขาตอบได้หมด คำถามเรามันง่ายไปงั้นหรอ เอาเถอะ ตาเราจะไม่แพ้เลยคอยดู


                “ผมไม่ได้เป็นดาราไม่ได้เป็นนักร้องครับ ผมเป็นคนธรรมดาที่หล่อมากๆ” เขาตอบเสริมมาให้เรา เราคิดตามนี่มันเป็นคำตอบที่หลงตัวเองเอามากๆ เฮ้...ถ้าเขาจะบอกเราขนาดนี้ เราจะต้องถามคำถามเขาทำไมกัน


                “ที่มีน้องมาขอถ่ายรูปก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม” เขาลูบคางทำท่าคิดไปด้วย เอาเถอะ เราไม่อยากรู้แล้ว หมั่นไส้


                “รีบถามคำถามนายมาเลย เราต้องไม่แพ้แน่นอน” ผมเลื่อนถาดอาหารไปไว้ข้างๆ วางมือไว้บนโต๊ะอย่างมุ่งมั่น


                “โอเค...ตาผมแล้ว พี่ปั้นชอบฟังเพลงไหมครับ?”


                “ชอบ”


                “พี่ปั้นชอบดูหนังไหมครับ?”


                “ชอบ”


                “แล้วพี่ปั้นชอบผมรึยังครับ”


                “ชอ...เฮ้...อะ...”


                “หนึ่ง...สอง...”


                “ดะ...”


                “สาม”


                “เดี๋ย...”


                “พี่ปั้นแพ้แล้วครับ”




====
-ตามน้องให้ทันด้วยครับคุณปั้นนน-
ขอบคุณทุกคนค่ะ
#เรากับเขา  ♡
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-10-2017 15:34:03 โดย jaevin »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด