ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชมกรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0******************************
หมายเหตุนิดก่อนอ่าน...เรื่องนี้เขียนลงบอร์ดวันริ่งเมื่อหลายๆปีที่แล้ว...แบบว่ามีการประกวดกันโดยมีkeywordมาให้เลือก...keywordเรื่องนี้ก็...first dayค่ะ
อาหรับราตรีเมื่อมนุษย์หลั่งน้ำตา จึงรู้ว่า ตัวเองยังมีหัวใจ
ผู้ชายคนหนึ่งพูดกับผมอย่างนั้น.......
ผู้ชายคนที่ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองยังมีหัวใจ....
...
ผมหยุดยืนมองทะเลทรายที่ยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ก่อนที่จะเหลียวกลับไปมองหนทางที่ตัวเองเพิ่งผ่านมา สิ่งที่มองเห็นนั้นไม่แตกต่างกับหนทางเบื้องหน้าเลย...ทะเลที่เต็มไปด้วยเม็ดทราย
ผมเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง กระชับปืนในมือ ก่อนแข็งใจเดินต่อไป
เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ผมยังนั่งมองภาพดินแดนทะเลทรายแห่งนี้ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นของกรุงวอชิงตัน
ดูสื่อทั่วโลกที่ยังแย่งกันประโคมข่าวอย่างต่อเนื่องถึงความเป็นไปได้ของสงครามถล่มอิรักครั้งที่สอง เมื่อประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซ็นมีท่าทีของการเตรียมนำประเทศเข้าสู่สงครามหลังจากปฏิเสธการปฎิบัติตามเงื่อนไขของสหประชาชาติตามมติฉบับที่1441 ว่าด้วยเรื่องการตรวจค้นอาวุธ
ในขณะที่ประชาคมโลกเพิ่งจะตื่นตระหนกถึงผลกระทบของสงคราม หน่วยรบพิเศษต่างๆของสหรัฐก็ย่ำเท้าสู่ว่าที่สมรภูมิรบอย่างเงียบเชียบ ตามเส้นทางที่ถูกเตรียมพร้อมไว้โดยเจ้าหน้าที่ซีไอเอที่แทรกซึมอยู่ทั่วหัวระแหงในอิรักตั้งแต่ครั้งสงครามอิรักครั้งแรก
ท่าเรืออุมม์คาสร์ อันเป็นหัวใจสำคัญของการส่งน้ำมันออกสู่ตลาดโลกของอิรักถูกปิดล้อมโดยความช่วยเหลือของนานาประเทศทั้งโปแลนด์ ออสเตรเลีย และอังกฤษ ตั้งแต่ยังไม่มีการลงมติใดๆในกลุ่มสมาชิกทั้ง15ประเทศด้วยซ้ำ
และทันทีที่เริ่มนับถอยหลังเข้าสู่ดีเดย์ วันที่สหรัฐประกาศแก่ชาวโลกว่าพร้อมถล่มอิรักอีกครั้งหากประธานาธิบดีซัดดัมยังไม่ยอมสละตำแหน่งนั้น แนวป้องกันต่างๆรวมถึงน่านน้ำของอิรักก็ค่อยๆถูกทำลายลงทีละแห่ง เพื่อเตรียมเปิดทางแก่กองกำลังภาคพื้นที่จะเข้าโจมตีภายในไม่ถึง 48ชั่วโมงข้างหน้าตามที่ประธานาธิบดีบุชประกาศไว้
ก่อนจะถึงเส้นตายที่อิรักได้รับ ผมก็เดินทางจากซีกโลกที่หนาวแนบสู่ซีกโลกที่ร้อนระอุด้วยหัวใจพองโต อาจจะกล่าวได้ว่าในขณะนั้น ผมเดินทางมาด้วยความหึกเฮิมที่มีมากกว่าประสบการณ์หลายเท่าตัว ผมรู้จักสงครามเท่าที่เคยได้ยินและได้ฟังจากข้อมูลลำดับสอง จึงนับเป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสสงคราม ผ่านผิวเนื้อของผมเอง
และทันทีที่เหยียบเท้าลงบนผืนแผ่นดินของอิรัก ภารกิจแรกก็มาเตรียมจ่อรออยู่ที่ปลายจมูกโดยไม่มีเวลาให้ตั้งตัว
หน่วยข่าวกรองรายงานว่า สายลับกลุ่มหนึ่งซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นหน่วยอิสทิค บารัท แฝงตัวอยู่ไม่ไกลนัก จากจุดที่เราจะต้องผ่านทางในอีก 2 วันข้างหน้า และนั่นคืองานผมที่ต้องเคลียร์ทุกอย่างให้พร้อม อันหมายถึงต้องกำจัดอิสทิค บารัทกลุ่มดังกล่าว
อิสทิค บารัท...หน่วยข่าวกรองของอิรัก ที่ว่ากันว่า สายลับเพียงหนึ่งคน มีประสิทธิภาพกว่าทหารอิรักทั้งกอง
อิสทิค บารัท...สายลับเพียงหนึ่งคน ที่ไปเหยียบจมูกอังกฤษ ลอบสังหารเอกอัครราชฑูตอิสราเอลประจำอังกฤษที่กลางกรุงลอนดอน
งานแรกของผม มันทำให้ใจผมระทึกด้วยความตื่นเต้น...แล้วมันก็ดูจะเหลวไม่เป็นท่า เมื่อผมไม่เจอใครสักคน สุดท้ายก็เหลือตัวคนเดียวกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุนี่
ไอร้อนจากทะเลทรายทำให้ผมเริ่มคุ้นเคยกับภาพลวงตาที่ถูกสร้างขึ้นด้วยมโนสำนึกที่หิวกระหายของผมเอง ผมจึงมองภาพแอ่งน้ำที่เห็นอยู่ลิบๆตานั้นอย่างสิ้นหวัง
จนเมื่อภาพเนินหินกลุ่มใหญ่ปรากฏอยู่ที่สุดสายตานั้น ผมก็ยังคงตัดสินว่ามันคือภาพลวงตา และยังคงเดินตรงไปหามัน
กลุ่มเนินหินนั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ ผมจึงเริ่มสัมผัสได้ถึงภาพความจริงของพวกมัน
ผมเร่งฝีเท้า เมื่อนึกถึงร่มเงาของพวกมันที่ทอดลงบนแผ่นดินที่ร้อนระอุนี้
เสียงกระแทกอะไรบางอย่างทำให้ผมชะงักฝีเท้า หินก้อนที่ใกล้ที่สุดนั้นยังอยู่ห่างออกไปร่วมสิบกว่าเมตร
ความเหนื่อยล้าและโหยกระหายทำให้ผมลืมเสียสนิท ว่าผมย่อมไม่ใช่คนผู้เดียวที่ต้องการที่กำบังกายจากความร้อนระอุนี้
คนเดียวหรือหลายคน?...คำถามที่ผมไม่มีสิทธิเลือกคำตอบ
ผมยกปืนในมือขึ้นเตรียมพร้อม ก่อนค่อยก้าวย่างไปอย่างช้าๆและเงียบกริบที่สุดเท่าที่จะทำได้
เป้าหมายแม้ยังมองไม่เห็น แต่เสียงเมื่อสักครู่บอกตำแหน่งแห่งที่ได้ชัดเจน
ผมขยับเข้าไปใกล้ ซ่อนตัวหลังก้อนหินที่ใกล้ที่สุด สูดหายใจลึก ก่อนค่อยๆเยี่ยมหน้าออกไปมอง
คนเดียว! และนั่งเกือบจะหันหลังให้ผม!
ผ้าโพกหัว กับชุดทหารบอกชัดว่าฝ่ายไหน
โชคดีของผมแต่โชคร้ายของมัน!...ผมคิดพลางยกปืนขึ้นประทับและเล็ง
แต่ก่อนที่ผมจะทันลั่นไกปืน ร่างที่นั่งอยู่นั้นก็ยกอะไรบางอย่างในมือขึ้น กระดาษแผ่นบางๆที่ยับย่น ถูกยกขึ้นช้าๆ และประทับที่ริมฝีปากอย่างนุ่มนวล
ผมละนิ้วจากการเหนี่ยวไกและลดลำกล้องส่องออกจากระดับสายตา ร่างที่นั่งอยู่เบื้องหน้านั้นดูโดดเดี่ยวขึ้นมาอย่างน่าประหลาด...คงเพราะเมื่อคืนผมก็เพิ่งกระทำในสิ่งเดียวกันนั้น จูบรูปของพ่อและแม่ และหลับตาลงท่ามกลางความโดดเดี่ยวแบบเดียวกัน
และก่อนที่ผมจะทันรู้ตัว ร่างที่นั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวนั้นก็พลิกตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว ผมยกปืนขึ้นอีกครั้งพร้อมๆกับที่กลายเป็นเป้านิ่งของเขาเช่นกัน
“วางปืนลง!”ผมตะโกนบอกเขา และเขาก็ตะโกนกลับมาในอากัปกิริยาคล้ายๆกัน
“ชั้นสั่งให้นายวางปืนลง!”ผมตะโกนดังกว่าเดิม อย่างน้อยก็ให้ดังกว่าเสียงตวาดกลับมาของเขา
เราต่างคนต่างตะโกนกันอยู่อย่างนั้น ต่างคนต่างเล็ง และต่างคนต่างตกเป็นเป้าของกันและกัน
ระยะห่างของความตาย อยู่ห่างจากตัวเราทั้งสองแค่ไม่กี่ก้าว
แต่ที่อยู่ใกล้กว่าคือความกลัวจนแทบบ้า
ความฮึกเหิมอันอยู่เหนือประสบการณ์ของผมมันลดลำดับลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ที่ผมรู้ตัวว่ากำลังหลงอยู่ในทะเลยทราย จนตอนนี้มันโผล่ไม่พ้นข้อเท้าขึ้นมาแล้ว
เราตะโกนใส่กันและกันอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจเหงื่อที่ไหลโทรมจนทั่วตัว หรือบางหยาดหยดที่ไหลผ่านคิ้วสู่ลูกนัยน์ตา มันแสบ แต่ก็ไม่มีใครกล้ากระพริบตา
เรายังแข่งกันตะเบ็งเสียงใส่กันไม่ลดละ คล้ายว่า เสียงใครดังกว่าคนนั้นจะรอดชีวิต จนเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นกลบเสียงของเรา
เราเงียบกริบกันทั้งคู่ พยายามเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังมาจากไกลๆ แม้อยากหันไปดู แต่เราทั้งสองก็ไม่กล้าพอที่จะละสายตาไปจากกันและกัน
เสียงนั้นใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเม็ดทรายที่ลอยละสู่อากาศจนขุ่นมัว
พายุทะเลทราย!
ความกลัวแล่นพล่านไปทั่วร่าง เมื่อผมละสายตาจากความตายเบื้องหน้า ไปสู่ความตายอีกหนึ่งหนทาง ที่ไกลลิบตา ทะเลทรายที่เหมือนยกสูงขึ้นจนจรดเส้นขอบฟ้ากำลังเดินทางมาราวกับคลุ้มคลั่ง เสียงแห่งความโกธาดังก้องไปทั่วสารทิศ
เสียงตะโกนโหวกเหวกของคนที่อยู่ห่างไปไม่กี่ก้าวเท้า เรียกให้ผมตะหนักว่าไม่ได้ยืนอยู่ตามลำพัง และเตือนให้ผมจดจำว่าว่า เมื่อสักครู่ ตัวเองอยู่ในสถานการณ์ใด
ผู้ชายที่เมื่อครู่ยังยกลำกล้องส่องอยู่ที่ผม ตอนนี้ลดปืนลงข้างตัว กวักมือกวักไม้ ชี้มือไปทางกลุ่มหินกลุ่มใหญ่ และเสียงตะโกนของเขาดูจะมีอารมณ์มากยิ่งขึ้น เมื่อผมยังปักหลักนิ่ง ไม่ขยับขาสักก้าวเดียว
เขาวิ่งตรงมาหาผม และฉุดผม...หรือถ้าจะเรียกแบบไม่เกรงใจตัวเอง ก็คือ...เขาหิ้วคอผมไปด้วยกันกับเขา
แรงลมที่ตามติดมาเบื้องหลัง แรงขึ้นจนผมรู้สึกคล้ายจะถูกฉุดกระชากกลับไปหากปราศจากมือแข็งแรงที่หนีบติดอยู่ที่ต้นคอด้านหลัง...
ผมรู้สึกตัวว่าโดนโยนลงไปกองกับพื้น
แม้อากาศจะยังเต็มไปด้วยละอองทราย แต่ก็แผ่วเบา ลมที่ปะทะใบหน้าทำได้แค่ให้รู้สึกรำคาญ
ผมตะเกียกตะกายลุกขึ้น มองออกไปทางช่องหินแคบๆที่ตัวเองเพิ่งพ้นผ่านเข้ามา...มันไม่มีอะไรให้เห็นเลยนอกจากอากาศที่โดนเม็ดทรายโจมตีอย่างดุเดือด
ผมสำรวจความปลอดภัยของตัวเองไปรอบๆ
หินก้อนใหญ่น้อย ที่เรียงตัวกันจนคล้ายผนังทึบบ้าง เว้าแหว่งบ้างพอให้เม็ดทรายเม็ดเล็กๆโผล่หน้าเข้ามาเยี่ยมเยียนแบบไร้พิษภัย เหนือหัวคือชะง้อนหินรูปร่างแปลกๆ แต่ก็คุ้มภัยได้จนมิดชิด...ประติมากรรมแห่งความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้ากระมัง...ผมคิดพลางขอบคุณพระเจ้าที่ให้ที่หลบภัยแก่ผมแบบทันท่วงที
เสียงลมที่กำลังก่อการวิวาทขั้นแตกหักที่ภายนอกนั้นฟังคล้ายกับว่ามันพร้อมจะฉีกร่างใครก็ตามที่อาจหาญขวางทางมัน...และผมก็คงรอดมาแบบฉิวเฉียดเต็มที่ หลักฐานคือใบหน้าที่ชาไปทั้งแถบทั้งที่มันปะทะก็เพียงสายลมในขั้นแนะนำตัวเท่านั้น
แล้วเขาล่ะ?...ผมเพิ่งนึกได้ถึงเจ้าของมือแกร่งที่หิ้วคอผมมาโยนไว้
ผมรีบกระโจนออกไปตรงช่องหินที่โดนโยนผ่านเข้ามา...และเขาก็อยู่ตรงนั้น!
ดูคล้ายกำลังต่อสู้อย่างหนักกับสิ่งที่จับต้องไม่ได้
มือแข็งแรงที่เคยหนีบคอผมไว้มั่นตอนนี้เกาะเหนี่ยวก้อนหินไว้จนสุดกำลัง ผ้าที่โพกหัวเขาไว้ตามแบบฉบับของชาวอาหรับ ตอนนี้พัดกระหวัดพันรอบคอและใบหน้าของเขาไว้จนอดสงสัยไม่ได้ว่า เขาหายใจออกได้อย่างไร เขาทำท่าคล้ายพยายามก้าวมาข้างหน้า แต่ก็ถูกฉุดกลับด้วยแรงลมเสียทุกครั้ง
ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอื้อมมือจับมือของเขาเอาไว้ และทันทีที่เขาตัดสินใจเลือกที่จะปล่อยมือจากก้อนหินเพื่อมายึดเหนี่ยวที่มือผมแทนนั้น ผมรู้สึกคล้ายร่างของตัวเองถูกฉุดกระชากอย่างแรงไปข้างหน้า
ในเสี้ยววินาทีหนึ่ง ใบหน้าของผมปะทะแรงลมอีกครั้งจนชา อีกครั้งที่รู้สึกว่าความตายอยู่ใกล้แค่รูขุมขน ผมรวบรวมกำลังกระชากเขาด้วยสุดกำลังแรงเกิดของตัวเอง เพราะรู้ว่า นั่นคือโอกาสสุดท้ายของผมแล้ว แล้วผมก็กลับมานอนแผ่หรา โดยมีร่างหนักๆของเขาคว่ำทับอยู่ทั้งตัว
เขาไม่ขยับเขยื้อนตัวแม้แต่น้อย ผมจึงเป็นฝ่ายผลักเขาลงไปนอนอยู่ข้างๆ มือสองข้างที่ยกขึ้นมาดูนั้นสั่นเทา แต่ไร้ความรู้สึก รอยแดงที่เกิดจากการยึดเหนี่ยวของมือเขานั้นชัดเจน ผมเดาว่าตอนนี้เขาคงชาไปทั้งตัว...เราเลยนอนฟังเสียงลม ปนเสียงเหนื่อยหอบของตัวเองอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่อย่างนั้น
นานเท่าไหร่ไม่รู้เมื่อเราประจันหน้ากันอีกครั้ง
เขานั่งอยู่บนหินก้อนเล็กที่สูงจากพื้นแค่คืบเดียว ส่วนผมยืนกอดอกพิงหินอีกก้อน ห่างจากเขามาสัก 3 ช่วงก้าว
เราจ้องมองกันและกันอย่างไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นศัตรูกันเท่าครั้งแรก
เสียงความบ้าคลั่งของพายุข้างนอกยังดังกึกก้อง ผมนึกไม่ออกว่า ถ้าตัวเองยังยืนอยู่ข้างนอก ท่ามกลางลมพายุนั่น จะเป็นอย่างไร
คิดแล้วก็พาลหงุดหงิด เมื่อคิดถึงว่า ตัวเองไม่ได้รับการเตือนภัยถึงการมาของพายุนี้แม้แต่น้อย หรือว่ามันเป็นสิ่งเกินการคาดคะเน...ผมไม่ค่อยแน่ใจนัก
ผมนึกถึงเพื่อนๆที่พลัดหลงกันว่าพวกเขาจะได้ที่หลบภัยแบบผมหรือเปล่า หรือป่านนี้จะถูกพายุฉีกร่างเป็นชิ้น เช่นเดียวกันกับผม ถ้าหาที่หลบไม่ทัน ป่านนี้ร่างผมก็คงหลับสบายอยู่ใต้พื้นทราย รอวันโผล่ขึ้นมานอนตากแดดเป็นเนื้อแดดเดียว แล้วกลายเป็นอาหารอันโอชะของพวกแร้งที่หิวโหย เหลือก็แต่กระดูกที่คงโดนใครเอาเท้าเขี่ยๆให้พ้นทาง เหมือนอย่างที่เห็นในหนังจนชินตา