สายน้ำจากน้ำตกที่งดงามที่ไหนสักแห่งกำลังกระเซ็นใส่หน้าผม และกำลังไหลผ่านใบหน้าผมช้าๆ ผมกำลังวิ่งเล่นอย่างมีความสุข กระโดดข้ามโขดหินก้อนนู้นที ก้อนนี้ที
“แหม่ ชีวิตมีระดับมันเป็นอย่างนี้นี่เอง.................”
“อูย กระเซ็นมาอีกแล้ว อูย อีกแล้ว ท่าทางตรงนี้จะน้ำเชี่ยว อูยๆ อูย”
“โครม!!! ซ่าส์”
“เฮ้ย ไรวะ ไรวะ ...........อื้อหือ เต็มหน้ากูเลย” ผมลูบหน้าที่ตอนนี้เปียกไปด้วยน้ำ
“ใคร.............เยี่ยว..............ใส่.............หน้า............กู” ผมตะโกนโหวกเหวก
“ตื่นแล้วขอรับ” เสียงดังมาจากด้านซ้ายมือ ผมหันไปมอง เห็นชายคนหนึ่งยืนถือถังเหล็กน้ำหยดติ๋งๆ ไม่ต้องจบป.โท ก็รู้ว่าไอ้บ้านี่สาดน้ำ
“สาดกูทำไม มึงคิดว่าหน้าสงกรานต์รึไง” ผมตะคอก
“ตื่นเสียที เล่นเอาเหนื่อยกันทั้งโรงพัก” เสียงชายอีกคนทางด้านซ้ายพูด ผมหันไปมอง
“โรงพักเหรอ” เมื่อได้สติ ผมก็สำรวจตัวเองและพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพเหมือนขอทานข้างถนน เสื้อผ้าขาดรุ่ย รองเท้าคู่ละเกือบสี่พันของผมหายไปไหนข้างนึงก็ไม่รู้ ตามแขน มีร่องรอยขีดข่วนเต็มไปหมดและทีสำคัญ
ผมถูกมัด
“เฮ้ย มามัดกูทำไม” ผมดิ้นไปมาในสภาพมือไขว้หลังนั่งบนเก้าอี้ไม้ เสียงขาเก้าอี้กระทบพื้นที่เป็นไม้กระดานเป็นร่องๆมองเห็นพื้นด้านล่าง
“เจ้าเป็นใคร มาจากบางใด เหตุใดถึงมาระรานชาวบ้านถึงย่านสามแยกต้นประดู่” ชายคนที่อยู่ขวามือถาม หนวดเคราที่ถูกตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบ ทำให้ผมนึกถึงผู้ร้ายในหนังไทยยุค อาแอ๊ด สมบัติ
“แล้วพวกแกหล่ะ เป็นใคร มีสิทธิอะไรถึงมามัดชั้นว้แบบนี้” ผมย้อนถาม
“พวกข้าคือกองโปลิศคอนสเตเบิ้ลแห่งพระนคร”
“หา” ผมทำหน้าเล๋อหลา “จะเป็นโปลิส หรือเทศกิจก็ช่าง แต่ยังไงพวกแกก็ไม่มีสิทธิจับชั้นมัดไว้อย่างงี้นะเว้ย”
“พวกข้าได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า เจ้าเป็นคนบ้าสติไม่ดี คุ้มคลั่งอาละวาดไล่ตีชาวบ้านร้านตลาด” ชายคนนั้นแจ้งข้อหา
ผมมองดูสภาพตัวเอง กูเนี๊ยะนะคลั่งไปไล่ตีชาวบ้าน ดูสารรูปมันยังไม่รู้อีกเหรอว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ถูกกระทำ สะบักสะบอมขนาดนี้
“บอกข้ามาบัดเดี๋ยวนี้ ว่าเจ้ามาจากบางใด หาไม่เช่นนั้นแล้วเราจะจำคุกเจ้าให้นอนอยู่เสียแต่ในตารางนี่หล่ะ” เขาขู่
ผมหันหลังไปมอง ก่อนจะกลืนน้ำลายเอื๊อก ภายในห้องขังเต็มไปด้วยคนบ้า แก้ผ้ามั่ง เต้นรำมั่ง นั่งตาขวางมั่ง มีหวังผมเข้าไปไม่ตูดบานก็ต้องบ้าตามพวกนั้นไปแน่ๆ
“จะมาจากบางไหนอะไรกันวะ ก็บอกไปแล้วว่าชั้นมาจากกรุงเทพฯ กรุงเทพฯ เป็นตำรวจน่าจะรู้จักนะ กรุงเทพฯน่ะ” ผมตอบ
“กรุงเทพฯเหรอ” อ่ะอีกละ มึงทำหน้าหมางงอีกคนนึงละ หน้างงๆแบบนี้ เป็นของดีประจำจังหวัดนี้รึไง ถึงขยันทำกันจั้ง
“เออ ก็กรุงเทพฯน่ะสิ กรุงเทพฯ เขตสัมพันธวงค์น่ะ รู้จักมั๊ย”
ทั้งคู่อึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนที่คนทางขวาท่าทางตำแหน่งจะใหญ่กว่าพูดขึ้นว่า
“ท่าทางจะบ้าจริงดังคำชาวบ้าน เราเห็นควรจะจองจำไว้ก่อน จนกว่าจะมีญาติมาตามหา”
“อ้าว เฮ้ยๆ อะไรวะ” ผมตะโกนออกมา “ให้บอกความจริงก็บอกไปแล้ว จะเอาอะไรอีก นี่มันอะไรกัน พวกแกทำอย่างนี้กับชั้นไม่ได้นะเว้ย ปล่อย ปล่อยชั้นเดี่ยวนี้” ผมดิ้นรนทุรนทุราย ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่ไม่กี่ข้ามคืน ชีวิตเด็กนักเรียนนอกไฮโซอย่างผมจะต่ำเตี้ยเรี่ยพื้นขนาดนี้ พวกเขาช่วยกันจับผมลุกขึ้นมา ในขณะที่มือยังไพร่หลัง และกุญแจมือที่รัดแน่นยังคามืออยู่ ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยโดนจับใส่กุญแจมือเลยสักครั้ง.........................ยกเว้นตอนนั้น
“Hey Jenish, what are you doing” ผมแกล้งร้องพอเป็นพิธี
“Don’t move honey. You are my slave” เจนิส ทำหน้าหื่นใส่ผมก่อนที่เธอจะล๊อกผมด้วยกุญแจมือติดแน่นกับหัวเตียง
“ช่วยด้วยๆ” แต่ตอนนี้ มันไม่ใช่แบบนั้น ตอนนี้ผมกำลังถูกยัดเยียดข้อหาบ้าบออะไรก็ไม่รู้ พวกนั้นทั้งผลักทั้งดันผมให้เข้าไปอยู่ในห้องกรงสี่เหลี่ยมที่ข้างในเหม็นคลุ้ง ผมน้ำตารื้นด้วยความกลัวสุดขีด เหมือนตัวเองกำลังถูกถีบลงนรกทั้งๆที่ทำดีมาทั้งชีวิต
“ปล่อยกูออกไปนะ ไอ้พวกตำรวจเฮงซวย ปล่อย” ในที่สุดผมก็มายืนอยู่ในเขตที่เรียกว่า ผู้ต้องหา ทั้งๆที่ผมควรไปยืนอยู่อีกฝากที่เรียกว่า ผู้บริสุทธิ์
“คอยดูนะ ถ้ากูออกไปได้เมื่อไหร่ กูจะเล่นให้พวกมึงต้องไปอยู่ชายแดน คอยดู” ผมตะโกนไล่หลังสองตำรวจนั่นที่ตอนนี้ลงไปหาชาวบ้านที่กำลังมองผมแล้วซุบซิบ
“มองอะไรกัน พวกมึงเห็นเห็นกูเป็นคิงคองพาต้ารึไง ไอ้พวกเฮงซวย” เสียงตวาดดังออกมาจากห้องขัง
...
คืนนั้น ภายนอกโรงพัก มีเพียงชายสองคนที่ส่ชุดที่พวกเขาเรียกว่าโปลิศนั่งจับเจ่าคุยกันภายใต้แสงของตะเกียง เสียงจั๊กจั่น แมลงกลางคืนร้องกันระงมรอบโรงพัก
“หรือนี่จะใช่ยุคพระพุทธเจ้าหลวงจริงๆตามที่หมอนั่นบอก” ในบางห้วงความคิดผมก็เผลอคิดไป แต่แล้วก็
“เฮ้ย จะเป็นไปได้ยัง ไม่มีทาง แม้แต่ไอน์สไตน์ยังบอกเลยว่ายากที่คนจะเดินทางย้อนอดีต ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย ไม่มีทาง” ในที่สุดผมก็สรุปมันออกมาอย่างนั้น
ภายในห้องที่มืดอับและ ยุงชุม ผมบีบตัวเองจนเล็กลีบอยู่ในมุมอับข้องห้องขัง เฝ้าคิดถึงชะตาชีวิตตัวเองวันพรุ่งนี้ ว่ามันจะเป็นยังไง
“ไม่แน่นะ เมื่อตื่นขึ้น เราอาจพบว่า เรื่องทั้งหมด มันแค่..........ความฝัน” แล้วผมก็ฝืนข่มตาตัวเองท่ามกลางเสียงบ่นพึมพำของคนบ้าในนั้น จนหลับไป..........................
“”””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
“เจ้าบ้า เจ้าบ้า” เสียงทุ้มกังวาลดังขั้นใกล้หู ทำไมเสียงมันถึงชัดเจนราวกับเสียงนั้นมากระซิบอยู่ข้างหู
“เจ้าบ้า ตื่นเถิด” แล้วผมก็รู้สึกถึงสัมผัสจากมือที่อบอุ่นคู่หนึ่งมาแตะที่บ่าอย่างแผ่วเบา นี่มันฝันประสาอะไรกัน ทำไมถึงเหมือนจริงเช่นนี้
“เจ้าบ้า” เสียงนั้นชัดเจนและดังขึ้น
“เจ้าบ้า” มือที่สัมผัสอย่างแผ่วเบา ตอนนี้กลับเขย่าร่างผมอยู่
และมันได้ปลุกผมจากฝันร้าย
“หะ” ผมสะดุ้งลืมตาตื่น และคำแรกที่ผมร้องออกมาคือ
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยเอาชั้นออกไปจากที่นี่ที ชั้นกลัว” ผมตัวสั่นงันงก รู้สึกปสดหัวอย่างแรง
“ไม่ต้องกลัวแล้วเจ้าบ้า ข้ามาพาเจ้าออกไปจากที่นี่แล้ว” ผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง
“นาย!!!” แวบแรกที่ได้เห็นหน้าเขา ผมแทบอดใจไม่ไหวที่จะคว้าคอเขามากอด อย่างน้อยตอนนี้ผมก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่พอจะรู้จัก ในเมืองลับแลแห่งนี้ ผมไม่รู้จักใครอีกแล้ว
ร่างของผมถูกพยุงออกจากคุกนรกแห่งนั้นในสภาพสะบักสะบอม ผมไม่ได้กินข้าว กินน้ำ ถูกทำร้ายมา ตอนนี้ร่างกายผมจึงเหมือนจะเป็นไข้ แม้แต่เดินผมยังเดินไม่ไหว ต้องให้คนของหมอนั่นหิ้วปีก ขึ้นอะไรสักอย่างที่เป็นรถคล้ายเกวียน แล้วมีคนลาก ตลอดทางผมเพ้อถึงแต่ว่าอยากกลับบ้าน ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว
ร่างที่อ่อนแรงไร้พิษสงถูกบรรจงวางไว้บนเตียงนุ่มที่มีผ้าแพรสีน้ำเงินอย่างดีคลุม เมื่อไร้พิษสง ผมก็ไม่ต่างจากพวกเขา แววตาท่าทางของคนรับใช้ของหมอนั่นก็ดูหวาดกลัวผมน้อยลง พวกเขาช่วยกันเปลี่ยนชุด เช็ดตัว ให้ผมอย่างดี โดยที่มีชายคนนั้นยืนมองด้วยแววตาที่อ่อนโยน
“เจ้าพักผ่อนที่เรือนเราเถิด ที่นี่ปลอดภัยสำหรับเจ้า เรารับรอง” หมอนั่นยืนมองผมผ่านม่านมุ้งสีขาวที่คลุมร่างผมอยู่
“บ่าวของเราจะยกสำรับมาให้เจ้า หลังจากที่เจ้าตื่น” แววตาของเขาดูอ่อนโยน และคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก
ความรู้สึกในใจลึกๆของผมตอนนั้น อยากจะเอ่ยคำขอบคุณเขาจากใจจริงๆที่อย่างน้อย ทำให้ผมได้รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้โดดเดี่ยวในเมืองลับแลแห่งนี้ ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยในขณะนี้ และที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้ผมรู้แล้วว่า “ผมไม่ใช่คนของที่นี่”
“หวังว่าตื่นขึ้นมา............ทุกอย่างจะหายไป..............รวมทั้งนายด้วย” และนี่คือคำพูดตอบแทนความมีน้ำใจของหมอนั่น ก่อนที่ผมจะหลับไปด้วยความอ่อนแรง