ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชมกรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0******************************
เรื่องนี้เขียนเนื่องในวาเลนไทน์อินุบอร์ดเช่นกันค่ะ...มีพี่เหยากับเอกแจมนิด ตะวันกับฉายแจมหน่อยๆ...
The Moment of Love...ณ.จุดหนึ่งของเวลา ที่อาจยาวนานแค่ชั่ววินาทีเดียว อาจทำให้เราหลงรักคนๆหนึ่งและอาจจะรักเขาไปจนตลอดชั่วชีวิตของเรา...มีคนเคยพูดไว้อย่างนั้น
ผมอยากให้วินาทีนั้นเกิดขึ้นกับผม...ทั้งหลงรักและเป็นฝ่ายที่ถูกรัก ผมรอคอยวินาทีนั้นอยู่ทุกเสี้ยวขณะจิต เพราะมันคงงดงามไม่น้อยหากเกิดวินาทีนั้นขึ้นในใจ และยิ่งกว่านั้น สำหรับผม ไม่มีอะไรงดงามและยืนนานไปมากกว่าคำว่า...ชั่วชีวิต...ผมอยากมีใครสักคนให้รักและถูกรักไปจนตลอดชั่วชีวิตของกันและกัน...
.................
............................
.....
...........
ผมแอบหาว แอบชำเลืองมองนาฬิกาบนข้อมือไม่ให้ใครเห็น เพราะมันเป็นข้อห้ามที่ว่า แม้นจะดึกจนดื่น เลยเที่ยงเลยคืนไปจนจะเลยเช้า หากมีลูกค้ายังนั่งอยู่ในร้านแม้สักคน...ผมก็ยังต้องพร้อมที่จะทำหน้าที่ และตอนนี้ไม่ใช่มีแค่คนเดียว แต่มีตั้งสองคน ถึงจะประจำอยู่แค่หนึ่งโต๊ะ ซึ่งก็แปลว่าเขามาด้วยกัน...ผมจึงต้องแอบหาว แอบมองนาฬิกาเพื่อจะได้รู้ว่า มันเกือบๆจะเลยเที่ยงคืนแล้ว...
ร้านอาหารร้านเล็กๆ ในซอกลึกๆ ข้างตึกเก่าๆ กำแพงสีส้มๆ เจ้าของร้านจนๆ กับบริกรหล่อๆ...ฟังแล้วไม่น่าจะอยู่รอด แต่ก็รอด...เพราะเจ้าของร้านรู้จักคนเยอะ ลูกค้าที่แวะเวียนมาก็คนรู้จักๆกันทั้งนั้น รวมทั้งผม ที่เมื่อวานยังเป็นลูกค้า แต่วันนี้บริกรหล่อๆหยุดงานไปเที่ยวกับแฟนกันหมด ผมเลยต้องมาเป็นบริกรจำเป็นด้วยเหตุผลที่เปิดเผยไม่ได้ในที่สาธารณะ...
ถึงจะยังอยู่ในช่วงหน้าหนาว แต่อากาศมันก็ร้อนมากกว่าหนาวมาหลายวันแล้ว แต่วันนี้ลมหนาวมันกลับพัดถอยหลังมาอีกครั้ง อย่างกับกลัวว่าคู่รักจะไม่ได้เดินกอดกันในวันวาเลนไทน์...
ถึงผมจะบอกว่าร้านอาหารร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ ในซอกลึกๆ ข้างตึกเก่าๆ กำแพงสีส้มๆ กับเจ้าของร้านจนๆ ที่มีลูกค้าประจำหน้าเดิมๆ แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องตั้งแต่สมัยที่ร้านเพิ่งเปิดตัวเท่านั้น หากแต่หลังจากร้านอาหารร้านเล็กๆแห่งนี้ได้ลงหนังสือสารพัดเล่มในฐานะร้านอาหารแนวๆ เพราะสมัยนี้ ความแนวซึ่งน้อยคนจะบอกความหมายของมันได้กำลังเป็นเทรนฮิต อะไรๆที่ถูกเรียกว่าแนว ถึงจะไม่รู้ความหมายแต่ก็กลายเป็นที่นิยมขึ้นมาได้ทันตาเห็น... คนที่มากกว่าคนรู้จักของเจ้าของร้านจึงเริ่มหลั่งไหลกันเข้ามาจนที่นั่งชักจะไม่พอ...จนเจ้าของร้านชักอยากจะขยับขยายร้าน แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะถ้าอยากจะขยายร้านไม่ให้เล็ก มันก็ต้องขยายซอก ทุบตึก และทลายกำแพง...ซึ่งก็คงผิดคอนเซ็พท์ของร้าน...
ตอนนี้คุณคงเริ่มสงสัยว่า ถ้าเป็นอย่างที่ผมพูดจริง...ทำไมท่ามกลางลมหนาว ในคืนก่อนวันวาเลนไทน์ ในร้านถึงมีลูกค้าอยู่แค่สองคน หนึ่งโต๊ะ...
ก็อย่างที่บอก คือ บริกรลาหยุดกันหมด...เหลือแต่ผม บริกรจำเป็น กับพ่อครัวที่เพิ่งหย่าเมียอีกหนึ่ง...เจ้าของร้านเลยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยขึ้นป้ายที่หน้าร้าน...
...ปารตี้สวนกระแส...อกไม่หัก รักไม่คุด ห้ามเข้ามา...
แล้วหน้าไหนมันจะเข้ามาในร้านที่ติดป้ายอย่างนี้ในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์...
ยิ่งกว่านั้น คำว่า...ปาร์ตี้...ก็ดูจะทำให้ใครต่อใครงงรวมทั้งผม เพราะร้านอาหารร้านนี้ให้ดูอย่างไรก็น่าจะยืนอยู่คนละขั้วกับคำว่าปาร์ตี้...
...ยืมเขามา...และนั่นคือคำตอบของเจ้าของร้าน...ป้ายผ้าหน้าร้านที่เล่นลมอยู่ไหวๆนั้น คือป้ายที่เขาเลิกใช้และเจ้าของร้านไปยืมมา...
ผมแอบหาวอีกรอบ มองดูกำแพงสีส้มซีดๆ ที่พวกนิยมความโบร่ำ โบราณคงมองว่ามันดูคลาสสิค ดูเป็นคู่ตุนาหงันกับโต๊ะไม้กลมๆเล็กๆ...และพวกนิยมความเก่าก็คงหลงเสน่ห์ของโต๊ะไม้เก่าๆพวกนี้ ที่ดูดีขึ้นมาได้ภายใต้แสงไฟสีส้มๆที่ลอดแสงออกมา จากโคมผ้าฝ้ายเนื้อหยาบๆสีขาว...ส่วนพวกพิสมัยความแปลกและแหวกแนว ก็คงหลงรักขนาดร้านที่มีหน้ากว้างแค่พอให้คนผอมๆสี่คนยืนเรียงหน้ากระดาน เหล่าโต๊ะไม้ตัวเล็กๆจึงทำได้เพียงชักแถวเรียงแค่หนึ่ง ตั้งเรียงลึกไปตลอดความยาวของกำแพงปูนสีส้มซีดๆ ซึ่งความยาวที่ว่านั่นก็ยาวขนาดที่คนยืนอยู่หน้าร้านมองเข้าไปไม่เห็นถึงหลังร้าน...การแก้ปัญหาให้บริกรไม่ต้องเดินวันหนึ่งๆเป็นหลายๆกิโล เพราะความยาวลึกของร้านก็คือ...ให้ลูกค้าเดินกันเอาเอง...ใครอยากกิน อยากได้อะไร ก็เดินไปสั่งด้านลึกสุดของร้าน...กะเวลา แล้วเดินเข้าไปหยิบ ไปรับของเอง...กินเสร็จจะจ่ายตังค์ก็ถือบิล มาจ่ายที่โต๊ะหน้าร้านก่อนก้าวเท้าออกจากร้าน...บรรยากาศแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นเสียงลือเสียงเล่าอ้างจนกลายเป็นชื่อเรียกเล่นๆของร้านก็คือ...ร้านฝากสั่ง...เพราะคนกินเองก็ชักจะขี้เกียจเดิน เห็นใครลุกเดินก็ฝากๆกันสั่งไป...ใครเดินไปหยิบของตัวเอง แต่ยังไม่ได้ก็ถือของคนอื่นติดมือมาส่งแทน...หรือถ้าร้านคนเยอะๆ ก็เล่นกันง่ายๆ คือส่งต่อๆกันไปตามโต๊ะ...แล้วบริกรหน้าหล่อเอาไว้ทำอะไร?...เช็ดโต๊ะไงครับ! บริการเดียวที่ลูกค้าไม่ต้องพกผ้าขี้ริ้วมาเช็ดโต๊ะเองหลังกินเสร็จ...
แต่ในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ที่คนน่าจะเต็มร้าน กลับมีลูกค้าแค่สองคน หนึ่งโต๊ะ และ ผมไม่เห็นมีคนไหนที่มีวี่มีแววอกหัก รักคุดกันสักคนเดียว...
ถ้าวาดกรอบสี่เหลี่ยมขนาดพอเหมาะรอบคนสองคนที่นั่งด้วยกันที่หนึ่งโต๊ะนั้นไว้ มันก็ดูคล้ายกำลังดูละครผ่านจอทีวีขาวดำ เพราะคนหนึ่งนั้นขาวเหลือเชื่อ ส่วนอีกคนก็ดำได้ใจ...
และเพราะในร้านมีคนอยู่แค่นั้น มันจึงช่วยไม่ได้ที่ผมจะเผลอตามองดูพวกเขา และเผลอหูเงี่ยฟังเสียง
ผู้ชายคนผิวดำคล้ำนั่งคุยโทรศัพท์อยู่นานแล้ว เขาคุยกับใครที่อีกปลายสาย หากแต่ตาก็จับจ้องคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม รอยยิ้มขำ กับ เสียงหัวเราะในบางครั้งนั้นจึงยากที่จะบอกว่า เขาหัวเราะอยู่กับใครกันแน่
ส่วนผู้ชายคนตัวขาวๆ ผมเห็นเขาเริ่มเขียนอะไรขยุกขยิกในเศษกระดาษใบเล็กๆตั้งแต่ที่ผู้ชายอีกคนเริ่มคุยโทรศัพท์
ผมนึกสงสัยว่าเขาเขียนอะไร...สงสัยมากขึ้นเมื่อกระดาษแผ่นนั้นถูกส่งไปให้ผู้ชายคนตัวดำที่หยิบกระดาษขึ้นมาอ่านและหัวเราะทั้งที่ยังคุยกับใครอีกคนที่ปลายสาย และสงสัยจนทนไม่ไหวเมื่อผมรู้สึกว่า พวกเขาทั้งคู่คลับคล้ายจะส่งสัญญาณอะไรบางอย่างเกี่ยวกับผม...
ผมทำเป็นเดินเฉียดเข้าไปใกล้ ทำทีเป็นจะรินน้ำเติมให้ในแก้วที่ยังมีน้ำอยู่เกือบเต็มแก้ว พร้อมส่งสายตาเนียนแบบยาวๆไปที่กระดาษแผ่นนั้น แต่ก็ต้องหลบสายตาเพราะผู้ชายคนตัวดำเหลือบตาขึ้นมามองผมสลับกับแก้วน้ำที่เต็มจนเกือบล้นของเขาและอมยิ้มขำ ส่วนคนตัวขาวก็เบี่ยงกระดาษหลบแบบมีมารยาท ก่อนยกน้ำในแก้วตัวเองขึ้นดื่มเผื่อจะมีที่ว่างในแก้วให้ผมพอรินน้ำเติมได้ ผมเลยต้องรักษามารยาท รินน้ำเสร็จก็ถอยหลังกลับมายืนอยู่ที่เดิมพร้อมความสงสัยอันล้นเปี่ยม
ในที่สุดผู้ชายคนตัวดำคล้ำก็วางโทรศัพท์และดึงกระดาษแผ่นเล็กๆนั้นไปเขียนอะไรบางอย่างก่อนส่งคืน ผู้ชายคนตัวขาวเขียนตอบอะไรไปสักอย่างและส่งกลับไปอีก ผู้ชายคนตัวดำยิ้มและเขียนอะไรลงไปอีกครั้งและส่งคืนกลับไปอีกหน ผู้ชายคนตัวขาวก็รับมาเขียนแล้วก็ส่งคืนไปอีกรอบ คราวนี้ผู้ชายคนตัวดำหัวเราะไปเขียนไปและยังไม่หยุดหัวเราะเมื่อส่งกระดาษคืนให้ผู้ชายคนตัวขาวๆ แล้วผู้ชายคนตัวขาวๆก็หัวเราะ ...ส่วนผม...ตลอดเวลามีแต่คำว่าสงสัยแล้วก็สงสัย...
ผมไม่กล้ามองไปทางพวกเขาอีก ทำก็แต่แอบใช้หางตามอง...
แม้ไม่ได้ยินเสียงพวกเขาคุยกัน แต่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆที่ดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ...
ผมไม่ได้สงสัยว่าพวกเขาเป็นคนรักกันหรือไม่ เพราะถึงแม้สายตาที่พวกเขาใช้จับจ้องกันและกันมันจะไม่ได้หวานจนดื่มด่ำ หากแต่มันมีความรักอยู่แน่นอน
ผมไม่เห็นพวกเขาแตะต้องตัวกัน พวกเขาต่างคนต่างกอดอก เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ของตัวเองและคุยกัน หัวเราะกันเบาๆ หากแต่บ่อยครั้งเวลาที่ผู้ชายคนตัวดำคล้ำก้มหน้าหัวเราะ เขาขยับขาไปมา แตะสัมผัสเบาๆกับขาของผู้ชายอีกคน...มันไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าความเคยคุ้นที่พวกเขามีให้กัน
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นผู้ชายคนตัวขาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและผู้ชายอีกคนก็นั่งมอง
โทรศัพท์ถูกวางลง พวกเขาคุยกันพลางขยับตัวคล้ายเตรียมพร้อมที่จะไป ส่วนผมภาวนาให้พวกเขาวางกระดาษแผ่นนั้นทิ้งไว้และพวกเขาก็วางมันทิ้งไว้จริงๆ...
ที่เคาน์เตอร์หน้าร้าน ผมยื่นใบเสร็จให้พวกเขาด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม ในขณะที่ผู้ชายคนผิวขาวไล่สายตาดูใบเสร็จที่ผมส่งให้ ผู้ชายอีกคนก็กอดอกยืนรอและบ่อยครั้งเขามองผมพร้อมซ่อนรอยยิ้มขำ และรอยยิ้มนั้นมันก็ทำให้ผมคิดขึ้นมาว่า เขาน่าจะจงใจลืมกระดาษแผ่นนั้นไว้ให้ผมกระมัง
แน่นอนว่าผมไม่ได้หวังว่าเขาจะแอบหยอดเบอร์ทิ้งไว้ให้ผมอะไรอย่างนั้น ถึงแม้เขาจะชอบมองและยิ้มให้ผมหรือถึงผมจะต้องยอมรับกับตัวเองก็เถอะว่าผมชอบรอยยิ้มซ่อนรอยขำของเขาอยู่ไม่น้อย...ผมคงตกหลุมรักเขาได้ไม่ยาก หากไม่มีผู้ชายคนที่กำลังยืนอยู่ข้างกายเขา คนที่เขาคอยจับจ้องมอง...ไม่ได้หวานดื่มด่ำหากแต่ก็ไม่ปกปิดว่ารัก...
แม้อยากจะเดินเข้าไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาอ่านใจจะขาด แต่ผมก็ทำรักษามาดยืนมองส่งพวกเขาที่เดินข้ามไปที่อีกฝั่งถนน ที่ๆรถของเขาจอดอยู่
ผมดีใจที่ตัวเองยังยืนรักษามาดอยู่ตรงนั้น เพราะบ่อยครั้งที่ผู้ชายตัวสูงผิวคล้ำยังเสหันกลับมามองผม สายตาที่มองมายังแฝงรอยขำคล้ายนึกรู้ว่าเดี๋ยวผมต้องวิ่งไปหยิบกระดาษมาอ่านดูแน่...เขาหันมามองบ่อยและเลิกมองเมื่อผู้ชายอีกคนหันมามองผมตามสายตาของเขา พูดอะไรสักอย่างกับเขา เขาหัวเราะก่อนส่ายหัว โน้มตัวลงไปใกล้คล้ายกระซิบบอกอะไรบางอย่าง แล้วเขาก็ไม่หันมามองผมอีกเลย
อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น พวกเขาก็จะขึ้นรถแล้วความสอดรู้สอดเห็นของผมก็จะสัมฤทธิ์ผล...อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น...แต่ผมก็ยังต้องยืนรักษามาดเก็บอาการสอดรู้พร้อมสอดเห็นต่อไป เพราะเวสป้าสีขาวที่เพิ่งเลี้ยวเข้ามาจากมุมถนน มันวิ่งตัดเลนส์ถนนที่ร้างรถด้วยความเร็วระดับเสียงดังแค่แทดๆ มุ่งตรงมาทางผม หากแต่ยังไม่ทันถึง คนที่ซ้อนอยู่ข้างหลังทำท่าคล้ายจะเห็นใคร และสะกิดคนขี่พลางชี้มือชี้ไม้ให้ขี่ตัดเลนส์กลับไป...แล้วคนสองคนที่กำลังจะจากไปก็หันกลับมา...พวกเขารู้จักกัน...คนมาใหม่ยกมือไหว้ คนมาก่อน ส่วนผมก็ต้องยืนรักษามาดต่อไป...
คนมาใหม่ที่กระโดดลงมาจากเบาะท้ายของรถเวสป้านั้นคุ้นตา...เขาเป็นคนรู้จักของเจ้าของร้าน เขาชื่อตะวัน...ผมจำเขาได้ แม้เขาจะยังสวมหมวกกันน็อคครึ่งหัวสีชมพูสด แถมแว่นกันลมแบบครอบลูกกะตามิดเหมือนแว่นกันน้ำและสีก็สดพอๆกับหมวกที่เขาสวมอยู่
ผมเรียกเขาว่า...พี่ตะวัน...ผมเจอเขามาสามถึงสี่ครั้งแล้ว...แต่เขาเจอผมครั้งแรกทุกครั้ง...คือ เขาจำผมไม่เคยได้เลย...ครั้งนี้ก็เหมือนกัน พี่ตะวันชี้มือมาทางร้านที่ผมยืนอยู่...ทุกคนมองตามมือที่ชี้มา ทั้งผู้ชายตัวสูงผิวดำคล้ำที่ยังมองมาและยังยิ้มขำ ผู้ชายคนผิวขาวก็หันมามองและสบตาผมอย่างไร้ความหมาย และผู้ชายอีกคนที่ยังนั่งประจำตำแหน่งผู้ขี่อยู่บนเวสป้าคันขาว...ผมไม่ได้สบตาเขา เพราะเขาก็ใส่แว่นกันลมสีฟ้าสด สีเดียวกับหมวกกันน็อคกลมๆแบบครึ่งหัวของเขาที่เหมือนกันกับของพี่ตะวันต่างกันก็แค่สี...พวกเขาหันมามองแล้วก็หันกลับ...เหมือนพี่ตะวัน ที่มองมาแล้วก็หันกลับไปแบบไม่มีทีท่าว่ารู้จักหรือจำผมได้สักนิด...
พวกเขาหันมาแล้วก็หันกลับ...ยืนคุยกันอีกแป๊บ ยกมือขึ้นมาไหว้อีกหนแล้วก็ต่างแยกย้าย...รถเวสป้าเสียงดังแท่ดๆ วิ่งตีโค้งข้ามฟากถนนมาจอดที่หน้าร้านอย่างที่ผมคิดเอาไว้...เพียงแต่มีสิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ก็คือ ผมเห็นพี่ตะวันก้าวขาจะขึ้นไปซ้อนที่เบาะหลังเหมือนเก่า รถเวสป้าสีขาวก็ออกตัววิ่งข้ามถนนมาเสียงดังแท่ดๆ ส่วนพี่ตะวันยังยกขาค้างยืนอยู่ที่เดิม...ผมเผลอตัวหัวเราะออกมาให้กับภาพที่เห็น พี่ตะวันก็หัวเราะในขณะที่วิ่งข้ามถนนตามมา...และผู้ชายคนที่ขี่อยู่บนเวสป้า ผมเห็นเขาหัวเราะพลางมองภาพสะท้อนของพี่ตะวันในกระจกรถ... รถเก๋งสีดำที่เมื่อครู่เพิ่งออกตัวไปก็ชะลอความเร็วลงจนเกือบจอดสนิท แม้ไม่สามารถมองทะลุความมืดดำของกระจกเข้าไปเห็นคนข้างใน แต่ผมรู้ว่าพวกเขาก็คงกำลังหัวเราะกับภาพเหตุการณ์ที่พวกเขาหยุดดู...แล้วพวกเขาก็จากไป และผู้ชายอีกสองคนก็เดินเข้ามาในร้านแทน...พวกเขายืนอยู่ตรงหน้าผม...มองหน้าผมผ่านแว่นกันลมอันกลมๆแบบที่มีสายรัดด้านหลังหัว...
พี่ตะวันถอดหมวกกันน็อคออกแล้ว แต่ก็ยังมีผ้าโพกหัวสีชมพูสดอีกชั้นหนึ่งที่ครอบอยู่บนผมยาวๆฟูๆของพี่ตะวัน
“พี่กิจไม่อยู่เหรอ?”พี่ตะวันถาม พลางชะเง้อ ชะแง้ มองเข้าไปในร้านแคบๆ
“ไม่อยู่ครับ...”ผมตอบ เห็นท่าชะเง้อชะแง้ของเขาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหันไปชะแง้ชะเง้อตาม
“ก็บอกแล้วไง วาเลนไทน์ใครๆก็ไปเที่ยวกับแฟน”ผู้ชายอีกคนที่ตัวสูงกว่าพูด เขายังสวมอยู่ครบทั้งแว่นกันลม และหมวกกันน็อคสีฟ้าสด...
“ไม่ใช่วาเลนไทน์ พรุ่งนี้ต่างหาก!”
“ซ้อมใหญ่ไง วันจริงจะได้ไม่ประหม่า!”คนตัวสูงพูดยิ้มๆ ก่อนหันหลังไปยืนดูรูปวาดที่แขวนไว้บนผนังตรงข้ามเคาน์เตอร์
“พี่กิจกลับมา ฝากบอกพี่กิจด้วยว่าตะวันมาหา พรุ่งนี้จะกลับแล้ว แล้วจะมาหาใหม่...”พี่ตะวันพูดกับผม หากแต่ตาจับจ้องอยู่ที่ตุ๊กตาไม้หัวฟูหน้าตาประหลาดตัวใหญ่แค่ฝ่ามือที่ยืนเอียงคอยิ้มยิงฟันอยู่บนเคาน์เตอร์
ตุ๊กตาไม้ตัวนี้ตั้งอยู่บนเคาน์เตอร์มานานก่อนผมจะมีโอกาสเหยียบย่างเข้ามาทำความรู้จักกับเจ้าของร้านเสียอีก...มีคนแนะนำตุ๊กตาไม้ตัวนี้ให้ผมรู้จักและบอกว่าผู้ชายที่แกะสลักตุ๊กตาไม้ตัวนี้ชื่อว่าขุน เป็นเพื่อนกับเจ้าของร้าน ...เจ้าของร้านเคยเล่าให้ผมฟังว่า พี่ขุนคนนี้เป็นเรี่ยวแรงสำคัญคนหนึ่งในจำนวนหลายๆคน ที่ทำให้ร้านอาหารเล็กๆร้านนี้ถือกำเนิดขึ้น...แน่นอนว่าโลกนี้ไม่มีคำว่าฟรีแม้แต่กับเพื่อน...พี่ขุนจึงมีข้อเรียกร้องแลกเปลี่ยนกับเรี่ยวแรงของตัวเองคือ บนผนังร้านต้องแขวนภาพเขียนของพี่ตะวันและหากขายได้ต้องไม่มีการหักหัวคิวแม้แต่สลึงเดียว...เจ้าของร้านยินยอมเพราะบวกลบคูณหารแล้วมีแต่ได้กับได้แล้วก็ได้...ตอนนี้ภาพเขียนที่แขวนบนผนังในร้านไม่มีภาพเขียนของพี่ตะวันแล้ว จะมีก็แค่บางภาพที่พี่ตะวันเอามาแขวนไว้แต่บอกว่าห้ามขาย...ผมไม่เคยเห็นพี่ขุน แต่มีคนบอกว่าภาพที่พี่ตะวันเอามาแขวนไว้คือภาพของพี่ขุน... ส่วนภาพบนผนังร้านส่วนใหญ่ในตอนนี้เป็นของนักเรียน นักศึกษา ที่เจ้าของร้านอนุญาตให้นำมาฝากขายโดยไม่มีการหักค่าหัวคิวหรือค่าเช่าพื้นที่อะไรเลย...และตอนนี้เรี่ยวแรงต่างๆที่ว่าสำคัญด้วยช่วยเหลือกันเมื่อแรกเริ่มร้านนี้มาก็กระจัดกระจายแยกย้ายกันไปหมดแล้ว นานๆจึงแวะเวียนผ่านมาให้ผมรู้จักสักครั้ง...ได้ยินว่า บางคนลงใต้ บางคนขึ้นไปเหนือที่เหนือกว่าเชียงใหม่ บางคนไปอยู่ลาว กับอีกบางคนก็ไปอยู่ไกลถึงบนฟ้า...อย่างเช่นพี่ขุน ที่มีคนบอกว่า คือคนรักของพี่ตะวัน...คือคนที่แกะสลักตุ๊กตาไม้หัวฟูหน้าประหลาดที่พี่ตะวันกำลังยืนจับจ้องอยู่ตอนนี้...