Kill me gently จุมพิตอันธการ [แถงการณ์เปลี่ยนชื่อเรื่อง] P.7 [12/2/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Kill me gently จุมพิตอันธการ [แถงการณ์เปลี่ยนชื่อเรื่อง] P.7 [12/2/2018]  (อ่าน 61606 ครั้ง)

ออฟไลน์ baibuabuaz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เอลเป็นนายเอกที่น่าสงสารจริงๆ ระบมไปหมด ฮือออออ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
หมันไส้ลีโอด้วยคน แต่ทำไมดูเป็นคนมีเสน่ห์แบบแปลกๆคะ 555555555
เป็นกำลังใจให้คีล ฉากมาช่วยนี่แหล่ะจะทำให้ดูเป็นพระเอกขึ้น  :hao7:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
บทที่ 23



คีลมาถึงสถานที่ที่ลีโอส่งมาให้ในอีกสี่สิบนาทีต่อมา

อันที่จริงต้องบอกว่าเขามาจอดรถอยู่ใกล้ๆ กับสถานที่ที่ว่า จากนั้นจึงลงจากรถมาเดินเท้าต่อ แผนโง่ๆ สำหรับการติดกับดักโง่ๆ ในครั้งนี้ของเขาคือแอบลอบเข้าไปในสถานที่นั้น เพราะถ้าเขาขับรถเข้าไปละก็ ไม่มีทางที่ลีโอจะไม่รู้ตัวว่าเขามาถึงแล้ว

กว่าจะถึงจุดหมาย คีลต้องเดินฝ่าป่ากับพงหญ้ารกๆ ที่สูงเกือบถึงบ่า ชายหนุ่มเปิดโทรศัพท์ค้างเอาไว้เพื่อดูเส้นทางที่ต้องฝ่าไปให้ถึง และเมื่อถึงบริเวณหนึ่งที่ปลูกต้นไม้ประเภทเดียวกันเรียงยาวเป็นแถบ คีลคงไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหาอะไรถ้าไม่ใช่เพราะพื้นด้านล่างของมันเป็นโคลนที่ลึกลงไปพอสมควร แถมมันยังลากยาวตลอดไปทั้งแถบ ราวกับว่าสถานที่ที่เขาต้องไปถูกล้อมกรอบไว้ด้วยพื้นโคลนพวกนี้

สายสืบหนุ่มพยายามตรวจสอบพื้นที่บริเวณนั้นผ่านหน้าจอมือถือ มีทางเข้าแค่ทางเดียวที่เป็นถนนเรียบไม่ใช่พื้นโคลนแบบตรงนี้ และทางเข้าที่ว่าก็เป็นทางประตูหน้าที่คีลตั้งใจจะเลี่ยงแต่แรก ร่างสูงถอนหายใจก่อนจะหย่อนเท้าลงไปในโคลนนั่นอย่างไม่มีทางเลือก ขาของเขาจมโคลนลงไปครึ่งน่อง และเมื่อเขาก้าวไปเรื่อยๆ มันก็จมลึกลงไปจนถึงเข่า ไม่ต้องนึกถึงราคาของสูทชุดนี้ที่เขาสั่งตัดมาเลย ตอนนี้มันคงติดลบแล้วแน่นอน ถ้าช่างตัดคนประจำของคีลรู้ว่าเขาเอาสูทชุดสวยนี่มาย่ำโคลนเล่นคงน้ำตาไหลเป็นแน่ เห็นเจ้าตัวเคยบอกว่ามันเป็นผ้านำเข้าจากอิตาลีอะไรสักอย่าง แต่อย่างกับเขาจะสนใจเรื่องพวกนั้น

คีลไม่ใช่คนเจ้าสำอาง เพราะงั้นเขาจึงไม่สนใจที่จะต้องมาลุยอะไรแบบนี้ และเขาก็มั่นใจว่าตัวเองเป็นคนแข็งแรง แต่การที่ต้องยกขาที่ถูกถ่วงน้ำหนักด้วยกางเกงเนื้อดีซึ่งชุ่มไปด้วยโคลนก็เรียกเหงื่อให้เจ้าตัวได้ไม่น้อย บรรยากาศรอบตัวที่มืดสนิทชวนให้ขนลุกแบบแปลกๆ เขาจินตนาการไปว่าอาจมีใครสักคนซุ่มยิงเขาอยู่ใต้ต้นไม้สักต้นที่อยู่รอบตัว และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเขาก็ไม่มีทางรู้หรือเอาตัวรอดได้เลย

คีลใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีกว่าจะฝ่าดงโคลนมาได้ มันทำให้เขาหอบหายใจหนักพอควร ยิ่งช่วงห้านาทีสุดท้ายที่เขาเร่งฝีเท้ามากขึ้นเพราะกลัวจะเกินเวลาตามที่ลีโอระบุมาให้ ซึ่งอันที่จริงคีลก็เหลือเวลาไม่มากแล้ว เขาไม่มีทางให้ถอย ไม่มีทีมแบ็คอัพ เรื่องพวกนั้นชวนให้ชายหนุ่มหวาดหวั่นนิดหน่อย แต่เพราะประสบการณ์ในอาชีพที่บีบให้คีลต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มานักต่อนักแล้ว นี่ก็แค่อีกสถานการณ์หนึ่งเท่านั้น

ไม่สิ... มันอาจจะหนักกว่านั้นนิดหน่อย เพราะครั้งนี้มีชีวิตของเอลเลียตมาเกี่ยวข้องด้วย

คีลลอบคิดขณะพยายามปัดโคลนออกจากกางเกงและบางส่วนที่กระเด็นมาโดนเสื้อผ้า จากนั้นเขาก็มองตรงไปยังสิ่งก่อสร้างเบื้องหน้าซึ่งเป็นสถานที่ที่ลีโอนัดให้เขามา







เอลเลียตไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว แต่เขารู้สึกกระวนกระวายใจและอยู่ไม่เป็นสุขเลย แรงกดดันที่ทับลงมาบนบ่าทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหนักอึ้ง เขาถูกปล่อยเอาไว้ให้อยู่ในห้องเดิมมาหลายชั่วโมงจนร่างกายล้าไปหมด เขาเห็นลีโอเดินผ่านไปมาตรงประตูที่ถูกแง้มเอาไว้อยู่ จากนั้นก็มีผู้ชายที่อยู่ในเครื่องแบบเต็มยศ แบบที่ติดอาวุธด้วยน่ะ เอลเลียตหวังแค่ว่าคนพวกนั้นคงไม่ใช่หรือไม่ได้เคยเป็นคู่ขาของลีโอมาก่อนนะ ไม่งั้นแทนที่จะได้ตั้งฐานลับจะได้กลายเป็นแหล่งมั่วเซ็กส์แทน

ยัง… ยังจะตลก เข้าตาจนแล้วยังจะทำเป็นเล่น

คนผมน้ำตาลลืมหายใจไปครู่หนึ่งขณะที่ลีโอก้าวเท้าเข้ามาในห้องที่เขาอยู่พร้อมกับผู้ชายอีกคนที่มีอาวุธครบมือที่เอลเลียตเห็นแวบๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว แต่เขาแน่ใจว่าไอ้พวกติดอาวุธพวกนี้คงไม่ได้มีแค่คนเดียว

“ฝากนายเฝ้าหมอนี่ไว้หน่อยนะ” ลีโอหันไปพูดกับอีกฝ่ายเสียงเรียบ คนที่ได้รับคำสั่งตอบรับอย่างแข็งขันราวกับพวกทหาร และนั่นยิ่งทำให้คนผมน้ำตาลขวัญหนีดีฝ่อไปใหญ่

ลีโอตั้งใจจะล่อคีลมาที่นี่จริงๆ สุดท้ายแล้วยังไงก็คงกะจะฆ่าพวกเขาทิ้งทั้งคู่ หวังว่าคีลคงไม่โง่บุกมาที่นี่คนเดียวนะ เขาหมายถึง… ยังไงเสียคีลก็มีทีมที่ตัวเองไว้ใจมากอยู่ไม่ใช่เหรอ หมอนั่นต้องขอให้คนในทีมมาช่วยหนุนหลังอยู่แล้วใช่ไหม อย่าโง่มาคนเดียวนะคีล

“ทำไม” เอลเลียตตัดสินใจเปิดปากก่อนที่ลีโอจะก้าวเท้าออกจากห้องนั้น คนผมทองหันมามองเขาพร้อมกับเลิกคิ้วข้างหนึ่ง “ทำไมนายต้องอยากล่อคีลมาด้วย”

ลีโอเงียบ เอลเลียตเลยถามย้ำต่อ

“นายคิดจะฆ่าฉันอยู่แล้ว ไอ้เรื่องเจรจาต่อรองอะไรนั่น นายไม่คิดจะทำมาแต่แรก แล้วนายจะเอาหมอนั่นมาเอี่ยวด้วยทำไม นายอยากจะฆ่าเขางั้นเหรอ”

“ฉันเหรอ? ไม่หรอก” ถึงตรงนี้คนผมทองก็ยกยิ้มสะใจขึ้น “นายต่างหากที่จะฆ่าเขาเอล”

“ฉันไม่มีทาง---! ”

“ชู่ ฟังฉันพูดให้จบก่อนได้ไหม ถึงได้บอกไงว่าไอ้นิสัยพูดมากของนายแม่งน่ารำคาญ” ลีโอขมวดคิ้วมุ่น เอลเลียตกำลังจะอ้าปากพูดโต้ตอบไปอย่างไม่เกรงกลัวเหมือนเคย แต่พอเห็นคนข้างตัวอดัมส์ที่ทำท่าจะหยิบอาวุธออกมาเจ้าตัวถึงได้รีบปิดปากลงไปฉับ

“ขอบใจ เอล ฉันกำลังจะบอกว่า นายจะเป็นคนฆ่าไอ้ตำรวจนั่น จากนั้นนายก็จะหนีไปในที่ที่ไกลแสนไกลแบบที่ไม่มีใครตามหาตัวเจอ นั่นแหละคือสิ่งที่จะถูกเขียนลงในข่าว”

เอลเลียตใช้เวลาประมวลผลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ

“นาย… คิดจะฆ่าฉันกับคีล แล้วก็โยนขี้มาให้ฉันว่าฉันเป็นคนฆ่าหมอนั่นอย่างนั้นเหรอ”

“ทำไมล่ะ? ก็ดูสมเหตุสมผลดีออกไม่ใช่เหรอ? ” ลีโอตอบกลับยิ้มๆ ไม่สะทกสะท้านกับสายตาอาฆาตแค้นของคนที่นั่งอยู่บนพื้นแม้แต่น้อย “โจรที่หลบหนีออกมาจากคุกพยายามฆ่าตำรวจที่มาตามล่าตัวเองกลับเข้าไป ก็แค่เรื่องเดิมๆ ที่เห็นได้ดาษดื่น”

“ไปตายซะเหอะวะ ลีโอ”

“เบื่อพวกดีแต่ปากว่ะ” คนผมบลอนด์ทองพูดพร้อมกับหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี ยิ่งได้ยินคำสบถด่าจากเอลเลียตที่ตามมาเป็นพรวนแล้วด้วย จากนั้นเจ้าตัวถึงได้เดินทอดน่องจากคนผมน้ำตาลไป

สาบานเลย… ถ้าเขามีโอกาสละก็ เขาต้องฆ่ามันทิ้งแน่

เอลเลียตคิดอย่างเจ็บใจ ก่อนจะต้องสลดลงอีกทีเมื่อคิดได้ถึงสถานะของตัวเอง

อย่าว่าแต่จะฆ่าลีโอเลย เขาเองนี่แหละที่จะเป็นฝ่ายโดนหมอนี่ฆ่า แล้วจะเก็บกันอย่างเดียวไม่พอ ยังจะทำให้เขากลายเป็นคนที่ฆ่าคีลทั้งที่มันไม่จริงอีก

ได้โปรดเถอะ คีล ไม่ต้องช่วยผมออกไปก็ได้ แต่ได้โปรด มีชีวิตรอดออกไปเพื่อผมที







เขาก้าวเข้ามาในตัวสิ่งก่อสร้างที่ก้ำกึ่งระหว่างบ้านร้างหรือโรงเก็บของเก่าๆ แต่สิ่งที่แน่ใจได้คือสภาพของมันผุพังราวกับจะพังแหล่มิพังแหล่

คีลหยิบจอมือถือขึ้นมาดูเพื่อให้แน่ใจว่าเขาตั้งเป็นระบบปิดเสียงและปิดการสั่นแล้ว เขาไม่อยากให้เสียงพวกนั้นแผดลั่นขึ้นในระหว่างที่ตัวเองกำลังหลบเข้าไปในถิ่นของศัตรู

ชายหนุ่มกระชับปืนในมือทั้งสองข้าง ก้าวตัวเข้าไปในความมืดของห้องอย่างมืออาชีพ นัยน์ตาสีน้ำตาลกวาดมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง เขาปล่อยให้สัญชาตญาณในตัวทำงานอย่างเต็มที่

เขาอยากจะพลิกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา แต่คีลรู้ดีว่านี่มัดมืดเกินกว่าจะมองเห็นอะไรได้ แต่เขาไม่ได้กลัวความมืดเท่าไร อย่างน้อยการที่เขามองอะไรไม่ค่อยเห็นก็แปลว่าอีกฝ่ายเองก็ตกอยู่ในสถานะเดียวกัน

ร่างสูงก้าวเท้าไปในความมืดอย่างเงียบงัน คีลขยับตัวหลบหลังเสาต้นหนึ่งทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังสวนขึ้นมา ชายหนุ่มรออยู่เงียบๆ แบบนั้นอย่างใจเย็น และเมื่อแน่ใจว่าแล้วว่าเสียงฝีเท้าที่ว่าหายไปแล้วเขาก็เริ่มก้าวเดินต่อเพื่อสำรวจพื้นที่รอบๆ

คีลตัดสินใจเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบนสุด ไม่ว่ามันจะไปสิ้นสุดลงที่ไหน แต่เขาเชื่อว่าการมองลงจากที่สูงย่อมทำให้เห็นอะไรต่างๆ ได้ชัดเจนดีกว่า และเมื่อเดินสำรวจที่ชั้นสามจนแน่ใจแล้วว่าที่นี่ไม่มีใครนอกจากเขา จู่ๆ ในหัวคีลก็นึกแผนอะไรขึ้นมาได้

เขารู้มาแต่แรกแล้วว่าลีโอ ฮอร์ตันตั้งใจจะปั่นประสาทเขา รู้ดีว่านี่เป็นกับดัก แล้วก็รู้ดีกว่าใครว่าเขาอาจจะต้องตายที่นี่ และในเมื่อเขายอมให้เดิมพันมันสูงถึงขนาดนี้แล้ว คีลก็คิดว่าเขาไม่มีอะไรต้องเสียอีก

ถึงเวลาต้องปั่นประสาทกันคืนสักหน่อย…

ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์ของผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าบอสของเขาขึ้นไป จูเลียน ฮอร์ตันรับสายเขาในกริ่งที่สาม เสียงที่ดังแทรกเข้ามาเป็นดนตรีอ่อนหวานขับกล่อมให้ผู้ฟังผ่อนคลาย บ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดใดๆ อย่างแน่นอน

เพราะงั้นเขาจะเป็นคนจุดชนวนเอง

“สวัสดีครับ คุณฮอร์ตัน ผมโทรมาแจ้งข่าวร้ายอะไรนิดหน่อยน่ะครับ”

“วิลล์เหรอ” น้ำเสียงของปลายสายแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด “มีเรื่องอะไรกันครับเนี่ย นี่มันก็ดึกมากแล้ว”

“ทางทีมของผมรวบรวมพยานหลักฐานบางอย่างมาได้เกี่ยวกับลีโอ ฮอร์ตัน ลูกชายของคุณ”

คราวนี้แหละฮอร์ตันคนพ่อถึงกับนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ คีลรออย่างใจเย็นจนกระทั่งอีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เดาอารมณ์ไม่ถูก

“เรื่องอะไรครับ”

“เขาพัวพันในคดีของแก๊งปล้นธนาคารในระยะหลังนี้ อันที่แล้วเขาเป็นตัวการสำคัญด้วยซ้ำ”

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”

คีลพยายามจับน้ำเสียงของปลายสาย และเขาก็รู้ได้ทันทีว่าฮอร์ตันกำลังร้อนรน แม้ว่าจะพยายามทำเป็นสับสนแบบสุดๆ ไปเลยก็ตาม

หมอนี่เองก็เป็นหนึ่งในตัวการเหมือนกัน… คราวนี้มาดูกันสิว่าพ่อลูกคู่นี้ใครจะโยนขี้ให้ใครได้เก่งกว่ากัน

“คุณล้อผมเล่นใช่ไหม วิลล์ คุณคิดว่านี่มันตลกนักเหรอ ฮะ”

“ถ้าผมคิดว่ามันตลก ผมคงไม่โทรมาเตือนคุณหรอกครับ”

“หมายความว่ายังไง”

คีลแกล้งทำเสียงถอนหายใจยาวเหมือนคนคิดหนัก “จะว่ายังไงดีล่ะครับ คือทางทีมผมได้หลักฐานแล้วก็พยานมาแล้วก็จริง แต่ก็อย่างที่คุณพูดว่านี่มันดึกมากแล้วนั่นแหละ เพราะงั้นพวกเราก็เลยยังไม่มีโอกาสได้ไปขอรับการอนุญาตจากผู้พิพากษาให้เซ็นหมายศาลในการจับกุมให้เลย เพราะงั้น… เห็นแก่ความสัมพันธ์ดีๆ ที่เรามีกันมา ผมเลยคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะเตือนคุณ--”

“เดี๋ยวก่อนนะ คุณสายสืบวิลล์” น้ำเสียงของจูเลียนฟังดูสับสนไม่น้อย นั่นแหละสิ่งที่คีลต้องการล่ะ “คุณบอกว่าคุณได้พยานหลักฐานเรื่องลูกชายผมมา แล้วทีมของคุณไปสืบกันตอนไหน ทำไมผมถึงม่รู้เรื่องนี้เลย”

คีลตอบกลับไปอย่างฉะฉานอย่างคนที่คิดเรื่องราวอะไรได้เร็ว เขาอ้างกับฮอร์ตันว่าทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น เนื่องจากทีมของเขากำลังกวาดล้างแก๊งปล้นธนาคารอยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนั้นฮอร์ตันเองก็รู้ ที่เหลือเขาก็แค่ผสมนั่นนิด ใส่ไข่เรื่องนั้นอีกหน่อย เรื่องโกหกของเขาก็ฟังดูสมจริงขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

“ไม่… ผมว่าผมต้องวางแล้ว วิลล์” ในที่สุดจูเลียนก็พูดขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อน “ที่คุณกำลังปรักปรำลูกชายผมอยู่นี่มันหนักเกินไป”

“ผมไม่ได้กำลังปรัก--”

“โอเค ตกลง ผมจะไม่เถียงเรื่องนี้กับคุณ แต่ผมขอวางก่อนได้ไหม ผมอยากโทรไปคุยกับเขา”

เหยื่อติดเบ็ดแล้ว

“ก็ได้ครับ ท่าน แต่อย่างที่ผมบอกไป เรื่องนี้เราพยายามเก็บเงียบเอาไว้ก่อนที่เราจะได้ลายเซ็นจากผู้พิพากษา เอาเป็นว่าถือว่าผมโทรมาเตือนก็แล้วกัน แล้วเราค่อยมาคุยกันให้ละเอียดอีกทีพรุ่งนี้”

จากนั้นสายก็ถูกตัดไป คีลเริ่มก้าวเท้าเดินต่อในความมืด หากสายตาที่เริ่มปรับจนชินช่วยให้เขาเห็นอะไรต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

ร่างสูงเดินกลับลงไปที่ชั้นสอง ตัดสินใจเดินไปที่อีกฟากของตัวอาคารเมื่อเห็นว่าแถวนี้ไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า และไม่นานคีลก็ค้นพบกับพื้นที่โล่งของชั้นล่าง จากตรงนี้ก็เป็นแค่ระเบียงเลาะขอบผนังไป แสงไฟสลัวๆ บ่งบอกให้รู้ว่ามีคนอยู่ที่นั่น เขาย่อตัวลงแล้วมองลงไป ในที่สุดเขาก็ได้เห็นชายคนหนึ่งที่มีอาวุธครบมือ เยื้องเจ้าตัวไปมีร่างที่นั่งคุดคู้อยู่บนพื้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นคือคนที่เขากำลังตามหาอยู่แน่

คีลกระชับปืนในมือพร้อมกับเล็งไปที่ชายคนนั้นเพื่อกะระยะ เขาไม่อยากฆ่าใครถ้าไม่จำเป็น ดังนั้นชายหนุ่มจึงหันปากกระบอกปืนไปยังบริเวณลำตัวของอีกฝ่ายในจุดที่มั่นใจว่าจะทำให้ร่างนั้นล้มลง อาจจะอาการสาหัสหรือว่าถึงตาย หรืออาจจะรอดก็ได้ แต่เขาไม่มีทางเสี่ยงให้อีกฝ่ายหันกลับมาฆ่าเขาหรือเอลเลียตแทนเสียก่อน

แต่คีลไม่จำเป็นต้องลั่นไก เพราะก่อนหน้าที่เขาจะขยับนิ้ว ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าร้อนรน ตอนแรกร่างสูงคิดว่านั่นคือลีโอ แต่ประเมินจากใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์กับรูปร่างผอมบางของเจ้าตัวแล้ว นั่นคงเป็นเกล แฟนคนปัจจุบันของลีโอที่เอลเลียตเคยเล่าให้เขาฟัง เด็กหนุ่มมาตามให้ชายติดอาวุธคนนั้นไปรวมตัวกับลีโอและคนอื่นๆ ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น คีลไม่สงสัยเลย ก็เขาเองที่เป็นคนจุดชนวนนั่นขึ้นมา



[มีต่อ]

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

[ต่อ]

ชายหนุ่มรอจนกระทั่งทั้งสองคนนั้นออกไปแล้วจึงตัดสินใจหย่อนตัวลงไปชั้นล่างที่เอลเลียตอยู่เพราะไม่อยากเสียเวลาย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อเดินลงบันได เสียงน้ำหนักตัวที่คีลพยายามบังคับให้เบาที่สุดกระแทกลงบนพื้น คนผมน้ำตาลหันขวับมาด้วยท่าทีระแวดระวัง เอลเลียตไม่รู้ว่าผู้มาใหม่คือใครเพราะความมืด แต่แล้วนัยน์ตาสีฟ้าก็ต้องเบิกกว้างขึ้นอย่างตื่นตะลึงเมื่อเพ่งมองร่างสูงดีๆ และพบว่านั่นคือคีล

คีลยกนิ้วแตะริมฝีปากเป็นเชิงบอกให้เอลเงียบ ซึ่งต่อให้ไม่ทำแบบนั้น เอลเลียตก็รู้ดีอยู่แล้ว คีลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดฟังก์ชันไฟฉายเพื่อสำรวจเชือกที่ไพล่หลังเอลเลียตไว้อยู่ เขาหยิบมีดพกขึ้นมาตัดมันออกอย่างง่ายดาย

เอลเลียตเปิดปากกระซิบถามคนตรงหน้าอย่างอดไม่อยู่ "นี่คุณมาได้ไง"

"เดินมาครับ"

"..." เออ ก็ถูกของมัน

แต่นี่มันใช่เวลามากวนประสาทกันไหม!

แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลามาโวยวายหรือคาดคั้นใดๆ เช่นกัน มือหนากระชากแขนของเอลเลียตไปที่ประตูฝั่งตรงข้ามกับที่เกลและชายอีกคนเพิ่งก้าวออกไป จากนั้นก็ก้าวเท้ายาวๆ อย่างเร่งรีบแต่เงียบเชียบไปตามทางเดิน มือกุมมือของเอลไว้มั่น เอลเลียตรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนขึ้นจากการกระทำนั้นของร่างสูง แม้ว่านี่จะผิดเวลามากสุดๆ ก็ตามที

คีลยอมเสี่ยงมาช่วยเขา... ถึงแม้ว่าในหลายชั่วโมงที่ผ่านมาเขาจะเอาแต่ภาวนาให้หมอนี่ไม่โผล่หน้ามาเลยก็ตาม แต่พอคีลมาช่วยเขา แม้ว่าจะยังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่เอลเลียตก็รู้สึกยินดีเหลือเกินที่อีกฝ่ายมาช่วยเขา ตื้นตันแบบที่เขาบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก คีลพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขามีความสำคัญต่อร่างสูงมากขนาดนั้นจริงๆ

ทั้งคู่มาถึงในบริเวณที่น่าจะเคยเป็นครัวมาก่อน ทันใดนั้นคีลก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของใครบางคน เขากระชับปืนในมือข้างหนึ่งทันที เอลเลียตชะงักไปด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆ มือหนาก็ผลักเขาลงกับพื้นพร้อมกับตะโกนเสียงเฉียบ

"หมอบ! "

เอลเลียตทิ้งน้ำหนักตัวลงไปบนพื้นทันที เขาได้ยินเสียงกระสุนลั่นนัดหนึ่ง จากนั้นก็ตามมาด้วยอีกนัด นัดหลังนี่น่าจะมาจากคีลเพราะเสียงใกล้กว่ามาก เอลเลียตหวังให้มันโดนใครก็ตามที่ยิงกระสุนนัดแรกมาสุดใจเลย

นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่คมตวัดไปมองที่ช่องว่างของประตูที่ถูกแง้มที่ซึ่งเขาเห็นคนร้ายครั้งแรกก่อนที่เสียงปืนจะลั่น เขายิง สวนตามไปอีกสามนัด ไม่มีการยิงโต้ตอบกลับมาในครั้งนี้ แต่มีเสียงกระจกแตกและไม้ที่หักกระจายดังกลับมา จากนั้นก็ตามด้วยเสียงฝีเท้าที่ทิ้งห่างออกไป

คนคนนั้นอาจจะไปเรียกกำลังเสริมหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่คีลไม่สนใจหาคำตอบในเรื่องนั้น เขาฉุดร่างของเอลเลียตให้กลับขึ้นมายืนแล้วพุ่งตัวไปยังประตูทางออก ทันทีที่ก้าวออกมาด้านนอก สายลมของยามเย็นก็ปะทะเข้ากับใบหน้าทำให้ชาไปหมด

เสียงกระสุนปืนดังลั่นขึ้นมาอีกรอบจากด้านหลัง เอลเลียตสะดุ้งสุดตัวขณะที่คีลกระชากแขนของอีกฝ่ายให้ออกวิ่งไปพร้อมๆ กับเขา

ให้ตายเถอะโว้ย อะไรกันนักกันหนาเนี่ย!

คนผมน้ำตาลได้แต่กรีดร้องในใจขณะวิ่งตามคีลซึ่งหันไปมองตามทิศทางที่ลูกกระสุนถูกยิงมา คนยิงอยู่ที่ชั้นสอง ยิงลงมาจากทางหน้าต่าง เขาอาจจะพยายามโต้ตอบด้วยการยิงสวนกลับขึ้นไปก็ได้ แต่ปืนที่เขามีอาจจะไม่ได้ระยะขนาดนั้น เพราะงั้นสิ่งที่ควรทำตอนนี้คือออกไปจากให้นี่แล้วเรียกกำลังเสริมให้มาช่วย

เสียงฝีเท้าของผู้ชายอีกคนดังมาจากด้านหลัง ตามมาด้วยกระสุนนัดหนึ่งที่มาจากระยะตรง ไม่ใช่เฉียงลงล่างแบบที่ลงมาจากชั้นบนแบบเมื่อกี้ มันเฉี่ยวใบหน้าของร่างสูงไปนิดเดียว จากนั้นก็ตามมาด้วยนัดที่สองและสาม คีลสบถอย่างหงุดหงิด แต่พวกเขาทั้งคู่ใกล้จะถึงป่าที่ล้อมรอบพื้นที่แห่งนี้แล้ว ถ้าเข้าไปได้ โอกาสหนีรอดก็จะเพิ่มมากขึ้น

“เดี๋ยว คีล” เอลเลียตร้องอย่างเสียขวัญเมื่อเห็นบ่อโคลนด้านหน้า “อย่าบอกนะครับว่าเราจะ---”

คีลไม่สนใจคำครวญของคนรัก เขาผลักเจ้าตัวนำลงไปก่อน จากนั้นก็หันไปยิงใส่คนด้านหลังเพื่อชะลอความเร็วของเจ้าตัวบ้าง

แน่นอนว่าการย่ำลงไปในโคลนนี้อีกครั้งทำให้ความเร็วของพวกเขาทั้งคู่ตกลง แต่อย่างน้อยการมีต้นไม้มาช่วยอำพรางก็ทำให้คีลได้เปรียบมากขึ้นทีเดียว

ชายหนุ่มพยายามกดโทรศัพท์ เขามีปุ่มลัดฉุกเฉินสำหรับเอาไว้ติดต่อกับเคลลี่ และเมื่อจัดการตรงนั้นเสร็จเขาก็พาเอลเลียตขึ้นจากบ่อโคลนได้ในอีกเกือบสิบนาทีต่อมา ดูเหมือนความกว้างของบ่อนี่จะแคบกว่าอีกทางตอนที่เขาบุกไปช่วยเอลออกมาจากบ้านหลังนั้น

เอลเลียตปัดโคลนที่อยู่บนขากางเกงออกขณะที่หอบหายใจไปด้วยน้อยๆ อย่างเหนื่อยอ่อน และเมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมากำลังจะบ่นกับคนรัก คนผมน้ำตาลก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นเลือดที่ไหลไม่หยุดจากบ่าซ้ายของคีล

“คีล” เอลเลียตพูดด้วยน้ำเสียงละล่ำลัก “คุณโดนยิงเหรอ? ”

คีลไม่ตอบ สีหน้าของเขาเรียบเฉยก็จริง แต่เอลเลียตดูออกว่าร่างสูงแค่พยายามกลบเกลื่อนความเจ็บปวดเอาไว้เท่านั้น เชื่อว่าตอนที่เขาไม่มอง สีหน้าของคีลก็คงทรมานไม่ต่างจากคนทั่วไปที่ได้รับบาดเจ็บหรอก คิดแบบนั้นแล้วเอลเลียตก็ประคองใบหน้าของอีกฝ่ายให้หันกลับมามองตัวเอง

“คีล คุณ---”

“ไม่ใช่ตอนนี้ครับ เอล” เขาดึงมืออีกฝ่ายออกแล้วบีบแน่น “เราต้องหนีจากตรงนี้ก่อน”

“แต่เราน่าจะ--” สลัดพ้นมาแล้ว เอลเลียตตั้งใจจะพูดแบบนั้น หากเสียงไหวๆ ที่ดังตามมาจากด้านหลังบริเวณป่าที่พวกเขาเพิ่งจากมาทำให้คนผมน้ำตาลต้องหุบปากฉับลง

คีลฉุดอีกฝ่ายให้เดินตามเขาไป ไหล่ข้างที่ถูกยิงห่อลงเล็กน้อยแต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นอุปสรรคอะไรนักสำหรับเจ้าตัว กลับเป็นเอลเลียตเสียอีกที่ใจหายวาบ เขาเป็นห่วงคนข้างตัวสุดหัวใจ แต่ก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์จะมาพูดปลอบหรือแสดงความห่วงใยอะไร ถึงคีลจะแสดงให้เห็นแล้วว่าไอ้ที่โดนยิงมานี่ไม่ร้ายแรงถึงตาย แต่เขาก็ยังรู้สึกเป็นห่วงมากอยู่ดี

คีลพาเขาลงมาที่ท่อระบายน้ำแห่งหนึ่งที่บังเอิญเจอทางเข้าโดยบังเอิญ เจ้าตัวพาเอลเลียตเดินลุยน้ำข้ามไปที่ทางเดินอีกฟากเพื่อกลบเกลื่อนโคลนที่เปื้อนไปทั้งขา

เอลเลียตนึกชื่นชมในความฉลาดของคนรักเป็นอย่างยิ่ง คือวิ่งหนีลูกปืนมาตั้งไกล ตัวเองโดนยิง เหนื่อยจนแทบจะล้มไปกองกับพื้น แถมยังต้องคอยกระเตงเขาเข้าเอวแบบนี้ ยังจะมีเวลาคิดระวังไม่ให้คนร้ายตามมาได้อีก คือแบ่งสมองยังไงถามจริง สำหรับเขาแค่คิดจะวิ่งเพื่อเอาตัวให้รอดอย่างเดียวก็เต็มหัวหมดแล้ว

เอลเลียตก้าวเท้าไปตามคีลที่ยังไม่ปล่อยมือเขาเงียบๆ แม้ความจริงแล้วอยากจะพูดนั่นพูดนี่ใจแทบขาด คนผมน้ำตาลเริ่มสะดุดใจเมื่อเห็นว่าความเร็วในการเดินของคีลเริ่มลดลง นัยน์ตาสีฟ้าใสมองคนรักอย่างเป็นกังวล และเมื่อบ่าที่เคยตรงแน่วของคีลเริ่มลดต่ำลง ในที่สุดเอลเลียตก็ตัดสินใจดึงตัวร่างสูงเข้าไปในซอกแคบๆ จุดหนึ่งของทางระบายน้ำนี่

คีลทำท่าจะเปิดปากค้าน แต่คนผมน้ำตาลส่ายหัวและบังคับให้ร่างสูงทรุดตัวนั่งลงกับพื้น คีลทำตามที่เอลเลียตว่าด้วยสีหน้าเหมือนไม่เต็มใจ แต่ความจริงก็คือเขาเหนื่อยและล้ามากเกินกว่าจะก้าวเดินต่อ ที่พยายามฝืนอดทนข่มกลั้นความเจ็บมาตลอดเหมือนจะถึงขีดจำกัดแล้ว

ทั้งสองคนอยู่เงียบๆ ในมุมนั้นอยู่ครู่ใหญ่ มีเสียงฝีเท้าของใครบางคนสะท้อนมากับผนังของท่อระบายน้ำ คงเป็นคนเดียวกับที่ตามพวกเขาทั้งคู่มาตลอด ชายคนนั้นส่งเสียงสบถออกมาด้วยความเจ็บใจเพราะรอยโคลนที่เขาตามมาตลอดได้หายไปกับสายน้ำเสียแล้ว

เอลเลียตกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดหวั่น ดึงปืนมาจากมือของคีลอย่างถือวิสาสะ แต่ขณะเดียวกันก็คอยเอาตัวบังร่างสูงที่นั่งอยู่บนพื้นไว้ราวกับจะคอยกันให้

แต่พวกเขาก็รอดจากการปะทะมาได้อีกครั้งเมื่อชายคนนั้นวิ่งไปตามทางตรงอย่างต่อเนื่อง เสียงฝีเท้าที่ห่างออกไปเรื่อยๆ สะท้อนไปมาราวกับจะย้ำให้เอลเลียตและคีลมั่นใจว่าภยันตรายได้จากไปแล้ว

คีลควักโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาบอสของตัวเอง ระบุเส้นทางที่ทางตำรวจจะต้องสกัดเพื่อรวบตัวลีโอและพวกให้ทัน ชายหนุ่มระบุเส้นทาง สายถนน และจุดที่ควรสกัดโดยละเอียด เอลเลียตฟังแล้วถึงกับต้องเบิกตาโตกับความบ้างานของอีกฝ่าย นี่ขนาดเพิ่งโดนยิงมาเลือดหยดติ๋งๆ แบบนี้ ยังจะมีแก่ใจมาสั่งงานสั่งการอีก ตายไม่เป็นจริงๆ โว้ย!

ในที่สุดคีลก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงหลังจากระบุสถานที่ที่ตัวเองและเอลเลียตอยู่ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งยาวๆ ด้วยท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น เอลเลียตเอ่ยปากแซว

“อะไรกันครับ แค่นี้ก็หมดสภาพแล้วเหรอ ทีเมื่อกี้ยังทำเป็น-- คีล! ” ชายหนุ่มร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นคนรักของตัวเองก้มหน้าลงต่ำ คางชิดกับอก มือเลื่อนไปกุมบาดแผลที่ถูกยิงราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าร่างกายกำลังเจ็บปวดเจียนตายที่บริเวณนั้น

เอลเลียตไม่เคยเห็นคีลเป็นแบบนี้ ชายหนุ่มทรุดตัวลงไปนั่งตรงหน้าอีกฝ่ายด้วยใบหน้าซีดเผือด ใจเขาเต้นรัวด้วยความกลัวว่าคีลจะเป็นอะไร

“คีล… คีลครับ มองหน้าผม อยู่กับผมก่อน อย่าเพิ่งหลับนะ”

ร่างสูงไม่พูดอะไรตอบ ซ้ำยังมีท่าทีนิ่งผิดปกติจนเอลเลียตเริ่มร้อนรนขึ้นมาจริงๆ เขาคิดว่ากรอบตาตัวเองร้อนขึ้นมาด้วยซ้ำ เหมือนกำลังจะร้องไห้ ชายหนุ่มเลื่อนมือไปประคองใบหน้าคมอย่างเบามือ

“คีล คุณเป็นอะไร เจ็บแผลมากเหรอครับ อดทนหน่อยนะ ทุกคนกำลังมาแล้ว เขาจะพาคุณไปรักษานะ”

“...เอล” เจ้าหน้าที่หนุ่มพูดขึ้นมาจนได้หลังจากเงียบไปนาน คนถูกเรียกรีบขานรับอย่างกระตือรือร้นทันที

“ครับ ว่ายังไง คีล ผมอยู่ตรงนี้”

“...ผมอยากให้คุณจูบผม”

เอลเลียตอ้าปากค้างไปกับคำขอนั้น คีลเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาด้วยความรู้สึกลึกล้ำแบบที่เขาไม่เคยได้จากผู้ชายคนไหนหรือใครมาก่อน

ท่ามกลางความมืดและความเงียบสงัดของสถานที่แห่งนั้น เอลเลียตรู้สึกได้ถึงความรักที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจ เหมือนมันจะล้นทะลักออกมาและอาจทำให้เขาสำลักตายถ้ายังปล่อยให้มันล้นปรี่อยู่แบบนี้

เอลเลียตประคองใบหน้าหล่อเหลาที่ทำให้เขาลุ่มหลงตั้งแต่ที่ได้เห็นเป็นครั้งแรกขึ้นอย่างทะนุถนอม ใบหน้าของคีลซีดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตอนปกติ แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองตรงเข้ามาในตาเขามันเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนและความรักใคร่

คนผมน้ำตาลประกบริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของร่างสูงอย่างนุ่มนวลในจังหวะแรก ปล่อยให้ความอ่อนหวานละมุนละไมแผ่ซ่านอยู่ด้านในโพรงปากของพวกเขาทั้งคู่ มันเป็นจูบที่คละเคล้ามาด้วยกลิ่นคาวเลือดจากบ่าของคีล เสียงน้ำไหลเอื่อยๆ ของท่อระบายน้ำ ความมืดมิดที่ทำเอาแทบมองอะไรไม่เห็นของสถานที่แห่งนั้น ไม่มีอะไรเรียกได้ว่าโรแมนติกเลยสักอย่าง แต่มันกลับเป็นจูบที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เอลเลียตจะมีได้

ชายหนุ่มเอียงหน้าเมื่อเร่งจังหวะการจูบ ลิ้นร้อนสอดเข้าไปในโพรงปากของคีลที่เผยอรอรับสัมผัสจากเขาอยู่แล้ว พอคิดดูดีๆ นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่คีลเป็นฝ่ายขอให้เขาจูบ เพราะที่ผ่านมาเขาเป็นคนขอตลอด หรือไม่อย่างนั้นร่างสูงก็แค่ดึงเขาไปจูบเลย ไม่เคยเอ่ยปากขออย่างที่เพิ่งทำเมื่อครู่

เอลเลียตวางมือลงบนบ่าข้างที่ไม่ได้ถูกยิงของคีลแล้วสอดลิ้นของตัวเองเข้าไปให้ลึกมากขึ้น คีลเองก็กำลังสำรวจโพรงปากของเขาด้วยวิธีเดียวกัน ลิ้นที่เกี่ยวตวัดกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใครทำให้เอลเลียตแทบคลั่ง แต่เขาไม่รู้หรอกว่าคีลเองก็รู้สึกแบบนั้นอยู่เหมือนกัน

คีลใช้มือขวาที่ยังขยับได้ปกติดึงร่างบางของเอลเลียตเข้ามาไว้ในอ้อมแขนโดยที่ไม่ผละริมฝีปากออก จูบเจ้าตัวอยู่แบบนั้นอย่างเนิ่นนานราวกับว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขามีโอกาสได้ทำแบบนั้น

เอลเลียตไม่ขัดร่างสูงเลย เขาปล่อยให้คีลจูบเขาจนพอใจ ตักตวงความหอมหวานและความรุ่มร้อนจากจูบที่เหมือนไม่มีที่สิ้นสุดนั้น คีลดึงตัวเขาไปกอดแนบอก ซุกหน้าลงบนบ่าของชายหนุ่มที่เขาเพิ่งช่วยเอาไว้ได้ เอลเลียตคงไม่มีทางรู้ว่าคีลดีใจแค่ไหนที่เขาช่วยเจ้าตัวได้สำเร็จ

คีลอยากบอกให้คนในอ้อมกอดรู้… อยากบอกให้เอลเลียตรู้ว่าเขารักอีกฝ่ายมากเพียงใด แต่ความรู้สึกนี่มันมากเกินไป มากเกินกว่าจะกลั่นออกมาเป็นคำพูดได้

สุดท้าย สายสืบหนุ่มก็ทำเพียงกระซิบข้างหูเอลเลียตอย่างแผ่วเบาแต่มั่นคง

“คุณเป็นของผม เอล”

เอลเลียตกระชับแขนที่กอดคีลตอบไว้แน่นขึ้น

“ผมรู้ คีล ผมเป็นของคุณ ผมยกทุกอย่างให้คุณ”

จากนั้นพวกเขาก็จูบกันอีกรอบ





---------------------------------------
Talk: อิจฉาา ทำไมเลาไม่มีคีลแบบเอลบ้าง ฮือออออ //แต่คิดอีกทีก็อยากมีเอลแบบคีลเหมือนกัน... ขอคู่เลยได้ไหมอะ ถถถถถ

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
บู๊มากแต่ก็ยังหวานกันได้อีกนะ คีลเอล 555

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
สบักสบอมกันทั้งพระทั้งนาย  :katai5:

ออฟไลน์ ทันฌะ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-12-2017 21:42:06 โดย ommanymontra »

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 24




ข่าวเกี่ยวกับการมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีปล้นธนาคารไม่ต่ำกว่าเจ็ดครั้งในรอบครึ่งปีที่ผ่านมาของจูเลียน ฮอร์ตันถูกแพร่กระจายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่าในกระแสข่าวนั้น มีการหยิบยกเรื่องของลีโอ ฮอร์ตัน ลูกชายของเจ้าตัวมากระพือให้ข่าวดังกล่าวโหมกระหน่ำหนักขึ้นไปอีก เรียกได้ว่าช่าวนี้สร้างความโกรธแค้นแก่ประชาชนเป็นจำนวนมาก บางกลุ่มออกมารวมตัวกันประท้วงและด่าทอถึงการทำงานของวงในอย่างดุเดือด

"พวกเขาช่วยกันปกปิดความผิดให้คนมีเงินและอำนาจแบบนั้น มันยุติธรรมแล้วเหรอ ผมหวังว่าสองพ่อลูกนั่นจะได้รับบทลงโทษที่สาสมกับสิ่งที่ตัวเองทำกับทุกคนเอาไว้"

"ฉันเห็นข่าวนั่นกี่ทีก็ยังรู้สึกเหลือเชื่ออยู่เลย นี่โลกเราเป็นอะไรกันไปหมดแล้ว ถ้าได้คนแบบนั้นมาคอยคุ้มครองประชาชนอย่างพวกเราจริงๆ ฉันว่าเราคงไม่ต้องการตำรวจสักเท่าไรหรอกค่ะ"

"ไปตายซะ ฮอร์ตัน! น้ำหน้าอย่างนายมีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ได้ไงวะ!? "

และอีกสารพัดเสียงจากผู้คนทั่วทั้งนิวยอร์คที่วิพากษ์วิจารณ์กันเป็นว่าเล่น

เอลเลียตขึ้นไปให้ปากคำตามที่ทนายสาวของเขาได้ทำข้อตกลงกับทนายของแจ็ค พอร์เตอร์ที่ถึงแม้ว่าครั้งหนึ่งพวกเขาทั้งคู่จะมีเรื่องแบบที่เรียกได้ว่าเกือบฆ่ากันตายด้วยความอาฆาตแล้ว แต่พอเป็นเรื่องที่จะได้ผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งคู่ก็ให้ความช่วยเหลือกันดีแบบที่คีลยังต้องส่ายหน้าให้กับความกลับกลอกของเจ้าอาชญากรพวกนี้ แต่เอลเลียตก็มาอ้อนเจ้าตัวพร้อมกับชี้ให้เห็นว่าแบบนี้มันช่วยลดโทษให้เขาได้มากโขเลยทีเดียว นั่นแหละร่างสูงจึงไม่ค้านอะไร

ข่าวของลีโอไม่เป็นที่ฮือฮาของชาวเมืองเท่ากับเรื่องของพ่อของเจ้าตัวก็จริง แต่สำหรับเอลเลียตแล้วเขาแค้นชายหนุ่มคนนี้ยิ่งกว่าจูเลียนหลายเท่า และเขาก็รู้สึกเลยว่าแฟนเก่าของเขาร้ายกว่าพ่อของตัวเองไม่รู้เท่าไร เพราะนอกจากหมอนี่จะหลอกเขา หลอกคนในทีม หลอกคนทั้งโลก มันยังหลอกพ่อตัวเองเรื่องเอเลน่า เคอร์ติสอีก เอลเลียตคิดว่าสิ่งที่ลีโอทำลงไปเลือดเย็นมาก หมอนั่นสั่งฆ่าผู้หญิงคนนั้นที่... ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูทุเรศ แต่ก็เป็นคนที่จูเลียนรัก จากนั้นก็โยนความผิดมาให้เขาเพื่อให้จูเลียนหาทางมาเก็บเขาต่อ

เอาเป็นว่าทุเรศบัดซบเหลือคำจะกล่าว ดังนั้นเอลเลียตจึงสะใจไม่น้อยเมื่อได้เห็นลีโออยู่ในหมีสีส้มอันเป็นเครื่องแบบของนักโทษที่เขาเคยใส่เมื่อหลายเดือนก่อน แม้ว่าสีหน้าหยิ่งๆ แบบลูกผู้ดีจะยังมีความมั่นใจในตัวเองสูง เอลเลียตก็ไม่แคร์ แค่ได้เห็นหมอนั่นโดนสับกุญแจมือแล้วโดนเตะโด่งเข้าคุกก็ถือว่าความโกรธแค้นของเขาได้รับการปลดปล่อยแล้ว

เอลเลียตมาดูการควบคุมตัวของลีโอในชุดไปรเวทใส่สบายๆ เสื้อเชิ้ตสีอ่อนแขนยาว กางเกงขายาวสีน้ำตาลเข้มกับแว่นตาเรย์แบนที่ห้อยอยู่ตรงคอปกเสื้อ ชายหนุ่มผมน้ำตาลยกยิ้มยียวนบนมุมปากขณะที่ลีโอนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมีผู้คุมยืนอยู่ข้างๆ เขาหันไปบอกให้เจ้าหน้าที่ตัวโตออกไปรอข้างนอกห้องก่อน อีกฝ่ายพยักหน้าให้พร้อมกับกำชับเอลเลียตว่าถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลให้ตะโกนเรียกตัวเองหรือคีลที่ยืนรออยู่ด้านหน้า ซึ่งคนหลังนี่กว่าเอลเลียตจะเกลี้ยกล่อมให้รออยู่ข้างนอกเฉยๆ ได้นี่ก็ใช้เวลาไปตั้งหลายนาที

คนผมน้ำตาลทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับลีโอที่เลิกคิ้วให้เขาข้างหนึ่งอย่างสนเท่ห์ ว่ากันตามตรง นอกจากชุดนักโทษที่เจ้าตัวใส่อยู่ตอนนี้แล้ว ลีโอไม่มีอะไรบ่งบอกว่าตัวเองกำลังจะเข้าไปอยู่หลังซี่กรงได้เลย หมอนี่ไม่มีแววตาหวาดหวั่นไม่มั่นใจหรือแม้แต่เสี้ยวของความวิตกกังวล แม้แต่เอลเลียตที่แม้จะทำเฉยได้อย่างน่าชื่นชมแต่เขาก็ยังแววตาไม่มั่นใจแฝงอยู่ตอนก่อนจะเข้าห้องขัง แต่หมอนี่ไม่มีอะไรแบบนั้นเลยสักนิด

ไว้เขาจะรอดู… รอให้ผ่านปีแรกไปก่อน ไอ้บ้านี่จะยังมีท่าทีเฉยชาแบบนี้ได้อยู่ไหม

เอลเลียตยกมือขึ้นมาประสานบนโต๊ะ

“ฉันจะไม่รบกวนเวลานายมากหรอก”

ลีโอนิ่งเงียบ สบตากับอีกฝ่ายตรงๆ

“ชุดนั้นเหมาะกับนายดีนะ อดัมส์”

“ไม่เหมาะเท่ากับตอนที่นายใส่หรอก เอล” ลีโอตอกกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “แล้วอันที่จริง อีกไม่นานนายก็ต้องโดนยัดกลับเข้าไปอยู่ในคุกเหมือนเดิมนั่นแหละ ไม่ต้องรีบมาเยาะเย้ยกันเร็วนักก็ได้ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าหัวเราะทีหลังดังกว่านะครับ ที่รัก”

เอลเลียตหุบยิ้มลงไปทันที เขาไม่เคยสู้สงครามประสาทของลีโอได้เลยไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือตอนไหน แต่ถึงอย่างไรสถานการณ์ที่ดีกว่าของตัวเองก็ทำให้ชายหนุ่มยิ้มออกมาได้อีกครั้ง

“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ ลีโอ แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก เพราะถึงยังไงฉันก็ไม่ได้ไปอยู่เรือนจำแย่ๆ ที่เดียวกับนายอยู่แล้ว ไปอยู่นั่นยังไงก็ระวังตัวให้มากๆ นะ พวกคนในคุกน่ะไม่ค่อยสนใจหรอกว่านายเคยเป็นใครมาก่อน”

ถึงทีที่คนผมทองจะหน้าตึงขึ้นมาบ้าง เอลเลียตนับหนึ่งแต้มให้ตัวเองในใจอย่างภาคภูมิ แม้ว่าจะไม่ใช่ชัยชนะที่สมบูรณ์แบบก็ตาม

“แล้วนายมีธุระอะไร” ในที่สุดลีโอก็พาเข้าเรื่อง “แค่แวะมาทักทายกันอย่างนั้นเหรอ? ”

“ใช่ ก็แค่แวะมาคุยด้วยเฉยๆ ทักทายๆ ”

“รู้สึกเป็นเกียรติจัง”

“แล้วนี่นายได้คุยกับจูเลียน พ่อของนายบ้างหรือยัง”

ลีโอยิ้มเย็นเมื่อเอลเลียตเอ่ยชื่อผู้ชายคนนั้นให้ได้ยิน ล่าสุดที่คนทั้งประเทศได้รับรู้เกี่ยวกับจูเลียน ฮอร์ตันก็คือเขากำลังต่อสู้กับคดีและข้อกล่าวหาที่เอลเลียตและทีมของคีลยัดเยียดให้อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ดูจากวี่แววแล้วคงไม่แคล้วมาลงเอยเหมือนลูกชายในอีกไม่นานนี้เป็นแน่

“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับเขา”

“แล้วเขารู้หรือยังว่านายเป็นคนสั่งฆ่าเอเลน่า ไม่ใช่เพราะฉัน แล้วก็ไม่ใช่เพราะหล่อนฆ่าตัวตายเอง แต่นายสั่งฆ่ายัยนั่น”

“ไม่รู้สิ แต่เขาจะรู้หรือไม่รู้ ฉันก็ไม่สนใจอยู่ดี”

“เย็นชาจัง”

“ไม่เห็นน่าแปลกใจเลยไม่ใช่เหรอ” ลีโอประสานมือไว้บนโต๊ะบ้าง แม้มันจะผูกติดกันด้วยกุญแจมือก็ตาม “ขนาดพ่อแม่หรือพี่ชายของนายยังไม่อยากคุยหรือติดต่อกับนายเลยนี่ มันก็แบบเดียวกันนั่นแหละ”

คนผมทองตีได้ถูกจุด ทำเอาเอลเลียตนิ่งเงียบไปนานพอควรเลยทีเดียว จนกระทั่งลีโอเริ่มหัวเราะหึๆ ออกมาด้วยความสะใจนั่นแหละ คนผมน้ำตาลถึงดึงสติกลับมาได้ เจ้าตัวแสร้งยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา

“เอาล่ะ ลีโอ ฉันว่าฉันคงต้องไปแล้ว คุยกับนายสนุกมากเลย ทำให้นึกถึงวันเก่าๆ ดี ขอให้นายอยู่รอดปลอดภัยในคุกนั่น ส่วนฉันก็จะกลับออกมาเจออิสรภาพอีกครั้งไม่อีกสามปีต่อจากนี้”

ใช่แล้ว ลอเรน ลี ทนายมือฉกาจของเขาเสนอข้อต่อรองของเอลเลียตจนได้ข้อสรุปเป็นตัวเลขสุดท้ายนี้มา และหล่อนเชื่อว่าเอลเลียตจะได้ออกมาเร็วกว่านั้นถ้าทำตัวดี แม้ว่าสำหรับตัวเอลเลียตเองที่ยอมเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อรวบรวมหลักฐานที่ได้มาจากฝั่งลีโอจนแน่นหนาพอที่จะรวบคนได้ทั้งแก๊งและหัวโจกอย่างลีโอและจูเลียนได้ การที่ต้องถูกส่งกลับเข้าไปอยู่ในคุกจะเป็นเรื่องที่หนักหนาเกินไปหน่อยก็เถอะ แต่เขาก็ยอมรับโดยดุษฎี เพราะโทษก่อนที่เขาทำมามันร้ายแรงไม่ใช่เล่นจริงๆ

เอลเลียตเดินกลับออกมาหาคีลที่ยืนอยู่ที่หน้าห้อง และเมื่อก้าวเดินไปตามโถงทางเดิน เอลเลียตก็มีโอกาสได้เจอเกลที่โดนคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่อีกคนเข้าพอดี

ชายหนุ่มไม่ได้ถูกตรวนที่ข้อมือเหมือนลีโอเพราะยังไม่บรรลุนิติภาวะ และเมื่อเขาหันมาเห็นเอลเจ้าตัวก็รีบกระโจนเข้ามากระชากคอเสื้อ ก่นด่าอีกฝ่ายอย่างเดือดพล่านโดยที่เจ้าหน้าที่คนอื่นไม่ทันตั้งตัว

“แก! ไอ้สารเลว! ทุกอย่างมันเป็นเพราะแกคนเดียว! แกทำแบบนี้กับอดัมส์ได้ยังไง ทำได้ยังไง! ”

เอลเลียตมองเด็กหนุ่มที่ตัวเตี้ยกว่าเขาไปพอควรด้วยสายตาเย็นชา แกะมือนั้นออกอย่างง่ายดาย

“หมอนั่นทำให้นายเดือดร้อนขนาดนี้แล้ว ยังจะเสียเวลาไปห่วงมันอีกเหรอ”

“ที่เขาเป็นแบบนี้ก็เพราะแก! ” เกลกรีดเสียงตะโกนขณะที่ร้างถูกผู้คุมอีกคนลากตัวกลับไปแล้ว เอลเลียตเดินเข้าไปประจันหน้ากับเด็กหนุ่มคนนั้นตรงๆ ขณะที่เกลยังดิ้นพล่านทั้งที่โดนล็อกตัวเอาไว้

มีหลายอย่างในตัวของเกลที่ทำให้เอลเลียตนึกถึงตัวเอง บางทีถ้าเขาไม่เข้มแข็งพอ หรือถ้าเขาเล่นยาแบบที่หมอนี่ทำ เขาอาจจะมีสภาพไม่ต่างจากเจ้าตัวเท่าไรนักก็ได้ในตอนนี้ เหมือนตุ๊กตาแก้วเก่าๆ ที่โดนโยนทิ้งลงกับพื้น ถ้ามองเข้าไปในตาของเกลตอนนี้ เขาคงรู้สึกเหมือนตุ๊กตาแก้วที่ว่าแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว

“เขาไม่ได้รักนายหรอก เกล ลึกๆ แล้วนายเองก็รู้ดี”

“หุบปาก! ”

“ลืมหมอนั่นไปเถอะ” เอลเลียตพูดสั้นๆ เขามีปัญญาทำได้แค่นั้น “ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะมานั่งเสียใจให้คนที่ไม่ได้รักนาย”

แต่เกลก็ยังสบถด่าสาปแช่งต่อไป เอลเลียตเดินกลับไปอีกทางพร้อมกับคีล เขาหวังว่าสักวันเด็กหนุ่มคนนั้นจะเข้าใจความหวังดีของเขาในวันนี้





คีลขอลางานหนึ่งอาทิตย์โดยอ้างกับเคลลี่ว่าเขาต้องการพักรักษาตัวแผลที่ถูกยิงตรงหัวไหล่ แต่อันที่จริงแล้วเขาต้องการมาใช้เวลาอยู่กับคนรักที่จะต้องกลับเข้าไปอยู่ในเรือนจำหนึ่งสัปดาห์่ต่อจากนี้ เพราะความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนเป็นความลับจากคนในทีม

ส่วนเอลเลียต… แน่นอนว่าชายหนุ่มโดนติดสัญญาณติดตามตัวที่ข้อเท้าเหมือนเคย ตอนแรกทางเบื้องบนก็ถกเถียงกันว่าควรปล่อยตัวเอลเลียตไปไหมเพราะชายหนุ่มเคยพยายามจะหนีมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เอลเลียตก็โต้กลับไปได้อย่างสวยงามว่า ถึงยังไงเขาก็ไม่มีลีโอคอยช่วยเรื่องปลดสัญญาณตัวที่ว่าอยู่แล้ว แถมที่เขาช่วยเหลือทางตำรวจมากขนาดนี้ก็น่าจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้มากพอแล้วว่าตัวเขาเชื่อถือได้ นั่นแหละเอลเลียตเลยได้ลอยลำมาเป็นสารถีชั่วคราว ขับรถให้คีลที่บาดเจ็บที่บ่าอยู่นั่ง

และตอนนี้พวกเขาสองคนกำลังถกเถียงกันว่าควรจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี

“ไปเที่ยวก็ต้องไปทะเลสิครับ หาดทรายขาวๆ อาหารทะเลเลิศๆ ไวน์แดงแกล้มอีกหน่อย โอ๊ย จะมีที่ไหนโรแมนติกไปกว่าบรรยากาศริมทะเลอีก”

“ผมอยากไปภูเขามากกว่า” คีลพูดเสียงเรียบแต่จริงจัง

ทะเลกับภูเขาเหรอ จะมีอะไรชวนโลกแตกไปมากกว่านี้อีก ถามจริง?

เอลเลียตทำเสียงโอดครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มส่งเสียงอ้อนทั้งที่มือยังยึดพวงมาลัย

“อีกไม่นานผมก็ต้องเข้าไปอยู่ในคุกแล้วน้า” เสียงออดอ้อนนั่นทำเอาคนผมดำใจอ่อนยวบ “ตามใจผมหน่อยนะครับ คีล ที่รัก คุณเจ้าหน้าที่ นะครับ”

เขายอมตั้งแต่นะครับแรกแล้วล่ะ ทำไมเวลาหมอนี่อ้อนถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ

เอลเลียตพาคีลไปกินอาหารทะเลที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งซึ่งเขาเคยมา เอลเลียตรู้จักร้านอาหารดีๆ หลายที่ และชายหนุ่มผมน้ำตาลก็พูดจ้อเรื่องอาหารขึ้นชื่อของร้านนั้นร้านนี้อย่างสนุกปาก

คีลคิดว่าเขาเคยรำคาญความพูดมากของเจ้าตัว แต่ตอนนี้ ยามที่ได้เห็นอีกฝ่ายหั่นกุ้งล็อบสเตอร์อบชีสอย่างมีความสุขพร้อมกับพูดจ้อยๆ ไปด้วยแล้ว สายสืบหนุ่มก็อดยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูคนตรงหน้าไม่ได้

เอลเลียตชะงักไปกับรอยยิ้มนั้นของคีลเช่นกัน แม้ว่าเขาจะคบหากับคีลในฐานะแฟน แต่เขาก็ได้เห็นรอยยิ้มของเจ้าตัวน้อยครั้งมาก แต่ถึงอย่างนั้นเอลเลียตก็รู้ว่าเขาได้เห็นยิ้มของคีลเยอะกว่าคนอื่นๆ มากหลายเท่าแล้ว แต่ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากให้คีลยิ้มให้เขาอีกเยอะๆ

คิดแบบนั้นแล้วคนผมน้ำตาลก็ส่งยิ้มอ่อนหวานคืนให้แฟนหนุ่มทันที

“ผมชอบเวลาคุณยิ้มจังครับ คีล”

ร่างสูงชะงักกึก รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล แค่เขายิ้มแค่นี้ก็ดูเอลเลียตจะมีความสุขขึ้นมาเหลือเกินแล้ว

เอลเลียตใช้ส้อมจิ้มเนื้อกุ้งที่หั่นไว้แล้วมาตรงหน้าคีล ใบหน้าคมชะงักไปเล็กน้อยอย่างตั้งตัวไม่ทัน แต่ก็ยอมเปิดปาก ยอมให้เอลเอากุ้งชิ้นนั้นเข้าปาก

ดูเหมือนนั่นจะยิ่งทำให้คนผมน้ำตาลมีความสุขมากขึ้นไปอีก

หมอนี่น่ารักเป็นบ้า…

“อร่อยไหมครับ ที่รัก”

“อร่อยครับ” คีลพูดยิ้มๆ ทำเอาเอลเลียตยิ้มแก้มแทบปริไปทั้งมื้ออาหารทีเดียว โดยเฉพาะตอนที่อีกฝ่ายเอื้อมมือมาปาดซอสที่เปื้อนมุมปากเขา เป็นครั้งแรกที่เอลเลียตรู้สึกว่าคีลไม่สนใจคนรอบข้าง ไม่สนใจว่าใครจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคน และมันทำให้คนผมน้ำตาลมีความสุขจริงๆ

คีลพาเอลเลียตไปเช่าม้าขี่ ปล่อยให้มันควบเหยาะๆ ไปตามแนวของหาดทรายสีขาวตามความต้องการของเจ้าตัว เขาชอบเวลาได้ยินเสียงหัวเราะของอีกฝ่าย และเอลเลียตก็เติมเต็มเรื่องนั้นได้เป็นอย่างดี

“ทะเลที่นี่สวยชะมัด” เอลเลียตว่าขณะปล่อยให้เท้าเปลือยเปล่าจมลงไปในทราย “คิดถูกจริงๆ ที่มาทะเล เนอะ คีล คุณเองก็คิดแบบนั้นใช่ไหม”

“ครับ” เขาพูดเอาใจอีกฝ่ายยิ้มๆ เอลเลียตตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ คีลเลยหัวเราะออกมากับท่าทางนั้น “ทำหน้าอะไรของคุณน่ะ ผมก็คิดแบบคุณไง ดีจังที่มาทะเล”

“ทำไมวันนี้คุณใจดีแปลกๆ จัง” เอลว่า ดึงแขนร่างสูงขึ้นมาโอบบ่าตัวเอง คีลเลยให้ของแถมด้วยการลูบหัวอีกฝ่าย เอลเลียตหน้าแดงขึ้นด้วยความพึงพอใจ “ให้ตาย คีล ผีอะไรเข้าสิงคุณรึเปล่าเนี่ย ทำตัวน่ารักขนาดนี้ผมชักกลัวแล้วนะ”

“ชอบให้ผมเล่นบทโหดมากกว่าเหรอครับ? ”

“อืม…” เอลแกล้งลากเสียงยาว สีหน้าครุ่นคิด “จริงๆ ผมก็ชอบทั้งสองแบบนะ”

“ปากดีเอ๊ย” คีลว่าพร้อมกับหัวเราะร่วน เขาดึงตัวเอลเลียตเข้ามาแนบตัว หอมแก้มอีกฝ่ายฟอดหนึ่ง“ปากดีเอ๊ย” คีลว่าพร้อมกับหัวเราะร่วน เขาดึงตัวเอลเลียตเข้ามาแนบตัว หอมแก้มอีกฝ่ายฟอดหนึ่งเรียกเสียงหัวเราะให้คนผมน้ำตาลอีกระลอก "ไม่ต้องห่วงครับ อายออฟไอเดน เดี๋ยวคืนนี้ผมจะทำตัวโหดกับคุณหนักๆ เลย"





คีลทำตามที่พูดไว้ไม่ผิดเพี้ยน ทั้งคู่ร่วมรักกันในบ้านพักที่คีลเช่าไว้แทนที่จะเป็นห้องสวีตของโรงแรม เขาแค่รู้สึกว่าบ้านแบบนี้มันได้บรรยากาศดีกว่าก็เท่านั้น

"อ๊ะ..." เอลเลียตอุทานออกมาเบาๆ เมื่อคนด้านบนกระแทกตัวเข้ามาอย่างแรง ความวาบหวามที่ไต่จนถึงจุดสูงสุดทำให้ชายหนุ่มบิดตัวเกร็งแน่นก่อนจะกระตุกเฮือก ตามมาด้วยหอบหายใจถี่ๆ ด้วยความเหนื่อยอ่อน

คีลก้มลงมาจูบปิดปากคนบนเตียง เอลเลียตเกี่ยวขาขึ้นตวัดข้างตัวของอีกฝ่ายอย่างยั่วยวน มือลูบผ้าพันแผลที่บ่าซ้ายของร่างสูง ตั้งแต่ที่คีลโดนยิงมาก็ผ่านมาเกือบเดือนแล้ว ก่อนหน้าที่จะได้มาพักผ่อนกันอย่างนี้ทั้งคู่วุ่นวายกับเรื่องคดีจนแทบไม่มีเวลาได้ทำอะไร โดยเฉพาะคีลที่ต้องคอยรักษาตัวเพราะแผลที่ถูกยิงนี่ด้วย แต่เหมือนเจ้าตัวจะฟื้นตัวได้เร็วมาก เหมือนกับว่ามันเป็นแค่แผลหกล้มด้วยซ้ำ

"อื้ม คีล" เสียงหวานเริ่มครางออกมาอีกครั้งเมื่อคนด้านบนซุกใบหน้าลงบนซอกคอ ไล้สันจมูกลงตรงไหปลาร้า เลื่อนต่ำลงมาจนถึงแผ่นอก จบลงที่ครอบปากลงบนตุ่มไตที่ชูชันขึ้นมาจากแรงกระตุ้น

ใบหน้าเอลเลียตแดงระเรื่อขึ้นเมื่อลิ้นร้อนเริ่มวนเป็นวงกลมอยู่ตรงนั้น คีลเคลื่อนมืออีกข้างมาใช้หัวแม่โป้งบดยอดอกอีกข้างเพื่อปรนเปรอให้คนด้านล่างที่เริ่มบิดตัวน้อยๆ ด้วยความเสียวซ่าน แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อเอลเลียตยกมือขึ้นมาดันหน้าเขาเป็นเชิงห้าม

คีลช้อนนัยน์ตาสีน้ำตาลคมดุขึ้นมามองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจทันที เอลเลียตดันร่างสูงให้ล้มตัวลงไปนอนราบกับเตียงแทนที่ตัวเองพร้อมกับขึ้นคร่อมอย่างรวดเร็ว

"เดี๋ยวผมออนท็อปให้เอง"

"..." ให้ตายสิ ดูหมอนี่พูดแต่ละอย่าง มันน่าจับฟาดปากไหม

เอลเลียตดันแก่นกลางร่างกายของคีลสอดเข้ามาผ่านปากโพรงด้านหลังของเขาอย่างรู้งาน เสียงหอบหายใจของคนทั้งคู่ประสานกันเมื่อคนผมน้ำตาลเริ่มขยับสะโพกขึ้นลงด้วยจังหวะที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ คีลมองนัยน์ตาสีฟ้าฉ่ำเยิ้มที่มองลงมาที่เขาด้วยความปรารถนา แม้จะอยู่ในระหว่างการมีเซ็กส์ หมอนี่ก็ยังอยากจะได้ตัวเขาอยู่ คีลเลยจัดการสนองให้ด้วยการจับเอวของคนด้านบนกระแทกลงอย่างแรงรอบหนึ่งให้เอลเลียตสะดุ้งเฮือก

น้ำสีขุ่นหยดลงบนหน้าท้องแกร่งที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ บ่าของเอลเลียตสั่นเล็กน้อยขณะที่ด้านในรู้สึกถึงของเหลวอุ่นที่ถูกฉีดเข้ามาในตัว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่พอใจที่คีลจับสะโพกเขากระแทกลงในจังหวะท้ายสุด เขาอุตส่าห์จะบริการเสียหน่อย หมอนี่นี่ความอดทนต่ำชะมัด แค่นอนรอรับการปรนเปรอจากเขาเฉยๆ ยังทำไม่ได้!

แต่ถึงจะหงุดหงิดเล็กน้อย เอลเลียตก็โน้มตัวลงไปจูบอีกฝ่ายอย่างอ่อนหวานอยู่ดี ก่อนจะตัดพ้อขณะที่คลอเคลียข้างหู

"คุณมันขี้โกง"

"ขี้โกงตรงไหนครับ"

"ก็ผมอุตส่าห์ขออยู่ข้างบนแล้ว ก็หมายความว่าผมต้องเป็นคนคุมด้วยสิ"

"ผมยอมให้คุณออนท็อป" นิ้วเรียวเกี่ยวสร้อยคอที่จี้เป็นปลอกกระสุนบนลำคออีกฝ่ายขึ้นมาราวกับต้องการทวนความจำให้ไอ้ตัวแสบด้านบน "แต่ไม่เคยพูดว่ายอมให้คุณเป็นคนคุมเลย"

"ร้ายกาจที่สุด"

"ผมรู้คุณชอบแบบนั้น"

เอลเลียตคลี่ยิ้มหวานหยดมาให้ "รู้ใจผมดีจัง"

มือหนาบีบแก้มของคนผมน้ำตาลด้วยความหมั่นไส้ "ทำไมคุณถึงได้ปากดีแบบนี้นะ เอล"

เอลเลียตหัวเราะรับคำถามนั้น ซุกหน้าลงไปบนแผ่นอกหนาอ้อนๆ คีลดึงตัวอีกฝ่ายมานอนข้างกายพร้อมกับกอดอย่างทะนุถนอม ฝ่ามืออุ่นไล้ลงบนเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของเจ้าตัวอย่างอ่อนโยนและต่อเนื่องเรียกให้นัยน์ตาสีฟ้าช้อนขึ้นไปมองคนลูบ ชายหนุ่มส่งยิ้มซุกซนให้อีกฝ่ายก่อนจะเปิดปากเรื่องที่พวกเขาสองคนหลีกเลี่ยงไม่พูดกันมาทั้งวัน

"คีล ถ้าผมกลับไปอยู่ในคุกแล้ว คุณจะคิดถึงผมไหม"

"คิดถึงสิครับ" ตอบกลับมาด้วยเสียงอ่อนโยน "คงจะคิดถึงมากๆ "

"แล้วคุณจะทนได้ไหม"

"ผมมีทางเลือกอย่างอื่นด้วยเหรอ"

"คุณจะมีคนอื่นหรือเปล่า"

คำถามนั้นทำให้ใบหน้าคมขมวดคิ้วฉับทีเดียว เอลเลียตรู้ตัวทันทีว่าคนผมดำไม่พอใจเขาจึงได้แค่พูดเสียงอ่อย

"ผมหมายถึง... ยังไงผมก็อาจจะต้องอยู่ในนั้นอีกหลายปี แถมคุณก็มีโอกาสได้เจอคนดีๆ อีกตั้งมาก ผมไม่อยากเสียคุณไปหรอกนะคีล แต่ผมก็ไม่อยากปิดโอกาสคุณเหมือนกัน"

"เอล ถ้าคุณพูดอะไรทำนองนี้อีกล่ะก็ ผมจะโกรธจริงๆ แล้วนะ ถ้าคุณไม่มั่นใจในตัวผม อย่างน้อยก็มั่นใจในตัวเองบ้าง คุณไม่ใช่คนที่ไม่มีค่าหรือไม่มีใครต้องการสักหน่อย และที่สำคัญไปกว่านั้น ผมรักคุณจริงๆ ผมไม่ได้เสี่ยงชีวิตไปช่วยคุณเพื่อทิ้งคุณแล้วไปหาคนใหม่หรอกนะ"

เอลเลียตรู้สึกว่าขอบตารื้นขึ้นมาขณะแตะมือลงบนใบหน้าอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

"ให้ตายเถอะ คีล" ชายหนุ่มรำพัน "นี่ผมทำอะไรมาถึงได้คุณมาครอบครองแบบนี้กัน"

คีลดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดแนบอกอีกครั้ง รู้สึกได้ถึงแขนของเอลเลียตที่โอบกอดแผ่นหลังเขาตอบ

"นั่นมันคำพูดของผมต่างหากล่ะครับ"







คีลพาเอลเลียตไปยังสถานที่ต่างๆ ที่เจ้าตัวอยากไปให้หนำใจ ไม่ว่าจะเป็นที่กิน ที่เที่ยว ที่ช้อป เอลเลียตก็มักมีเสียงหัวเราะและรอยยิ้มสดใสระบายบนใบหน้าให้ร่างสูงชื่นใจ มื้อค่ำสุดท้ายของพวกเขาสองคน คีลตัดสินใจพาเจ้าตัวมาที่ร้านสเตฟานซึ่งเป็นร้านแรกที่พวกเขารับประทานมื้อค่ำด้วยกันเมื่อตอนที่คีลต้องรับหน้าที่ดูแลควบคุมเอลเลียตใหม่ๆ

คนผมน้ำตาลถูมือด้วยความตื่นเต้นเมื่อสเต๊กชิ้นโตของเขาถูกเสิร์ฟลงบนจานเคลือบกระเบื้องอย่างดี ความร้อนจากชิ้นเนื้อก้อนนั้นส่งเสียงฉ่าพร้อมควันหอมฉุยที่ลอยออกมาเมื่อเอลเลียตจิ้มส้อมลงไปเป็นครั้งแรก ทันทีที่ลงมือหั่นและเอาเนื้อชั้นดีเข้าปาก เจ้าตัวก็ทำสีหน้ามีความสุขเสียเต็มประดา

"สวรรค์ชัดๆ " ชายหนุ่มว่า ในขณะที่คีลยกยิ้มมุมปาก รินไวน์แดงใส่แก้วให้คนตรงหน้าและตัวเอง เอลเลียตจับก้านของแก้วไวน์ขึ้นมาชนแก้วกับคีลทันทีอย่างรู้หน้าที่ แม้ว่าในปากจะยังเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่ก็ตาม

คีลจิบไวน์ของตัวเองก่อนจะพูดเสียงล้อเลียน "คุณนี่ทำอะไรข้ามขั้นตอนจริง"

"เอาน่า ถึงยังไงมันก็ลงไปอยู่ในท้องหมดอยู่ดี" เอลเลียตว่าพร้อมกับยกแก้วในมือขึ้นดื่มอึกๆ ก่อนนัยน์ตาสีฟ้าจะเบิกกว้างขึ้นอย่างตื่นเต้น พูดด้วยน้ำเสียงลิงโลด "อร่อย! "

ว่าแล้วเจ้าตัวก็เริ่มหยิบขวดไวน์ขึ้นมาสำรวจ พลิกดูที่ฉลาก ยี่ห้อ ปีที่ผลิตแล้ว เอลเลียตก็รู้เลยว่าราคาของมันไม่ใช่ถูกๆ เลย เขาเงยหน้าขึ้นไปมองคีลที่เริ่มลงมือกินสเต๊กของตัวเองอย่างตื้นตัน

"ไวน์ของฝรั่งเศสครับ" คีลพูดยิ้มๆ เมื่อเห็นท่าทีตื่นเต้นของเอลเลียต "ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องไวน์เท่าไรเลยขอให้เขาเอาขวดที่ดีที่สุดของร้านมาให้ หวังว่าคุณจะชอบนะ"

"ผมชอบมาก" พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นก่อนจะมีท่าทีไม่แน่ใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมา "แต่... คุณจะไม่เป็นไรแน่เหรอ ซื้อไวน์แพงขนาดนี้"

"นานๆ ทีก็ไม่เป็นไรหรอกครับ"

เอลเลียตมองอีกฝ่ายตรงๆ ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาคีลเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้เขา ทั้งค่ากิน ค่าเที่ยว ค่าโรงแรม ถึงเขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้จนกรอบอะไรก็เถอะ แต่เงินเดือนตำรวจมันจะมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ เขาไม่สบายใจเลย

"ไม่ต้องกังวลอะไรไม่เข้าท่าหรอกน่า เอล" คีลพูดเสียงนุ่ม "ผมไม่ได้ใช้เงินเยอะอะไร เงินเก็บก็มีพอสมควร อีกอย่างคุณต้องเข้าไปอยู่ในนั้นอีกตั้งนาน ผมอยากให้คุณมีหนึ่งสัปดาห์ที่ดีที่สุด"

เอลเลียตก้มหน้างุดขณะพูดเสียงเบาอย่างอายๆ

"แค่มีคุณอยู่ด้วยก็วิเศษที่สุดแล้ว คีล"

"..." ว่าแล้วเชียวว่าหมอนี่มันช่างยั่ว





คืนสุดท้ายของทั้งคู่ คีลกับเอลเลียตไม่ได้ทำอะไรนอกจากนอนกอดก่ายกันไปมา ต่างคนต่างผลัดกันจูบอย่างบ้าคลั่งราวกับชีวิตนี้ไม่เคยจูบใครมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น

คีลเริ่มต้นด้วยการจูบอย่างแผ่วเบาอ่อนหวานก่อนในตอนแรก จากนั้นก็เพิ่มจังหวะขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เอลเลียตเลื่อนแขนมาโอบรอบคอไม่ให้คีลถอยหนีไปไหน และเมื่อจูบกันจนพอใจแล้วทั้งคู่ก็ผละหน้าออกจากกัน กอดกันเงียบๆ ภายใต้ความมืดของห้อง เอลเลียตมองไม่เห็นใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายก็จริง แต่ลมหายใจร้อนที่เป่ารดหัวก็ทำให้เขารู้ว่าคีลอยู่ตรงนี้ กอดเขาไว้แน่นราวกับจะไม่มีทางปล่อยเขาไปไหน

แล้วอยู่ๆ คนผมน้ำตาลก็กลัวขึ้นมาว่าเขาจะไม่มีทางได้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดนี้อีก

"คีล" พูดพร้อมกับซุกหน้าลงบนแผ่นอกของอีกฝ่าย "ผม... ผมไม่อยากเข้าไปอยู่ในนั้นเลย"

คีลกอดเอลเลียตแน่นขึ้นราวกับต้องการจะปลอบ เขารู้ดีว่าคนผมน้ำตาลอดทนมาตลอดทั้งสัปดาห์ที่จะไม่พูดประโยคนี้

แต่นี่เป็นเรื่องที่เขาช่วยอะไรไม่ได้

"เข้มแข็งหน่อยนะครับ เอล" เขาทำได้เพียงกอดคนในอ้อมแขนแน่นขึ้น "ผมสัญญาว่าจะรอ คุณจะผ่านมันไปได้เหมือนที่คุณเคยผ่านมาแล้ว มันไม่ยากไปกว่านั้นหรอก"

เอลเลียตพยักหน้าแกนๆ โดยไม่ผงกหัวขึ้นมา ไม่อยากจะบอกคีลเลยว่ามันยากกว่าตอนนั้นเพราะตอนนี้ใจเขาผูกติดอยู่ที่ร่างสูงหมดแล้ว ไม่เหมือนกับตอนนั้นที่เขาไม่มีพันธะใดๆ

แต่ถึงมันจะทรมาน เอลเลียตก็เชื่อว่าในขณะเดียวกันมันจะเป็นแรงผลักดันให้เขาก้าวต่อไปข้างหน้าด้วย

เอลเลียตเคลื่อนหน้าไปจูบร่างสูงอีกครั้ง แล้วก็อีกครั้ง ถ้าคีลสามารถฆ่าเขาได้ด้วยจูบจริงๆ ล่ะก็ ป่านนี้เขาคงตายไปเป็นล้านรอบ แล้วก็คงเป็นการตายแบบที่เขาสมยอมให้อีกฝ่ายง่ายๆ ด้วยอย่างแน่นอน




--------------------------------------------------------------------
Talk: ตอนหน้าก็จบแล้วค่ะ แล้วหลังจากนั้นก็จะมีบทส่งท้ายอีกตอน โฮๆๆ แค่คิดก็เหงาขึ้นมาเลย ToT ไม่อยากให้คีลเอลจบเลยอ่าาา ฮืออออ //กอดคีลแน่น

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ใกล้จบแล้ว เราจะคิดถึงขุ่นคีลล  :pig4: :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ทันฌะ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ฮืออ รักเรื่องนี้

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 25




เอลเลียตกระเด็นเข้าไปอยู่ในเรือนจำเดิมที่เขาคุ้นเคยหลังจากที่ห่างจากมันมาหลายเดือน

หลายคนที่คุ้นหน้าเขาเข้ามาทักทายแถมยังเอ่ยแซวเรื่องที่เอลเลียตโกงความตายแต่ก็ต้องกลับมาอยู่ในสถานที่ที่เกือบทำให้ตัวเองตายอยู่ดี ซึ่งคนผมน้ำตาลเองก็ไม่ถือสา แถมรอบนี้ห้องขังที่เขาได้ไปอยู่ก็ไม่มีคนอื่น แปลว่าจนกว่าจะมีนักโทษคนใหม่เพิ่มเข้ามา เอลเลียตก็จะได้ครอบครองห้องอยู่คนเดียว และเขาก็ไม่ต้องมาคอยระวังว่าไอ้คนนั้นจะเอามีดมาจิ้มพุงเขาเมื่อไหร่ด้วย

คีลเป็นคนมาส่งเขาที่เรือนจำรอบนี้ แม้จะไม่ได้จูบลาเพราะความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นความลับ (เอลเลียตว่าขืนทำแบบนั้นมีหวังคีลคงโดนเรียกไปสอบสวนจริงๆ จังๆ แน่) แต่คนผมน้ำตาลก็ดีใจไม่น้อยที่ได้เห็นร่างสูงจนนาทีสุดท้ายก่อนที่เขาจะต้องกลับมาใช้ชีวิตหลังลูกกรงต่อ

การใช้ชีวิตอยู่ในนี้ไม่ได้ยากเย็นไปกว่าก่อนหน้าที่เขาเข้ามาอย่างที่คีลบอกจริงๆ แต่เอลเลียตพยายามมากขึ้นที่จะหางานหรืออะไรก็ตามที่มีสิทธิ์จะช่วยลดโทษให้เขา งานหนักบ้างเบาบ้างแต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรทำ

ในวันที่เงียบเหงาหรือคืนที่หดหู่มากๆ เอลเลียตก็จะหยิบปลอกกระสุนที่เป็นจี้ห้อยคอซึ่งเขาแอบเอาเข้ามา (เพราะเขาไม่แน่ใจว่าถ้าโดนตรวจเจอจะโดนยึดไปไหม) ขึ้นมาพลิกดู ปล่อยใจให้ลอยไปหาร่างสูงคนนั้นแล้วดึงความทรงจำเก่าที่อยู่ในหัวออกมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เอลเลียตไม่รับรู้ข่าวคราวของใครๆ ล่าสุดที่เขาได้ยินมาคือจูเลียนถูกส่งไปอยู่ในเรือนจำแห่งหนึ่งในซานฟรานซิสโก ส่วนเรื่องของลีโอก็เงียบหายไปเลย คงจะอยู่อย่างสุขสบายเหมือนเดิมในคุก แต่เขาก็ไม่นึกอยากรู้เรื่องของสองพ่อลูกนั่นสักเท่าไรหรอก

สิ่งที่ทำให้เอลเลียตกระตือรือร้นขึ้นมาได้คือตอนที่คีลมาเยี่ยมเขานี่แหละ ร่างสูงพยายามมาหาเขาอย่างสม่ำเสมอเท่าที่เวลาจะอำนวย อย่างเดียวที่เอลเลียตเสียดายเวลาที่คีลมาหาคือเขาจูบหมอนี่ไม่ได้นี่แหละ

คีลมักจะเอาของกินอร่อยๆ มาฝากเขา แต่ห้องที่พวกเขาเจอกันได้เป็นห้องรวมที่เอาไว้ให้นักโทษเจอกับญาติๆ หรือใครก็ตามที่มาเยี่ยมตน และแนะนอนว่าเขาจะทำตัวประเจิดประเจ้อจูบกับตำรวจท่ามกลางสายตาผู้คนได้ไง แล้วใบหน้าหล่อเหลา ท่าทีภูมิฐานที่ดูเหมือนจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เจอหน้ากันนี่คืออะไร เจอคีลทีไรเหมือนเอลต้องเล่นเกมข่มความอดทน คือถ้าเขาฟิวส์ขาดขึ้นมาคงกระชากคอเสื้อมันลงมาจูบแน่ และผลที่ตามมาของเรื่องนั้นคงไม่ใช่เล่นๆ

“นี่ครับ เอล” คีลว่าพร้อมกับยื่นถุงกระดาษที่ใส่ขนมมาให้ “ผมเอามาฝาก คุณสบายดีนะ? ”

เอลเลียตแง้มถุงดู มีเบเกอร์รีหลากชนิดและขนมปังหน้าพิซซ่า กลิ่นลอยมาแตะจมูก หิวติดหมัดขึ้นมาทันที

“สบายดีครับ คีล ขอบคุณนะ” ตอบพร้อมกับยิ้มกว้างขวางกลับไปให้ คีลยิ้มตอบ ได้เห็นแค่นั้นก็ต่อชีวิตพ่อโจรตัวน้อยไปได้อีกหลายอาทิตย์แล้ว

ทั้งสองคนคุยกันเรื่องสัพเพเหระอยู่ครู่ใหญ่ เอลเลียตกำลังสาธยายว่าเขาไปทำคุณประโยชน์อะไรมาบ้างและจะลดโทษได้เขาเท่าไร คีลที่พูดน้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพยักหน้ารับเป็นส่วนใหญ่ แต่เหมือนวันนี้หมอนี่จะเงียบผิดปกติ เอลเลียตที่คุ้นเคยกับคีลดีรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว

“มีอะไรรึเปล่าครับ คีล” ชายหนุ่มเอ่ยถาม นี่ก็ใกล้จะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว “ดูคุณเงียบๆ ไปนะวันนี้ มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า”

“อ่า” ร่างสูงเปิดปาก พูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “คือ… ผมกำลังจะบอกคุณว่าอาทิตย์หน้าผมมาหาไม่ได้น่ะ”

ใบหน้าของเอลเลียตดูเจื่อนลงไปทันที แต่เจ้าตัวก็ยังฝืนยิ้ม

“งั้นเหรอครับ”

“ผมต้องไปช่วยงานที่ต่างรัฐนิดหน่อย”

“ผมเข้าใจ” พูดพลางกลืนน้ำลายอึก พยายามไม่แสดงความผิดหวังออกมามากนัก “งานคุณยุ่งนี่ ทำไงได้”

“ผมขอโทษนะครับ”

“เฮ้ย ไม่เป็นไร” คนผมน้ำตาลรีบว่า “คุณก็มาหาผมบ่อยอยู่แล้ว ไปทำงานก็ระวังตัวด้วยนะครับ แล้วผมจะรอนะ”

เอลเลียตใช้ชีวิตอยู่ในตารางไปเรื่อยๆ ตลอดปีกว่าที่ผ่านมา คีลก็แวะมาหาอย่างสม่ำเสมอ แต่ครึ่งปีหลังมานี่เหมือนชายหนุ่มจะยุ่งขึ้นจนจำนวนครั้งที่มาเริ่มลดน้อยถอยลง

คนผมน้ำตาลไม่ค่อยสบายใจเท่าไร ยิ่งวันไหนที่ไม่มีงานทำแล้วเขาต้องนั่งๆ นอนๆ อยู่หลังซี่กรงตลอด เขายิ่งจิตตก และพอจิตตก ในหัวของเขาก็เริ่มคิดไปถึงเรื่องที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้

คีลอาจจะมีคนใหม่… ถึงเขาจะเผื่อใจสำหรับเรื่องนี้ไว้อยู่แล้วแต่อดเจ็บแปลบขึ้นมาไม่ได้

ก็นั่นสินะ มีชีวิตอยู่ที่โลกข้างนอกนั่น เจอผู้คนใหม่ๆ ยังไงมันก็มีโอกาสเป็นไปได้อยู่แล้ว อีกอย่างเขาเองก็เหมือนของมีตำหนิ มีประวัติติดตัวมาอย่างที่ล้างยังไงก็ไม่มีทางหมด เทียบกับคีลที่เป็นตำรวจ ประวัติใสสะอาด อนาคตไกล… คือแม่งไม่คู่ควรกับเขาเลยจริงๆ ถ้าเขาเป็นคีลเอง เขาก็คงไม่มาปักใจอยู่กับอดีตอาชญากรแบบตัวเองแน่ล่ะ

เอลเลียตพยายามบอกตัวเองว่าคิดมาก เพราะตอนที่คีลมาเยี่ยม ชายหนุ่มก็ดูปกติ ไม่ได้ห่างเหินหรือมีอะไรเปลี่ยน แต่ความถี่ที่คีลมาเยี่ยมเขาซึ่งลดถอยลงทำให้เอลเลียตอดคิดไม่ได้จริงๆ

บางที… ถ้าเขาจูบหมอนี่ได้ ทุกอย่างอาจจะไม่แย่ขนาดนี้ แต่ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ ชายหนุ่มก็ได้แต่ทำตัวหงอยลงๆ อย่างควบคุมไม่อยู่





แต่แล้วทุกอย่างก็ดีขึ้นเมื่อโทษของเขาได้สิ้นสุดลงหลังจากที่อยู่ในเรือนจำมาหนึ่งปีกับอีกเก้าเดือนเศษ

เอลเลียตได้รับการปล่อยตัวด้วยระยะเวลาการจำคุกที่ลดลง ชายหนุ่มเฝ้านั่งนับวันที่จะได้ออกไปสูดอากาศข้างนอกอย่างใจจดใจจ่อ

แล้วในที่สุดเขาก็ได้ออกมา!

คีลมาแสดงความยินดีเรื่องนี้กับเขาแล้วเมื่อสองสัปดาห์ก่อน แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้รับการติดต่อใดๆ จากร่างสูงเลย แม้แต่ตอนที่โทรไปหาเจ้าตัวจากในคุก คีลก็ยังตัดบทเขาบอกว่าทำงานอยู่ เอลเลียตเลยได้แต่ใจแป้ว วางสายโทรศัพท์ไปอย่างเสียไม่ได้

หรือว่าคีลจะมีคนอื่นแล้วจริงๆ …? แต่ไม่หรอก! หมอนั่นมันเป็นประเภทเถรตรงเป็นไม้บรรทัด ถ้าเกิดคิดจะมีใหม่ล่ะก็ น่าจะมาบอกเลิกเขาตรงๆ ก่อน ไม่น่าแอบไปคบหรือไปคุยกับคนอื่นทั้งที่ยังคบกับเขาอยู่แบบนี้

ใช่ ถึงยังไงซะหมอนั่นก็แค่ยุ่ง ตอนที่ได้อยู่กับคีล เอลเลียตก็เห็นแล้วว่าชายหนุ่มคนนั้นบ้างานแค่ไหน ชนิดที่เวลานอนไม่มีก็ไม่เป็นไร ขอให้คดีตัวเองคืบหน้า

เขาต้องไว้ใจคีลสิ ขนาดคีลยังไว้ใจเขาตลอดที่ผ่านมา แล้วทำไมเขาจะทำแบบเดียวกันไม่ได้

คิดแบบนั้นแล้วเอลเลียตก็พยายามเมินความผิดหวังแรกที่คีลไม่มารับเขาที่เรือนจำ แม้แต่ลอเรน ลี ทนายสาวของเขายังมาแสดงความยินดีด้วยเลย แต่ไม่เป็นไร ถ้าคีลยุ่งกับงานนัก เขาจะเป็นฝ่ายไปหาเจ้าตัวก็ได้

ยังไงเสียคีลก็เป็นฝ่ายมาหาเขาตลอดในช่วงเกือบสองปีที่ผ่านมา ถึงตาที่เขาต้องดิ้นรนไปหาร่างสูงเองบ้างแล้ว

เอลเลียตหาช่องทางติดต่อกับคนในทีมของคีลได้จนได้ ฟอร์ดบอกสถานที่ที่คีลไปทำคดีอยู่ให้เอลเลียตรู้ และคนผมน้ำตาลก็ไม่รอช้าที่จะตรงดิ่งไปยังสถานที่แห่งนั้น ต่อให้มันจะไกลจากเรือนจำที่เขาเพิ่งออกมาจนต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางหลายชั่วโมงก็ตาม

เอลเลียตเริ่มต้นการเดินทางด้วยรถไฟ จากนั้นก็ต่อด้วยรถเมล์ ลงท้ายด้วยรถแท๊กซี่

เขาหยิบโทรศัพท์ราคาถูกที่เพิ่งซื้อมาสดๆ ร้อนๆ ขึ้นมาดู ว่าจะโทรหาคีลตอนแรก แต่คิดอีกทีไปเซอร์ไพรส์หมอนั่นถึงที่เลยน่าจะสนุกกว่า ดังนั้นสิ่งที่เอลเลียตคิดถึงรองลงมาจึงเป็นคนในครอบครัวของเขา

หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือคนในครอบครัวเก่าของเขา แม้ว่าฝั่งนั้นจะไม่เห็นเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแล้ว แต่เอลเลียตก็ไม่เคยลืมเลยว่าครั้งหนึ่งครอบครัวโจนส์ที่รับเขาไปเลี้ยงมีบุญคุณกับเขามากแค่ไหน และตอนนั้นเขามีความสุขมากเพียงใด

เขาตัดสินใจกดเบอร์โทรที่จำได้ขึ้นใจ ใจเต้นรัวขึ้นเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณดัง ถ้าคนที่มารับสายคือเอียน โจนส์ เอลเลียตจะกดตัดสายทิ้งแล้วทำเหมือนโทรผิด แต่คนที่รับสายครั้งนี้คือไอแซค

“สวัสดีครับ บ้านโจนส์ครับ”

“ไอแซค” เอลเลียตพยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติ “นี่ผมเองนะ”

“เอลเลียตเหรอ? ” น้ำเสียงนั่นแปลกใจไม่น้อย “นายเองเหรอเนี่ย”

เอลเลียตคิดว่าถ้าเขาไม่รีบเข้าเรื่อง บทสนทนาอาจจบลงแค่นั้น

“ใช่ พี่สบายดีไหม แล้วแม่เป็นยังไงบ้าง อาการดีขึ้นหรือยัง”

“ตอนนี้ก็เริ่มทรงตัวแล้ว” แม้จะแปลกใจ แต่ไอแซคก็ยังพูดคุยกับเขาตามปกติ “เอ้อ ฉันกับพ่อเห็นข่าวของนายแล้วนะ ที่ไปช่วยตำรวจจับฮอร์ตันน่ะ”

“นั่นมันผ่านมาสองปีแล้ว”

“แต่ก็ถือว่าเจ๋งไปเลยไม่ใช่เหรอ พ่อภูมิใจในตัวนายนะ”

เอลเลียตกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาที่รื้นขึ้นมา “ไอแซค ผมว่าผมต้องวางแล้ว”

“เฮ้” น้ำเสียงของปลายสายอ่อนลง มันปนมาด้วยความกระอักกระอ่วนใจเพราะไอแซครู้ดีว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาและครอบครัวไม่เคยไปเยี่ยมเอลเลียตในเรือนจำเลย “นายน่าจะแวะมานะ รู้ไหม ตอนนี้แม่มีสติมากพอจะพูดได้แล้ว บางทีนายอาจจะอยากคุย--”

“ไม่ ไม่ดีกว่า ไอแซค ผมยุ่งๆ น่ะ”

ปลายสายเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะว่า “ฉันซาบซึ้งกับสิ่งที่นายทำเพื่อเรามากนะ เอล”

“ผมรู้” เขาพูดได้แค่นั้น “แต่พี่ไม่ได้บอกพ่อกับแม่เรื่องผมใช่ไหม”

“ใช่ ฉันหมายถึง… ฉันไม่ควรบอกใช่ไหม”

“ใช่ ดีแล้ว ผมโทรมาถามสารทุกข์สุกดิบเฉยๆ รักษาตัวนะครับ” แล้วเจ้าตัวก็วางสายไปโดยไม่รอฟังอะไรต่อจากนั้น เขารู้ดีว่าไอแซครู้สึกผิดมาเสมอเรื่องของเขา แต่สำหรับเอลเลียต เขาปล่อยวางเรื่องในอดีตพวกนั้นไปหมดแล้ว มันก็แค่สิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่บางทีเขาอาจจะชอบเรื่องที่ไอแซคยังรู้สึกผิดจนถึงตอนนี้อยู่ก็ได้

เอลเลียตไปถึงสถานที่ที่ฟอร์ดบอกเขามาจนได้ ตอนนี้เป็นเวลาค่ำที่ท้องฟ้ามืดสนิท หากแสงไฟในอาคารที่มีลักษณะกึ่งบ้านกึ่งสำนักงานก็ให้ความสว่างไสวพอให้ชายหนุ่มมองเห็นรอบตัวอย่างชัดเจน ไฟในนั้นไม่ได้สว่างจ้า แต่ออกไปทางสลัวๆ ซ้ำยังมีหลากสีวิ่งชนกันไปมาบนผนังอีกต่างหาก บรรยากาศที่เหมือนในผับทำให้เอลเลียตเข้าใจว่าที่นี่คงมีงานเลี้ยง... นั่นไง ชัดเลย มีบาเทนเดอร์เดินเสิร์ฟน้ำไปมารอบๆ ด้วยแบบนี้ เขาไปฉกค็อกเทลนั่นมาสักแก้วดีไหมนะ เหมือนร่างกายไม่ได้รับแอลกอฮอล์มานาน

หากยังไม่ทันได้ทำอย่างที่ใจคิด เอลเลียตก็ต้องชะงักอยู่กับที่เมื่อเห็นร่างสูงตระหง่านของคนที่เขาตั้งใจมาหายืนเคียงข้างกับผู้หญิงอีกคน และผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นเลย เจนนิเฟอร์ เคลลี่ คนที่เป็นหัวหน้าของคีลเอง ทั้งคู่อยู่ในชุดที่ใช้สำหรับใส่ออกงาน แม้แต่ตัวเอลเลียตที่ไม่ได้ชอบผู้หญิงเป็นพิเศษยังรู้สึกว่าเจ้าหล่อนดูสวยสง่าเลย

ชายหนุ่มหลบเข้าไปอยู่หลังเสาเพื่อแอบดูคนทั้งคู่โดยไม่ทันรู้ตัว แค่เห็นคีลโอบไหล่ของหญิงสาวข้างตัว ใจเขาก็ปวดหนึบไปหมดแล้ว นี่ยังไม่รวมตอนที่ไอ้หมอนั่นโฉบไปมาในงานเพื่อแนะนำเจนนิเฟอร์ด้วยนะ

แบบนี้มันชัดเจนเกินไป... คือมันเลยชอบเขตของคำว่าเขาคิดมากไปเองแล้ว ยิ่งได้เห็นแหวนที่ประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของทั้งคู่ เอลเลียตยื่งเข่าอ่อน ต้องพิงตัวลงกับผนังที่มุมหนึ่งของห้องโถงนั้น

คีลทำแบบนี้กับเขาได้ไงวะ เขานึกว่าหมอนั่นจะแมนมากกว่านี้ซะอีก ถ้าจะไปหมั้นหรือแต่งงานกับคนอื่นก็ควรจะมาบอกเลิกเขาให้มันชัดเจนก่อนไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ให้เขามาโดนความจริงตีกลางแสกหน้าแบบนี้

และเพราะมัวแต่หน้ามืด ตั้งสติไม่ทัน เอลเลียตจึงไม่ทันรู้ตัวเลยเมื่อมีชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเท้ามาประชิดอยู่ข้างตัวเขาพร้อมกับแก้วเหล้าในมือ มาไหวตัวก็ตอนที่อีกฝ่ายเปิดปากชวนคุยนั่นแหละ

"งานเลี้ยงไม่สนุกเหรอครับ คุณ มายืนทำอะไรคนเดียวแบบนี้"

"ก็... เฉยๆ มั้งครับ" แม้จะยังเบลอๆ แต่เอลเลียตที่คุ้นเคยกับการจู่โจมแบบนี้ก็ไหลไปตามธรรมชาติ เจ้าตัวรับแก้วที่ชายหนุ่มดูภูมิฐานข้างตัวส่งมาให้ "ขอบคุณ"

"ผมชื่อกิลเบิร์ต ไมล์" เขาเริ่มแนะนำตัว เอลเลียตยกแก้วเหล้ากรอกปากรวดเดียว ใบหน้าแดงขึ้นทันที

"เอลเลียต เทย์เลอร์"

"คุณมางานเลี้ยงของครอบครัวฟินช์บ่อยเหรอ คุณเทย์เลอร์"

ครอบครัวฟินช์ไหนวะ

แต่ตอนพูด เอลเลียตก็แถไปว่า "อืม... ไม่เชิงครับ อันที่จริงนี่ก็เพิ่งครั้งแรก"

"เหมือนผมเลย" เจ้าตัวว่าพร้อมกับหัวเราะร่วน "พอดีเพื่อนชวนมาอีกทีน่ะ รายนั้นรู้จักคนนู้นคนนี้ไปเรื่อย ผมเลยได้ติดสอยห้อยตามมา แต่อย่างว่า จะไปเที่ยวปาร์ตี้บ้านไฮโซ แค่มีเส้นสายก็โผล่หน้ามาได้แล้วเนอะ"

"ครับ" เอลเลียตตัดบทเพราะไม่นึกอยากเสวนาด้วย ตอนนี้เขากำลังเจ็บช้ำกับความจริงที่ว่าคีลมีคนอื่นอยู่ ในหัวเลยไม่ได้ประมวลผลอะไรเพราะมัวแต่คิดวนเวียนเรื่องของคนร่างสูงด้วยความเจ็บใจเท่านั้น

หากไมล์ยังไม่ละความพยายามที่จะชวนเขาคุยไปเรื่อยๆ เอลเลียตก็ตอบรับไปตามเรื่องตามราว ชายหนุ่มส่งค็อกเทลแก้วต่อไปมาให้ เอลก็ยกมันขึ้นกรอกปากโดยไม่คิดอะไร ตายังคงจับจ้องคีลกับเคลลี่ที่อยู่อีกฟากของห้องจัดงาน รู้สึกซังกะตายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

นี่มันควรจะเป็นเวลาที่เขาได้เฉลิมฉลองที่พ้นโทษออกมา แต่ตอนนี้เอลเลียตนึกอยากกลับไปอยู่ในคุกตามเดิม อยู่กับฝันลมๆ แล้งๆ แล้วก็รอคอยอย่างมีความหวัง ต่อให้มันเป็นเรื่องโกหก แต่เขาก็มีความสุขดี ถึงจะไม่สุขมากแต่ก็สุขกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แน่

และเมื่อแอลกอฮอล์ในแก้วค็อกเทลใบที่เจ็ดไหลลงคอ โลกก็เริ่มหมุน จริงๆ แล้วเขาไม่ใช่คนคออ่อน แต่เพราะยังช็อกกับเรื่องคีลและอยู่ในคุกมานานทำให้ไม่ค่อยได้แตะเครื่องดื่มพวกนี้ก็ทำเอาเขาเปลี้ยไปเหมือนกัน

ไมล์ที่อยู่ข้างๆ เลื่อนมือมาประคองไม่ให้เอลเลียตล้ม ถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย หากสัมผัสที่แตะลงบนตัวเอลเลียตแฝงด้วยความหมายบางอย่าง

"เป็นอะไรรึเปล่าครับ คุณ"

เอลเลียตที่รู้แนวทางเกมแบบนี้รีบพยุงตัวลุกขึ้นด้วยตัวเอง ถ้าเขาอยากเล่นด้วยล่ะก็ เขาคงโอนอ่อนให้อีกฝ่ายลากเขาเข้าโรงแรมไปแล้ว แต่นี่เขาไม่มีอารมณ์แม้แต่จะเล่นกับใคร

"ไม่ ผมไม่เป็นไร"

แล้วอยู่ๆ ก็มีแรงกระชากไหล่เขาไปด้านหลังอย่างแรง เอลเลียตหันกลับไปมองก่อนจะต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นสีหน้าเหมือนจะฆ่าคนได้ของคีล

"ขอโทษที่ขัดจังหวะนะครับ" พูดเสียงเย็นเยียบทีเดียว "แต่ผมคงต้องขอรบกวนเวลาสักหน่อย พอดีว่ามีเรื่องที่ต้องพูดกับแขกคนนี้ของผม"

แล้วเอลเลียตก็โดนร่างสูงลากขึ้นไปบนชั้นสองที่มีลักณะเหมือนบ้านทั่วไปคือแบ่งเป็นห้องนอนหลายห้อง คีลดันเขาเข้าไปในห้องหนึ่ง ภายในห้องมืดสนิทจนแทบมองอะไรไม่เห็น มีเพียงแสงจากภายนอกที่สาดส่องเข้ามาพอให้เอลเห็นสีหน้าถมึงทึงของอีกฝ่ายที่ดันเขาไปติดผนังห้อง ยันแขนเอาไว้ด้านบนราวกับจะล็อกไว้ไม่ให้เอลหนีไปไหน

นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้เห็นคีลทำหน้าโกรธขนาดนี้ ครั้งสุดท้ายที่คีลสีแววตาเกรี้ยวกราดขนาดนี้คงเป็นตอนที่อีกฝ่ายจับได้ว่าเขาพยายามจะหนีนั่นแหละ

“คีล” เอลเลียตอ้าปากเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างเผลอตัว แม้จะน้อยใจที่คนตรงหน้าแอบไปมีคนอื่น แต่ความคิดถึงที่สั่งสมมาก็ทำให้เขาอดดีใจไม่ได้ “คุณ--”

คีลสบถออกมาสั้นๆ ปิดปากคู่นั้นด้วยจูบร้อนแรงที่ทาบลงไปอย่างรวดเร็ว เอลเลียตสะดุ้งเฮือก ความสับสนถาโถมเข้ามา เขานึกถึงตอนที่คีลโอบบ่าของหญิงสาวอีกคนเมื่อครู่แล้วความโกรธก็กลับมาอีกครั้ง เอลเลียตผลักบ่าหนาออกด้วยแรงทั้งหมดที่มี และเมื่อเห็นคีลมองเขามาด้วยสีหน้าตกใจระคนขุ่นเคือง เอลเลียตก็แทบจะถึงจุดเดือด

หมอนี่มีสิทธิ์อะไรมาโกรธเขาวะ… ในเมื่อตัวเองแอบไปมีคนอื่นโดยไม่บอกให้เขารู้

“คุณทำบ้าอะไรของคุณ” คีลถามกลับอย่างงุนงง

“ผมต่างหากที่ต้องถามแบบนั้น” เอลเลียตย้อนกลับด้วยน้ำเสียงเดือดจัด “คุณทำบ้าอะไรของคุณ คิดจะทำร้ายกันไปถึงเมื่อไหร่”

“ผมผิดตรงไหนที่จะโกรธถ้าเห็นแฟนตัวเองไปยืนจู๋จี๋กับผู้ชายคนอื่นแบบนั้น”

“แล้วทีคุณล่ะ! แอบไปมีผู้หญิงคนอื่นลับหลังผมนี่ผิดน้อยมากเลยใช่ไหม”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้นอย่างสับสน “เอลเลียต คุณพูดอะไรของคุณ”

“อย่ามาทำไขสือ! ” เอลเลียตแทบจะกระทืบเท้าเร่าๆ อยู่แล้ว “ผมเห็นนะที่คุณควงกับบอสของคุณในงานน่ะ แล้วไหนจะยังแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายนั่นอีก คุณคิดว่าผมโง่นักรึไงที่จะไม่รู้ความหมายของอะไรพื้นๆ แบบนี้ คุณคิดจะหลอกผมไปจนถึงเมื่อไหร่ คีล คุณปล่อยให้ผมมีความหวังอยู่ในคุกนั่นแต่กลับทรยศกันอย่างเลือดเย็นแบบนี้งั้นเหรอ จิตใจคุณแม่งทำด้วยอะไรวะ!? ”

ในที่สุดคีลก็รู้แล้วว่าเรื่องมันไปผิดพลาดตรงไหน ชายหนุ่มรีบแก้ความเข้าใจด้วยการรวบตัวคนผมน้ำตาลที่โกรธจนหน้าแดงมากอด

“เอล คุณเข้าใจผิด”

“เข้าใจผิดบ้าอะ---! ”

“ชู่ คนดี มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ที่คุณเห็นนั่นมันเป็นแค่การแสดงละคร”

ถึงตรงนี้ เอลเลียตก็ชะงักกึก ถึงมันอาจจะเป็นแค่คำโกหก แต่หัวใจเขากลับเชื่อคำพูดของชายหนุ่มตรงหน้าไปหมดใจแล้ว

“คุณ… คุณว่าไงนะ? ”

“ผมกับเคลลี่ เราไม่ได้มีอะไรกัน” คีลพูดย้ำ สบตาเอลเลียตนิ่ง “นี่เป็นแค่การจัดฉากของทีมผมเท่านั้น เราพยายามหาตัวคนร้ายที่บุกปล้นงานจิตรกรรมแล้วก็ภาพรูปวาดราคาแพงอยู่ แต่รายละเอียดปลีกย่อยน่ะช่างมันเถอะครับ เอาเป็นว่าที่ผมกับเคลลี่เล่นเป็นสามีภรรยากันก็แค่บทที่เตี๊ยมกันไว้เท่านั้น”

“สามีภรรยาเลยเหรอ? ”

คีลทำหน้าหน่าย “คุณได้ฟังที่ผมพูดไหมว่าแค่เล่นละครน่ะ”

“แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าคุณพูดจริง”

คีลแสร้งถอนหายใจ ส่ายหน้าเหมือนเอือมระอา จากนั้นก็ดึงแหวนที่อยู่บนนิ้วออก โยนมันไปอีกทาง เอลเลียตมองตามก่อนจะสะดุ้งอีกรอบเมื่ออีกฝ่ายประกบริมฝีปากลงมาอย่างดุดันและโหยหา คีลกดจูบซ้ำลงมาเรื่อยๆ ราวกับจะบดริมฝีปากเขาให้แหลกเป็นจุณ

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดยังไงให้คุณเชื่อดี” เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหูขณะที่เอลเลียตสูดอากาศหายใจเข้าปอดอย่างเร่งด่วน “ให้ร่างกายผมตอบคำถามคุณเองแล้วกัน”

เอลเลียตไม่มีแม้แต่จังหวะจะเปิดปากบอกให้คีลหยุด ร่างสูงกระชากตัวเขาไปบนเตียงที่ผ้าปูและผ้าห่มต่างๆ เรียบสนิท จากนั้นก็โถมตัวขึ้นคร่อมเอลเลียต กระชากเสื้อผ้าของคนด้านล่างออกอย่างบ้าคลั่ง

คนผมน้ำตาลรับจูบที่กดทับลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอทำท่าจะเบือนหน้าหนีเพื่อพูดอะไร มือหนาก็ดึงหน้าเขากลับมาประกบปิดปากต่ออีก ลิ้นร้อนที่จาบจ้วงเข้ามาหาความหวานทำให้เอลเลียตตัวสั่น อารมณ์ความรู้สึกหลากหลายที่สั่งสมมานานเหมือนจะปะทุออกได้ทุกเมื่อ

รู้ตัวอีกทีเขาก็กำลังถอดเสื้อของอีกฝ่ายออกอย่างเร่งร้อนเหมือนกัน จังหวะที่คีลเบียดกลางร่างลงมาบนต้นขา เอลเลียตรับรู้ถึงความร้อนและแรงแข็งขืนของส่วนนั้น มันทำให้หน้าเขาร้อนวูบ เหมือนคีลจะอยากให้เขารับรู้ว่าตัวเองต้องอดกลั้นมามากแค่ไหนในระยะเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมานี่ และตอนนี้เขาก็ต้องชดใช้ที่ปล่อยให้ร่างสูงรอแล้ว

กางเกงถูกกระชากออกไปกองบนพื้น แก่นกลางที่ถูกสอดใส่เข้ามาอย่างแรงทำให้ร่างที่บางกว่ากระตุก เมื่อความเจ็บแรกผ่านไป ความเสียวซ่านก็เข้ามาแทนที่

เอลเลียตเอื้อมมือไปจิกนิ้วลงบนแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายจนเล็บกินเนื้อเข้าไป เขาครวญครางในลำคอเพราะคีลคอยแต่จะประกบจูบลงมาปิดปากเขาอยู่เรื่อย เหงื่อของเขาที่ผุดขึ้นมาทั่วลำตัวปนไปกับหยาดเหงื่อของอีกฝ่ายที่เคลื่อนร่างเข้ามาจนผิวเนื้อแนบชิด

มันเป็นการร่วมรักที่เร่าร้อนและเร่งรีบ มันเกือบทำให้คนผมน้ำตาลคลั่งตอนที่คีลโหมสะโพกกระแทกลงมาโดยไม่ฟังเสียงค้านของเขา

และเมื่อถึงฝั่งกันได้คนละรอบ ในที่สุดคีลก็ยอมผละร่างออกจากตัวของเอลเลียตแล้วหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่อย่างรีบร้อน เอลเลียตทำแบบเดียวกันพร้อมกับหายใจระรัวไปด้วย

“ให้ตายเถอะครับ เอล” ในที่สุดคนที่ยังอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ก็ครางออกมาเหมือนเหนื่อยอ่อนหลังจากที่จัดแจงใส่เสื้อผ้าให้ตัวเองได้เกือบเสร็จ “ผมกำลังปลอมตัวให้คนร้ายตายใจอยู่แท้ๆ เชียว คุณไม่น่าทำเสียเรื่องเลย”

“ผมเหรอ? ” เอลเลียตทำตาโต “ขอโทษเถอะ เป็นคุณต่างหากที่ฉุดผมขึ้นเตียงเมื่อกี้”

“ก็คุณทำให้ผมตบะแตก” พูดพร้อมกับเริ่มจัดทรงผมของตัวเองให้เข้าที่ “ไม่นึกว่าคุณจะบุกมาถึงที่นี่ ผมตั้งใจว่าจบงานนี้จะรีบกลับไปหาคุณที่อัลไพน์แท้ๆ ”

“ก็คุณแม่ง… เล่นไม่ติดต่ออะไรมาเลย” เอลเลียตพูดน้ำเสียงน้อยใจ “แถมพอผมมาถึงก็เจอคุณหนุงหนิงกับเคลลี่อีก เป็นผมรึเปล่าที่ต้องตบะแตกน่ะ หือ? ”

“ก็เลยไปอ่อยไอ้ผู้ชายคนเมื่อกี้หรือไงครับ”

“ผมเปล่าอ่อย! ” แค่มันส่งเหล้ามาให้เท่าไรๆ ก็ดื่ม “แค่กำลังเสียใจเพราะนึกว่าโดนคุณหลอก ผมเกือบจะร้องไห้ด้วยนะตอนที่เห็นแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายคุณ”

คีลดึงตัวคนรักเข้ามาจูบขมับราวกับต้องการจะปลอบ

“ขอโทษครับ คนดี ผมไม่ได้ตั้งใจให้คุณเสียใจเลย ยกโทษให้ผมนะ”

“ก็ได้ครับ” เขามันใจง่ายมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วนี่ “แต่คุณต้องจูบผมก่อน”

คีลยกยิ้มมุมปากก่อนจะก้มหน้า ทำตามคำขอของเอลเลียตอย่างว่าง่าย และตอนที่ร่างสูงรับรู้ถึงความอ่อนนุ่มของริมฝีปากอีกฝ่าย เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงอุทานอย่างตกใจของบอสของเขาทันที

“ว้าย! ตายแล้ว อะไรกันคะเนี่ย!? ”

ทั้งคู่ผละออกจากกันแทบไม่ทัน และเมื่อหันกลับมา ทั้งสามคนก็มีสีหน้าอีหลักอีเหลื่อพอๆ กัน

“ให้ตายเถอะ วิลล์” หญิงสาวหน้าแดงขึ้นด้วยความอายระคนโกรธ “ทีแรกฉันก็ว่าจะด่าคุณเรื่องที่เกือบจะทำแผนเราพัง แต่ฉันเปลี่ยนใจแล้ว อธิบายมาเดี๋ยวนี้นะคะว่านี่มันเรื่องอะไรกัน”

ถึงตรงนี้เอลเลียตก็หน้าแดงไปถึงหลังหู คีลไม่ได้ล็อกประตูไว้หรอกเหรอ… แล้วถ้าเคลลี่หรือใครคนอื่นเปิดมาเจอพวกเขาตอนกำลังดุเดือดกันอยู่บนเตียงเมื่อกี้...

โอ๊ย ไม่อยากจะคิด!




-------------------------------------------------------
Talk: จบแล้วค่า >w< ยังเหลือบทส่งท้ายอีกบทเนอะ เดี๋ยวเอามาลงให้วันสิ้นปีนะคะ จะได้ปิดท้ายปีกันสวยๆ (?) แฮ่ๆๆ ฝากติดตามกันถึงตัวอักษรสุดท้ายเลยนะ! XD

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
เจนนิเฟอร์เปิดมาเจอแล้วไงต่ออ่า ค้างง ไรท์ขาขอต่ออีกนิดด // ขอบคุณนะคะที่เขียนนิยายสนุกๆให้อ่าน

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
555 มีเขวระหว่างงาน

ออฟไลน์ ทันฌะ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอยยยยยยย  :m25: :jul1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทส่งท้าย




คนผมน้ำตาลกำลังยืนอยู่ที่ยอดผาแห่งเดิม ที่เดียวกับที่คีลได้มอบปลอกคออันแสนล้ำค่าที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปจากบทหนึ่งไปสู่อีกบทหนึ่ง อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่เขารู้สึก

เอลเลียตหันกลับไปมองอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับน้ำอัดลมกระป๋องที่ไปเอามาจากรถ ส่งให้เขากระป๋องหนึ่ง ของตัวเองกระป๋องหนึ่ง

ชายหนุ่มเขย่งเท้าขึ้นไปหอมแก้มร่างสูงเป็นเชิงขอบคุณ เปิดกระป๋องแล้วยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ คีลลงมือเปิดกระป๋องของตัวเองเงียบๆ ขณะที่เอลเลียตร้องฮ้าออกมาอย่างชื่นใจจากสิ่งที่เพิ่งได้ดื่ม

“ลมเย็นดีจังเลย คุณว่าไหม” พูดพร้อมกับหันไปยิ้มหวานให้คนข้างตัว

“ก็ดีครับ”

“นี่ ไม่เอาน่า คีล ทำไมขรึมงั้นล่ะครับ ที่รัก” เอลเลียตว่าพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิกแก้มใบหน้าคมทีหนึ่งอย่างมันเขี้ยว

เรื่องของเรื่องก็คือ หลังจากที่โดนเคลลี่จับได้วันก่อน คีลก็โดนเรียกไปสวดยับโทษฐานที่ทำอะไรม่สมควรระหว่างปฏิบติหน้าที่ เอลเลียตคิดว่าเจ้าหล่อนคงดุเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนด้วย แต่คีลก็ไม่ได้เล่าให้เขาฟังละเอียดตามประสาคนปากหนัก และจบท้ายเรื่องทุกอย่างด้วยการที่เจ้าตัวโดนพักงานไปสองอาทิตย์

เลยพาเขามาเที่ยวได้แบบนี้ไงล่ะ ฮ่าๆ ๆ

“ว่าแต่คนพวกนั้นขอให้คุณพักงาน แล้วเขาจะจับตัวคนร้ายได้เหรอ ไม่ใช่ว่ากำลังไปได้สวยจากการเล่นละครของคุณกับของเคลลี่อยู่หรือไง? ”

“ครับ เราได้เบาะแสกับหลักฐานหลายอย่างมาแล้ว เหลือแค่รวบตัวเท่านั้น”

เอลเลียตเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งกับท่าทีสบายๆ ของอีกฝ่าย “ดูคุณไม่เดือดร้อนเท่าไรนะ? ”

“จะเดือดร้อนทำไมล่ะ ทีมผมเขาก็มืออาชีพกันทุกคน” พูดพร้อมกับเลื่อนมือไปกุมมือขอเอล “อีกอย่าง… ได้เวลาหยุดมาเที่ยวกับคุณแบบนี้ก็ได้จังหวะดี ผมว่ามันก็ไม่เลวนักหรอกครับ”

“ดีใจจังที่ได้ยินคนบ้างานแบบคุณพูดแบบนั้นบ้าง” เอลเลียตว่าพร้อมกับหัวเราะร่วน ไหวตัวเล็กน้อยเมื่อมือหนาดึงตัวเขาไปกอดแน่นแนบอก คนผมน้ำตาลหน้าเห่อร้อนขึ้นมาทันที ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเองประสานไปกับจังหวะหัวใจของอีกฝ่าย คีลก้มหน้าลงมาบนบ่าเขาจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น

“ผมคิดถึงคุณ เอล”

เอลเลียตคลี่ยิ้มทั้งที่หน้ายังแดง มือลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

“ผมก็อยู่นี่แล้วไงครับ”

“คุณไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลยว่าที่อยากได้เงินเยอะขนาดนั้นเพราะอยากจะช่วยแม่ของคุณ”

เอลเลียตชะงักไปด้วยความตกใจ คีลเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา

“แล้วคุณก็อยากช่วยไม่ให้บ้านสงเคราะห์นั่นต้องหายไปด้วยใช่ไหม ที่นั่นมีปัญหาทางด้านการเงินหนักมากจนแทบจะปิดตัวลง แถมนาตาเลีย โจนส์ก็ล้มป่วยอย่างหนักแล้วต้องใช้เงินรักษาตั้งไม่รู้เท่าไร”

“ผม… ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร” เขารู้สึกว่าเลือดตัวเองเย็นเฉียบ ไม่ต้องการให้คนในครอบครัวนั้นมาเกี่ยวข้องกับคดีของเขาเอง “คุณเข้าใจผิด--”

“ผมสืบมาหมดแล้ว เอล คุณเอาเงินก้อนที่ได้ทั้งหมดจากที่ปล้นธนาคารในส่วนของตัวเองไปให้ไอแซค โจนส์ใช่ไหม คุณทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือครอบครัวนั้นพร้อมๆ กับทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้มีใครรู้ว่าเงินนั่นมาจากการปล้นธนาคาร”

“ทุกคนไม่รู้เรื่อง--”

“ผมรู้ เอล ผมจะไม่ทำอะไรกับเรื่องนั้นหรอก คุณชดใช้ทุกอย่างไปแล้ว ถึงเวลาที่คุณต้องเป็นอิสระแล้วมีความสุขเสียที คุณผ่านเรื่องหนักๆ มามากพอแล้ว”

นัยน์ตาสีฟ้าช้อนขึ้นมามองคนพูดด้วยความรู้สึกหลากหลาย หางตาเริ่มแดงจนคีลต้องไล้ปลายหัวแม่โป้งไปสัมผัสแผ่วเบา

“คุณสืบเรื่องของผมมา”

นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม

“ผมรู้ ผมขอโทษ เอล แต่ผมทนไม่ได้ที่คุณไม่ยอมเล่าอะไรให้ผมฟังเลย ผมเป็นแฟนคุณ ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจหรืออยากจะจับผิด ผมก็แค่อยากรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณเท่านั้น ขอโทษนะครับถ้ามันทำให้คุณรู้สึกอึดอัด”

“งั้น… คุณก็รู้สาเหตุที่ทำให้ผมโดนเตะโด่งออกจากบ้านสงเคราะห์นั่นแล้ว? ”

คีลไม่ตอบ แต่เอลเลียตรู้คำตอบดี เขาเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายหากแขนแกร่งยังโอบรัดรอบตัวเขาแน่น

“พระเจ้า คีล” เสียงของคนในอ้อมแขนสั่นเครือ “ผมหวังว่าคุณจะไม่รู้เรื่องนั้น ทำไมคุณต้องไปสืบหาด้วยนะ”

ร่างสูงเงียบไป เขาเห็นบ่าที่เริ่มสั่นของเอลเลียตจากด้านหลัง

“คุณอายเหรอ เอล”

เอลเลียตส่ายหน้า “ผมว่ามันน่าสมเพช”

“มันไม่ใช่ความผิดคุณคนเดียวสักหน่อย”

“คุณนึกไม่ออกหรอกว่ามันเป็นยังไง” แม้จะมองไม่เห็น แต่คีลก็รับรู้ได้ว่าเอลเลียตกำลังร้องไห้ คนผมน้ำตาลส่ายหน้ารัวๆ “ผมเป็นเด็กที่โดนพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ แล้วยังโดนครอบครัวที่เคยยอมรับผมเข้าไปอยู่ด้วยทิ้งอีก”

คีลดึงเอลเลียตเข้ามากอดแนบอกอีกครั้ง หันหน้าอีกฝ่ายกลับมาเพื่อปาดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน คนผมน้ำตาลเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น

“มันเหมือน… ไม่รู้สิ เหมือนไม่มีใครต้องการคุณ แล้ววันหนึ่งคุณก็ค้นพบด้วยว่าตัวเองก็ไม่ต้องการใครเหมือนกัน”

“ผมต้องการคุณ เอล” พูดพร้อมกับจูบปากอีกฝ่ายเบาๆ ดึงตัวเอลเลียตเข้าไปกอดแนบอกอีกครั้ง “ผมต้องการคุณจริงๆ คุณมีค่าสำหรับผมมากนะ”

เอลเลียตไม่พูดอะไรตอบ ไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่า เขาเลยทำแค่กอดอีกฝ่ายตอบแรงขึ้น

“ผมไม่เข้าใจจริงๆ ” เอลเลียตพูดออกมาหลังจากที่เงียบกันไปนาน “ผมทำดีอะไรมาถึงได้คุณมาเหรอ คีล”

คีลหัวเราะเบาๆ ไม่พูดอะไรตอบ

ร่างสูงคลายอ้อมแขนเพื่อได้มองหน้าเอลเลียตชัดๆ ยกนิ้วเลื่อนปอยผมสีน้ำตาลที่ปรกหน้าอยู่ออก น้ำตาเหือดไปจากหน้าของเอลแล้วแต่ยังมีคราบจางๆ ให้เห็น เขาเคลื่อนใบหน้าต่ำลงเพื่อจูบอีกฝ่ายอีกครั้ง

“คุณกำลังฆ่าผมอีกแล้วนะ” เอลเลียตว่ายิ้มๆ ขณะปิดเปลือกตาลง ที่ร้องไห้ออกมาไม่ทันตั้งตัวเมื่อกี้ทำเอาปวดตาหมด

“ผมรู้ว่าคุณชอบให้ผมทำแบบนั้น”

“ฆ่ากันเบาๆ หน่อยก็ได้นะครับ”

“แบบที่คุณต้องการเลย เอล”

คีลประทับจูบลงมาอีกครั้งอย่างแผ่วเบา


- Fin -





-------------------------------------------
Talk: สุขสันต์วันสิ้นปีและสุขสันต์วันปีใหม่ล่วงหน้าค่ะทุกคน XD

เอาบทส่งท้ายมาส่งท้ายปีสวยๆ 

ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามคีลเอลมาตลอดนะคะ เรื่องนี้จะออกกับสนพ. รักคุณในช่วงงานหนังสือเดือนมี.ค. ค่ะ ถ้ารายละเอียดชัดเจนกว่านี้จะมาแแจ้งให้ทราบนะคะ

ท้ายสุดนี้ขอฝากนิยายเรื่องที่เรากำลังเขียนค้างอยู่ >>Faded Fog หมอกเลือนรัก, Love Simulator เกมรักทดลองใจ

โดยเรื่องหมอกเลือนรักเป็นซีรี่ย์เดียวกับจุมพิตอันธการกับที่รักพรางใจค่ะ ส่วนเกมรักทดลองใจเป็นเรื่องแรกที่เราเขียนแนวฟีลกู้ด ถ้าใครสนใจก็ลองเข้าไปอ่านกันได้ค่ะ

ขอให้ทุกคนมีวันสิ้นปี/ปีใหม่ที่ดีนะคะ ^^ แล้วเจอกันปีหน้าค่ะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ใจหายเลยตอนคีลมีแหวนที่นิ้ง ถึงจะคิดไว้แล้วว่ามีอะไรผิดพลาด นึกว่าจะได้รักกันแบบหนีตำรวจโดนล่าสุดขอบฟ้าอะไรแบบนี้ 5555555 ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆอีกเรื่องนะคะ และสวัสดีปีใหม่ด้วยค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ idee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2

เพิ่งมาตามอ่านตอนหลังๆ แต่ก็ติดหนุบหนับ ชอบภาษา ชอบการบรรยาย ชอบเอล <3
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะคะ

ออฟไลน์ Premo1492

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ pitiatah_hp

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ นะคะ ชอบมากเลย  :-[

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
สนุกมากกกค่ะ เรื่องนี้เรียลมาก ลุ้นเหมือนตัวเองอยู่ในฉากทุกตอนเลย ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ pp.ll.ee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คือดี ชอบเอล ชอบคีล ชอบทุกตัวละคร ชอบเนื้อเรื่อง ชอบทุกอย่างงงงงง
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้นักอ่าน อ่านกันนะคะ

ออฟไลน์ ReiSei

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-5
ฮื้ออออ จบแล้ว ของเค้าดีจริงๆนะเรื่องนี้ พูดได้เต็มปากว่าเป็นนิยายวายคุณภาพที่สุดเรื่องนึงเลย ดี๊ดีอะะะ

ออฟไลน์ КίmY

  • BJYX♥
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-3
อ่านแล้วติดอ่ะ ชอบบบบบ   :m1:
 :L2: :pig4: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 734
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
สนุกมากค่ะ ชอบเอลมาก
เคะราชินีที่แท้จริง สตรองสุดๆ
ชอบโมเม้นท์ที่อยู่กับลีโอ
เป็นคู่ที่เคมีเข้ากันมากๆ
ชอบลีโอ ป้ายไฟลีโอรัวๆ
อยากให้มีเรื่องของลีโอบ้าง
เป็นตัวร้ายที่เกลียดไม่ลงจริงๆ
หวังว่าคนเขียนจะเห็นใจตัวละครนี้นะคะ

ออฟไลน์ FullFong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบ อ่านๆไปรู้สึกเหมือนตอนดูซีรีย์สืบสวนสอบสวนของฝรั่ง ต่างก็ตรงที่วาย พระ/นายละมุนมาก ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ เป็นกำลังใจให้ในการแต่งนิยายดีๆเรื่องต่อๆไปนะ :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด