มาต่อแล้วครับ วันอาทิตย์ กับข้าวหาซื้อยากดีจริง
“ ใช่ไอเหี้ยนั้นไหม ” ผมได้ยินเสียงแว่วๆ
“ ไอตัวสูงๆ เล่นแม่งเลย !!! ” ผมหันควับ ยังไม่ทันจะเห็นหน้า ก็โดนผลักร่วง ส่วนไอโต้งโดนกระเป๋าฟาดหัวล้มไปกองเหมือนกัน ผมเห็นพวกมันคนหนึ่ง คว้าไม้หน้าสามจะตีขาไอโต้ง
“ ไอโต้งหลบ พวกมึงทำอะไรพวกกู !!! ” ผมผลักพวกที่ล้อมผมสองคนกระเด็นไปข้างๆ เตะไม้ที่ไอนั้นถือเตรียมจะตีไอโต้ง แล้วรีบคว้าตัวไปโต้งมา
“ วิ่งไปบอกพี่ที่ลานเร็ว ” ผมถีบส่งมันให้ไปไกลๆ
“ ไอคิม !!! ” ไอโต้งเหมือนยังงงกับเหตุการณ์ แต่ผมไม่งงอะ ที่โรงเรียนเก่าผมเจอจนชินแล้ว
“ เรียกหาอะไร ไปตามพี่เร็วๆดิโว้ย ” มันผ่านไปเร็วมาก มีคนสามคนวิ่งตามไอโต้ง ส่วนที่อยู่กับผม มีสองคน
“ เก่งจริงๆนะ มาขวางพวกกูทำไม ” ผมเหลือบมองตรงเสื้อคลุม รู้เลยว่าเป็นพวกเด็กเกรียนไม่ใช่ระดับมหาลัย
“ แน่จริงวางไม้ดิ กูคนเดียว ”
“ คนเดียวก็ไม่สนเว้ย !!! ” ไอนั้นหวดไม้ใส่ ผมหันข้างหนี โดนฟาดไปผัวะ เจ็บบวกจุกเลย
“ บอกเพื่อนมึง เลิกจีบเด็กกูได้แล้ว ” มันชี้ไม้มาที่หน้าผม ผมมั่นใจ หน้าผมเละแน่
“ วิ่งไปอ้อมรั้วไว้ !!! อย่าให้พวกมันหนี ” ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโดนข้ามหัวมา ผมเหลือบไปดู ช็อปคณะผมทั้งนั้น พวกผมตามมาช่วยแล้ว
“ สัดเอ้ย สามตัวหนีแล้วเหรอวะ มึงจำไว้นะ ไปเว้ย ” ผมนอนแผ่ด้วยความโล่งใจ เจ็บซี่โครงจิ๊ดๆเลย
“ ไอคิม เป็นไงบ้างวะ ” ไอโต้ง กูคิดถึงมึง ฮ่าๆ
“ มึงโดนไรไหม ” ไอโต้งน้ำตาคลอ แต่ไม่วายตบหัวผม
“ โดนจนช้ำยังจะถามกูนะไอเชี้ย ลุกไหวไหม ” ไอโต้งมาพยุงผมลุกขึ้น โห เพิ่งเห็นเต็มๆตา นี่มันจลาจลเหรอเนี่ย คนของคณะผมยืนกันร่วมร้อยคน คละกันไป แม้แต่ผู้หญิงยังมี
“ ไปลานเหอะ ” ไอโต้งพาผมไปที่ลาน พอถึงลานพวกพี่ๆก็ทยอยเดินกลับมาเหมือนกัน
“ ไอดิษ จับได้ตัวนึง เล่นก่อนไหม ” พี่ดิษก็อยู่เหรอ
“ ไม่เอา จับส่งฝ่ายวินัยไป เดี๋ยวเรื่องใหญ่ ” พี่ดิษบอกพี่คนที่ถาม ก่อนจะเดินมาหาผมสองคน
“ ใครก่อเรื่อง ” ผมแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจะกล้าถามแบบนี้ ดูหน้ากับสภาพผม น่าจะอธิบายได้
“ ไม่เห็นหน้าเหรอครับ ” ผมตอบให้เลย ไอโต้งทำหน้าเหวอๆ อย่างว่าครับ วากคณะนี่ ใครก็กลัว แต่เรื่องนี้มันเกินไปละ
“ มึงไม่ได้ทำก็เงียบปากหน่อยได้ไหม ” พี่ดิษเริ่มขึ้นเสียง พวกที่อยู่รอบๆเริ่มสนใจมากขึ้น
“ ขอโทษนะครับ แต่ผมโดนตีน โดนต่อยแทนมัน ไม่ให้ผมพูดได้ไง ”
“ เก่งจริง มึงเก่ง เก่งจริงๆ !!! ” พี่ดิษผลักผมหงายหลังง่ายๆ ที่ง่ายแบบนี้เพราะผมน่วมอยู่แล้วหรอก
“ พี่ดิษ ผมขอเถอะครับ ผมผิดเองครับ ”
“ มึงไปกระโดดน้ำ ปีสองซ่อมไอโต้ง ไป !!! ” ไอโต้งโดนไล่ไปโดดบ่อตามเคย ส่วนผมก็นอนกองอยู่นั้นแหละ
“ ลุก ”
“ ก็อยากลุกอยู่ ” ผมปวดเขาครับ จังหวะที่ล้ม เข่ากระแทกพื้น แผลเก่ากำเริบอีก แม่ง ตอนไอพวกนั้นรุมผมยังไม่เจ็บใจเท่านี้เลย
“ มึงคลานไปลงบ่อ เร็ว ”
“ ดิษ มันเจ็บเข่า ” ผมหันไปตามเสียง พี่หน้าเหี้ยมคนนั้นครับ คนที่เคยสั่งผมคลานเข่าคนแรก พี่เขาชื่อหมี
“ กูเป็นวาก ในลานคือกิจกรรม ” เออ กูจะเลือดซิบให้ดูก็ได้ ผมกัดฟันตั้งขา ก่อนจะคลานไปช้าๆ ระยะทางไกลพอควรเลย นับๆดูน่าจะเกือบ 30 เมตร ผมเข้าใจว่าคลานไปได้ 10กว่าเมตร ผมเริ่มรู้สึกว่าเข่าผมมันแฉะๆ
“ ชิบหาย เลือดออก ” ผมพลิกตัวนอนหงาย ให้แผลมันสมาน
“ มึงอู้ เฮ้ย เลือดออกเหรอวะ ” พี่ดิษ มึงมีตาก็ดูเอาสิ
“ พอใจไหมครับ พี่วาก ” หน้าเสียเลย ผมเห็นออกจนเบื่อแล้วครับ
“ ไม่ต้องคลานแล้ว ลุก ” ผมยิ้มให้มันทีนึง ก่อนจะพยุงตัวลุก
“ เป็นไรวะ ” นั้นสิ ทำไมลุกไม่ขึ้น ขามันชาๆ
“ ขามันชา ” ผมเงยหน้าบอกมัน
“ มึงนิ่งๆนะ ” พี่ดิษ มันทำท่าเหมือนจะอุ้มผม
“ จะบ้าเหรอ ตัวผมหนักนะ ”
“ เงียบๆเถอะมึงน่ะ อึ๊บบ โห มึงหนักกี่โลวะ ” มันอุ้มได้จริงๆด้วย แข็งแรงดีนี่วากคณะ แรกก็ก็พากันโห่ฮิ้ว ไปๆมาๆ พี่ดิษโดนเพื่อนรุมด่า โดนซ่อมแทนด้วยการคลานเข่าด้วย สมควรแล้ว ไม่รู้จักฟังคนอื่น
“ คงต้องให้ไอโต้งเป็นเดือน ” เพิ่งรู้ว่าเดือนคณะต้องโดนรับเพิ่มอีกนิดหน่อย ปกติทุกปีจะมีสามคน แต่ปีนี้ผู้หญิงเสนอแค่สองเลยมีแค่นี้ หลังจากจบพวกพี่ปีสองกับปีสามบางคนมาคุยกันต่อ
“ ทำไมวะ ”
“ อีกแค่สองวัน ไอคิมโดนซ้อมขนาดนี้ มึงจะลำบากมันขึ้นประกวดเหรอ ”
“ แต่ผมอยากให้คิมประกวดครับ ” ไอโต้งเสริมพวกพี่ๆ
“ พวกมึงตัดสินใจกันเองไม่ได้หรอก ” ท่านวากคณะมาครับ เบื่อจริงๆ ทำไมทุกคนต้องทำเป็นฟังเขาด้วย ประธานก็ไม่ใช่
“ ลืมแล้วเหรอว่าประกวดกันยังไง ” เงียบหมดเลย
“ แยกย้ายกันได้แล้ว ปะๆ ” ผมค่อยๆลุกขึ้น พวกพี่ผู้หญิงมาช่วยกันทำแผลให้ อาการชาหายไปแล้ว ที่เหลือก็เจ็บนี่แหละ ไอโต้งต้องตามพี่รหัสกับพ่อไป ผมคงต้องรอพี่โจมารับ
“ มาเดี๋ยวขับไปส่งหอ ” ท่านวากเกอร์บอกครับ จะไถ่โทษล่ะสิ
“ ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่โจมารับ ” พวกพี่ๆไปกันหมดแล้ว ให้คนไม่ถูกกันอยู่ด้วยกัน น่านัก
“ มันไปเที่ยวกับเมียมัน มึงมาเถอะอย่าเรื่องมาก ” เออ ไม่เรื่องมากก็ได้ ขึ้นรถได้ก็เงียบกันทั้งคู่ ดีเหมือนกัน หายใจอากาศเดียวกับท่านวากก็ลำบากเต็มทนละ
“ เฮ้ย พี่ ไม่ใช่ทางกลับหอ ” นี่มันวนรถออกมานอกมหาลัยแล้ว
“ ไปกินข้าวก่อน แม่กูเรียก ”
“ อ่อ กลัวแม่ ” ผมได้ทีกวนมันเลย
“ ถ้าไม่ให้เงินกูใช้ กูไม่นั่งกลัวหรอก ว่าแต่มึงเถอะ เห็นว่ามีไร่เหรอ ”
“ ทำชวนคุย ”
“ มึงจะให้กูกราบขอโทษไหมห๊ะ กูไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เห็นมึงโดนรับหนักได้ ใครจะคิดว่าคลานแล้ว มึงจะเป็นแบบนี้ มึงสายรหัสกู กูก็ห่วงมึงเหมือนกัน ” ผมอึ้งกิน ยอมรับว่าคะแนนที่ลบของมัน กลับขึ้นมาเป็นบวกทันที
“ มีไร่ข้าวโพด 50 กว่าไร่ มัน 30 กว่า เลี้ยงวัว 300 กว่าตัว ไก่เพิ่งเริ่ม 120 ตัว มีที่อีกหลายไร่ยังไม่ทำอะไร ” ผมบอกมันครับ
“ ทำมาบอก กูถามแค่มีเหรอ ”
“ อ้าว กวนตีน ” ผมหลุดออกไปเฉยๆ
“ มึงนี่ได้ใจจริงๆ ไม่นึกไม่ฝันจะได้สายรหัสแบบมึง ปีหนึ่งห่าอะไรเปรี้ยวจริงๆ ” ฟังๆเหมือนมันจะชมนะ แล้วมันก็ด่า ช่างเหอะ ไม่มีอารมณ์เถียงละ
มันพาผมมาจอดที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง โอ้ อย่าบอกนะนี่บ้านมัน เหมือนพวกนักธุรกิจใหญ่ๆเลย
“ มึงจะไม่ลงเหรอ ”
“ ไม่ได้จอดเยี่ยวเหรอ ” มันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้ผม
“ เชิญครับ ลูกรหัส ” เริ่มรู้สึกเป็นมิตรมากขึ้นครับ ทำแบบนี้ค่อยน่าเรียกพี่หน่อย
“ สวัสดีครับแม่ ” พี่ดิษเดินนำหน้าผมมา ก่อนจะหยุดกอดผู้หญิงคนหนึ่ง แม่ของพี่ดิษสง่ามากเลย เหมือนพวกศาสตราจารย์ไรพวกนี้
“ อืมๆ ” แม่พี่ดิษหันมายิ้มให้ผม ผมรีบสวัสดีแทบไม่ทัน
“ นี่คิม ลูกรหัสผมแม่ ”
“ ดีนะ รู้จักพามาหาคนเฒ่าคนแก่ แล้วโจล่ะลูก ” อ่อ รู้จักกันหมดครับ
“ เที่ยวกับแฟนมัน แม่ครับ วันนี้ให้คิมนอนนี่ด้วยนะแม่ ” หา ไม่ตลกแล้วนะเว้ย
“ จ้ะ ตามใจ เคยห้ามได้สักเรื่องเหรอ ” เหอะๆ เด็กดื้อนี่หว่า แต่ไม่เคลียร์ มันจะมาจับผมนอนกับมันได้ไง
“ แม่ๆ ลูกดิษล้มเข่ากระแทก แม่ให้คนมาทำมาดูที่บ้านได้ไหม ” แม่พี่ดิษตกใจนิดๆ
“ มานั่งให้แม่ดูหน่อย ”
“ เอ่อ ” ผมเกรงใจจริงๆครับ พี่ดิษมึงนะมึง จะไม่อยากเรียกพี่อีกแล้ว
“ แม่เป็นพยาบาลจ้ะ มาเถอะ ”
“ เจ้าของโรงพยาบาล ” อะโห เจ้าของเลยเหรอ แม่พี่ดิษ เริ่มเปิดแผลดู ไม่นานก็บอกอาการครับ
“ เข่าทรงแปลกๆนะ เวลาเดินไม่ปวดเหรอลูก ”
“ มีบ้างครับ เวลายืนนานๆ ”
“ จริงๆแล้วมันผ่ารักษาได้นะ แล้วล้มท่าไหน ทำไมมันแทงออกมาแบบนี้ เหมือนท่าคลานมากกว่านะ ” อย่างกับตาเห็น ผมหันไปยิ้มเยาะพี่ดิษ ที่เริ่มลูบหน้าลูบตา เพราะมึงคนเดียวน่ะ
“ ดิษ ว่างๆ พาคิมไปหาน้า ให้น้าเขาดูให้ มาเก็บเงินกับแม่นะ ”
“ เอ่อ ผมไม่รบกวนดีกว่านะครับ ผม ๆ ” เจอกันครั้งแรกก็ทำให้ประทับใจมากๆซะแล้ว
“ แม่รู้ว่าดิษทำ นิสัยไม่เปลี่ยนหรอก สมัยก่อนทำเพื่อนล้มหัวฟาดก็มาให้แม่เย็บแผลให้ ปกติไม่พาใครมาบ้านง่ายๆ แล้วไอท่าคลานๆ ดูก็รู้ เพราะดิษก็เคยบ่นว่าปวดเข่าตอนเข้าใหม่ๆ ” ผมอยากจะขำก๊ากสุดๆ แต่เกรงใจสถานที่ครับ วันนั้นแม่พี่ดิษให้ผมนั่งทานข้าวด้วย รู้สึกดีนะ เวลามีคนเอาใจใส่เรา ไม่รู้ว่าที่บ้านผมตอนนี้เป็นยังไงบ้างนะ ตั้งแต่ผมเลือกเรียนที่นี่ ไม่มีใครในครอบครัวสนใจผมเลย
“ นั่งคิดอะไร เพลินเลยนะ ”
“ เฮ้ย อะไรวะ ” ผมหลบตาแทบไม่ทัน ไอวากคนนี้ ทะลึ่งชิบหายเลย
“ ทำตกใจอะไร แค่เปลี่ยนเสื้อ ” บ้านมันเปลี่ยนเสื้อถอดเกงเกงในเหรอ ดีนะหันหลัง ไอบ้านี่
“ ปะ เดี๋ยวไปส่งที่หอ ” ไหนว่าให้กูนอนนี่ไง
“ เชื่อว่ากูจะให้นอนเหรอ กูเตรียมไว้ให้แฟนกูว่ะ มึงอย่าหวัง ”
“ ทำอย่างกับน่าหวัง หล่อตาย ”
“ หึหึหึ ” มันหัวเราะหึหึ แล้วก็ลากผมไปส่งที่หอ ตอนกลับ แม่พี่ดิษไม่อยู่ครับ คงจะมีงานด่วน ระหว่างทางมันก็บอกเรื่องนัดดูเข่ากับโรงพยาบาลของแม่เขา
“ ไป กูไม่ส่งถึงห้องนะ จะรับแฟนไปเที่ยวต่อ ” ผมมองดูนาฬิกา สามทุ่มกว่าแล้วไม่หลับไม่นอน ผมเดินลง ผมนึกขึ้นได้ว่าลืมขอบคุณ
“ พี่ !!! ”
“ มีไร ” ทำเสียงเย็นนะ แต่ถอยรถไวโคตร
“ ขอบคุณ ” พี่ดิษหันกลับไปก่อนจะฉีกยิ้มน้อยๆ แล้วออกรถไป เวลายิ้มดูดีจะตาย ทำไมชอบทำหน้าเหี้ยมวะ ไม่เข้าใจเลย ว่าแต่ผมไปสนใจยิ้มของมันทำไม