ตอนที่ 13: สายลมหยอกเย้า ใจจริงผมไม่ได้อยากจะทำแบบนี้ แรกเริ่มเดิมทีผมแค่อยากเป็นเพื่อนกับเขา
แต่เขาบังคับให้ผมต้องทำ เขาเป็นคนเริ่มก่อน
สองคิดว่าผมจะไม่สังเกตรอยแดงๆตามคอของเขา
ตามมือ ซอกแขน ทุกครั้งที่เขากลับจากไปพักที่ขอนแก่น
หรือทุกครั้งที่พี่กฤษณ์มาหา
พวกเขาเป็นคนรักกัน
ผมรู้ตั้งเเต่วันเเรกที่ได้เห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกัน
มันทำให้ผมโกรธ
ผมไม่อาจยอมรับไอ้คนที่มาเป็นคนรักของสองได้
มันไม่มีอะไรคู่ควร..มันเเทบไม่มีอะไรต่างจากผม
เด็กกำพร้าเหมือนกัน ได้รับการอุปการะเหมือนกัน
ผมยอมรับไม่ได้
ลึกๆแล้วเจ็บปวดรวดร้าวทุกครั้งที่ต้องยอมรับความจริงว่า จริงๆคนอย่างผมก็เป็นคนรักของเขาได้
โดยไม่ต้องมีสถานะเท่าเทียม
แล้วที่ผมพยายามดิ้นรนทั้งหมดมันเพื่ออะไรกันเล่า
เมื่อสิ่งที่พยายามทำมา สิ่งที่คิดว่าเป็นเป้าหมาย มันหายไปกับตา
เคว้งคว้าง..เคว้งคว้างเหลือเกิน
ผมที่ไม่มีอะไรให้ยึดเหนี่ยวมากนัก
แตกหัก และไม่อาจต่อได้อีก
................................
"นั่งเหม่ออะไรอยู่วะ"
เสียงทุ้มๆของเจ้าของไร่ดังขึ้นข้างหลัง ...ไอ้คนที่ผมไม่อยากจะเจอที่สุด
ผมมาทำงานที่ไร่ได้เกือบสองอาทิตย์กว่า ได้รับการดูแลอย่าง..เกือบจะเรียกว่าดี ได้ จากชายคนนี้
คนรักของสอง..พี่กฤษณ์
ผมไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ มีความเป็นผู้ชายและมีน้ำใจอย่างยิ่ง
เขาเป็นคนซื่อตรง เป็นคนดี เป็นผู้ชายประเภทที่คุณเดาได้เลยว่าตอนเด็กๆเขาต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มเด็ก
เป็นฮีโร่ของเพื่อนๆในห้อง..เป็นคนที่รักความยุติธรรมและจะไม่มีทางรังแกคนที่อ่อนแอกว่า
คนที่ดูเหมือนเส้นแบ่งระหว่างฐานะชาติกำเนิดจะทำอะไรเขาไม่ได้
คนอย่างเขาจะไม่มีวันได้รับการเหยียดหยามแม้จะเป็นเด็กกำพร้าเหมือนกันกับผม
..เขาเป็นคนประเภทที่ผมเกลียด
ผมซ่อนความเกลียดชังในดวงตาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปยิ้มให้เขา
"เปล่าพี่ คิดถึงบ้านนิดหน่อย"
ผมพูดไปให้เหมือนคนปกติเมื่อเวลาไกลบ้าน..ทั้งๆที่จริงๆแล้ว สิ่งที่ผมเรียกว่าบ้านได้ เป็นเพียงคฤหาสน์หรูหราที่ใช้เงินสกปรกซื้อ ซึ่งผมจะไปนอนบ้านก็ต่อเมื่อรู้ว่าสองจะมาหาในวันถัดไปเท่านั้น..
ผมแค่อยากทำให้เขาประทับใจ
หรือไม่ก็รู้สึกสบายใจ..เพราะอยู่ในบ้านที่มีขนาดใหญ่พอๆกับบ้านของเขา
ผมไม่รู้ว่าคนรวย'จริงๆ'เขาคิดกันยังไงหรอก
ผมเดาไว้ก่อนว่าสองน่าจะพอใจ น่าจะสบายใจเมื่ออยู่'บ้าน'ผม
"อ้อ เรอะ.."
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะเดินมานั่งข้างๆผม
"บ้านที่อยู่กับคุณเกรียงนะเหรอ.."
ผมเลิกคิ้ว ..พี่กฤษณ์คงคิดว่าคุณเกรียงเป็นเหมือนตาลุงที่ชื่อชัยนั่น..
นายท่านรับอุปการะผม แต่ไม่ได้รับเลี้ยงดูเป็นลูก.. เขาให้เงิน ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผมได้มีการศึกษาที่ดี
ผมตอบแทนเขาด้วยการเป็นคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์
และคนรับใช้ไม่เคยพักบ้านเดียวกับเจ้านาย
ผมรู้สถานะตัวเองดี
นายท่านก็รู้
"เปล่า..บ้านของผมจริงๆน่ะ"
ผมพูดแค่นี้เพราะไม่อยากต่อความยาว ดูเหมือนว่าพี่กฤษณ์จะไม่ใช่คนพูดมาก
เขาทำเพียงแต่นั่งเงียบๆอยู่ข้างๆผม
"มึงรู้ไหม..ไฟไหม้ครั้งนี้ กูว่ามันเป็นอีกหนึ่งบททดสอบ"
อยู่ๆพี่กฤษณ์ก็พูดขึ้นมาถึงเรื่องไฟไหม้..ท่ามกลางความเงียบ
ไม่มีทางหรอกน่า..เขาไม่มีทางรู้
ผมทำงานอย่างฉลาดและรอบคอบเสมอ
แผนการทุกอย่างของผมมีแผนสำรอง..และหากบังเอิญเขารู้ขึ้นมาจริงๆ
เขาก็จะหาหลักฐานมาไม่ได้
สิ่งที่ผมต้องทำก็แค่ตีหน้าซื่อ
มันเป็นงานถนัดของผมอยู่แล้ว ผมจึงไม่กังวลมากนัก
แต่พี่กฤษณ์ไม่ได้คาดคั้นเรื่องไฟไหม้ต่ออย่างที่ผมคิด ดวงตาเขาเหม่อไปไกล เหมือนคิดถึงอดีต
"พ่อแม่กูเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ตอนนั้นกูก็เหลือแค่ตัวกูกับน้องสองคน.."
"กูที่ตอนนั้นอยากร้องไห้แทบตาย พอเห็นน้ำตาของน้อง ก็คิดขึ้นมาได้ว่าจะต้องเข้มเเข็ง..ก็ถ้ากูร้องไห้แล้วใครจะปลอบยัยแก้วล่ะวะ.."
"กูถูกลุงชัยรับมาเลี้ยง แต่ก็อย่างที่มึงเห็น กูต้องช่วยทุกอย่าง กูทำงานทุกอย่างในไร่เท่าที่จะทำได้..ลุงชัยแกก็ดี แต่ไม่มีใครให้ความรู้สึกเหมือนพ่อ ไม่มี"
อย่างน้อยพี่กฤษณ์ก็เคยรับรู้ความรู้สึกของการมีพ่อ ผมไม่มี
ผมไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากใครทั้งนั้น ไม่มีพ่อ ไม่มีเเม่
ไม่มีคำดุด่ากวดขัน แต่ก็ไม่มีคำชมเชยด้วยความรักเช่นกัน
ถ้าพี่กฤษณ์เคยได้รับความรู้สึกนั้นแล้วว่างเปล่า เขาก็เหมือนคนที่มีแก้ว แต่ไม่มีน้ำ
ผมผู้ซึ่งไม่เคยได้รับแม้แต่ความรู้สึกประเภทใด ผมเหมือนคนที่ไม่มีแม้แต่เเก้วที่จะใส่น้ำ
"กูว่าเราเหมือนกัน"
ไม่ เราไม่เหมือน
ผมคิด จ้องมองเขาด้วยสายตาที่เเท้จริงเป็นครั้งแรก
ความโกรธ ความเกลียด ความอิจฉาริษยาและอารมณ์บางอย่างผสมปนเปกันไป
แต่สายตาที่มองกลับมา..
มีแต่ความอ่อนโยน แววตาจริงจังและซื่อตรง
เขาเหมือนกำเเพงที่จะโอบรับสิ่งที่ผ่านเข้ามา
บางอย่างปะทุขึ้นในตัวผม
ราวกับจะระเบิด...ผมเจ็บปวด ผมต้องการใครสักคน
ใครสักคนที่จะมารับความเจ็บปวดนี้ไว้
แบ่งมันไป
"เราไม่เหมือน"
ผมพูด ไม่หลบสายตาอีกต่อไป
พี่กฤษณ์เลิกคิ้วมอง
"พี่เคยมีพ่อ ผมไม่มี ผมไม่เคยได้รับแม้แต่ความรักด้วยซ้ำ แล้วไอ้ไร่ลวงโลก ชีวิตชนบทแบบนี้ ผมก็ไม่มี
ผมไม่ได้เรียนโรงเรียนจนๆตามมีตามเกิด แต่เรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุด ผมโดนดูถูก โดนด่า โดนแกล้งเพราะเป็นเด็กกำพร้าจนๆ ในโรงเรียนพวกคนรวย แต่พี่ไม่เคย เราไม่เหมือนกัน ..อย่ามาพูดว่าพี่เหมือนผมอีก"
ผมพูดด้วยความเร็ว รู้สึกร้อนผ่าว ..ผมไม่ได้พูดตามความรู้สึกจริงๆมานานแค่ไหนแล้วนะ..
"ไม่เหมือนก็ไม่เหมือน"
ร่างสูงพูดก่อนจะเอนตัวลงกับเเคร่ไม้
อ้าว...พี่ยอมรับง่ายขนาดนั้นเลยเรอะ..
"กูเคยโดนแกล้งเพราะเป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน"
อยู่ๆพี่กฤษณ์พูดขึ้น ผมมอง ไม่อยากจะเชื่อ
"แต่กูไม่เคยยอมเเพ้เพราะแค่กูเป็นเด็กกำพร้า"
"กูไม่เคยยอมให้ใครมารังแก ตอนเด็กๆถ้าใครแกล้งกู มันจะเจอหนักกว่ากูสิบเท่า..
กูเป็นคนแบบนั้นแหละ"
พี่กฤษณ์จ้องหน้าผม นัยตาแฝงความหมายบางอย่าง
"กูไม่ใช่คนดีอะไร แน่นอน กูขาดอะไรตั้งมากมาย กูอิจฉาคนที่มีครอบครัวเพียบพร้อม อิจฉาคนที่มีทุกอย่างที่เขาต้องการ"
ผมนิ่ง..ผม..ผมก็เหมือนกัน..หรือเปล่านะ..ผมไม่อยากยอมรับนักว่าอิจฉาพวกมัน แต่คนตรงหน้ากลับพูดบางอย่างออกมาได้อย่างซื่อตรง..ซื่อตรงเหมือนกับดวงตาของเขา
ดวงตาที่ดูเหมือนจะมองทะลุตัวตนของผม
"มึงรู้ไหมในช่วงชีวิตวัยรุ่น มีอยู่ช่วงหนึ่งกูพยายามจะเข้าสังคมกับพวกคนรวยๆ ใช้ชีวิตโก้หรู ทำทุกอย่างแบบคนรวยเขาทำกัน ตอนสมัยนั้นกูอยู่กับไอ้หนึ่งมันนั่นแหละ.."
ผมก็ทำ..ผมทำอยู่ ทำเสมอ ..กินอาหารแบบที่คนรวยๆกิน มีบ้านแบบที่คนรวยๆอยู่ สวมเสื้อผ้า ไปฝึกเทนนิส ฝึกกอล์ฟ ฝึกดื่มเเชมเปญ..
"กูทำทุกอย่าง ฝึกทุกอย่าง..ถึงขนาดได้แฟนสาวไฮโซมาด้วย..ถ้าบอกชื่อมึงต้องรู้จักแน่นอน
แต่มันเหนื่อย...มันเหนื่อยมาก"
"กูทำทรงผมเรียบร้อยโก้หรู แต่มันไม่สบายเหมือนผมกระเซิงหลังสระเสร็จ ..กูฝึกวิธีดื่มแชมเปญ..แต่กูก็เสือกหิวก่อนทุกครั้งเมื่อถึงขั้น'ดมกลิ่น' ..กูใส่เสื้อแบรนด์เนมราคาแพง กางเกง เข็มขัด รองเท้า..และกูต้องมาคอยระวังว่ามันจะเปื้อนหรือเปล่า..กูขับรถที่แพงที่สุด รุ่นใหม่ล่าสุด ..แต่ไม่สามารถเรียกมันว่ารถคู่ใจได้.."
ผมฟังพี่กฤษณ์เล่า..เหมือนกับเขากำลังเล่าเรื่องของผมยังไงยังงั้น..
"รู้ไหมวันไหนที่กูได้สติ.."
ผมมองพี่กฤษณ์ เหมือนท้าทายให้เขาต่อเรื่องที่เล่าให้จบ
"เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งนั่นแหละ..แค่กูตื่นเช้า มาส่องกระจก กูก็ได้เห็น"
พี่กฤษณ์หยุดเล่าเรื่อง ..ความเงียบเนิ่นนาน..เขามองดูดาวบนท้องฟ้า
"จบแล้วเหรอพี่?"
"เออสิวะ"
"แล้วพี่เห็นอะไร?"
ผมอดถามไม่ได้ด้วยความสงสัย..มันจะจบได้ไง มึงเล่นเล่าต่อประโยคค้างแบบนี้!
พี่กฤษณ์ขมวดคิ้วมองผม
"มึงส่องกระจก มึงจะเห็นอะไรล่ะ , ถ้าไม่ใช่ตัวเอง"
เราต่างเงียบไปทั้งคู่ พี่กฤษณ์ดูดาวบนท้องฟ้าต่อ ผมครุ่นคิดถึงเรื่องตัวเอง
เมื่อเรามองกระจก การเห็นภาพตัวเองเป็นสิ่งที่ง่าย
แต่การมองเห็นตัวเองจริงๆนั้นยาก..
คุณรู้ใช่ไหมว่าผมหมายความว่าอะไร
ผมเหลือบมองพี่กฤษณ์
บางทีผู้ชายคนนี้อาจไม่ต่างอะไรจากผม
เขาอาจเคยทำผิดซ้ำเเล้วซ้ำเล่าเหมือนกัน เขาอาจเคยอิจฉาริษยาเพื่อนผู้ร่ำรวยเหมือนกัน
เขาอาจเคยพยายามปีนป่ายจนได้มีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน
แต่ทำไมกันนะ..ทำไมแววตา
แววตาของเขาถึงไม่เหมือนคนที่เคยผ่านความเจ็บปวด ความอยุติธรรม ความสิ้นหวัง
ทำไมแววตาของเขาไม่เหมือนผม
"โลกนี้ไม่มีอะไรยุติธรรม"
ผมพูดเบาๆ ..เจ้าของประโยคนี้เป็นคนที่มอบรอยยิ้มซื่อตรงที่สุดให้ผมคนแรก
ประโยคนี้คือแรงบันดาลใจในชีวิตของผม มันผลักดันให้ผมลุกขึ้นทำอะไรหลายๆอย่าง
พี่กฤษณ์พยักหน้า
"แต่มีทางเลือกเสมอ"
ผมมองหน้าเขา
"ผมไม่ชอบให้ใครมาสั่งสอน"
ผมพูดก่อนจะลุกยืนขึ้น เดินกลับที่พัก ..
ในใจไม่อยากยอมรับว่าผู้ชายคนนี้แข็งแกร่ง เขาเข้มแข็งเกินกว่าเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างไฟไหม้จะทำร้ายเขาได้
เป็นตัวของตัวเองเกินกว่าการทำลายภาพลักษณ์จะทำร้ายเขาได้
แต่ความซื่อตรงของเขานี่สิ..
ความเจ้าเล่ห์ของผมจะทำร้ายเขาได้
ทำได้แน่นอน..
ผมคิดในใจด้วยความลิงโลด ไม่สนเสียงเตือนบางอย่างที่ดังขึ้นในหัว
มันบอกว่านี้อาจเป็นทางเลือกที่ผิด..ผมควรมองกระจกเสียที
แต่ผมไม่สน , ผมไม่มีทางเลือก
................................
แผนการขั้นต่อไปของผมคือการทำให้สองเลิกไว้ใจพี่กฤษณ์
เมื่ออยู่ห่างไกลกัน สิ่งหนึ่งที่คนรักกลัว คือการเข้ามาของมือที่สาม..
ผมมีเงิน ผมมีอำนาจ และมีลูกน้องที่คอยรับคำสั่ง การวางแผนนี้ไม่ใช่เรื่องยาก
"พี่กฤษณ์ ที่ขอนแก่นนี้พอจะมีแหล่งเที่ยวกลางคืนไหนแนะนำไหมครับ"
ผมถามขึ้นระหว่างพักกลางวัน
งานของผมเสร็จแล้ว..งานร่างสัญญาซับซ้อนปริมาณมากเสร็จภายในสองอาทิตย์
ผลงานของผมดีเลิศเสมอ และผมรู้ตัวดี
แม้ผมจะเกลียดพี่กฤษณ์ แต่การเล่นตุกติกในสัญญาที่มี'ชื่อ'ผมเป็นคนทำ
ไม่ใช่วิธีที่ฉลาดนัก ผมจึงทำงานอย่างเต็มความสามารถ
แน่นอน ผมมีแผนการมากมายในหัว แต่บางอย่างผมไม่เลือกที่จะทำ
ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนดี
เพียงแต่ผมไม่ใช่คนโง่
สำหรับผมแล้ว เวลาและจังหวะในแผนการสำคัญมาก
ถ้าแผนของผมถูกเปิดเผยหรือถูกจับได้ว่าบงการ
ผมคงไม่สามารถยืนข้างๆเขาได้อีก
ผมจะทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะสกปรกหรือต่ำช้า
ขอเพียงได้อยู่ข้างๆเขาตอนร้องไห้
ได้เห็นใบหน้าตอนนั้น
"มีสิ..หืมม มึงสนใจด้วยเหรอ เห็นมึงเคร่งเครียดทำแต่งาน"
"งานผมเสร็จแล้วนี่พี่..ผมว่างอีกตั้งหนึ่งอาทิตย์"
ผมรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร ผมจะใช้ประโยชน์จากความใจดี ความมีน้ำใจของเขา
"เออมีที่รู้จักอยู่ ของเพื่อนกูเอง เอาเป็นว่าเดี๋ยวกูพาไปละกัน เย็นนี้เลยเรอะ"
นั่นไง..ผมบอกแล้ว!
แต่เย็นนี้ยังไม่ได้..ผมต้องใช้เวลาในการเตรียมการ
"พรุ่งนี้ละกันพี่..เย็นนี้ขอกินข้าวกับลุงชัยก่อน..ว่าแต่ บาร์ชื่ออะไรเหรอพี่"
"บาร์ XXX ดีนะ อยู่ในโรงแรม บรรยากาศดี เหล้าดี สาวสวยๆเยอะ มึงอาจได้เจอคนที่ถูกใจ"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะแซวๆ ผมยิ้ม..ไม่มีวัน ผมไม่มีที่ว่างในใจมากมายนัก และถ้าหากมี มันก็เต็มไปนานแล้ว
พอได้ชื่อบาร์มา ผมก็โทรสั่งให้ลูกน้องไปเตรียมจัดการตามแผน
ส่วนที่เหลือก็ทำเพียงแค่เฝ้ารอให้ถึงเวลาการแสดง..
งานละครที่ยิ่งใหญ่ ที่มีพี่กฤษณ์เป็นนักแสดงนำ ผมเป็นผู้กำกับ
และแน่นอน...มีคุณเป็นผู้ชม
................................
เราเดินทางมาถึงบาร์ XXX พี่กฤษณ์พาผมไปนั่งในโซนที่ค่อนข้างเงียบสงบ เขาทักทายกับหญิงสาวสวยที่ดูเหมือนจะเป็นผู้จัดการของบาร์แห่งนี้...
"อ้าว กฤษณ์ นี่อย่าบอกนะว่าเลิกกับเด็กคนนั้นเเล้วน่ะ"
หญิงสาวสวยคนนั้นเอ่ยขึ้นพลางมองมาที่ผม..เด็กคนนั้น..? เธอหมายถึงสองใช่ไหม
เธอรู้เรื่องของเขาดี..แสดงว่าผู้หญิงคนนี้คือ'เพื่อน'เจ้าของบาร์ที่พี่กฤษณ์พูดถึง ผมสรุปสถานะของคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
"ยัง! นี้เป็นเด็กที่ไอ้หนึ่งหามาให้ช่วยงานกฎหมายบริษัทผม เขาอยากมาเที่ยว"
"หือม์ ..เจ้าหนึ่งนำเรื่องยุ่งมาให้เสมอเลยน้า..ไป เดี๋ยวฉันให้พนักงานพาไปโต๊ะที่จองไว้"
พนักงานสาวสวยเดินนำผมกับพี่กฤษณ์ไปโต๊ะที่จอง พี่กฤษณ์สั่งเหล้าราคาแพงขวดหนึ่งมา
"สนับสนุนเพื่อนหน่อย"
เขาพูดก่อนจะยิ้มให้ผม ผมพยักหน้าน้อยๆ ไม่พูดอะไร ในใจกำลังนับเวลาถอยหลัง
สำหรับละครฉากแรก
................................
สักพักก็มีสาวน้อยน่ารักคนหนึ่งเดินมา เธอนั่งโต๊ะข้างๆเรา สายตาดูพะว้าพะวงเหมือนหาใครสักคนอยู่
กลุ่มผู้ชายที่เหนื่อยจากการเต้น ดูท่ากำลังเมาได้ที่ เมื่อเห็นสาวน้อยนั่งอยู่คนเดียว จึงเดินมาหาเธอ
"ว่าไงจ้ะ สาวสวย~ มาคนเดียวเหรอ"
ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นพูด แล้วถือวิสาสะนั่งลงข้างๆเธอ เพื่อนในกลุ่มชายผู้นั้นก็ทำแบบเดียวกัน
"ปะ..เปล่าค่ะ..ฉันมารอเพื่อนค่ะ"
สาวน้อยดูตกใจ เธอทำอะไรไม่ถูก เมื่อมือของชายหนุ่มเหล่านั้นเริ่มลวนลาม และสายตาพวกเขาที่มองเธอก็ดูน่าขยะเเขยงเหลือเกิน
"ถ้าผัวมีผัวน้องต้องมา...ผัวไม่มาแปลว่าผัวไม่มี"
ชายคนหนึ่งในกลุ่มร้องเพลงขึ้น คนอื่นๆเฮตามกันดังลั่น
"ข..ขอโทษนะคะ! ได้โปรดออกไปด้วยเถอะค่ะ!! ขอร้องนะคะ"
สาวน้อยพยายามตะโกน แต่เสียงหวานๆเล็กๆนั้นไม่ดังพอจะเรียกความสนใจจากพนักงาน ยาม หรือคนอื่นๆ
แต่แน่นอน..มันดังพอที่จะเรียกความสนใจจากโต๊ะข้างๆ
ผมเหลือบมองพี่กฤษณ์
เขาขมวดคิ้ว จ้องชายหนุ่มพวกนั้นเขม็ง สีหน้าดูเคร่งเครียด
ผมยิ้มเบาๆ
................................
พี่กฤษณ์ลุกขึ้น เดินไปยังโต๊ะนั้น ก่อนจะพูดขึ้นว่า
"ถ้าผู้หญิงเขาไม่เล่นด้วย ควรจะพอได้แล้วไหมวะ"
สายตาของพี่กฤษณ์จ้องมองพวกเขา เหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังคุยกับเด็กตัวเล็กๆ
กลุ่มชายหนุ่มหันมามองหน้าพี่กฤษณ์ ก่อนที่คนซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้นำกลุ่มพูดขึ้นว่า
"เสือกไรวะลุง"
"อ้าว ไอ้เด็กนี่! กูไม่ได้มาหาเรื่องทะเลาะ กูแค่มาเตือน มึงเป็นลูกค้า แต่สาวน้อยนั่นก็ลูกค้า ถ้ามึงลวนลามเขาได้โดนเตะโด่งออกจากบาร์นี้แน่"
"มึงจะเตะพวกกูเหรอ?!!"
พวกคนหนุ่มโหวกเหวกโวยวาย
"มันเป็นสำนวนสัส!! รปภ.ต่างหาก กูแค่มาเตือน ดูดิ เขามองกันใหญ่แล้ว"
พี่กฤษณ์พูดพลางชี้ไปที่รปภ.ที่กำลังมองมายังกลุ่มนี้อย่างสงสัย...
แย่ละสิ..เรื่องชักไม่เป็นไปอย่างที่ผมต้องการเสียแล้ว
พี่กฤษณ์เป็นตัวละครประเภทฮีโร่ แต่ไม่ใช่ฮีโร่เลือดร้อนรักความยุติธรรมอย่างที่ผมคาดไว้
เขาเป็นฮีโร่ประเภทชอบทำตัวเป็นลุงแก่ๆสอนลูกหลานนี่หว่า!
ทั้งใจเย็น และฉลาด..
ไม่ได้การแล้ว
หนึ่งในชายกลุ่มนั้นมองมาหาผมเพื่อขอความช่วยเหลือ
ผมกำหมัดเบาๆ พยักหน้าให้สัญญาณ
และทันใดนั้น ชายหนุ่มคนนั้นก็ตะโกนขึ้นตามแผนว่า
"ไอ้เหี้ยนี้หาเรื่องเราว่ะ!! รุมมัน!!"
"กูหาเรื่องตอนไหนวะ เด็กเวร!"
พี่กฤษณ์ตะโกนขึ้นด้วยความงง ก่อนจะโดนหมัดกระเเทกใบหน้า เขาหันกลับมา สวนหมัดกลับ
มันต้องอย่างนี้...ฮีโร่ของผม
................................
"โอ๊ยย เจ็บสัส! ลิน!! จะฆ่ากันหรือไง"
พี่กฤษณ์นั่งหน้าปูดบวมโดยมีพี่สาวที่ชื่อลิลิน(พี่เจ้าของบาร์) ทายาใส่บริเวณรอยที่มีเลือด
"จะฆ่าน่ะสิ..ไม่ใช่เด็กๆแล้วน่ะ กฤษณ์"
สาวเจ้าขมวดคิ้วยุ่ง มองพี่กฤษณ์ดเวยสายตาเป็นห่วง...หือม์ สายตาแบบนั้น..
หรือผมจะได้ตัวละครเพิ่มอีกตัวนะ
ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความสนุกสนาน
เบิกบานใจยิ่ง...แม้ภายนอกจะเรียบเฉย
บอกเเล้วเรื่องตีหน้าซื่อนี้งานถนัด..
"กูยังไม่ได้ทำอะไรพวกแม่งเลย เด็กเปรต"
พี่กฤษณ์บ่นกระปอดกระแปดก่อนจะโดนสาวเจ้าตีแขนดังเพลี้ยะ
"เรียกรปภ.ก่อนเข้าไปหาสิ ทีหลังน่ะ..จะเป็นฮีโร่ขนาดไหน 1 ต่อ 6 มันไม่ชนะหรอกน่ะ ใช้สมองซะบ้าง ไม่ใช่ใช้แต่กล้ามเนื้อ"
พี่ลิลินสายหน้าอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะปิดผ้าก๊อซเป็นครั้งสุดท้าย
"ก็ใครจะไปรู้ละวะ อยู่ๆไอ้เด็กนั่นคนหนึ่งก็คลั่งขึ้นมา เพื่อนมันก็เฮตามกันหมด..แม่ง พี้ยามากันป่าววะ
เธอตรวจยาบ้างปะเนี่ย บาร์นี้เนี่ย..โอ๊ยยย"
พี่กฤษณ์ร้องอย่างโอดโอยเมื่อโดนสาวเจ้าบิดเเขนอย่างหมั่นเขี้ยว
เมื่อลิลินเดินแยกตัวไปดูแลบาร์ต่อเเล้ว ตัวละครหลักอีกตัวของผมก็เข้ามา
"เอ่อ..ขอบคุณมากนะคะ..ไอไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี..คุณต้องเจ็บเพราะไอ.."
พี่กฤษณ์หันมาเห็นสาวน้อยยืนน้ำตาคลออยู่ข้างๆ..ไอ้นิสัยผู้ชายนี่..ร้อยทั้งร้อย เห็นน้ำตาผู้หญิงแล้วจะตกใจ
แล้วกับพี่กฤษณ์..ซึ่งมีน้องสาว และรักน้องสุดหัวใจด้วยเเล้ว..
ผมลอบอมยิ้มเมื่อเห็นปฏิกิริยาของพี่กฤษณ์
ชายหนุ่มผู้ดูเลิ่กลั่ก ทำอะไรไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าสาวน้อยที่กำลังร้องไห้
คงกำลังพยายามคิดอย่างหนักว่าจะหยุดเธออย่างไรดี..
"เอ่อ..ไม่เป็นไรๆ เนี่ยปกติ! สมัยหนุ่มๆพี่น่ะ 1 ต่อ 10 ก็เคยมาแล้ว"
พี่กฤษณ์รีบพูดโบกไม้โบกมือ
"แต่อยู่ฝ่าย 10 อ่ะนะ..ฮ่าๆๆๆ"
พอไม่มีใครขำมุกสมัยพระเจ้าเหา..พี่เเกเลยเล่นเองขำเองซะงั้น
เรียกเสียงหัวเราะจากสาวน้อยตรงหน้าได้ เขามองเธอและยิ้ม
"เพื่อนน้องมายังล่ะ"
สาวน้อยหลบตาก่อนจะหันไปทางอื่น
"เอ่อ..ความจริง หนูมาคนเดียวค่ะ..หนูหนีออกจากบ้านมา"
พี่กฤษณ์ขมวดคิ้ว มองสาวน้อยตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอดูบอบบางเหลือเกิน(..ก็แน่ล่ะ ผมคัดนักแสดงมาอย่างดี!)
ดูเหมือนว่าเขาจะปล่อยสาวน้อยคนนี้อยู่คนเดียวไม่ได้
"เฮ้ย กลับบ้านเหอะ พ่อแม่เป็นห่วงนะรู้ไหม"
นั่นไง..โชว์ความเป็นฮีโร่ประเภทลุงอีกแล้ว..ผมกลั้นขำ
"หนูไม่กลับ อย่ามายุ่งกับชีวิตหนู"
สาวน้อยโวยวายหันหน้าไปทางอื่น
"ถ้าเมื่อกี้พี่ไม่ยุ่งรู้ไหมจะเป็นไงตอนนี้"
พี่กฤษณ์ขึ้นเสียงดุ แต่แววตาดูอ่อนโยน เหมือนมองน้องสาวของเขา
เมื่อเห็นสาวเจ้าไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนใจ พี่กฤษณ์จึงถามขึ้นว่า
"แล้วจะไปไหนต่อล่ะเรา"
"ไม่รู้"
สาวเจ้าพูดแล้วแก้มป่องๆ ผมขมวดคิ้ว มองเธอ..อย่าเล่นนอกบทสิยัยนี่..
"ไปที่ที่มีคนต้องการหนูมั้ง!"
เธอรีบพูดเมื่อเห็นสายตาผม..เออดี เล่นนอกบทบ่อยๆค่าจ้งค่าจ้างไม่ต้องเอาน่ะ..ผมมองเธอพยายามส่งกระเเสจิต(กูเริ่มจะขำตัวเองล่ะ)
ผมเหลือบมองพี่กฤษณ์ ..เอาดิ..ถึงคิวมึงเเล้วพี่กฤษณ์ พ่อฮีโร่ใหญ่
"เอาชื่อ เบอร์โทรพ่อแม่มา พี่จะโทรหาเดี๋ยวนี้"
ไม่ใช่แบบนั้น!!..มึงต้องให้เขาไปอยู่ด้วยสิ..ผมมองด้วยความขัดใจ แล้วมองสาวน้อยตรงหน้า
ท่าทางเลิ่กลั่กเพราะไม่ใช่บทที่ซ้อมกันไว้..เป็นนักแสดงต้องมีไหวพริบ มึงทำไม่ได้ มึงจบ!
ผมมองไปที่สาวน้อยตรงหน้าอย่างกดดัน และเธอรู้ตัว
"ไม่มีวัน! หนูจะไม่มีวันบอกใครเรื่องนี้ หนูไม่อยากกลับไปที่นรกนั่นอีก! พ่อขายหนูแลกกับหนี้พนัน ส่วนแม่ก็ไม่สนใจว่าหนูจะเป็นตายร้ายดี หนูสู้หนีออกมาตายเอาดาบหน้าดีกว่ากลับไปนรกนั่น"
เออ..มึงเล่นคุ้มมาก..สงสัยดูละครบ่อย! ผมลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
"เอ่อ..เอาอย่างนี้ดีไหม"
ผมพูดขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน..ไม่งั้นเนื้อเรื่องไม่เดินครับ
"น้องมาอยู่ที่ไร่เราก่อน ให้เวลาเขาได้คิด..เขาน่าสงสารนะพี่..เราค่อยหาทางบอกให้เขากลับบ้านอีกทีก็ได้"
ผมพูดพลางมองหน้าพี่กฤษณ์
"อีกอย่าง น้องเขาดูอายุใกล้เคียงกับยัยแก้ว น่าจะเปิดใจคุยกันได้มากกว่า เราอาจรู้ว่าเขามีปัญหาอะไร"
พี่กฤษณ์เม้มปาก ดูชั่งใจ มองหน้าผม(ซึ่งพยายามพยักหน้ายืนยัน)
"เอางั้นก็ได้..มึงเองก็ใจดีเหมือนกันน่ะ มีพัฒนาการขึ้นน่ะเนี่ย"
เขาพูดก่อนจะยิ้มให้ผม ผมหลบสายตา
อีกอย่างที่ผมเกลียดเกี่ยวกับเขาคือการพยายามทำตัวเป็นเหมือนพี่ชายผม
ทำตัวเป็นพึ่งพาได้ ทำตัวเป็นชื่นชม ให้กำลังใจ
ไอ้ของพรรค์นี้ผมไม่ต้องการ
แต่ผมก็หันกลับไปยิ้มให้
ก็บอกเเล้วว่างานตีหน้าซื่อนี่ของถนัด
................................
ขณะที่กำลังเดินขึ้นรถกันสามคน
ผมซึ่งเดินอยู่หลังสุดลอบยิ้มอย่างสุขใจ
ละครเรื่องนี้ยังไม่จบ ระยะเวลาฉายคือ 1 อาทิตย์ที่เหลือ
มีพี่กฤษณ์เป็นนักแสดงนำ ยัยไอเป็นนักแสดงสมทบหญิง ผมเป็นผู้กำกับ
และแน่นอน ..อีกเช่นเคย
มีคุณเป็นผู้ชม
ถ้าคุณยังสนใจน่ะนะ...
สวัสดีค่ะ!! กลับมาพบกับทนายหนุ่มสุดแสบผู้หิวโหยความรักความเมตตากันอีกครั้ง!
ในมุมมองวินด์นี้อย่างที่บอกค่ะ หมอนี่มันสุดโต่ง บิดเบี้ยว พฤติกรรมคาดเดาได้ยาก
แถมยังฉลาดเป็นกรด! ไอ้พวกตัวร้ายดาดๆ แผนตื้นๆนี้หลบไปเลยค่ะ
วินด์นั้นทั้งฉลาด ล้ำลึก ห่วงภาพลักษณ์ตัวเองสุดๆ
เพราะงั้นคนอย่างเขาไม่มีวันหมดท่าง่ายๆแน่นอนค่ะ(เรียกเจ้าตั้มมาขอนแก่นเร้ว!มาช่วยพี่กฤษณ์หน่อยย!
)
มาเอาใจช่วยพี่กฤษณ์กับน้องสองกันนะคะ
ความเชื่อใจจะทำให้เขาผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้หรือไม่?!
แผนของวินด์จะสำเร็จหรือไม่?!!
พี่กฤษณ์จะทำตัวให้สมกับเป็นคนหนุ่มเท่ๆเมื่อไหร่?!!!(อายุก็ไม่ได้มากมายน่ะ เเต่เฮียชอบทำตัวแก่ๆอ่ะ ไม่รู้เป็นไร!
)
โปรดติดตามได้ในตอนต่อไปค่ะ!!
#Anynomous
ไรท์ เยี่ยมเลย
เหมือนเคยได้รับประสบการณ์ตรงในไร่จริงๆ
แต่คนอ่าน แค่อ่านเยอะ ไร้น้ำยาเรื่องการเขียน
ชื่นชมคนที่สามารถเขียนเรื่องได้ อัจฉริยะจริงๆ
เพราะต้องสามารถวางพล็อตเรื่อง ด้านภาษา การผูกเรื่อง ฯลฯ
วินด์ เล่นพี่กฤษณ์แล้ว
พี่กฤษณ์ ฉลาดมาก คิดถึงความไม่สมเหตุสมผลได้
แล้วที่วิดิโอคอลออกกำลังกายให้ได้ซิกส์แพคกับสอง
เล่าสู่กันฟังหลังเรียบร้อยรร.ทั้งคู่ สองวิเคราะห์ได้เจ๋งมาก
โดยมีความบังเอิญเป็นตัวตั้ง อะจ๊ากกกกก
เซนส์สองแรงไม่เบา ที่เห็นแววตาวินด์วันก่อน
สอง ให้ข้อคิดเยี่ยมไม่แพ้คินดะอิจิเลย
"แหล่งกำเนิดจากภายใน......ดับยาก"
"แหล่งกำเนิดจากภายนอก.....ดับง่าย"
ยอดเยี่ยมสมกับที่เป็นนักอ่านปรัชญาโสกราตีส ใครแนะนำให้อ่านนะ กร๊ากกกก
"มันไม่ผิดใช่ไหม ถ้ามึงรักใครมึงก็จะอยากไ้ด้เขา อยากได้มากๆ .."
"..กูอยากได้ กูต้องได้"
นี่ไง เพราะอยากได้สอง เลยทำให้วินด์ ทดลองวางเพลิง
ทดสอบประสิทธิภาพการดับไฟของกฤษณ์
ขอบคุณมากค่ะคุณ Magnolia! ประสบการณ์ในไร่ของเรานั้นได้มาตอนติดตามอาจารย์ไปออกชุมชนคัดกรองผู้ป่วยพยาธิใบไม้ตับ ที่อ.เวียงเก่า จังหวัดขอนแก่นค่ะ(เราเรียนแพทย์ค่ะ) ทำให้ได้แรงบันดาลใจเรื่องฉาก และการเขียนเรื่องนี้ส่วนหนึ่งด้วยค่ะ
เฮียกฤษณ์กับสองไม่ใช่คนโง่ค่ะ(ตัวละครหลักของเราส่วนใหญ่ฉลาดในมุมมองที่แตกต่างกันค่ะ บางคนฉลาดในการใช้ชีวิต บางคนฉลาดในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า บางคนฉลาดที่รู้จักตัวเอง บางคนก็กำลังเรียนรู้)
ส่วนการใช้หนังสือปรัชญาโสกราตีสที่วินด์แนะนำมาแก้ปัญหาที่วินด์ก่อ เป็นกิมมิคที่เราซ่อนไว้เองค่ะ
ที่เราชอบพูดว่าสนุกกับการแต่งนิยายเพราะเราชอบซ่อนอะไรเล็กๆน้อยๆแบบนี้ไว้เเหละค่ะ
(มีเยอะมากนะคะ เกือบทุกตอนเลย ฮ่าๆๆ บางอย่างต้องเก็บไว้ก่อน!)
ยินดีที่ได้ทราบว่ามีผู้อ่านพบและเข้าใจอารมณ์ขันนี้นะคะ
สุดท้ายนี้ขอบคุณที่ติดตามเรื่องนี้ค่ะ!
เราอาจจะอัพช้าบ้าง วันเว้น หรือสองวันเว้น (หรือสาม!)
ต้องขออภัยด้วยนะคะ อัตราการอัพขึ้นกับเวลาที่ว่างค่ะ!(ฮา)
ปล.แต่ไม่มีเทค่ะ เรามีความรับผิดชอบมาก(?!!)
#Anynomous
เหมือนวินด์จะเป็นคนดี แต่จริงๆคือไม่เลยสินะ วินด์คงรู้เรื่องสองมีแฟนแล้วแน่นอน
ถูกต้องเเล้วค่ะ!! เจ้าวินด์ดูภายนอกนั้นสุภาพ เรียบร้อย เป็นชายหนุ่มนิสัยดีนอบน้อมถ่อมตนค่ะ!
แต่ถ้าใครเคยอ่านตอนของวินด์(ตั้งแต่อดีต-ตอน:ความเท่าเทียม)กับตอนล่าสุดนี้ก็จะรู้ค่ะ ว่าเจ้านี้มันบิดเบี้ยว+เพี้ยนสุดติ่ง โหยหาความรักความเมตตาอย่างมากค่ะ!
#Anynomous